หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 การควบคุมและป้องกนั อบุ ตั ิภัย จากการทำงาน
ใบความรูท้ ี่ 4 เรือ่ ง การควบคุมและป้องกันอบุ ตั ภิ ยั จากการทำงาน 1. ความหมายและองค์ประกอบสำคัญของอุบตั ิภยั อุบัติเหตุ คือ สถานการณ์หรือเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน โดยไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อน หรือโดย บังเอิญ เม่ือเกิดขึ้นแล้วก็จะทำให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน มีการบาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต สูญเสยี ทรพั ยส์ นิ และผลผลิตตำ่ ลง อุบัตเิ หตุมอี งค์ประกอบท่ีสำคญั ดงั น้ี 1. แหล่งหรือตน้ ตอของอนั ตราย คือ เปน็ ตัวการทีก่ ่อให้เกดิ อุบัติเหตแุ ละทำให้บาดเจบ็ พกิ าร เสยี ชวี ิต หรือทรพั ย์สินเสียหาย ตอ่ บุคคล 2. สิ่งที่ได้รับจากการเกิดอุบัตเิ หตุ คือ หลังจากการเกิดอุบัติเหตยุ ่อมนำมาซึ่งความสูญเสียทั้ง รา่ งกายและทรพั ยส์ ิน 3. การสัมผัสกัน คือ การสัมผัสกันระหว่างแหล่งหรือต้นตออันตรายกับสิ่งที่เกิดข้ึนหลังการ เกิดอันตรายน้นั ซึ่งอาจเป็นบุคคลหรือทรพั ยส์ ิน 2. ทฤษฎกี ารเกิดอุบตั ิภยั การเกิดอบุ ตั ิเหตุในการปฏบิ ตั ิงานอาจมสี าเหตหุ ลายประการ แต่หากมีการเกิดอุบัติเหตุแล้วก็ จะมีการสูญเสยี ทรพั ยส์ ิน รา่ งกาย และจติ ใจ จึงมีการศึกษาแนวคดิ เกยี่ วกบั ทฤษฎีการเกิดอบุ ตั ิเหตุ 1. ทฤษฎีโดมิโน (Domino theory) ของเฮนริช (Heinrich) หรือทฤษฎีลูกโซ่ เป็นทฤษฎี ทพ่ี ฒั นามาจากหลกั ความเป็นจริงเกี่ยวกับความปลอดภยั ในการปฏบิ ัติงานทีเ่ กยี่ วกับสาเหตุและลำดับ ขั้นตลอดถงึ กระบวนเกิดอุบตั เิ หตสุ ามารถอธบิ ายได้ดว้ ยโดมิโน 5 ตวั 2. ทฤษฎีมูลเหตุเชิงซ้อน (Multiple Causation Theory) ของ แดน ปีเตอร์สัน โดย ทฤษฎีโดมิโนเป็นทฤษฎีท่ีใช้ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ แต่ความถ่ีในการเกิดและความรุนแรงยังไม่เป็น ศูนย์ เพราะมองการเกิดอุบัติเหตุยังไม่ครอบคลุมถึงสาเหตุที่แท้จริง จึงเป็นเพียงการแก้ไขสภาพการ กระทำของผู้ปฏบิ ัตงิ านเทา่ น้ัน แตแ่ ดน ปีเตอรส์ นั ได้กล่าวถึงอุบัติเหตุว่า “อบุ ตั ิเหตยุ อ่ มเกิดข้ึนไดจ้ าก เหตุตา่ งๆ หลายอย่างซึง่ อยูเ่ บือ้ งหลัง และสาเหตตุ า่ งๆ เหล่านั้นรวมกันมากเขา้ ย่อมทำใหเ้ กิดอุบตั เิ หตุ ได้” อีกท้ังยังช้ีให้เห็นว่าสาเหตุท่ีแท้จริงท่ีทำให้เกิดอุบัติเหตุ คือ การบริหารจัดการความปลอดภัย ทฤษฎีมูลเหตุเชิงซ้อนเป็นการจัดการที่เน้นการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ โดยการบริหารจัดการ เกี่ยวกับความปลอดภัยในสถานประกอบการ จัดให้มีคณะทำงานด้านความปลอดภัยโดยเฉพาะ เพ่ือ
ลดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์ เพิ่มผลผลิต ผู้ปฏิบัติงานมีความสุข สุขภาพอนามัยดีมีความปลอดภัยในการ ปฏบิ ตั งิ านทำให้งานมีประสิทธภิ าพ 3. สาเหตุของการเกดิ อุบตั ภิ ยั 1) เกิดจากตัวบคุ คล เชน่ ขาดความรคู้ วามเข้าใจในการใชเ้ คร่อื งและอุปกรณ์ต่างๆ ขาดความ รับผิดชอบ และความระมดั ระวังในการปฏบิ ัตงิ าน ประมาทเลินเลอ่ นอกจากน้กี ารทส่ี ภาพร่างกายและจติ ใจไม่ ปกติ เจ็บป่วย ยอ่ มมีสว่ นทำใหเ้ กดิ อันตรายหรืออบุ ัตภิ ยั ต่างๆ ไดม้ ากขึน้ 2) เกดิ จากเคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เคร่ืองมือต่าง ๆ เช่น จอบ เสยี ม คราด ไถหรือเครอ่ื งจกั รกล ได้แก่ รถแทรกเตอร์ รถไถนา เคร่ืองนวดข้าว อาจก่อใหเ้ กดิ อุบตั เิ หตุไดถ้ ้าหากอยู่ในสภาพทชี่ ำรดุ หรือเกบ็ รกั ษาไมถ่ ูกวิธี 3) เกดิ จากสารเคมีต่าง ๆ ผลทีเ่ กดิ จากการใช้สารเคมอี ยา่ งไมถ่ ูกต้อง เชน่ ยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพชื หรือแม้แต่การใช้ปุ๋ย ซึ่งเป็นสารเคมีอาจส่งผลให้รา่ งกายสะสมพิษของสารเคมที ีละน้อยจนก่อให้เกิดโรคตา่ ง ๆ ในภายหลงั และถา้ หากได้รบั สารเคมจี ำนวนมาก อาจทำใหเ้ กดิ อนั ตรายถงึ ชีวติ 4) สตั วแ์ ละพชื มีพิษ สัตวเ์ ลย้ี งอาจนำเชอ้ื โรคมาสู่คน เชน่ โรคแอนแทรกซ์ โรคพษิ สุนัขบ้า ส่วนสัตว์มี พษิ เช่น งู แมงป่อง ตะขาบ เม่ือกัดหรือต่อยจำทำใหเ้ กิดอันตรายต่อร่างกายนอกจากน้ีพืชมีพิษบางชนดิ เช่น หมามุย่ เมื่อเราสมั ผัสอาจทำให้ผวิ หนังคนั และเกิดการอักเสบได้ 5) เกดิ จากภยั ธรรมชาติ เช่น ลม พายุ น้ำท่วม ฟ้าผา่ สามารถก่อใหเ้ กิดความเสยี หายแก่ทรพั ย์สิน ทำลายผลิตผลทางการเกษตร และอาจทำให้เกษตรกรบาดเจบ็ หรอื เสียชีวติ ได้ 6) อนั ตรายจากโรคภัยไขเ้ จ็บอืน่ ๆ เกิดจากเชอ่ื โรคในบริเวณท่ที ำการเกษตร เช่น โรคพยาธทิ อ่ี าศยั อยู่ตามพน้ื ดินท่ชี ืน่ แฉะ โรคบาดทะยักจากเช่ือที่อยู่ในดินหรือมลู สัตวเ์ ข้าทางบาดแผลนอกจากนี้ การทำงานใน สภาพแวดลอ้ มที่เป็นอันตรายเป็นเวลานาน อาจทำใหเ้ กดิ อาการเจบ็ ป่วยหรอื มีอาการผดิ ปกติ เช่น ทำงาน กลางสายฝนอาจจะทำให้เป็นไข้หรอื ปอดบวม ทำงานกลางแสงแดดจดั ก็อาจมีอาการหน้ามืดเป็นลม 4. ผลเสยี ของการเกดิ อบุ ัติเหตุ 1. การสูญเสียทางตรง เมื่อเกิดอุบัติเหตุย่อมทำให้ได้รับบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต ตลอดจนทรพั ยส์ ินชำรดุ เสยี หาย สถานประกอบการตอ้ งเสียคา่ ใช้จ่ายให้แก่ผทู้ ไี่ ดร้ ับอบุ ตั เิ หตนุ นั้ 2. การสูญเสียทางอ้อม เป็นการสูญเสียแฝงท่ีไม่ค่อยคิดว่าเป็นการสูญเสีย เพราะเม่ือมี อุบัติเหตุเกิดข้ึนทำให้กระบวนการการผลิตต้องหยุดชะงัก ผู้ปฏิบัติงานคนอ่ืนต้องหยุดมาช่วยเหลือ เพื่อพาผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุส่งโรงพยาบาล ต้องค้นหาสาเหตุท่ีทำให้เกิดอุบัติเหตุ ซ่ึงสูญเสียเวลาในการ ผลิตไป และปริมาณการผลิตก็ลดลง รวมท้ังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเคร่ืองมือ อุปกรณ์ท่ี ชำรดุ เสียหายจากการเกิดอุบตั เิ หตุ ทำให้ผลิตไมท่ นั เวลาตามความต้องการของลูกคา้ 5. การเกดิ อคั คีภัย
อัคคีภัยเกิดจากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากความประมาท ไฟฟ้าลัดวงจร หรือการใช้ เคร่อื งใชเ้ คร่ืองไฟฟ้าชำรุด การป้องกันอัคคภี ัย ได้แก่ 1. จดั ระเบียบเรยี บร้อยใหด้ ี 2. ตรวจตราซ่อมบำรุงบรรดาสิ่งทนี่ ำมาใช้ในการประกอบการ 3. อยา่ ใชอ้ ปุ กรณ์ไฟฟ้าที่ไมไ่ ดม้ าตรฐานหรอื ปลอมแปลงคุณภาพ 4. ผปู้ ฏิบัติงานควรมีความรคู้ วามเข้าใจในการปอ้ งกนั อคั คภี ัย 5. เม่ือเลิกงานทุกวันควรมีการตรวจดูความเรียบร้อยของวัตถุไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ปดิ สวติ ซ์ไฟให้เรียบร้อย 6. การเกดิ อบุ ัติเหตุจากการเคลอื่ นยา้ ยสงิ่ ของ อุบัติเหตุหน่ึงที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างการทำงานเกิดจาก การเคล่ือนย้ายวัสดุ โดยการ เคล่อื นย้ายวัสดุดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 สว่ น คอื 1. การเคลื่อนย้ายด้วยมือ ส่ิงของวัสดุที่จะต้องทำการเคลื่อนย้ายโดยใช้มือยกจะต้อง พิจารณาการใช้เคร่ืองป้องกันอันตรายส่วน ตลอดจนความเหมาะสมของผู้ที่จะปฏิบัติงาน โดยเฉพาะ การเคล่ือนย้ายวัสดุที่เป็นของมีคม ต้องมีความระมดั ระวังอย่างมากระหวา่ งการเคลื่อนย้าย ควรมีการ หอ่ หุ้มอปุ กรณ์ท่ีเป็นใบมดี ทุกชนิด 2. การเคล่ือนย้ายวัสดุด้วยเคร่อื งจักร ผู้ท่ีใช้เครื่องจักรหรือรถในการเคล่ือนย้ายควรเป็นผู้ ท่ีมีความชำนาญในการใช้เครื่องจักรดังน้ีกล่าว ในระหว่างการเคล่ือนย้ายหากมีเหตุขัดข้องให้รอ จนกว่าเคร่ืองยนต์หยุดการทำงานเสียก่อน จึงแก้ไข และในระหว่างการเคลื่อนย้ายด้วยรถหรือ เครอื่ งจกั ร ควรมคี วามระมดั ระวงั โดยเฉพาะด้านหลงั ต้องมกี ารตรวจสอบและระวงั เสมอ 7. แหล่งอนั ตรายในสภาพแวดล้อมการทำงานเกษตร ควรมีการตรวจสอบสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงานเกษตรใหม้ ีความปลอดภยั อยู่เสมอ ดังนี้ 1. ทางเดนิ ควรเปน็ ทางเดนิ ทีม่ าตรฐานป้องกันการเกิดอุบัตเิ หตุ 2. อุณหภูมิ ควรตรวจสอบอณุ หภูมิห้องท่ีปฏบิ ัติงานตามมาตรฐาน 3. แสงสวา่ ง จัดให้มแี สงสวา่ งเหมาะสม 4. เสยี ง การทำงานในที่ทมี่ ีเสยี งดังเกนิ มาตรฐานจะทำให้เกดิ โรคจากการทำงาน 5. อปุ กรณ์ไฟฟา้ ควรตรวจสอบอปุ กรณ์ไฟฟา้ อย่างสม่ําเสมอ 6. เครอ่ื งกลเครอื่ งจักร ควรใชใ้ ห้ถกู กบั ลกั ษณะของงานและใช้ใหถ้ ูกวิธี 7. อุปกรณ์อ่นื ๆ เช่นของมคี ม ควรมกี ารหอ่ หมุ้ ใบมีดทกุ ช้ินและจัดเกบ็ ใหเ้ ป็นสัดสวน 8. ผูป้ ฏบิ ัติงาน ควรความรู้ความเขา้ ใจเกย่ี วกับวิธกี ารทำงานกับเครอ่ื งมือเคร่ืองจกั ร 8. หลกั ปฏิบตั ิเพื่อความปลอดภัยในการประกอบอาชีพดา้ นเกษตรกรรม 8.1 ด้านบุคคล เกษตรกรควรศึกษาหาความรู้ รับฟังข่าวสารโดยเฉพาะเร่ืองที่เก่ียวกับสุขภาพและ สวัสดิภาพในการประกอบอาชีพ เพื่อเตรียมป้องกันและระมัดระวังอันตรายที่จะเกิดข้ึนในขณะปฏิบัติงาน
รวมทั้งการรักษาสุขภาพร่างการให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ควรทำงานหนักเกินกำลัง ถ้าหากมีอาการ ผิดปกติให้รีบดแู ลรักษาทันที ในการป้องกันอบุ ัติเหตแุ ละสร้างความตระหนักในความปลอดภัยส่วนตวั ลกั ษณะ นสิ ยั ทดี่ ใี นการทำงานทสี่ รา้ งความปลอดภยั ให้แกต่ นเอง มีดังนี้ 1. ถา้ สวมเส้อื ผา้ หลายชน้ั ควรถอดชนั้ นอกออก เชน่ เสื้อกันหนาวใหถ้ อดออกแขวนไว้กอ่ นทจ่ี ะ ปฏบิ ตั งิ าน 2. ถ้ามชี ดุ กนั เปื้อนหรอื ชดุ สำหรบั สวมใส่ลงงานควรใช้ทกุ คร้ัง และตอ้ งระมัดระวงั การสวมใส่ตอ้ ง กระซับและรัดกุม ไม่รุม่ รา่ ม 3. ถ้าใสเ่ สือ้ แขนยาว ควรพบั หรือมว้ นขนึ้ ให้อยู่เหนือข้อศอก 4. ถ้าสวมใสเ่ ครอื่ งประดับ เช่น แหวน สรอ้ ยคอ นาฬิกา ควรถอดออกเก็บไว้กอ่ นปฏบิ ตั ิงาน 5. ถ้าผมยาวควรรวบผกู ใหเ้ ข้าทีโ่ ดยใสไ่ วใ้ นหมวกนิรภยั หรือหมวกแก๊ปใหเ้ รยี บร้อย 6. ควรรักษาความสะอาดของมอื ขณะปฏบิ ตั งิ านท่เี กีย่ วขอ้ งกบั อาหาร 7. ไมค่ วรหยอกล้อหรือเลน่ กันขณะทำงาน โดยเฉพาะงานท่ีใชว้ สั ดุเป็นของมคี ม 8. ตอ้ งทำงานดว้ ยความขยนั อดทน มีความรบั ผดิ ชอบ และรอบคอบอยู่เสมอ 9. เตรยี มระวงั ในสถานการณ์ทอี่ าจจะเกิดอนั ตรายอยูต่ ลอดเวลา 8.2 ดา้ นเครือ่ งมือและเครือ่ งจักรกล ผูใ้ ช้ควรศึกษาใหม้ ีความรคู้ วามเข้าใจเป็นอย่างดเี กี่ยวกับ เคร่ืองมอื และเครื่องจกั รกลที่จะนำมาใชใ้ นการประกอบอาชีพ กอ่ นใชง้ านควรตรวจดูสภาพความเรียนร้อย หากพบจุดบกพร่องหรือชำรุดเสยี หายควรจดั การซ่อมแซมและแกไขทันทีเครื่องจกั รกลบางชนดิ เป็นสาเหตุ สำคัญที่ก่อให้เกดิ อุบตั ภิ ยั แกเ่ กษตรกร ควรระมดั ระวงั ในการใชเ้ ปน็ อยา่ งมาก เชน่ รถแทรกเตอร์ ควรปฏิบัติ ตามคู่มือการใช้รถ หากเขา้ ใจใหส้ อบถามผรู้ ไู้ ม่ควรหอ้ ยโหนหรอื เกาะขา้ งรถขณะกำลงั ใชง้ าน นอกจากน้เี มื่อใช้ อปุ กรณห์ รือเคร่ืองมือตา่ งๆเสรจ็ แล้ว ควรทำความสะอาดและเก็บเข้าท่ีให้เรียบร้อย ขอ้ ควรระวงั ท่ัวไปทผี่ ู้ปฏบิ ตั ิงานช่างทกุ คนต้องรูเ้ กยี่ วกับการใช้ เคร่ืองมือ อุปกรณ์ และวัสดตุ ่าง ๆ ท่ี ครตู อ้ งแนะนาให้ นกั ศึกษาทุกคนไดท้ ราบ คือ 1. เคร่อื งมือที่ไม่มีคม ชำรดุ ขึ้นสนมิ มปี ลายเยนิ หรือบานไม่ควรนำมาใช้งาน 2. เครอ่ื งมือทีม่ ีการเขา้ ด้าม มีดา้ มหลวมหรอื แตกไม่ควรนำมาใชง้ าน 3. การถือเครอื่ งมือท่ีมีคมหรือปลายแหลม เมอ่ื มีการเคลอื่ นย้ายตอ้ งระมดั ระวัง ควรจัดวางในกลอ่ ง หรือถาดวางเคร่ืองมือ หรือห่อหมุ้ คมหรอื ปลายแหลมเสียก่อน 4. ไมค่ วรพกเคร่ืองมือทีม่ ีคมหรือปลายแหลม เชน่ สิ่ว ดอกสว่าน ไขควง ในกระเป๋าเส้อื หรือกระเป๋า กางเกง 5. ห้ามต่อไฟฟา้ หรอื อุปกรณ์ไฟฟา้ โดยที่ยงั ไม่ไดต้ ดั กระแสไฟฟ้าก่อน หรือยกคทั เอาท์ไฟลง 6. เม่ือจะทำการปรบั แต่งเครื่องมือกลต้องให้เครอ่ื งหยดุ น่ิงเสียก่อน ไม่ควรทำในขณะท่เี ครื่องกลยัง ทำงานอยู่ 7. การทำความสะอาดบำรุงรักษา ไม่ควรทำในขณะท่เี ครอ่ื งมือกลกำลงั ทำงานอยู่ เศษผ้าหรือวสั ดทุ ่ีใช้ ทำความสะอาดควรวางใหห้ ่างจากสว่ นที่เคลอื่ นทขี่ องเครื่องกล 8. การจัดเก็บเครื่องมือภายหลงั การใชง้ านแลว้ ควรวางในทจี่ ดั เกบ็ เฉพาะ และต้องทำความสะอาด หรือชโลมน้ามันกนั สนิมทุกคร้ัง
9. การใช้เครือ่ งมอื กล หากมีเสยี งดงั หรอื มีกลิ่นผิดปกตติ ้องหยุดงานเครอื่ งใช้และปดิ เคร่ืองทนั ที 10. หากเคร่ืองมือชำรดุ ในระหวา่ งการทำงานต้องแจง้ ครผู ู้ควบคมุ หรือหวั หน้างานทราบทันที 8.3 ดา้ นสารเคมแี ละเคมีภัณฑ์ต่างๆ ปัจจบุ ันเกษตรกรได้นำสารเคมีมาใชก้ นั อยา่ งแพร่หลาย เช่น ยา ปราบวัชพชื หรือยาฆา่ แมลง สารเคมีเหลา่ นลี้ ว้ นมพี ิษท้ังต่อผูท้ ี่นำมาใชล้ ะผูบ้ ริโภค ดังน้นั ผ้ใู ช้จะต้องรู้จกั และ เข้าใจวธิ ีใช้ให้ถูกต้อง โดยควรอา่ นฉลากใหเ้ ขา้ ใจถงึ วิธใี ช้อย่างละเอียดก่อนใชส้ ารเคมีและปฏิบตั ติ ามข้ันตอน โดยเครง่ ครดั ก่อนใช้สารเคมีควรแตง่ กายให้มดิ ชดิ เชน่ สวมเสื้อผ้าให้มิดชดิ สวมหมวก แวน่ ตา ถงุ มือ และ หน้ากาก เพอ่ื ป้องกันสารเคมเี ขา้ สู่ผิวหนังหริเขา้ ตา หากสารเคมถี ูกผิวหนงั ควรรีบชำระรา่ งกายให้สะอาด เพอื่ ปอ้ งกนั ไมใ่ ห้สารน้ันซึมเข้าสูร่ ่างกาย หลังใช้สารเคมีควรอาบนำ้ เปลยี่ นเสอ้ื ผ้าใหม่ เครื่องฉีดพน่ สารเคมีควร เก็บใหเ้ ปน็ ท่ีพ้นจากมอื เด็ก และหากจากสิง่ ของบรโิ ภค การเกบ็ ผลผลติ ควรทิ้งช่วงห่างจากการฉีดสารเคมีอยา่ ง น้อย 6-10 วนั หรอื ตามท่ีฉลากกำหนด ถา้ หากได้รบั พิษจากสารเคมีใหป้ ฏิบตั ติ ามคำแนะนำเบ้ืองต้นท่ีกำกับไว้ บนฉลากก่อนนำสง่ แพทย์ ขอ้ ควรระวังในการใช้สารเคมี 1. การใชส้ ารทางดนิ – สารทางดินหรือสารคุมตอ้ งพจิ ารณา ดังน้ี 1.1 ในการเลอื กใชส้ ารเคมจี ะต้องเลอื กให้ตรงกบั พืชปลูกและให้ตรงกับวชั พืชทีมอี ยูด่ ว้ ย 1.2 อัตราการใช้ ในฉลากโดยทว่ั ๆไปจะบอกอตั ราที่ใชต้ ่อไรตามสภาพของดิน ในสภาพดิน เหนียวหรอื ดนิ ทอ่ี ินทรยี ์วตั ถสุ ูงควรใช้อัตราค่อนข้างสูง แต่ถ้าในสภาพดนิ ทราย หรอื ดินที่มี อินทรยี วัตถตุ ่ำให้ใชอ้ ตั ราต่ำ เนื่องจากดนิ เหนยี วหรือดนิ ทม่ี ีอินทรยี ์วตั ถุสงู มีความสามารถในการดูด ซึมสารเคมีมากกว่าดินทรายที่มอี นิ ทรยี ว์ ัตถุตา่ งๆ 1.3 ปริมาณนำ้ ต่อไร่ ก่อนฉีดพ่นสารเคมีควรทราบวา่ เครี่องฉีดที่ใช้ เมื่อฉีดด้วยแรงอัดคงท่ี และเดนิ ดว้ ยความเรว็ พอดีท่ีแน่นอนและฉีดยาสม่ำเสมอแล้ว จะไดป้ รมิ าณนำ้ ออกจากหัวฉีดก่ีลติ รตอ่ ไร่ ทงั้ น้เี พื่อท่จี ะผสมไดถ้ ูกต้อง เชน่ ถา้ ทราบว่าปรมิ าณน้ำยาต่อไรเ่ ท่ากบั 90 ลิตรและอัตราท่ีตอ้ งการ ใช้เทา่ กบั 300 กรมั ต่อไร่ ถ้าถังจุเตม็ ที่ได้ 18 ลติ ร ก็ หมายความวา่ เราจะต้องผสมสารเคมเี ต็ม ถัง 5 คร้งั และแต่ละครัง้ ผสมสารเคมลี งไป 60 กรมั ก็จะได้ปรมิ าณตามทีต่ ้องการในการหาปริมาณ นำ้ ยาตอ่ ไรน่ ใี้ ห้ทดลองเอาน้ำใส่ลงในถงั ฉีดยาจำนวน 10 ลติ ร แล้วนำไปฉดี ดวู ่าในพน้ื ทอี่ ันหน่งึ เช่น 80 ตารางเมตร จะต้องใช้น้ำไปเทา่ ไรแล้วเอาน้ำท่ีเหลอื หาวดั ดกู ็ทราบปริมาณน้ำที่ฉดี ออกไป (พยายามลองทำซ้ำอีก 2-3 ครั้ง เพ่ือให้แนใ่ จ) สมมตุ ิแบบ KM-08/1 7 ว่าเหลอื 5.5 ลิตรก็ แสดงวา่ ใช้ไป 4.5 ลติ ร ตอ่ ไปกห็ าว่าเนือ้ ที่1 ไร่ หรือ 1600 ตารางเมตร จะต้องใช้น้ำเท่าไร ซึ่งคดิ แลว้ ก็จะได้ 90 ลิตร เปน็ ต้น 1.4 ผลตกคา้ งของสารเคมี สารคุมโดยท่วั ไปจะคุมวัชพืชไดน้ านประมาณ 5 – 10 สปั ดาห์ 2. การใชส้ ารทางใบ – หมายถึงสารเคมีที่ใช้หลังจากวชั พชื งอกขึน้ มาแล้ว สง่ิ ท่ีควรพจิ ารณา มดี ังน้ี 2.1 คุณภาพของน้ำทีใ่ ช้ – สารบางอยา่ ง เช่น ไกลโฟเสท พาราควทั ถ้านำ้ ขุ่นมากจะไม่ได้ ผลดเี ทา่ ที่ควร โดยเฉพาะนำ้ ที่มีลกั ษณะกระด้าง นำ้ กรอ่ ยหรือนำ้ สภาพดินทเี่ ปน็ กรดจัดหรือดินเปรย้ี ว 2.2 การผสมสารเคมีมากกว่าหนง่ึ ชนดิ ควรทำเมื่อมีการแนะนำเทา่ น้นั สารเคมีอาจผสมกัน ไม่ได้ เพราะคณุ สมบัตกิ ารทำลายต่างกนั เชน่ สารประเภทสัมผสั ผสมกบั สารเคล่อื นยา้ ยไมเ่ หมาะสม
หรืออาจเปน็ เพราะปฏิกิรยิ าทางเคมี หรอื ชวี เคมบี างอย่างแตกตา่ งกัน อาจทำให้สารทีผ่ สมเสียไป เชน่ ไกลโฟเสท เม่ือผสมกับสารเคมอี ีกหลายๆชนดิ 2.3 สภาพแวดล้อมขณะฉดี หรอื หลังฉีด นับวา่ จำเปน็ มาก สำหรบั สารเคมหี ลายชนดิ ท้ัง โดยตรงและโดยอ้อม - ฝน มกั จะเป็นอปุ สรรคกบั การใชส้ ารเคมที างใบ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ประเภทเคลอ่ื นย้ายซ่ึง มกั จะเขา้ ไปในพชื ได้ชา้ กว่าประเภทสมั ผสั เชน่ ไกลโฟเสท ตอ้ งการช่วงปลอดฝนหลงั จากฉีดแลว้ ถึง 5 ถงึ 6 ชัว่ โมง ในขณะที่พาราควทั ซึ่งเปน็ ประเภทสัมผัสใชเ้ วลาไมถ่ ึง 15 นาที ก็เพียงพอ - ความช้นื และสภาพบรรยากาศโดยทัว่ ไปแลว้ สารเคมีทางใบโดยเฉพาะอย่างย่ิง ประเภท เคล่อื นยา้ ยจะใช้ได้ผลดขี ึน้ ในสภาพทม่ี คี วามชน้ื สงู ทงั้ ในดินและอากาศ หากนำไปใชใ้ นชว่ งทีอ่ ากาศ คอ่ นข้างแห้งแล้ง หรือในสภาพท่ีไมค่ ่อยเหมาะสมกบั การเจริญของต้นแลว้ การควบคุมจะไม่ไดผ้ ลดี เท่าทค่ี วรเลย - ลม ปจั จบุ ันมกี ารพัฒนาใชร้ ะบบน้ำนอ้ ยกันมากข้นึ ในวงการควบคุมวัชพชื โดยอาจใชเ้ พยี ง ประมาณลิตรครึง่ จนถึง5 ลิตรต่อไร่ ท้ังน้นี บั วา่ เปน็ ส่ิงทีด่ ีแต่การใช้ในสภาพท่ีมลี ม เปน็ เร่ืองทจ่ี ะต้อง ระมัดระวงั มากเพราะยิง/ ทำให้ฟุ้งกระจายมาก ปญั หาบางอย่างท่ีอาจเกิดข้ึนจากการใชส้ ารเคมี 1. ละอองสารเคมี การฉดี สารเคมีควรระวังละอองของสารเคมี ที่จะปลวิ ไปถกู พชื ปลูกข้างเคยี งอาจ เปน็ ของเราเอง หรือ ของผู้อนื่ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง สารประเภทเคลอ่ื นย้ายท่ีมีผลในการทำลายรุนแรง เช่น สารเคมีในกลุ่มพีน็อกซสี ์ และสารเคมปี ระเภท “ฮอร์โมน” อ่ืนๆยง่ิ ถ้าเลือกใชช้ นดิ ทเี่ ป็นเอสเทอร์ยิ่งตอ้ ง ระมดั ระวังมากขน้ึ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ / พืช เช่น ฝา้ ย ยาสบู องุ่น และมะเขือเทศ ซง่ึ ออ่ นไหวง่าย นอกจากน้ี พืชปลูกใบกวา้ งอย่างอน่ื ก็ให้ระวงั ด้วย เช่น มนั สำปะหลงั มะละกอ และพชื พวกแดง 2. เลือกเวลาฉีดสารเคมีขณะลมสงบ โดยมากชว่ งเช้าตง้ั แต่ 6 – 10นาฬิกา และบ่ายหลงั 16นาฬกิ า ไปแล้ว ลมมกั จะสงบ ควรจะเป็นเวลาที/เหมาะสมสำหรับฉีดยาโดยไมม่ ีการปลิวมากนักแบบ KM-08/1 8 3. การทำความสะอาดเครื่องมือฉีดพน่ สารเคมี โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การลา้ งถังใหญ่ซึง่ บรรจนุ ำ้ ยาหลาย รอ้ ยลติ ร โดยท่วั ไปแม้จะฉีดยาหมดแล้วแต่ยงั เหลือนำ้ ยาจำนวนหนึง่ (บางทอี าจเขม้ ข้นมาก) ในการลา้ งจะต้อง ดูวา่ น้ำยาที่ล้างแล้วไหลไปทางใบมตี ้นไม้หรอื พืชปลกู อยู่หรอื ไม่ใบบริเวณนน้ั โปรดอย่าประมาณว่าตน้ ไม้ใหญๆ่ จะไม่มสี ิทธิตาย 4. การใช้สารเคมีผิดหลกั การทำให้เกิดผลเสยี เชน่ การใช้ 2, 4- ดี กำจัดผักตบชวาในหน้าแลง้ ซงึ่ มนี ำ้ คอ่ นข้างน้อย และนำ้ ดีไม่ค่อยมกี ารหมุนเวยี น ปัญญาจะเกิดขึ้นแน่นอนโดยเฉพาะอย่างย่ิง เมอ่ื ผักตบชวา จำนวนมากเม่ือนำ้ เสยี จะทำใหป้ ลารวมท้ังสตั วน์ ำ้ อน่ื ๆตาย เน่ืองจากเกดิ การขาดออกซิเจนในน้ำ 5. สารเคมีที่เป็นอันตราย สารเคมีบางชนิดอาจเป็นอันตรายถึงตายได้ให้ระวังมากๆเช่น พาราควัท พยายามอยา่ ใหเ้ ขา้ ปาก เข้าจมูก 2, 4- ดี ถ้าสูดลมหายใจเข้าไปมากๆอาจถงึ กับสลบ แอลลาคลอร์ แมอ้ ันตราย จะไมร่ ุนแรงแต่ในการฉดี ก็ต้องระวังเม่ือถูกเข้าจะทำให้แสบผิวหนงั สารเคมเี ข้มขน้ ที่ออกจากขวด หรือท่ีเป็นพง อยา่ พยายามใหถ้ ูกกับผวิ หนงั เป็นดีทส่ี ุด ปกติแล้วเวลาสารเคมที ี่ใชท้ ุกชนิดจะบ่งบอกระดับการเป็นพษิ ทีฉ่ ลาก ข้างขวดของสารนั้นเรยี กว่า ค่า LD50 Median Lethal Close หมายถึง น้ำหนักสารท่ีสามารถฆ่าสัตว์ที่นำมา ทดลองตายไปเป็นจำนวนครึ่งของจำนวนที่ใชท้ ดลอง นำ้ หนักสารมีคา่ เป็นมลิ ลกิ รมั ของสารต่อน้ำหนักสัตว์เป็น กิโลกรัม LD50 Median Lethal Concentration หมายถึง ความเข้มข้นท่ีสามารถฆ่าสัตว์หรือพืชให้ตายไป คร่งึ หนง่ึ ของจำนวนสงิ่ มีชีวติ ท่ีใช้ทดลองพบว่าคา่ LD50 ย่ิงสงู จะมคี วามเป็นพษิ ตำ่ ค่า LD50 ย่ิงต่ำ จะมีความ
เป็นพิษสูง สารกำจัดวัชพืชส่วนใหญ่จะมีความเป็นพิษต่ำ คือค่า LD50 สูงซึ่งจะต่างจากสารกำจัดแมลง มีค่า LD50 ต่ำมีความเปน็ พษิ สงู พบว่าสารกำจดั วัชพชื หลายชนิดมคี า่ LD50 สูงกว่าเกลอื แกงทเ่ี รารับประทานท 8.4 ดา้ นสัตว์หรอื พืชมีพิษ เกษตรกรควรศึกษาลกั ษณะและธรรมชาตขิ องสัตว์มีพิษเพื่อหาทาง หลีกเลยี่ งและป้องกันอนั ตราย สตั ว์เลี้ยงควรนำไปฉีดวคั ซีนปอ้ งกันโรคต่างๆ อย่างสมำ่ เสมอและควรรกั ษา ความสะอาดบรเิ วณบา้ นและสภาพแวดลอ้ มเปน็ ประจำไม่ใหร้ กรุงรัง เพื่อป้องกนั สัตว์มีพิษเข้ามาอยู่อาศยั ผกั ผลไมก้ ่อนนำมารับประทานควรล้างในนำ้ สะอาดหลายๆครั้งหรือแช่ในน้ำผสมดา่ งทับทิมเล็กนอ้ ยเพ่อื ช่วยฆ่า เชอ้ื โรค ไม่ควรรบั ประทานพืชหรอื เหด็ ชนดิ ทไ่ี มร่ ู้จักคุน้ เคย เพราะอาจเกิดพิษได้ 8.5 ด้านภัยจากธรรมชาติ การเกดิ ภยั ธรรมชาตแิ มจ้ ะไม่สามารถควบคุมการเกิดได้ แต่สามารถ ปอ้ งกันไดโ้ ดยการปฏิบตั ดิ ังนี้ หากอยใู่ นบรเิ วณทีเ่ กิดภัยธรรมชาติ เชน่ มนี ำ้ ทว่ ม มีลมพายุ ควรเตรียมพอ้ มอยู่ เสมอ อย่างน้อยกช็ ว่ ยแก้ไขสถานการณ์จากหนักใหเ้ ป็นเบาไดแ้ ละขณะท่ีฝนตกหนัก ไมค่ วรทำงานในท่ีโลง่ แจ้ง เพราะอาจจะถูกฝา้ ผ่าได้ ไมค่ วรหลบฝนหรอื ลมพายุใตต้ น้ ไมใ้ หญ่ เพราะกิ่งไม้อาจหักโค่นลงมาทบั ควรหลบฝน บริเวณตน้ ไม้เตย้ี หรือพุ่มไม้ หมนั่ ตรวจสอบรายงานข่าว สภาพภมู อิ ากาศอยา่ งสม่ำเสมอ เพือ่ จะไดป้ ้องกนั ตนเองได้อยา่ งท่วงที 8.6 ดา้ นอนั ตรายจากโรคทั่วไป ควรสวมใสช่ ุดทำงานทเี่ หมาะสมกับสภาพดนิ ฝา้ อากาศและสะดวก ต่อการทำงาน บำรุงรักษาร่างกายใหส้ มบรู ณ์แข็งแรงอยเู่ สมอ และควรรกั ษาความสะอาดสภาพแวดลอ้ มของ บา้ น รวมทัง้ แหลง่ เกษตรกรรมให้ถกู สุขลกั ษณะ 9.หลักการเลือกและความปลอดภัยในการใช้เครอื่ งมือในการประกอบอาหาร 9.1 หลักการเลือกเครอื่ งมือเคร่อื งใช้ในการประกอบอาหาร เคร่อื งมือเครื่องใช้ในการประกอบอาหาร ทำจากวัสดุหลายชนดิ มคี วามทนทานและราคาแตกต่างกนั ในการเลอื กซ้ือควรพิจารณาใหร้ อบคอบ เพ่ือการใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งเต็มท่ีและยาวนาน สรปุ ได้ ดงั นี้ 1. เหมาะสมกบั ชนิดของอาหาร 2. อยู่ในสภาพดี ไม่บุบ งอ 3. สะดวกตอ่ การใชง้ าน 4. ดูแลรกั ษาทำความสะอาดไดง้ า่ ย 5.ประหยดั เวลาในการหงุ ต้ม เช่น รอ้ นเร็ว ทำความสะอาดง่าย เปน็ ตน้ 9.2 ความปลอดภยั ในการใชอ้ ุปกรณใ์ นการประกอบอาหาร อุปกรณ์เครอ่ื งมือเคร่ืองใชท้ ี่เลือกใชง้ านอยา่ งเหมาะสว่ ยให้ทำงานไดผ้ ลงานมีคุณภาพท้ังน้ี ผู้ใชต้ อ้ งระมัดระวงั เรื่องความปลอดภัยของตนเอง และบคุ คลอน่ื เพราะความประมาทเลินเลอ่ อาจก่อให้เกดิ อบุ ตั เิ หตุได้ ดังนัน้ ผูใ้ ช้เครือ่ งมอื ควรระมดั ระวังตนเองตลอดเวลาระยะเวลาท่ใี ชเ้ ครื่องมือ โดยยึดหลักการ ดงั นี้ 1. เมอ่ื ใชข้ องมีคมต้องระมดั ระวัง และเลือกใช้ให้เหมาะสมกับประเภทของงาน เชน่ เม่ือปอกผลไม้ไม่ ควรใชม้ ีดสับ เพราะวา่ มดี สับมรชนี ้ำหนักมาก อาจทำให้มีดบาดมอื ได้ 2. อปุ กรณ์ทใี่ ชใ้ นการประกอบอาหารประเภทเครอื่ งใช้ไฟฟ้าต้องศึกษาวธิ ใี ช้ให้เข้าใจกอ่ นการนำมาใช้ และใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครดั 3.อปุ กรณ์ช้นิ ใดที่ใชบ้ ่อย ควรวางไว้ใกล้มอื และไม่ควรวางไว้ในท่สี ูงเกนิ เอ้ือม
4. เม่ือหุงต้มอาหารด้วยเตาถา่ นควรดับไฟใหห้ มด อย่าปลอ่ ยทง้ิ ไว้ ถา้ หุงต้มอาหารดว้ ยเตาแกส๊ จะต้อง ปิดแก๊สทุกครั้ง 5. ในการใช้อปุ กรณท์ ี่เปน็ เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ก่อนทำความสะอาดหรือถอดชน้ิ ส่วนต่างๆ จะตอ้ งถอดปล๊ักไฟ ก่อนเสมอ 6. ในการใชเ้ ตาอบไฟฟ้าแบบจานหมุนหรือทเ่ี รยี กว่า เตาไมโครเวฟ ก่อนการใชง้ านควรศึกษาหลักการ วิธีใชใ้ หเ้ ข้าใจและปฏบิ ัติตามโดยเคร่งครดั เพราะว่าจะสง่ ผลถึงความปลอดภัย เช่น ต้ังเวลาใหเ้ หมาะสมกับ ชนดิ ของอาหาร นำอาหารออกจากเตาตามข้อแนะนำที่กำหนด เปน็ ตน้ 7. เม่ือยกหมอ้ หรือกระทะลงจากเตาเพ่ือปกป้องกันความรอ้ นถึงมือ ควรใช้ผา้ จับชองร้อนที่มีความหนา พอเหมาะ 8. เมอ่ื นำอาหารทอดหรอื ต้ม อยา่ หยิบอาหารด้วยมือใส่ลงกระทะในระยะสงู เพราะจะทำใหน้ ้ำหรือ นำ้ มันกระเด็นลวกมือได้ ควรใชท้ ัพพีตักอาหารหรือตะหลิววางลงในกระทะหรอื หม้อทตี่ ้ังไฟ 9. การจดั เกบ็ อปุ กรณ์เครอื่ งใช้ท่ีมีนำ้ หนักมากจะต้องจดั เกบ็ ไว้ด้านลา่ งของช้ันวางของหรือช้ันลา่ งของตู้ เกบ็ อุปกรณเ์ สมอ ท้ังนเ้ี พ่ือความปลอดภัยจากการถูกอปุ กรณห์ ลน่ ทบั 10. การแกไ้ ขปญั หาเมือ่ เกิดอบุ ตั ิเหตุ อบุ ตั เิ หตุท่ีเกิดจากการปฏิบตั ิงานมโี อกาสเกิดขน้ึ ได้เสมอ แมว้ ่าจะมีการวางแผนจัดระบบการปอ้ งกนั เป็นอยา่ งดเี พียงใดกต็ าม ดังน้ันนอกจากการวางแผนการป้องกนั แลว้ ควรมกี ารวางแผนการแก้ไขไว้ดว้ ย เพื่อ ลดการสญู เสยี ชีวิตและทรัพย์สนิ ให้น้อยลง ในการแก้ไขอบุ ัติเหตทุ ่ีจะเกดิ ข้ึนควรมีการศึกษา เพ่ือเตรียมตัว แกไ้ ขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น อุบัตเิ หตุที่เกิดจาก อคั คีภัย พายุ วสั ดเุ คมี อทุ กภยั แผน่ ดินไหว สาร กมั มนั ตภาพรงั สี ให้ทุกคนได้ทราบ ตระหนกั ถึงความจำเป็นของการปอ้ งกนั แก้ไข และจัดใหม้ กี ารฝกึ ซอ้ มเพ่ือ เตรยี มตวั รับมอื เม่อื มอี ุบตั เิ หตุและอบุ ตั ิภัยมาถึง
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: