เอกสารแนะนำข้อมูลโรคเอสแอลอีสำหรับประชาชน นพ. อนวรรถ ซื่อสุวรรณ ภาพโดย Panita Aoki
เอกสารแนะนำข้อมูลโรคเอสแอลอีสำหรับประชาชน เอกสารนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ ปัญหา ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ โรคเอสแอลอีสำหรับผู้ป่วยโรคเอสแอลอีและญาติ โดย เกือบเป็นปกติจึงไม่ควรวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ มุ่งหวังเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยโรคเอสแอลอีให้มี ความเข้าใจในโรคและสามารถปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะ โรคเอสแอลอีเกิดจากอะไร? สม อย่างไรก็ตามเนื่องจากอาการของโรค อวัยวะที่โรค กำเริบ และความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยแต่ละคนมี มีปัจจัยหลายอย่างที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการเกิด ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง กั น ไ ป จึ ง ทำ ใ ห้ เ อ ก ส า ร นี้ ไ ม่ ส า ม า ร ถ โรคเอสแอลอีโดยมีปัจจัยหลัก 2 ส่วน ได้แก่ พันธุกรรม ทดแทนคำปรึกษาจากแพทย์ผู้ดูแลรักษาของท่านได้ อีก และสิ่งแวดล้อม โดยมียีนบางชนิดที่พบว่าเพิ่มความ ทั้งงานวิจัยและหลักฐานความรู้ใหม่ๆในโรคมีอย่างต่อ เสี่ยงในการเกิดโรคและเมื่อถูกกระตุ้นโดยปัจจัยสิ่ง เนื่องตลอดเวลา ข้อมูลต่างๆในเอกสารนี้จึงอาจ แวดล้อมบางอย่างก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเอสแอลอี เปลี่ยนแปลงได้ตามหลักฐานงานวิจัยในเวลานั้นๆ ขึ้น ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่อาจเป็นเหตุกระตุ้น เช่น ฮอร์โมน เพศ เชื้อโรคบางอย่าง ยาบางชนิด หรือ แสงแดด โรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจาก Systemic เป็นต้น Lupus Erythematosus หรือบางครั้งอาจถูกเรียกว่า \"ลูปัส\" ซึ่งในภาษาลาตินแปลว่าหมาป่า ชื่อนี้มีที่มาจาก การวินิจฉัยโรคเอสแอลอี รอยโรคที่หน้าของผู้ป่วยบางรายมีลักษณะคล้ายรอยถูก หมาป่ากัด โดยโรคลูปัสนั้นมีความหมายใน 2 ลักษณะ ก า ร ยื น ยั น วิ นิ จ ฉั ย โ ร ค เ อ ส แ อ ล อี ใ น บ า ง ค รั้ ง คื อ โ ร ค ที่ ผิ ว ห นั ง เ ท่ า นั้ น ( c u t a n e o u s l u p u s วินิจฉัยได้ง่ายแต่บางครั้งก็วินิจฉัยได้ยาก เพราะบาง erythematosus) และ โรคที่เกิดในระบบต่างๆนอกจาก กรณีอาจต้องทำการสืบค้นและสังเกตอาการอยู่นาน เฉพาะทางผิวหนัง (systemic lupus erythematosus; เพราะลักษณะของโรคที่อาจมีอาการน้อยหรือมีอาการที่ SLE) โรคเอสแอลอีเป็นหนึ่งในโรคภูมิคุ้มกันต่อต้าน ไม่ได้จำเพาะที่พบแต่ในโรคเอสแอลอีเท่านั้น ซึ่งจำเป็น ตนเอง (autoimmune rheumatic disease) ต้องวินิจฉัยแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน บางครั้งต้อง อาศัยเวลาสังเกตการดำเนินโรคเพื่อให้มีหลักฐานมาก โรคในกลุ่มภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเองคือโรคที่ พอที่จะยืนยันการวินิจฉัยได้ เพราะโรคอาจไม่ปรากฏ ระบบภูมิคุ้มกันของตนเองโจมตีเนื้อเยื่อของตนเองส่งผล หลักฐานชัดในช่วงต้นๆ จึงทำให้ในบางครั้งแพทย์ผู้ดูแล ให้เนื้อเยื่อในอวัยวะต่างๆซึ่งถูกภูมิคุ้มกันโจมตีนั้นมีการ อาจลงความเห็นได้เพียง \"สงสัยโรคเอสแอลอี\" หรือ \"เอ อักเสบเกิดขึ้น โดยโรคต่างๆในกลุ่มโรคภูมิคุ้มกันต่อ สแอลอีที่ยังไม่ครบข้อวินิจฉัย\" (incomplete SLE) หรือ ต้านตนเองจะถูกจำแนกชนิดตามลักษณะอาการที่ปรากฏ \"โรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ยังไม่ชี้เฉพาะ\" (unclassified ในอวัยวะต่างๆและชนิดของระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติที่ connective tissue disease; UCTD) นอกจากนี้ยังมี เกี่ยวข้อง โรคในกลุ่มภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเองมีหลาย โรคในตระกูลโรคแพ้ภูมิตนเองอื่นที่มีอาการคล้ายกันดัง โรค เช่น โรคเอสแอลอี โรคหนังแข็ง โรครูมาตอยด์ โรค ที่เกริ่นในตอนต้นแล้ว จะเห็นได้ว่าการวินิจฉัยโรคเอสแอ ผิวหนังและกล้ามเนื้ออักเสบ โรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผสม ลอีต้องอาศัยหลักฐานลักษณะอาการร่วมกันกับผลการ โรคโจเกร็น เป็นต้น โดยอาจพบโรคในกลุ่มนี้พร้อมกัน ตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้งการตรวจเลือด การตรวจ 2 โรคในผู้ป่วยคนเดียวกันได้ด้วย ปัสสาวะ และการตรวจอื่นๆตามแต่ความจำเป็นเพื่อการ วินิจฉัยแยกโรค เพราะการวินิจฉัยโรคเอสแอลอีต้อง ในโรคเอสแอลอีแม้อาจปรากฏอาการได้ใน อาศัยหลักฐานข้อมูลค่อนข้างมากเพื่อการวินิจฉัยได้ หลายระบบ เช่น ข้อ เลือด ไต สมอง หรือผิวหนัง แต่ไม่ อย่างถูกต้องเหมาะสม หลักฐานสำคัญเพื่อช่วยในการ ได้หมายความว่าผู้ป่วยรายหนึ่งๆจะต้องมีอาการของทุก วินิจฉัยโรคเอสแอลอีแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ หลักฐานทางค ระบบดังกล่าว ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการแค่บางระบบ ลินิค และหลักฐานที่ตรวจพบในระบบภูมิคุ้มกัน เท่านั้น โดยในแต่ละช่วงเวลาอาจมีการกำเริบในอวัยวะ ที่แตกต่างกันได้ ความรุนแรงของโรคขึ้นกับอวัยวะที่มี
หลักฐานทางคลินิคประกอบด้วยลักษณะของอาการและ เหตุให้เสียชีวิต แต่หากผ่านพ้นช่วงเวลาเลวร้ายนั้นไป อาการแสดง รวมถึงผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่มี โรคอาจสงบกระทั่งดำรงวิถีชีวิตได้เกือบเหมือนปกติ ลักษณะเข้ากันได้กับโรคเอสแอลอี เช่น ข้ออักเสบ ไต อักเสบ เยื่อบุปอดหรือช่องท้องอักเสบ ลมชัก ผื่นผิวหนัง อาการของโรค อักเสบลูปัส เม็ดเลือดแดงแตก เกร็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือด ขาวต่ำ เป็นต้น หลักฐานที่ตรวจพบในระบบภูมิคุ้มกันที่ อาการทั่วไปที่อาจบ่งชี้ว่าโรคกำเริบ เช่น ไข้ เข้าได้กับโรคเอสแอลอี เช่น ANA, anti-dsDNA, anti- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ถึงแม้ว่าอาการเหล่านี้พบได้ใน Sm, anti-SSA เป็นต้น ลักษณะทางคลินิคหรือความผิด หลายโรค แต่หากผู้ป่วยโรคเอสแอลอีมีอาการดังกล่าว ปกติที่ตรวจพบในระบบภูมิคุ้มกันดังกล่าวสามารถพบได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่าเกิดจากโรคกำเริบหรือ ในโรคอื่นๆนอกเหนือจากโรคเอสแอลอีด้วย เช่น อาการ ไม่ ปวดอักเสบข้ออาจเกิดจากโรครูมาตอยด์หรือโรคข้อ อักเสบจากการติดเชื้อไวรัสหรือจากสาเหตุอื่นๆอีกหลาย อาการที่พบบ่อยเกิดใน 4 ระบบ ได้แก่ ผิวหนัง โรค นอกจากนี้ใน \"คนทั่วไป\" ก็อาจตรวจพบความผิด ข้อ ไต และเลือด ปกติในการตรวจทางภูมิคุ้มกันบางอย่างได้ เช่น \"คน ผิวหนัง เช่น ผื่นแดงลักษณะคล้ายรูปผีเสื้อที่หน้า ผื่นแพ้ ทั่วไป\" สามารถตรวจเลือดพบ ANA (1:160) 5 คน ใน แสง ผื่นเป็นวงที่หู ผมร่วง เป็นต้น 100 คน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการวินิจฉัยโรคเอสแอลอี ข้อและกล้ามเนื้อ เช่น ปวดข้อ ข้อบวมอักเสบ กล้ามเนื้อ จำเป็นต้องประมวลหลักฐานทางคลินิคและหลักฐานทาง อ่อนแรง เป็นต้น ระบบภูมิคุ้มกันร่วมกัน อีกทั้งจำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรค ไต เช่น ปัสสาวะมีฟองมาก ขาบวม เป็นต้น อื่นก่อนจึงจะให้การวินิจฉัยได้ ในบางครั้งหลักฐานอาจไม่ เลือด เช่น โลหิตจางมีอาการซีดเพลีย เกร็ดเลือดต่ำมี มากพอที่จะให้การวินิจฉัยยืนยันทำให้แพทย์ผู้ดูแลอาจลง อาการจุดจ้ำเลือดตามผิวหนัง เม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นต้น ความเห็นได้เพียง \"สงสัย\" โรคเอสแอลอี ดังที่กล่าวแล้ว นอกจากนี้อาจพบอาการในอวัยวะอื่นๆ เช่น เยื่อบุช่อง ในกรณีนี้จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา ติดตามการดำเนิน ท้องอักเสบ เยื่อบุปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ อาการ โรค เพื่อให้มีหลักฐานมากพอที่จะให้การวินิจฉัยยืนยันได้ ชัก อาการชา ประสาทหลอน ความคิดสับสน ซึมเศร้า ต่อไป ปวดศีรษะ ต่อมนำ้เหลืองโต ขาดประจำเดือนหรือประจำ เดือนมาไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีหลาย ความคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ อาการกำเริบและสงบสลับกันไป ขณะที่ผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการหนึ่งก่อนจะมีอาการอื่นๆค่อยๆทะยอยมา โรคเอสแอลอีมีลักษณะอาการความผิดปกติได้ อาจมีอาการจากความผิดปกติของอวัยวะเดียวหรือหลาย หลายอย่างโดยอาจคล้ายโรคมะเร็ง โรคติดเชื้อ หรือโรค อวัยวะร่วมกันได้ในหลายแบบ เช่น ผู้ป่วยคนหนึ่งอาจมี ในกลุ่มภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเองชนิดอื่นๆ แต่โรคเอสแอล อาการเฉพาะจากไตอักเสบเพียงอย่างเดียว ขณะที่ผู้ป่วย อีกลับไม่มี \"เอกลักษณ์\" คือ โรคเอสแอลอีไม่ได้มีลักษณะ อีกคนอาจมีอาการของข้ออักเสบร่วมกับมีผื่นรูปผีเสื้อที่ เพียงแบบเดียวแต่มีลักษณะที่แสดงออกในหลายรูปแบบ หน้าโดยไม่มีอาการทางไตเลย เป็นต้น อาการบางอย่าง ในหลายอวัยวะและทะยอยเกิดปัญหาในช่วงเวลาที่แตก อาจหายไปได้เอง อาการบางอย่างจำเป็นต้องใช้ยารักษา ต่างกันได้ ดังนั้นบางกรณีการวินิจฉัยโรคเอสแอลอีอาจ นอกจากนี้อาการดังกล่าวหลายอย่างอาจพบได้ในโรคอื่น ยากแม้สำหรับแพทย์ที่มีประสบการณ์มากก็ตาม เช่นกัน อาการบางอย่างก็อาจเป็นอาการที่เกิดจากผลข้าง เคียงของยาได้ด้วย จะเห็นได้ว่ามีความซับซ้อนของ ลักษณะการดำเนินโรค สาเหตุในอาการต่างๆอย่างมากมาย ดังนั้นหากผู้ป่วยมี อาการใดที่สงสัยจึงควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลรักษา เมื่อผู้ ก า ร กำ เ ริ บ ข อ ง โ ร ค เ อ ส แ อ ล อี มี ลั ก ษ ณ ะ ที่ ป่วยไม่มีอาการของโรคแล้วแพทย์มักเรียกช่วงเวลานั้นว่า แปรปรวนมาก อาจเปรียบเทียบได้กับสภาพลมฟ้าอากาศ อยู่ในช่วงโรคสงบ มักไม่นิยมเรียกว่า \"รักษาหาย\" เพราะ ที่บางครั้งมีพายุ บางครั้งฝนตกปรอยๆ บางครั้งท้องฟ้า อาจทำให้เข้าใจผิดและส่งผลให้ผู้ป่วยละเลยการปฏิบัติ แจ่มใส บางช่วงเวลาผู้ป่วยโรคเอสแอลอีอาจมีอาการ ตัวที่เหมาะสมและไม่สอดส่องสังเกตลักษณะการกำเริบ เพียงเล็กน้อย แต่ต่อมาอาจมีการกำเริบรุนแรงจนอาจเป็น ของโรคเพื่อให้ปรึกษาแพทย์ได้ทันท่วงทีหากโรคกำเริบ
การดูแลรักษา กลับมากำเริบอีกด้วย ผลข้างเคียงยาที่สำคัญ คือ ผลข้าง เคียงต่อจอประสาทตา โดยความเสี่ยงของการเกิดผลข้าง ความมุ่งหมายในการทำให้โรคเอสแอลอีเข้าสู่ เคียงนี้ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของยา ขนาดของ ภาวะสงบเป็นเป้าหมายสำคัญ โดยผู้ที่จะทำให้บรรลุจุด ยา ระยะเวลาการรับประทาน เป็นต้น ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ หมายนั้นไม่ใช่ขึ้นกับเพียงแพทย์ผู้ดูแลรักษาเท่านั้น แต่ขึ้น คลอโรควินและไฮดร็อกซีคลอโรควิน จากผลข้างเคียงซึ่ง กับผู้ป่วย ญาติของผู้ป่วยและ \"คณะแพทย์\" ผู้ร่วมดูแลรักษา อาจพบความผิดปกติที่ตา ผู้ป่วยที่รับประทานยาในกลุ่มนี้ ด้วย ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้าใจ \"โรคเอสแอลอี\" โดยเฉพาะ อยู่จึงควรเข้ารับการตรวจตาเป็นระยะตามคำแนะนำของ อย่างยิ่งต้องทราบปัจจัยเสี่ยงของการกำเริบโรค เพื่อให้ แพทย์ หากตรวจพบความผิดปกติของจอประสาทตา การ สามารถปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องมีความ หยุดรับประทานยาจะช่วยให้ผลข้างเคียงดังกล่าวกลับคืน รู้เกี่ยวกับยาที่ใช้ ทราบเป้าหมายของการใช้ยาและผลข้าง เป็นปกติได้ เคียงของยา เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีขณะที่มีผลข้างเคียง จากการรักษาน้อย ญาติของผู้ป่วยก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก กลุ่มยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ เพราะมีส่วนช่วยสนับสนุนดูแลและให้กำลังใจกับผู้ป่วย ดัง นั้ น ญ า ติ ข อ ง ผู้ ป่ ว ย ก็ จำ เ ป็ น ต้ อ ง เ รี ย น รู้ เ ข้ า ใ จ โ ร ค แ ล ะ ยาในกลุ่มนี้ เช่น เพร็ดนิโซโลน เด็กซาเมทาโซน แนวทางการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมด้วย ผู้ป่วยโรคเอสแอ ไฮโดรคอร์ติโซน เป็นต้น ยาในกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปใน ลอีอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง ชื่อยาสเตียรอยด์ ยานี้เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ปกติถูก หลายด้านเพราะโรคเอสแอลอีอาจสร้างปัญหาให้แก่หลาย สร้างจากต่อมหมวกไต บางครั้งผู้ป่วยหรือญาติจะขยาด อวัยวะ กลัวกับผลข้างเคียงของยาในกลุ่มนี้มากเกินความเป็นจริง เนื่องจากคำแนะนำโดยแพทย์หรือสื่อต่างๆที่พยายามให้ กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ความรู้เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนได้รับสเตียรอยด์จากยา ชุดหรือยาลูกกลอนที่ผสมสเตียรอยด์ที่ไม่ถูกควบคุมการใช้ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์เป็นยาที่นิยม ให้เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ยาสเตียรอยด์มีความ ใช้เพื่อควบคุมอาการปวดอักเสบข้อ เยื่อบุปอดอักเสบ หรือ จำเป็นในบางโรคและการกำเริบโรคในบางลักษณะ ยาส ไข้ผลข้างเคียงยาที่สำคัญคือ อาจทำให้ปวดท้องหรือแผลที่ เตียรอยด์ช่วยควบคุมการกำเริบโรคเอสแอลอีในอวัยวะ กระเพาะอาหาร จึงควรรับประทานพร้อมอาหารหรือหลัง ต่างๆ เช่น ไตอักเสบ เม็ดเลือดแดงแตก ข้ออักเสบที่ไม่ตอบ อาหารทันที นอกจากนี้หากผู้ป่วยมีโรคไตหรือโรคกล้าม สนองต่อยาควบคุมโรคเบื้องต้น เป็นต้น ยาสเตียรอยด์เป็น เนื้อหัวใจขาดเลือดควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนรับประทาน ยาช่วยชีวิตในผู้ป่วยที่มีโรคเอสแอลอีกำเริบรุนแรงเป็น ยาในกลุ่มนี้ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น ไอบูโพรเฟน อินโด จำนวนมาก ในยุคก่อนมียาสเตียรอยด์ อัตราการรอดชีวิต เมทาซิน นาโพรเซน ไดโคลฟิแนค เป็นต้น ยากลุ่มใหม่ ในผู้ป่วยโรคเอสแอลอีที่ 5 ปี มีเพียงร้อยละ 50 ในยุคหลัง เช่น โมบิค อาร์ค็อกเซีย ซิลิเบร็ค ยาในกลุ่มใหม่มีผลข้าง จากมียาสเตียรอยด์ อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี เพิ่มเป็นร้อย เคียงต่อระบบทางเดินอาหารน้อยกว่ากลุ่มเดิมแต่ยังคงต้อง ละ 90 อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์ในระยะ ระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีโรคไตหรือโรคหัวใจเช่นกันกับกลุ่ม ยาวก็มีหลายอย่าง ผลข้างเคียงยาที่สำคัญ เช่น กดการ เดิม หากผู้ป่วยวางแผนที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัดขอให้แจ้ง ทำงานของต่อมหมวกไต กระดูกพรุน อ้วนขึ้น เพิ่มความ แพทย์ผู้ดูแลเพื่อพิจารณาหยุดยาก่อนการผ่าตัด หากรับ เสี่ยงในการติดเชื้อ เป็นต้น ผลข้างเคียงของยาขึ้นกับขนาด ประทานยาในกลุ่มนี้ต่อเนื่องควรได้รับการตรวจเลือดเพื่อ และระยะเวลาที่ใช้ยา ดังนั้นการติดตามการรักษาและปรับ ประเมินผลข้างเคียงเป็นระยะ ยาโดยแพทย์ผู้ดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้การใช้ยามี ประสิทธิภาพในการควบคุมโรคในขณะที่มีโอกาสเกิดผล กลุ่มยาต้านมาลาเรีย ข้างเคียงจากยาน้อยจึงมีความสำคัญอย่างมาก ข้อสำคัญที่ ต้องเน้นย้ำในผู้ป่วยโรคเอสแอลอีที่รับประทานสเตียรอยด์ การที่ได้ชื่อว่ายาต้านมาลาเรียเพราะยาต้นแบบคือ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน คือ ห้ามหยุดยาสเตียรอยด์เองเพราะ ยาคลอโรควินเป็นยารักษาโรคมาลาเรียด้วย ยาในกลุ่มนี้ อาจเป็นอันตรายได้ และในบางภาวะ เช่น การผ่าตัด หรือ ช่วยควบคุมอาการปวดอักเสบข้อ อาการผื่นผิวหนังอักเสบ ความเจ็บป่วยรุนแรง อาจจำเป็นต้องเพิ่มขนาดยาสเตียรอย เยื่อบุปอดอักเสบในผู้ป่วยโรคเอสแอลอี เมื่อรับประทาน ด์ชั่วคราว ดังนั้นการเข้ารับการตรวจรักษาหรือวางแผนการ ร่วมกับยากดภูมิคุ้มกันยังช่วยให้สามารถลดขนาดยากด ผ่าตัดต้องแจ้งแพทย์ผู้ดูแลให้ทราบว่ามีโรคประจำตัวเป็น ภูมิคุ้มกันที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้โรคสงบ นอกจากนี้เมื่อ โรคเอสแอลอีซึ่งกำลังรับประทานยาสเตียรอยด์ด้วยทุกครั้ง โรคเอสแอลอีเข้าสู่ระยะสงบแล้วยายังช่วยลดโอกาสโรค
กลุ่มยากดภูมิคุ้มกัน 4. ห้ามตั้งครรภ์โดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะการตั้งครรภ์อาจ ทำให้โรคกำเริบมากขึ้นได้ ยาที่ควบคุมโรคบางชนิดจำเป็น ยาในกลุ่มกดภูมิคุ้มกันมีข้อบ่งชี้ในผู้ป่วยโรคเอสแอ ต้องหยุดยาก่อนการตั้งครรภ์เพราะอาจทำให้ทารกในครรภ์ ลอีในหลายลักษณะ เช่น ในกรณีการกำเริบโรคที่รุนแรง พิการได้ ในทางกลับกันยาบางชนิดก็ไม่ควรหยุดเพราะอาจ กรณีไม่ตอบสนองต่อยาควบคุมโรคเบื้องต้น หรือเพื่อลด ทำให้โรคกำเริบในช่วงตั้งครรภ์ซึ่งกลับเป็นอันตรายต่อ ขนาดยาสเตียรอยด์ ตัวอย่างชนิดยาในกลุ่มกดภูมิคุ้มกัน ทารกในครรภ์ นอกจากนั้นภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติบางอย่างใน เช่น เมทโทเทร็กเซ็ต อาซาไทโอปริน (อิมมูแรน) ไมโคฟิโน โรคเอสแอลอีเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง หรือการเกิดโรค เลตโมเฟติล (เซลเซ็ป) ไซโคลฟอสฟาไมด์ (เอ็นด็อกแซนด์) หัวใจของทารกในครรภ์ได้ โดยวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะ เป็นต้น การรับประทานยาในกลุ่มนี้จำเป็นต้องเข้ารับการ สมในผู้ป่วยโรคเอสแอลอี ได้แก่ การใช้ถุงยางอนามัย การ ตรวจรักษาและปรับยาจากแพทย์ผู้ดูแลเป็นประจำเช่นเดียว ฉีดยาคุมกำเนิด ไม่แนะนำให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดบางอย่าง กับการรับประทานยาสเตียรอยด์และยาในกลุ่มต้านมาลาเรีย เช่น การรับประทานยาคุมกำเนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงโรค โดยจำเป็นต้องรับการตรวจเลือดและการตรวจอื่นๆตาม กำเริบเนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนในขนาดที่ใช้ในยาคุม ความจำเป็นเพื่อติดตามผลข้างเคียงของยาตามแต่ชนิดของ กำเนิดชนิดรับประทานส่วนใหญ่อาจเป็นเหตุให้โรคกำเริบได้ ยานั้น การวิธีคุมแบบ \"ธรรมชาติ\" เช่น การนับวัน มีโอกาสผิด พลาดเป็นเหตุให้ตั้งครรภ์สูงมาก ควรปฏิบัติตัวดูแลตนเองอย่างไรเพื่อลดโอกาสโรคกำเริบ? 5. ห้ามขาดยา ปรับยาหรือหยุดยาเอง ยกเว้นกรณีแพ้ยา หากกังวลเกี่ยวกับการใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแล หากรับ 1. มีสุขนิสัยที่ดี ปฏิบัติตามสุขบัญญัติ (สุขบัญญัติ 10 ได้แก่ ยาเพิ่มเติมจากแพทย์ท่านอื่นหรือรับประทานยาสมุนไพรควร ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด ดูแลรักษาสุขภาพ แจ้งแพทย์ผู้ดูแลรับทราบด้วย ช่องปากและฟัน ล้างมือให้สะอาด กินอาหารสุกสะอาด งด บุหรี่และสุรา สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น พยากรณ์โรคเอสแอลอี ป้องกันอุบัติเหตุด้วยการไม่ประมาท ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมและสังคม) การ พยากรณ์โรคเอสแอลอีจะขึ้นกับอวัยวะที่ภูมิคุ้มกัน ดูแลตนเองอย่างเหมาะสมส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เราทราบอยู่ ผิดปกติกำเริบ หากอวัยวะที่กำเริบเป็นอวัยวะสำคัญต่อชีวิต แล้วเพราะเป็นข้อปฏิบัติตามสามัญสำนึกที่เราถูกปลูกฝังมา การกำเริบนั้นก็เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้ โดยการกำเริบ ข้อสำคัญ คือ \"สะอาด\" \"ดูแลสุขภาพปากและฟัน\" \"งดเหล้า รุนแรงอาจเกิดในช่วงเวลาใดของชีวิตก็ได้ แต่มักจะกำเริบ และบุหรี่\" \"จิตแจ่มใส ลดความเครียต\" \"ออกกำลังกาย รุนแรงในช่วง 5 ปีแรกของโรค ในทางกลับกันหากโรค สม่ำเสมอ\" และ \"พักผ่อนเพียงพอ\" การใช้ชีวิตอย่างสมดุลมี กำเริบเฉพาะอวัยวะที่ไม่สำคัญ เช่น ผื่นผิวหนังอักเสบ ข้อ ความสำคัญมาก การตรากตรำงานหนักพักผ่อนน้อยอาจ อักเสบ เมื่อได้รับการรักษาและควบคุมโรคได้ดีก็จะทำให้ผู้ ทำให้โรคกำเริบ พักผ่อนอย่างเดียวไม่ออกกำลังกายก็ทำให้ ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้เกือบเหมือนคนทั่วไป โอกาสเสียชีวิต กล้ามเนื้อลีบไม่มีแรง จากโรคเอสแอลอีโดยรวมประมาณร้อยละ 10 ใน 10 ปี 2. ป้องกันการติดเชื้อ เป็นส่วนหนึ่งของสุขบัญญัติแต่แยก สาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญคือ การกำเริบรุนแรงของโรคเอส หัวข้อเพื่อเน้นย้ำความสำคัญ เนื่องจากทั้งโรคเอสแอลอีและ แอลอีและการติดเชื้อแทรกซ้อน ยากดภูมิคุ้มกันอาจทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและรุนแรงขึ้น อีกทั้ง เมื่อติดเชื้อแล้วก็อาจเป็นเหตุให้โรคเอสแอลอีกำเริบได้ด้วย ผู้ป่วยอาจมีความวิตกกังวลอย่างมากเมื่อทราบผล ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุกใหม่ด้วย การวินิจฉัยว่าตนเองเป็นโรคเอสแอลอีหรือมีโอกาสเป็นโรค ความร้อน จึงมีอาหารบางชนิดที่ต้องงด เช่น ปลาดิบ ส้มตำ เอสแอลอี แต่ขอให้มีกำลังใจในการดูแลตนเองและลดความ ไข่ลวก เป็นต้น หากไปในสถานที่มีคนอยู่มากให้ระวังการติด วิตกกังวลลงแล้วเปลี่ยนเป็นความตั้งใจปฏิบัติตนให้เหมาะ เชื้อ ควรล้างมือบ่อย และอาจต้องใส่หน้ากากอนามัย รวมถึง สมอย่างมีวินัย แม้ในปัจจุบันโรคเอสแอลอีจะยังไม่ใช่โรคที่ ควรดูแลสุขภาพของช่องปากอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันฟันผุ รักษาหายขาดแต่ด้วยการพัฒนาการดูแลรักษาในปัจจุบัน และเหงือกอักเสบ ทำให้พยากรณ์โรคก็ดีขึ้นกว่าสมัยก่อน อีกทั้งยังมีความหวัง 3. เลี่ยงแดด เพราะรังสีอุลตราไวโอเลตในแสงแดดอาจ อย่างมากในการพัฒนาการรักษาต่อไปในอนาคต ไม่ควร กระตุ้นให้โรคกำเริบ ควรทาครีมกันแดด SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้น หลงเชื่อโฆษณายาหรือวิธีการต่างๆที่แอบอ้างว่าสามารถ ไป เพื่อป้องกัน UVB และเลือกครีมกันแดดที่ป้องกัน UVA รักษาโรคได้หายขาด หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคเอสแอลอี ในระดับ ++ ขึ้นไป โดยควรทาอย่างถูกวิธี ได้แก่ ทาหนา ควรปรึกษาแพทย์หรืออายุรแพทย์โรคข้อรูมาติสซั่มที่ดูแล เพียงพอ ทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 15 นาที รักษาท่าน
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: