หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 เร่อื ง มลพิษ
ใบความรู้ท่ี 2 เรื่อง มลพิษ 1. ความหมายและประเภทของมลพิษ มลพิษ (Pollution) หมายถึง ส่ิงแวดลอ้ มท่ไี ม่พงึ ประสงค์ที่เกิดจากกระบวนการผลิตก่อใหเ้ กิดของเสีย และสารเคมีที่มีอันตราย ได้แก่ รังสี ความร้อน กล่ิน เสียง แสง ฝุ่นละอองความส่ันสะเทือน ที่ทำให้สุขภาพ อนามัยของประชาชนหรือผู้ปฏิบัติงานเกิดอันตราย มลพิษต่างๆ มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็น ทางตรงหรอื ทางออ้ ม มลพษิ จากสถานประกอบการมหี ลายประเภท ได้แก่ 1. มลพษิ ทางนํา้ 2. มลพษิ ทางอากาศ 3. มลพษิ ทางเสยี ง 4. ขยะอันตราย 2. มลพิษจากสารเคมี อันตรายจากมลพษิ ของสารเคมี ไดแ้ ก่ 1. ฝุ่น (Dust) คือ อนุภาคของแข็งที่แขวนลอยในอากาศ เป็นสารท่ีมีความหลากหลายทางกายภาพ ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายในอากาศเกิดจากการทำงานเกี่ยวกับการตัด การบด การกด การกระแทก โม่ ป่น คัดแยก ลำเลียง ฯลฯ ของสาร 2. ฟูม (Fume) คอื อนุภาคท่ีเกิดจากการหลอมเหลวของของแขง็ เช่น พลาสติกและโลหะกลายเป็น ไอ เมอ่ื กระทบกบั ความเยน็ จะควบแน่นเปน็ อนุภาคขนาดเล็กแขวนลอยในอากาศ 3. ฝุ่นละออง (Mist) คือ สารท่ีมีความหลากหลายทางกายภาพ มีองค์ประกอบเป็นของแข็งหรือ ของเหลวก็ได้ ฝุ่นละอองท่ีมีอยู่ในบรรยากาศ มีขนาดต้ังแต่ 0.002 ไมครอน ไปจนถึงฝุ่นที่ขนาดใหญ่กว่า 500 ไมครอน ฝุน่ ละอองในบรรยากาศอาจแยกได้เป็น ฝุน่ ละอองที่เกดิ ขึ้นและกระจายสูบ่ รรยากาศจากแหล่งกำเนิด โดยตรงและฝุ่นละอองซ่งึ เกิดขน้ึ โดยปฏกิ ิริยาต่างๆ ในบรรยากาศ 4. หมอกควัน (Smog) มาจากคำว่าหมอก (Fog) และควัน (Smoke) รวมกนั เป็นมลพิษทางอากาศ ท่ีเกิดจากการปนเป้ือนของหมอกที่เกิดจากอากาศเย็นกับกลุ่มควัน ที่ถูกปล่อยมาจากแหล่งต่างๆ เม่ือเข้าสู่ ร่างกายทำให้เกิดการระคายเคอื งตา หายใจไมส่ ะดวก เกิดโรคทีเ่ กยี่ วกับระบบทางเดนิ หายใจ 5. เส้นใย (Fiber) คือ อนุภาคของแข็งท่มี ีรปู ร่างยาวและบาง มลี ักษณะเป็นใย 6. ก๊าซ (Gas) คือ สารเคมีที่มีรูปร่างเป็นของเหลว ถูกเปล่ียนแปลงไปตามภาชนะท่ีบรรจุ การได้รับ สารพิษเข้าสู่ร่างกายโดยการสูดดม และการซึมเข้าสู่ผิวหนัง โดยไฮโดรเจน ไนโตรเจนคาร์บอนมอนอกไซด์ และไฮโดรเจนไซยาไนด์ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน อีเทอร์ และคลอโรฟอรม์ มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง คลอรีน ฟอสจนี และไนโตรเจนไดออกไซด์ ทำให้ปอดระคายเคอื ง บรอมเบนซลิ ไซยาไนดแ์ ละคลอโรอะซีโตฟิ โนน ซึ่งทำให้น้าํ ตาไหล ก๊าซมสั ตาดและก๊าซไนโตรเจนมัสตาดทำให้เปน็ ตมุ่ พอง อาร์ซีนทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ไดฟีนลิ คลอโรอารซ์ นี และไดฟนี ลิ ไซยาโนอาซนี ทำใหเ้ กิดการจาม ระคายเคืองตอ่ ระบบประสาท 7. ไอระเหย (Vapour) คือ สารท่เี ป็นของเหลวหรือของแข็งอยู่ในอุณหภมู ิและความดนั ปกติ เมอ่ื เกิด การเปล่ียนแปลงของสารจะเกดิ ไอระเหยข้ึน เชน่ สารอินทรีย์ ไอระเหยจากน้ํามันขณะท่ีเติมรถยนต์ ไอระเหย
จากสี เป็นต้น ไอระเหยเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ และผิวหนังหากได้รับในปริมาณมากจะทำลายระบบ ประสาทส่วนกลาง และมีอาการกดประสาท เกิดอาการทันทีหรอื หมดสติได้ ในการได้รับปริมาณน้อยและนาน จะมปี ัญหาเร้ือรัง อาจทำให้เกดิ มะเรง็ และความเส่ือมสภาพของเนื้อเย่ืออวัยวะภายในได้ดว้ ย 8. กรด คือ สารประกอบท่ีมี H+ และเมื่อละลายน้ําจะแตกตัวให้ H+ เป็นสารที่ให้โปรตอน (Proton donor) แก่สารอืน่ เชน่ กรดไฮโดรคลอริกกรดโครมิก และกรดซลั ฟูริก 9. ด่าง คือ สารประกอบท่ีมี OH- และเมื่อละลายน้ําจะแตกตัวให้ OH- สารท่ีสามารถรับโปรตอน (Proton acceptor) จากสารอื่น เช่น โซเดยี มไฮดรอกไซด์ 10. สารทำละลาย คือ สารเนื้อเดียวท่ีไม่บริสุทธ์ิ เกิดจากสารตั้งแต่ 2 ชนิดข้ึนไปมารวมกัน สารละลายแบง่ สว่ นประกอบได้ 2 ส่วน คือ ตัวทำละลาย ตวั ละลาย 11. ไซยาไนด์ ท่ีใช้โดยท่ัวไปมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ แบบก๊าซ ได้แก่ ไฮโดรเจนไซยาไนด์หรือก๊าซ ไซยาไนด์ และแบบเกลือของไซยาไนด์ ได้แก่ โพแทสเซยี มไซยาไนด์ สามารถเขา้ สรู่ ่างกายได้จากหลายเส้นทาง ท้ังการรับประทานไซยาไนดท์ ั้งชนิดเม็ดและชนิดนํ้า การสูดดม หรือการสัมผสั กับ สารไซยาไนด์ อาการของผทู้ ่ี รับประทานไซยาไนด์ ได้แก่ กล้ามเนื้อล้า หายใจลำบาก วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน ระคายเคือง คันที่จมูก คอ ปาก ชัก หมดสติ การสูดดมก๊าซไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกายอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ เพราะไซยาไนด์จะเข้าไป เกาะกบั เฮโมโกลบนิ ซง่ึ เปน็ สารทร่ี า่ งกายใช้ขนออกซเิ จนเขา้ สู่ร่างกาย ทำให้เซลล์ในร่างกายขาดออกซเิ จนได้ มลพษิ จากสารเคมสี ามารถเข้าสู่รา่ งกายได้หลายทาง ไดแ้ ก่ 1. การหายใจ ได้แก่ สารเคมีประเภทก๊าซและไอ เมื่อผู้ปฏิบัติงานหายใจเข้าสู่ร่างกายสารเคมี ประเภทก๊าซและไอจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ถ้าเป็นอนุภาคเล็กๆ จะไปสะสมอยู่ที่ปอด เม่ือสะสมนานๆ จะ เกดิ โรคทางเดินหายใจ หากเปน็ อนุภาคใหญก่ ็จะถูกขบั ออกมาในลกั ษณะของการไอ จาม หรอื เสมหะ 2. การซึมเข้าทางผิวหนัง ได้แก่ สารเคมีที่ซึมเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง ที่เกิดบาดแผลก่อให้เกิด อนั ตรายต่อร่างกายข้ันรุนแรง หรือเกดิ การระคายเคอื งทำใหผ้ ิวหนงั เป็นแผลได้ 3. การเข้าสู่รา่ งกายทางปาก ได้แก่ การที่ผู้ปฏิบัติงานมือเป้ือนสารเคมีแลว้ ไม่ไดท้ ำความสะอาดและ หยิบอาหารรับประทาน หรือการทีฝ่ นุ่ ละอองจากสารเคมปี ลวิ มาติดใกล้รมิ ฝปี ากของผปู้ ฏิบัตงิ าน 3. มลพษิ ทางกายภาพ มลพิษจากสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ คอื สง่ิ ต่างๆ ทอ่ี ยู่รอบตวั ผู้ปฏิบัติงาน ได้แก่ ความร้อนความ เย็น การส่ันสะเทือน เสียงดัง รังสี ความกดอากาศในการทำงาน และรวมถึงเคร่ืองมือ เคร่ืองจักรอุปกรณ์ สภาพแวดล้อมของสถานประกอบการ ความไม่เหมาะสมของสภาพแวดล้อมในสถานที่ประกอบการและ กระบวนการทำงานมสี ว่ นให้เกิดอนั ตรายจากการประกอบอาชีพ มลพษิ ทางกายภาพ ไดแ้ ก่ 1. ความร้อน คือ สภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงจากสภาพปกติทั่วไป จนทำให้มีผลกระทบต่อ สิ่งมีชวี ิตในสภาพแวดลอ้ ม 2. ความสัน่ สะเทือน คือ การปฏิบตั ิงานกับเครื่องมอื หรือเคร่ืองจกั รท่มี กี ารสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา มีผลกระทบตอ่ สขุ ภาพของผู้ปฏิบัตงิ าน 3. รังสี คือ พลังงานทแี่ ผ่ออกมาในรูปของคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า เช่น คลืน่ วิทยุ คล่ืนไมโครเวฟ รงั สเี อกซ์ แสงสว่าง รังสคี อสมกิ
4. แสงสว่าง คือ การที่ตาสามารถมองเห็นส่ิงต่างๆ ที่ให้รู้ถึงรปู ร่าง ขนาด ทิศทางสี ความรวดเรว็ ใน การเคล่ือนไหวต่างๆ แต่การมองเห็นดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าไม่มีแสงสว่าง ดังนั้น แสงสว่างจึง เปน็ ส่ิงสำคญั ในการดำรงชีวิตและในการปฏิบตั ิงาน 4. มลพษิ ทางชีวภาพ มลพิษของสภาพแวดล้อมทางชีวภาพหรืออันตรายจากการประกอบอาชีพ คือ โรคที่เกิดจากการ ทำงานท่ีผู้ปฏบิ ัติงานไดส้ ัมผัสกับเช้ือโรคท่ีทำให้ผู้ปฏิบตั ิงานเกิดอาการเจบ็ ปว่ ยและเปน็ โรคต่างๆ ได้ 1. อันตรายจากมลพษิ ทางชวี ภาพ มดี ังน้ี 1.1 การตดิ เช้ือโรค เกดิ จากผูป้ ฏิบัตงิ านต้องสัมผัสคลุกคลอี ยู่กับเช้อื โรคหลายชนิดทั้งทางตรงและ ทางออ้ ม 1.2 การเกิดภูมิแพ้หรือระคายเคือง เกิดจากการทำงานอยู่กับพืชและสัตว์บางชนิดท่ีมีสาเหตุมา จากฝนุ่ เส้นใย ละออง 1.3 ถูกสตั ว์กดั ตอนปฏบิ ัติงาน อาจจะเปน็ สัตวเ์ ลี้ยง สัตว์ป่า หรอื สตั ว์นาํ้ ขึ้นอยกู่ ับว่าผู้ปฏิบัติงาน ประกอบอาชพี ใด 1.4 การเป็นโรคหนอนพยาธิ เกดิ ขึน้ กับผปู้ ฏบิ ตั ิงานที่ทำงานเกี่ยวกับแหลง่ หนอนพยาธิ โพรโทซัว และสตั วห์ รือแมลงนำเชื้อโรคบางชนิด 2.โรคท่ีเกิดจากมลพษิ ทางชีวภาพ มีดังนี้ 2.1 โรคเช้ือรา ส่วนใหญ่จะเป็นกับผู้ท่ีประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่ทำงาน และหายใจหรือสัมผัสกบั ฝนุ่ ละอองท่ีมเี ช้อื ราเข้าไปในปอดและกระตุ้นให้เกดิ อาการแพ้ได้ 2.2 โรคแอนแทรก โดยมีสัตว์เป็นตัวนำเชื้อโรคแบคทีเรียเข้าสู่ระบบหายใจ ผู้ที่เส่ียงกับการเป็น โรคนป้ี ระกอบอาชพี 2.3 วัณโรค ผู้ท่ีมีอาชีพหมอ พยาบาล มีโอกาสเป็นมากกวา่ ผู้ประกอบอาชีพอื่น เน่ืองจากต้องอยู่ ใกล้ชดิ กบั ผู้ปว่ ยเป็นประจำ 2.4 โรคบิสซโิ นซีส เกิดจากเชอื้ ราและแบคทเี รยี ทีอ่ ย่ใู นฝุ่นฝ้าย ป่าน ปอ ดังนั้น ผู้ท่ีมคี วามเส่ียงที่ จะเป็นโรคน้ี คอื ผทู้ ปี่ ฏิบัตงิ านในโรงงานทอผา้ โรงงานทำเชือก ผลิตเส้นด้าย และคนงานในไรฝ่ า้ ย 5. หลักการควบคุมป้องกันอนั ตรายจากมลพษิ ในการทำงาน สถานประกอบการและผู้ปฏิบัติงานต้องช่วยกันป้องกันอันตรายท่ีจะเกิดขึ้นโดยมีการควบคุมป้องกัน ดงั น้ี 1. ควบคุมต้นเหตุที่กอ่ ให้เกิดอนั ตรายหรอื ต้นเหตทุ ท่ี ำให้เกิดอุบัตเิ หตุ 2. ควบคมุ ไมใ่ ห้ส่งิ อันตรายสูผ่ ู้ปฏบิ ัตงิ าน 3. ควบคุมตัวคนทำงาน สถานประกอบการควรสำรวจสภาพแวดล้อมหรือสภาพการทำงานเป็นประ จำเพื่อให้สถาน ประกอบการมีความน่าพึงพอใจที่จะทำงาน มีการดูแลอุปกรณ์ต่างๆ เช่น แอร์ ห้องทำงานทางเดิน แสงสว่าง เครื่องจักร เคร่ืองมือ ท่ีระบายอากาศ ให้อยู่ในสภาพดี ไม่มีส่วนใดชำรุดเสียหายเป็นต้น ส่วนกระบวนการ
ทำงานควรจัดวางอุปกรณ์ เคร่ืองใช้ เครื่องมือ ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ปฏิบัติงาน เป็นการป้องกัน ไม่ใหเ้ กดิ อุบัติเหตุตา่ งๆ ในระหว่างการทำงาน 6. กจิ กรรม 5 ส การดำเนินงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ ผู้ปฏิบัติงานทำงานด้วยความมั่นใจว่าจะปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ที่สถานประกอบการไม่ควรจะละเลย คือ การดำเนินกิจกรรม 5 ส เป็นหลักการเบ้ืองต้นในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้มีความ สะอาด สะดวก สบาย ถูกสุขลักษณะ เพราะหากผู้ปฏิบัติงานทำงานในสถานที่สะอาดก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานมี สุขภาพที่ดี ไม่เกดิ โรคจากการทำงาน เม่ือสถานประกอบการได้ดำเนินการทำกิจกรรม 5 ส ใหไ้ ด้รบั การยอมรับ จากผู้ปฏิบัติงานท่ีปฏิบัติกันอย่างตอ่ เน่ืองก็จะทำให้มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในที่ทำงานใหเ้ ป็นไปตามงาน อาชีวอนามัยและความปลอดภยั ตอ่ ไป การดำเนินกิจกรรม 5 ส ประกอบดว้ ยหลกั การ ดงั นี้ 1. สะสาง (Seiri) คือ การแยกเอาส่ิงไม่ได้ใช้ออกจากสิ่งที่ต้องการใช้ โดยแยกออกเป็นหมู่พวก แยก ตามลักษณะของสิ่งของเหล่าน้ัน ส่ิงของอันไหนที่ไม่ต้องใช้หรือไม่ใช้แล้วก็ต้องกำจัดออกไป อาจจะนำไปท้ิง หรือขายตามแต่ว่าเป็นสิ่งของอย่างไหน หรืออาจจะนำกลับมาใช้ใหม่ก็ได้ถ้าหากเห็นว่าส่ิงของน้ันสามารถนำ กลบั มาใช้ใหม่ได้ เป็นการลดคา่ ใช้จ่ายในการจัดซื้อใหม่เม่ือต้องการใช้ 2. สะดวก (Seiton) คอื การจัดสงิ่ ของต่างๆ ให้เป็นระเบยี บ หลังจากที่ไดแ้ ยกส่ิงของทจ่ี ำเป็นต้องใช้ กับสิ่งของที่จะท้ิง หรือไม่จำเป็นต้องใช้ออกแล้ว ก็ต้องจัดวางส่ิงของเหล่านั้นให้เป็นระเบียบ ง่ายต่อการ นำมาใช้มีการจัดแยกออกเป็นแฟ้ม แยกตามหมวดหมู่ ตามลักษณะของวัสดุ เพื่อท่ีจะช่วยลดเวลาในการหา ของท่ีต้องใช้ให้เร็วขึ้น เป็นการลดเวลาที่จะสูญเปล่าในการหาวัสดุหรือของท่ีต้องการใช้ ทำให้เวลาในการ ปฏบิ ตั งิ านเสร็จเรว็ ขน้ึ 3. สะอาด (Seiso) คือ การทำความสะอาดสถานที่ทำงานหรือเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ ให้สะอาด ปราศจากฝุ่นละออง เศษขยะ หรอื ส่ิงสกปรกอื่นๆ ให้หมดสนิ้ จนสัมผัสได้ ควรมกี ารทำความสะอาดเปน็ ประจำ และต่อเนื่อง เพราะจะเป็นการป้องกันอันตราย และลดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเคร่ืองจักร อุปกรณ์ อกี ทัง้ ดูแลทำความสะอาดสภาพแวดล้อมรอบสถานประกอบการใหป้ ราศจากขยะ ฝุ่นผง ฯลฯ 4. สุขลักษณะ (Seiketsu) คือ ดูแลให้ 3 ส แรก ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพ่ือให้สถานท่ีทำงานมี สุขลักษณะท่ีดี ทำให้บรรยากาศในสถานที่ทำงานสะอาด สะดวก สบาย โดยขจัดฝุ่นผง ควัน กล่ิน เสียง หรือ สง่ิ รบกวนทำให้ผูท้ ่ปี ฏิบัติงานมีสขุ ลักษณะทีด่ ี สามารถทำงานให้ผลผลิตเพ่มิ มากขึ้น 5. สร้างนิสัย (Shitsuke) คือ การสร้างนิสัยและความเป็นระเบียบให้กับปฏิบัติงานให้มีวินัยในการ ปฏิบัติงานและปฏิบัติตามกฎระเบียบท่ีกำหนด ส่งผลให้สถานประกอบการมีคนที่มีคุณภาพและผลผลิตก็ เพิ่มขึ้นเน่ืองจากผู้ปฏิบัติงานมีความสุขในการทำงาน ม่ันใจว่าจะไม่เกิดอันตรายในกระบวนการผลิต อีกทั้ง สภาพแวดล้อมกด็ ี สง่ ผลดีตอ่ สขุ ภาพของผู้ปฏบิ ัติงาน
ประโยชนข์ องกิจกรรม 5 ส สถานประกอบการควรนำกิจกรรม 5 ส มาปฏิบัติในการดำเนินงาน สถานประกอบการจะได้รับ ประโยชน์ คือ 1. ดา้ นผปู้ ฏบิ ัตงิ านหรือพนกั งาน 1.1 ไดร้ ู้จักการทำงานเปน็ ทีม 1.2 มรี ะเบียบวินัยในการปฏบิ ตั ิงานและตนเอง 1.3 มขี วัญและกำลงั ใจในการปฏบิ ตั งิ าน 1.4 มีความปลอดภยั ในการปฏบิ ัติงาน 1.5 เพ่มิ ประสทิ ธิภาพในการปฏบิ ตั ิงานของตนเอง 1.6 สถานท่ีปฏิบตั ิงานมีความเป็นระเบียบสวยงาม 2. ดา้ นสถานประกอบการ 2.1 ชว่ ยลดต้นทุนการผลิต 2.2 ช่วยลดค่าใช้จา่ ยในการซอ่ มแซมเครือ่ งจักรอปุ กรณ์ 2.3 ใช้พืน้ ทใี่ นการดำเนินงานอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพมากขน้ึ 2.4 ชว่ ยลดอุบัตเิ หตุท่จี ะเกิดกับผปู้ ฏิบัตงิ าน 2.5 ช่วยสร้างภาพลกั ษณใ์ ห้กบั สถานประกอบการ 3. ดา้ นลกู ค้า 3.1 มั่นใจว่าไดใ้ ช้สินคา้ ท่มี ีคุณภาพ 3.2 ช่วยรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ มใหด้ ขี ้ึน 3.3 มีสว่ นสนับสนุนใหก้ ารใชท้ รพั ยากรนอ้ ยลงและใช้ทรพั ยากรอย่างมปี ระสิทธภิ าพมากท่สี ดุ
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: