สรปุ งาน E-Book นายจามร แจม่ เกิด รหัสนสิ ิต 61170128 สาขา การบริหารการศึกษา มหาวทิ ยาลยั พะเยา วทิ ยาเขตเชียงราย
สรุปผลการเข้าร่วมโครงการอบรม การเขียนบทความวชิ าการและบทความวจิ ยั เพื่อตีพมิ พใ์ นวารสารระดบั ชาติและระดบั นานาชาติ สาหรับนิสิตระดบั บณั ฑิตศึกษา โดย รองศาสตราจารย์ ดร.เสมอ ถานอ้ ย วนั ที่ 31 สิงหาคม 2562 ณ อาคารเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลยั พะเยา
วิธีการเผยแพรง่ านวิจยั ก่อนที่จะเริ่มเขียนบทความ มี 2 สิ่งที่สาคัญทคี่ วรทา คือ การกาหนดรากฐานสาหรับกระบวนการทั้งหมด ไดแ้ ก่ กาหนดสมมตฐิ านและวตั ถุประสงค์ (สิ่งเหลา่ นี้จะอย่ใู น บทนา) ทบทวนวรรณกรรมท่เี ก่ยี วขอ้ งกับหัวข้อและเลือก เอกสารทส่ี ามารถอ้างถงึ ในบทความ (สิง่ เหล่านี้จะถกู ระบุไวใ้ นเอกสารอา้ งอิง) (ทีส่ าคญั โปรดทราบว่า ผู้จัดพมิ พแ์ ตล่ ะรายมแี นวทางและการตง้ั คา่ ตามสไตลข์ องตวั เอง ดังน้นั จึงควรอา่ นคู่มอื ผจู้ ดั พิมพ์) มนั หมายถึงอะไร? Introduction (บทนา) : คณุ /คนอื่นทาอะไร? ทาไมคุณถึง ทามัน? Methods (วิธีการ) : คุณทามันอย่างไร? Results (ผลลัพธ)์ : คุณพบอะไรอะไร? Discussion (การอภิปรายผล) : ทงั้ หมดมันหมายถึง อะไร?
11 ขั้นตอนในการจดั ระเบียบต้นฉบบั สามารถทาได้ ดงั น้ี 1.เตรียมตัวเลขและตาราง “ตัวเลข 1 ตัว มีค่า 1,000 คา” หมายความว่า การนาเสนอผลลัพธ์ด้วย ภ า พ ป ร ะ ก อ บ ตั ว เ ล ข แ ล ะ ต า ร า ง เ ป็ น วิ ธี ที่ มี ประสิทธิภาพท่ีสุด เพราะชัดเจนและเข้าใจง่าย แต่ไม่ ควรใสต่ าราง ภาพประกอบ และตวั เลขมากจนเกนิ ไป 2.เขียนวิธีการ ส่วนนี้คือตอบคาถามของวิธีการศึกษา ปญั หา ดังน้ัน ควรอธิบายข้อมูลห็นผลลัพธ์โดยละเอียด ของวิธีการ ใช้การอ้างอิงและวัสดุสนับสนุนเพื่อระบุ ข้ันตอนที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้ บทสรุปหรือการอ้างอิงที่ สาคญั เพยี งพอ 3.เขียนผลลัพธ์ ส่วนน้ีตอบคาถามว่า “คุณพบอะไร” ดังน้ัน ควรนาเสนอผลลัพธ์ท่ีมีความสาคัญสาหรับการ อภิปราย โดยข้อมูลให้เลือกลาดับตรรกะที่บอกเล่า เรื่องราวท่ีชัดเจนและทาให้เข้าใจง่าย โดยทั่วไปจะอยู่ ในลาดับเดียวกับท่ีแสดงในส่วนวิธีการ อย่ารวมการ อ้างอิงในส่วนนี้ เพราะคุณกาลังนาเสนอผลลัพธ์ของ คุณ ดังนนั้ คุณไมส่ ามารถอ้างองิ ถงึ คนอนื่ ๆ
11 ขั้นตอนในการจัดระเบยี บต้นฉบับ สามารถทาได้ ดังนี้ 4.เขียนอภิปรายผล ส่วนน้ีเป็นส่วนท่ีเขียนง่ายท่ีสุด และก็เป็นส่วนที่เขียนยากท่ีสุด เพราะเป็นส่วนที่ สาคัญท่ีสุดของบทความ ในส่วนน้ีจะต้องอภิปราย ผลให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ และในส่วนนี้คุณอาจจะ ต้องเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เผยแพร่โดยผู้อื่นกับของ คุณ (ใช้ข้อมูลอ้างอิงบางส่วนท่ีอยู่ในบทนา) โดย อย่าละเลยงานที่ไม่เห็นด้วยกับคุณ ในทางกลับกัน คุณต้องเผชิญหน้าและโน้มน้าวผู้อ่านว่าคุณถูกหรือ ดกี วา่ 5.เขียนบทสรปุ ทชี่ ดั เจน ในส่วนนี้ จะแสดงใหเ้ ห็นว่า งานก้าวหน้าไปอย่างไรจากสภาวะความรู้ในปัจจุบัน ในวารสารบางเล่มจะแยกส่วนนี้ไว้ต่างหาก วิธีการ เขียน คุณควรเขียนให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ ชัดเจน การเขียนแนะนาการทดลองในอนาคตและ ช้ีให้เห็นสิ่งที่กาลังดาเนินการอยู่ การเสนอข้อสรุป ร ะ ดั บ โ ล ก แ ล ะ ข้ อ เ ส น อ เ ฉ พ า ะ ที่ เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ วตั ถปุ ระสงค์
11 ข้นั ตอนในการจัดระเบียบต้นฉบับ สามารถทาได้ ดังนี้ 6.เขยี นบทนาทนี่ า่ สนใจ ในส่วนน้ีจะเขียนว่างานของคุณ มีประโยชน์อย่างไร มีแนวทางการแก้ปัญหาอย่างไร สิ่ง ไหนดีที่สุด อะไรคือข้อกาหนดหลัก อะไรคือความหวัง จากการทางาน เปน็ ต้น 7.เขียนบทคัดย่อ ใหเ้ ขียนบทคัดย่อเป็นลาดับสุดท้าย ถ้า บทคัดย่อดี จะส่งผลให้บรรณาธิการหรือผู้อ่านอ่านงาน ของคุณต่อไป ดังนั้น การเขียนจึงต้องเขียนให้กระชับ ที่สุด ไม่ส้ันมากหรือยาวมากจนเกินไป หลีกเลี่ยงคาที่ไม่ เป็นทางการ และข้อมูลต้องถูกต้อง ส่ิงสาคัญ คือ ใน บทคัดย่อจะไมม่ ีการอ้างอิง 8.เขียนชื่อที่กระชับและมีความหมาย ชื่อเรื่องเป็นส่ิงที่ ผู้อ่านจะสนใจเป็นอันดับแรก และชื่อเรื่องท่ีมีความ ชั ด เ จ น ยั ง ส า ม า ร ถ ท า ใ ห้ ผู้ อ่ า น ตั ด สิ น ใ จ เ ลื อ ก อ่ า น บทความนั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว การเขียนชื่อเรื่องจึงต้อง เขียนใหเ้ ฉพาะเจาะจง สะท้อนถงึ เน้ือหาได้อย่างเพียงพอ ดังน้ัน วิธกี ารเขียนช่ือเรื่องจึงต้องกระชับ ชัดเจน ไมย่ าว เกินไป หลีกเลี่ยงศัพท์ทางเทคนิคหรือไม่เป็นทางการ และตวั ย่อต่างๆ ทง้ั นเ้ี พราะต้องดึงดูดผ้อู า่ นใหม้ ากทสี่ ุด
11 ขัน้ ตอนในการจดั ระเบียบต้นฉบับ สามารถทาได้ ดงั นี้ 9.เลือกคาสาคัญสาหรับการจัดทาดัชนี การกาหนด คาสาคัญควรหลีกเลี่ยงคาที่มีความหมายกว้างและ คาที่รวมอยใู่ นชือ่ เร่ืองแลว้ วารสารบางฉบบั ตอ้ งการ ให้คาสาคัญไม่ได้มาจากช่ือวารสาร หลีกเล่ียงสิ่งท่ี ไมไ่ ด้ใช้อยา่ งกว้างขวาง ไม่เป็นทางการ เป็นต้น 10.เขียนข้อความตอบรับ คุณสามารถเขียนขอบคุณ คนที่มีส่วนร่วม เช่น บุคคลที่ให้ความช่วยเหลือด้าน เทคนิค เก่ียวกับการเขียนและการพิสูจน์อักษร ที่ สาคัญท่ีสุดคือการขอบคุณหน่วยงานท่ีระดมทุนของ คุณ ในกรณีท่ีเป็นโครงการในยุโรป อย่าลืมระบุ หมายเลขทุนหรือการอา้ งองิ 11.เขียนอ้างอิง ความผิดพลาดในการเขียนอ้างอิง เป็นปัญหาหนงึ่ ท่ีน่าราคาญทีส่ ุดสาหรับบรรณาธกิ าร คุณต้องอ้างอิงสิ่งพิมพ์ที่อยู่ในงานของคุณ แต่อย่า ทาเกินจริง หลีกเลี่ยงการอ้างอิงตนเองมากเกินไป ลดการสื่อสารส่วนบุคคลรวมถึงสิ่งพิมพ์ที่ยังไม่ได้ ผ่านการตรวจสอบโดยผอู้ ่านวรรณกรรมที่เป็นสีเทา
How to select your journal? เลือกวารสารทีเ่ หมาะกบั งานของคณุ
สรปุ ทฤษฎี ความหมาย ขอบเขต แนวคิด ความสาคัญทางนวตั กรรม เทคโนโลยี สารสนเทศเพ่อื การศกึ ษา สรปุ ความหมายนวัตกรรม 1. เปน็ สง่ิ ใหมๆ่ ท่ีไม่เคยมีมากอ่ น 2. เปน็ ส่ิงท่มี มี าแลว้ แต่ไม่ได้นามาใช้ ประโยชน์ ต่อมาไดม้ กี ารนามาใช้ 3. เปน็ ส่ิงทม่ี อี ยูแ่ ล้วและเคยนามาใช้ใน ช่วงหนึ่งแต่ไมไ่ ด้รับความนยิ ม ตอ่ มานามาใช้ ใหม่ภายใตส้ ถานการณ์และเง่อื นไขใหมท่ ่ี เปลยี่ นแปลง 4. เปน็ ส่ิงท่ีมอี ยแู่ ลว้ และใชไ้ ด้ดใี นสงั คม อน่ื หรือประเทศอน่ื แลว้ นามาใช้ในสงั คม หนง่ึ อีกอกี ประเทศหนึง่ 5. เป็นการพฒั นาปรบั ปรุงจากของเดิมที่มี อย่ใู ห้มลี ักษณะตา่ งจากตน้ แบบเพื่อให้ เหมาะสมกับการเปล่ยี นแปลงของสังคม
“นวัตกรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถงึ การนาเอาสง่ิ ใหม่ซ่งึ อาจจะอย่ใู นรูปของ ความคดิ หรอื การกระทา รวมท้งั ส่งิ ประดษิ ฐ์ก็ ตามเข้ามาใชใ้ นระบบการศกึ ษา เพ่ือมงุ่ หวงั ท่ี จะเปลย่ี นแปลงสิ่งทีม่ ีอย่เู ดมิ ใหร้ ะบบการจดั การศกึ ษามี ประสทิ ธภิ าพยิ่งขึ้น ทาให้ผเู้ รียน สามารถเกิดการเรยี นรไู้ ดอ้ ย่างรวดเร็วเกิด แรงจูงใจในการเรยี น และช่วยให้ประหยัดเวลา ในการเรยี น เช่น การสอนโดยใช้คอมพวิ เตอร์ ช่วยสอน การใช้วดี ทิ ัศน์เชงิ โต้ตอบ (Interactive Video) สอ่ื หลายมติ ิ (Hypermedia) และอินเตอรเ์ น็ต เหล่าน้เี ปน็ ต้น
เทคโนโลยี หมายถึง การใชเ้ ครอื่ งมือให้เหมาะสมกับสถานการณใ์ น การแกป้ ัญหา ผทู้ ีน่ าเอาเทคโนโลยีมาใช้ เรียกวา่ นกั เทคโนโลยี (Technologist) (boonpan edt01.htm)
เทคโนโลยีทางการศกึ ษา เป็นการขยายแนวคิดเกีย่ วกับโสตทศั นศึกษา ให้ กวา้ งขวางยง่ิ ขึ้น ท้ังน้ี เนอื่ งจากโสตทัศนศึกษา หมายถึง การศึกษาเกีย่ วกับการใช้ตาดหู ฟู ัง ดงั น้นั อุปกรณใ์ นสมยั ก่อนมักเน้นการใช้ประสาท สัมผัส ด้านการฟงั และการดเู ป็นหลัก
แนวคิดพ้นื ฐานของนวัตกรรม 1. ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล (Individual Different) 2. ความพร้อม (Readiness) 3. การใช้เวลาเพ่อื การศกึ ษา 4. ประสทิ ธภิ าพในการเรียน
นวัตกรรมทางการศึกษาทสี่ าคัญของไทยใน ปัจจบุ ัน(2546) ความหมาย e-Learning หมายถึง “การ เรยี นผ่าน ทางสอื่ อิเลคทรอนิกส์ซ่งึ ใชก้ าร นาเสนอเน้ือหาทาง คอมพวิ เตอรใ์ นรูปของสอื่ มัลติมีเดียไดแ้ ก่ ขอ้ ความ อิเลคทรอนิกส์ ภาพนง่ิ ภาพกราฟกิ วิดีโอ ภาพเคลอ่ื นไหว ภาพสามมิตฯิ ลฯ 1) แบบ Real-time ได้แกก่ ารสนทนาในลักษณะของ การพิมพข์ อ้ ความแลกเปล่ียนข่าวสารกัน หรือ สง่ ใน ลักษณะของเสียง จากบริการของ Chat room 2) แบบ Non real-time ได้แกก่ ารส่งข้อความถึง กนั ผ่านทางบรกิ าร อิเลคทรอนิคเมลล์ WebBoard News-group เป็นต้น
ความหมายของเทคโนโลยี เทคโนโลยี หมายถึงการใช้เครอื่ งมอื ใหเ้ หมาะสม กับสถานการณใ์ นการแกป้ ัญหา ผู้ทนี่ าเอา เทคโนโลยีมาใช้ เรยี กว่านกั เทคโนโลยี (Technologist) (boonpan edt01.htm)
เป้าหมายของเทคโนโลยีการศึกษา 1. การขยายพสิ ยั ของทรัพยากรของการเรียนรู้ 2. การเนน้ การเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล 3. การใชว้ ธิ วี เิ คราะห์ระบบในการศกึ ษา 4. พฒั นาเครอื่ งมอื -วัสดุ อุปกรณ์ทางการศึกษา วัสดแุ ละเคร่ืองมอื ตา่ ง ๆ ท่ใี ช้ในการศึกษา หรือการเรยี นการสอนปจั จบุ นั จะตอ้ งมกี าร พัฒนา ให้มศี ักยภาพ หรือขดี ความสามารถใน การทางานให้สูงยงิ่ ข้นึ ไปอีก
หลักการ/ทฤษฎ/ี วธิ กี าร/ แนวคิดทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับ นวตั กรรมและเทคโนโลยกี ารศกึ ษา ประกอบดว้ ย 4 ทฤษฎี 1.หลักการและทฤษฎที างจิตวิทยาการศึกษา 1.1 ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 1.2 ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบคุ คล 1.3 ทฤษฎกี ารพฒั นาการ 2. ทฤษฎกี ารสอื่ สาร 3. ทฤษฎีระบบ 4. ทฤษฎกี ารเผยแพร่
ทฤษฎที ่เี ก่ยี วขอ้ งในการเผยแพรน่ วัตกรรม Everett M. Rogers 1. ทฤษฎีกระบวนการตดั สนิ ใจรับนวัตกรรม (The Innovation Decision Process Theory) 2. ทฤษฎีความเปน็ นวัตกรรมในเอกัตบคุ คล (The Individual Innovativeness Theory ) 3. ทฤษฎีอตั ราการยอมรบั (The Theory of Rate Adoption) 4. ทฤษฎยี อมรับด้วยคณุ สมบตั ิ (The Theory of Perceived Attributes)
ทฤษฎกี ระบวนการตดั สินใจรับนวตั กรรม (The Innovation Decision Process Theory) 1.ข้ันของความรู้ (Knowledg) 5. ขนั้ ของการ 2. ขนั้ ของการถูก ยนื ยันการยอมรับ ชักนา (Comfirmation (Persuasio) ) 4. ข้ันของการ 3. ขนั้ ของการ นาไปสกู่ ารปฏิบตั ิ ตดั สนิ ใจ (Implementati (Decision) on)
ทฤษฎคี วามเป็นวตั กรรมในเอกตั บุคคล (The Individual Innovativeness Theory) 1. กลมุ่ ไวต่อการรบั นวตั กรรม (Innovators) 5. กลมุ่ สุดทา้ ยผูร้ บั 2. กลมุ่ แรกๆทร่ี บั นวตั กรรม (Early นวตั กรรม Adoption) (Laggards) 4. กลมุ่ ใหญ่หลงั ท่รี บั 3. กลมุ่ ใหญ่แรกทร่ี บั นวตั กรรม (Late นวตั กรรม (Early Majority) Majority)
ทฤษฎยี อมรับด้วยคณุ สมบัติ (The Theory of Perceived Attributes) 5. สอดคลอ้ งกบั การ 1. ทดลองใช้กอ่ น ปฏิบตั ิ การยอมรับ (Compatibility) ( Trail Ability ) 4. ไมซ่ ับซอ้ น 2. สามารถสงั เกต (Complexity) ผลทีเ่ กดิ ข้ึน 3. มีข้อและ ( Observability ประโยชนม์ ากกว่า ) (Relative Adva ntage)
การเผยแพรแ่ ละการยอมรับนวัตกรรม และเทคโนโลยีในประเทศไทย 7. การเผยแพร่ 1. การเผยแพรร่ บั 2. การเผยแพรว่ ิธกี าร เทคโนโลยีรปู แบบ การจดั การศึกษา เรียนการสอนแบบ ใหม่ เรียกว่า “การ “ผ้เู รยี นเปน็ สาคัญ” ของอุปกรณ์ ปฏิรปู การศึกษา” 6. การเผยแพร่ 3. การเผยแพร่ เทคโนโลยกี ารเรียน นวตั กรรม แบบ “อีเลริ น์ นิ่ง” “ห้องเรียนอัจฉริยะ” 5. การเผยแพร่ “ระบบ ประกนั คุณภาพ” 4. การเผยแพร่ นวัตกรรม “แปน้ พิมพป์ ตั ติ โชต”ิ
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: