คำนำ รายงานอี-บุก๊ น้ีเรียบเรียงข้ึนเพือ่ ใชป้ ระกอบการบรรยายรายวชิ าเศรษฐศาสตร์ในความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั เศรษฐศาสตร์และ ความสมั พนั ธ์ของวชิ าเศรษฐศาสตร์กบั วชิ าอื่นๆ เนิ้อหาน้ีมีความสาคญั ต่อการศึกษาวชิ าเศรษฐศาสตร์ เช่น ความหมายของ เศรษฐศาสตร์,ความเป็นมาของวชิ าเศรษฐศาสตร์,ความสาคญั ของวชิ าเศรษฐศาสตร์,ประโยชนข์ องการศึกษาวชิ า เศรษฐศาสตร์,ขอบขา่ ยการศึกษาวชิ าเศรษฐศาสตร์และความรู้พ้นื ฐานในการศึกษาวชิ าเศรษฐศาสตร์ ซ่ึงเป็นพ้นื ฐานใหก้ บั ผอู้ า่ นท่ีตอ้ งการศึกษาในเรื่องวชิ าเศรษฐศาสตร์ ผจู้ ดั ทาหวงั วา่ หนงั สือเล่มน้ีจะเป็นประโยชนใ์ นการศึกษาวชิ าเศรษฐศาสตร์บา้ งไมม่ ากกน็ อ้ ย ข้อบกพร่องใดๆ,หำกมขี ้อแนะนำหรือข้อผดิ พลำดประกำรใดผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัย
สำรบัญ หน้ำ 1 หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 1 เศรษฐศำสตร์เบือ้ งต้น 2-8 9-13 1. ควำมรู้เบือ้ งต้นเกย่ี วกบั เศรษฐศำสตร์ 14-16 17 ควำมหมำยของเศรษฐศำสตร์ 18 ควำมเป็ นมำของวชิ ำเศรษฐศำสตร์ 19-25 ควำมสำคญั ของวชิ ำเศรษฐศำสตร์ ประโยชน์ของกำรศึกษำวชิ ำเศรษฐศำสตร์ ขอบข่ำยกำรศึกษำวชิ ำเศรษฐศำสตร์ หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 ควำมสัมพนั ธ์ของวชิ ำเศรษฐศำสตร์กบั วชิ ำอนื่ ๆ -ควำมรู้พนื้ ฐำนในกำรศึกษำวิชำเศรษฐศำสตร์
ความหมายของเศรษฐศาสตร์ 1 เศรษฐศาสตร์(องั กฤษ: Economics)เป็นวชิ าทางสงั คมศาสตร์ท่ีศึกษาเกี่ยวกบั การผลิต การกระจาย การบริโภคสินคา้ และบริการ เศรษฐศาสตร์มุง่ ศึกษาพฤติกรรม และการมีปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แสดงทางเศรษฐกิจและการทางานของเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์จุลภาควเิ คราะห์องคป์ ระกอบหลกั ในระบบเศรษฐกิจ รวมท้งั ตวั แสดงและ ตลาดที่เป็ นปัจเจกบุคคล การมีปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั และผลลพั ธ์ของปฏิสมั พนั ธ์น้นั ตวั อยา่ งของตวั แสดงท่ีเป็นปัจเจกรวมถึงครัวเรือน ภาคธุรกิจ ผซู้ ้ือ และผขู้ าย เศรษฐศาสตร์มหภาควเิ คราะห์เศรษฐกิจในภาพรวม (หมายถึงการผลิตมวลรวม การ บริโภค การออม และการลงทุน) และปัญหาท่ีกระทบมนั รวมท้งั การไมไ่ ดใ้ ชข้ อง ทรัพยากรต่างๆ (แรงงาน, ทุน, และท่ีดิน) เงินเฟ้ อ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และ นโยบายสาธารณะท่ีจดั การปัญหาเหล่าน้นั (การเงิน การคลงั และนโยบายอ่ืนๆ) ตามคาจากดั ความของนกั เศรษฐศาสตร์และนกั การเมือง เรยม์ อนด์ บารร์ แลว้ \"เศรษฐศำสตร์คอื ศำสตร์แห่งกำรจดั กำรทรัพยำกรอนั มจี ำกดั เศรษฐศำสตร์พจิ ำรณำถงึ รูปแบบทพ่ี ฤตกิ รรมมนษุ ย์ ได้เลอื กในกำรบริหำรทรัพยำกรเหล่ำนี้ อกี ท้งั วเิ ครำะห์และอธิบำยวถิ ที บ่ี ุคคลหรือบริษัททำกำร จดั สรรทรัพยำกรอนั จำกดั เพอ่ื ตอบสนองควำมต้องกำรมำกมำยและไม่จำกดั \" คาวา่ เศรษฐศาสตร์ มาจากคาภาษากรีก Oikonomia ซ่ึงแปลวา่ การจดั การครัวเรือน (Oikos แปลวา่ บา้ นและ Nomos แปลวา่ จารีตประเพณีหรือกฎหมาย ซ่ึงรวมกนั หมายความวา่ กฎเกณฑข์ องครัวเรือน) แบบจาลองทางเศรษฐศาสตร์ปัจจุบนั แยกออกมาจากขอบเขตที่กวา้ งของวชิ าเศรษฐศาสตร์ การเมืองเมื่อปลายศตวรรษท่ี 19 การวเิ คราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ถกู ประยกุ ตใ์ ชค้ รอบคลุมท้งั สงั คม ในดา้ น ธุรกิจ, การเงิน และรัฐบาล แมแ้ ตท่ ้งั ดา้ นอาชญากรรม, การศึกษา, ครอบครัว, สุขภาพ, กฎหมาย, การเมือง, ศาสนา, สถาบนั สงั คม, สงคราม และวทิ ยาศาสตร์ วชิ าเศรษฐศาสตร์จดั เป็ นวชิ าเชิงปทสั ฐาน (เศรษฐศาสตร์ที่ควรจะเป็ น) เม่ือเศรษฐศาสตร์ไดถ้ ูกใชเ้ พื่อเลือกทางเลือกอนั หน่ึงอนั ใด หรือเม่ือมี การตดั สินคุณค่าบางส่ิงบางอยา่ งแบบอตั วสิ ยั ในทางตรงขา้ มเราจะเรียกเศรษฐศาสตร์วา่ เป็ นวชิ า เชิงบรรทดั ฐาน (เศรษฐศาสตร์ตามท่ีเป็นจริง) เมื่อเศรษฐศาสตร์น้นั ไดถ้ ูกใชเ้ ป็นเครื่องมือในการ ทานายและอธิบายถึงผลลพั ธท์ ี่ตามมาเม่ือมีการเลือกเกิดข้ึน โดยพจิ ารณาจากสมมติฐาน และชุด ของขอ้ มลู สงั เกตการณ์ ทางเลือกใดก็ตามท่ีเกิดจากการใชส้ มมติฐานสร้างเป็ นแบบจาลอง หรือ เกิดจากชุดขอ้ มลู สงั เกตการณ์ท่ีสมั พนั ธก์ นั น้นั กเ็ ป็ นขอ้ มูลเชิงบรรทดั ฐานดว้ ยเช่นเดียวกนั เศรษฐศาสตร์จะใหค้ วามสนใจกบั ตวั แปรที่สามารถวดั คา่ ไดเ้ ท่าน้นั โดยสาขาของวชิ า เศรษฐศาสตร์จะถูกจาแนกออกตามเน้ือหาเป็ นสองสาขาใหญๆ่ คือ เศรษฐศาสตร์จุลภาค ซ่ึงสนใจพฤติกรรมขององคป์ ระกอบพ้ืนฐานในระบบเศรษฐกิจซ่ึงรวมถึง อดมั สมธิ ตลาดแต่ละตลาดและตวั แทนทางเศรษฐกิจ (เช่นครัวเรือน หน่วยธุรกิจ ผซู้ ้ือ และผขู้ าย) เศรษฐศาสตร์มหภาค จะสนใจเศรษฐกิจในภาพรวม ตวั อยา่ งเช่น อปุ ทานมวลรวมและอปุ สงคม์ วล รวม การวา่ งงาน เงินเฟ้ อ การเติบโตของเศรษฐกิจ นโยบายการเงินและนโยบายการคลงั เป็ นตน้
นอกจากน้ียงั สามารถจาแนกออกตามการวิเคราะหป์ ัญหาไดแ้ ก่ 2 เศรษฐศาสตร์วเิ คราะห์ หรือเศรษฐศาสตร์ตามความเป็นจริง (Positive economics) เศรษฐศาสตร์นโยบาย หรือเศรษฐศาสตร์ตามท่ีควรจะเป็น (Normative economics) สาหรับประเด็นหลกั ๆ ท่ีเศรษฐศาสตร์ใหค้ วามสนใจจะอยทู่ ี่การจดั สรรทรัพยากร การผลิต การกระจายสินคา้ การคา้ และการแข่งขนั โดย หลกั การแลว้ คาอธิบายทางเศรษฐศาสตร์จะถูกนาไปประยกุ ตใ์ ชเ้ พ่อื อธิบายปัญหาท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ทางเลือกภายใตข้ อ้ จากดั ดา้ นความขาดแคลน มากข้ึนเรื่อย ๆ หรืออาจจะเรียกไดว้ า่ มีการกาหนดมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ใหก้ บั ทางเลือกน้นั ๆ นนั่ เอง ในมหาวทิ ยาลยั และวทิ ยาลยั ธุรกิจของประเทศอตุ สาหกรรมส่วนใหญจ่ ะนิยมสอนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลกั ท่ีเรียกวา่ เศรษฐศาสตร์แบบ สานกั คลาสสิกใหม่ (Neo - Classical Economics) ท้งั น้ี เศรษฐศาสตร์กระแสหลกั จะวเิ คราะห์ถึง \"ความเป็นเหตเุ ป็นผล-ความเป็น ปัจเจกชน-ดุลยภาพ\" ตรงกนั ขา้ มกบั เศรษฐศาสตร์ทางเลือกที่เนน้ วเิ คราะห์ \"สถาบนั -ประวตั ศิ าสตร์-โครงสร้างสงั คม\" เป็นหลกั จุดเริ่มตน้ ของเศรษฐศาสตร์ ขอ้ เขียนทางเศรษฐศาสตร์สามารถยอ้ นกลบั ไปไดถ้ ึงยคุ สมยั เมโสโปเตเมีย, กรีซ โบราณ, โรมนั โบราณ, อนุทวีปอินเดีย, จีน, เปอร์เซีย และอารยธรรมอาหรับ ปราชญท์ ่ีมีช่ือเสียงในยคุ โบราณจนถึงคริสตศ์ ตวรรษท่ี 14 ไดแ้ ก่ อริสโตเติล, ซีโนโฟน, จนั นากียะ หรือ วิษณุคุปต,์ จกั รพรรดิฉินท่ี 1, โทมสั อควนี าส และอิบน์ คอ็ ลดูน ผลงานของอริสโตเติลมีอิทธิพลอยา่ งมากตอ่ งานของอควีนาส ผซู้ ่ึงมีอิทธิพลต่อปรัชญาเมธีรุ่นหลงั ๆ ในคริสตศ์ ตวรรษที่ 14-17 โจเซฟ ชูม ปี เตอร์ บรรยายถึงอควนี าสไวว้ า่ เป็ นผูท้ ่ี \"ใกลเ้ คียงกวา่ คณะอื่นใดที่จะไดช้ ื่อว่าเป็น 'ผกู้ ่อต้งั ' เศรษฐศาสตร์\" ในเชิงทศั น์กฎธรรมชาติดา้ นการเงิน, ดอกเบ้ีย และทฤษฎี ดา้ นมูลคา่ แมก้ ารถกเถียงเร่ืองการซ้ือขายและการจดั สรรจะมีประวตั ิศาสตร์มายาวนาน เศรษฐศาสตร์ในความคิดของคนสมยั ใหมน่ ้นั จะถือเอาวนั ที่อดมั สมิธไดเ้ ผยแพร่ หนงั สือเร่ือง \"ความมงั่ คง่ั ของประชาชาติ\" (The Wealth of Nations) ในปี ค.ศ. 1776 เป็นการเริ่มตน้ เดิมอดมั สมิธ เรียกวชิ าน้ีวา่ เศรษฐกิจการเมือง (Political Economy) เนื่องจากในขณะน้นั ยงั ไมม่ ีคาศพั ทค์ าวา่ Economics ต่อมาคาวา่ เศรษฐกิจ (Economy) ไดถ้ ูกปรับรูปเป็นคาวา่ เศรษฐศาสตร์ (Economics) และกลายเป็น สาขาวชิ าอีกแขนงหน่ึงเป็ นตน้ มาต้งั แต่ปี ค.ศ. 1870 อดมั สมิธเป็นนกั ปรัชญาคนแรกที่เสนอวา่ ความร่ารวยของประเทศไม่ไดข้ ้ึนอยกู่ บั เงินคงคลงั แต่ข้ึนอยกู่ บั ขนาดเศรษฐกิจ ซ่ึงเป็นแนวคิดเก่ียวกบั ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (GDP) การส่งออกไมแ่ น่วา่ จะเป็น ประโยชน์ หรือการนาเขา้ ก็ไมแ่ น่วา่ จะเป็นการขาดทุน การคา้ ขายอาจจะก่อใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อท้งั สองฝ่ ายคู่คา้ (win-win situation) และกลไกการตลาด เปรียบเสมือน \"มือท่ีมองไมเ่ ห็น\" (Invisible Hand) ซ่ึงในระยะยาว (long run) มีแนวโนม้ จะปรับตวั เขา้ สู่จุดสมดุล
เศรษฐศาสตร์จุลภาค 3 ตลาด (Market) เศรษฐศาสตร์จลุ ภาคถือเป็นแนวทางหลกั ในการวเิ คราะห์ เศรษฐกิจอยา่ งเป็ นระบบ โดยมองวา่ ครัวเรือนและบริษทั ที่ ต่างกท็ าธุรกรรมระหวา่ งกนั ผา่ นตลาดน้นั เป็นหน่วยยอ่ ยท่ีสุด ในระบบเศรษฐกิจซ่ึงเผชิญกบั ความขาดแคลนและ กฎระเบียบแห่งรัฐ ตลาดน้นั อาจมีข้ึนสาหรับสินคา้ เช่น ขา้ วสาร หรือบริการสาหรับปัจจยั ในการผลิต เช่น การ ก่อสร้าง ก็ได้ ทฤษฎีจลุ ภาคน้นั จะพิจารณาปริมาณความ ตอ้ งการมวลรวมของผซู้ ้ือและปริมาณที่ผลิตโดยผขู้ ายในทุก ระดบั ราคาต่อหน่วย และเช่ือมโยงท้งั สองปริมาณเขา้ ดว้ ยกนั เพื่ออธิบายการท่ีตลาดเขา้ สู่จุดดุลยภาพ ทางดา้ นราคาและปริมาณ และการตอบสนองของตลาดเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทฤษฎีอุปสงคแ์ ละอปุ ทาน เป็นหน่ึงในทฤษฎีการวเิ คราะห์ขา้ งตน้ นอกจากน้ี เศรษฐศาสตร์จุลภาคยงั วเิ คราะห์ถึงโครงสร้างของตลาด เช่น ตลาดแข่งขนั สมบูรณ์และตลาดผกู ขาด เพอ่ื ทราบถึงพฤติกรรมและประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ การวเิ คราะห์การเปล่ียนแปลงในตลาดหน่ึง ๆ มกั เริ่มตน้ จากสมมติฐานให้ตลาดอื่น ๆ ไมม่ ีการ เปลี่ยนแปลง ท้งั น้ีเพอ่ื ง่ายต่อความเขา้ ใจ ดงั น้ี เรียกวา่ การวิเคราะห์ดุลยภาพบางส่วน (partial-equilibrium analysis) ขณะที่ทฤษฎีดุลยภาพทวั่ ไปจะ อนุญาตใหม้ ีการเปลี่ยนแปลงในตลาดอื่น ๆ และใชว้ ธิ ีคานวณปริมาณโดยรวมในทกุ ตลาด รวมไปถึงความเคล่ือนไหวของปริมาณดงั กล่าวและปฏิสมั พนั ธ์เพอ่ื เขา้ สู่จดุ ดุลย ภาพ การผลิต, ตน้ ทุน และประสิทธิภาพ การผลิตในทางเศรษฐศาสตร์จุลภาค คือการแปลงวตั ถดุ ิบใหก้ ลายเป็ น ผลผลิต กระบวนการทางเศรษฐศาสตร์น้ีใชว้ ตั ถดุ ิบเพ่อื ผลติ เป็นสินคา้ สาหรับการแลกเปลี่ยนหรือเพือ่ ใชง้ านโดยตรง การผลิตมีลกั ษณะเป็ น \"กระแส\" (flow) ดงั น้นั จึงนิยามเป็นอตั ราผลผลิตต่อหน่วยเวลา ตน้ ทุนคา่ เสียโอกาสหมายความถึงตน้ ทุนทางเศรษฐศาสตร์ของการผลิต หรือคือมูลค่าท่ีสูญไปของโอกาสท่ีดีที่สุดในลาดบั ถดั ไป อนั เน่ืองมาจาก การท่ีเลือกไดเ้ พยี งอยา่ งหน่ึงอยา่ งใด ท้งั น้ี เราอาจอธิบายไดอ้ ีกอยา่ งวา่ เป็ น \"ความสมั พนั ธเ์ บ้ืองตน้ ระหวา่ งความขาดแคลนและทางเลือกตน้ ทุน ค่าเสียโอกาสของกิจกรรมหน่ึง ๆ คือองคป์ ระกอบสาคญั ที่จะรับประกนั ไดว้ า่ ทรัพยากรอนั มีจากดั น้นั จะถูกใชอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยที่ ตน้ ทุนจะถูกพิจารณาเปรียบเทียบกบั มลู ค่าของกิจกรรมน้นั ๆ ในการตดั สินใจวา่ ควรเพม่ิ หรือลดลง ตน้ ทุนคา่ เสียโอกาสน้นั ไม่ไดจ้ ากดั วา่ จะตอ้ งเป็นเพียงตวั เงิน แต่อาจวดั โดยตน้ ทนุ ที่แทจ้ ริงของผลผลิตท่ีสูญเสียไป, ความพงึ พอใจ หรืออนื่ ใดที่ใหอ้ รรถประโยชน์
ความชานาญ 4 เฉพาะถือเป็ นปัจจยั สาคญั ตอ่ ประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจท้งั ในเชิงทฤษฎี และหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ แต่ละบุคคล/ประเทศอาจจะมีตน้ ทุนค่าเสียโอกาสท่ี แทจ้ ริงแตกต่างกนั ไป เช่น ความแตกต่างในดา้ นปริมาณคงคลงั ของทุนมนุษย์ (human capital) ต่อหน่วยแรงงาน หรือ อตั ราส่วน ทุนตอ่ แรงงาน เป็น ตน้ ในทางทฤษฎีแลว้ สิ่งเหลา่ น้ีอาจนาไปสู่ความไดเ้ ปรียบเชิงเปรียบเทียบ (comparative advantage) ในการผลิตสินคา้ ที่ใชป้ ัจจยั การผลิตท่ีมี ปริมาณมากกวา่ และถูกกวา่ โดยเปรียบเทียบ ถึงแมป้ ระเทศหน่ึง ๆ จะมีความ ไดเ้ ปรียบเชิงสมั บูรณ์ (absolute advantage) ในสดั ส่วนปริมาณผลผลิตต่อปัจจยั การผลิตในทุกประเภทของผลผลิตแลว้ ประเทศน้นั ๆ ก็อาจจะยงั คงมีความชานาญเฉพาะในผลผลิตที่มีความไดเ้ ปรียบเชิงเปรียบเทียบแลว้ ทาการคา้ ขายกบั อีกประเทศท่ี ไมไ่ ดม้ ีความไดเ้ ปรียบเชิงสมั บูรณ์แตม่ ีความไดเ้ ปรียบเชิงเปรียบเทียบในการผลิตสินคา้ อ่ืน ๆ อุปสงคแ์ ละอุปทาน อุปสงคแ์ ละอปุ ทานเป็นแบบจาลองทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายถึงความสมั พนั ธ์ของราคา และปริมาณสินคา้ ในตลาด กลา่ วทว่ั ไปคือ ขอ้ มูลทางทฤษฎีจะระบุวา่ เมื่อใดกต็ ามท่ีสินคา้ ถกู ขายในตลาด ณ ระดบั ราคาท่ีผบู้ ริโภคมคี วามตอ้ งการสินคา้ มากกวา่ จานวนสินคา้ ที่ สามารถผลิตไดแ้ ลว้ กจ็ ะเกิดการขาดแคลนสินคา้ ข้นึ ซ่ึงสถานการณ์ดงั กลา่ วก็จะส่งผลให้ มีการเพมิ่ ข้ึนของระดบั ราคาของสินคา้ โดยที่ผบู้ ริโภคกลุ่มท่ีมีความพร้อมในการจ่ายชาระ ณ ระดบั ราคาที่เพ่มิ ข้ึนน้นั กจ็ ะส่งผลใหร้ าคาตลาดสูงข้ึน ในทางตรงขา้ มระดบั ราคาจะ ต่าลงเมื่อปริมาณสินคา้ ท่ีมีใหน้ ้นั มีมากกวา่ ความตอ้ งการที่เกิดข้ึน กระบวนการดงั กลา่ วจะ ดาเนินไปจนกระทง่ั ตลาดเขา้ สู่จุดดุลยภาพ ซ่ึงเป็ นจุดที่ไมม่ ีการเปลีย่ นแปลงใดเกิดข้ึนอีก เมื่อใดก็ตามที่ผผู้ ลิตทาการผลิตสินคา้ ที่จุดดุลยภาพน้ี ซ่ึงเป็ นจดุ เดียวกบั ท่ีผซู้ ้ือตกลงซ้ือที่ ระดบั ราคาดงั กลา่ วแลว้ ณ จุดน้ีกล่าวไดว้ า่ ตลาดเขา้ สู่จุดสมดุลแลว้
ระดบั ราคา 5 เป็ นตวั แปรที่ถกู คดิ ค้นขนึ ้ มาเพ่อื ใช้ประโยชนใ์ นการวดั การ เคลอ่ื นไหวเปลยี่ นแปลงของอปุ สงค์และอปุ ทาน ระดบั ราคา นนั้ เป็ นอตั ราการแลกเปลยี่ นระหวา่ งผ้ซู ือ้ และผ้ขู ายในตลาด ดงั นนั้ ทฤษฎีราคาจะกลา่ วถงึ เส้นกราฟท่ีแทนการเคลอื่ นไหว ของปริมาณทสี่ ามารถวดั คา่ ได้ ณ เวลาตา่ ง ๆ และ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งราคากบั ตวั แปรท่ีวดั คา่ ได้อืน่ ๆ ใน หนงั สอื ความมงั่ คง่ั ของประชาชาติ (The Wealth of Nations) ของอดมั สมธิ ได้กลา่ วเอาไว้วา่ มกั จะมีภาวะได้อยา่ งเสยี อยา่ งเสมอระหวา่ งราคาและความสะดวกสบาย ทฤษฎีทาง เศรษฐศาสตร์สว่ นใหญจ่ ะถกู สร้างขนึ ้ อยบู่ นพนื ้ ฐานของระดบั ราคา และทฤษฎี อปุ สงค์และอปุ ทาน (demand and supply) ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แล้วเราสามารถสง่ ผา่ นสญั ญาณไปทว่ั ทงั้ สงั คมได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ โดยผา่ นทางระดบั ราคา เช่น ระดบั ราคาทตี่ า่ ลงจะแสดงให้เหน็ ถงึ การเพมิ่ ขนึ ้ ของอปุ สงค์ ในขณะท่ี ระดบั ราคาท่สี งู ขนึ ้ จะแสดงให้เหน็ ถึงการเพิม่ ขนึ ้ ของอปุ ทาน เป็ น ต้นแบบจาลองทางเศรษฐศาสตร์ในความเป็ นจริงหลายชิน้ ได้ ชีใ้ ห้เหน็ วา่ มรี ูปแบบของ ระดบั ราคาทีไ่ มเ่ ปลย่ี นแปลง ซง่ึ จะแสดงถึง ข้อเทจ็ จริงที่ระดบั ราคาไมส่ ามารถเคลอื่ นไหวได้อยา่ งอิสระในหลาย ๆ ตลาด ผ้กู าหนดนโยบายทางเศรษฐกิจมกั จะเข้ามาแสดงประเดน็ โต้แย้งเพ่อื ให้เหน็ ถึงสาเหตขุ องความติดขดั ในทางเศรษฐกิจ หรือระดบั ราคาท่ีไมเ่ ปลย่ี นแปลงซงึ่ ในที่สดุ แล้วก็จะทาให้ไมส่ ามารถบรรลดุ ลุ ย ภาพของอปุ สงคแ์ ละอปุ ทานได้มเี ศรษฐศาสตร์บางสาขาจะให้ความสนใจวา่ ระดบั ราคานนั้ สามารถวดั มลู คา่ ได้อยา่ งถกู ต้องหรือไม่ ในระบบ เศรษฐกิจแบบตลาดทเ่ี ป็ นกระแสหลกั มกั จะพบวา่ ภาวะความขาดแคลนซงึ่ เป็ นปัจจยั หลกั นนั้ ไมไ่ ด้สะท้อนลงไปยงั ระดบั ราคา จงึ อาจจะกลา่ ว ได้วา่ มีผลกระทบภายนอกของต้นทนุ ด้วยเหตทุ ีร่ ะบบเศรษฐกจิ แบบตลาดจะทานายวา่ สนิ ค้าทมี่ ีการขาดแคลนแตม่ รี าคาตา่ กวา่ ปกติ จะถกู บริโภคมากเกินพอดี (ให้ดู ต้นทนุ ทางสงั คม) นจ่ี ึงเป็ นทมี่ าของทฤษฎีสนิ ค้าสาธารณะ
ความลม้ เหลวของตลาด 6 การท่ี \"ตลาดลม้ เหลว\" น้นั หมายความวา่ เกิดอุปสรรคที่ขดั ต่อสมมติฐานทางเศรษฐศาสตร์ข้ึน แมว้ า่ อาจจะมีการแบ่งประเภท ความลม้ เหลวของตลาดแตกตา่ งกนั ไป แต่อาจหมายรวมถึงประเภทเหล่าน้ี สารสนเทศอสมมาตร (information asymmetry) และตลาดไม่สมบูรณ์ อาจก่อใหเ้ กิดความไม่มีประสิทธิภาพของระบบ เศรษฐกิจ หรือเป็นไปไดท้ ่ีอาจจะนาไปสู่การพฒั นาประสิทธิภาพผา่ นตลาด, กฎหมาย และการชดเชยทางดา้ นระเบียบ ขอ้ บงั คบั การผกู ขาดตามธรรมชาติ อนั เนื่องมาจากความลม้ เหลวในการแข่งขนั ซ่ึงอธิบายไดว้ า่ ตน้ ทุนการผลิตยง่ิ ต่าลงเรื่อย ๆ หากผลิตสินคา้ น้นั เพิม่ เศรษฐศาสตร์มหภาค เศรษฐศาสตร์มหภาคน้นั จะพจิ ารณาระบบเศรษฐกิจในภาพรวมเพอ่ื อธิบายอปุ สงค-์ อปุ ทานมวลรวมและความสมั พนั ธ์ในลกั ษณะ \"บนลงลา่ ง\" กล่าวคือ ใชท้ ฤษฎีดุลยภาพทวั่ ไปอยา่ ง ง่ายในการอธิบาย ไมว่ า่ จะเป็ น รายได้ ประชาชาติ, ผลผลิตประชาชาติ, อตั ราการวา่ งงาน, ภาวะเงินเฟ้ อ ยอ่ ย ลงมากไ็ ดแ้ ก่ การบริโภคโดยรวม, การลงทุนและองคป์ ระกอบของการ ลงทุน นอกจากน้ี เศรษฐศาสตร์มห ภาคยงั ทาการศึกษาผลกระทบของ นโยบายการเงินและนโยบายการคลงั ในการจะอธิบายหวั ขอ้ ดงั กลา่ วน้นั จาเป็นตอ้ งจาลองภาพระบบเศรษฐกิจระดบั มหภาคในรูปแบบที่สามารถทาความเขา้ ใจไดง้ ่าย โดยใช้ แบบจาลองทางเศรษฐศาสตร์มหภาค ซ่ึงบรรยายตวั ระบบโดยคร่าว ๆ เพอื่ ประโยชนใ์ นการอภิปราย แบบจาลองดงั กล่าวอาจมีรูปแบบแตกต่าง กนั ไป ไมว่ า่ จะเป็น แผนภาพ, สมการ, การเปรียบเปรยในเชิงเทคนิค, ตารางเลออนเทียฟ เป็ นตน้ นบั ต้งั แตช่ ่วงทศวรรษ 1960 เป็นตน้ มา เศรษฐศาสตร์มหภาคไดเ้ ร่ิมผนวกเอาแนวคิดแบบจาลองเศรษฐศาสตร์จุลภาคเขา้ มาใช้ ท้งั ในแง่ของ ภาคการผลิต, รวมเอาความมีเหตมุ ีผลของตวั ประกอบในระบบเศรษฐกิจ, การใชข้ อ้ มูลสารสนเทศอยา่ งมีประสิทธิภาพ และการแขง่ ขนั แบบไม่ สมบูรณ์ ซ่ึงไดแ้ กป้ มประเดน็ ท่ีเกี่ยวกบั ความแตกตา่ งระหวา่ งเศรษฐศาสตร์ท้งั สองแขนง การวเิ คราะห์ในดา้ นเศรษฐศาสตร์มหภาคนอกจากน้ียงั คานึงถึงปัจจยั ต่าง ๆ ท่ีมีผลกระทบตอ่ ระดบั ความเติบโตในระยะยาวของรายได้ ประชาชาติ อนั ไดแ้ ก่ การสะสมทุน, การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และการขยายตวั ของกาลงั แรงงาน
ควำมเตบิ โตทำงเศรษฐกจิ 7 เศรษฐศาสตร์ดา้ นความเติบโตทางเศรษฐกิจน้นั มุ่งเนน้ ศึกษาปัจจยั ที่อธิบายความเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือคือ การเพ่มิ ข้ึนของผลผลิตต่อหวั ของประเทศในระยะยาว ปัจจยั ดงั กล่าวกย็ งั ใชใ้ นการอธิบายความแตกต่างระหวา่ ง ระดบั ผลผลิตต่อหวั ระหวา่ งประเทศอีกดว้ ย โดยเฉพาะวา่ ทาไมบางประเทศเติบโตไดร้ วดเร็วกวา่ ประเทศอ่ืน ๆ หรือวา่ บางกลุ่มประเทศมีแนวโนม้ เติบโตเทา่ ทนั กนั หรือไม่ เป็นตน้ ปัจจยั ท่ีมีการวจิ ยั ศึกษาค่อนขา้ งมากกไ็ ดแ้ ก่ อตั ราการลงทุน, การเติบโตของประชากร และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ท้งั หมดน้ีมีปรากฏท้งั ในรูปทฤษฎีและผลการศึกษาเชิงประจกั ษ์ ท้งั ในแบบจาลองคลาสสิกใหม,่ แบบจาลองการเติบโตภายใน (endogeneous growth) และในการบนั ทึกบญั ชีการเติบโต (growth accounting) วฏั จกั รธุรกิจ ในช่วงท่ีเกิดวกิ ฤติเศรษฐกิจราวทศวรรษ 1930 น้ีเองท่ีเป็ นจุดกาเนิดใหก้ บั เศรษฐศาสตร์มหภาคท่ีแตกแขนงออกไปเป็น ศาสตร์เฉพาะทาง ระหวา่ งภาวะเศรษฐกิจตกต่าคร้ังใหญ่น้นั จอห์น เมย์ นาร์ด เคนส์ไดแ้ ตง่ หนงั สือท่ีช่ือวา่ ทฤษฎีทว่ั ไปของการจา้ งงาน, ดอกเบ้ีย และเงินตรา โดยวางรากฐานทฤษฎีหลกั ๆ ของเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ไว้ แต่ต่อมาก็มีทฤษฎีและแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มหภาคท่ีถกเถียงและ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ขอ้ ผดิ พลาดในแบบจาลองดงั กล่าว เศรษฐศาสตร์สานกั คลาสสิกใหม่ใชส้ มมติฐานวา่ ระดบั ราคาและค่าแรงน้นั ปรับตวั โดยอตั โนมตั ิเพ่อื เขา้ สู่ภาวะการจา้ งงานสมบูรณ์ ขณะท่ี เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ใหม่น้นั มองวา่ การจา้ งงานสมบูรณ์น้นั มีไดแ้ ตใ่ น ระยะยาว ดงั น้นั จึงจาเป็นตอ้ งมีนโยบายรัฐและธนาคารกลางแทรกแซง เพราะวา่ \"ระยะยาว\" ท่ีวา่ อาจจะยาวนานเกินไป จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์
ภาวะเงินเฟ้ อและนโยบายการเงิน 8 เงินตราเป็ นสื่อกลางในการชาระหน้ีสาหรับสินคา้ ในระบบเศรษฐกิจท่ีอิงราคาเป็นหลกั และยงั เป็นหน่วย ทางบญั ชีที่มกั ไวใ้ ชร้ ะบุราคา โดยเงินตรารวมถึงสกุลเงินที่ถือครองโดยสาธารณะที่ไมใ่ ช่ธนาคารและเงินฝากท่ีข้ึน เงินไดเ้ ม่ือเงินตราเป็นตวั กลางในการแลกเปล่ียนธุรกรรม เงินจึงช่วยใหก้ ารคา้ ดาเนินไปไดอ้ ยา่ งสะดวก หนา้ ท่ี ดงั กล่าวสามารถนามาเปรียบเทียบไดก้ บั ระบบแลกเปลี่ยนสินคา้ (barter) ท่ีมีขอ้ เสียหลกั คือการจบั คูผ่ ซู้ ้ือและผขู้ าย ท่ีมีความตอ้ งการตรงกนั เพราะประเภทสินคา้ มีหลากหลาย เงินตราน้นั ช่วยลดตน้ ทุนธุรกรรมของการแลกเปล่ียนลง เน่ืองจากการยอมรับที่เป็นสากลหากมองในระดบั ประเทศแลว้ ทฤษฎีและหลกั ฐานเชิงประจกั ษน์ ้นั ตา่ งลงความเห็น วา่ ปริมาณอุปทานเงินตราโดยรวมน้นั สมั พนั ธ์ในเชิงบวกกบั มูลค่าที่เป็นตวั เงินของผลผลิตโดยรวมและระดบั ราคา โดยรวม ดว้ ยเหตุน้ี การจดั การอุปสงคเ์ งินตราจึงเป็ นประเดน็ หลกั ของนโยบายการเงิน นโยบายการคลงั การจดั ทาบญั ชีประชาชาติเป็ นกรรมวธิ ีในการสรุปกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ บญั ชีประชาชาติมีลกั ษณะเป็น ระบบการบญั ชีแบบจดบนั ทึกคู่ (Double-entry accounting system) ท่ีเจาะจงรายละเอียดวธิ ีท่ีใชว้ ดั แตล่ ะรายการไวอ้ ยา่ ง ละเอียด อนั ไดแ้ ก่ บญั ชีรายไดแ้ ละผลิตภณั ฑป์ ระชาชาติ ซ่ึงระบุมลู คา่ ประเมินของรายไดแ้ ละผลผลิตต่อไตรมาสหรือต่อปี บญั ชีรายไดแ้ ละผลิตภณั ฑป์ ระชาชาติช่วยใหร้ ัฐสามารถติดตามผลการดาเนินงานของระบบเศรษฐกิจและองคป์ ระกอบ ภายในวฏั จกั รธุรกิจหรือติดตามขา้ มช่วงเวลา ขอ้ มูลเก่ียวกบั ราคาอาจช่วยใหส้ ามารถแยกแยะมลู ค่าท่ีเป็นตวั เงินออกจากมูล คา่ ที่แทจ้ ริง (Nominal vs. Real) ได้ หรือคือการปรับฐานคา่ เงินตามการเปล่ียนแปลงระดบั ราคาตามระยะเวลาที่ผา่ นไป บญั ชีประชาชาติยงั รวมเอาการวดั มูลคา่ ทุนสะสม, ความมง่ั คง่ั ของประเทศ และกระแสทุนระหวา่ งประเทศอีกดว้ ย
ความเป็นมาของวชิ าเศรษฐศาสตร์ 9 แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์มีมาต้งั แต่สมยั โบราณโดยแทรกอยใู่ นขอ้ เขียนและหนงั สือสอนศาสนาของนกั ปราชญใ์ นสมยั น้นั เช่น หลกั ปรัชญาของโซเครตีส (Socrates) เพลโต (Plato) ฯลฯ แตแ่ นวความคิดดงั กล่าวยงั ไม่ถือเป็นหลกั หรือทฤษฎีทาง เศรษฐศาสตร์ จนกระทงั่ คริสตศ์ ตวรรษท่ี 15 ซ่ึงเป็นสมยั ทกี่ ารคา้ ทางยโุ รปเจริญรุ่งเรืองมาก ไดเ้ กิดลทั ธิพาณิชยน์ ิยม (mercantilism) หรือพวกท่ีนิยมการทาการคา้ นกั พาณิชยน์ ิยมมีความเช่ือวา่ ประเทศจะมีความมนั่ คงทางเศรษฐกิจก็ต่อเม่ือ ประเทศน้นั ๆขายสินคา้ ขาออกใหต้ ่างประเทศเป็ นมูลคา่ มากกวา่ การซ้ือสินคา้ ขาเขา้ หรือกล่าวอีกนยั หน่ึงคือเศรษฐกิจของ ประเทศจะมน่ั คงกต็ ่อเมื่อประเทศน้นั มีดุลการคา้ ท่ีเกินดุล ท้งั น้ี เพราะเห็นวา่ การท่ีประเทศมีดุลการคา้ เกินดุลทาใหม้ ีทองคา และเงินตราไหลเขา้ ประเทศมากๆจะเป็นการส่งเสริมการจา้ งงานภายในประเทศ เน่ืองจากเม่ือประเทศมีปริมาณเงินหมุนเวยี น มากจะทาใหก้ ารคา้ เจริญ เมื่อการคา้ เจริญการผลิตยอ่ มเพ่ิมข้ึนตาม ส่งผลใหเ้ กิดการวา่ จา้ งแรงงานเพิ่มข้ึนในท่ีสุด ประชาชน จะมีความอยดู่ ีกินดีเน่ืองจากมีงานทาและมีรายไดเ้ พ่มิ ข้ึน นอกจากน้ี นกั พาณิชยน์ ิยมยงั มีความเชื่อวา่ การที่ประเทศจะมงั่ คงั่ คือมีดุลการคา้ ที่เกินดุลน้นั รัฐจะตอ้ งเขา้ มามีบทบาทในการแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในดา้ นการคา้ กบั ต่างประเทศ กล่าวคือ รัฐจะตอ้ งส่งเสริมใหม้ ีการส่งออกใหม้ ากพร้อมกบั ใหม้ ีการจากดั การนาเขา้ สินคา้ จากต่างประเทศ รัฐจะ เป็นผกู้ าหนดนโยบายการคา้ และนโยบายดา้ นเศรษฐกิจอ่ืนๆ โดยเอกชนเป็ นผดู้ าเนินการตามนโยบายของรัฐ กล่าวโดยสรุป แนวความคิดของลทั ธิพาณิชยน์ ิยมไม่สนบั สนุนแนวความคิดของระบบเศรษฐกิจแบบเสรี แต่เป็ นลทั ธิที่ สนบั สนุนใหร้ ัฐบาลมีบทบาทในการควบคุมและแทรกแซงกิจกรรมทาง เศรษฐกิจ โดยพยายามทาใหป้ ระเทศมีดุลการคา้ ท่ี เกินดุลมากๆแลว้ เศรษฐกิจของประเทศจะมงั่ คง่ั ประชาชนจะมีความเป็นอยทู่ ่ีดีข้ึน
ต่อมาในคริสตศ์ ตวรรษที่ 18 10 อดมั สมิท (Adam Smith) ศาสตราจารยแ์ ห่งมหาวทิ ยาลยั กลาสโกว์ ซ่ึงเป็นแกนนาของนกั เศรษฐศาสตร์สานกั คลาสสิก (classical school) ไดเ้ ขียนหนงั สือช่ือ An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations หรือที่นิยมเรียกส้ันๆวา่ The Wealth of Nations ใน ค.ศ. 1776 นบั ไดว้ า่ เป็ นตาราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกและยงิ่ ใหญ่ท่ีสุด เล่มหน่ึงของโลกมาจนถึง ปัจจุบนั ซ่ึงทาใหอ้ ดมั สมิทไดร้ ับการยอมรับและยกยอ่ งใหเ้ ป็น บิดาแห่งวชิ าเศรษฐศาสตร์ แนวคิดหลกั ของสานกั คลาสสิก สนบั สนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (laissez-faire) โดยจากดั บทบาทของรัฐบาลในดา้ นเศรษฐกิจเพราะมีความเช่ือวา่ ระบบ เศรษฐกิจแบบเสรีนิยม จะทาใหป้ ระเทศพฒั นาไปไดด้ ว้ ยดี เศรษฐกิจของประเทศจะมีความมง่ั คงั่ กต็ อ่ เม่ือรัฐบาลแทรกแซง หรือมีบทบาทในกิจกรรมทางเศรษฐกิจใหน้ อ้ ยที่สุด (ไมแ่ ทรกแซงเลยดีท่ีสุด) รัฐบาลมีหนา้ ท่ีเพียงแต่คอยอานวยความสะดวก รักษาความสงบเรียบร้อยของบา้ นเมือง และป้ องกนั ประเทศ ปล่อยใหเ้ อกชน เป็นผดู้ าเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอยา่ งเสรี นนั่ คือ สมิทเช่ือใน พลงั งานกลไกตลาด (ราคา) หรือ ที่เขาเรียกวา่ มือท่ีมองไมเ่ ห็น (invisible hand) นอกจากสมิทแลว้ นกั เศรษฐศาสตร์ในกลุ่มของ คลาสสิกยงั มีทอมสั มลั ทสั (Thomas Multhus) เดวดิ ริคาร์โด (David Ricardo) จอห์น มิลล์ (John Mill) หลงั จากกลุ่มของสานกั คลาสสิกก็เป็นกลุ่มของสานกั นีโอคลาสสิก (neoclassical school) ซ่ึงเป็นสานกั เศรษฐศาสตร์ท่ีก่อตวั และพฒั นาข้ึนในตอนปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 แนวคิดหลกั ของสานกั นีโอคลาสสิกส่วนมากสืบตอ่ หรือดดั แปลงแกไ้ ขมา จากแนวคิดของสานกั คลาสสิก โดยเชื่อวา่ การแข่งขนั อยา่ งเสรีจะเป็นแรงผลกั ดนั ใหเ้ ศรษฐกิจมีความมง่ั คงั่ นนั่ คือ สนบั สนุน แนวคิดของระบบเศรษฐกิจแบบเสรีเช่นเดียวกบั ของสานกั คลาสสิก นอกจากน้นั ยงั เนน้ ใหเ้ ห็นวา่ เนื่องจากทรัพยากรมีจานวน จากดั ดงั น้นั ผบู้ ริโภคจะตอ้ งพยายามเลือกบริโภคสินคา้ และบริการเพ่ือใหไ้ ดร้ ับความพอใจสูงสุด และเช่นเดียวกนั ผผู้ ลิต จะตอ้ งตดั สินใจเลือกวธิ ีการผลิตท่ีทาใหเ้ สียตน้ ทุนต่าท่ีสุดหรือใหไ้ ดก้ าไรสูงสุด นนั่ คือ แตล่ ะฝ่ ายจะตอ้ งพยายามใชท้ รัพยากร
11 อยา่ งคุม้ คา่ และประหยดั ที่สุด นกั เศรษฐศาสตร์ท่ีเป็ นผู้ วางรากฐานแนวคิดที่สาคญั ของสานกั นีโอคลาสสิกคืออลั เฟรด มาร์แชลล์ นอกจากน้ี ยงั มีเลอง วาลรา ( Walras) วลิ เฟรโด พาเรโต (Vilfredo Pareto) ฯลฯ นอกจากน้ี นกั เศรษฐศาสตร์ของท้งั สานกั คลาสสิกและนีโอคลาสสิกต่างมีความเชื่อวา่ อุปทานจะเป็ นตวั สร้างอุปสงค์ (supply creates its own demand) ซ่ึงแนวคิดดงั กล่าวเป็ นที่รู้จกั กนั วา่ คือ กฎของเซย์ (Say's law) ซ่ึงมีสาระสาคญั วา่ อุปทานจะเป็น ตวั กระตุน้ ใหเ้ กิดอุปสงค์ กล่าวคือ ไมว่ า่ ผผู้ ลิตจะผลิตสินคา้ หรือบริการอะไรออกมาก็จะมีผรู้ ับซ้ืออยตู่ ลอดเวลา นน่ั คือ จะไม่ เกิดภาวะสินคา้ ลน้ ตลาด ภาวะเศรษฐกิจตกต่า หรือเกิดการวา่ งงาน ซ่ึงต่อมาแนวความคิดน้ีไมต่ รงกบั ความเป็นจริง เนื่องจาก เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่าอยา่ งรุนแรง เกิดปัญหาการวา่ งงานจานวนมากใน ค.ศ. 1930 ซ่ึงกฎของเซยไ์ มส่ ามารถอธิบาย ปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดข้ึนดงั กล่าวได้ ในขณะน้นั จอห์น เคนส์ (John Keynes) แกนนาแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์สานกั เคนส์ (Keynesian Economics) ไดเ้ ขียน หนงั สือช่ือ The General Theory of Employment, Interest and Money ซ่ึงถือวา่ เป็ นตาราเศรษฐศาสตร์มหภาคเล่มแรก ของโลก ใน ค.ศ. 1936 เพ่ืออธิบายถึงสาเหตุของภาวะสินคา้ ลน้ ตลาด เศรษฐกิจตกต่า และการวา่ งงานจานวนมากตลอดจน วธิ ีการแกไ้ ข นบั เป็นคร้ังแรกของวงการเศรษฐศาสตร์ท่ีไดม้ ีการศึกษาเศรษฐศาสตร์โดยรวมของท้งั ระบบเศรษฐกิจหรือของ ท้งั ประเทศ เคนส์มีความเชื่อวา่ แนวความคิดที่ถูกตอ้ งคืออุปสงคจ์ ะเป็นตวั กาหนดอุปทาน ซ่ึงตรงขา้ มกบั กฎของเซย์ โดยอุป สงคแ์ ละอุปทานดงั กล่าวเป็นตวั มวลรวมของท้งั ประเทศ เคนส์อธิบายวา่ สาเหตุที่ทาใหเ้ กิดภาวะเศรษฐกิจตกต่าคือการที่ระบบ เศรษฐกิจมีอุปสงคม์ วลรวมนอ้ ยเกินไป ดงั น้นั วธิ ีแกไ้ ขคือการเพ่ิมอุปสงคม์ วลรวมของระบบเศรษฐกิจโดยใชน้ โยบายการเงิน การคลงั จะเห็นไดว้ า่ เคนส์เป็ นนกั เศรษฐศาสตร์คนแรกของโลกท่ีกล่าวถึงหรือใหค้ วามสนใจกบั เศรษฐกิจมวลรวม อนั เป็ น มูลเหตุท่ีทาใหม้ ีการแยกศึกษาวชิ าเศรษฐศาสตร์ออกเป็ น 2 ภาค คือ ภาคเศรษฐกิจส่วนยอ่ ยซ่ึงเรียกวา่ เศรษฐศาสตร์จุลภาค กบั ภาคเศรษฐกิจส่วนรวมซ่ึงเรียกวา่ เศรษฐศาสตร์มหภาค และยกยอ่ ง ใหเ้ คนส์เป็น บิดาของวชิ าเศรษฐศาสตร์มหภาค
คริสตศ์ ตวรรษที่ 18 ลทั ธิพาณิชยน์ ิยม (Mercantilism) คอ่ ยๆเส่ือม 12 ประวตั ิ ลทั ธิพาณิชยนิยม (องั กฤษ: Mercantilism) เป็นนโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติท่ีออกแบบมาเพอ่ื เนน้ การส่งออก มากกวา่ นาเขา้ นโยบายน้ีมีจุดประสงคเ์ พ่ือลดการขาด ดุลบญั ชีเดินสะพดั หรือใหเ้ กินดุล ลทั ธิพาณิชยนิยมยงั รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติท่ีมีจุดประสงค์ เพอ่ื ใหม้ ีทุนสารองระหวา่ งประเทศจากการไดเ้ ปรียบ ดุลการคา้ โดยเฉพาะสินคา้ สาเร็จรูป ในประวตั ิศาสตร์ นโยบายน้ีมกั นาไปสู่สงครามและผลกั ดนั ใหเ้ กิดการ ขยายอาณานิคม ลทั ธิพาณิชยนิยมมีบทบาทในยโุ รปสมยั ใหม่ต้งั แต่คริสตศ์ ตวรรษท่ี 16 ถึง 18 หรือยคุ ก่อนอุตสาหกรรม (proto-industrialization) ก่อนท่ี จะเส่ือมไป แมว้ า่ มีผอู้ อกความเห็นวา่ ยงั คงมีอยใู่ นเศรษฐกิจ ประเทศอุตสาหกรรม ในรูปแบบของการแทรกแซงทางเศรษฐกิจ (economic interventionism)
เกิดการปฏิวตั ิอุตสาหกรรม 13 (ค.ศ. 1750 - ค.ศ. 1850) ในยุโรป เริ่มจากองั กฤษ (ตรงกบั ราชวงศช์ ิง ตอน ปลาย ค.ศ. 1644-1911) ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ แต่ตามหลกั ฐานท่ีคน้ พบ ใหม่ เร่ิมมีการปฏิวตั ิอุสาหกรรม ในราชวงศห์ มิงของจีน (ตรงกบั สมยั อยธุ ยา ค.ศ. 1368-1644) เคร่ืองทอผา้ ถูกประดิษฐข์ ้ึนคร้ังแรกในโลก หวั ใจ ของการปฏิวตั ิอุตสาหกรรม คือ เครื่องจกั ร เคร่ืองจกั รจะอยใู่ นบา้ นไมไ่ ด้ จึงตอ้ งมี โรงงาน เมื่อมีเครื่องจกั ร ก็ผลิตไดจ้ านวนมาก เรียกวา่ การผลิต จานวนมาก (Mass Production) เม่ือมีผลผลิตจานวนมาก จึงตอ้ งใช้ ทรัพยากร (resource) ป้ อนเขา้ สู่โรงงานมากข้ึน (ทรัพยากร คือ อะไรก็ตามบนโลกที่มนุษย์ มีมนั ได้ เช่น เวลา เงิน ผา้ เหลก็ ฯลฯ) เมื่อใชท้ รัพยากรเยอะ ทรัพยากรในโลกเร่ิม ลดลง มนุษยจ์ ึงคิดวา่ ทาอยา่ งไรจะทาใหม้ นั “พอ”
ควำมสำคญั ของวชิ ำเศรษฐศำสตร์ 14 เศรษฐศาสตร์ คือ การศึกษาวธิ ีที่จะนาเอาทรัพยากรต่างๆ อนั มีอยอู่ ยา่ งจากดั ไปผลิตสินคา้ และบริการ เพ่ือสนองความตอ้ งการ ของมวลมนุษย์ ไมว่ า่ จะเป็นสินคา้ และบริการท่ีเป็นปัจจยั พ้ืนฐาน อนั ไดแ้ ก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยอู่ าศยั และยารักษาโรค รวมท้งั สินคา้ และบริการอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การดาเนินชีวติ ประจาวนั เช่น สินคา้ ประเภทรถยนต์ น้ามนั โทรทศั น์ กระดาษ และบริการที่เกี่ยวกบั การศึกษา การรักษาพยาบาล การขนส่ง และการท่องเที่ยว เป็นตน้ มนุษย์ ในฐานที่มนุษยม์ ีบทบาทเป็นท้งั ผบู้ ริโภคและผผู้ ลิตตามหลกั การของเศรษฐศาสตร์ ซ่ึงในบทบาทของผบู้ ริโภคกม็ ีความ ตอ้ งการสินคา้ และบริการท่ีสามารถสนองความพอใจไดส้ ูงสุดและในฐานะของผผู้ ลิตก็จะตอ้ งใชค้ วามรู้ความสามารถของ ตนเองจดั การกบั ปัจจยั การผลิตที่มีอยใู่ หเ้ กิดผลตอบแทนแก่ตนเองมากที่สุดเช่นกนั นอกจากน้ีมนุษยท์ ุกคนยงั มรบทบาทท่ี สาคญั คือ เป็ นพลเมืองของประเทศท่ีมีส่วนสาคญั ยงิ่ ต่อการพฒั นาความเจริญทางดา้ นเศรษฐกิจ ซ่ึงประชาชนทุกคนสามารถ นาความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ไปช่วยในการตดั สินใจเลือกใชท้ รัพยากรที่มีอยใู่ หเ้ กิดประโยชนอ์ ยา่ งเตม็ ท่ี ตดั สินใจเกี่ยวกบั กิจกรรมทางเศรษฐกิจอยา่ งมีหลกั เกณฑ์ ช่วยใหเ้ ขา้ ใจปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดข้ึนในบา้ งเมือง เขา้ ใจบทบาทและการดาเนิน นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น นโยบายส่งเสริมการลงทุน โยบายดา้ นการเงิน เป็นตน้ หากประชาชนมีความรู้ทางดา้ น เศรษฐศาสตร์กจ็ ะมีส่วนช่วยใหก้ ิจกรรมตา่ งๆเหล่าน้ีบรรลุ เพอ่ื ใหป้ ระชาชนอยดู่ ีกินดี มีคุณภาพชีวติ ท่ีดีข้ึนท้งั ในปัจจุบนั และ อนาคต
ดงั น้นั วชิ าเศรษฐศาสตร์จึงมีความสาคญั ดงั เหตุผลต่อไปน้ี 15 1. ทรัพยากรธรรมชาติมีอยอู่ ยา่ งจากดั จึงจาเป็นตอ้ งศึกษาเพ่อื ดาเนินการผลิตสินคา้ และบริการรวมท้งั การจดั จาหน่ายไปยงั บุคคลต่าง ๆ อยา่ งมีประสิทธิภาพ 2. ศึกษาพฤติกรรมของมนุษยใ์ นระบบเศรษฐกิจ การเรียนรู้วชิ าเศรษฐศาสตร์ จะช่วยใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจหลกั การทางาน ของระบบเศรษฐกิจไดด้ ี เขา้ ใจบทบาทและหนา้ ที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจท้งั ส่วนตวั และส่วนรวม 3. เป็นแนวทางในการแกป้ ัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน เช่น ภาวะเงินตึง ภาวะเงินฝื ด ภาวะเงินเฟ้ อ ดุลการคา้ ดุลการชาระเงิน การผกู ขาด การวา่ งงาน เป็นตน้ เพ่ือใหเ้ ศรษฐกิจมีความกา้ วหนา้
16 วิชาเศรษฐศาสตร์ยงั มีความสาคญั ต่อท้งั บุคคลและประเทศชาติในการตดั สินใจเลือกใชท้ รพั ยากรท่ีมี จากดั ใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุด ความสาคญั ของวิชาเศรษฐศาสตร์สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 ระดบั ดงั น้ี 1. ระดบั บุคคล แบ่งออกเป็น o ผบู้ ริโภค ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์จช่วยใหผ้ บู้ ริโภคสามารถตดั สินใจไดว้ า่ จะดาเนินการ อยา่ งไรในการหารายไดว้ างแผนการใชจ้ ่ายและการออมวา่ จะทาอยา่ งไรจึงจะทาใหส้ มาชิกใน ครอบครัวมีความเป็นอยทู่ ่ีดีหรือควรเลือกบริโภคสินคา้ บริการอยา่ งไรจึงจะไดร้ ับประโยชน์ สูงสุดคุม้ กบั เงินท่ีตอ้ งจ่ายไปสาหรับการซ้ือสินคา้ และบริการ o ผผู้ ลิต การผลิตสินคา้ และบริการผผู้ ลิตจาเป็นตอ้ งใชท้ รัพยากรหรือปัจจยั การผลิตท่ีมีอยอู่ ยา่ ง จากดั ความรู้ทางดา้ นเศรษฐศาสตร์จดั ช่วยใหผ้ ผู้ ลิตตดั สินใจวา่ จะใชท้ รัพยากรที่มีอยอู่ ยา่ งจากดั น้นั ปริสินคา้ และบริการอะไรดี จึงจะตรงกบั ความตอ้ งการของผบู้ ริโภคและใชก้ รรมวธิ ีการผลิต อยา่ งไร ที่จะทาใหเ้ สียตน้ ทุนการผลิตต่าท่ีสุด แต่ไดก้ าไรสูงสุดซ่ึงเป็นเป้ าหมายสาคญั ของผผู้ ลิต 2. ระดบั ประเทศ ประเทศต่างๆไม่วา่ จะร่ารวยหรือยากจนต่างกต็ อ้ งประสบปัญหาทางเศรษฐกิจดว้ ยกนั ท้งั น้นั ซ่ึงปัญหา เราน้ีต่างกม็ ีพ้นื ฐานมาจากการท่ีทรัพยากรมีร้านจากดั และไม่เพียงพอท่ีจะนามาผลิตเป็นสินคา้ และบริการเพ่ือ สนองความตอ้ งการของประชาชนไดอ้ ยา่ งครบถว้ น ดงั น้นั ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ จะช่วยรัฐบาลในการ จดั สรรทรัพยากรใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุดและช่วยประเทศชาติเม่ือตอ้ งประสบกบั ปัญหาเศรษฐกิจอ่ืนๆ เช่น ปัญหาความยากจนของประชากร ปัญหาการวา่ งงาน ปัญหาค่าครองชีพที่สูงข้ึน เป็นตน้
ประโยชนข์ องวชิ าเศรษฐศาสตร์ 17 1. วชิ าเศรษฐศาสตร์เป็นวชิ าที่มีความสาคญั และเป็นประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั ของทุกคนในสังคม ดงั น้นั วชิ าน้ีจึงมกั เป็นวชิ าพ้ืนฐานของการศึกษาในแขวนวชิ าต่างๆ ประโยชนข์ องวชิ าเศรษฐศาสตร์ สามารถสรุปไดด้ งั น้ี 2. ประโยชนท์ ี่เกิดกบั ผศู้ ึกษาโดยตรง ผศู้ ึกษาจะเขา้ ใจหลกั ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ เขา้ ใจภาวะเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ ทาใหป้ รับตวั เขา้ กบั เหตุการณ์การเปล่ียนแปลงไดอ้ ยา่ งดี สามารถดารงชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งมีหลกั เกณฑ์ 3. ประโยชนใ์ นฐานะผบู้ ริโภค ทาใหผ้ บู้ ริโภคตดั สินใจเลือกบริโภคสินคา้ และบริการที่ ตนไดร้ ับความ พอใจสูงสุดภายใตร้ ะดบั รายไดท้ ่ีมีอยู่ เป็นการใชท้ รัพยากรอยา่ งประหยดั คุม้ ค่าและเกิดประโยชนม์ าก ท่ีสุด นอกจากน้ีช่วยใหผ้ บู้ ริโภคเขา้ ใจการเปล่ียนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ และปรับตวั ใหท้ นั ต่อ สถานการณ์การเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึน ตลอดจนรู้จกั การออม แสวงหารายได้ และรายจ่ายอยา่ งคุม้ ค่า 4. ประโยชนใ์ นฐานะผผู้ ลิต ทาใหผ้ ผู้ ลิตตดั สินใจเลือกใชท้ รัพยากรที่มีอยอู่ ยา่ งจากดั ไปในการผลิตสินคา้ และบริการอยา่ งคุม้ ค่า ประหยดั ช่วยลดตน้ ทุนการผลิตทาใหธ้ ุรกิจไดร้ ับกาไรเพ่ิมข้ึน นอกจากน้ีช่วย ใหผ้ ผู้ ลิตเขา้ ใจการเปลี่ยนแปลงของสภาวะทางเศรษฐกิจ และปรับตวั ใหท้ นั ต่อสถานการณ์การที่ เกิดข้ึนสามารถตดั สินใจเลือกลงทุนหรือดาเนินธุรกิจไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั สถานการณ์น้นั ๆ 5. ประโยชนใ์ นฐานะรัฐบาล ทาใหผ้ บู้ ริหารเขา้ ใจลกั ษณะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ สามารถ วเิ คราะหถ์ ึงสาเหตุของปัญหาทางเศรษฐกิจและหาแนวทางแกไ้ ข โดยกาหนดออกมาเป็นแผนและ นโยบายทางเศรษฐกิจที่จะนาไปใชใ้ นการแกป้ ัญหา ใหเ้ กิดประสิทธิภาพและเกิดประโยชนส์ ูงสุดแก่ ประเทศ 6. ประโยชนใ์ นฐานะพลเมืองของประเทศ ทาใหเ้ ขา้ ใจปัญหาเศรษฐกิจท่ีเกิดข้ึนในบา้ นเมือง เขา้ ใจ บทบาท 7. ในแง่ผบู้ ริหารหรือรัฐบาล หากมีความรู้ความเขา้ ใจดา้ นเศษรฐศาสตร์เป็นอยา่ งดีจะทาใหส้ ามารถจกั ดาร ปัญหาและวางแนวทางแกไ้ ข รวมท้งั กาหนดทิศทางการพฒั นาเศษรฐกิจของประเทศไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ
ขอบข่ายของวชิ าเศรษฐศาสตร์ โดยทว่ั ไปแบ่งออกเป็น 2 สาขาใหญ่ ๆ ดว้ ยกนั คือเศรษฐศาสตร์จุลภาค และเศรษฐศาสตร์มห ภาค 18 1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics) เป็นการศึกษาทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์เก่ียวกบั กิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของหน่วยเศรษฐกิจขนาด ยอ่ ย อาทิ การศึกษาพฤติกรรมของผบู้ ริโภค ผผู้ ลิต เจา้ ของปัจจยั การผลิต หรือหน่วยธุรกิจขนาดใดขนาดหน่ึง หรือสามารถสรุปไดง้ ่ายๆ เลยวา่ เศรษฐศาสตร์จุลภาค เป็ นวชิ าท่ีศึกษาเก่ียวกบั การผลิต การบริโภคและการแลกเปล่ียน ซ่ึงทา ใหข้ อบเขตเน้ือหาสาระของเศรษฐศาสตร์จุลภาคเกี่ยวกบั เรื่องต่อไปน้ี การผลิต : หน่วยธุรกิจ, ปัจจยั การผลิต, ลาดบั ข้นั ในการผลิต, ปัญหาพ้ืนฐานของการผลิต และพฤติกรรมของผผู้ ลิต เป็นตน้ การบริโภค : พฤติกรรมของผบู้ ริโภค, แนวทางในการบริโภคใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด, สิทธิและการคุม้ ครองผบู้ ริโภค เป็นตน้ การแลกเปล่ียน : ววิ ฒั นาการหรือประเภทของการแลกเปลี่ยน, ตลาดและกลไกราคาหรือกลไกตลาด เป็นตน้ 2. เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) เป็นการศึกษาทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่ตรงกนั ขา้ มกบั เศรษฐศาสตร์จุลภาค คือ เป็นการศึกษาภาพรวมของเศรษฐกิจ โดย เรื่องที่เก่ียวกบั เศรษฐศาสตร์มหภาค ไดแ้ ก่ เศรษฐกิจระหวา่ งประเทศ : การคา้ ระหวา่ งประเทศ ดุลการคา้ ระหวา่ งประเทศ การเงินระหวา่ งประเทศ การลงทุนระหวา่ ง ประเทศ และการรวมทางเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศ เป็ นตน้ การเงิน : นิยาม ประเภทของเงิน หนา้ ที่ของเงิน มูลคา่ ของเงิน การลดค่าเงิน ปริมาณของเงิน ภาวะทางการเงิน เป็ นตน้ การธนาคาร : ธนาคารกลางแห่งประเทศ สถาบนั ทางการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนนโยบายทางดา้ น การเงิน เป็นตน้ การคลงั : บทบาทและหนา้ ท่ีของการคลงั ของประเทศ รายรับ รายจ่าย หน้ีสาธารณะ ตลอดจนนโยบายทางดา้ น การคลงั เป็นตน้ รายไดป้ ระชาชาติ : ผลิตภณั ฑม์ วลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) และผลิตภณั ฑม์ วลรวมประชาชาติ (Gross National Product: GNP) การพฒั นาเศรษฐกิจของประเทศ เป็นตน้ ถึงแมว้ า่ “ขอบข่ายของวชิ าเศรษฐศาสตร์” จะถูกแบ่งเป็น 2 สาขาใหญ่ ๆ ท่ีสามารถเห็นความแตกต่างได้ ค่อนขา้ งชดั เจน แต่ในการศึกษาวชิ าเศรษฐศาสตร์เพ่ือทาความเขา้ ใจเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั เศรษฐกิจน้นั จะตอ้ งศกึ ษาและใชท้ ้งั 2 สาขาควบคู่กนั ไป
ความรู้พ้ืนฐานในการศึกษาวชิ าเศรษฐศาสตร์ 19 ความหมายของเศรษศาสตร์ เป็นวชิ าทางสังคมศาสตร์ท่ีศึกษาเกี่ยวกบั การผลิต การกระจาย การบริโภคสินคา้ และบริการ ตามคาจากดั ความของนกั เศรษฐศาสตร์และนกั การเมือง เรยม์ อนด์ บารร์ แลว้ \"เศรษฐศาสตร์คือศาสตร์แห่งการจดั การทรัพยากรอนั มีจากดั เศรษฐศาสตร์พิจารณาถึงรูปแบบที่พฤติกรรมมนุษยไ์ ดเ้ ลือกในการบริหารทรัพยากรเหล่าน้ี อีกท้งั วเิ คราะห์และอธิบายวถิ ีท่ี บุคคลหรือบริษทั ทาการจดั สรรทรัพยากรอนั จากดั เพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการมากมายและไม่จากดั \" วชิ าเศรษฐศาสตร์จดั เป็นวชิ าเชิงปทสั ฐาน (เศรษฐศาสตร์ท่ีควรจะเป็ น) เมื่อเศรษฐศาสตร์ไดถ้ ูกใชเ้ พอื่ เลือกทางเลือกอนั หน่ึง อนั ใด หรือเม่ือมีการตดั สินคุณคา่ บางส่ิงบางอยา่ งแบบอตั วสิ ัย ในทางตรงขา้ มเราจะเรียกเศรษฐศาสตร์วา่ เป็ นวชิ าเชิงบรรทดั ฐาน (เศรษฐศาสตร์ตามที่เป็ นจริง) เมื่อเศรษฐศาสตร์น้นั ไดถ้ ูกใชเ้ ป็นเครื่องมือในการทานายและอธิบายถึงผลลพั ธท์ ่ีตามมา เม่ือมีการเลือกเกิดข้ึน โดยพจิ ารณาจากสมมติฐาน และชุดของขอ้ มลู สังเกตการณ์ ทางเลือกใดกต็ ามท่ีเกิดจากการใช้ สมมติฐานสร้างเป็ นแบบจาลอง หรือเกิดจากชุดขอ้ มลู สังเกตการณ์ที่สมั พนั ธ์กนั น้นั ก็เป็นขอ้ มูลเชิงบรรทดั ฐานดว้ ย เช่นเดียวกนั เศรษฐศาสตร์จะใหค้ วามสนใจกบั ตวั แปรที่สามารถวดั คา่ ไดเ้ ท่าน้นั โดยสาขาของวชิ าเศรษฐศาสตร์จะถูกจาแนกออกตาม เน้ือหาเป็นสองสาขาใหญ่ ๆ คือ เศรษฐศาสตร์จุลภาค ซ่ึงสนใจพฤติกรรมขององคป์ ระกอบพ้ืนฐานในระบบเศรษฐกิจซ่ึงรวมถึง ตลาดแตล่ ะตลาดและตวั แทน ทางเศรษฐกิจ (เช่นครัวเรือน หน่วยธุรกิจ ผซู้ ้ือ และผขู้ าย) เศรษฐศาสตร์มหภาค จะสนใจเศรษฐกิจในภาพรวม ตวั อยา่ งเช่น อุปทานมวลรวมและอุปสงคม์ วลรวม การวา่ งงาน เงินเฟ้ อ การเติบโตของเศรษฐกิจ นโยบายการเงินและนโยบายการคลงั เป็นตน้ นอกจากน้ียงั สามารถจาแนกออกตามการวเิ คราะห์ปัญหาไดแ้ ก่ เศรษฐศาสตร์วเิ คราะห์ หรือเศรษฐศาสตร์ตามความเป็นจริง (Positive economics) เศรษฐศาสตร์นโยบาย หรือเศรษฐศาสตร์ตามที่ควรจะเป็ น (Normative economics)
20 เศรษฐศาสตร์ หมายถึง ศาสตร์หรือวชิ าที่เกี่ยวขอ้ งกบั วธิ ีการนาทรัพยากรซ่ึงมีอยจู่ ากดั มากระทาใหเ้ กิดสินคา้ และบริการ เพอื่ สนองความตอ้ งการของมนุษยซ์ ่ึงมีอยไู่ ม่จากดั เพื่อใหเ้ ราสามารถเขา้ ใจความหมายของเศรษฐศาสตร์ไดช้ ดั เจนมากยิง่ ข้ึน จึง ควรศึกษาและทาความเขา้ ใจในเรื่อง ทรัพยากร สินคา้ และบริการ และความตอ้ งการ ซ่ึงเกี่ยวพนั กบั เศรษฐศาสตร์อยา่ งใกลช้ ิด ดงั น้ี 1. ทรัพยากร ในท่ีน้ีความหมายครอบคลุมถึง ทรัพยากรมนุษย์ ซ่ึงมายถึงแรงงาน ทรัพยากรเกิดข้ึนตามธรรมชาติ เช่น ที่ดิน แม่น้า ลาคลอง แร่หินต่างๆ และทรัพยากรซ่ึงมนุษย์ เป็นผสู้ ร้างข้ึน เช่น เคร่ืองจกั ร เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ อุปกรณ์ต่างๆ 2.สินคา้ และบริการ หมายถึงส่ิงท่ีเกิดข้ึนจากการผลิตโดยอาจเป็ นสิ่งที่จบั ตอ้ งไดแ้ ละไมไ่ ด้ เนื่องจากสินคา้ และบริการเป็นสิ่งที่ เกิดข้ึนจากกาผลิต จึงอาจจะเรียกวา่ ผลผลิต 3.ความตอ้ งการ หมายถึง ความอยากไดห้ รืออยากเป็ นเจา้ ของสิ่งใดส่ิงหน่ึง ความตอ้ งการของมนุษยม์ ีหลายลกั ษณะ บาง ลกั ษณะเป็นความตอ้ งการที่ไม่สิ้นสุด เช่น ตอ้ งการมีบา้ น มีรถยนต์ มีโทรทศั น์ เม่ือมีแลว้ ความตอ้ งการก็อาจไมห่ มดไป แต่ตอ้ งการท่ีจะมีบา้ นหลงั ใหญม่ ากกวา่ เดิม ตอ้ งการมีรถยนต์ เพมิ่ อีก 1 คนั ความเป็นมาของวชิ าเศรษฐศาสตร์ แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มีมาต้งั แต่สมยั โบราณแลว้ นกั ปราชญส์ มยั โบราณพยายามสอดแทรกแนวความคิดและกฎเกณฑท์ าง เศรษฐศาสตร์ปะปนอยใู่ นหลกั ปรัชญา ศาสนา ศีลธรรมและหลกั ปกครอง แต่ความคิดเหล่าน้ียงั ไม่ถือเป็นทฤษฎีทาง เศรษฐศาสตร์ เช่น แนวคิดเร่ืองการแบง่ งานกนั ทาของเพลโต (Plato) แนวคิดเร่ืองความมงั่ คง่ั ของอริสโตเติล (Aristotle) เป็ นตน้ ในคริสตศ์ ตวรรษที่ 18 ไดม้ ีนกั เศรษฐศาสตร์ชาวองั กฤษบุคคลแรกท่ีวางรากฐานวชิ าเศรษฐศาสตร์ คือ อาดมั สมิธ (Adam Smith) ไดเ้ ขียนตาราทางเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของโลก ซ่ึงมีชื่อค่อนขา้ งยาววา่ “An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations” หรือเรียกส้นั ๆวา่ “The Wealth Nations” (ความมง่ั คงั่ แห่งชาติ) ตีพิมพค์ ร้ังแรกเมื่อ ค.ศ.1776 โดยเสนอความคิดวา่ รัฐบาลท่ีเขา้ มา บริหารประเทศควรเขา้ แทรกแซงการผลิตและการคา้ ใหน้ อ้ ยท่ีสุด โดยยนิ ยอมให้เป็นภาระหนา้ ท่ีของเอกชน ท้งั น้ีเป็ นการ สะทอ้ นถึงแนวความคิดแบบเสรีนิยมหรือส่งเสริมระบบเศรษฐกิจแบบเสรี จากหนงั สือของอาดมั สมิธ ดงั กล่าวถือเป็นตาราทางเศรษฐศาสตร์ที่สาคญั เล่มแรกของโลก และตวั เขาไดร้ ับการยกยอ่ งให้ เป็น “บิดาแห่งวชิ าเศรษฐศาสตร์” ในสมยั ต่อมา ทศั นะและขอ้ เขียนของอาดมั สมิธ ไดเ้ ขา้ มามีอิทธิพลอยา่ งมากต่อวชิ า เศรษฐศาสตร์ แตภ่ ายหลงั แนวคิดเร่ืองนโยบายเสรีนิยมไดร้ ับการวพิ ากษว์ จิ ารณ์อยา่ งมาก โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจ โลกตกต่าขนานใหญใ่ นช่วงปี 1930 ไดส้ ่งผลใหค้ วามถือท่ีมีต่อความสามารถของกลไกตลาดลดลงมาก ท้งั น้ีเพราะเกิดการ วา่ งงานอยา่ งมากและติดต่อกนั เป็นเวลานาน โดยท่ีนโยบายเสรีนิยมไมส่ ามารถแกป้ ัญหาท่ีเกิดข้ึนได้
กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 19 21 เกิดลทั ธิคอมมิวนิสต์ โดย คาร์ล มาร์กซ์ (Carl Marx) เป็นผปู้ ระกาศลทั ธิน้ี Das Kapital เป็นหนงั สือสาคญั ของคาร์ล มาร์กซ์ กล่าวถึงวธิ ีการขดู รีดของ นายทุนจากกรรมกร และแนวคิดเร่ืองการเป็นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิร่วมกนั และ แบง่ ผลประโยชน์อยา่ งเสมอภาคปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 อลั เฟรด มาร์แชล (Alfred Marshall) ไดเ้ สนอทฤษฎีวา่ ดว้ ยการผลิต (Theory of the Firm) ซ่ึง ต่อมากลายเป็นท่ีมาของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคในปี 1954 จอห์น เมย์ นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) ซ่ึงเป็นนกั เศรษฐศาสตร์ที่มีบทบาทอยา่ งมากท้งั ในวงการวชิ าการและกระบวนการกาหนด นโยบายขององั กฤษ ไดเ้ ขียนหนงั สือชื่อ “The General Theory of Employment, Interest and Money” หรือเรียกส้ันๆวา่ “The General Theory” เน้ือหาภายในหนงั สือเล่มน้ีขดั แยง้ กบั เศรษฐศาสตร์รุ่นก่อนๆ ในเรื่องกลไกตลาด ที่ไม่สามารถทางานไดด้ ีพอ สาหรับการแกไ้ ขปัญหาการวา่ งงานและปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่าที่เกิดข้ึน ดงั น้นั รัฐจึงควรถือเป็ นหนา้ ท่ีท่ีตอ้ งแทรกแซง เพื่อการกระตุน้ ใหเ้ ศรษฐกิจกระเต้ืองข้ึนและลดการวา่ งงานลง โดยรัฐอาจสร้างงานให้ประชาชน เช่น การสร้างถนน สร้าง เข่ือน หรือสร้างสถานที่ทางานของรัฐ เป็ นตน้
ความสาคญั ของเศรษฐศาสตร์ 22 วชิ าเศรษฐศาสตร์ ช่วยใหม้ นุษยเ์ ขา้ ใจหรือสามารถตดั สินใจเกี่ยวกบั กิจกรรมต่าง ๆ อยา่ งเป็นระบบและมีระเบียบ รู้จกั ใช้ ประโยชน์ในการบริหารจดั การทรัพยากรใหเ้ กิดผลอยา่ งมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเป้ าหมายท่ีกาหนด การใชท้ รัพยากร อยา่ งมีประสิทธิภาพน้นั มีเป้ าหมายตา่ งกนั อนั เนื่องจากหน่วยเศรษฐกิจต่างระดบั กนั ระดบั ผบู้ ริหารประเทศ ใชว้ ชิ าเศรษฐศาสตร์ในการพิจารณาถึงการจดั สรรทรัพยากรของประเทศ ที่มีอยา่ งจากดั น้นั ใหเ้ กิด ประโยชนส์ ูงสุด เพ่ือตอบสนองความตอ้ งการพ้นื ฐานของประชาชนไดอ้ ยา่ งทว่ั ถึงและเป็นธรรม ระดบั ประชาชน ใชว้ ชิ าเศรษฐศาสตร์เพอื่ เป็ นเครื่องมือในการพิจารณาเลือกและตดั สินใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ ใน ชีวติ ประจาวนั หรือเป็นพ้นื ฐานในการตดั สินใจประกอบอาชีพ หรือ ช่วยใหเ้ ขา้ ใจเหตุการณ์หรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ของบา้ นเมืองและวธิ ีแกไ้ ขของภาครัฐบาล 1. ขอบเขตของวชิ าเศรษฐศาสตร์ แบ่งเป็น 2 สาขา 1.1 เศรษฐศาสตร์จุลภาค เป็นการศึกษา กิจกรรมทางเศรษฐกิจในส่วนยอ่ ยหรือศึกษาเฉพาะกรณีเป็นเร่ือง ๆ เช่น การข้ึนราคาสินคา้ การฟอกเงิน กฤติกรรมการบริโภค ของบุคคลในสงั คม ฯลฯ 1.2 เศรษฐศาสตร์มหภาค เป็ นการศึกษา กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เช่น รายไดป้ ระชาชาติ ผลิตภณั ฑป์ ระชาชาติ ปัญหาเงินเฟ้ อ ฯลฯ 2. หน่วยเศรษฐกิจหรือผปู้ ระกอบการหมายถึง ผดู้ าเนินการผลิตสินคา้ และบริการโดยเป็นผนู้ าปัจจยั การผลิตซ่ึงประกอบดว้ ย 2.1 ทุน Capital ทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง สินคา้ เครื่องจกั ร หรือส่ิงท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึนเพ่ือใชใ้ นการผลิต 2.2 ท่ีดิน Land หมายถึง แหล่งผลิตหรือทรัพยากรท่ีอยบู่ นดิน ใตด้ ิน และเหนือพ้ืนดิน 2.3 แรงงาน Labour หมายถึง การทางานทุกชนิดท่ีก่อใหเ้ กิดสินคา้ และบริการ แรงงานน้ีรวมถึง แรงงานดา้ น การใชก้ าลงั กายและกาลงั ความคิดของมนุษย์ อนั ก่อใหเ้ กิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจดว้ ย 2.4 การประกอบการ Enterpreneurship หมายถึงผผู้ ลิต ผมู้ ีหนา้ ท่ีเกี่ยวกบั การวนิ ิจฉยั โดยตรง เป็ นผใู้ หค้ วามริเริ่ม ในนโยบายตา่ งๆ หรือเปลี่ยนแปลงนโยบายในส่วนสาคญั ในอนั ท่ีจะทาให้ การผลิตดาเนินไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ 3. ปัญหาพ้ืนฐานทางการผลิต 3.1 จะผลิตอะไร 3.2 จะผลิตอยา่ งไร 3.3 จะผลิตเพื่อใคร
23 เพื่อตอบสนองความตอ้ งการของมนุษยท์ ่ีมีอยา่ งไมจ่ ากดั และสอดคลอ้ งกบั ทรัพยากรของประเทศท่ีมีอยา่ งจากดั ประเทศใด สามารถดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจแกไ้ ขปัญหาพ้นื ฐานดงั กล่าว โดยถือการกินดี อยดู่ ีของประชาชนในประเทศเป็นเกณฑ์ วดั แสดงวา่ ประเทศน้นั ประสบความสาเร็จต่อปัญหาพ้นื ฐานทางเศรษฐกิจ ประเภทของวชิ าเศรษฐศาตร์ วชิ าเศรษฐศาสตร์จดั เป็นวชิ าเชิงปทสั ฐาน (เศรษฐศาสตร์ที่ควรจะเป็ น) เมื่อเศรษฐศาสตร์ไดถ้ ูกใชเ้ พอ่ื เลือกทางเลือกอนั หน่ึง อนั ใด หรือเม่ือมีการตดั สินคุณค่าบางส่ิงบางอยา่ งแบบอตั วสิ ยั ในทางตรงขา้ มเราจะเรียกเศรษฐศาสตร์วา่ เป็ นวชิ าเชิงบรรทดั ฐาน (เศรษฐศาสตร์ตามท่ีเป็ นจริง) เม่ือเศรษฐศาสตร์น้นั ไดถ้ ูกใชเ้ ป็นเครื่องมือในการทานายและอธิบายถึงผลลพั ธ์ท่ีตามมา เม่ือมีการเลือกเกิดข้ึน โดยพิจารณาจากสมมติฐาน และชุดของขอ้ มูลสงั เกตการณ์ ทางเลือกใดก็ตามท่ีเกิดจากการใช้ สมมติฐานสร้างเป็ นแบบจาลอง หรือเกิดจากชุดขอ้ มูลสงั เกตการณ์ที่สัมพนั ธ์กนั น้นั กเ็ ป็นขอ้ มลู เชิงบรรทดั ฐานดว้ ย เช่นเดียวกนั เศรษฐศาสตร์จะใหค้ วามสนใจกบั ตวั แปรท่ีสามารถวดั ค่าไดเ้ ท่าน้นั โดยสาขาของวชิ าเศรษฐศาสตร์จะถูกจาแนกออกตาม เน้ือหาเป็นสองสาขาใหญ่ ๆ คือ เศรษฐศาสตร์จุลภาค ซ่ึงสนใจพฤติกรรมขององคป์ ระกอบพ้นื ฐานในระบบเศรษฐกิจซ่ึงรวมถึง ตลาดแตล่ ะตลาดและตวั แทน ทางเศรษฐกิจ (เช่นครัวเรือน หน่วยธุรกิจ ผซู้ ้ือ และผขู้ าย) เศรษฐศาสตร์มหภาค จะสนใจเศรษฐกิจในภาพรวม ตวั อยา่ งเช่น อุปทานมวลรวมและอุปสงคม์ วลรวม การวา่ งงาน เงินเฟ้ อ การเติบโตของเศรษฐกิจ นโยบายการเงินและนโยบายการคลงั เป็นตน้ นอกจากน้ียงั สามารถจาแนกออกตามการวเิ คราะห์ปัญหาไดแ้ ก่ เศรษฐศาสตร์วเิ คราะห์ หรือเศรษฐศาสตร์ตามความเป็ นจริง (Positive economics) เศรษฐศาสตร์นโยบาย หรือเศรษฐศาสตร์ตามที่ควรจะเป็ น (Normative economics) สาหรับประเด็นหลกั ๆ ท่ีเศรษฐศาสตร์ใหค้ วามสนใจจะอยทู่ ่ีการจดั สรรทรัพยากร การผลิต การกระจายสินคา้ การคา้ และ การแขง่ ขนั โดยหลกั การแลว้ คาอธิบายทางเศรษฐศาสตร์จะถูกนาไปประยกุ ตใ์ ชเ้ พ่อื อธิบายปัญหาท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ทางเลือก ภายใตข้ อ้ จากดั ดา้ นความขาดแคลนมากข้ึนเรื่อย ๆ หรืออาจจะเรียกไดว้ า่ มีการกาหนดมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ใหก้ บั ทางเลือก น้นั ๆ นนั่ เอง ในมหาวทิ ยาลยั และวทิ ยาลยั ธุรกิจของประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะนิยมสอนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลกั ท่ีเรียกวา่ เศรษฐศาสตร์แบบสานกั คลาสสิกใหม่ (Neo - Classical Economics) ท้งั น้ี เศรษฐศาสตร์กระแสหลกั จะวเิ คราะห์ถึง \"ความเป็ นเหตุ เป็นผล-ความเป็นปัจเจกชน-ดุลยภาพ\" ตรงกนั ขา้ มกบั เศรษฐศาสตร์ทางเลือกที่เนน้ วเิ คราะห์ \"สถาบนั -ประวตั ิศาสตร์- โครงสร้างสังคม\" เป็นหลกั
24 หน่วยเศรษฐกิจ หมายถึง บุคคลหรือองคก์ รต่าง ๆ ซ่ึงเป็นผปู้ ระกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกิจกรรมอื่น ๆ ที่ เกี่ยวขอ้ งกบั การดาเนินชีวติ ทางเศรษฐกิจ หน่วยเศรษฐกิจประกอบดว้ ย 3 กลุ่ม ใหญ่ ๆ แต่ละหน่วยมี องคป์ ระกอบ หนา้ ท่ี และเป้ าหมาย แตกต่างกนั ดงั น้ี 1. หน่วยครัวเรือน หน่วยครัวเรือน หมายถึง หน่วยเศรษฐกิจท่ีประกอบดว้ ยบุคคลต้งั แต่หน่ึงคนข้ึนไป มีการตดั สินใจในการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติหรือปัจจยั ทางดา้ นการเงินเพือ่ ใหไ้ ดป้ ระโยชนแ์ ก่ตนหรือกลุ่มตนมากท่ีสุด หน่วยครัวเรือน ประกอบดว้ ย 1) เจา้ ของปัจจยั การผลิต คือ ผมู้ ีปัจจยั การผลิตชนิดต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ที่ดิน แรงงาน ทุน และการประกอบการ ซ่ึงอาจ มีเพยี งชนิดเดียวหรือหลายชนิดกต็ าม เจา้ ของปัจจยั จะนาปัจจยั การผลิตท่ีตนมีอยใู่ หผ้ ผู้ ลิตเพอื่ ไปผลิตเป็นสินคา้ และบริการ โดยไดร้ ับค่าตอบแทนในรูปคาเช่า ค่าจา้ ง ดอกเบ้ียหรือกาไร เป้ าหมายของเจา้ ของปัจจยั การผลิต คือ รายไดส้ ุทธิสูงสุด 2) ผบู้ ริโภค คือ ผใู้ ชป้ ระโยชนจ์ ากสินคา้ และบริการเพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการของเป้ าหมายของผบู้ ริโภค คือ ความพึงพอใจสูงสุด ชิกของหน่วยครัวเรือนอาจทาหนา้ ที่ท้งั เจา้ ของปัจจยั การผลิต และเป็นผบู้ ริโภคไปพร้อม ๆ กนั อยา่ งไรกต็ ามหนา้ ท่ีของหน่วยครัวเรือนจะตอ้ งพยายามหารายไดม้ าไวส้ าหรับจบั จ่ายใชส้ อย ส่วนแหล่งท่ีมา ของรายไดข้ ้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะของกิจกรรม 2. หน่วยธุรกิจ หน่วยธุรกิจ หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ีทาหนา้ ท่ีเอาปัจจยั การผลิตต่าง ๆ มาผสมผสานผลิตเป็นสินคา้ หรือบริการแลว้ นาไปขายใหแ้ ก่ผบู้ ริโภค หน่วยธุรกิจประกอบดว้ ยสมาชิก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ผผู้ ลิตและผขู้ าย ซ่ึงหน่วยธุรกิจบางหน่วย ทาหนา้ ท่ีท้งั ผผู้ ลิตและผขู้ าย หรือทาหนา้ ที่เพียงอยา่ งเดียว เป้ าหมายของผผู้ ลิต คือ แสวงหากาไรสูงสุด หรือมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในธุรกิจน้นั หรือการมีช่ือเสียงเป็นท่ียอมรับ หรือธุรกิจมี อตั ราการเจริญเติบโตอยใู่ นอตั ราสูงข้ึนเร่ือย ๆ เป็นตน้ 3. หน่วยรัฐบาล หน่วยรัฐบาล หมายถึง หน่วยงานของรัฐ หรือส่วนราชการต่าง ๆ ที่จดั ต้งั เพื่อดาเนินการของรัฐบาล มีหนา้ ท่ี เช่ือมความสมั พนั ธก์ บั หน่วยอื่น ๆ ในระบบเศรษฐกิจ ซ่ึงบทบาท หนา้ ท่ี ความสัมพนั ธ์ดงั กล่าวจะมีมากนอ้ ย เพยี งใดข้ึนอยกู่ บั ระบบเศรษฐกิจถา้ เป็นระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
25 บทบาทหนา้ ที่ของหน่วยรัฐบาลโดยเฉพาะทางดา้ นเศรษฐกิจจะมีค่อนขา้ งจากดั แต่ถา้ เป็นระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมหรือ แบบคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจะมีบทบาทคอ่ นขา้ งมาก อยา่ งไรกต็ ามบทบาทหนา้ ที่ของหน่วยรัฐบาล พอสรุปไดด้ งั น้ี 1) เป็นท้งั ผผู้ ลิต ผบู้ ริโภค และเจา้ ของปัจจยั การผลิตในระบบเศรษฐกิจ 2) อานวยความสะดวกในดา้ นปัจจยั พ้นื ฐาน เช่น บริการดา้ นสาธารณูปโภค (บริการไฟฟ้ า น้าประปา โทรศพั ท์ ฯลฯ) และสาธารณูปการ (การซ่อม สร้าง บารุงถนน ฯลฯ) ใหแ้ ก่ประชาชน 3) จดั หารายไดโ้ ดยการเก็บภาษีจากประชาชน เพอ่ื ไวใ้ ชจ้ ่ายในการบริหารและพฒั นาประเทศ 4) รักษาความสงบเรียบร้อยของบา้ นเมือง ระงบั และตดั สินขอ้ พิพาทและป้ องกนั ประเทศ ปัญหาพ้ืนฐานทางเศรษฐกิจ เนื่องจากทรัพยากรมีจานวนจากดั ไม่เพยี งพอท่ีจะบาบดั ความตอ้ งการทุกอยา่ งของทุกคนในสงั คมได้ ดงั น้นั ทุก สงั คมจึงตอ้ งประสบกบั ปัญหาอยา่ งเดียวกนั คือ ผลิตอะไร ผลิตอยา่ งไร และผลิตเพ่อื ใคร ซ่ึงรวมเรียกวา่ ปัญหา พ้นื ฐานทางเศรษฐกิจ 1. ปัญหาผลิตอะไร (What) เป็นปัญหาการตดั สินใจวา่ ควรจะผลิตสินคา้ อะไร ผลิตเป็ นจานวนเท่าไร ปัญหาน้ีเกิดจาก ทรัพยากรการผลิตมีจากดั จึงตอ้ งเลือกผลิตเฉพาะท่ีจาเป็ น 2. ปัญหาผลิตอยา่ งไร (How) เป็นการพิจารณาวา่ จะผลิตสินคา้ และบริการดว้ ยเทคนิคการผลิตแบบไหนและใชป้ ัจจยั การผลิตอะไรบา้ ง แต่ละชนิดใชเ้ ป็นสดั ส่วนเทา่ ไร จึงจะมีประสิทธิภาพมากท่ีสุดหรือเสียตน้ ทุนต่าท่ีสุด 3. ปัญหาผลิตเพือ่ ใคร (For Whom) เป็นการพจิ ารณาวา่ สินคา้ และบริการท่ีผลิตไดจ้ ะจดั สรรใหแ้ ก่บุคคลหรือกลุ่ม บุคคลใดในสงั คม ดว้ ยวธิ ีการอยา่ งไร
บรรณำนุกรม https://th.wikipedia.org/wiki/ British Pathé
จดั ทำโดย นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษำตอนปลำยปี 4 ห้อง 6 นำยธนวฒั น์ สถติ สำรทอง เลขท่ี 1 นำยธัชชัย ม่วงมี เลขท่ี 3 นำยอคั รพล ปัตภี เลขที่ 4 นำยชินโชติ จติ กำง เลขท่ี 6 นำยปภำวนิ สังข์สิงห์ เลขที่ 8 นำงสำวเบญจวรรณ ห้วยจันทร์ เลขท่ี 19 นำงสำวชนิดำภำ ปรำนกระโทก เลขท่ี 17 เสนอ คุณครู ณฐั รินีย์ สมนึก
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: