Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภูมิศาสตร์กายภาพ

ภูมิศาสตร์กายภาพ

Published by georgepitiyan, 2020-03-27 03:53:49

Description: ภูมิศาสตร์กายภาพ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

Search

Read the Text Version

ภูมิศาสตร์กายภาพ : บทที่ 2 ภูมศิ าสตร์กายภาพ (PHYSICAL GEOGRAPHY) หัวเรอ่ื ง 1. ความหมาย ความเปน็ มา ขอบขา่ ย ประโยชนข์ องภมู ิศาสตร์กายภาพ 2. องคป์ ระกอบภูมิศาสตรก์ ายภาพ 2.1 โครงสร้างทางธรณีวิทยา 2.2 ลกั ษณะภมู ิประเทศ 2.3 ลักษณะภมู ิอากาศ 2.4 ทรพั ยากรธรรมชาติ แนวคิด การศึกษาองค์ประกอบของสภาพแวดล้อมทางกายภาพหรอื ปรากฏการณท์ าง กายภาพทเ่ี กิดขนึ้ บนโลก เร่ิมข้นึ เม่อื กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 18 ทาให้ทราบวา่ โลก มกี าเนิดมาแลว้ ประมาณ 4,600 ลา้ นปี นกั วิทยาศาสตรใ์ ชส้ ารกัมมนั ตรังสี หาอายขุ องหิน โดยอา้ งอิงจากการศกึ ษาธาตุตะกั่วท่เี ปลี่ยนรูปเน่ืองจากกัมมนั ตรงั สี ทาใหม้ ีการแบ่งยุคตามตารางธรณกี าลหรือมาตราธรณีกาล (geologic time scale) ลาดบั เหตกุ ารณแ์ ละเวลาทเ่ี กิดข้นึ ก่อน – หลงั เพ่ือใชแ้ สดงประวตั ศิ าสตรข์ องโลก โดยศกึ ษาชนั้ หนิ และฟอสซิล เรยี งลาดับหนิ บนโลกตามอายุเปรียบเทยี บ มกี าร พบการเปลี่ยนแปลงของส่งิ มีชีวิตไดน้ ามาใชเ้ ป็นตวั กาหนดและส้นิ สดุ ของยุคหนึ่ง และเปน็ จุดเริ่มต้นยุคใหม่ ชื่อยุคทางธรณีวทิ ยามาจากท่ีต่างๆกันเชน่ จรู าสสกิ มาจากภูเขาจรู าในฝร่ังเศสทเ่ี ริ่มตน้ ศึกษาหินของยุคนี้ การศกึ ษาทางกายภาพจึง พบปรากฏการณก์ ารเปลี่ยนในอดีตและปจั จบุ ันทีน่ า่ พิศวง ผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวัง วิเคราะหก์ ารเปล่ยี นแปลงลักษณะทางกายภาพของประเทศไทยและของโลก จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. บอกความหมาย ภมู ิศาสตร์กายภาพได้ 2. อธิบายพรอ้ มทั้งยกตวั อย่างองค์ประกอบของภมู ิศาสตรก์ ายภาพได้ 3. อธิบายและยกตวั อย่าง การแบง่ ประเภทของหินตามลักษณะการเกิดได้ 4. วเิ คราะห์ปัจจัยท่ีทาให้ภูมอิ ากาศแตกตา่ งกันได้ 5. วิเคราะหส์ าเหตทุ ่ีทาให้ดินมีความอดุ มสมบรู ณต์ ่างกนั ได้ 6. อธบิ ายปัจจัยท่ีทาใหป้ ่าไม้ มีลกั ษณะแตกต่างกันได้ 7. ยกตัวอยา่ งประโยชน์ของแรธ่ าตทุ น่ี าไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้ เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภมู ิศาสตร์ หนา้ 40

ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : 1. ความหมาย ความเปน็ มา ขอบขา่ ย ประโยชนข์ องภมู ศิ าสตร์กายภาพ 1. ความหมายของภูมิศาสตร์กายภาพ ภมู ศิ าสตรก์ ายภาพเป็นวิชาท่ีศกึ ษาเกี่ยวกบั องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ปรากฏการณ์ทางกายภาพท่ีเกิดขน้ึ บนพืน้ โลก (earth) และการเกดิ ทุกสง่ิ ท่ีอย่รู อบตวั เรา และ เหตกุ ารณ์ที่เกิดข้ึนมผี ลให้เกดิ สภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการดารงชีวติ ของมนุษยส์ ามลักษณะคือ ธรณีภาค อากาศภาคและอุทกภาพ ความเปน็ มาของภูมิศาสตร์กายภาพ กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 18 ภมู ิศาสตรก์ ลายเป็นวทิ ยาศาสตร์สมยั ใหม่ในสมัยน้นั และกลาง ศตวรรษที่ 19 เร่ิมมกี ารระบถุ ึง ภูมศิ าสตรก์ ายภาพโดยมีวิชาฟิสกิ ส์และเคมีเข้ามาเก่ียวข้อง ภมู ศิ าสตร์กายภาพมขี อบขา่ ย หรอื มคี วามเก่ยี วข้องสัมพันธ์กบั ศาสตร์ต่างๆดงั น้ี 1. ยีออเดซี (Geodesy) คอื ศาสตรท์ ่วี า่ ดว้ ยการหารปู ทรงสัณฐาน และขนาดของ พภิ พโดยการคานวณหรอื จากการรงั วดั โดยตรง 2. ดาราศาสตร์ (Astronomy) คือ ศาสตร์ที่ว่าดว้ ยธรรมชาตอิ นั เกี่ยวกับองคป์ ระกอบ ของการเคลื่อนที่ ตาแหน่งสัมพันธ์ และลกั ษณะทปี่ รากฎของเทหะ ฟากฟา้ ต่างๆของโลก 3. การเขียนแผนที่ (Cartography) คอื ศาสตร์ทเี่ กย่ี วข้องกบั การทาแผนที่ ซ่ึงมี ความหมายคลุม ท้งั วิชาการท่ีเป็นมลู ฐานในการทาแผนท่ี และศิลปะในการเขยี นแผนท่ีชนิดตา่ งๆ 4. อุตุนยิ มวิทยาและภมู อิ ากาศวิทยา (Meteorology and Climatology) คือ ศาสตร์ ท่กี ล่าวถึงเรื่องราวของบรรยากาศและองคป์ ระกอบของภมู ิอากาศ และกาลอากาศ 5. ปฐพวี ิทยา (Pedology) คอื ศาสตรท์ ศ่ี ึกษาเก่ยี วกบั เร่ืองดนิ 6. ภมู ศิ าสตร์พชื (Plant Geography) คอื ภูมิศาสตรแ์ ขนงหน่ึงในสาขาวชิ าภูมศิ าสตร์ การเกษตร เน้นหนกั เรื่องพชื พรรณในถน่ิ ต่าง ๆ ของโลก โดยพิจารณาสภาพภมู ศิ าสตร์ทเี่ ก่ียวข้อง หรอื มีผลตอ่ พืชนน้ั ๆ 7. สมทุ รศาสตร์กายภาพ (Physical Oceanography) คอื ศาสตรท์ ่ีศึกษาทางดา้ น กายภาพ เกี่ยวขอ้ งกับท้องทะเลและมหาสมทุ ร 8. ธรณสี ัณฐานวทิ ยา (Geomorphology) คือ ศาสตร์ทีว่ า่ ด้วยพืน้ ผวิ โลก ซึ่งประมวล ท้ังรูปรา่ งธรรมชาติ กระบวนการกาเนดิ และพัฒนาตวั ตลอดจน ความเปลย่ี นแปลงที่เกิดข้ึนใน ปจั จุบัน 9. ธรณีวิทยา (Geology) คอื ศาสตร์ท่ดี ้วยความรูเ้ กี่ยวกับโลกท้ังภายในและภายนอก และวิวัฒนาการของพน้ื ผิวโลกรูปแบบตา่ งๆเรยี กอีกอยา่ งว่า วิทยาศาสตร์โลก (Earth Science) 3.10 อทุ กวทิ ยา (Hydrology) คอื ศาสตร์เกย่ี วกับน้าที่มีอย่ใู นโลก เช่น ศึกษาสาเหตุ การเกดิ การหมุนเวียน การทรงอยู่ คณุ สมบัติทางเคมีและฟิสกิ ส์ ตลอดจนคณุ ลักษณะของน้าในลาน้า ทะเลสาบ และนา้ ในดิน รวมทง้ั การนามาใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์ การควบคุมและการอนุรักษ์น้า ประโยชนข์ องการศึกษาภมู ิศาสตรก์ ายภาพ เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภูมศิ าสตร์ หนา้ 41

ภูมศิ าสตร์กายภาพ : 1. ทาให้สามารถวิเคราะหถ์ ึงสาเหตทุ ี่ทาให้เกดิ การเปล่ยี นแปลงทางธรรมชาตใิ นภูมิภาค ตา่ งๆของโลกและสามารถคาดการณ์ปรากฏการตา่ งๆได้ 2. เปน็ พ้ืนฐานความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิง่ แวดล้อมทางธรรมชาติ 3. ช่วยลดปญั หาทีเ่ กดิ จากความสัมพนั ธร์ ะหว่างมนุษย์กบั ส่ิงแวดลอ้ มทางธรรมชาติ เชน่ การเผาหญา้ ฟางข้าวในนาโดยเขา้ ใจว่าเถ้าถา่ นท่ถี ูกเผาไหมจ้ ะเป็นปุ๋ยอยา่ งดี แตก่ ลบั เป็นการ ทาลายความอดุ มสมบรู ณข์ องหน้าดินโดยรูเ้ ทา่ ไม่ถึงการณ์ เป็นต้น 4. ทาให้มนุษย์สามารถปรบั ตัวเขา้ กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติได้อย่างเหมาะสม 2. องคป์ ระกอบทางภมู ิศาสตร์กายภาพ องค์ประกอบของภมู ิศาสตรก์ ายภาพประกอบดว้ ย 4 องค์ประกอบ 2.1 โครงสร้างทางธรณีวิทยา 2.1.1 ตารางเวลาธรณวี ิทยา (geologic time scale) มหายคุ (Era) ยุค เร่มิ กินเวลาถึง กลมุ่ ของสง่ิ มชี วี ติ (ล้านป)ี (ลา้ นป)ี โฮโลซนี ถึงปัจจุบนั วิวฒั นาการของคน เป็นยุคของมนษุ ย์ (Holocene) Homo sapiens ควาเทอรน์ ารี หนงึ่ หมื่นปี (Quaternary) ไพลอสิ โตซนี ถึง 1 หมื่น มกี ารกระจายของพืชและสตั วเ์ ลย้ี งลูกดว้ ยนม (Pleistocene) ปที แี่ ล้ว หลายชนดิ อย่างต่อเนอ่ื ง 2 ไพลโอซนี (Pliocene) 2 เร่ิมมไี พรเมต (Primates) ทม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยมนษุ ย์ 5 ซโี นโซอกิ ไมโอซนี การแพรก่ ระจายของพชื มีดอก (Cenozonic) (Miocene) 5 การแพร่กระจายของสัตวเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนมหลาย 25 ชนิด โอลโิ กซนี เทอร์เธียรี (Oligocene) 25 วิวฒั นาการของลงิ วานร (Apes) (Tertiary) 38 ยคุ ของสตั ว์เลี้ยงลกู ด้วยนมและนกปจั จบุ ัน อีโอซนี (Ages of mammals and birds) (Eocene) 38 ววิ ัฒนาการเรมิ่ แรกของพวกสตั ว์เลย้ี งลูกดว้ ยเปน็ 65 มีการสะสมของโคลนตะกอนทย่ี งั ไม่เปน็ หนิ แข็ง กงึ่ ร่วน เกิดจากตะกอนถกู บีบอดั เปน็ ดนิ ดาน บางแห่งเปน็ ถ่านหนิ ลิกไนต์ และนา้ มนั แทรก ชว่ ง 130 ลา้ นปกี ่อน พืชมดี อกเรมิ่ แรก เอกสารประกอบการเรียนรายวชิ า ส30103 ภมู ิศาสตร์ หน้า 42

ภมู ิศาสตร์กายภาพ : มหายุค (Era) ยคุ เร่มิ กนิ เวลาถึง กลุ่มของสิง่ มชี วี ติ (ล้านป)ี (ล้านป)ี ครีทาเซียส 144 ไดโนเสาร์ขนาดใหญ่และเร่ิมสญู พนั ธุ์ (Cretaceous) 213 65 ววิ ฒั นาการเรม่ิ แรกของนกปจั จบุ นั 248 ววิ ฒั นาการของนกโบราณ 286 ยแู รสสกิ 144 ยุคไดโนเสาร์ (Jurassic) 360 พืชพวกจิมโนสเปริ ม์ เร่มิ แรก มีโซโซอกิ 408 (Mesozoic) 438 วิวัฒนาการเรม่ิ แรกของไดโนเสาร์ เรมิ่ มีสัตว์ 505 เลย้ี งลกู ด้วยนมซง่ึ ออกไข่ 590 ไทรแอสสกิ 2,500 213 เฟริ ์นแพร่กระจายและเร่ิมมีพืชพวกจมิ โนสเปริ ม์ (Triassic) มหายุคมโี ซโซอกิ มีหนิ ทราย หินกรวดมน หินดินดานบางแห่งมีชน้ั ของหินเกลือแทรกอยู่ หนา มีหนิ ปนู และหินภเู ขาไฟแทรกอย่บู างแหง่ การแพรก่ ระจายของพชื ประเภทสน เพอร์เมยี น สัตว์เลอ้ื ยคลานแพร่กระจาย (Permian) 248 เกดิ การสูญพนั ธ์ขุ องสตั ว์ไมม่ กี ระดูกสนั หลัง หลายชนิด มีหินปนู ออ่ นเปน็ ช้ันหนาสลบั กบั หนิ ชนดิ อ่ืน คาร์บอนิ ววิ ฒั นาการเรม่ิ แรกของสัตว์เลอ้ื ยคลาน เฟอรสั (Carbonifero การแพร่กระจายของสตั วค์ รึ่งบกคร่งึ น้าโบราณ us) 286 ปา่ แพรก่ ระจายและเร่ิมการสะสมถา่ นหนิ มีหนิ ทรายและหินดนิ ดานในทบ่ี างแหง่ มหี นิ แปร ชนดิ ควอตไซต์ ฟลิ ไลต์ และหินชนวนปะปน พาเลโอโซอกิ ดีโวเนยี น 360 วิวฒั นาการเร่ิมแรกของสัตว์คร่งึ บกครง่ึ น้า (Paleozoic) (Devonian) การแพร่กระจายของปลา (Ages of fishes) ไซลเู รียน 408 ปรากฏพชื มีทอ่ ลาเลียงเรมิ่ แรกบนบก (Silurian) วิวฒั นาการเริ่มแรกของปลาปจั จบุ ัน มีหินปูนเนแื้ นน่ วีเทาเขม้ เปน็ ชน้ั หนา ออโดวเี ชยี น 438 การแพรก่ ระจายของสาหร่ายทะเล (Ordovician) การแพรก่ ระจายของสัตวไ์ มม่ กี ระดกู สันหลงั ปลาไม่มีขากรรไกรเริม่ แรก จุดเร่ิมต้นของพืช วิวัฒนาการเริ่มแรกของสาหร่ายยคุ ของสัตวไ์ มม่ ี แคมเบรียน 505 กระดกู สันหลงั ทีพ่ บในทะเล (Ages of marine (Cambrian) invertebrates) มีหนิ ทรายแดงและหินดนิ ดาน สแี ดง ก่อนแคมเบรียน โพรเทอโร 590 สาหรา่ ยโบราณ และเริม่ มีโปรโตซัวซ่งึ เปน็ พวก (Percambrian) โซอกิ ยคู ารีโอทพวกแรก มหี นิ ไนส์ หินชิสต์ หนิ ออ่ น Proterozoic เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภูมิศาสตร์ หน้า 43

ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : มหายุค (Era) ยุค เร่มิ กนิ เวลาถึง กลุ่มของส่งิ มีชวี ิต (ล้านปี) (ล้านป)ี อาร์เคียน 3,500 2,500 ปรากฏส่งิ มีชวี ิตเรม่ิ แรกพวกโปรคารโี อท ได้แก่ (Archean) แบคทเี รีย ชน้ั หนิ ทเ่ี กา่ ทส่ี ุดของโลกอายปุ ระมาณ 3,800 กาเนดิ โลก - 4,500 ลา้ นปี ซ่ึงเปน็ ชว่ งเดยี วกบั ทโ่ี ลกเยน็ ขน้ึ และมี ทะเลเกดิ ข้ึน 2.1.2 หิน การแบ่งหนิ ตามลักษณะการเกดิ 1). หิน (Rocks) เป็นสว่ นหนง่ึ ของเปลอื กโลกสว่ นท่เี ปน็ ของแข็ง ส่วนที่เรียกว่า ธรณภี าค หิน คอื มวลของแข็งท่ีประกอบไปดว้ ยแร่ชนดิ เดียวกนั หรือหลายชนดิ รวมตัวกนั อยูต่ าม ธรรมชาติ องคป์ ระกอบของเปลือกโลกส่วนใหญเ่ ป็นสารประกอบซิลกิ อนไดออกไซด์ (SiO2) มกั เป็นแร่ ตระกลู ซลิ เิ กต และแร่ตระกูลคารบ์ อเนตเพราะบรรยากาศโลกในอดตี ส่วนใหญเ่ ป็นคารบ์ อนไดออกไซด์ นา้ ฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซดบ์ นบรรยากาศลงมาสะสมบนพ้ืนดินและมหาสมุทร สิง่ มีชีวิตอาศัย คารบ์ อนสรา้ งธาตุอาหารและรา่ งกาย แพลงตอนบางชนดิ อาศัยซลิ ิกาสร้างเปลอื ก เม่อื ตายลงทับถม กนั เปน็ ตะกอน หินสว่ นใหญ่บนเปลอื กโลกจึงประกอบด้วยแร่ตา่ งๆ 2). แร่ประกอบหนิ แรท่ ี่พบท่วั ไปในหินเช่นแคลไซต์ ควอตซ์ และเฟลดส์ ปาร์ เรยี กวา่ แร่ประกอบหิน ตระกูลซลิ ิเกต เฟลด์สปาร์ (Feldspar) เป็นกลุ่มแร่ทมี่ ีมากกวา่ ร้อยละ 50 ของเปลือกโลก ซง่ึ เป็นองค์ประกอบส่วน ใหญ่ของหินหลายชนดิ ในเปลอื กโลก เฟลด์สปาร์มีองค์ประกอบหลักเปน็ อะลูมเิ นียมซิลิเกต เฟลดส์ ปาร์เม่ือผพุ งั จะกลายเป็นอนุภาคดินเหนียว ควอรตซ์ (SiO2) เปน็ ซลิ กิ าไดออกไซดบ์ รสิ ุทธิ์ มรี ูปผลึกทรงหกเหล่ยี มยอดแหลม มอี ย่ทู ่ัวไปในเปลอื กทวปี และแมนเทลิ ควอรตซเ์ มื่อผุพงั จะกลายเปน็ อนภุ าคทราย ไมก้า (Mica) เปน็ กลมุ่ แร่ซ่ึงมีรปู ผลึกเป็นแผน่ บาง มีองค์ประกอบเป็น อะลูมเิ นยี มซิลิเกตไฮดรอกไซด์ มีอย่ทู ่ัวไปในเปลือกทวีป ไมกา้ มีโครงสร้าง เช่นเดียวกับ แรด่ ินเหนียว (Clay minerals) ซ่งึ เปน็ องคป์ ระกอบสาคญั ของดิน ตระกูลคาร์บอเนต แคลไซต์ (Calcite) เปน็ แคลเซยี มคาร์บอเนต (CaCO3) เป็นองค์ประกอบหลักของหนิ ปูนและ หินออ่ น โดโลไมต์ (Dolomite) ซงึ่ เป็นแรค่ าร์บอเนตอีกประเภทหนึ่งทม่ี ีแมงกานีสผสมอยู่ แรค่ าร์บอเนตทา ปฏิกิริยากบั กรดเป็นฟองฟู่ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ส30103 ภูมิศาสตร์ หนา้ 44

ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : การแบ่งหินตามลกั ษณะการเกดิ นกั ธรณีวทิ ยาแบ่งหินออกเปน็ 3 ประเภท ตามลกั ษณะการเกดิ 1. หนิ อคั นี (Igneous rocks) เป็นหนิ ท่เี กิดจากการแขง็ ตัวของหนิ หนืด (Magma) จาก ช้ันแมนเทลิ ทีโ่ ผล่ข้ึนมา วิธีการแบ่งประเภทของหินอคั นี แบง่ ตามแหลง่ ที่มา แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1.1. หินอัคนแี ทรกซอน (Intrusive igneous rocks) เกิดจากหนิ หนืดท่เี ย็นตัวลง ภายในเปลือกโลกอยา่ งชา้ ๆทาใหผ้ ลึกแรม่ ขี นาดใหญ่ เน้ือหยาบเช่น หินแกรนิต หนิ ไดออไรต์และหนิ แกบโบร ถา้ แขง็ ตวั อยู่ในระดับลึกมาก เรยี กว่า หินอคั นรี ะดับลกึ หรือหนิ อคั นีช้นั บาดาล (PlutonicRock) หนิ อัคนีแทรกซอน เย็นตัวช้าผลึกใหญ่ หินแกรนิต หินไดออไรต์ หินแกรโบร หนิ เพริโดไทต์ หนิ อัคนีพุ หินอัคนแี ทรกซอน ฐานหินอคั น(ี แมกมา่ ) ลกั ษณะการเกิดหนิ อัคนี 1.2 หินอคั นพี ุ (Extrusive Igneous Rock) เป็นหนิ ท่ีพน้ เปลือกโลกออกมาแขง็ ตัวตาม ผิวโลก ซ่ึงสว่ นใหญจ่ ะแข็งตัวอยู่ในรูปรา่ งที่แสดงว่ากอ่ นแข็งตวั ได้ไหลออกไปจากรอยพุหรอื รอยแยก ของผวิ โลกบางทเี รยี กว่า หนิ ภูเขาไฟ เปน็ หินหนดื ทเ่ี กิดจากลาวาบนพนื้ ผวิ โลกเย็นตัวอยา่ งรวดเรว็ ทาใหผ้ ลึกมขี นาดเล็ก และเนื้อละเอียด เชน่ หินบะซอลต์ หินไรออไรต์ และหนิ แอนดีไซต์ ถา้ มอี งค์ประกอบแร่ควอรตซ์และเฟลด์สปาร์มากจะมีสีอ่อน ส่วนหินที่มอี งค์ประกอบเปน็ แรเ่ หลก็ และแมกนีเซียมมากจะมสี ีเข้ม หนิ อคั นีพุ เยน็ ตวั เร็วผลึกเลก็ เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ส30103 ภูมศิ าสตร์ หนา้ 45

ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : หินไรโอไลต์ หินแอนดไี ซต์ หินบะซอลต์ หนิ อคั นที ่ีสาคญั หนิ แกรนติ (Granite) เป็นหินอัคนีแทรกซ้อนทเ่ี ยน็ ตวั ลงภายในเปลอื กโลกอย่างชา้ ๆ จงึ มีเนอื้ หยาบซึ่งประกอบดว้ ยผลกึ ขนาดใหญ่ของแร่ควอรตซส์ ีเทาใส แรเ่ ฟลดส์ ปาร์สีขาวขนุ่ และแร่ ฮอรน์ เบลนด์ หินแกรนิตแข็งแรงมาก นิยมใช้ทาครก เช่น ครกอ่างศลิ า ภเู ขาหนิ แกรนิตมกั เตีย้ และ มียอดมน เนื่องจากเปลอื กโลกซงึ่ เคยอยชู่ ัน้ บนสกึ กร่อนผุพัง เปิดให้เหน็ แหลง่ หนิ แกรนติ ซงึ่ อย่เู บ้ือง ล่าง ผลกึ แร่ในหินแกรนติ (ควอรตซ์ - เทาใส, เฟลด์สปาร์ – ขาว, ฮอรน์ เบลนด์ – ดา) ลักษณะ ภูเขาหินแกรนิต หินบะซอลต์ (Basalt) เปน็ หนิ อัคนีพุ เนื้อละเอียด เกดิ จากการเยน็ ตวั ของลาวา มสี เี ข้ม เน่อื งจากประกอบดว้ ยแร่ไพร็อกซีนเป็นส่วนใหญ่ อาจมีแรโ่ อลิวนี ปนมาด้วย หนิ บะซอลตเ์ ปน็ แหล่งกาเนิดของอัญมณี (พลอย) เนื่องจากแมกมาดนั ผลกึ แรซ่ ึง่ อยูล่ กึ ใตเ้ ปลือกโลก ใหโ้ ผล่ขึ้นมาเหนอื พน้ื ผวิ หินไรโอไลต์ (Ryolite) เปน็ หินอคั นีพุซ่ึงเกิดจากการเยน็ ตัวของลาวา มเี น้ือละเอยี ดซง่ึ ประกอบดว้ ยผลกึ แร่ขนาดเล็ก มแี รอ่ งคป์ ระกอบเหมือนกับหินแกรนติ แตผ่ ลกึ เล็กมากจนไม่สามารถ มองเหน็ ได้ สว่ นมากมีสชี มพู และสีเหลือง หินแอนดีไซต์ (Andesite) เป็นหนิ อัคนพี ุซึง่ เกดิ จากการเย็นตัวของลาวาในลักษณะ เดียวกบั หินไรโอไรต์ แตม่ ีองค์ประกอบของแมกนีเซียมและเหลก็ มากกวา่ จึงมสี เี ขยี วเขม้ หนิ พมั มซิ (Pumice) เป็นหนิ แกว้ ภูเขาไฟชนิดหนง่ึ ซึ่งมีฟองก๊าซเลก็ ๆ อย่ใู นเนอื้ มากมายคล้ายฟองนา้ มสี ่วนประกอบเหมอื นหินไรโอไลต์ มีนา้ หนกั เบา ลอยนา้ ได้ ชาวบ้าน เรยี กวา่ หินสม้ ใช้ขดั ถภู าชนะทาให้มีผิววาว เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภูมศิ าสตร์ หนา้ 46

ภูมิศาสตร์กายภาพ : หนิ ออบซเิ ดยี น (Obsedian) เปน็ หนิ แกว้ ภเู ขาไฟซ่งึ เยน็ ตวั เร็วมากจนผลกึ มีขนาดเลก็ มาก เหมือนเน้อื แกว้ สีดา หินออบซิเดียน หนิ พมั มิซ และหินออบซิเดียน 2. หินตะกอน (Sedimentary rocks) ข้อคดิ ......ตะกอนจะกลายเป็นหินไดอ้ ยา่ งไร หนิ ตะกอนเปน็ หินทเ่ี กดิ จากการทบั ถมของตะกอน โคลนตม และวัตถุต่างๆจับตัวและอดั แน่นเกิดการเปลย่ี นแปลงทางเคมี หรือหินเม่ือถูกแสงแดด ลมฟา้ อากาศ และนา้ หรือ ถูกกระแทก แตกเปน็ ก้อนเลก็ ๆหรือผุกร่อน เสือ่ ม เศษหินทผ่ี พุ ังถูกพัดพาไปสะสม อดั ตัวกนั เปน็ ช้นั ๆ เกิดความ กดดันและปฏิกิรยิ าเคมีจนกลับกลายเป็นหินอีกครั้ง หนิ ทเี่ กิดใหมน่ ้เี ราเรยี กว่า “หนิ ตะกอน”หรอื “หินช้นั ” 2.1 ปจั จัยท่ีทาให้เกิดหนิ ตะกอนหรือหนิ ชน้ั มดี งั น้ี 2.1.1 การผพุ ัง (Weathering) คือ การที่หินผุพงั ทาลายลงอยูก่ บั มตี ัวกระทา จากลมฟ้า อากาศ สารละลาย และรวมทัง้ การกระทาของตน้ ไม้ แบคทเี รยี ตลอดจนการแตกตัวทางกลศาสตร์ มีการเพ่มิ อุณหภูมแิ ละลดอุณหภูมิสลับกัน 2.1.2 การกรอ่ น (Erosion) หมายถงึ กระบวนการทีท่ าให้สารเปลือกโลกหลุด ละลายไป หรอื กร่อนไป โดยมีการเคลือ่ นทกี่ ระจดั กระจายไปจากท่ีเดิม ต้นเหตุคือตวั การธรรมชาติ ซ่ึงไดแ้ ก่ ลมฟา้ อากาศ กระแสน้า ธารน้าแขง็ การครูดถู ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง การกร่อนด้วยกระแสลมและ นา 2.1.3. การพัดพา (Transportation) หมายถึง การเคล่ือนที่ของมวลหิน ดิน ทราย โดยกระแสน้า กระแสลม หรือธารนา้ แขง็ ภายใต้แรงดึงดูดของโลก เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภมู ิศาสตร์ หนา้ 47

ภูมิศาสตร์กายภาพ : การคัดขนาดตะกอนดว้ ยการพดั พาของนา 2.1.4. การทับถม (Deposit) เกดิ ขน้ึ เมื่อตัวกลางซ่ึงทาใหเ้ กดิ การพัดพา เช่น กระแสน้า กระแสลม หรือธารนา้ แข็ง อ่อนกาลังลง ตะกอนท่ีถูกพัดพาจะสะสมตวั ทับถมกนั ทาให้เกิดการ เปลีย่ นแปลงทางอุณหภมู ิ ความกดดัน ปฏิกริ ยิ าเคมี และเกิดการตกผลกึ หินตะกอนที่อยชู่ ัน้ ลา่ งจะ มีความหนาแนน่ สงู และมเี นื้อละเอียดกว่าชั้นบน เนือ่ งจากแรงกดดันซ่ึงเกดิ ขึน้ จากน้าหนกั ตวั ทบั ถม กันเป็นชนั้ ๆ ตะกอนจะทับถมในทะเล ตามเชงิ เขาโดยการพัดพาของธารนา้ แขง็ แม่น้า หรอื ตามแนว เชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งทะเลกับแผน่ ดิน ปากแม่นา้ หรือหนองนา้ ตะกอนจะบ่งบอกถึงยุคและสาเหตทุ ี่เกิด ทาใหน้ ักธรณีสามารถกาหนดอายขุ องความหนาของชนั้ ตะกอน และอายุของซากดึกดาบรรพ์(Fussil) ทอ่ี ยู่ในนนั้ เช่นซากฟิวซูลนิ คิ หรอื คดข้าวสารมรี ูปทรงคล้ายข้าวสาร หรอื กระสวย เปน็ ฟอแรมมินิ เฟอรา (foraminifera) เรียกส้ันๆวา่ ฟอแรม เคยอยู่ในทะเลพบอยใู่ นหนิ ปูน ใช้กาหนดอายหุ ินปูนยคุ คารบ์ อนิเฟอรสั ถึงยคุ เพอรเ์ มียน ฟอแรมมนิ เิ ฟอราในหินปูน ฟอแรมมนิ ิเฟอรา(foraminifera) 2.1.5 การกลบั คนื เปน็ หิน (Lithification) เมื่อเศษตะกอนทับถมกนั จะเกิดโพรงขึน้ ประมาณ 20 – 40% ของเน้ือตะกอน น้าพาสารละลายเข้ามาแทนที่อากาศในโพรง เม่ือเกดิ การทับ ถมกนั จนมีน้าหนกั มากขึน้ เน้ือตะกอนจะถูกทาใหเ้ รยี งชดิ ติดกนั ทาใหโ้ พรงจะมีขนาดเล็กลง จนน้าที่ เคยมอี ยู่ถกู ขบั ไล่ออกไป สารทตี่ กค้างอยู่ทาหน้าท่ีเปน็ ซีเมนตเ์ ชอ่ื มตะกอนเข้าดว้ ยกันกลับเป็นหนิ อกี คร้ัง เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภูมิศาสตร์ หน้า 48

ภูมิศาสตร์กายภาพ : ขันตอนท่ีตะกอนกลบั คนื เป็นหิน สัดสว่ นของหนิ ตะกอนบนเปลอื กโลก 2.2 ประเภทของหนิ ตะกอน จาแนกหินตะกอนตามลกั ษณะการเกดิ ออกเปน็ 3 กลมุ่ คือ 2.2.1 หนิ ตะกอนอนภุ าค (Clastic rocks) ได้แก่ หินกรวดมน (Congromorate) เปน็ หนิ เนอื้ หยาบเกดิ จากตะกอนซงึ่ เป็นหิน กรวด ทราย ที่ถกู กระแสนา้ พัดพามาอยู่รวมกนั สารละลายในน้าใต้ดนิ ทาตวั เป็นซเิ มนต์ประสานให้อนภุ าคใหญ่ เลก็ เหลา่ นี้ เกาะตวั กันเปน็ ก้อนหิน หินทราย (Sandstone) เป็นหินตะกอนเนือ้ ละเอยี ดปานกลาง เกิดจากการทบั ถมตัว ของทราย มอี งค์ประกอบหลักเป็นแรค่ วอรตซ์ คนโบราณใชห้ ินทรายแกะสลัก สร้างปราสาท และทาหิน ลบั มีด ปราทหนิ พิมายสร้างดว้ ยหินทรายสขี าว หินดนิ ดาน (Shale) เป็นหนิ ตะกอนเนื้อละเอียดมาก เนื่องจากประกอบด้วยอนภุ าค ทรายแป้งและอนุภาคดินเหนียวทับถมกันเปน็ ชน้ั บางๆ ขนานกนั เม่ือทุบหินจะแตกตัวตามรอยชน้ั (ฟอสซิลมีอยู่ในหินดนิ ดาน) ดนิ เหนยี วทเ่ี กิดดินดานใชท้ าเครื่องปนั้ ดินเผา เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภูมศิ าสตร์ หน้า 49

ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : หินดนิ ดานที่พบฟอสซสิ หอยท่ีเขาพระ จ.เพชรบรุ ี 2.2.2 หนิ ตะกอนเคมี (Chemical sedimentary rocks) ไดแ้ ก่ หนิ ปนู (Limestone) เปน็ หินตะกอนคารบ์ อเนต เกิดจากการทับถมของตะกอน คาร์บอเนตในท้องทะเล ทงั้ จากสารอนนิ ทรีย์ และซากสง่ิ มีชีวติ เชน่ ปะการัง และกระดองของสัตว์ ทะเล ซึ่งทับถมกนั ภายใตค้ วามกดดนั และตกผลกึ ใหม่เป็นแร่แคลไซตจ์ งึ ทาปฏิกริ ยิ ากบั กรด หนิ ปนู ใช้ทาเปน็ ปนู ซิเมนต์ และใชใ้ นการก่อสร้าง หินเชริ ต์ (Chert) หนิ ตะกอนเน้ือแน่น แขง็ เกดิ จากการตกผลึกใหม่ เนื่องจากนา้ พา สารละลายซิลกิ าเขา้ ไปแล้วระเหยออก ทาให้เกดิ ผลึกซิลกิ าแทนทเี่ นื้อหนิ เดมิ หินเชริ ต์ มักเกิดข้ึนใต้ ทอ้ งทะเล เนื่องจากแพลงตอนท่มี ีเปลือกเป็นซิลิกาตายลง เปลอื กของมันจะจมลงทับถมกนั หิน เชิร์ตจงึ ปะปะอยูใ่ นหินปูน 2.2.3 หินตะกอนอินทรีย์ (Organic sedimentary rocks) ได้แก่ ถา่ นหิน (Coal) เกิดจากการทบั ถมของซากพชื ท่ยี ังเน่าเป่ือยไมห่ มด เน่ืองจากสภาวะออกซิเจนตา่ สภาวะเชน่ นีเ้ กิดตามห้วยหนองคลองบึง ในแถบภมู ิอากาศแบบเส้นศูนย์สูตร การทับถมทาให้เกิดการ แรงกดดนั ท่ีจะระเหยขบั ไลน่ า้ และสารละลายอืน่ ๆออกไป ถ้ามปี ริมาณคาร์บอนมากข้นึ ถ่านหนิ จะย่งิ มี สีดา ตารางหนิ ตะกอน รูป หนิ แร่หลัก ลกั ษณะ ที่มา หินกรวดมน ข้นึ อยูก่ ับก้อนกรวด เนื้อหยาบ เปน็ กรวด เม็ดกรวดท่ีถูกพดั พา Conglomerate ซ่งึ ประกอบกนั เปน็ หนิ มนหลายก้อนเชอื่ ม โดยกระแสน้าและ ติดกนั เกาะตดิ กันด้วยวัสดุ ประสาน หินทราย ควอรตซ์ เนื้อหยาบ ควอรตซ์ในหินอัคนี ผุ Sandstone SiO2 สีนา้ ตาล สแี ดง พังกลายเป็นเมด็ ทราย ทับถมกัน รูป หิน แรห่ ลกั ลักษณะ ท่ีมา หินดินดาน แร่ดินเหนยี ว เนอื้ ละเอียดมาก เฟลดส์ ปารใ์ นหินอัคนี Shale Al2SiO5(OH) 4 สีเทา ผสมสีแดง ผุพงั เปน็ แร่ดนิ เหนียว เนอ่ื งจากแร่เหล็ก ทบั ถมกัน หนิ ปนู แคลไซต์ เนอ้ื ละเอยี ดมีหลาย การทับถมกนั ของ Limestone CaCO3 สที าปฏกิ ิริยากับกรด ตะกอนคาร์บอน เนตในท้องทะเล เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ส30103 ภมู ิศาสตร์ หน้า 50

หนิ เชิรต์ ซลิ กิ า ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : Chert SiO2 เนอื้ ละเอียด แขง็ การทบั ถมของซาก สีอ่อน สิ่งมชี วี ิตเลก็ ๆ ใน ทอ้ งทะเล จนเกดิ การตกผลึกใหมข่ อง ซลิ ิกา 3. หินแปร (Metamorphic rocks) หนิ แปร คือหินท่ีแปรสภาพไปจากโดยการกระทาของความร้อน แรงดนั และปฏิกิรยิ าเคมี หนิ แปรบางชนิดยงั แสดงเค้าเดมิ บางชนิดผดิ ไปจากเดิมมากตอ้ งอาศยั ดรู ายละเอียดของเนอ้ื ใน หรอื สภาพส่ิงแวดล้อมจงึ จะทราบ หินแปรชนิดหน่ึงๆจะมีองค์ประกอบเดียวกันกับหนิ ต้นกาเนิด หนิ แปรส่วนใหญ่เกิดข้ึนในระดบั ลึกใต้เปลือกโลกหลายกโิ ลเมตร ท่ีซึ่งมีความดนั สงู และอยู่ใกล้ กลบั หนิ หนืดรอ้ นในช้นั แอสทีโนสเฟียร์ แต่การแปรสภาพในบรเิ วณใกล้พน้ื ผวิ โลกเนอ่ื งจากสง่ิ แวดล้อม โดยรอบ นกั ธรณวี ทิ ยาแบ่งการแปรสภาพออกเป็น 2 ประเภท คอื 3.1 การแปรสภาพสัมผัส (Contact metamorphism) เป็นการแปรสภาพเพราะ ความรอ้ น เกิดขนึ้ ณ บริเวณท่หี นิ หนดื หรอื ลาวาแทรกดันขน้ึ มาสัมผสั กับหนิ ท้องที่ ความร้อนและ สารจากหนิ หนดื หรอื ลาวาทาให้หินท้องท่ีในบริเวณนนั้ แปรเปล่ยี นสภาพผดิ ไปจากเดิม พืน้ ผวิ โลก หนิ อัคนี บรเิ วณท่ีแปรสภาพเนอ่ื งจากความร้อน 3.2 การแปรสภาพบริเวณไพศาล (Regional metamophic) เปน็ การแปรสภาพของ หินซ่ึงเกิดเปน็ บรเิ วณกวา้ งใหญไ่ พศาลเน่ืองจากอณุ หภูมิและความกดดัน และมักจะมี “ร้วิ ขนาน” (Foliation) จนแลดเู ปน็ แถบลายสลบั สี บิดเป็นแบบลกู คลื่น ซ่งึ พบในหินชีสต์ หนิ ไนส์ ทง้ั นี้เปน็ ผลมา จากการการตกผลกึ ใหมข่ องแร่ในหิน ทัง้ น้ีริ้วขนานอาจจะแยกออกได้เป็นแผ่นๆ และมีผวิ หนา้ เรยี บ เนยี น เช่น หินชนวน การแปรสภาพบรเิ วณไพศาล หน้า 51 เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ส30103 ภมู ศิ าสตร์

ตารางหนิ แปร หินต้นกาเนดิ ภมู ิศาสตร์กายภาพ : หินแปร แรห่ ลกั หนิ แกรนิต คาอธิบาย ควอรตซ์ หนิ แปรเน้อื หยาบ มรี วิ้ ขนาน หยักคดโค้งไม่ เฟลดส์ ปาร์ สมา่ เสมอ สเี ข้มและจางสลับกนั แปรสภาพมา จากหินแกรนิต โดยการแปรสภาพบรเิ วณ ไมก้า ไพศาล ท่ีมีอุณหภมู สิ ูงจนแร่หลอมละลาย และตกผลกึ ใหม่ (Recrystallize) หนิ ไนซ์ (gneiss) หนิ แปรเนื้อละเอยี ด เนอ้ื ผลกึ คล้ายน้าตาล ทราย มสี เี ทา หรือสนี า้ ตาลอ่อน โดยการแปร ควอรตซ์ สภาพบริเวณไพศาลท่ีมีอุณหภูมิสงู มาก จน แรค่ วอรตซ์หลอมละลายและตกผลกึ ใหม่ จงึ มี หินควอรต์ ไซต์ หินทราย ความแขง็ แรงมาก (Quartzite) (Sandstone) หนิ แปรเนือ้ ละเอยี ดมาก เกิดจากการแปร สภาพของหินดินดานด้วยความร้อนและความ หินชนวน แรด่ นิ หนิ ดนิ ดาน กดอัดและเกดิ รอยแยกเปน็ แผ่นๆข้นึ ในตวั (Slate) เหนียว (Shale) โดยรอยแยกน้ีไมจ่ าเป็นต้องมีระนาบเหมือน การวางชน้ั หินดนิ ดานสามารถแซะเปน็ แผน่ ได้ หนิ แปร แร่หลัก หนิ ต้นกาเนิด คาอธบิ าย ไมกา้ หินแปรมีเน้อื เป็นแผ่น เกดิ จากการแปรสภาพ บรเิ วณไพศาลของหินชนวน แรงกดดนั และ หินชตี ส์ หินชนวน ความรอ้ นทาให้ผลึกแรเ่ รยี งตัวเปน็ แผน่ บางๆ (Schist) (Slate) ขนานกนั หนิ อ่อน แคลไซต์ หินแปรเนอื้ ละเอยี ดถึงหยาบ แปรสภาพมาจาก (Marble) หนิ ปนู โดยการแปรสัมผสั ทีม่ ีอุณหภูมิสูงจนแร่แคล หนิ ปูน ไซตห์ ลอมละลาย และตกผลึกใหม่ ทาปฏิกริ ิยากับ (Limestone) กรดทาใหเ้ กิดฟองฟู่ วัฏจกั รหิน (Rock cycle) เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภูมิศาสตร์ หนา้ 52

ภมู ิศาสตร์กายภาพ : ภาพ วฏั จกั รหิน สรุปของวัฏจักรหนิ แมกมาในชั้นแมนเทลิ แทรกตัวขึน้ สู่เปลอื กโลก เนอื่ งจากมีอณุ หภูมสิ งู ความหนาแน่นตา่ แรงดันสูง แมกมาทต่ี กผลึกภายในเปลือกโลกกลายเปน็ หนิ อัคนีแทรกซอน (มผี ลกึ ขนาดใหญ)่ ส่วน แมกมาท่ีเยน็ ตัวบนพ้นื ผวิ กลายเป็นหนิ อคั นีพุ (มผี ลกึ ขนาดเล็ก) หนิ ทกุ ชนิดเม่ือผุพงั สึกกร่อน จะถูกพัดพาใหเ้ ป็นตะกอน ทบั ถม และกลายเปน็ หนิ ตะกอนเม่ือ ถูกกดดัน หรอื ทาใหร้ อ้ น เน้ือแรจ่ ะตกผลกึ ใหม่ กลายเปน็ หินแปร หนิ ทกุ ชนิดเมื่อหลอมละลาย จะ กลายเป็นแมกมา เมื่อมนั แทรกตวั ขน้ึ สเู่ ปลอื กโลก จะเยน็ ตัวลงกลายเปน็ หนิ อคั นี กระบวนการเกิดวฏั จักรหินไมจ่ าเป็นต้องเรยี งลาดับ หนิ อัคนี หนิ ชน้ั และหินแปร การเปล่ียนแปลงประเภทหินอาจ เกิดขนึ้ ย้อนกลบั ไปมาได้ ขึน้ อยกู่ บั ปัจจยั แวดลอ้ ม หินท่ีมีซากดึกดาบรรพ์ เรามกั พบซากดึกดาบรรพฝ์ งั อยใู่ นหินตะกอน (Sedimentary rock) ซง่ึ เป็นหนิ ทีเ่ กิดจาก การทบั ถมของตะกอน และอาจพบซากดึกดาบรรพใ์ นช้นั ตะกอนทยี่ ังไม่แขง็ ตวั เป็นหนิ หรอื ก่ึง แข็งตัวเป็นหิน หินตะกอนทเ่ี รามักพบซากดึกดาบรรพจ์ ะมีลกั ษณะดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ตะกอนดนิ เหนียว (Clay) เป็นตะกอนเนื้อดินขนาดละเอยี ดมาก ยังไม่แข็งตัวเปน็ หิน มักมรี ากพืช และซากสิ่งมีชวี ิตต่างปะปน ตะกอนดนิ ที่มซี ากดกึ ดาบรรพ์อยูม่ กั มสี เี ทาดา ซากดึก ดาบรรพท์ ่ีพบมักสมบรู ณ์ท้ังตัว กระดูกหรอื เปลือกเดิมมีการเปล่ยี นแปลงน้อยมาก 2. ตะกอนหนิ ชั้นภูเขาไฟ (Pyroclastic sediments) เป็นตะกอนทภี่ ูเขาไฟพ่นออกมา อาจมที ั้งขนาดเล็กเป็นพวกเถ้าธลุ ีที่รอ้ นจัด ท้งั กรวด ทงั้ เศษหิน ซงึ่ อาจทบั ถมสง่ิ มชี ีวิตใหล้ ม้ ตายลง และกลายเปน็ ซากดึกดาบรรพใ์ นเวลาต่อมา 3. หินทราย (Sandstone) เปน็ หนิ ซึ่งประกอบดว้ ยเมด็ ทรายขนาดปานกลางถึงหยาบ ซากดึกดาบรรพ์ทพี่ บมักไมค่ ่อยสมบูรณ์ เน่ืองจากขณะตะกอนสะสมตัวนนั้ กระแสน้าค่อนขา้ งแรง ทาใหซ้ ากแตกหักได้ง่าย เอกสารประกอบการเรียนรายวชิ า ส30103 ภมู ิศาสตร์ หนา้ 53

ภมู ิศาสตร์กายภาพ : 4. หนิ ดินดาน (Shale) เปน็ หนิ เนอื้ ละเอยี ดมาก มักจะมรี อยชนั้ บางๆ เมอื่ บิ หรือทุบจะ แตกตามรอยช้ัน ขณะตะกอนเมด็ เลก็ ตกสะสมตัว นา้ ค่อนขา้ งนง่ิ เม่ือแขง็ ตวั เป็นหนิ ดินดานจึง สามารถเก็บรักษาซากดึกดาบรรพ์ได้ค่อนขา้ งสมบูรณ์ท้งั ตวั และมักจะนอนราบขนานกบั รอยชน้ั 5. หินโคลน (Mudstone) เป็นหนิ เนอื้ ละเอียดมากเชน่ เดยี วกับหนิ ดินดาน แตเ่ ม่อื ทุบจะ แตกเปน็ ก้อน หรอื บล็อกเล็กๆ ขณะท่ตี ะกอนเมด็ เลก็ สะสมตัวนา้ จะค่อนข้างน่ิง เม่ือแข็งตวั เป็นหนิ โคลนจึงสามารถเก็บรักษาซากดึกดาบรรพ์ได้สมบรู ณ์ท้ังตัว 6. หนิ กรวดมน ( Conglomerate) เปน็ หินซึง่ ประกอบด้วยเม็ดกรวด ซากดึกดาบรรพ์ใน หินชนิดน้ีมักแตกหักเปน็ ชนิ้ เล็กช้นิ น้อย เนอื่ งจากตะกอนสะสมตวั ในกระแสน้าค่อนข้างแรง บางคร้ัง อาจรุนแรงแบบกระแสน้าวน 7. หนิ ปนู (Limestone) เปน็ หินทเี่ กิดจากการตกตะกอนทางเคมขี องน้าทม่ี แี คลเซยี ม คารบ์ อเนตละลายอยู่มาก ซากดกึ ดาบรรพ์ที่พบมักเป็นสตั วท์ ะเล มที ัง้ สภาพทส่ี มบรู ณ์ท้ังตัวและ แตกหัก ขนึ้ อยกู่ ับสิ่งแวดล้อมขณะสะสมตัว ถ้าคลืน่ ไม่แรงนักมกั จะสมบรู ณ์ท้ังตวั แต่ถ้าคลน่ื หรอื กระแสน้ารนุ แรงมกั จะให้ซากดึกดาบรรพ์ท่ีแตกหกั 3). แร่ธาตุ แร่ (Mineral) คือ ธาตแุ ท้และสารประกอบทางเคมีทเ่ี กิดขึ้นเองตามธรรมชาติมีคุณสมบตั ิ ทางเคมีและฟสิ กิ ส์ทีเ่ ฉพาะตวั เชน่ สี ความวาว ความแขง็ หรือความเปน็ แม่เหลก็ สารประกอบ มกั ประกอบดว้ ยธาตุออกซิเจน กามะถนั หรอื ซลิ ิคอน พบมากกวา่ 2,000 ชนิด ท้งั ในดิน หิน น้า และในอากาศ โดยพบ 4 ลักษณะ คือ 1. สารประกอบอนินทรยี ท์ เ่ี ปน็ ของแข็ง แรส่ ่วนใหญ่จะมีลักษณะเชน่ นี้ 2. สารประกอบอนนิ ทรยี ท์ ี่เป็นของเหลว มี 3 ชนดิ คือ ปรอท โบรมีน และน้า 3. สารประกอบอนิ ทรียท์ ี่เกิดจากการแปรสภาพของส่ิงมีชวี ิต ไดแ้ ก่ ปิโตรเลยี ม และลกิ ไนต์ 4. ธาตุแท้ ไดแ้ ก่ ทองคา ทองคาขาว และเงนิ 3.1 การแบง่ ประเภทของแร่ จาแนกโดยยึดหลักการใช้ประโยชนแ์ ละพิจารณาสมบัติ ทางดา้ นฟสิ ิกส์ ทาใหส้ ามารถจาแนกออกเปน็ 2 กล่มุ ใหญๆ่ 3.1.1 แรโ่ ลหะ ( Metalliferous mineral) 3.1.2 แร่อโลหะ (Non - metalliferous mineral) 3.1.1. แร่โลหะ เปน็ แร่ที่มคี วามสาคัญและมคี ่ามาก มคี ุณสมบตั ิคือมีความเหนียว แขง็ รีดหรอื ตีออกเปน็ แผน่ และหลอมตวั ได้ มคี วามทึบแสง เป็นตัวนาความร้อนและไฟฟ้าไดด้ ี เคาะมเี สียง ดงั กังวาน เชน่ เหล็ก อะลูมเิ นียม แมงกานสี แมกนเี ซียม โครเมยี ม ทองแดง ตะกว่ั สังกะสี นิกเกิล ทองคา เงิน พลาตินัม วุลแฟรม ดีบุก เปน็ ต้น 3.1.2 แรอ่ โลหะ เปน็ แร่ทีม่ ลี ักษณะเปราะ แตก หรอื หกั ง่าย โปรง่ แสง ยอมให้แสงหรือ รังสผี า่ นได้ ไม่เปน็ ตัวนาความร้อนหรือไฟฟ้า เมอื่ เคาะไมม่ เี สียงดังกงั วาน มคี วามสาคญั ในการทา อุตสาหกรรมหลายชนดิ เช่น อุตสาหกรรมทาปุย๋ การกอ่ สร้าง เคมี เครื่องป้นั ดนิ เผา และทาสี เป็นต้น มหี ลายชนดิ เช่น ยปิ ซมั แบไรต์ ดินขาว แร่เกลอื หนิ กามะถนั ปนู เฟลสปาร์ ซิลิกา เพชร เกลือหรอื แร่หนิ เกลือ ( Halite ) เกิดจากการตกตะกอนสะสมจากน้าทะเลเกิดในบรเิ วณที่ ลุ่มนา้ เค็มหรือที่ตดิ ต่อกับทะเล หรอื ทท่ี ีเ่ คยเปน็ ทะเลมาก่อน เกลือธรรมชาติ มโี ซเดียมรอ้ ยละ 39.3 และธาตุคลอรนี ร้อยละ 60.7 แตอ่ าจมีแรอ่ น่ื เจือปนอยบู่ ้าง คอื แคลเซยี มซัลเฟต แคลเซยี ม เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภมู ิศาสตร์ หนา้ 54

ภูมศิ าสตร์กายภาพ : คาร์บอเนต และแมกนเี ซียมคลอไรด์ แร่เกลือหนิ ใช้ในอตุ สาหกรรมต่างๆ เชน่ เป็นวัตถดุ บิ ในการผลติ เคมภี ณั ฑ์ ผลิตโซดาแอช ฟอกและย้อมหนงั ทาปยุ๋ สบู่ ถลงุ แร่ เกบ็ รักษา ชว่ ยรกั ษาความเย็น ดนิ ขาวหรือเกาลนิ ( Kaolin ) ลกั ษณะคล้ายดินเหนียวมสี ขี าวเกิดจากการแปรสภาพ เนอื่ งมาจากการผุสลายของหินแกรนิตท่ีถกู นา้ พัดพาไปทบั ถมตามแหล่งน้า จงึ รวมตวั เป็นแหล่งดินขาว เป็นจานวนมาก ใชท้ าเคร่ืองป้ันดนิ เผาทุกชนิด ทาอิฐ กระเบ้ืองเคลือบ อุตสาหกรรมทากระดาษ ยาง และสี ยังมแี ร่ธรรมชาตทิ นี่ ามาทาเป็นเชอื้ เพลงิ เพ่อื กอ่ ให้เกดิ พลงั งานนอกจากนย้ี ังมี ถา่ นหิน และ แรน่ ิวเคลยี ส์ ถ่านหนิ เป็นแรเ่ ชื้อเพลงิ ที่มีสถานะเป็นของแข็ง มีความเปราะมีสีตา่ งๆ เชน่ สีดา น้าตาล น้าตาลแกมดา และนา้ ตาลเข้ม เกดิ จากการทับถมและแปรสภาพจากพชื มี 4 ชนดิ คือ พีท เป็นถ่านหนิ ขัน้ เริ่มแรก เนือ้ ยังไม่แข็ง มคี วามพรนุ มีคารบ์ อนอยปู่ ระมาณ 60 % ใช้เป็น เชือ้ เพลงิ ไม่ดนี ัก ลิกไนต์ หรือถ่านหินสนี า้ ตาลไมค่ ่อยแข็ง เปราะ แตกหักง่าย มีเปอรเ์ ซนต์ความชนื้ กา๊ ซและ เขมา่ ควนั มาก ลิกไนตจ์ ะเปน็ ถา่ นหนิ ทมี่ ีอายนุ ้อยท่สี ดุ และมคี ุณภาพต่าสดุ มีคารบ์ อนน้อยคือ ประมาณ 65 - 70 % จงึ ให้ความร้อนน้อยกวา่ ถ่านหินชนิดอื่นเผามีควนั และเถา้ บิทมู ินสั เป็นถา่ นหินท่มี ีสนี า้ ตาลแกมดา มีคารบ์ อนอย่ปู ระมาณ 80 % มคี ณุ ภาพปานกลาง อยูร่ ะหวา่ งลกิ ไนตแ์ ละแอนทราไซต์ให้ความร้อนสงู แต่มเี ขมา่ ควนั มาก กล่นิ แรง เปลวไฟสเี หลอื ง เป็น ถา่ นหนิ ที่ใชก้ ันมากในโรงงานอุตสาหกรรมทว่ั ไป แอนทราไซท์ เป็นถ่านหินทีม่ ีคุณภาพดมี าก มสี ดี า มคี วามแววเป็นมนั มีคารบ์ อนร้อยละ 85 - 93 % ให้ความร้อนสงู สุดแต่ตดิ ไฟยากกว่าชนิดอ่ืนๆ เกิดการลุกไหมช้ ้าๆ และนานกวา่ ชนดิ อน่ื มี ควนั และ กลิ่นนอ้ ย เปลวไฟสอี อ่ น จึงนิยมนามาใช้ในเตาผิงในบ้านเขตอากาศหนาวเพื่อให้ความ อบอนุ่ แรน่ ิวเคลียร์ หมายถึง แร่ทีม่ กี ารแตกตัวของนวิ เคลียสของธาตซุ ่ึงไม่เสถียร เน่ืองจากมี พลังงานส่วนเกนิ อยภู่ ายในนวิ เคลยี สมากจงึ ต้องถา่ ยเทพลังงานส่วนเกนิ นีอ้ อกมาเพื่อให้กลายเปน็ อะตอมของธาตุที่เสถยี ร แรน่ วิ เคลียรม์ ี 2 ชนดิ คอื 1). แร่กมั มันตภาพรังสี เป็นแร่ทมี่ ีสมบตั ใิ นการปล่อยรงั สอี อกจากตัวเองเปน็ คลื่นส้ันอย่าง ต่อเนือ่ งตลอดเวลา ซง่ึ ไม่สามารถมองเหน็ ได้แก่ ยูเรเนยี ม ทอเรียม 2). แรท่ ีไ่ ม่สง่ กมั มันตภาพรงั สีออกมา ใช้ประโยชนใ์ นการควบคุมการแตกตวั ของนวิ เคลยี ส ของแร่กมั มันตภาพรังสี ได้แก่ เมอริลและโคลัมเนยี ม นา้ มันดิบ มสี ถานะเปน็ ของเหลว มอี งค์ประกอบส่วนใหญ่เปน็ สารประกอบของไฮโดรเจน และคารบ์ อน จึงถูกเรียกว่าเป็นสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน ที่พบบ่อยที่สุดมสี ีนา้ ตาลแกมเขยี ว สีอน่ื ท่ีพบ เชน่ สเี หลืองเข้ม นา้ ตาลเกอื บ นา้ มนั ดิบเกดิ จากการทับถมของสิง่ มชี ีวติ ท้ังพชื และสัตว์ในสมัยอดตี มีหินปูน ดนิ เหนียว ทราย และอนื่ ๆ ตกตะกอนทับถมมาเปน็ ช้นั ๆ ตอ่ มาเมื่อมีการเปล่ียนแปลงทางดา้ นของแรงกดดันและ อณุ หภมู ิในชน้ั หิน ทาใหเ้ กิดการแปรสภาพทางเคมีและฟสิ ิกส์กลายเปน็ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน เป็น นา้ มันดิบแทรกตวั อยใู่ นเน้ือของหนิ ดินดาน หินทรายและหินปนู ที่มเี น้อื พรนุ กา๊ ซธรรมชาติ เกดิ เชน่ เดียวกบั นา้ มันและถ่านหินเปน็ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่อยใู่ น เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภมู ิศาสตร์ หน้า 55

ภูมิศาสตร์กายภาพ : สถานะของก๊าซ สว่ นใหญ่ประกอบไปด้วยกา๊ ซมเี ทน และะยังได้จากการกลัน่ น้ามนั และอาจกลนั่ หรอื สกดั จากขยะหรือโรงกาจัดของเสียต่างๆ 1.2.2. ลักษณะภมู ิประเทศ (Landforms) ลักษณะภมู ปิ ระเทศ หมายถึง ลกั ษณะของเปลอื กโลกท่ปี รากฎให้เห็นเป็นรูปแบบตา่ งๆ เช่นที่ ราบ เนนิ เขา ห้วยหนอง คลองบึง แมน่ า้ ลาธาร ทะเล ทะเลสาบ 1). ลกั ษณะภูมปิ ระเทศแบง่ ออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ 1. ลกั ษณะภูมปิ ระเทศท่ปี รากฎเดน่ ชดั (Major Landforms) หมายถงึ ลกั ษณะภูมิประเทศที่ ปรากฎให้เหน็ เปน็ รูปแบบต่างๆ อยา่ งเดน่ ชดั ท่สี าคัญ มี 4 ชนดิ ไดแ้ ก่ ท่รี าบ ทรี่ าบสูง และภูเขา 2. ลกั ษณะภูมปิ ระเทศทไ่ี มป่ รากฎเด่นชดั (Minor Landform) หมายถงึ ลักษณะภูมปิ ระเทศที่ ปรากฎใหเ้ หน็ เป็นรปู แบบต่างๆ ทส่ี าคญั รองลงมา เช่น แม่น้า ลาธาร หว้ ย หนอง คลอง บึง ทะเล 2). ลักษณะภูมปิ ระเทศทีส่ าคัญ 1. ทีร่ าบ (plains) หมายถึง ภูมปิ ระเทศที่เปน็ ทแ่ี บนราบ ซึ่งอาจจะราบเรยี บหรอื มีลักษณะสูง ต่าเลก็ นอ้ ย โดยปกติความสงู ของพน้ื ท่จี ะแตกตา่ งกันไม่เกิน 150 เมตร เชน่ ทร่ี าบลุ่มแม่น้าเจา้ พระยา ในภาคกลาง ทีร่ าบโคราชในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เป็นตน้ ที่ราบแบ่งออกได้เป็น 4 ชนดิ ได้แก่ 1) ที่ราบแบน (Flat Plains) คอื ทรี่ าบที่มีความสูงต่าต่างกัน ไม่เกิน 15 เมตร 2) ที่ราบลกู ฟูก (Undulating Plains) คอื ทร่ี าบท่ีมีความสูงต่าต่างกันตง้ั แต่ 15-45 เมตร 3) ท่ีราบลูกระนาด (Rolling Plains) คือ ทีร่ าบที่มีความสงู ต่าตา่ งกัน ไม่เกิน 45-90 เมตร 4) ท่ีราบขรขุ ระ (Rough Dissected Plains) คอื ทร่ี าบทม่ี ีความสงู ตา่ ต่างกัน ต้ังแต่ 90-150 เมตร 2. ท่ีราบสูง (plateaus) หมายถงึ ภูมปิ ระเทศที่อยสู่ งู จากระดบั ผิวรอบตง้ั แต่ 300 เมตร ข้ึน ไป โดยปกติทรี่ าบสูงมกั มีขอบสูงชนั อยา่ งน้อย 2 ดา้ น ขอบสงู ชันของ ทรี่ าบสูงเรียกวา่ ผาชัน หรอื ผาตง้ั (Escarpment) ทร่ี าบสูงแบง่ ออกเปน็ 3 ชนดิ คอื 2.1 ที่ราบสูงเชิงเขา (Piedmont plateous) เปน็ ท่ีราบสงู อยู่ระหวา่ งภูเขากับทะเล เช่น ทรี่ าบสูงปาตาโกเนยี ที่ราบสูงโคโลราโด 2.2 ทร่ี าบสูงระหวา่ งภูเขา (Intermontane Plateaus) เป็นทีร่ าบสงู อยู่ระหวา่ งภูเขา หรือ ท่รี าบสงู ท่มี ภี เู ขาขนาบไวส้ องดา้ นหรอื สามดา้ นเชน่ ท่ีราบสูงทิเบต ท่ีราบสงู อนาโตเลีย 2.3 ท่ีราบสูงในทวปี (Continental Plateaus) เปน็ ทรี่ าบสูงทมี่ ที ่ีราบ หรอื ทะเลล้อมรอบ เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ ทรี่ าบสงู รปู โต๊ะ (Tablelands) เชน่ ท่ีราบสงู อาหรับ ที่ราบสูงเดคคาน 3. เนนิ เขา (Hills) หมายถงึ พน้ื ท่ีท่ีมรี ะดบั สงู ขนึ้ จากบริเวณรอบๆ แตไ่ มส่ ูงมากเทา่ ภเู ขา มี ความแตกต่างของระดับพื้นที่ประมาณ 150-600 เมตร เชน่ เขาวัง ที่จงั หวัดเพชรบรุ ี เขาวงพระจนั ทร์ และเขาพระงาม จังหวดั ลพบุรี เปน็ ตน้ เนนิ เขาแบง่ ออกเป็นประเภทใหญๆ่ ได้ 2 ประเภท คือ 3.1 เนินเขาท่เี กดิ จากการสร้างของภมู ิประเทศ (Structural Hills) เป็นเนินเขาทเ่ี กดิ จาก การเปล่ียนแปลงทางธรณวี ทิ ยา ทาใหด้ ินมีความสงู ข้นึ มสี ภาพเปน็ เนินเขา 3.2 เนนิ เขาท่ีเกิดจากการกัดกร่อนพังทลาย (Erosional Hills) เปน็ พ้นื ทีท่ ส่ี งู มาแตเ่ ดิมแล้ว ถกู กัดกร่อนผุพังจนความสงู ลดลงเหลือเท่าระดบั เนินเขา 4. ภูเขา (Mountains) หมายถึง ภูมิประเทศท่ีมีความสูงจากพื้นบรเิ วณรอบๆคลา้ ยเนนิ เขา แตม่ ีความแตกต่างของระดบั พน้ื ที่ ต้ังแต่ 600 เมตรขน้ึ ไป เชน่ ภูเขาผปี ันน้า ภเู ขาถนนธงชัย เปน็ ต้น เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ส30103 ภมู ิศาสตร์ หน้า 56

ภูมิศาสตร์กายภาพ : ภเู ขาแบง่ ตามลักษณะการเกิดได้ 5 ชนิด คอื 4.1 ภเู ขาโก่งตวั (Folded Mountains) เปน็ ภเู ขาท่เี กดิ จากการแรงอดั ในแนวขนานทาให้ เปลอื กโลกหดตวั หรอื เกิดจากการเคล่ือนท่ีของเพตลมาชนกนั และดนั ตัวทาให้เกดิ การคดงอของ เปลอื กโลก เช่นเทอื กเขาหมิ าลัย ภูเขาหมิ าลยั : ท่มี าจาก thepochisuperstarmegashow.com 4.2 ภูเขาเล่ือนตัว (Fault หรอื Block Mountains) เป็นภูเขาทเ่ี กิดจากรอยเลื่อนระดับ ทา ให้พ้ืนท่ีหน่ึงถูกยกขึน้ เป็นภูเขา หรอื เกดิ จากการหักตวั แลว้ ตอ่ เหลื่อม ทาให้เอยี งด้านใดด้านหน่งึ ข้ึน เปน็ ภูเขา ลกั ษณะเปน็ ภูเขาด้านขา้ งชันและยอดราบ 4.3 ภูเขารปู โดม (Domed Mountains) เปน็ ภูเขาทเ่ี กดิ จากการดันตัวขน้ึ มาของหินหนดื ขนึ้ มาบนผิวโลกแต่ยังไมท่ นั พ้นผิวโลกและเยน็ ตัวเสียก่อน ภเู ขารูปโดมจะปรากฏเม่ือหนิ ช้นั ท่เี คยถูก ทับถมอยู่สึกกร่อนไปหมด เช่น แบลค็ ฮิลสแ์ ละรัชมอร์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ภูเขารัชมอร์ 4.4 ภูเขาไฟ (Volcanic Mountains) เป็นภเู ขาทเี่ กิดจากหนิ หนดื ดันตัวขึน้ มาพ้นผิวโลก กลายเป็นลาวา (Lava) แข็งตัวและทับถมกนั สงู ขนึ้ จนกลายเป็นภูเขา มกั มลี ักษณะคลา้ ยรูปกรวย 4.5 ภเู ขาแบบผสม (Complex Mountains) เป็นภเู ขาทีม่ ีลกั ษณะภเู ขาทัง้ 4 แบบข้างตน้ รวมกนั 5. หบุ เขา หมายถึงพน้ื ทท่ี ต่ี ่าระหวา่ งทส่ี ูง แบ่งออกเปน็ 2 ชนดิ 5.1 หุบเขาขนาน (parallel valleys) หุบเขาท่ีขนานกับเทือกเขาเกดิ ข้นึ พร้อมๆกบั ภเู ขา เอกสารประกอบการเรียนรายวชิ า ส30103 ภมู ศิ าสตร์ หนา้ 57

ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : 5.2 หุบเขาตามขวาง (lateral valleys) หบุ เขาท่เี ช่ือมหุบเขาขนานสองแห่ง เกิดจากการ กดั เซาะของแม่น้า ธารนา้ แข็ง อาจมีแม่น้าไหลผา่ น 2.3 ลักษณะภูมอิ ากาศ ความแตกตา่ งของลมฟา้ อากาศ (Weather) กับภมู อิ ากาศ (Climate) กาลอากาศ (Weather) หมายถึง สภาวะของอากาศท่ปี รากฏอยู่ในบรรยากาศในเวลาใด เวลาหนึ่งทอี่ าจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เชน่ ระยะเวลา 1 วนั หรอื ขณะท่ีฝนตกเราเรยี กว่า อากาศชื้น เปน็ ต้น ภูมอิ ากาศ (Climate) หมายถงึ สภาวะอากาศโดยเฉล่ยี ของบรรยากาศในระยะเวลาที่นาน เปน็ ปี ๆ ตามท่ีปรากฏในท่ีใดทีห่ นงึ่ มกี ารวดั หรือจดบนั ทกึ เอาไว้ เชน่ การจดบนั ทึกระดับอุณหภมู ิ ปริมาณนา้ ฝนในช่วงเวลาหลาย ๆ ปีของสถานวี ัดตรวจอากาศที่กรงุ เทพมหานคร 2.3.1. องค์ประกอบของลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศ 1. อณุ หภูมิของอากาศ 2. ความกดดนั ของอากาศ 3. ลม ทิศทางและความเร็วของลม 4. ความชุ่มช้ืนในบรรยากาศ ( เมฆ,หมอก,นา้ ฝน,ความชื้น) ปจั จัยท่คี วบคมุ ลมฟา้ อากาศและภมู ิอากาศ 1. ที่ตั้ง ละติจูด 2. กระแสนา้ ในมหาสมุทร 3. ความกดอากาศ สูง ต่า ในบรเิ วณตา่ งๆ ทาให้เกิดการเคล่อื นทีข่ องลม 4. ความแตกตา่ งระหวา่ งพน้ื ดินและพน้ื น้า ทาใหเ้ กดิ ความแตกต่างของอุณหภูมิ 5. ความสงู ตา่ ของแผ่นดิน 6. การวางตัวของแนวเทือกเขาขวางก้ันทิศทางลมหรอื ไม่ คาถาม : ทาไมพื้นทีต่ า่ งๆของโลกจงึ มีความรอ้ นไมเ่ ท่ากัน พลังงานที่โลกได้รบั จะมากหรือน้อยขึน้ อยู่กับองคป์ ระกอบ 2 ประการ 1. มุมของแสงอาทิตย์ทีส่ ่องมายงั พ้ืนโลก ( มุมฉากจะไดร้ ับความร้อนมากกวา่ แสงที่ตกเฉียง) บรเิ วณท่ีอย่ลู ะตจิ ูดต่า ย่อมได้รบั แสงตรงมากกว่าบรเิ วณขั้วโลก 2. ระยะความยาวของแสงท่ีส่องมายังพื้นโลก ถ้าส่องอยู่นาน ย่อมร้อนกว่าส่องแสงอยู่ ระยะเวลาสน้ั 2.3.2. การจาแนกภูมิอากาศ ดร.วลาดเิ มียร์ เคปิ เปน แหง่ มหาวิทยาลัยกราซ ประเทศออสเตรีย ไดแ้ บ่งภูมิอากาศ โดยยึด อณุ หภูมิ ความช้ืน พืชพรรณธรรมชาติ ออกเป็น 5 ประเภทใช้สัญลกั ษณอ์ ักษรตัวใหญค่ ือ A, B, C, D และE และสัญลกั ษณ์ตวั อกั ษรเล็ก แสดงสัญลกั ษณ์ของความชนื้ ของฤดกู าล แสดงอย่ใู นภมู ิอากาศแบบ A, C, D มอี ักษร f หมายถงึ ไม่มีฤดแู ลง้ s หมายถงึ ฤดูร้อน w หมายถงึ ฤดู หนาว S ,W แสดงภูมิอากาศย่อยของอากาศแบบ B S หมายถงึ ภมู ิอากาศแบบก่ึงทะเลทราย W หมายถงึ ภมู ิอากาศแบบทะเลทราย เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ส30103 ภูมศิ าสตร์ หนา้ 58

ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : T , F แสดงภูมิอากาศย่อยของอากาศแบบ E T หมายถงึ ภมู ิอากาศแบบทุนดรา F หมายถึงภมู ิอากาศแบบพืดนา้ แข็ง การแบ่งเขตอากาศมีดังนี้ 1. แบบ A ภูมอิ ากาศเขตรอ้ นชื้น (Tropical Climates) ลักษณะภมู ิอากาศแบบน้ีคือ อุณหภมู ิเฉล่ยี ของทกุ เดือนจะไม่ต่ากว่า 64.4 ºF (18 ºC) ภมู ิอากาศแบบนี้ไม่มฤี ดหู นาว แบง่ เปน็ 3 แบบ 1.1 แบบป่าฝนเมืองร้อน (Af) 1.2 แบบมรสุม(Am) 1.3 แบบสะวันนา(Aw) 2. แบบ B ภมู ิอากาศแบบแหง้ แลง้ (Dry Climates) คอื การระเหยของน้าจะมีมากกวา่ ปรมิ าณนา้ ฝนท่ีตกลงมาแบ่งได้เปน็ 2 แบบ 2.1 แบบทะเลทราย (BW) BWh, ทะเลทรายเขตร้อน BWk ทะเลทรายเขตอบอุ่น 2.2 แบบกึ่งแหง้ แล้งหรอื ท่งุ หญ้าสเตปป์ (BS) แบ่งเปน็ BSh ทุ่งหญ้าสเตปป์เขตร้อน ,BSkท่งุ หญ้าสเตปป์เขตอบอ่นุ 3. แบบ C ภูมิอากาศแบบอบอนุ่ หรอื ภูมอิ ากาศอุณหภูมิปานกลาง (Warm Temperate) คือเดือนที่หนาวเย็นท่สี ดุ จะมอี ุณหภูมเิ ฉล่ียต่ากว่า 64.4 ºF แต่ไมต่ ่ากว่า 26.6º F (-3ºC) แบ่งเป็น 3 แบบ 3.1 อบอุ่นชืน้ ไม่มีฤดแู ล้ง (Cf) เดือนที่แหง้ แล้งท่ีสดุ ของฤดรู อ้ นปริมาณนา้ ฝนมากกว่า 3 ซ.ม. 3.2 อบอุน่ ชืน้ ที่มฤี ดหู นาวแลง้ (Cw) ฤดรู อ้ นชุมชน้ื 3.3 แบบเมดิเตอรเ์ รเนียน (Cs)ฤดรู อ้ น รอ้ นและแหง้ แล้งฤดูหนาวอบอ่นุ ชมุ่ ช้ืน ฝนสว่ น ใหญต่ กในฤดูหนาว 4. แบบ D ภมู ิอากาศชื้นแบบอุณหภูมิต่า (Snow) ลักษณะนี้คือ เดอื นทีห่ นาวทส่ี ุดมี อณุ หภมู ิเฉลย่ี ต่ากวา่ 26.6 ºF(-3ºC) ส่วนทร่ี อ้ นท่สี ดุ คือ 50º F(10ºC) พ้ืนดินเปน็ น้าแข็งมหี ิมะปก คลมุ หลายเดือน แบง่ เป็น 2 แบบคือ 4.1 ภมู ิอากาศแบบหนาวเยน็ ฤดูหนาวชุ่มชื้น (Df)ไมม่ ฤี ดูแล้ง 4.2 ภูมอิ ากาศแบบหนาวเย็น ฤดหู นาวแห้งแลง้ (Dw) 5. แบบ E ภูมิอากาศแบบขัว้ โลก (Ice Climate) คอื ไม่มเี ดือนใดที่มีอุณหภมู เิ ฉลีย่ สูงกว่า 50º F ( 10º C) แบง่ เปน็ 2 แบบ 5.1 แบบทุนดรา (Tundra Climate) (ET) อณุ หภมู ิฤดรู ้อนต่ากวา่ 10ºC สูงกว่า 0ºC มี พืชพรรณธรรมชาตเิ ลก็ น้อยและฤดูร้อนสนั้ 5.2 แบบเขตนา้ แข็งข้ัวโลก (Ice Cap Climate)(EF) หรือทงุ่ น้าแขง็ พืดน้าแข็ง อณุ หภมู ิ ทุกเดือนเฉลย่ี จะต่ากว่า 0ºC อยแู่ ถบขัว้ โลกไม่มีพืชพรรณธรรมชาติข้นึ อยแู่ ถบทวีปแอนตารก์ ติก เกาะกรนี แลนด์ และขั้วโลกเหนอื ศาสตาจารย์ เกลน ที เทรวารธ์ า(Glenn T. Trewartha) นักอากาศวทิ ยาชาวอเมรกิ ัน ไดน้ าวธิ กี ารของ เคปิ เปนมาดดั แปลงแบง่ เขตอากาศเป็น 5 ประเภทใหญ่ แต่ละประเภทแบง่ เปน็ ประเภทย่อยๆ และอธิบายว่าภูมอิ ากาศเกิดท่ีบริเวณใดและระบุพืชพรรณธรรมชาติ ดงั นี้ เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภูมศิ าสตร์ หน้า 59

ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : 1. ภูมอิ ากาศเขตอากาศรอ้ นช้นื (A) อยู่ ละติจตู 20º เหนือถึงละติจูต 20º ใต้ และเขต ย่อยแบง่ เปน็ 3 ประเภท 1.1 แบบรอ้ นชื้น Af พชื พรรณธรรมชาตเิ ป็นปา่ ดงดบิ (เซลวาส) มีใบใหญเ่ ขียวอุ่มตลอด ปี ขนึ้ หนาทึบ ลาตน้ สงู อณุ หภูมสิ ูงตลอดปี อยบู่ รเิ วณเสน้ ศนู ยส์ ูตรถงึ ละตจิ ูต 5º หรอื 10º ปรมิ าณนา้ ฝนมากกว่า 1,524 มิลลิเมตรต่อปี 1.2 แบบมรสมุ Am พืชพรรณธรรมชาตเิ ป็นปา่ เซลวาสต้นไม้ขน้ึ หนาแนน่ จนถึงปา่ ไม้ ผลัดใบและทงุ่ หญ้า พบบริเวณชายฝ่ังทะเลต้นลมระหวา่ งละตจิ ตู 15º - 20º อยู่ระหว่างปา่ อากาศ แบบปา่ ฝนเมอื งร้อนกบั ภูมอิ ากาศแบบสะวนั นา ปรมิ าณนา้ ฝน ไมเ่ กนิ 2,920 มิลลเิ มตรต่อปี 1.3 แบบทุ่งหญา้ สะวนั นา Aw หรอื รอ้ นชืน้ สลบั แลง้ ฤดฝู นสนั้ ฤดแู ลง้ ยาวนาน พบท่ี บรเิ วณระหวา่ งละติจตู 5º หรือ 10º เหนือและใต้ถึง 15º หรือ 20º พืชพรรณธรรมชาติป่าทบึ จนถึงทุ่งหญา้ หรือทุ่งหญ้าสลบั ปา่ โปรง่ ผลัดใบในฤดูร้อนปริมาณน้าฝนเฉลย่ี 1,011 - 1,524 มิลลเิ มตรตอ่ ปี ฝนส่วนใหญ่ตกในฤดรู ้อนเพราะร่องความกดอากาศตา่ แถบศูนย์สูตรเล่ือนขนึ้ มา บรเิ วณนี้ 2. ภมู ิอากาศแบบแห้งแลง้ ( B) การระเหยของน้าจากพ้ืนดินและพชื พรรณธรรมชาติจะมี มากกว่าหยาดน้าฟ้าทีต่ กลงมา อยูล่ ะตจิ ูตที่ 15º-20º และละตจิ ตู ท่ี 30ºแบ่งไดเ้ ป็น ภูมอิ ากาศแบบแห้งแลง้ เขตรอ้ น อยู่ละตจิ ูตท่ี 15º- 35º เหนือและใต้ 2.1 ทะเลทรายเขตร้อน (BW)แบง่ เปน็ BWh ทะเลทรายละติจตู ตา่ เกือบไมม่ ีฝนตกเลย หรือบาง คร้ังฝนตกแต่ไม่ถึงพ้ืนดิน เพราะระเหยไปหมด กลางอุณหภูมิสูงและลดลงตอนกลางคนื ปรมิ าณนา้ ฝน 250 – 380 มิลลิเมตร บางแหง่ อาจนอ้ ยกวา่ เช่นทะเลทรายสะฮาราฝนตกนอ้ ยกว่า 127 มลิ ลิเมตรต่อปี BWk ทะเลทรายเขตอบอุ่น พบบรเิ วณใจกลางทวปี ห่างจากมหาสมทุ รเชน่ ในเอเชยี และอเมรกิ าเหนืออุณหภมู แิ ตกตา่ งกนั มากระหวา่ งฤดูร้อนและฤดูหนาว ฤดูรอ้ นบางแห่งอณุ หภมู ิสงู ถงึ 47.7ºC ฤดูหนาวอุณหภมู ิ -10ºC 2.2 แบบทงุ่ หญ้าสเตปป์เขตรอ้ น (BS) แบง่ เป็น BSh ทงุ่ หญา้ กงึ่ ทะเลทรายละตจิ ูตต่า พบอยรู่ อบภมู อิ ากาศแบบทะเลทรายเป็นเขตท่ี เช่อื มระหวา่ งทะเลทรายกบั ภูมอิ ากาศชื้น ปรมิ าณน้าฝนน้อย ไมแ่ น่นอน ใช้พน้ื ที่เล้ียงสัตว์ BSk ทงุ่ หญา้ กงึ่ ทะเลทรายเขตอบอุ่น 2.3 แบบแห้งแล้งและเย็นภาคพน้ื สมทุ ร (Bn) พบแถบชายฝง่ั ท่ีมีกระแสน้าเยน็ ไหลเรียบ ชายฝัง่ เชน่ เปรู ชิลี ทะเลทรายคาลาฮารีในแอฟริกาตะวนั ตกเฉียงใต้ 3. แบบ C ภมู ิอากาศแบบชืน้ อุณหภูมิปารกลาง (Warm Temperate) คอื มีความแตกต่าง ของฤดูรอ้ นและฤดหู นาวชัดเจน เดือนทห่ี นาวเย็นทสี่ ุดจะมีอุณหภูมิ 18ºC ถงึ -3ºC แบ่งเปน็ 3 ประเภท 3.1 แบบเมดิเตอร์เรเนียน (Cs)หรอื กึ่งโซนร้อนฤดูแล้ง ตั้งอยปู่ ระมาณละตจิ ูตท่ี 30º – 40º เหนือ ใต้และ มีลักษณะอากาศคือฤดูร้อน ร้อนและแหง้ แลง้ ท้องฟา้ แจ่มใส ฤดูหนาวอบอนุ่ ชุม่ ชนื้ ฝนส่วนใหญต่ กในฤดูหนาว ปริมาณน้าฝนประมาณ 380 – 630 มิลลเิ มตร พืชพรรณธรรมชาติ ไม้พุ่มเตี้ยใบแขง็ หนา เขยี วชอุ่มตลอดปี 3.2 อบอ่นุ ชน้ื ท่ีมีฤด(ู Cw) ตง้ั อยู่ทางตะวนั ออกและตะวันตกของทวีป ปรมิ าณหยาดน้าฟา้ มี มากกว่าแบบเมดิเตอร์เรเนยี น ฝนส่วนใหญต่ กในฤดรู ้อน ฤดรู ้อนช่มุ ช้ืน ต้ังอยูป่ ระมาณละติจูตที่ เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภูมิศาสตร์ หนา้ 60

ภมู ิศาสตร์กายภาพ : 25º - 35ºหรือ 40º เหนอื และใต้ พืชพรรณธรรมชาติเปน็ ป่าไม้ใบกว้าง ผลัดใบและไม่ผลัดใบ พวกไซ เปรส สนไพน์ โอค๊ 3.3 อบอุ่นช้นื ภาคพื้นสมทุ รชายฝงั่ ตะวนั ตก (Cb) ตงั้ อยู่ประมาณละติจตู ท่ี 40º หรอื 45º ถงึ 60º เหนอื และใต้ ติดอยู่กับอากาศแบบภาคพื้นทวีปและเมดเิ ตอรเ์ รเนียน พบทางตะวนั ตกของ ทวีปได้รบั อิทธิพลจากลมตะวันตกและนา้ ทะเลที่ลมพดั มฝี นตกตลอดปี ฤดูร้อนอากาศค่อนข้างหนาว เย็น ฤดูหนาวอากาศไม่ตา่ มาก ถ้าอยบู่ ริเวณท่ีกระแสน้าอุ่นไหลผา่ นอุณหภูมจิ ะสูงขน้ึ ฤดูร้อน อุณหภมู ิตา่ กวา่ 22ºC ฤดูหนาวอณุ หภูมิสงู กว่า 10º C ฝนตกหนกั ในฤดหู นาวแตกต่างตามลกั ษณะ ภมู ิประเทศ บรเิ วณทีล่ มประจาตะวนั ตกพดั ปะทะภูเขาปริมาณน้าฝน 2,540 – 3810 มิลลเิ มตรต่อปี ท่ีสงู จะมีหิมะตก พืชพรรณธรรมชาติ ปา่ ไมผ้ ลดั ใบ โอ๊ค บีช เอลม์ สน สปรู ซ 4. แบบ D ภูมอิ ากาศช้นื แบบอณุ หภมู ิตา่ ลักษณะนี้คือ เดอื นท่หี นาวที่สดุ มีอุณหภมู ิเฉลยี่ ตา่ กว่า -3º C สว่ นที่ร้อนทีส่ ุดคอื 10ºC ตัง้ อยลู่ ะตจิ ดู 40º – 60º หรือ 65º เหนอื พื้นดินเป็นนา้ แข็งมี หิมะปกคลุมหลายเดือน แบง่ เปน็ 2 แบบคอื 4.1 ภมู อิ ากาศแบบชน้ื ภาคพืน้ ทวปี (Da,Db)อยู่ละตจิ ดู 35º หรอื 40º เหนือ ฤดหู นาว หนาวจดั ฤดูร้อนอบอุน่ ถึงร้อนจัด อณุ หภมู ิ ฤดูร้อน 18º - 24ºC ฤดหู นาวไมส่ ูงกวา่ 0ºC ถงึ -5º C ปรมิ าณหยาดนา้ ฟา้ ในฤดรู ้อนเป็นฝนพาความร้อนมีปรมิ าณ 350 – 1,020 มิลลเิ มตรตอ่ ปี ฤดหู นาว ฝนเกดิ จากพายหุ มุน พืชพรรณธรรมชาติเปน็ ป่าไม้ผลดั ใบ ป่าสน หากบริเวณท่ีฝนตกน้อยพชื พรรณ ธรรมชาติเปน็ ทุง่ หญา้ แพรรี ถ้าลึกเขา้ ไปในทวีปทางตะวันตกเป็นทุง่ หญ้าสเตปป์ 4.2 ภูมิอากาศแบบกึ่งอาร์กติก หรือไทกา( Dc,Dd) ตัง้ อย่ปู ระมาณละติจตู ท่ี 50º - 55º หรอื 65º เหนอื ซกี โลกใตไ้ ม่มภี มู ิอากาศแบบน้ี อุณหภูมฤิ ดหู นาวยาวนานอุณหภูมิ - 68º C กลางคนื ยาว กลางวนั สนั้ ฤดรู ้อนกลางวนั ยาวนานมากที่ละติจูต 65º เหนือเห็นแสงอาทติ ย์ 22 ชว่ั โมง ปริมาณหยาดนา้ ฟ้า 380 – 500 มลิ ลเิ มตร พืชพรรณธรรมชาติ ไมเ้ นอื้ ออ่ นป่าสนและแผลัดใบ ซดี าร์ สปูรซ์ ไพน์ เบริ ์ช 5. แบบ E ภมู อิ ากาศแบบขัว้ โลก (Ice Climate) คือ ไมม่ ีฤดรู ้อนที่แท้จริงตง้ั อยู่เขตละติจตู ใกลข้ ้ัวโลกเปน็ แหล่งกาเนิดมวลอากาศขัว้ โลก แบ่งเปน็ 2 ประเภท 5.1 ภุมิอากาศแบบทุนดรา (ET) สว่ นใหญอ่ ยูบ่ รเิ วณซีกโลกเหนือ อณุ หภูมิฤดูรอ้ นต่ากวา่ 10ºC สงู กว่า 4 ºC ฤดูหนาวอุณหภมู ิเฉล่ียตา่ กว่า -18º C หยาดนา้ ฟา้ มาจากพายหุ มุนตกในรปู ฝน 250-300 มลิ ลเิ มตร ฤดูหนาวมหี มิ ะตก พืชพรรณธรรมชาติ มอส ตะไคร่นา้ ไลเคน หญ้าเซดจ์แอ สเพน เบริ ์ช 5.2 ภมู ิอากาศแบบพืดนา้ แข็ง (EF) อณุ หภมู ทิ กุ เดือนเฉล่ียจะตา่ กวา่ 0ºC ช่วงท่ีรอ้ นสุด อุณหภมู ิ -10 º C มี 3 เดอื นอยแู่ ถบข้วั โลก อยู่แถบทวปี แอนตารก์ ติก เกาะกรีนแลนด์ และขวั้ โลก เหนอื หยาดนา้ ฟ้าเกิดจากพายุไซโคลน ตกในรูปหิมะเขตอากาศน้ีไม่มีพชื พรรณธรรมชาตขิ ้นึ ภมู อิ ากาศเขตสงู (H) ความสูงจากระดับนา้ ทะเล เป็นสาเหตุทที่ าให้ภมู อิ ากาศท่ีตัง้ อยู่บน ละตจิ ดู เดยี วกันแตกตา่ งกนั อุณหภมู ขิ องอากาศจะลดลงตามระดับความสงู 6.4 º C ตอ่ ระยะความ สูง 1,000 เมตร เขตทม่ี ีนา้ แข็งปกคลุมจะอยู่ เหนือเสน้ หิมะ(Snow line) มีความสูงไม่ตายตัวขึน้ อยู่ กบั ท่ตี ้งั ของภเู ขาและ ทตี่ ้ังละตจิ ดู เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภมู ิศาสตร์ หน้า 61

ภูมศิ าสตร์กายภาพ : แผนท่กี ารจาแนกภูมอิ ากาศโลกแบบ เทรวาธา ดัดแปลงจากแบบเคปิ เปน ทม่ี าภมู ิอากาศวิทยาผศ.ดวงพร นพคณุ เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภมู ศิ าสตร์ หน้า 62

ภูมิศาสตร์กายภาพ : เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภมู ิศาสตร์ หนา้ 63

ภูมิศาสตร์กายภาพ : 2.3.3. บรรยากาศ บรรยากาศ คือกา๊ ซต่างๆท่ีปกคลุมอยูร่ อบๆโลก นา้ หนกั ของบรรยากาศจะเปล่ยี นแปลงไป ตามอุณหภูมิท่ีทาให้อากาศลอยสูงขึ้น องค์ประกอบของบรรยากาศ 0.9% 21% 78% % กราฟแสดงองค์ประกอบของบรรยากาศ กา๊ ซอาร์กอน (Ar) เป็นก๊าซเฉื่อยไม่ทาปฏิกิรยิ ากับธาตอุ ่ืน เกดิ ขึ้นจากการสลายตัว (ซาก กมั มนั ตภาพรงั สี) ของธาตโุ ปแตสเซยี มภายในโลก กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) เปน็ กา๊ ซเรือนกระจก (Greenhouse gas) แมม้ ีอยใู่ น บรรยากาศเพยี ง 0.036% แต่เป็นสิง่ จาเป็นสาหรบั สิ่งมชี วี ติ เนอื่ งจากก๊าซเรอื นกระจกมีคุณสมบตั ใิ น การดดู กลนื รังสีอินฟราเรดซ่ึงแผ่ออกจากโลก ทาใหโ้ ลกอบอนุ่ อุณหภูมิของกลางวนั และกลางคนื ไม่ แตกต่างจนเกินไป และยังเปน็ แหลง่ อาหารของพืช สง่ิ ท่ีมีอิทธิพลตอ่ อณุ หภมู ขิ องโลกอยา่ งมากคือก๊าซโมเลกลุ ใหญ่ เช่น ไอนา้ อมีเทน คารบ์ อนไดออกไซด์ แม้จะมีอยู่ในบรรยากาศเพียงเล็กน้อย แต่มีความสามารถในการดูดกลืนรังสี อนิ ฟราเรด ทาให้อุณหภมู ิของโลกอบอุ่น เราเรยี กกา๊ ซพวกน้ีวา่ “ก๊าซเรือนกระจก” (Greenhouse gas) ก๊าซเรือนกระจก ก๊าซเรอื นกระจก ปรมิ าณกา๊ ซในบรรยากาศ (ตอ่ ล้านส่วน) ไอน้า 40,000 คาร์บอนไดออกไซด์ 360 มีเทน 1.7 ไนตรสั ออกไซด์ 0.3 โอโซน 0.01 การแบง่ โครงสรา้ งของบรรยากาศดา้ นอุตุนิยมวิทยา ใชแ้ บง่ ชัน้ บรรยากาศตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแย่งได้เปน็ 2 สว่ นใหญ่ ดังนี้ 1. บรรยายกาศช้ันแรก ( Homosphere ) อยเู่ หนือพ้ืนโลกประมาณ 80 กิโลเมตร เปน็ ชนั้ ท่ี บรรยากาศเปลีย่ นแปลงง่าย เม่ือสูงข้นึ ไป อุณหภมู ิของอากาศจะลดลง ทุกความสงู 1,000 เมตร เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภูมศิ าสตร์ หน้า 64

ภูมศิ าสตร์กายภาพ : อณุ หภูมจิ ะลดลง 6.4º C ( 3 ½ º F ต่อความสูง 1,000ฟุต) ในบรรยากาศชั้นนี้แบ่งเป็น 1). โทรโฟสเฟียร์ ( Troposphere) มาจากภาษากรีกวา่ tropo (การเปล่ยี นแปลง)+ sphere (บริเวณ) สูงจากพืน้ โลกประมาณ 8-16 ก.ม.ช้ันทีม่ กี ารเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจะลดลงตามระดบั ความ สูงอุณหภมู ิจะลดลง 6.4º C ( 3 ½ º F ต่อความสงู 1,000ฟตุ ) ระดับสูงสุดของช้ันนี้เรียก โทรโปพอส เปน็ ระดับท่ีอณุ หภูมิหยดุ ลดต่าลง(ต่าลงถงึ – 65 º F) 2). สตารโตสเฟยี ร์ ( Stratosphere)มาจากภาษาละตนิ Stratum (การแผก่ ระจายปกคลมุ ) สงู 16- 50 ก.ม. ไม่การหมุนเวียนของอากาศ บรรยากาศจะเคลื่อนที่ตามแนวนอน ไม่มเี มฆ การขับ เครือ่ งบินมกั บนิ ในชน้ั บรรยากาศน้ี ในระดับความสูง 30 ก.ม.ชัน้ น้ีมบี รเิ วณท่กี า๊ ซโอโซนกอ่ ตวั ดูดกลนื รงั สีอลั ตราไวโอเลต ทาให้อุณหภูมชิ ้นั นี้สงู ขนึ้ ตามความสูง อุณหภมู ิจะหยุดเพม่ิ ท่รี ะดับชนั้ สตราโต พอส 3). เมโซสเฟยี ร์ ( Mesosphere) มาจากคาวา่ mesos (ตรงกลาง)อยู่สงู 50-80 ก.ม. ไม่มี ไอนา้ มีแกส๊ น้อย มีโอโซนจะมีมากในเขตขัว้ โลก และเบาบางแถบศนู ยส์ ตู ร อณุ หภูมิจะลดลงเม่ือความ สงู เพิ่มขนึ้ ถึงและลดลงถึง –100º C แถบพ้นื ทใ่ี กล้ข้นั โลกตอนใกล้สวา่ งหรือใกล้ค่าอาจพบเมฆสหี รือ เมฆพรายน้า(noctillucent cloud)สว่ นบนสุดเรียก เมโสพอส การแบ่งช้ันบรรยากาศ ตามการเปลีย่ นแปลงอุณหภมู ิ 2). บรรยากาศชัน้ บน (Heterosphere) อยูส่ งู ข้นึ ไปจากเมโซพอสเรียกชน้ั เทอรโ์ มสเฟยี ร์ (Thermosphere) มาจากคาวา่ thermo (ความร้อน)อยู่สงู ตัง้ แต่ 80 ก.ม. ขึ้นไป อุณหภูมจิ ะสงู ข้นึ อย่างรวดเร็วและสงู ขนึ้ เรือ่ ยๆถงึ 1,100º -1,650º C เพราะ รงั สีอัลตราไวโอเลตและรังสัเอกซ์จากดวง อาทติ ยจ์ ะทาให้โมเลกลุ ของก๊าซหลายชนดิ แยกตัวเปน็ อะตอมอสิ ระ อะตอมของออกซเิ จนจะดูดกลนื รงั สอี ลั ตราไวโอเลตเอาไวท้ าให้อุณหภมู ขิ องช้ันนี้สงู ข้ึนจนถึงช้ันเอกซเ์ ฟยี ร์( Exosphere) เอกซ์เฟยี ร์( Exosphere) มาจากคาว่า exo (ขา้ งนอก) สว่ นน้คี วามหนาแน่นของอากาศ เกอื บเป็นสูญญากาศ เปน็ เขตนอกสดุ ช่วง 800 – 1,200 กิโลเมตร ดาวเทียมจะโคจรผา่ นขว้ั ใน บรรยากาศชนั้ นี้ เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภมู ิศาสตร์ หน้า 65

ภูมศิ าสตร์กายภาพ : 2.4. ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สงิ่ ที่เกดิ ข้นึ หรือมีอยู่เองตามธรรมชาติ และสามารถ นาไปใชป้ ระโยชน์ในการดารงชวี ติ ของมนุษย์ได้ ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีสาคญั เชน่ ดนิ น้า ปา่ ไม้ แร่ ธาตุ ชนิดของทรัพยากร 1. ทรัพยากร แรธ่ าตุ 2. ทรพั ยากร ดิน 3. ทรพั ยากรปา่ ไม้ 4. ทรพั ยากรนา้ 1. ทรพั ยากรแร่ธาตุ 1.1 การกาเนดิ แรธ่ าตุ แหล่งแรท่ ่ีมีอยู่ในธรรมชาติ มีกาเนิดขึน้ มาในหลายลักษณะ ดงั น้ี 1). เกิดจากการเย็นตวั ของหนิ หนืด (แมกม่า) เนอื่ งจากแมกม่าหรือหินหลอม ละลายเคล่อื นทอ่ี อกมาเยน็ ตัวอยูภ่ ายในหรือนอกผวิ โลก ในชว่ งทห่ี ินหนืดกาลังแข็งตวั เม็ดแรท่ ี่ ปะปนมากบั หินหลอมละลายจะค่อยๆ ตกตะกอนอยา่ งชา้ ๆ แรธ่ าตแุ ต่ละชนดิ มนี า้ หนักอะตอมท่ีไม่ เทา่ กนั จงึ ทาใหแ้ ร่ชนิดน้นั ๆตกตะกอน รวมกนั เปน็ กระจุก ในบางครั้งช่วงท่ีหินหนดื เรม่ิ เย็นตวั ความชนื้ ในหนิ หนดื จะถูกผลักดันให้ระเหยออกไปทาให้แรธ่ าตทุ ปี่ ะปนมากับมวลหินหนดื เรม่ิ ตกผลกึ ขึน้ และแทรกซอนอยู่ในชน้ั หนิ ในรปู ของสายแรซ่ ่ึงมีรูปรา่ งแตกต่างกันออกไป เช่น สนิ แร่เพก็ มา ไตต์ ประกอบดว้ ยแร่ธาตสุ าคัญหลายชนิด เชน่ แรเ่ ข้ยี วหนมุ าน แร่ฟนั ม้า ไมก้า โคลัมเมี่ยม และ แทนทาลมั แทรกตวั อยู่ในชั้นหิน 2). เกิดจากการละลายน้าร้อนหรอื แก๊สร้อน น้าทม่ี ีอณุ หภูมิท่สี งู กว่าอุณหภมู ิปกติ ของน้าจะสามารถละลายแรธ่ าตไุ ดห้ ลายชนิด แร่ธาตุท่ีละลายได้จะปะปนมากบั น้าร้อนน้ัน ดว้ ยความ ดันภายใต้เปลอื กโลกทาใหน้ า้ ร้อนท่ีมแี รธ่ าตุละลายอยู่ไหลซมึ แพร่กระจายออกมาตามรอยแตกหรือ ช่องว่างระหว่างหินหรอื ชัน้ หิน หลังจากนา้ ระเหยออกไปหมดแล้ว สนิ แร่เหล่านน้ั จะแข็งตวั อยู่ในชน้ั หนิ และกลายเปน็ \"สายแร\"่ หรอื \"ทางแร\"่ ต่อไป เชน่ สนิ แรท่ องแดง 3). เกิดจากการควบแน่นของไอน้าร้อน แรงดนั ภายใต้ผิวโลกสามารถผลกั ดนั ให้มวล ของหนิ หนดื หรือนา้ ที่ร้อนทมี่ ีอยู่ในเปลอื กโลกออกมานอกผิวโลก กา๊ ซหรอื แร่ธาตุท่ีละลายอยูเ่ ดมิ จะ ออกมาด้วย เมอ่ื ไอของนา้ ร้อนระเหยออกไปจะเหลือส่วนของแรธ่ าตุบางชนดิ ไว้ เชน่ การเกดิ แร่ กามะถันใกล้ปล่องภเู ขาไฟ 4). เกิดจากการทาปฏกิ ริ ิยาเคมีของแร่ทมี่ ีอยู่เดมิ แหล่งแร่ชนดิ นอ้ี าจเกิดจากการ เย็นตัวลงของแมกมา่ หรือเกิดจากสารละลายนา้ ร้อนก็ตามเม่ือเย็นตัวลงกลายเปน็ แหล่งแร่ นานเขา้ เมือ่ น้าฝนทตี่ กลงมาซงึ่ มสี ภาพเป็นกรดอ่อนได้ไหลซมึ ลงไปใตด้ นิ เกดิ กระบวนการ \"ออกซเิ ดชน่ั \" หรอื ปฏิกริ ยิ าการเติมออกซิเจนข้นึ ในชั้นหนิ ทีอ่ ยู่รอยต่อระหว่างระดบั นา้ บาดาล และชั้นอากาศท่แี ทรกอยู่ ในหินทาใหแ้ รเ่ ดิมเกิดการเปลี่ยนแปลงเกดิ เป็นสินแร่ออกไซด์ขนึ้ ในบริเวณทใ่ี ตผ้ วิ โลกมกี ารผพุ งั ทาง เคมขี องชน้ั หิน แรด่ ง้ั เดิมก็จะเลอ่ื นตัวลงสบู่ รเิ วณชน้ั ล่างของมวลหิน ซงึ่ แรพ่ วกนีเ้ ปน็ แร่ทไี่ มส่ ามารถ ละลายน้าได้ เช่น แร่เงนิ ทองคา ตะกวั่ ทแี่ ทรกซอนกระจัดกระจายอยใู่ นชน้ั หิน แรโ่ มไนต์ผพุ งั มาจาก แรท่ ่ีมีเหล็กเป็นองค์ประกอบ เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภมู ศิ าสตร์ หนา้ 66

ภูมศิ าสตร์กายภาพ : 5). การแทนท่ี หรือการเติมลงไปในช่องว่างในแรท่ ่เี กดิ อยู่ก่อน 6). ในสภาวะทม่ี ีการเปล่ียนแปลงอุณหภมู แิ ละความดนั แร่บางชนิดทเ่ี กดิ อยู่ก่อนจะ ตกผลึกใหม่ 7). การระเหยเปน็ ไอของสารละลายท่ีมีน้าอยู่ด้วยเช่น หนิ เกลอื ระเหย การใชป้ ระโยชน์จากแร่ธาตุ 1. ทางดา้ นอุตสาหกรรม สว่ นใหญแ่ ร่อโลหะนามาใชป้ ระโยชน์ไดโ้ ดยตรงไม่ต้องผ่านการถลุง แต่ผ่านขัน้ ตอนการแต่งแร่ บด คดั ขนาด แยกมลทินเช่น แร่ดินขาว แรเ่ ฟลดส์ ปา แรเ่ กลือหิน แร่ อุตสาหกรรมกอ่ สร้างและปูนซเี มนต์ เช่นแรย่ ปิ ซัม กลุ่มแร่เซรามิกและแก้วมพี วกดนิ ขาว เฟลด์สปาร์ ควอตซ์ แร่ดิกไคต์ แรอ่ ุตสาหกรรมปุ๋ย อตุ สาหกรรมเคมใี ช้แรเ่ กลอื หนิ เกิดรว่ มกับแร่โพแทชเปน็ วตั ถดุ บิ ตั้งต้นในการผลิตโซดาแอช โซดาไฟ สารปรุงรส ทาสีทาบา้ น แร่ฟลอู อไรต์ใช้ในการถลงุ แร่ เหล็ก แรแ่ บไรต์ทาโคลนสาหรับการเจาะสารวจ ยงั มแี รโ่ ลหะอน่ื ๆ 2. ทางด้านเกษตรกรรม ป๋ยุ มีแร่โพแทช ไนโตรเจนจากการแยกกา๊ ซธรรมชาติ 3. ในชวี ิตประจาวนั ทัว่ ไป เชน่ แร่กับความงาม เครื่องสาอางจากแรท่ ัลก์ ดินขาว ไมก้า เกลอื ขัดผวิ กระจกทาจากทรายแกว้ เกลอื ปรุงรส ยิปซัมใสใ่ นสว่ นผสมทาเตา้ หแู้ รท่ องคากบั ความ งาม แร่รัตนชาตใิ ชท้ าเคร่ืองประดับ แร่ควอตซ์ใสเ่ ปน็ ส่วนประกอบของนาฬิกา แร่กามะถันใน ผสมเ)นยาฆ่าแมลง ฟูลออดรทท์ าสารเคลือบฟัน ฯลฯ 2. ทรพั ยากรดิน 2.1 ดนิ (soil) หมายถึง เทหวัตถุธรรมชาติทป่ี กคลุมผวิ โลก เกิดจากการแปลง สภาพหรือสลายตวั ของหนิ แร่ธาตุและอินทรียว์ ัตถุผสมคลุกเคล้ากนั ตามธรรมชาติรวมตัวกันเปน็ ชนั้ บาง ๆ เมอ่ื มีน้าและอากาศท่ีเหมาะสมก็จะทาให้พืชเจริญเติบโตและยังชพี อยู่ได้ ดนิ บางแห่งมีสีแดง เข้ม บางแหง่ มีสดี า เทา นา้ ตาล เหลือง ความหยาบละเอียดก็แตกต่างกัน สีสนั ท่แี ตกตา่ งกันและความ ละเอียดข้นึ อยู่กับวัตถตุ ้นกาเนิด (parents materials) อินทรียว์ ัตถแุ ละสิ่งมชี ีวิตบนพื้นโลก 2.2 ดินเกดิ ขึน้ ได้อย่างไร เกดิ จากการสลายตัวผุพงั ของหนิ ชนดิ ต่าง ๆ มีองคป์ ระกอบเปน็ แร่ดินเหนียว (Clay mineral) ซ่งึ พัฒนามาจากแร่ประกอบหินบนเปลอื กโลก ได้แก่ เฟลด์สปาร์ ควอรตซ์ ไมก้า หินท่สี ลายตวั ผุกรอ่ นนจ้ี ะมีขนาดตา่ ง ๆ กัน เม่ือผสมรวมกับซากพชื ซากสตั ว์ นา้ อากาศ กลายเป็น เนอื้ ดินส่วนประกอบเหล่าน้ีจะมากนอ้ ยแตกต่างกนั ไปตามชนดิ ของดนิ การผุพังสลายตัว (Weathering) ซ่งึ ประกอบด้วยขบวนการทั้งทางกายภาพและทาง เคมี โดยดนิ มวี ตั ถุตน้ กาเนดิ มาจากหิน แหลง่ ทมี่ าของหินสว่ นใหญม่ าจากหินหนดื เปลือกโลกช้ันใน หนิ ทใ่ี ห้กาเนิดดนิ ส่วนใหญ่ คือ หินอัคนี เมอ่ื เกิดภเู ขาไฟระเบิดขน้ึ ส่งิ ทพี่ น่ ออกมาจะถูกกดั กร่อนจาก ธรรมชาตอิ ันได้แก่ ความรอ้ น ความชื้น ปฏกิ ิรยิ าทางเคมแี ละแรงลม เปน็ ต้น เม่อื มีการรวมตวั กบั สารอนิ ทรยี ์ต่าง ๆ กลายเป็นสารกาเนดิ ดนิ 2.3 ขบวนการสร้างดนิ (Soil Forming Process) จะเกดิ ข้นึ ต่อเน่ืองจากการผุพงั สลายตัวของหนิ และแร่จนกลายเปน็ วตั ถุตน้ กาเนิดดินชนดิ ต่าง ๆ 2.4 องค์ประกอบของดิน ดนิ มอี งคป์ ระกอบท่สี าคัญ 4 องค์ประกอบ ส่วนประกอบของดินทเี่ หมาะสมแก่การเพาะปลูก โดยท่วั ไปจะมแี ร่ 45% อนิ ทรียวัตถุ 5% นา้ (สารละลาย) 25% และอากาศ 25% เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภมู ศิ าสตร์ หนา้ 67

ภูมิศาสตร์กายภาพ : องค์ประกอบของดิน 1). สารอินทรีย์ ได้จากการสลายตวั ของส่งิ มีชีวติ ที่เน่าเปอ่ื ยผพุ งั สลายตัวทับถมอย่ใู นดิน ของซากพชื ซากสัตว์ และสิ่งมีชวี ิตขนาดเล็ก เช่น ไส้เดอื น แมลง จุลนิ ทรยี ์ ชว่ ยใหด้ นิ มลี ักษณะร่วน ซุย มสี ีดาหรอื สีน้าตาล ทเ่ี รียกว่า ฮิวมัส (humus) คอื อนิ ทรยี ์วตั ถเุ ป็นส่วนประกอบท่ีบอกความอดุ ม สมบรู ณข์ องดิน เพราะนอกจากจะเปน็ สารอาหารของพชื แลว้ ยงั มสี ว่ นทาให้เกดิ สภาพกรดออ่ น ๆ ใน การช่วยละลายแรธ่ าตุในดิน และชว่ ยเก็บความชืน้ ไว้ในดินอกี ด้วย 2). สารอนินทรยี ์ ได้จากการสลายตัวของหินและแร่ อนนิ ทรีย์สารเหล่าน้ีประกอบดว้ ย ธาตุซิลกิ อนและอะลมู เี นียมเป็นส่วนใหญ่ มีเหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียมและแมกนเี ซียมปนบา้ ง เลก็ นอ้ ย ธาตุเหล่าน้ีพบอยู่ในรปู แรค่ วอตซ์ เฟลด์สปาร์ ไมกา แร่พวกเฟอรโ์ รแมกนีเซียนซิลิเกตและ แร่ดนิ ซง่ึ เป็นองค์ประกอบสาคญั ของดนิ ดนิ แต่ละทจ่ี ะมแี ร่ธาตุในดนิ ในปรมิ าณแตกตา่ งกัน ขึ้นอยู่กบั วัตถตุ น้ กาเนดิ เดิมของดนิ 3). อากาศ แทรกอย่ตู ามชอ่ งวา่ งระหวา่ งเมด็ ดิน มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สงู กว่าอากาศ บนผวิ ดนิ ดินที่โปรง่ มรี ูพรุนมากจะมีการระบายอากาศไดด้ ี ในดินและคาร์บอนไดออกไซด์เมือ่ รวม กบั นา้ จะไดก้ รดคารบ์ อนิก ซ่ึงจะละลายแร่ธาตุต่างๆให้แกพ่ ืช 4). นา้ แทรกอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ดดนิ น้าในดินจะชว่ ยละลายแร่ธาตตุ ่าง ๆ ทาให้ รากพืชสามารถดดู ธาตอุ าหารข้ึนไปใชป้ ระโยชน์ในการสงั เคราะห์แสงได้ 2.5 ปัจจัยทค่ี วบคุมการเกดิ ดนิ 1. วตั ถุต้นกาเนิดดนิ (Soil Parent Materials) เปน็ ปัจจัยควบคมุ การเกิดของดินที่ สาคญั โดยจะเหน็ ได้ชดั จากดินที่มอี ายนุ ้อยซงึ่ จะมีความคล้ายคลงึ กับวัตถุตน้ กาเนิดมาก และเม่ือดนิ มี อายมุ ากข้ึนความแตกตา่ งจากตน้ กาเนดิ จะมากขน้ึ ตามลาดับ วัตถุต้นกาเนิดมีอทิ ธิพลต่อองค์ประกอบ ทางเคมีและแร่ธาตุในดิน เน้ือดนิ และสดี ิน กล่าวว่าดนิ จะเปน็ อย่างไรขึน้ อย่กู บั วัตถุตน้ กาเนดิ ดิน 2. สภาพภมู ิประเทศ (Topography) สภาพของพน้ื ท่มี ีผลต่อการเกิดดินหลายด้าน เช่นการระบายนา้ และความช้ืนในดนิ การพังทลายของดนิ การเคลื่อนยา้ ยจากทห่ี นง่ึ ไปยงั อีกทหี่ นง่ึ โดยการแขวนลอยหรือละลายไป 3. สภาพภูมิอากาศ (Climates) ฝนและอุณหภมู มิ ผี ลทาใหเ้ กดิ ดนิ ได้เร็วหรือช้า มีผล ตอ่ การสลายตวั ของหนิ และแร่ ในบริเวณเขตอากาศร้อนชื้นจะมีปริมาณฝนตกมาก ซ่ึงจะทาให้เกิด การสลายตวั ของหนิ และแร่มากทาให้เกิดดนิ ไดเ้ รว็ ฝนจะไปชะลา้ งหนา้ ดนิ ส่วนอณุ หภมู จิ ะมผี ล ต่อปฏิกริ ยิ าในการยอ่ ยสลายของจุลนิ ทรยี ์ในดนิ ซ่ึงสง่ ผลตอ่ สดี นิ และปริมาณสารอินทรีย์ในดนิ 4. สิง่ มีชีวติ (Organisms) สัตว์ท่ีอาศัยอยู่ในดินจะช่วยย่อยสลายของเสีย และช่วย เคล่อื นยา้ ยวัตถุต่างๆไปตามหน้าตัดดิน จลุ ินทรียจ์ ะมีบทบาทสาคัญในการย่อยสลายซากพืช เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภมู ศิ าสตร์ หนา้ 68

ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : และซากสัตว์ใหเ้ ป็นสารอินทรีย์ และมีบทบาทสาคัญในวฏั จกั รแรธ่ าตทุ ีจ่ าเปน็ ต่อพืช ซากพืชและสตั ว์ ท่ีตายแล้วจะกลายเป็นอินทรียวตั ถุ ซึ่งทาใหด้ นิ สมบูรณข์ น้ึ 5. เวลา (Time) การเกิดของดนิ และการพัฒนาของช้ันดนิ กวา่ จะสมบูรณจ์ ะตอ้ งใช้เวลามาก คอื ตง้ั แต่ 100 - 200 ปีจนถึง 1-6 ล้านปี ท้งั นี้ข้นึ กบั ปัจจัยดังทกี่ ล่าวแลว้ ขนั้ ตน้ โดยเฉพาะภูมอิ ากาศ 2.6 ช้นั ของดิน การแบง่ ชน้ั ดินอาศยั การสงั เกตจากพ้ืนทห่ี นา้ ตดั ด้านข้างของดิน โดยแบ่งออกเป็น 5 ชัน้ ไดแ้ ก่ ชัน้ O ช้นั A ชนั้ B ช้ัน C และชน้ั R เราเรียกภาคตัดตามแนวดงิ่ ของชัน้ ดินว่า “หนา้ ตดั ดนิ ” (Soil Horizon) จะบอกถงึ ลกั ษณะ ทางธรณีวิทยา และประวตั ภิ มู ิอากาศของภูมปิ ระเทศทเี่ กดิ ข้นึ มาก่อนหน้านนี้ บั พันปี รวมถงึ ว่ามนษุ ย์ ใชด้ ินอยา่ งไร อะไรเป็นสาเหตุใหด้ ินน้นั มีสมบตั เิ ชน่ ในปจั จบุ ัน และแนวทางที่ดที สี่ ุดในการใช้ดนิ ชั้นโอ (O Horizon) เป็นดินชนั้ บนสดุ มักมีสีคลา้ เนือ่ งจากประกอบดว้ ยอินทรยี วัตถุ (Organic) หรอื ฮิวมสั ซึ่งทาให้เกดิ ความเป็นกรดส่วนใหญ่จะพบในพืน้ ทปี่ ่า ชน้ั เอ (A Horizon) เปน็ ดินช้นั บน (Top soil) เป็นส่วนท่ีมนี ้าซมึ ผ่าน ประกอบดว้ ยหนิ แร่ และอนิ ทรียวัตถุที่ย่อยสลายสมบรู ณแ์ ล้วอยดู่ ้วย ทาให้ดนิ มีสเี ข้มมแี รธ่ าตุเป็นส่วนใหญ่ แต่กม็ ี สารอนิ ทรียผ์ สมอยู่มากคละเคลา้ กับดนิ ทราย และทรายแป้ง ดินชัน้ นีจ้ ะมกี ารชะลา้ งละลายมากทสี่ ุด โดยจะชะลา้ งเอาดนิ เหนยี ว เหล็กออกไซด์ และอลูมิเนยี มออกไซด์ไปอย่สู ่วนลา่ งดินชั้นนี้ ชน้ั บี (B Horizon) เป็นชั้นดนิ ลา่ ง (subsoil)เกดิ จากการชะลา้ งแร่ธาตุตา่ งๆ ของสารละลาย ต่างๆ เคลื่อนตัวผา่ นชัน้ เอ ลงมามาสะสมในช้ันบี ในเขตภมู ิอากาศชน้ื ดินในช้ันบสี ่วนใหญจ่ ะมสี ี นา้ ตาลปนแดง เนอ่ื งจากการสะสมตัวของเหลก็ ออกไซด์เหนียว เหลก็ ออกไซด์ และอลูมเิ นียมออกไซด์ ชน้ั ซี (C Horizon) เกดิ จากการผุพงั ของหนิ กาเนิดดิน (Parent rock) ไม่มีการตกตะกอน ของวัสดดุ นิ จากการชะล้าง และไม่มีการสะสมของอนิ ทรียวัตถุชนั้ (เป็นชัน้ ทีห่ นิ และแร่ธาตกุ าลงั สลายตวั เปน็ หินวัตถตุ ้นกาเนิดดิน) ชน้ั อาร์ (R Horizon) เปน็ ช้ันของวัตถุตน้ กาเนิดดิน หรือ หินพน้ื (Bedrock) เปน็ หนิ แข็ง หรอื หนิ ดนิ ดานทย่ี งั ไม่แปรสภาพ เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภูมิศาสตร์ หนา้ 69

ภูมิศาสตร์กายภาพ : 2.7 ชนดิ ของดิน จาแนกตามลักษณะของเนื้อดิน มี 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ดินเหนยี ว (Clay) คือ ดินทีม่ เี นื้อละเอยี ดทสี่ ดุ ยืดหย่นุ เมือ่ เปียกน้าเหนยี วตดิ มอื ปั้นเป็น ก้อนหรือคลึงเป็นเสน้ ยาวได้ พงั ทลายได้ยาก การอุ้มนา้ ดี จับยดึ และแลกเปลีย่ นธาตุอาหารพชื ได้ ค่อนข้างสงู จึงมีธาตุอาหารพืชอยมู่ าก เหมาะท่จี ะใช้ปลกู ขา้ วนาดาเพราะเก็บน้าไดน้ าน 2. ดนิ ทราย (Sand) เปน็ ดินทีเ่ กาะตวั กันไมแ่ นน่ ระบายนา้ และอากาศได้ดีมาก อุ้มนา้ ไดน้ ้อย พังทลายงา่ ย มคี วามอดุ มสมบูรณต์ า่ เพราะความสามารถในการจบั ยึดธาตอุ าหารมีน้อย พืชที่ขนึ้ อยใู่ น บริเวณดินทรายจึงขาดนา้ และธาตอุ าหารไดง้ ่าย 3. ดนิ รว่ น (Loam) คอื ดินที่มเี น้ือค่อนข้างละเอียด นุ่มมือ ยดื หย่นุ พอควร ระบายน้าได้ดี ปานกลาง มแี ร่ธาตุอาหารพชื มากกว่าดนิ ทราย เหมาะสาหรับใชเ้ พาะปลูก สัดส่วนผสมของอนุภาคจะมีผลตอ่ สมบตั ทิ างฟสิ กิ ส์ ประกอบดว้ ย 1. ความสามารถในการอุ้มนา้ (water holding capacity) ซง่ึ หมายถึง สมบตั ิของดินใน การบรรจุน้าไวไ้ ด้มากหรือน้อย 2. ความสามารถในการถา่ ยเทอากาศ (aeration) ซึง่ หมายถึง ความสามารถของดินในการ บรรจอุ ากาศ และความสามารถในการถ่านเทแลกเปลยี่ นแก๊สระหวา่ งดินและบรรยากาศ 3. ความแขง็ ของดิน (soil strength) หมายถึง ความแนน่ หนาของการเกาะตัวกันของ อนภุ าคดินเปน็ กอ้ นดนิ หรอื เป็นหน้าตัดดนิ สมบตั ิทางฟสิ ิกส์ 3 ประการมผี ลกระทบอยา่ งสาคญั ต่อการงอกของกล้า และการเติบโตของพืช 2.8 ความอดุ มสมบูรณ์ของดนิ ดนิ จะอดุ มสมบูรณเ์ พียงใดขนึ้ อยู่กบั ส่วนประกอบ ตอ่ ไปน้ี 1. เนอ้ื ดนิ ดนิ ร่วนมีชอ่ งวา่ งของเมด็ ดนิ จะเปดิ โอกาสให้อากาศ ความชน้ื และอนิ ทรียวัตถุท่ีมชี วี ติ และท่ี ล้มตายไปแล้วแทรกซอนเข้าไปผสมอยู่ได้สะดวก และเหมาะตอ่ การงอกของเมล็ดและการแหย่ราก ของพชื ลงไปในดินไดโ้ ดยง่าย 2. ความหนาของช้ันดนิ การท่ชี ั้นดนิ หนาจะมีความอุดมสมบรู ณ์ เพราะ มปี รมิ าณแร่ธาตุ ท่มี ีความจาเป็นตอ่ การ เจรญิ เติบโตของพืชอยู่มาก สามารถเก็บกกั ความชนื้ เอาไวใ้ นเนื้อดินได้เป็นจานวนมาก และ ปรมิ าณ ของขยุ อนิ ทรยี ท์ ป่ี ะปนอยูใ่ นดินจะมากพอสาหรบั การเจริญเตบิ โตของพชื 3. สว่ นประกอบทางเคมขี องดนิ ดินทม่ี สี ภาพเปน็ กลาง คือจะมคี า่ pH ของดนิ ราว 6-7 มีสภาพเป็นกรด ด่าง หรอื เกลือ นอกจากนีป้ รมิ าณแร่ธาตทุ ่ผี สมผสานอยูใ่ นเน้ือดินจะต้องมีปรมิ าณพอเหมาะ ทั้งน้เี พราะแรธ่ าตุบาง ชนดิ ถา้ หากมีอยู่ในดนิ มากเกินไป จะทาใหด้ ินเกดิ มลพิษปรากฏข้ึน เชน่ สารหนู ฟลูออรีน ตะก่ัว 4. อินทรยี วตั ถุ อนิ ทรยี วัตถทุ ั้งสิง่ มชี ีวิตและตายแลว้ เน่าเปื่อยผพุ ังสลายตัวปะปนอยู่ในดิน ทาใหด้ นิ ร่วนซยุ ช่วยเพม่ิ ปริมาณขยุ อนิ ทรียใ์ ห้กับดินอีกดว้ ย จะมีคุณค่าตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพชื 2.9 ปัญหาของดนิ ความเสื่อมโทรมเนอื่ งจากการพงั ทลาย (Erosion) และการเสยี หน้าดิน 1. สาเหตทุ างธรรมชาติ เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภมู ิศาสตร์ หน้า 70

ภูมศิ าสตร์กายภาพ : 1.1 ฝนและลม ภยั ธรรมชาติ เชน่ ภูเขาไฟระเบิด แผน่ ดินไหว และน้าทว่ ม 1.2 ธารน้าแข็ง เกดิ ในเขตหนาวโดยน้าในลาธารจะกลายเป็นนา้ แข็ง แต่พอถึงฤดรู ้อน อากาศจะอุ่นขึน้ จนน้าแข็งละลาย นา้ และก้อนน้าแข็งที่ไหลลงสู่ทตี่ ่าจะทาให้ดนิ ตามตลงิ่ พังทลาย 1.3 น้าใต้ดนิ และแรงโนม้ ถว่ งของโลกมีสว่ นทาให้ดนิ ยบุ ตัว ท่สี ูง เชน่ หน้าผา ไหลเ่ ขา 2. สาเหตุจากมนษุ ย์ 2.1 การตัดไมท้ าลายปา่ การเพาะปลกู ทาให้หน้าดินถกู นา้ ฝนชะลา้ งได้ง่าย 2.2 การขุดและถมทดี่ ิน เชน่ การถมดนิ เพื่อการกอ่ สรา้ งอาคารและถนน 2.3 การทาเหมืองแร่ ทาให้ดินพงั ทลายและเสื่อมความสมบรู ณเ์ ชน่ กนั ความเส่ือมโทรมของดนิ เน่อื งจากการสญู เสียความอุดมสมบูรณ์ ดินไมเ่ หมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ ใชป้ ลกู พชื ไดไ้ มด่ ีหรอื ปลูกไม่ได้เลย ไดแ้ ก่ 1. ดนิ ทรายจดั (Sandy soil) 2. ดนิ ต้นื (Shallow soil) หนา้ ดินมีเน้ือดนิ น้อยเน่ืองจากมลี ูกรังกรวด และหนิ ปูนอย่ใู น ระดับที่ตืน้ กว่า 50 % 3. ดินเคม็ (Saline soil) เป็นดนิ ทีน่ า้ ทะเลทว่ มถึง หรือมหี นิ เกลืออยู่ใตด้ ิน 4. ดนิ เป็นกรดจดั หรือดินเปรี้ยว (Acid soil) มกั มีสารประกอบของไพไรต์ (pyrite) ผสมอยู่ มาก เมื่อระบายน้า หรอื ทาให้ดนิ แหง้ และอากาศถ่ายเทดี กจ็ ะเปล่ียนสภาพเปน็ กรดกามะถนั 5. ดนิ อินทรีย์ หรอื ดินพรุ (Organic soil) เกิดจากการเน่าเปือ่ ยผุพงั ทับถมกันนับพันปขี อง พชื พรรณตามทล่ี ุม่ มนี า้ ขัง สนี ้าตาลแดงคล้าจนถงึ ดา มีอนิ ทรียวตั ถุมากกวา่ รอ้ ยละ 20 จงึ มีฤทธ์เิ ปน็ กรดจดั ชน้ั ล่างเป็นดนิ เหนยี ว 6. ดินที่ลาดชันมาก (Steep slope) 7. ดินทชี่ ุ่มน้าหรอื ที่ลุ่มนา้ ขงั (Wetland) จะมีนา้ ขังอยู่เปน็ เวลานาน หรืออาจขังท้ังปี 8. ดนิ เป็นพษิ (Toxic soil) เพราะเกิดการสะสมของสารพิษจากการทงิ้ ของเสีย 2.10 การแกป้ ญั หาและการอนุรกั ษ์ดิน 1. การใช้ดนิ อย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม จะช่วยรกั ษาระบบนเิ วศและสมดลุ ทางธรรมชาติ 2. การคลมุ ดนิ เพ่ือป้องกนั การพังทลาย โดยการปลกู พชื คลุมดินหรือใชว้ ัสดุอ่ืนๆ คลุมเพ่ือ ป้องกนั การกดั เซาะของนา้ และลม การปลกู พืชคลมุ ดิน (Cover cropping) เปน็ การปลูกพชื ทีม่ รี าก มาก รากลึก ใบแผแ่ น่น และโตเรว็ เชน่ หญา้ แฝก ยดึ หนา้ ดนิ ไว้เพ่ือปอ้ งกนั การชะลา้ ง นอกจากน้ี ซากพชื ยงั ทาใหด้ ินร่วนซยุ และอุ้มนา้ ไดด้ ีขน้ึ อีกด้วย การปลกู พชื สลับเปน็ แถบ (Strip cropping) คอื การปลูกพืชต่างชนดิ กันสลับเป็นแถบตามทร่ี าบหรือขวางความลาดเทของพ้นื ท่ี 3. การทาทางระบายน้า โดยจัดทารอ่ งนา้ เพ่อื ลดการพังทลายของดนิ 4. การปรบั ปรุงดิน ไดแ้ ก่ การปรบั ความเปน็ กรด ดา่ ง เคม็ หรอื สภาพทางกายภาพของดนิ ใหส้ ามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น การใส่ปนู ขาว หรือใสป่ นู มารล์ เพ่ือแก้ไขดนิ กรด ใสย่ ิปซมั เพื่อแก้ไขดินด่าง การทดน้าเพ่อื ชะล้างเกลือ หรอื กรดออกจากดนิ ใสแ่ กลบเพ่อื ดูดซับเกลือที่จะซมึ ขึน้ มายังผิวดินเดิม ใส่อินทรยี วตั ถุ เชน่ หญ้า ฟางขา้ ว เถาถว่ั ฯลฯ ลงในดนิ เพ่ือเพ่ิมความอดุ ม สมบรู ณ์ เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ส30103 ภูมศิ าสตร์ หนา้ 71

ภูมศิ าสตร์กายภาพ : 3. ทรัพยากรป่าไม้ 3.1 ป่าไม้ หมายถึงบรรดาพืน้ ทที่ ่ีมพี ฤกษชาตินานาชนดิ ปกคลุมอยู่โดยมไี ม้ตน้ ขนาดต่าง ๆ เปน็ องค์ประกอบท่ีสาคัญ โดยไม่คานงึ วา่ จะมีการทา ไมใ้ นพ้นื ทดี่ ังกล่าวหรือไม่ก็ตาม สามารถผลิตไมห้ รือมีอิทธพิ ลต่อลมฟ้า อากาศ หรือตอ่ ระบบของนา้ ในท้องถิ่น 3.2 ประเภทของปา่ ไม้ แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ 1. ปา่ ดงดิบหรอื ปา่ ไม่ผลัดใบ (Evergeen forest) เปน็ ระบบนเิ วศนข์ องป่าไมช้ นิดทป่ี ระกอบดว้ ยพนั ธไ์ุ มช้ นิดไม่ผลดั ใบคอื มีใบเขยี วตลอดเวลา แบง่ ออกเป็น 4 ชนิด คอื 1.1. ปา่ ดบิ เมืองรอ้ น (Tropical evergreen forest) เป็นปา่ ทีอ่ ยู่ในเขตลมมรสมุ พัดผา่ นเกอื บตลอดปี มีปริมาณน้าฝน มาก แบ่งออกเปน็ : 1.1.1. ป่าดงดิบชน้ื (Tropical rain forest) ป่า ดงดิบชน้ื ข้ึนอยู่ในทร่ี าบหรือบนภูเขาท่ีระดับความสงู ไมเ่ กิน 600 เมตรจากระดับน้าทะเลในบริเวณท่ีฝนตกชุก ปรมิ าณน้าฝนไม่ นอ้ ยกว่า 2,000 มม. ต่อปี ไมม่ ฤี ดูแลง้ โครงสร้างเปน็ ป่ารกทึบ ไม้ที่ พบใหป้ ระโยชน์ทางเศรษฐกจิ ค่อนข้างสงู ได้แก่ เป็นพันธไุ์ ม้ใน วงศ์ยาง (Dipterocarpaceae) เช่น ยาง ตะเคียน ตะเคียนชัน ตาแมว กะบาก ส่วนไมพ้ ้นื ลา่ งจะรกทึบไปด้วยจาพวกหวาย ปาล์ม ไม้ไผ่ ระกา และเถาวัลย์ชนดิ ต่างๆ ขนึ้ เบยี ดเสียดอยหู่ นาแน่น ป่าดงดิบมมี ากในภาคใตแ้ ละภาคพบได้ ตงั้ แตต่ อนลา่ งของจงั หวัดประจวบ ครี ขี นั ธ์ลงไปจนถึงชายเขตแดน ส่วนทางภาคตะวันออกพบในจงั หวดั ตราด จนั ทบรุ ี ระยอง และ บางส่วนของจงั หวดั ชลบรุ ี 1.1.2. ป่าดงดบิ แล้ง (Dry evergreen forest) ปา่ ชนิดนพ้ี บตง้ั แตร่ ะดบั ความสูงจากน้าทะเลปานกลางประมาณ 100 - 800 เมตรและมี ปรมิ าณนา้ ฝนระหว่าง 1,000 - 2,000 มม.ตอ่ ปี พนั ธุ์ไมเ้ ด่นๆท่ีพบในป่าชนิดนก้ี ม็ ี ตะเคียนหนิ ตะเคียนทอง กระบก ยางนา สมพง มะค่าโมง ประด่สู ้ม ฯลฯ สว่ นไม้พน้ื ลา่ งก็มปี าล์ม หวาย ขงิ ข่าแต่มีปริมาณไมห่ นาแน่นเท่าป่าดบิ ช้ืน ปา่ ดงดบิ แลง้ ของเมืองไทยพบกระจายตัง้ แต่ตอนบนของทวิ เขาถนนธงชัยจากจงั หวัดชุมพรขน้ึ มาทางเหนือลาดเขาทางทิศตะวันตกของทวิ เขาตะนาวศรไี ปจน ถึงจงั หวดั เชยี งราย และทางตะวันออกของประเทศปกคลุมตง้ั แต่ทิวเขาภพู านต่อลงมามาถงึ ทิวเขา บรรทดั ทิวเขาพนมดง รักลงไปจนถึงจังหวัด ระยองขึ้นไปตามทวิ เขาดง พญาเย็น ทวิ เขา เพชรบรู ณ์ จนถงึ จังหวัดเลยและ นา่ น นอกจากนี้ ยังพบใน จังหวัดสกลนคร และ ทางเหนือของจังหวัด หนองคาย เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภูมศิ าสตร์ หนา้ 72

ภูมิศาสตร์กายภาพ : 1.1.3 ป่าดงดบิ เขา (Hill evergreen forest) พบได้ในบริเวณทเ่ี ปน็ ยอดเขาที่มีความ สงู ต้ังแต่เขา 1,000 เมตรขึน้ ไปมปี รมิ าณน้าฝนระหว่าง 1,500 - 2,000 มม./ปี ป่าดิบเขามีลักษณะ คล้ายปา่ ดงดิบ ไมเ้ ด่นคือไม้สกลุ กอ่ (Fagaceae) เช่นกอ่ สีเสยี ด กอ่ เดือย กอ่ แปน้ นอกจากน้ีก็มี อบเชย กายาน มะขามปอ้ ม สนและมีพืชประเภทมอส เฟิน กลว้ ยไม้ กลว้ ยไมด้ นิ กุหลาบปา่ ปา่ ดิบ เขามปี ระโยชน์ในดา้ นรักษาต้นน้าลาธาร พบต้งั แตเ่ ขาหลวง จ.นครศรธี รรมราช เขตรกั ษาพันธส์ุ ตั ว์ป่า ห้วยขาแข้ง จ.อทุ ยั ธานี ยอดดอยอินทนนท์ ดอยปุย ในจังหวดั เชียงใหม่ บนยอดดอยภหู ลวง จ.เลย ยอดเขาสงู ในเขตรักษาพนั ธุส์ ัตว์ปา่ ภูเขียว อทุ ยานแห่งชาตเิ ขาใหญ่ เป็นต้น 1.2 ปา่ สน (Coniferous forest) ป่าพบบริเวณที่มพี ืน้ ทซี่ ่งึ มีความสงู จากระดับน้าทะเลประมาณ 700 เมตร ข้นึ ไป ถือเอาลกั ษณะโครงสร้างของสังคมปา่ เปน็ หลักในการจาแนก โดยเฉพาะองค์ประกอบของชนิดพันธ์ไุ ม้ในสังคมและไม้เด่น เปน็ สนสองใบ หรือสนสามใบ เชน่ ภกู ระดงึ จังหวดั เลย 1.3 ป่าพรุหรอื ปา่ บงึ (Swamp forest) พบตามท่รี าบลุม่ มีน้าขงั อยู่เสมอ และตามริมฝั่งทะเลทมี่ ีโคลนเลน ทัว่ ๆ ไป แบ่งออกเปน็ 1.3.1 ป่าพรุ (Peat Swamp) เป็นสังคมป่าท่ีอยถู่ ัดจากบรเิ วณสงั คมป่าชายเลนในทๆ่ี มนี า้ จดื แช่ ขงั อยู่ตลอดทง้ั ปี พนื้ ป่ามีซากพชื และอนิ ทรียว์ ัตถุต่างๆท่ีไม่ย่อยสลาย (Peat) และอินทรีย์วัตถุที่ย่อย สลายแล้ว ทบั ถมกันหนาประมาณ 50-100 ซม. หรอื มากกว่า นา้ ทีข่ งั อยู่ในปา่ พรุเกิดจากน้าฝน พบ กระจายอยูท่ ั่วไปตั้งแต่บนภูเขาสูงทม่ี นี ้าขังตลอดปี เช่นพรุอ่างกา บนดอยอนิ ทนนท์ ปา่ พรโุ ตะ๊ แดง จ.นราธวิ าส พนั ธไ์ุ ม้ส่วนใหญ่ในป่าพรุจะมรี ากคา้ ยัน ไมย้ นื ต้นชนั้ บนทพ่ี บเช่น ชา้ งไห้ โงงงัน ทุเรียน นก และพนั ธไุ์ มใ้ นวงศห์ วา้ ยงั มีหวายชนดิ ตา่ งๆ พวกปาลม์ สว่ นไม้พนื้ ล่างก็มีพวกเตยและเฟิร์น 1.3.2 ปา่ ชายเลน (Mangrove swamp forest) ป่าชายเลนอยบู่ รเิ วณโซนรอ้ น (tropical region) มสี ังคมพืชทขี่ ้นึ อยบู่ รเิ วณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้าทม่ี ีน้าข้นึ -นา้ ลงอย่างเดน่ ชัดใน รอบวนั หรอื อา่ วซ่ึงเปน็ บริเวณที่มรี ะดบั น้าทะเลท่วมถงึ ในช่วงท่นี า้ ทะเลขน้ึ สงู สดุ พืชท่ีประกอบด้วย พันธุไ์ มห้ ลายชนดิ หลายตระกูล และเป็นพวกทมี่ ี ใบเขยี วตลอดป(ี evergreen species) พืชทข่ี ึ้น สกลุ โกงกาง (Rhizophora) โกงกาง แสมทะเล ปรง ตะบนู ลาพู ลาแพน ตะบนู เหงือกปลาหมอ ตาต่มุ ทะเล ฯลฯ ไมช้ ายเลนจะมีการแบง่ เขตการแพร่กระจายอย่างชดั เจน เช่น เราพบโกงกางอยดู่ า้ นนอก ตดิ กับทะเล แสมอยู่ตรงกลาง ตะบูนอยู่ด้านใน ป่าชายเลนมคี ณุ ค่าเป็นแหล่งอนบุ าลสัตว์น้าวยั อ่อน เป็นทท่ี ามาหากนิ ของชาวประมง พ้นื บา้ น ป่าชายเลนพบได้เกือบทกุ ภาคยกเว้นภาคตะวันออก เฉียงเหนือและภาคเหนือ 1.3.3 ป่าชายหาด (Beach forest) พบแพร่กระจายอยตู่ ามชายฝง่ั ทะเล บรเิ วณที่น้าทะเลท่วมไมถ่ ึง และมีไอเค็มที่พดั จากทะเล ทีเ่ ปน็ ดินกรวด ทราย และโขดหนิ สนั ทรายดินมีฤทธิเ์ ป็นด่าง พืชจะต้องปรับตัวให้กับสภาพ แวดล้อม เพ่ือให้สามารถดารงชวี ิตอยู่ เช่น การขาดแคลนนา้ จืดในบางฤดกู าล คลน่ื ลมทม่ี คี วามรนุ แรงแสงแดด ทาให้ตน้ ไมส้ ว่ นใหญม่ ีลกั ษณะเปน็ พุ่ม ลาตน้ คดงอ และแตกก่งิ กา้ นสาขามาก ก่งิ สน้ั ใบหนาแข็ง ราก ของพืชประเภทนี้จึงมีลกั ษณะทสี่ ามารถงอกได้ตามข้อ และงอกรากได้ใหมต่ ามการทับถมของทรายท่ี พดั เขา้ มาพอกพนู เมือ่ รากเจริญเติบโตขึ้นกจ็ ะพัฒนากลายเป็นลาต้นยึดเหน่ียวทรายไว้ และจะรกุ คืบ เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภูมิศาสตร์ หน้า 73

ภูมิศาสตร์กายภาพ : จนกระท่ังครอบคลมุ ชายหาดนนั้ พรรณพืชปา่ เช่น ตน้ หกู วาง โพธ์ิทะเล ปอทะเล จะชอบขึ้นกลมุ่ ๆ จงึ เปรียบเสมือนกาแพงกนั คล่นื ลม ให้กับพชื ชายหาดชนดิ อื่น ๆ ปา่ ชายหาด ทาหน้าที่ในการยึดเหนี่ยวสนั ทราย และรักษาชายฝัง่ ทะเล เปรยี บเสมอื นตวั ท่ี รักษาสมดลุ ระหวา่ งรอยต่อของทะเลกบั ปา่ บนบก และปอ้ งกนั การกัดเซาะชายฝ่งั สนั ทราย และสง่ ผล กระทบต่อระบบนิเวศใต้ทะเล 2. ปา่ ผลัดใบ (Deciduous Forest) ประกอบดว้ ยพันธไุ์ ม้ชนิดผลัดใบหรอื ท้ิงใบเก่าในฤดแู ล้ง เพื่อจะแตกใบใหมเ่ ม่ือเข้าฤดูฝน ยกเว้นพชื ช้นั ลา่ งจะไม่ผลัดใบ จะพบปา่ ชนดิ นต้ี ้ังแต่ระดับความสูง 50 - 800 เมตรเหนือระดับนา้ ทะเล แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คือ 2.1 ป่าเบญจพรรณ พบที่ระดบั ความสงู ตัง้ แต่ 50 - 800 เมตร หรือสงู กว่านใ้ี นบางจดุ ลักษณะทั่วไปเปน็ ป่า โปร่ง พืน้ ท่ปี า่ ไมไ้ ม่รกทบึ มีไม้ไผช่ นดิ ต่างๆ ขึน้ อย่มู าก มีทั่วไปตามภาคตา่ งๆ ทีเ่ ปน็ ทร่ี าบ หรือตาม เนนิ เขา พนั ธุ์ไม้จะผลดั ใบในฤดูแล้งพบมากในภาคเหนือและภาคกลาง และภาคอสี านไม้ท่ีสาคัญไดแ้ ก่ ไม้สกั แดง ประดู่ มะคา่ โมง ชงิ ชัน ตะแบก ฯลฯ สว่ นพชื ชั้นล่างก็มพี วกหญา้ กก และไม้ไผ่ การ กระจายของป่าเบญจพรรณในประเทศไทย ครอบคลมุ ตา่ ลงไปจนถงึ จงั หวดั ประจวบคีรีขันธ์ตอนบน 2.2 ปา่ แดง ปา่ โคก ป่าแพะ หรอื ปา่ เตง็ รงั พบทีร่ ะดบั ความสูงจากระดับนา้ ทะเล 50-1,000 เมตร ข้นึ สลับกับปา่ เบญจพรรณ ลกั ษณะเปน็ ปา่ โปรง่ มตี ้นไมข้ นาดเล็ก และขนาดกลาง ไมเ้ ด่นอนั เป็นไม้ดชั นปี ระกอบดว้ ยไม้ในวงศย์ าง (ไมพ้ ลวง, เหียง, กราด และพะยอม ) ฤดแู ล้งจะผลดั ใบเกิดไฟปา่ ป่าเต็งรงั มถี ่นิ กระจายโดยกว้างๆ ซอ้ นทบั กันอยู่กบั ป่าเบญจพรรณ และมีปจั จัยกาหนดทเ่ี กย่ี วข้องกบั ความแหง้ แลง้ ปรากฎในดนิ ที่ไม่คอ่ ยอุดม สมบรู ณพ์ บอยูใ่ นภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ทมี่ ีชนั้ ของลูกรังตน้ื ปา่ ชนดิ นเ้ี ป็นสงั คมพชื เดน่ ในทาง ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 2.3 ป่าหญา้ ป่าที่เกิดขน้ึ ภายหลงั จากทีป่ า่ ชนิดอนื่ ๆถกู ทาลาย ดินมสี ภาพเสือ่ มโทรม ดินมฤี ทธิ์เป็นกรด ต้นไม้ไม่สามารถเจรญิ เติบโตได้ จงึ มหี ญา้ ต่างๆ เขา้ ไปแทนท่ี แพร่กระจายทัว่ ตน้ ไม้ไม่สามารถขึ้นหรือ เจรญิ เติบโตตอ่ ไปได้ พวกหญ้าต่างๆจึงเขา้ มาแทนท่ี พบอย่ทู ั่วไปตามบรเิ วณทเี่ ป็นปา่ รา้ งและไรร่ ้าง สว่ นใหญเ่ ป็นหญา้ คา แฝกหอม หญ้าพง สาบเสือ ฯลฯ อาจจะพบต้นไม้ขน้ึ อยู่ห่างๆบ้าง เชน่ ตน้ กระโดน ความสาคญั ของป่าไม้ 1. สาคญั ตอ่ ระบบนิเวศวิทยา ป่าไม้ชว่ ยปอ้ งกันการชะลา้ งพงั ทลายของดิน ทาให้ดนิ อุดมสมบรู ณ์ เปน็ ต้นนา้ ลาธาร เป็นท่ีอยู่อาศยั ของสัตว์ปา่ เป็นตน้ 2. สาคัญด้านเศรษฐกจิ ป่าไมใ้ ห้ผลผลติ ทีน่ ามาใช้ประโยชน์ตอ่ มนษุ ย์ได้อย่างมากมาย 3. สาคัญด้านนันทนาการ ปา่ ไม้เปน็ แหล่งพักผ่อนหย่อนใจของมนษุ ย์ เป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติวทิ ยา 4. ทรพั ยากรนา้ 4.1 ความหมายของน้า น้า (Water) เป็นสารประกอบทปี่ ระกอบด้วยธาตไุ ฮโดรเจน (Hydrogen) และออกซิเจน (Oxygen) ในอัตราส่วน 1 ตอ่ 8 โดยน้าหนักพบ 3 สถานะ คอื ของเหลว ของแข็ง (น้าแข็งขวั้ โลก) และกา๊ ซ พนื้ ท่ี 2 ใน 3 ของโลกปกคลุมด้วยน้าในมหาสมุทร แม้วา่ จะมนี ้าอยอู่ ย่างมากมายบนโลก เอกสารประกอบการเรียนรายวชิ า ส30103 ภมู ิศาสตร์ หนา้ 74

ภูมศิ าสตร์กายภาพ : แต่น้าจดื ซึง่ จาเป็นต่อการดารงชีวติ ของมนุษยม์ ีประมาณ 3 % ทเ่ี หลือเปน็ น้าเค็มประมาณ 97 % น้าทตี่ กสผู่ วิ โลกส่วนใหญม่ าจากมหาสมทุ รท่ีมีพน้ื ทป่ี ระมาณ 70% ของพื้นท่ีทั้งโลก และเม่ือมี การตกสู่พ้ืนโลกประมาณ 10 % ในรูปของฝนและหิมะ จากน้นั บางสว่ นก็จะซึมลงดนิ และลงสแู่ หลง่ น้าต่างๆ และเกดิ การระเหยอีกครง้ั หนึ่ง 4.3 วฏั จกั รของน้า มหาสมุทร แหล่งนา้ บนโลก 0.008 % ธารนา้ แขง็ 97.2 % ทะเลสาบน้าเค็ม 0.005 % นา้ ใต้ดิน 2.15 % ความช้นื ของดนิ 0.00001 % ทะเลสาบน้าจดื 0.62 % แมน่ ้า ลาธาร 0.001 % 0.009 บรรยากาศ % ................................................. เอกสารอ้างอิง กรมทรพั ยากรธรณี กระทรวงอตุ สาหกรรม.(2544 ).ธรณีวทิ ยาประเทศไทย. กรงุ เทพมหานคร กองธรณีวทิ ยา. กวี วรกวนิ .หนิ แปร. (2532).เอกสารประกอบการอบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร เรื่องภมู ิศาสตร์กายภาพ ประเทศไทย. ภาควชิ าภมู ิศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมิตร, 6-12 เมษายน. กวี วรกวิน.(2547).แผนทคี่ วามรู้ท้องถนิ่ ไทยภาคเหนอื .กรเุ ทพมหานคร: พัฒนาคณุ ภาพวิชาการ (พว.)จากัด. กวี วรกวนิ .(2547).แผนท่ีความรู้ทอ้ งถ่นิ ไทยภาคตะวนั ออเฉียงเหนือ.กรุเทพมหานคร:พัฒนา คณุ ภาพวชิ าการ(พว.)จากดั . กวี วรกวิน.(2547). แผนทีค่ วามรู้ท้องถิน่ ไทยภาคกลาง. กรุเทพมหานคร: พัฒนาคณุ ภาพวชิ าการ (พว.)จากัด. เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภมู ศิ าสตร์ หน้า 75

ภมู ิศาสตร์กายภาพ : กวี วรกวิน.(2547). แผนทค่ี วามรทู้ ้องถิ่นไทยภาคใต้. กรุเทพมหานคร: พัฒนาคุณภาพวชิ าการ(พว.) จากัด. กวี วรกวิน.(2547). แผนทค่ี วามรทู้ อ้ งถน่ิ ไทยภาคตะวนั ออก. กรุเทพมหานคร: พัฒนาคณุ ภาพ วชิ าการ(พว.)จากัด. กวี วรกวนิ . (2547).แผนทคี่ วามรทู้ ้องถ่ินไทยภาคตะวนั ตก. กรเุ ทพมหานคร: พฒั นาคณุ ภาพ วชิ าการ(พว.)จากัด. คณะอนกุ รรมการจดั ทาพจนานุกรมธรณวี ทิ ยา.(2530). พจนานกุ รมศัพทธ์ รณวี ทิ ยา. กรงุ เทพมหานคร: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ฉัตรชยั พงศ์ประยรู .(2527) .แนวความคดิ ทางภมู ศิ าสตร.์ กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ภาควชิ าชีววทิ ยาปา่ ไม้ คณะวนศาสตร์ (มปพ.)เอกสารประกอบการเรียนวชิ านเิ วศวิทยา (Ecology) กรุงเทพฯ:มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. ประเสรฐิ วทิ ยารัฐ (ม.ป.ป.) ภมู ิศาสตร์กายภาพประเทศไทย. กรุงเทพ ฯ : สานกั พมิ พอ์ ักษรเจรญิ ทัศน์จากัด ประเสริฐ วิทยารฐั . (2545). ภูมศิ าสตร์กายภาพประเทศไทย.กรุงเทพ ฯ : สานักพิมพ์บรษิ ัทพฒั นา คุณภาพวชิ าการ (พว.). ปริศนา สริ อิ าชา.(2546) แร่และซากดกึ ดาบรรพ์. กรุงเทพมหานคร: สุวรี ิยาสาส์น. ปญั ญา จารศุ ิรแิ ละคณะ.(2545). ธรณีวิทยากายภาพ. กรงุ เทพมหานคร: พลสั เพรส จากดั . น้อม งามนสิ ัย และคณะ.(2527) ภมู ศิ าสตรก์ ายภาพ เล่ม 2 .กรงุ เทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานชิ . นวิ ตั ิ เรอื งพานชิ .(มปพ.).คมู่ ือสาหรับการสอนและการฝึกอบรมการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติ และ สงิ่ แวดลอ้ ม. กรุงเทพมหานคร:ภาควิชาอนุรักษว์ ิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์ พจนานกุ รมธรณีวทิ ยา, คณะอนุกรรมการจัดทา.( 2530). พจนานกุ รมศัพท์ธรณีวิทยา. กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . มชี ยั วรสายณั ห์ และคณะ. (2527). ภมู ศิ าสตร์กายภาพ เลม่ 1. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวัฒนา พานชิ . ราชบัณฑติ ยสถาน.(2544). พจนานกุ รมศพั ท์ธรณวี ิทยา ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน. กรุงเทพมหานคร : หจก.นนทชยั . รชั นี บญุ –หลง.(มปป.). ภมู ิศาสตร์กายภาพ.กรุงเทพมหานคร. วิชยั เทยี นนอ้ ย . (2521). ภมู อิ ากาศวทิ ยา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์อกั ษรวัฒนา. วรี ะชัย สริ พิ ันธ์วราภรณแ์ ละคณะเรยี บเรียงจาก Joseph D. Exline, Ed. D.(2540). สารวจโลก วิทยาศาสตรก์ ารเปล่ยี นแปลงของพน้ื ผิวโลก.กรุงเทพมหานคร: เพยี ร์สนั เอด้ ดูเตชน่ั อินโดไชนา่ . ราชบัณฑติ ยสถาน.(2539). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2535. กรงุ เทพมหานคร: อักษรเจริญทศั นจ์ ากดั . ราชบณั ฑติ ยสถาน.(2539). พจนานุกรมศพั ท์ภมู ศิ าสตร์ ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน. กรงุ เทพมหานคร: หา้ งห้นุ ส่วนจากดั .นนทชัย. รงั สรรค์ อาภาคพั ภะกุล .(2532). อตุ นุ ยิ มวิทยาเบ้อื งตน้ .กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. สมาคมภูมศิ าสตรแ์ ห่งประเทศไทย. (2545).ธรณีวิทยานา่ ร.ู้ กรุงเทพมหานคร: ทซี จี ี พรน้ิ ต้ิงจากดั . เสรีวฒั น์ สมนิ ทรป์ ัญญา.(2543). โลกและหนิ . กรงุ เทพฯ: สวุ รี ยิ าสาส์น. Allison A. Mead , DeGaetano T. Arthur and Pasachoff M .Jay.(2006). EarthScience. Orlando: Holt,RinehartandWinston,. เอกสารประกอบการเรียนรายวชิ า ส30103 ภูมิศาสตร์ หน้า 76

ภมู ิศาสตร์กายภาพ : Fam Valentine and Bunnett R.(2004). Interactive Geography. Singapore: SNP Panpac Pte. Lutgens K. Frederick and Rarbuck J .Edward.(2003). ESSENTIALS OF GEOLOGY. New Jersey :Prentice-Hall. Plummer C .Charles, McGeary David and Carlson H. Diane.(2001). SICAL GEOLOGE. New York: McGraw-Hill. Plummer C. Charles and Carlson H .Diane.(2005). Physical GEOLOGY. North America : McGraw-Hill. Thompsom R. Grabam and Turk Jonatban.(2007).Earth Sciente and the Environment, fourth edition.Thomsom Leaning. Belmont. http:// www.arch.hku.hk/ ~cmhui/teach/65156-7a.htm http:// www.earthdayenergyfast.org/ http://www.environnet.in.th/evdb/info/mineral/index.html http://www.bgsd.k12.wa.us/hml/jr_cam/science/rocks/igneous.htm (เรื่องหิน) http//: www.earthdayenergyfast.org/ http://www.dnp.go.th/research/Knowledge/type%20of%20forest.html http: // www.lesaproject.com http://www.mii.org/Minerals/photochert.html http//:www.paleopolis.rediris.es/cg/CG2006_M02/4_droite.htm http//:www. pubs.usgs.gov/publications/ text/historical.html http//:www.scienceclarified.com/landforms/Basins-to-... http//:www.strata.geol.sc.edu/.../caco3-skeletal. http//:www.ucl.ac.uk/GeolSci/micropal/foram.html http://www.uwm.edu/Course/422-100/Mineral_Rocks/sedrox.index.html http://www.wildlifefund.or.th/07_Habitats/05_mangrove/mangrove00.html เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภมู ิศาสตร์ หนา้ 77

ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : แบบฝกึ ปฏบิ ัตภิ ูมิศาสตรก์ ายภาพ 1. กล่าวว่าการศกึ ษาธรณีวิทยาคอื “ปัจจุบันเปน็ กญุ แจไปสอู่ ดตี ”หมายความว่าอย่างไร ............................................................................................................................. ........................... ....................................................................................................... ................................................. 2. เพราะเหตุใดเปลอื กโลกส่วนใหญม่ แี รต่ ระกลู ซิลเิ กตมาก.......................................................... ............................................................................................... ........................................................ 3. หินอัคนแี ทรกซอนเยน็ ตวั ภายในโลกอยา่ งชา้ ๆทาให้ไดห้ ินท่มี ลี กั ษณะเดน่ ต่างจากหนิ อัคนพี ุอยา่ งไร .......................................................................................................... ............................................ 4. ถ้าหนิ อัคนที ี่มีสเี ข้มเพราะสว่ นใหญ่มีองค์ประกอบของแร่ชนดิ ใดมาก ระหว่าง เหล็กและ แมกนเี ซียม กบั ควอรตซ์และเฟลดส์ ปาร์ ........................................................................................... ......................................................... 5. เราสามารนาหินอคั นีมาใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจาวนั ได้อยา่ งไรบ้าง ............................................................................................................................. ...................... 6. เศษตะกอนจะกลายเป็นหินไดอ้ ยา่ งไร ........................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .............................. 7. ฝนกรดเกิดขน้ึ ไดอ้ ย่างไร ............................................................................................................................. ............................. 8. ถา้ แร่เฟลดส์ ปรผ์ ุพังจะกลายเปน็ อะไร ......................................................................................................................................................... 9.ซากดกึ ดาบรรพห์ รือ“ Fossil ”คอื อะไรไม้กลายเปน็ หินได้อย่างไร ............................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................... 10.ทาไมพืน้ ที่ต่างๆของโลกจึงมีความร้อนไม่เท่ากนั ............................................................................................................................. .......................... .................................................................................................. .................................................... 11. เพราะเหตุใดบนภเู ขาสูงจึงมอี ากาศหนาวเยน็ กว่าพื้นล่าง ............................................................................................................................. ............................. ..................................................................................................... ..................................................... 12. ดนิ ขาวเรยี กอีกอย่างวา่ ดินเกาลินเกิดจากการแปรสภาพมาจากหนิ ชนิดใด ............................................................................................................................. ........................... 13. นา้ มันดิบส่วนใหญ่มีองค์ประกอบจากสารประกอบใด ....................................................................................................................................................... 14.ทาไมรังสที ปี่ ลอ่ ยออกมาจากแร่กัมมันตภาพรงั สจี ึงไม่สามารถมองเหน็ ดว้ ยตาเปลา่ .................................................................................. ......................................................................... 15.ดนิ แต่ละที่จะมีแรธ่ าตใุ นดินในปรมิ าณแตกตา่ งกนั ขนึ้ อยกู่ บั อะไร ..................................................................................................................... ...................................... เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภูมิศาสตร์ หน้า 78

ภูมศิ าสตร์กายภาพ : 16. หน้าตดั ของดนิ (Soil Horizon) บอกถงึ ลักษณะทางธรณวี ทิ ยา และประวตั ิภูมอิ ากาศของภมู ิ ประเทศได้อยา่ งไร .................................................................................................................... ..................................... ............................................................................................................................. ............................ 17. ป่าชายหาดมีความสาคัญอย่างไร ......................................................................................................................................................... แบบฝกึ ปฏิบัติ หนิ 1. จากการศึกษาเรื่องสว่ นประกอบของโลกหากนักเรยี นจะต้องการสารวจใจกลางของโลกนกั เรยี น จะพบหินชนดิ ใด................................ 2. ภูมศิ าสตรก์ ายภาพมีองคป์ ระกอบอะไรบ้าง ............................................................................................................................. ...................... ............................................................................................................................. ..................... 3. จากสไลด์ที่ 4 เกดิ จากหนิ อัคนี มีลกั ษณะมรี ูพรุน คุณสมบัติพิเศษลอยน้าไดเ้ รียกว่าหินอะไร ........................................................................................................................................ 4. จากสไลดท์ ี่ 5 หนิ ทแี่ ปรสภาพมาจากหนิ ปูนนิยมมาใชใ้ นอุตสาหกรรมกอ่ สร้างและแกะสลกั ส่ิงของ ต่างๆ ............................................................................................................................. 5. หนิ ........................... 6. หนิ ทเ่ี กดิ จากระเบดิ ของภูเขาไฟมีลกั ษณะการหลอมของซิลิก้าคล้ายแก้วสว่ นใหญ่มกั มีสีดา คือหินอะไร ................................................................................................................................ ............. 7. จากภาพขา้ งบนเป็นการแสดงขบวนการเกดิ อะไร .................................................................................................... 8. บอกหนิ ที่อยู่ในกลุ่มของหินอัคนมี ากใหม้ ากท่ีสุด.............................................................................. ..................................................................................................................................... ......................... ............................................................................................................................. ................................. เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ส30103 ภมู ศิ าสตร์ หนา้ 79

ภมู ิศาสตร์กายภาพ : แบบฝกึ ปฏิบัติ “ดิน” 1. หินอคั นีมีแรท่ ีเ่ ปน็ ส่วนประกอบที่เป็นต้นกาเนดิ ของดินคือแร่...................................... 2. องค์ประกอบของดินประกอบด้วย 1…………………..2…………………….. 3……………… 4……………………….. 3. ดนิ ทมี่ ีคุณภาพดจี ะมีองค์ประกอบของปริมาตรแตล่ ะชนิดอะไรบ้างร้อยละเท่าไร ........................................................................................................................................ ...................... ............................................................................................................ .................................................. ............................................................................................................................. ................................. 4. ดนิ จะสลายตัวเรว็ หรอื ชา้ มีปจั จัยทีค่ วบคุมคือ................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ 5. ปัญหาของดินท่ีมปี จั จัยจากธรรมชาติคอื เร่ืองอะไร........................................................................ ............................................................................................................................. ................................. ............................................................................................................................. ................................. ............................................................................................................................. ................................. แบบฝกึ ปฏบิ ตั ิภูมิอากาศ 1. ให้นกั เรยี นวเิ คราะห์ความแตกต่างของลักษณะต่อไปนี้ เมฆ หมอก ลักษณะการเกิด.................................................. ลกั ษณะการเกิด.................................................. ........................................................................... ........................................................................... ........................................................................... ......................................................................... ลูกเหบ็ น้าค้างแข็ง ลกั ษณะการเกิด.................................................. ลักษณะการเกดิ .................................................. ........................................................................... .......................................................................... ........................................................................... ........................................................................... ฝน นา้ ค้าง ลกั ษณะการเกดิ .................................................. ลกั ษณะการเกิด.................................................. .......................................................................... ........................................................................... แบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ ภมู อิ ากาศ แบ่งกลุม่ นักเรียนกลมุ่ ละ 4 คนแต่ละกลมุ่ เลือกประเดน็ ทกี่ าหนดใหก้ ลุ่มละ 1 ขอ้ ให้นักเรยี นวเิ คราะห์ ในประเด็นต่อไปนี้ 1. ภูมิอากาศมคี วามสาคัญต่อภูมปิ ระเทศอยา่ งไร ........................................................................................ ....................................................... ............... ............................................................................................................................. ................................. ............................................................................................................................. ................................. เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา ส30103 ภมู ศิ าสตร์ หนา้ 80

ภมู ศิ าสตร์กายภาพ : ................................................................................................. ............................................................. ............................................................................................................................. ................................. 2. ภูมอิ ากาศมคี วามสาคัญต่อทรพั ยากรธรรมชาตอิ ย่างไร ............................................................................................................................. ................................. .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................. ............................................................................................................................................... ............... ............................................................................................................................. ................................. 3. ภมู ิอากาศมอี ิทธิพลตอ่ การตง้ั ถ่นิ ฐานของมนุษย์อย่างไร ............................................................................................................................................... ............... ............................................................................................................................. ................................. ............................................................................................................................. ................................. .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................. 4. ทต่ี ั้ง และความใกลไ้ กลทะเลมอี ทิ ธิพลภมู ติ ่อภมู ิอากาศอย่างไร ............................................................................................................................. ................................. ............................................................................................................................................... ............... ............................................................................................................................. ................................. ............................................................................................................................. ................................. .............................................................................................................................................................. 5.ทศิ ทางลมและกระแสนา้ มีอิทธิพลตอ่ ภมู ิอากาศอย่างไร ............................................................................................................................. ................................. ............................................................................................................................. ................................. .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................. ................................................................................................................................. ............................. 6. เพราะเหตใุ ดภมู ิอากาศแต่ละพืน้ ทีจ่ งึ ไม่เหมอื นกัน ................................................. .............................................................................................. ............... ............................................................................................................................. ................................. ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ................................. รายช่อื ผรู้ ่วมงาน1...................................2..................................3………………………………….. 4…………………………………………………. เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ส30103 ภมู ิศาสตร์ หนา้ 81


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook