Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวคิดและทฤษฏีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

แนวคิดและทฤษฏีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

Published by Library13001, 2020-05-20 02:34:51

Description: แนวคิดและทฤษฏีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

Search

Read the Text Version

“...กำรทดลองตอ้ งดอู ยำ่ งน.ี้ ..ทงิ้ ดนิ เอำไวห้ นง่ึ ป.ี .. แลว้ จะกลบั เปลยี่ นหรอื เปลำ่ เพรำะควำมเปรีย้ วมนั เปน็ ชนั้ ดนิ ชน้ั ดนิ ทเ่ี ปน็ ซลั เฟอร์ (Sulfur)...” ทำ� โครงกำรศึกษำทดลองในกำ� หนด ๒ ปี และพืช หลังจำกนั้นจึงให้หำวิธีกำรปรับปรุงดินดังกล่ำว ท�ำกำรทดลองควรเปน็ ข้ำว...” ให้สำมำรถปลูกพืชเศรษฐกิจได้ ซึ่งวิธีกำรแก้ไข ดนิ เปร้ยี วจัดตำมแนวพระรำชดำ� ริ มีดังนี้ โครงกำรอันเน่ืองมำจำกพระรำชด�ำรทิ ี่ทรง เรยี กวำ่ “แกลง้ ดนิ ” จงึ มศี นู ยศ์ กึ ษำกำรพฒั นำพกิ ลุ ทอง ๑. แกไ้ ขโดยวิธีการควบคมุ ระดบั น้�าใต้ดิน อันเน่ืองมำจำกพระรำชด�ำริ เป็นหน่วยด�ำเนินกำร เพื่อป้องกันกำรเกดิ กรดก�ำมะถันจึงสมควร สนองพระรำชด�ำรใิ นกำรศึกษำกำรเปล่ียนแปลง พยำยำมควบคุมน�้ำใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มี ควำมเป็นกรดของดินกำ� มะถัน เร่มิ จำกวิธีกำร สำรประกอบไพไรท์อยู่ เพ่ือมิให้สำรประกอบไพไรท์ “แกลง้ ดนิ ใหเ้ ปรย้ี ว” ดว้ ยกำรทำ� ใหด้ นิ แหง้ และเปยี ก ท�ำปฏิกิริยำกับออกซิเจนหรือถูกออกซิไดซ์ โดยมี สลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยำทำงเคมีของดินซ่ึงจะไป ขน้ั ตอนดังนี้ กระตนุ้ ใหส้ ำรประกอบกำ� มะถนั ทเี่ รยี กวำ่ “สำรไพไรท”์ ๑) วำงระบบกำรระบำยน้ำ� ทัว่ ทั้งพ้นื ท่ี ให้ทำ� ปฏกิ ริ ิยำกับออกซิเจนในอำกำศแล้วปลดปล่อย ๒) ระบำยนำ้� เฉพำะสว่ นบนออกเพอื่ ชะลำ้ งกรด กรดกำ� มะถันออกมำ ท�ำให้ดินเป็นกรดจัดจนถงึ ข้ัน ๓) รักษำระดบั นำ้� ในครู ะบำยนำ�้ ใหอ้ ยใู่ นระดบั “แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด” จนกระท่ังถึงจุดที่พืช ไม่ตำ่� กว่ำ ๑ เมตร จำกผิวดินตลอดท้ังปี เศรษฐกจิ ตำ่ งๆ ไมส่ ำมำรถเจรญิ งอกงำมใหผ้ ลผลติ ได้ 47

ในแมน่ ำ้� เพอื่ ใชใ้ นกำรเกษตร อปุ โภคและบรโิ ภค กบั ชว่ ย ป้องกนั มิให้นำ้� เคม็ จำกปำกแม่นำ้� ไหลเข้ำไปยงั แม่น้�ำ สว่ นใน และในประเดน็ ทส่ี ำ� คญั คอื ชว่ ยควบคมุ ระดบั น�้ำใต้ดินในพ้ืนท่ีรำบลุ่มสองฝั่งแม่น้�ำไม่ให้ลดต่�ำลง ซ่ึงเป็นกำรป้องกันกำรเกิดกรดจำกดินเปร้ียวจัดที่พบ อยู่ท่ัวๆ ไปในบรเิ วณที่รำบลุ่มของจังหวัดนรำธิวำส อีกด้วย “...วธิ กี ำรทำ� ให้ดนิ หำยโกรธจงึ เป็นประเดน็ สำ� คญั เมอ่ื ดนิ หำยโกรธกจ็ ะหำยเปรีย้ ว ๒. วิธีการปรับปรุงดินอันเนือ่ งมาจาก แล้วสำมำรถใช้ปลูกพชื ได้...” พระราชดา� ริ “แกลง้ ดนิ ” สำมำรถเลอื กใชไ้ ด้ ๓ วธิ กี ำร ตำมแต่สภำพของดินและควำมเหมำะสม คอื กำรด�ำเนินกำรตำมนัยข้ำงต้นที่จะสัมฤทธิ์ สมบูรณ์ยงั จ�ำเป็นต้องมีกำรวำงระบบกำรระบำยน�้ำ วิธกี ารท่ี ๑ : ใช้นำ้� ชะล้ำงควำมเป็นกรด ดังนี้ ควบคู่ไปกับกำรจัดระบบชลประทำนที่เหมำะสม ๑) กำรใช้น้�ำชะล้ำงดินเพื่อล้ำงกรดท�ำให้ กล่ำวคอื ค่ำ pH เพ่ิมข้ึน โดยวิธีกำรปล่อยนำ้� ให้ท่วมขงั แปลง แล้วระบำยออกประมำณ ๒ - ๓ คร้ัง ระบบการระบายน้�า จะช่วยให้ ๒) ทิ้งช่วงกำรระบำยน้�ำ ประมำณ ๑ - ๒ ก. ป้องกันมใิ ห้นำ้� ท่วม สปั ดำห์ต่อคร้งั ข. ช่วยระบำยน้�ำออกจำกพน้ื ที่ ๓) ดินจะเปร้ียวจัดในช่วงดินแห้งหรือฤดูแล้ง ระบบชลประทาน จะช่วยให้ ดังนั้น กำรชะล้ำงควรเร่ิมในฤดูฝนเพื่อลดปริมำณ ก. ส่งเสรมิ ให้นำ้� ใช้ชะล้ำงควำมเป็นกรด กำรใช้น้ำ� ชลประทำน ข. รักษำระดบั นำ�้ ใตด้ นิ ใหอ้ ยใู่ นระดบั ทต่ี อ้ งกำร ๔) กำรใช้น้ำ� ชะล้ำงควำมเป็นกรดต้องกระทำ� ตัวอย่ำงควำมสำ� เรจ็ ของวิธกี ำรควบคุมระดับ ตอ่ เนอ่ื งและตอ้ งหวงั ผลในระยะยำว มใิ ชก่ ระทำ� เพยี ง นำ้� ใต้ดิน คอื โครงกำรพัฒนำลุ่มนำ�้ บำงนรำอนั เนื่อง ๑ - ๒ ครง้ั เท่ำนัน้ มำจำกพระรำชด�ำริ ที่ท�ำกำรก่อสร้ำงประตูระบำย ๕) วิธีกำรน้ีเป็นวิธีกำรท่ีง่ำยท่ีสดุ แต่จ�ำเป็น นำ้� ปิดก้ันแม่น�ำ้ บำงนรำ ๒ ประตู เพื่อบรรเทำปัญหำ ต้องมีน้�ำมำกพอที่จะใช้ชะล้ำงดินควบคู่ไปกับกำร อทุ กภัยบรเิ วณสองฝั่งแม่น�้ำและกกั เกบ็ น�้ำจืดไว้ ควบคุมระดับน�้ำใต้ดินให้อยู่เหนือช้ันดินเลนที่มี ไพไรท์มำก วิธีกำรน้ีเม่ือล้ำงดินเปรี้ยวให้คลำยลงแล้ว ดินจะมีค่ำ pH เพ่ิมข้ึน อีกทั้งสำรละลำยเหล็กและ อะลมู ิน่ัมท่ีเป็นพิษเจือจำงลงจนท�ำให้พืชสำมำรถ เจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพำะถ้ำหำกใช้ปุ๋ยไนโตรเจน และฟอสเฟตกส็ ำมำรถให้ผลผลิตได้ 48

“...พ้นื ที่บริเวณบ้ำนโคกอฐิ -โคกใน เป็นดินเปร้ยี ว เกษตรกรมีควำมต้องกำรจะปลูกข้ำว ทำงชลประทำนได้จัดส่งน�้ำชลประทำนให้ก็ให้พฒั นำดินเปร้ียว เหล่ำนใ้ี ห้ใช้ประโยชน์ได้...” วิธีการที่ ๒ : กำรแก้ไขดินเปร้ียวด้วยกำร กรดจัดรุนแรงและถูกปล่อยท้ิงให้รกร้ำงว่ำงเปล่ำเป็น ใช้ปูนผสมคลกุ เคล้ำกับหน้ำดนิ ดังข้นั ตอน คือ เวลำนำน มขี ั้นตอนปฏิบตั ิคือ ๑) ใช้วัสดปุ ูนทหี่ ำได้ง่ำยในท้องที่ เช่น ใช้ปูน ๑. กำรใช้ปูนเป็นกำรกระตุ้นครั้งแรกให้น�้ำ มำรล์ (Marl) สำ� หรบั ภำคกลำง หรือปนู ฝนุ่ (Lime dust) ท�ำงำนอย่ำงมีประสิทธิภำพ อัตรำกำรใช้ปูนท่ัวไป สำ� หรบั ภำคใต้ หวำ่ นใหท้ ว่ั ๑ - ๔ ตนั ตอ่ ไร่ แลว้ ไถแปร เพยี ง ๑ - ๒ ตนั ต่อไร่ หรือพลิกกลบดนิ ๒. ท�ำกำรไถกลบ ๒) ปริมำณของปูนที่ใช้ข้ึนอยู่กับควำมรุนแรง ๓. ใช้น�ำ้ ชะล้ำงควำมเป็นกรด ของควำมเป็นกรดของดิน ๔. ควบคุมน้�ำใต้ดินให้อยู่เหนือช้ันดินเลน ที่มีสำรประกอบไพไรท์มำก เพ่ือมิให้ท�ำปฏิกิริยำ วิธีการที่ ๓ : กำรใช้ปนู ควบคู่ไปกบั กำรใช้ กับออกซิเจนปลดปล่อยกรดออกมำ น�้ำชะล้ำงและควบคุมระดับน้�ำใต้ดิน เป็นวิธีกำร ที่สมบูรณ์ที่สุดและใช้ได้ผลมำกในพ้นื ท่ีซ่ึงดินเป็น 49

๓. การปรับสภาพพืน้ ที่ แค่ระดับดินเลน ซ่ึงโดยท่ัวๆ ไปแล้วคำดว่ำคงขุดได้ เนอ่ื งจำกพืน้ ทดี่ นิ เปรีย้ วมสี ภำพรำบลมุ่ ดงั นน้ั ในระดับควำมลึกไม่เกนิ ๑๐๐ ซม. ส�ำหรับขั้นตอน กำรระบำยน�้ำออกจำกพืน้ ท่ีจึงทำ� ให้ลำ� บำก กำรปรับ ในกำรขุดร่องสวน พอสรปุ ได้ดังนี้ สภำพพ้ืนท่ีจึงเป็นแนวทำงหน่ึงที่จะใช้แก้ปัญหำได้ ซง่ึ โดยท่วั ไปมอี ยู่ ๒ วธิ ีคอื ๑. วำงแนวร่องให้เหมำะสมกบั ชนิดของพืช ๓.๑ การปรบั ระดบั ผวิ หนา้ ดนิ ดว้ ยวธิ กี ำร คอื ท่ีจะปลูก ซ่ึงโดยทั่วๆ ไป สันร่องสวนจะกว้ำง ๑. กำรปรบั ระดบั ผิวหนำ้ ดนิ ใหม้ คี วำมลำดเอยี ง ประมำณ ๖ - ๘ เมตร ส่วนท้องร่องกว้ำงประมำณ พอท่จี ะให้น้ำ� ไหลออกไปสู่คลองระบำยนำ้� ได้ ๑ - ๑.๕ เมตร ๒. จัดรูปและตกแต่งแปลงนำหรือกระทงนำ และคันนำเสียใหม่ เพ่ือให้สำมำรถเก็บกกั น้�ำและ ๒. ระหว่ำงร่องที่จะขุดคู ให้ใช้แทรกเตอร์ ระบำยน�ำ้ ออกไปได้หำกต้องกำร ปำดหน้ำดินมำวำงไว้กลำงสันร่อง หน้ำดินของดิน ๓.๒ การยกรอ่ งปลูกพืช จะเปรยี้ วจัด ส่วนใหญ่จะมีอนิ ทรยี วตั ถุสูง และค่อน กำรยกร่องปลูกพืชเป็นวิธกี ำรใช้ส�ำหรับกำร ข้ำงร่วนซุย จึงมีประโยชน์มำกหำกจะน�ำมำกองไว้ ปลกู พืชไร่ พชื ผกั ไม้ผล หรือไม้ยืนต้น ที่ให้ผล ช่วงกลำงสันร่อง มิฉะนั้นหน้ำดินดังกล่ำวจะถูกดิน ตอบแทนทำงเศรษฐกิจสูง แตก่ ำรทจี่ ะยกรอ่ งปลกู พชื ที่ขุดขึ้นมำจำกคูกลบเสียหมด ให้ได้ผลจ�ำเป็นต้องมีแหล่งน�้ำชลประทำน เพ่ือใช้ขัง ในร่องและถ่ำยเทน้�ำได้เม่ือน้ำ� ในร่องเป็นกรดจดั ๓. ขุดดินจำกคูที่วำงแนวไว้มำกลบบริเวณ วิธีกำรขุดท้องร่อง จ�ำเป็นต้องทรำบเสียก่อน ขอบสันร่องซ่ึงหน้ำดินถูกปำดออกไปแล้ว ซ่ึงกำรท�ำ ว่ำพ้นื ท่ีดินดังกล่ำวมีดินช้ันเลนท่ีมีสำรประกอบ เชน่ นจี้ ะทำ� ใหเ้ กดิ สนั รอ่ งสงู อยำ่ งนอ้ ย ๕๐ ซม. เหมำะ ไพไรทม์ ำกอยใู่ นระดบั ใด เมอื่ ทรำบแลว้ ใหข้ ดุ ลกึ เพยี ง ที่จะปลูกไม้ผลหรือไม้ยืนต้นต่ำงๆ “...อนั นี้สิเป็นชยั ชนะทีด่ ีใจมำกท่ีใช้งำนได้แล้วชำวบ้ำนเขำกด็ ขี ้นึ แต่ก่อนชำวบ้ำน ๔. เพือ่ ป้องกนั ไม่ให้น�ำ้ ท่วม ควรมีคันดนิ ล้อม เขำต้องซือ้ ข้ำวเดีย๋ วนี้เขำมขี ้ำวอำจจะขำยได้...” รอบสวน คันดินควรอัดแน่นเพื่อป้องกนั น�้ำซึม และ ควรมรี ะดบั ควำมสงู มำกพอทจี่ ะปอ้ งกนั นำ�้ ทว่ มในชว่ ง ฤดูฝน ๕. จ�ำเป็นต้องมีกำรติดต้ังเครื่องสูบน้�ำเพ่ือ สูบน้�ำเข้ำ-ออกได้ตำมควำมประสงค์ โดยท่ัวๆ ไป แล้ว นำ้� ทจ่ี ะนำ� เอำไปขงั ในร่องสวน หำกปล่อยทง้ิ ไว้ ประมำณ ๓ - ๔ เดือน จะแปรสภำพเป็นกรดจดั จึง ควรมีกำรถ่ำยเทนำ�้ ออก ๓ - ๔ เดือนต่อครั้ง แล้วดดู น�้ำชลประทำนเข้ำมำในร่องสวน เพื่อใช้รดน้�ำต้นไม้ ดงั เดิม กำรยกร่องปลูกพืชยืนต้นหรือไม้ผลจ�ำเป็น อย่ำงยิ่งที่ต้องค�ำนึงถึงกำรเกิดน้�ำท่วมในพื้นที่น้ันๆ หำกมโี อกำสเสีย่ งตอ่ กำรเกดิ นำ้� ทว่ มสงู กไ็ มค่ วรจะทำ� เพรำะไม้ผลเป็นพืชที่ให้ผลระยะยำว หรืออย่ำงน้อย ๕ - ๑๐ ปี ถ้ำเกิดอุทกภัยข้ึนมำจะสร้ำงควำมเสีย 50

หำยให้แก่สวน พืชได้รบั ควำมเสียหำย เงินที่ลงทุน “...อันนีผ้ ลงำนของเรำทท่ี �ำทนี่ เ่ี ป็นงำนสำ� คญั ที่สุด เช่อื ว่ำชำวต่ำงประเทศ เขำมำ ก็จะสญู เปล่ำ ดูเรำทำ� อย่ำงน้แี ล้วเขำพอใจ เขำมปี ัญหำน่แี ล้วก็เขำไม่ได้แก้ หำต�ำรำไม่ได้...” ถ้ำคำดว่ำพ้นื ท่ีดังกล่ำวเส่ยี งต่อกำรเกิด อุทกภยั กำรยกรอ่ งปลกู พืชอำจยกรอ่ งแบบเตยี้ ๆ กไ็ ด้ พืชทป่ี ลกู แทนทจ่ี ะเปน็ ไมผ้ ลหรือไมย้ นื ตน้ กเ็ ปลยี่ นมำ เปน็ พชื ลม้ ลกุ หรอื พืชผกั แทนโดยสำมำรถปลกู เปน็ พชื หมุนเวียนกบั ข้ำวได้ กล่ำวคือ ปล่อยให้น้�ำท่วม ร่องสวนในฤดูฝน แล้วปลกู ข้ำวบนสนั ร่อง กจ็ ะช่วย ทุ่นค่ำใช้จ่ำยเพรำะไม่จ�ำเป็นต้องสบู น�้ำออก พอพ้น ฤดูฝนกป็ ลูกพืชผักหรอื พชื ล้มลกุ ตำมควำมต้องกำร ของตลำด ช่วยให้มรี ำยได้เพ่มิ ขน้ึ วธิ ีการปรับปรงุ ดินเปร้ยี วจัดเพอ่ื การเกษตร ๒. เพ่ือใชป้ ลูกพชื ลม้ ลุก ๑. เพือ่ ใช้ปลูกขา้ ว ๒.๑ การปลูกพืชผกั มีวธิ ีกำร คือ (๑) ยกร่องสวน โดยให้สนั ร่องมีขนำด ในเขตชลประทาน กว้ำงประมำณ ๖ - ๗ เมตร มคี รู ะบำยน�ำ้ กว้ำง ๑.๕ - ดนิ ท่ีมคี ่ำ pH น้อยกว่ำ ๔.๐ ใช้ปูน เมตร และลึกประมำณ ๕๐ ซม. หรือลึกพอถงึ ระดบั ชัน้ ดนิ เลนท่มี ีสำรประกอบไพไรท์มำก อัตรำประมำณ ๑.๕ ตันต่อไร่ (๒) ไถพรวนดนิ และตำกดนิ ทง้ิ ไว้ ๓ - ๕ วนั - ดนิ ท่มี ีค่ำ pH ระหว่ำง ๔.๐ - ๔.๕ (๓) ทำ� แปลงยอ่ ยบนสนั รอ่ ง โดยยกแปลง ให้สูงประมำณ ๒๕ - ๓๐ ซม. กว้ำงประมำณ ๑ - ๒ ใช้ในอัตรำ ๑ ตันต่อไร่ เมตร เพือ่ ระบำยน�้ำบนสันร่อง และเพือ่ ป้องกนั ไม่ให้ ในเขตเกษตรน้�าฝน แปลงย่อยแฉะเมอื่ รดนำ้� หรอื เมอ่ื มฝี นตก - ดินท่ีมีค่ำ pH น้อยกว่ำ ๔.๐ ใช้ปูน (๔) ใส่วัสดุปูนเพ่ือลดควำมเป็นกรด ของดิน คือใช้หินปูนฝุ่นหรือดินมำร์ลอัตรำประมำณ อัตรำประมำณ ๒.๕ ตันต่อไร่ ๒ - ๓ ตัน/ไร่ หรือประมำณ ๒ กก. ต่อพน้ื ที่ ๑ ตำรำง - ดนิ ทม่ี ีค่ำ pH ระหว่ำง ๔.๐ - ๔.๕ เมตร โดยกำรคลกุ เคล้ำปูนให้เข้ำกับดินและทิ้งไว้ ๑๕ วนั ใช้ปนู อัตรำ ๑.๕ ตันต่อไร่ (๕) ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรำ ขน้ั ตอนการปรับปรุงดนิ เปรี้ยว ๕ ตัน/ไร่ หรอื ประมำณ ๓ กก. ต่อพ้ืนที่ ๑ ตำรำง ๑. หลงั จำกหว่ำนปูนแล้ว ให้ท�ำกำรไถแปร เมตร โดยใสก่ อ่ นปลกู ๑ วนั เพอ่ื ปรบั ปรงุ ดนิ ใหร้ ว่ นซยุ ๒. ปล่อยน้ำ� ให้แช่ขงั ในนำประมำณ ๑๐ วนั มีโครงสร้ำงดี ๓. ระบำยนำ้� ออกเพื่อชะล้ำงสำรพิษ ๔. ขงั น้�ำใหม่เพอื่ รอปักดำ� 51

๒.๒ การปลูกพืชไร่บางชนิด กระท�ำได้ สงู กวำ่ กำรปลกู บนพนื้ ทด่ี นิ ดอนประมำณ ๑๐ - ๒๐ ซม. ๒ วิธี คอื เพื่อป้องกันไม่ให้น้�ำแช่ขังถ้ำมีฝนตกลงมำอย่ำง ผิดฤดกู ำล ถ้ำพน้ื ที่ดนิ น้ันได้รับกำรปรบั ปรุง โดยกำร แบบยกรอ่ งสวน และแบบปลกู เปน็ พชื ครัง้ ที่ ๒ ใช้ปนู มำแล้ว คำดว่ำคงไม่จำ� เป็นต้องใช้ปนู อกี หลงั จำกกำรท�ำนำไปแล้ว ๓. เพอื่ ปลกู ไมผ้ ล กำรปลกู พืชไร่แบบยกร่องสวนเป็นกำรปลูก พืชไร่แบบถำวร จึงมีวิธีเตรยี มพื้นท่ีแบบเดียวกับ ๓.๑ สร้ำงคันดินก้ันน�้ำขนำดใหญ่ล้อมรอบ กำรปลูกพืชผกั ดังกล่ำวมำแล้วในเรื่องของกำร แปลงเพ่ือป้องกนั น้�ำท่วมขังในฤดูฝน พร้อมท้ัง ปลกู พชื ผกั ติดต้ังเคร่ืองสบู น�้ำเพ่ือระบำยน�้ำออกตำมต้องกำร ข น ำ ด ข อ ง เ ค ร่ ือ ง สู บ น้� ำ ขึ้ น อ ย ู่ ก ับ ป ริ ม ำ ณ พื้ น ท่ี สำ� หรบั กำรปลกู พชื ไร่หลงั ฤดูท�ำนำ ซ่ึงอยู่ ท่ีจะสบู และปริมำตรน้�ำที่ตกลงมำเป็นประจ�ำในช่วง ในช่วงปลำยฤดูฝน หรือหลังจำกฝนหยดุ ตกไปแล้ว ฤดฝู น กำรเตรยี มพ้นื ที่ก็เหมือนกบั กำรเตรยี มเพ่ือกำรปลูก พืชไร่ทั่วๆ ไป แต่อำจต้องยกแนวร่องปลูกพืชไร่ให้ 52

๓.๒ ทำ� กำรยกรอ่ งปลูกพชื ตำมวธิ ีกำรปรบั ปรงุ ๓.๖ ก�ำหนดระยะปลูกตำมควำมเหมำะสม พน้ื ทท่ี ม่ี ดี นิ เปรย้ี วจดั เพอ่ื ปลกู ไม้ผลดงั ทก่ี ล่ำวมำแลว้ ของแต่ละพชื ๓.๓ น้�ำในคูระบำยน้�ำจะเป็นน�้ำเปร้ียวต้อง ๓.๗ ขดุ หลุมปลูกขนำด กว้ำง ยำว และลึก ทำ� กำรระบำยออกเมอื่ เปรีย้ วจดั และสบู นำ้� จดื มำแทน ๕๐ - ๑๐๐ ซม. แยกดินช้ันบนและดินชั้นล่ำง ใหม่ ช่วงเวลำถ่ำยน้�ำประมำณ ๓ - ๔ เดอื นต่อครัง้ ไว้ต่ำงหำก ตำกทิ้งไว้ ๑ - ๒ เดอื น เพอื่ ฆ่ำเชือ้ โรค เอำส่วนท่ีเป็นหน้ำดินผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หรือ ๓.๔ ควบคุมระดับน้�ำในคูระบำยน�้ำไม่ให้ บำงส่วนของดนิ ชนั้ ล่ำง แล้วกลบลงไปในหลุมให้เต็ม ต�่ำกว่ำช้ันดินเลนท่ีมีสำรประกอบไพไรท์มำก เพื่อ ปยุ๋ หมักใส่อัตรำ ๑ กก./ต้น โดยผสมคลุกเคล้ำ ป้องกันกำรเกิดปฏิกิริยำที่จะท�ำให้ดินมีควำมเป็น ให้เข้ำกับปนู ในอตั รำประมำณ ๑๕ กก./หลุม กรดเพิ่มข้นึ ๓.๘ ดแู ลปรำบวชั พชื โรค แมลง และให้น้ำ� ๓.๕ ใส่ปูน อำจเป็นปูนขำว ปนู มำร์ล หรือ ตำมปกติ สำ� หรบั กำรใชป้ ยุ๋ บำ� รงุ ดนิ ยอ่ มแลว้ แตค่ วำม หินปนู ฝุ่น โดยหว่ำนทัว่ ทั้งร่องท่ีปลกู อตั รำประมำณ ต้องกำรและชนิดของพชื ทจ่ี ะปลูก ๑ - ๒ ตนั /ไร่ 53

ทฤษฎกี ารปอ้ งกันการเส่อื มโทรม และพงั ทลายของดิน โดย หญา้ แฝก พชื จากพระราชดา� ริ ก�าแพงที่มชี วี ติ ในการอนรุ กั ษ์และคนื ธรรมชาติสู่แผ่นดนิ กำรชะล้ำงพังทลำยของดินก่อให้เกิดกำร บำงคร้ังยังเกิดปัญหำดินพังทลำย ก่อให้เกิด สูญเสยี หน้ำดิน ที่ประกอบไปด้วยสำรอำหำรท่ีซึ่ง ผลเสียหำยต่อพ้ืนท่ีทำงกำรเกษตรกรรมสงู ท�ำให้ สะสมในดนิ รวมทั้งควำมอุดมสมบรู ณ์จำกธรรมชำติ ผลผลิตลดลง แม้ว่ำจะเป็นพ้ืนที่ที่ได้รบั ปริมำณ น�ำ้ ฝนมำกเพยี งพอ สภำพควำมเส่ือมโทรมของทรพั ยำกรดินส่วน ใหญ่เกดิ จำกกรณีผิวหน้ำดินถูกกดั เซำะจำกฝนที่ จำกกำรไหลบ่ำของน�้ำฝนเป็นจ�ำนวนมำก ตกลงมำและน้�ำท่ีไหลบ่ำหน้ำดินเป็นจ�ำนวนมำก น้ีเอง เม่ือไม่มีส่งิ ใดมำก้ันชะลอไว้ท�ำให้พื้นดิน เช่นนี้ ทำ� ให้หน้ำดินสญู เสียควำมอุดมสมบูรณ์ไป ไมส่ ำมำรถเกบ็ กกั นำ้� ฝนไดเ้ ตม็ ท่ี และผวิ หนำ้ ดนิ จะถกู กัดเซำะพงั ทลำยอย่ำงรนุ แรง 54

“...กำรปลูกแฝกเปน็ แนวควำมคดิ ใหม่ อยำกจะใหป้ ลกู โดยไมต่ อ้ งหวงั ผลอะไรมำกนกั แตผ่ ลทไ่ี ดจ้ ะดมี ำกและกำรปลกู ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งไปปลูก ในที่ของเกษตรกร ขอให้ปลูกกนั ในสถำนีพัฒนำที่ดินเพ่ือเป็นแบบอย่ำง เพ่อื คัดพนั ธ์ุ หำพันธ์ุท่ีดี ท่ีไม่ขยำยพนั ธุ์โดยออกดอก ต้องดูว่ำ ปลกู แล้วมพี ันธ์ไุ หนที่ทนแล้งในหน้ำแล้งยงั เขียวอยู่กใ็ ช้ได้โดยขอให้ปลูกก่อนฤดูฝน จะท�ำให้เกษตรกรในพื้นทขี่ ้ำงเคียงเห็น...” 55

พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวทรงตระหนักถึง สภำพปัญหำและสำเหตุที่เกิดขึ้น โดยทรงศึกษำถึง ศกั ยภำพของ “หญ้าแฝก” ซึง่ เป็นพชื ท่มี ีคณุ สมบัติ พเิ ศษในกำรช่วยป้องกนั กำรชะล้ำงพังทลำยของ หน้ำดนิ และอนุรักษ์ควำมชุ่มชนื้ ใต้ดินไว้ อีกท้งั เป็น พชื พน้ื บำ้ นของไทย วธิ กี ำรปลกู กใ็ ชเ้ ทคโนโลยแี บบงำ่ ยๆ เกษตรกรสำมำรถด�ำเนินกำรได้เองโดยไม่ต้องให้กำร ดูแลหลงั กำรปลูกมำกนัก อีกทั้งประหยัดค่ำใช้จ่ำย กว่ำวิธีอ่ืนๆ อีกด้วย จึงได้มีพระมหำกรุณำธิคุณ พระรำชทำนพระรำชด�ำริให้ด�ำเนินกำรศึกษำทดลอง เกย่ี วกับหญ้ำแฝก มใี จควำมสรปุ ได้ว่ำ ๑. หญ้ำแฝกเป็นพืชท่ีมีระบบรำกลึก แผ่ กระจำยลงไปในดินตรงๆ เป็นแผงเหมือนก�ำแพง ช่วยกรองตะกอนดินและรักษำหน้ำดินได้ดี จึงควร น�ำมำศึกษำทดลองปลูก ให้ทดลองปลูกหญ้ำแฝก “...กำรปลกู หญ้ำแฝกบนพ้ืนท่ีภูเขำ ให้ปลกู หญ้ำแฝกตำมแนวขวำงของควำมลำดชัน และในร่องน้�ำของภูเขำ เพ่อื ป้องกันกำรพังทลำย ของหน้ำดนิ และช่วยเกบ็ ควำมชน้ื ในดินไว้ด้วย...” 56

“...กำรปลกู หญ้ำแฝกเหนือแหล่งน้�ำ เพ่อื เป็นแนวป้องกันตะกอนและดูดซับสำรเคมีตลอดจนของเสยี ต่ำงๆ ท่ีไหลลงในแหล่งน้�ำ เพรำะหญ้ำแฝกจะดูดซึมสำรพษิ ต่ำงๆ ไว้ในรำกและลำ� ต้นได้นำน จนสำรเคมีน้ันสลำยตวั เป็นปุ๋ยส�ำหรับพชื ต่อไป...” เพ่อื ป้องกนั กำรพังทลำยของดินในพ้ืนที่ศูนย์ศึกษำ “...กำรปลูกหญ้ำแฝก ควรปลกู เป็นแถวเดี่ยว ระยะระหว่ำงต้นห่ำงกัน ๑๐ - ๑๕ กำรพัฒนำและพ้ืนที่อ่นื ๆ ท่ีเหมำะสมอย่ำงกว้ำง ซม. ทำ� ให้ไม่เปลืองพนื้ ท่ี กำรดูแลรกั ษำง่ำย ควรทำ� กำรทดลองปลกู ในร่องนำ�้ และ ขวำง โดยเฉพำะศูนย์ศึกษำกำรพฒั นำห้วยทรำย บนพ้ืนที่ลำดชนั ให้มำก เพื่อช่วยป้องกนั กำรชะล้ำงพังทลำยของดิน...” อันเนอ่ื งมำจำกพระรำชดำ� ริ และศนู ยศ์ กึ ษำกำรพัฒนำ เขำหินซ้อนอันเนอ่ื งมำจำกพระรำชดำ� ริ ๒. กำรดำ� เนนิ กำรศกึ ษำทดลองกำรปลกู หญ้ำ แฝก ใหพ้ ิจำรณำลักษณะของภมู ปิ ระเทศ ซง่ึ แบง่ ตำม ลกั ษณะของพืน้ ท่ี ดังน้ี ก. กำรปลกู หญ้ำแฝกบนพ้ืนที่ภูเขำ ให้ปลูก หญ้ำแฝกตำมแนวขวำงของควำมลำดชันและใน ร่องน�้ำของภูเขำเพ่ือป้องกันกำรพงั ทลำยของหน้ำดิน และช่วยเกบ็ ควำมชน้ื ในดนิ ไว้ด้วย ข. กำรปลกู หญ้ำแฝกบนพ้ืนท่ีรำบให้ ดำ� เนนิ กำรในลักษณะ ดงั น้ี 57

“...กำรคัดเลอื กสำยพนั ธุ์หญ้ำแฝกน้ัน เป็นส่ิงสำ� คัญท่ีควรระมัดระวังอย่ำงมำก ควรเลือกพันธ์ุที่ไม่สำมำรถกระจำยพนั ธ์ุได้โดยเมลด็ เพรำะถ้ำเป็นสำยพันธุ์ทแ่ี พร่กระจำยโดยทำงเมล็ดแล้วจะเป็นอนั ตรำย...” 58

59

“...ในส่วนของกำรปลูกหญ้ำแฝกเพ่ือกำรอนุรักษ์ดินและน�้ำ ให้พิจำรณำปลูกก่อนหน้ำฝนสัก ๓ เดือน ในกรณีที่พ้นื ที่มีน้�ำพอท่ีจะมำ รดต้นหญ้ำแฝกได้ เพรำะว่ำจะทำ� ให้ต้นหญ้ำแฝกแข็งแรง เม่ือถึงหน้ำฝนจะทนต่อควำมแรงของน�ำ้ ในหน้ำฝนได้...” - ปลูกโดยรอบแปลง - ปลูกลงในแปลง แปลงละ ๑ หรือ ๒ แนว - สำ� หรับแปลงพืชไร่ให้ปลูกตำมร่องสลับกับ พืชไร่ ค. กำรปลูกหญ้ำแฝกรอบสระน�้ำเพื่อป้องกัน อ่ำงเก็บน้�ำมิให้ต้ืนเขิน อันเน่ืองมำจำกตะกอนจำก กำรพงั ทลำยของดนิ ตลอดจนชว่ ยรกั ษำดนิ เหนอื อำ่ ง และชว่ ยใหป้ ำ่ ไมใ้ นบรเิ วณพนื้ ทร่ี บั นำ�้ ใหท้ วคี วำมอดุ ม สมบรู ณ์ขน้ึ อย่ำงรวดเรว็ ง. กำรปลูกหญ้ำแฝกเหนือบรเิ วณแหล่งน้�ำ ปลูกแฝกเปน็ แนวปอ้ งกนั ตะกอนดนิ และกรองของเสยี ต่ำงๆ ทีไ่ หลลงในแหล่งน้ำ� ทง้ั นใ้ี หบ้ นั ทกึ ภำพกอ่ นดำ� เนนิ กำรและหลงั กำร ดำ� เนินกำรไว้เป็นหลกั ฐำน 60

๓. ผลของกำรศึกษำทดลอง ควรเกบ็ ข้อมูล “...ขอให้ปลูกหญ้ำแฝกไว้ด้วยเพรำะหญ้ำแฝกมีประโยชน์มำกในกำรช่วยยึดดิน ทงั้ ทำงด้ำนกำรเจรญิ เติบโตของล�ำต้นและรำก ควำม ไม่ให้พงั ทลำย ช่วยรักษำหน้ำดิน โดยเฉพำะที่โครงกำรน้ีมีท่ีลำดชันหลำยแห่ง สำมำรถในกำรอนุรกั ษ์ควำมสมบูรณ์ของดินและกำร นอกจำกนี้หญ้ำแฝกยงั ช่วยกกั เกบ็ อนิ ทรยี วัตถุไว้ในดิน ใบอ่อนของหญ้ำแฝก เก็บควำมชน้ื ในดนิ และเรอื่ งพนั ธ์ุหญำ้ แฝกต่ำงๆ ดว้ ย ยงั เป็นอำหำรสัตว์ได้อีกด้วย...” ลกั ษณะของหญ้าแฝก ปกติหญ้ำแฝกจะมีกำรขยำยพันธุ์ที่ได้ผล รวดเร็ว โดยกำรแตกหน่อจำกล�ำต้นใต้ดิน นอกจำกนี้ หญ้ำแฝกมีชื่อสำมัญเป็นภำษำองั กฤษว่ำ จำกกำรศกึ ษำพบวำ่ หญำ้ แฝกในบำงโอกำสสำมำรถ “Vetiver Grass” มีด้วยกัน ๒ สำยพันธ์ุ คือ หญ้ำ แตกแขนงและรำกออกในส่วนของก้ำนช่อดอกได้ แฝกดอน (Vetiveria nemordlis A. Camus) และหญ้ำ แฝกหอม (Vetiveria zizanioides Nash) เป็นพืชท่มี ีอำยุ ไดห้ ลำยปี ขน้ึ เปน็ กอแนน่ มใี บเปน็ รูปขอบขนำนแคบ ปลำยสอบแหลม ยำว ๓๕ - ๘๐ ซม. มสี ่วนกว้ำง ประมำณ ๕ - ๙ มม. สำมำรถขยำยพนั ธไ์ุ ดท้ งั้ แบบไม่ อำศยั เพศ โดยกำรแตกหนอ่ จำกสว่ นล�ำตน้ ใตด้ นิ หรือ แบบอำศัยเพศ โดยกำรให้ดอกและเมลด็ ได้ เช่นกัน ชอ่ ดอกทพี่ บในประเทศไทย สงู ประมำณ ๒๐ - ๓๐ ซม. แตก่ ำรขยำยพันธโุ์ ดยดอกและเมล็ดเปน็ ไปคอ่ นขำ้ งยำก หญ้ำแฝกจึงไม่ใช่วชั พชื เช่นหญ้ำคำ “...ควรเร่งปลูกหญ้ำแฝกให้มำกๆ เพรำะหญ้ำแฝกมีคุณสมบตั ิพเิ ศษในกำรอนุรักษ์ดินหลำยประกำร โดยเฉพำะดินที่มีโครงสร้ำงแข็ง ดงั เช่นที่ห้วยทรำยน้ี หญ้ำแฝกจะทำ� หน้ำทีเ่ ป็นเข่อื นทม่ี ีชวี ิตทีจ่ ะช่วยท�ำให้ดินมคี วำมชุ่มชื้น และอดุ มสมบูรณ์มำกขึ้น...” 61

เมื่อแขนงดังกล่ำวมีกำรเจริญเติบโตจะเพ่ิมน�้ำหนัก สู่ดนิ ชนั้ ล่ำงไดม้ ำกขน้ึ อนั จะเปน็ กำรเพม่ิ ควำมช่มุ ชนื้ มำกขึ้น ท�ำให้หญ้ำแฝกโน้มลงดินและสำมำรถ ให้แก่ดินเบื้องล่ำงและน�้ำที่ผวิ ดินก็ไหลผ่ำนแนว เจรญิ เตบิ โตเป็นกอหญ้ำแฝกใหม่ได้ ตน้ หญำ้ แฝกไปได้ สว่ นรำกหญำ้ แฝกนนั้ กห็ ยง่ั ลกึ ลงไป ในดนิ อำจลกึ ถึง ๓ เมตร ซง่ึ สำมำรถยึดดิน ป้องกัน การใช้ประโยชน์จากหญ้าแฝกเพือ่ การ กำรชะลำ้ งไดเ้ ปน็ อยำ่ งดี ไมว่ ำ่ จะเปน็ กำรชะลำ้ งแบบ อนรุ ักษด์ ินและน้า� เป็นหน้ำกระดำน หรือเป็นร่องลึก และแบบอุโมงค์ เล็กใต้ดิน เม่ือแถวหญ้ำแฝกท�ำหน้ำท่ีดักตะกอนดิน ๑. การปลูกหญ้าแฝกเป็นแถวตามระดับ เป็นระยะเวลำนำนข้ึน ก็จะเกิดกำรสะสมทับถมกัน ขวางความลาดชนั ของตะกอนดินบริเวณหน้ำแถวหญ้ำแฝกเพ่ิมขึ้น ทุกๆ ปี กลำยเป็นคนั ดินธรรมชำติไปในท่สี ดุ กำรปลกู แบบนี้จะเห็นผลดีย่ิง เมื่อหญ้ำแฝก มีควำมเจริญและแตกกอขึ้นเต็มตลอดแนวจนไม่มี ๒. การปลูกหญ้าแฝกเพือ่ แก้ปัญหาการ ช่องว่ำง ซ่ึงถือว่ำมีประโยชน์สงู สุด เพรำะเม่ือมี พงั ทลายของดนิ ท่เี ปน็ รอ่ งนา�้ ลกึ น้�ำไหลบ่ำหรือมีกำรพดั พำดินไปกระทบแถวของ หญ้ำแฝก แฝกจะท�ำหน้ำท่ีชะลอควำมเรว็ ของน�้ำลง เทคนคิ กำรปลกู หญำ้ แฝกเพอื่ แกป้ ญั หำบรเิ วณ และดักเกบ็ ตะกอนดินไว้ ส่วนน�้ำจะไหลบ่ำซึมลงไป ร่องลึกโดยกำรปลูกหญ้ำแฝกในแนวขวำง ๑ แถว 62

“...นอกจำกนย้ี ังพบว่ำกำรปลกู หญ้ำแฝกยังส่งผลให้กำรเพำะปลูกพืชอนื่ ๆ ระหว่ำงแนวร้ัวหญ้ำแฝกนั้นให้ผลผลิตได้อย่ำงเต็มท่มี ำกข้นึ ...” “...หญ้ำแฝกมีคุณลักษณะท่ีเหมำะสมในกำรจัดระบบอนุรกั ษ์ดิน โดยกำรปลกู เป็นแนวร้วั ก้นั ตำมระดับช้ัน และได้มีกำรศึกษำทดลองใช้ อย่ำงได้ผลดี ในประเทศแถบเอเชยี หลำยประเทศแล้ว...” 63

“...ส�ำหรับโครงกำรฟื้นฟูที่ดินเขำชะงุ้ม ให้ด�ำเนินกำรปลูกในส่วนบนที่ติดกบั เขำเขียว โดยให้ปลกู ติดกนั เป็นแถวเดียว โดยให้น�ำหน้ำดิน มำใส่เพิ่มเติมในระยะต้น เมื่อแฝกขนึ้ ดแี ล้วจะช่วยเพิ่มปริมำณหน้ำดนิ ได้...” เหนือบรเิ วณร่องลกึ และใช้ถุงทรำยหรอื ดินเรยี งเป็น ๓. การปลูกในพืน้ ทท่ี ่ีมคี วามลาดชนั แนวเพือ่ ชว่ ยชะลอควำมเร็วของนำ้� ทไี่ หลบำ่ ในระยะท่ี โดยเฉพำะทำงแถบภำคเหนือและภำคใต้ แฝกเรมิ่ ตงั้ ตวั มำตรกำรท่ีเหมำะสม คือกำรปลูกหญ้ำแฝกให้เป็น แนวร้ัวบริเวณคันคูขอบเขำ หรือรมิ ขั้นบันไดดิน ดำ้ นนอก โดยควรปลูกหญำ้ แฝกเปน็ แถวตำมแนวขวำง ควำมลำดเทในต้นฤดูฝน โดยกำรไถพรวนดินน�ำร่อง แล้วปลกู หญ้ำแฝกลงในร่องไถ ระยะปลกู ระหว่ำงต้น ต่อหลุม ๓ - ๕ เหง้ำต่อหลมุ ระยะห่ำงระหว่ำงแถว แฝกจะไม่เกิน ๒ เมตรตำมแนวตั้ง หญ้ำแฝกจะเจรญิ เติบโตแตกกอชดิ กนั ภำยใน ๔ - ๖ เดือน ในพ้ืนที่แห้งแล้งควรตัดหญ้ำแฝกให้สูง ประมำณ ๓๐ - ๕๐ ซม. เพ่ือเร่งให้มีกำรแตกกอ ควรตัด ๑ - ๒ เดือนต่อครง้ั ทัง้ นี้ กำรตัดหญ้ำแฝก ต้องกระท�ำในทกุ พนื้ ท่ีและใช้ใบคลุมดินด้วย 64

“...ถ้ำจะปลูกไม้ผลควรปลูกหญ้ำแฝกเป็นรปู คร่ึงวงกลมล้อมต้นไม้ผลคล้ำยฮวงซุ้ย...” ๔. การปลกู หญา้ แฝกเพอ่ื การอนรุ กั ษค์ วาม เจริญเติบโตประมำณ ๑ ปี ก็สำมำรถตัดใบใช้ ชุ่มชน้ื ในดนิ ป ร ะ โ ย ช น ์ ใ น ก ำ ร เ ป ็ น วั ส ดุ ค ลุ ม ดิ น บ ร ิเ ว ณ โ ค น ยำงพำรำเพื่อรักษำควำมชุ่มช้ืน โดยที่เศษใบแฝก เป็นกำรปลูกไม้ผลร่วมกบั แถวหญ้ำแฝกใน จะไม่เป็นพำหะของโรคและแมลง ระยะแรกเร่ิม หรือปลูกแฝกสลับกับต้นไม้ที่ต้องกำร ใชป้ ระโยชน์ เชน่ ในมำเลเซยี มกี ำรปลูกหญำ้ แฝกเปน็ กำรปลกู หญำ้ แฝกเพอื่ รกั ษำควำมชมุ่ ชน้ื ในดนิ แถวในระหว่ำงแถวปลูกยำงพำรำ เม่ือต้นหญ้ำแฝก กระทำ� ได้ ๓ วธิ ีกำร คือ 65

- ปลกู หญ้ำแฝกขนำนไปกบั แถวของไม้ผล “...คุณสมบัติอกี อย่ำงหน่ึงของหญ้ำแฝกก็คือ แฝกจะเป็นตัว ประมำณ ๑ เมตร และน�ำใบของหญ้ำแฝก กักเกบ็ ไนโตรเจนและกำ� จัดส่ิงเป็นพษิ หรือสำรเคมีอ่ืนๆ ไม่ให้ มำคลมุ โคนต้น เพ่ือช่วยรักษำควำมชุ่มช้ืนและเพิ่ม ไหลลงไปยงั แม่น�้ำลำ� คลอง โดยกกั ให้ไหลลงไปในดินแทน...” ควำมอดุ มสมบูรณ์ของดิน - ปลกู แบบครึง่ วงกลมรอบไมผ้ ล ซงึ่ ทรงเรยี กวำ่ “ฮวงซยุ้ ” โดยปลูกเปน็ ครึง่ วงกลมรอบไมผ้ ลแตล่ ะตน้ รศั มีจำกโคนต้นไม้ผล ๑.๕๐ - ๒.๐๐ เมตร - ปลกู แบบครึง่ วงกลมหนั หนำ้ เขำ้ หำแนวลำดชนั แนวหญ้ำแฝกจะดักตะกอนดินที่จะไหลบ่ำลงมำ เกบ็ กักไว้ทโ่ี คนต้นไม้ ๕. การปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการ เสยี หายของข้ันบันไดดินหรอื คันครู บั น�า้ รอบเขา ในพ้ืนท่ีลำดชันมักนิยมปลูกบนข้ันบันไดดิน หรือมกี ำรกอ่ สรำ้ งคนั คดู นิ รอบเขำ ซง่ึ เปน็ กำรลงทนุ สงู กำรป้องกันกำรเสยี หำยก็โดยกำรปลูกหญ้ำแฝก เป็นแนวในบริเวณขอบข้นั บันไดดิน หรอื คนั คูดิน “...กำรปลกู หญ้ำแฝกเป็นแนวรอบๆ อ่ำง จะช่วยรักษำหน้ำดินเหนืออ่ำง ท�ำให้ดินอดุ มสมบูรณ์ขึ้น อันจะเป็นกำรช่วยให้ป่ำไม้ในบริเวณ พนื้ ทร่ี บั น�้ำสมบรู ณ์ขนึ้ อย่ำงรวดเรว็ ...” 66

“...กำรปลูกหญ้ำแฝกควรปลูกท้ังในพ้ืนที่เพ่อื กำรเกษตร ขอบสระหรอื แหล่งน�้ำในบรเิ วณพื้นที่ป่ำไม้ตลอดจนสำมำรถปลกู ในบรเิ วณที่เป็น ร่องน้ำ� เพ่อื กรองตะกอนดนิ ไม่ให้ไหลลงไปสู่แหล่งเก็บน้�ำและรำกหญ้ำซง่ึ หนำแน่น จะมีส่วนในกำรเก็บควำมชุ่มชื้นในดินได้...” ๖. การปลกู เพ่อื ควบคมุ รอ่ งน�า้ เพ่ือกกั น�้ำและช่วยกระจำยน้ำ� ไปใช้ในพืน้ ท่ีเพำะปลกู โดยกำรนำ� หญำ้ แฝกไปปลูกในรอ่ งนำ้� ดว้ ยกำร ผลของกำรปลกู หญำ้ แฝกแบบนจ้ี ะชว่ ยดกั ตะกอนและ ขุดหลมุ ปลูกขวำงร่องน้�ำเป็นแนวตรงหรือแนวหัว สำมำรถชะลอควำมเร็วของน�ำ้ ให้ลดลงด้วย ลูกศรย้อนทำงกับทิศทำงไหล ในลกั ษณะตัว V คว่�ำ ซงึ่ ทรงเรยี กวำ่ “บงั้ จำ่ ” เพอ่ื ควบคมุ กำรเกดิ รอ่ งนำ้� แบบลกึ ๗. การปลกู หญา้ แฝกในการปอ้ งกนั ตะกอน หรือกำรปลกู ในร่องน้�ำล้น โดยปลูกตำมแนวระดับ ดนิ ทบั ถมลงสคู่ ลองสง่ น้า� ระบายน้า� และอา่ งเกบ็ น้า� ในไรน่ า ตลอดจนปลกู รอบสระเพ่อื กรองตะกอนดนิ “...ให้ด�ำเนินกำรปลกู หญ้ำแฝก ซ่ึงจะช่วยทั้งกำรอนุรักษ์ดินและน้�ำโดยรำกของหญ้ำแฝกจะอุ้มน้�ำไว้ ซึ่งจะช่วยให้เกดิ ควำมชุ่มชื้นในดิน อนั จะสำมำรถปลกู พืชอื่น เช่น ข้ำวโพด หรือต้นไม้ยนื ต้นอื่นๆ ในบรเิ วณทีป่ ลกู หญ้ำแฝกได้...” 67

โดยกำรปลูกหญ้ำแฝกเป็นแถวบริเวณสอง ๘. การปลกู เพอ่ื ฟืน้ ฟทู ี่ดินเสือ่ มโทรม ข้ำงทำงคลองส่งน้�ำ จะช่วยกันตะกอนดนิ ทไี่ หลลงมำ ด�ำเนินกำรในโครงกำรฟื้นฟูท่ีดินเสื่อมโทรม ซ่ึงในส่วนของกำรปลูกรอบขอบสระเพ่ือกรอง เขำชะงุ้ม จงั หวัดรำชบุรแี ละตำ� บลหนองพลับ อ�ำเภอ ตะกอนดินนนั้ ใช้วธิ ีกำรปลูกตำมแนวระดับน้ำ� สูงสุด หวั หนิ จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ โดยกำรปลกู หญำ้ แฝก ทว่ มถงึ ๑ แนว และควรปลกู เพิม่ ขน้ึ อกี ๑ - ๒ แนวเหนอื เป็นแถวขวำงควำมลำดเทในดินลูกรังที่เส่ือมโทรม แนวแรก ซง่ึ ขน้ึ อยู่กับควำมลึกของขอบสระ ในระยะ จำกกำรถกู ชะลำ้ งของผวิ หนำ้ ดนิ จนกระทงั่ เกดิ ควำม แรกควรดูแลปลูกแซมให้แถวหญ้ำแฝกเจริญเติบโต แหง้ แลง้ และมผี ิวหนำ้ ดนิ แขง็ ขำดพชื พรรณธรรมชำติ หนำแนน่ เมอื่ นำ้� ไหลบำ่ ลงมำตะกอนดนิ จะตดิ คำ้ งอยู่ ปกคลุม กำรปลูกหญ้ำแฝกแบบน้ีจะช่วยชะลอ บนแถวหญำ้ แฝก สว่ นนำ้� จะคอ่ ยๆ ไหลซมึ ลงสระและ ควำมเร็วของน้�ำไหลบ่ำ ท�ำให้น้�ำซึมลงดินได้ลึก รำกหญำ้ แฝกจะชว่ ยยดึ ดนิ รอบๆ สระ มใิ หพ้ งั ทลำยได้ เกดิ ควำมชุ่มชนื้ ต้นไม้สำมำรถเจรญิ เตบิ โตได้ เป็นกำรลดค่ำใช้จ่ำยในกำรขุดลอกสระด้วย ๙. การปลูกในพ้นื ทดี่ ินดาน ด�ำเนินกำรศึกษำที่ศูนย์ศึกษำกำรพัฒนำ หว้ ยทรำยฯ ทรำยแขง็ ดนิ เหนยี วหนิ ปนู และแรธ่ ำตตุ ำ่ งๆ รวมตัวกันเป็นแผ่นแข็งคล้ำยหิน ยำกท่ีพืชช้ันสูง จะเจรญิ เตบิ โตได้ เมอ่ื ทำ� กำรปลกู หญำ้ แฝกในดนิ ดำน พบว่ำรำกหญ้ำแฝกสำมำรถหยั่งลึกลงไปในเนื้อ ดินดำน ท�ำให้ดินแตกร่วนขึ้น สำ� หรับหน้ำดินจะมี ควำมช้ืนเพิ่มข้ึน ในแนวของหญ้ำแฝกสำมำรถปลูก พนั ธุ์ไม้ได้หลำยชนดิ เช่น กระถินเทพำ สะเดำ ประดู่ ฯลฯ เมื่อมีกำรปลูกหญ้ำแฝกร่วมกับไม้ผล รำกของ หญำ้ แฝกสำมำรถหยง่ั ลงในดนิ ดำน เปน็ กำรสลำยดนิ ล่วงหน้ำก่อนทร่ี ำกไม้ผลจะหย่งั ลกึ ลงไปถึง ๑๐. การปลกู เพอ่ื ปอ้ งกนั การพงั ทลายของ ดินบริเวณไหลถ่ นน ด�ำเนินกำรในพ้ืนที่ดินตัดและดินถมข้ำงทำง เป็นกำรปลูกเพื่อป้องกนั กำรพังทลำยของดินในส่วน ของไหล่ทำงที่เปิดและไหล่ทำงด้ำนข้ำง โดยปลูก หญ้ำแฝกเพื่อยึดดินและเบ่ียงเบนทำงน�้ำไหลบริเวณ ไหล่ทำง และปลูกขวำงแนวลำดเทเพื่อป้องกัน กำรพงั ทลำยและเลื่อนไหลของดิน 68

๑๑. การปลกู เพอ่ื ปอ้ งกนั การปนเปอ้ื นของ เบื้องล่ำง นอกจำกนี้ตัวของรำกหญ้ำแฝกเอง น่ำจะ สารพษิ ในแหลง่ นา�้ มีประสทิ ธิภำพในกำรที่จะดูดซับธำตุโลหะหนักและ สำรเคมบี ำงอย่ำงไดด้ กี วำ่ พชื ชนดิ อน่ื ๆ ทงั้ นเ้ี นอ่ื งจำก ในปัจจุบันได้มีกำรใช้ปุ๋ยเคมีเพ่ือกำรเจริญ ควำมสำมำรถของรำกหญ้ำแฝกในกำรที่หย่ังลึกและ เตบิ โตและเพอื่ กำรเพิม่ ผลผลิตของพชื กันมำกขน้ึ โดย แผ่กว้ำงได้มำกกว่ำรำกหญ้ำชนดิ อน่ื ๆ เฉพำะกำรใช้ปุ๋ยไนโตรเจนที่ดินในประเทศเขตร้อน มกั ขำดอย่เู สมอๆ นอกจำกนเี้ กษตรกรและผปู้ ระกอบ ประโยชน์อเนกประสงค์อื่นๆ จากหญา้ แฝก กำรเกษตรได้มีกำรน�ำสำรเคมีมำใช้ในกำรปลูกพืช มำกขน้ึ สำรไนเตรททเ่ี กดิ จำกกำรใสป่ ยุ๋ ก็ดี โลหะหนกั - ปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์สิง่ แวดล้อม และสำรเคมีที่เป็นพษิ อันเนื่องมำจำกกำรฉดี พ่น และนิเวศวิทยา สำรป้องกนั กำ� จัดวัชพชื และศัตรูพืชก็ดี สำรเหล่ำนี้ หำกถกู ชะล้ำงลงในแหล่งน�้ำ จะท�ำให้เกิดมลพิษต่อ โดยกำรปลกู หญ้ำแฝกเป็นแถวขนำนไปตำม สภำพแวดล้อม กำรศึกษำทดลองท่ีศูนย์ศึกษำ คลองส่งน�้ำ หรือแม่น�้ำล�ำคลอง ซ่ึงแถวหญ้ำแฝก กำรพัฒนำหว้ ยทรำยฯ พสิ ูจนไ์ ดว้ ำ่ กอหญำ้ แฝกทปี่ ลกู จะช่วยในกำรดักตะกอนดิน และกรองขยะมูลฝอย เป็นแนวขวำงควำมลำดเทของพ้นื ท่สี ำมำรถจะยบั ยั้ง ไมใ่ หล้ งไปสแู่ มน่ ำ�้ ลำ� คลอง ซงึ่ จะเปน็ สำเหตใุ หเ้ กิดกำร และลดกำรสูญเสยี หน้ำดินบนพ้นื ท่ีลำดชันได้ระดับ ตน้ื เขนิ และนำ�้ เนำ่ เสีย กำรปลูกหญำ้ แฝกจะชว่ ยใหน้ ำ้� หนึง่ ขณะเดียวกันรำกหญ้ำแฝกท่มี กี ำรแพร่กระจำย ในแหล่งนำ�้ มคี วำมสะอำดย่งิ ขึน้ อย่ำงหนำแน่นและหย่ังลึก จะเป็นก�ำแพงกกั ก้ันดิน และสำรพษิ ท่ปี ะปนมำกับน�้ำ ไม่ให้ไหลลงสู่แหล่งน�้ำ - ใบและต้นหญ้าแฝกเป็นอาหารสัตว์ และท�าปุ๋ยหมกั ใบของหญ้ำแฝกเป็นอำหำรสัตว์ได้ พบว่ำ 69

70

71

จำกแหลง่ พนั ธกุ์ �ำแพงเพชร ๒ มคี ณุ คำ่ ทำงอำหำรสตั ว์ - ป ลู ก ห ญ ้ า แ ฝ ก เ พื ่อ ใชป้ ร ะ โ ย ช น ์ ดีกว่ำพันธุ์อ่ืนๆ ทั้งปริมำณโปรตีนหยำบ วัตถุแห้ง มุงหลงั คาและอน่ื ๆ ในบา้ น ท่ยี ่อยได้ค่ำ NDS และแร่ธำตุต่ำงๆ ส่วนหญ้ำแฝกทม่ี ี อำยุกำรตดั ๔ สปั ดำห์ มีควำมเหมำะสมที่สดุ ทั้งด้ำน โดยกำรใช้ใบท่ีแห้งแล้วมำสำนเรียงกัน กำรให้ผลผลิตและคุณค่ำทำงอำหำรสตั ว์ นอกจำกน้ี เปน็ ตบั เพอ่ื ทำ� เปน็ หลงั คำบำ้ นเรอื น ทพี่ กั ผอ่ นหยอ่ นใจ ยังพบว่ำใบอ่อนของหญ้ำแฝกสำมำรถน�ำมำบด หลงั คำร้ำนค้ำ เป็นต้น ตบั หลังคำทีท่ �ำจำกหญ้ำแฝก เลี้ยงปลำและเป็นอำหำรสตั ว์ได้ แต่ใบแก่ใช้ไม่ได้ผล สำมำรถผลติ จ�ำหน่ำยได้ ส่วนรำกท่ีมีควำมหอมนั้น เน่ืองจำกมีคุณค่ำทำงอำหำรสัตว์น้อยกว่ำหญ้ำชนิด คนไทยรุ่นเก่ำเคยน�ำมำแขวนในตู้เสื้อผ้ำ ท�ำให้มี อ่นื ๆ มีควำมสำกคำย นอกจำกนั้นต้นและใบของ กล่นิ หอม และช่วยไล่แมลงทีจ่ ะท�ำลำยเสือ้ ผ้ำได้ หญ้ำแฝกน�ำมำท�ำปุ๋ยหมัก ภำยใน ๖๐ - ๑๒๐ วัน สภำพของต้นและใบแฝกจะมีกำรย่อยสลำยเป็น - หญา้ แฝกใชท้ า� สมนุ ไพรและน้า� หอมได้ ปุ๋ยหมักอย่ำงสมบูรณ์ มีปรมิ ำณธำตุอำหำรที่ส�ำคัญ มีสรรพคุณช่วยขับลมในล�ำไส้ แก้อำกำร ให้สำรปรบั ปรุงบำ� รงุ ดินอกี ด้วย ท้องอดื เฟ้อ และแก้ไข้ได้ ส่วนรำกสำมำรถน�ำมำสกดั ท�ำน้�ำมันท่ีมีประโยชน์และคุณค่ำทำงกำรค้ำได้ เช่น ฝร่ังเศสผลติ น�้ำหอมจำกรำกหญ้ำแฝก ชื่อ “Vetiver” 72

“จึงนับได้ว่ำคุณค่ำของหญ้ำแฝกนัน้ มีมำกมำยหลำยประกำร” จำกกำรด�ำเนินงำนที่ทุกหน่วยงำนได้ร่วมมือ กนั ให้เป็นไปตำมพระรำชด�ำริ ท�ำให้กำรศึกษำและ กำรปฏิบตั ิได้ผลอย่ำงชัดเจน จนเป็นที่ยอมรบั จำก ธนำคำรโลกว่ำ “ประเทศไทยท�ำไดผ้ ลอยำ่ งเต็มที่ และมีประสิทธิภำพยอดเย่ยี ม” เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภำพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ International Erosion Control Association (IECA) ได้มมี ติถวำยรำงวลั The International Erosion Control Association’s International Merit Award แด่พระบำท สมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว ในฐำนะที่ทรงเป็นแบบอย่ำง 73

“...กำรปลูกหญ้ำแฝกบนพ้นื ท่ีภูเขำ ให้ปลูกตำมแนวขวำงของควำมลำดชันและในร่องน�้ำของภูเขำ เพ่อื ป้องกันกำรพงั ทลำยของหน้ำดิน และช่วยเกบ็ ควำมชน้ื ในดินไว้ด้วย...” 74

“...ใหเ้ ร่งดำ� เนนิ กำรปลกู หญำ้ แฝกใหค้ รอบคลมุ ทวั่ ประเทศ ภำยใน ๒ ปี ถึงแมก้ ำร ด�ำเนนิ งำนอำจจะสิน้ เปลอื งงบประมำณบ้ำงกค็ วรได้ดำ� เนนิ กำร...” ในกำรน�ำหญ้ำแฝกมำใช้ในกำรอนุรักษ์ดินและ น�้ำ และเม่ือวันท่ี ๓๐ ตุลำคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ผู้เช่ียวชำญเร่อื งหญ้ำแฝกเพ่ือกำรอนุรักษ์ดินและ น�้ำแห่งธนำคำรโลกได้น�ำคณะเข้ำเฝ้ำทูลละออง ธุลีพระบำททูลเกล้ำทูลกระหม่อมถวำยแผ่นเกียรติ บัตรเป็นภำพรำกหญ้ำแฝกชุบส�ำริด ซ่ึงเป็นรำงวัล สดดุ ีพระเกยี รติคณุ (Award of Recognition) ในฐำนะ ทที่ รงมงุ่ มน่ั ในกำรพฒั นำและสง่ เสรมิ กำรใชห้ ญำ้ แฝก ในกำรอนรุ ักษด์ นิ และนำ�้ และผลกำรดำ� เนนิ งำนหญำ้ แฝกในประเทศไทยไดร้ ับกำรตพี มิ พเ์ ผยแพรไ่ ปทวั่ โลก ควำมอุดมสมบูรณ์ของพื้นแผ่นดินที่เพิ่มข้ึนน้ี นบั ไดว้ ำ่ เปน็ เพรำะพระวริ ยิ อตุ สำหะ และพระปรชี ำญำณ อนั ยำวไกลขององคพ์ ระบำทสมเดจ็ พระเจำ้ อยหู่ วั ทท่ี รง ศกึ ษำวเิ ครำะห์ ตลอดจนคำดกำรณ์ด้ำนกำรอนุรักษ์ สงิ่ แวดล้อม และทรพั ยำกรธรรมชำตขิ องประเทศไทย ท้ังนี้เพื่อควำมมั่งค่ังสมบูรณ์พูนสุขของประชำชน ทง้ั หลำยทว่ั หน้ำกัน 75

ทฤษฎวี ่าดว้ ย การพัฒนาทรัพยากรแหล่งน�า้ ในบรรยากาศ “ฝนหลวง” แนวพระราชดา� ริ น่ำจะมีสำเหตุเกิดขึ้นจำกกำรผันแปรและคลำด เคล่ือนของฤดูกำลตำมธรรมชำติ อีกทั้งกำรตัดไม้ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ในโอกำสท่พี ระบำทสมเดจ็ ท�ำลำยป่ำอำจจะเป็นอีกสำเหตุหน่ึงท่ีท�ำให้สภำพ พระเจำ้ อยหู่ วั เสดจ็ พระรำชดำ� เนนิ โดยพระรำชพำหนะ แวดล้อมมีกำรเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพำะอย่ำงย่ิง เครอื่ งบนิ พระทนี่ งั่ เพอ่ื ทรงเยยี่ มเยยี นทกุ ขส์ ุขของพสก ท�ำให้สภำพอำกำศจำกพ้ืนดินถึงระดับฐำนเมฆ นิกรในภำคตะวันออกเฉียงเหนือย่ำนบริเวณเทือก ไม่เอ้ืออ�ำนวยต่อกำรกล่ันตัวของไอน�้ำท่ีจะก่อตัว เขำภูพำน ทรงพบเห็นว่ำภำวะแห้งแล้งได้ทวีควำมถี่ เกดิ เปน็ เมฆ และทำ� ใหย้ ำกตอ่ กำรเหนยี่ วนำ� ใหฝ้ นตก และมีแนวโน้มว่ำจะรุนแรงยิ่งขึ้นเป็นล�ำดับน้ัน ลงสู่พื้นดนิ จงึ มีฝนตกน้อยกว่ำปกตหิ รือไม่ตกเลย 76

“...ทรงพบว่ำปัญหำภยั แล้ง ฝนท้ิงช่วงทำ� ให้รำษฎรเดอื ดร้อน และเป็นสิ่งทีพ่ ระองค์ต้องหำทำงแก้ไข...” ทรงสงั เกตว่ำมีเมฆปริมำณมำกปกคลมุ เหนือ ขำดแคลนน�้ำเพ่ือกำรอุปโภค บริโภค และท�ำกำร พ้นื ที่ระหว่ำงเส้นทำงบนิ แต่ไม่สำมำรถก่อรวมตัว เกษตร โดยเฉพำะอย่ำงยิง่ ในฤดูเพำะปลกู เกษตรกร จนเกดิ เปน็ ฝนตกได้ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ สภำวะฝนทง้ิ ชว่ งเปน็ มกั จะประสบควำมเดอื ดร้อนทกุ ข์ยำกมำก เน่อื งจำก ระยะเวลำยำวนำน ท้ังๆ ที่เป็นช่วงฤดมู รสุมตะวันตก บำงคร้งั เกิดภำวะฝนท้ิงช่วงในระยะวิกฤติของพืชผล เฉียงใต้ ซ่ึงเป็นฤดูฝน กล่ำวคือ หำกขำดน้�ำในระยะดังกล่ำวนี้จะท�ำให้ ผลผลิตต่�ำหรืออำจไม่มีผลผลิตให้เลย รวมทั้งอำจ เกิดสภำพควำมแหง้ แลง้ ทว่ั พ้ืนที่ ทั้งๆ ท่ี ท�ำให้ผลผลติ ท่ีมีอยู่เสียหำยได้ กำรเช่นนี้เม่ือเกิด ทอ้ งฟำ้ มเี มฆมำก ภำวะฝนแล้งหรอื ฝนท้ิงช่วงในครำใดของแต่ละปี จึง สร้ำงควำมเดือดร้อนอย่ำงสำหัสและก่อให้เกิดควำม คือ “จุดประกายข้อสังเกต” ของพระบำท สญู เสยี ทำงเศรษฐกิจแก่เกษตรกรอย่ำงใหญ่หลวง สมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว ในขณะท่ีพระองค์ท่ำนได้เสด็จ นอกจำกน้ีภำวะควำมต้องกำรใช้น�้ำของประเทศนับ พระรำชดำ� เนนิ ไปทรงเยยี่ มประชำชน และทอดพระเนตร วันจะทวีปริมำณควำมต้องกำรสูงขึ้นอย่ำงมหำศำล เห็นแต่ควำมแห้งแล้งเกดิ ขึ้นท่ัวไป ทั้งๆ ที่ท้องฟ้ำ เพรำะกำรขยำยตวั เจรญิ เตบิ โตทำงดำ้ นอตุ สำหกรรม มีเมฆปกคลุมอยู่ นอกจำกนี้ได้ทรงพบเห็น ทอ้ งถน่ิ หลำยแหง่ ประสบปญั หำพน้ื ดนิ แหง้ แลง้ หรอื กำร 77

“...มีพระรำชด�ำรใิ นกำรค้นหำลู่ทำงที่จะคิดค้นหำเทคนิค หรือวิธกี ำรทำงวิทยำศำสตร์ด้ำนกำรดัดแปรสภำพอำกำศ มำช่วยให้เกดิ กำรก่อ และรวมตวั ของเมฆให้เกิดฝนได้...” เกษตรกรรม และกำรเพ่มิ ข้ึนของประชำกร ซึง่ ส่งผล เมฆมำก อสี ำนก็แล้ง กเ็ ลยมคี วำมคิด ๒ อยำ่ ง ให้ปริมำณน�้ำต้นทุนจำกทรพั ยำกรน�้ำที่มีอยู่ ต้องท�ำ check dam…ตอนนัน้ เกิดควำมคิดจำก ไม่เพียงพอ ตัวอย่ำงนี้เห็นได้ชัดคือ...ปริมำณน้�ำใน นครพนม ผำ่ นสกลนคร ข้ำมไปกำฬสินธุ์ ลงไป เข่ือนภมู พิ ลลดลงอย่ำงน่ำตกใจ สหัสขันธ์ ทีเ่ ดี๋ยวนีเ้ ป็นอ�ำเภอ สมเด็จ...ไปจอด ท่ีนั่นไปเยยี่ มรำษฎรมนั แลง้ มฝี นุ่ ...” พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวมีพระมหำ กรุณำธิคุณพระรำชทำนสมั ภำษณ์เกี่ยวกับ “...แต่มำเงยดูท้องฟ้ำ มีเมฆ ท�ำไมมีเมฆ ฝนหลวงแก่ข้ำรำชกำรสำ� นักงำน กปร. ประกอบด้วย อย่ำงนีท้ �ำไมจะดึงเมฆนีใ่ ห้ลงมำได้ ก็เคยได้ยนิ นำยสเุ มธ ตันติเวชกลุ นำยมนญู มุกข์ประดิษฐ์ และ เรื่องทำ� ฝนก็มำปรำรภกับคณุ เทพฤทธ์ิ ฝนท�ำได้ นำยพมิ ลศักด์ิ สวุ รรณทัต เมื่อวันท่ี ๑๗ มีนำคม มี มหี นงั สือ เคยอำ่ นหนงั สอื ท�ำได้...” ๒๕๒๙ ณ พระตำ� หนักจติ รลดำรโหฐำน นับเป็นต้นก�ำเนิดแห่งพระรำชด�ำริ “ฝน “...เรอ่ื งฝนเทียมนเ้ี ริม่ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๘ หลวง” ที่พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวทรงค้นพบ แต่ยังไม่ได้ท�ำอะไรมำกมำย เพรำะว่ำไปภำค ด้วยพระองค์เอง...อย่ำงแท้จริง อีสำนตอนน้ันหนำ้ แล้งเดือนพฤศจิกำยน ทไี่ ปมี ด้วยสำยพระเนตรที่ยำวไกล และทรงควำม 78

อจั ฉริยะของพระองคท์ ำ่ นทปี่ ระกอบดว้ ยคณุ ลกั ษณะ “...ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เร่มิ ด�ำเนินกำรทดลองปฏิบัติกำรฝนหลวงเป็นคร้ังแรก และ ของนักวิทยำศำสตร์ จึงทรงสงั เกต วิเครำะห์ข้อมูล พัฒนำกรรมวิธีโดยอำศัยผลกำรทดลอง และกำรสังเกตกำรณ์โดยมุ่งหวังผล ในข้ันต้นแล้ว จึงได้มีพระรำชด�ำรคิ ร้ังแรก ในปี ให้เกดิ ฝนตกเป็นสำ� คญั ...” พ.ศ. ๒๔๙๘ แก่ ม.ร.ว.เทพฤทธ์ิ เทวกุล ว่ำจะทรง ค้นหำวิธีกำรที่จะท�ำให้เกดิ “ฝนตกนอกเหนือจำก มำตรกำรหน่ึงที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหำดังกล่ำว ทีจ่ ะได้รับจำกธรรมชำติ” โดยกำรน�ำเทคโนโลยี ได้ จึงพระรำชทำนพระรำชด�ำริในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ สมัยใหม่มำประยกุ ต์กบั ทรพั ยำกรที่มีอยู่ให้เกิดมี แก่ ม.ล.เดช สนิทวงศ์ ว่ำ “น่ำจะมีลู่ทำงทีจ่ ะคิด ศักยภำพของกำรเป็นฝนให้ได้ ค้นหำเทคนิคหรือวิธีกำรทำงวิทยำศำสตร์ด้ำน กำรดัดแปรสภำพอำกำศมำช่วยให้เกิดกำรก่อ ทรงเชื่อมั่นในพระรำชหฤทัยว่ำด้วย และรวมตวั ของเมฆใหเ้ กิด “ฝน” ได้” ลักษณะภูมิอำกำศและภูมิประเทศของบ้ำนเรำ จะสำมำรถด�ำเนนิ กำรใหบ้ ังเกดิ ผลสำ� เรจ็ ไดอ้ ยำ่ ง กำรรับสนองพระรำชด�ำริได้ด�ำเนินกำรอย่ำง แนน่ อน จรงิ จงั จำกควำมรว่ มมอื กนั ระหวำ่ ง ม.ล.เดช สนทิ วงศ์ เนอื่ งจำก “นำ�้ ” เปน็ สงิ่ ทไ่ี ดร้ ับกำรกลำ่ วขวญั ถงึ ตลอดเวลำในสงั คมไทยท่ีกำ� ลงั ได้รับผลกระทบอย่ำง รนุ แรงอันเน่ืองมำจำกขำดแคลนน้�ำอยู่ในขณะนั้น เป็นเพราะน�้าคือปัจจัยขัน้ พืน้ ฐานที่ ส�าคัญในการด�ารงชีพของมนุษย์และพืชพรรณ ธญั ญาหารตลอดจนสงิ สาราสตั วท์ ง้ั หลายท้งั ปวง กำรขำดแคลนน้�ำจึงมิได้มีผลโดยตรงแค่เพียง ควำมเป็นอยู่ของประชำชนเท่ำน้ัน แต่ยังได้ก้ำวล่วง ไปถงึ กำรพัฒนำเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศ โดยส่วนรวมอีกด้วย และถึงขนำดท่ีพระบำทสมเด็จ พระเจ้ำอยู่หวั มพี ระรำชด�ำรสั ว่ำ “น้�ำ คือ ชวี ติ ” แมว้ ำ่ ประเทศไทยเรำไดพ้ ยำยำมอยำ่ งสดุ กำ� ลงั ที่จะท�ำกำรแก้ไขปัญหำดังกล่ำวด้วยกำรพัฒนำ ทรัพยำกรแหล่งนำ้� ของชำตทิ กุ ประเภทท่ีมอี ยู่ ซ่ึงเป็นที่ยอมรับกนั ว่ำแหล่งทรัพยำกรน้�ำของ ประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยงั อยู่ห่ำงจำกระดับควำม เพียงพอของควำมต้องกำรใช้น�้ำของประชำกรใน ประเทศเป็นอย่ำงมำก อกี ท้ังยงั มีพ้ืนท่ีเกษตรกรรม ท่ตี ้องพ่ึงพำนำ�้ ฝนเป็นหลักใหญ่อยู่อกี ถึง ๘๒.๖% ดังนัน้ จงึ ทรงคำดกำรณ์ว่ำ ก่อนที่จะถงึ สภำพ ท่ีสุดวิสัยหรือยำกเกนิ กว่ำจะแก้ไขได้น้ันควรจะมี 79

ม.จ.จกั รพันธ์เพญ็ ศิริ จักรพนั ธ์ุ และ ม.ร.ว.เทพฤทธ์ิ ผลกำรทดลองเปน็ ทน่ี ำ่ พอใจ เพยี งแตย่ งั ไมอ่ ำจควบคมุ เทวกุล ในอนั ท่ีจะศึกษำและน�ำวิธีกำรท�ำฝน ให้ฝนตกในบรเิ วณท่ตี ้องกำรได้ อย่ำงในต่ำงประเทศมำประยุกต์ใช้กับสภำพอำกำศ ของเมืองไทย ต่อมำพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว ได้ พระรำชทำนค�ำแนะน�ำเพิ่มเติมตลอดเวลำอย่ำง “ฝนหลวง” หรือ “ฝนเทยี ม” จึงมกี ำ� เนิดขึน้ ต่อเน่ือง อำทิ กำรเปลี่ยนที่ทดลองไปยงั จุดแห้งแล้ง จำกกำรสนองพระรำชด�ำริ โดยประยุกต์ใช้จำกผล อ่นื ๆ เช่น ท่อี ำ� เภอชะอำ� จงั หวัดเพชรบรุ ี เป็นต้น กำรวิจัยค้นคว้ำทำงวิชำกำรด้ำนท�ำฝนเทียมของ ประเทศต่ำงๆ เช่น สหรฐั อเมรกิ ำ ออสเตรเลีย และ จะเห็นได้ว่ำกำรปฏิบัติงำนฝนหลวงเม่ือตอน อสิ รำเอล ภำยใต้กำรพระรำชทำนข้อแนะนำ� จำกองค์ เริ่มต้นต้องพบกับควำมยำกล�ำบำกและอุปสรรค พระบำทสมเดจ็ พระเจำ้ อยหู่ วั อยำ่ งใกลช้ ดิ พรอ้ มกนั น้ี มำกมำยนำนำประกำร ส่งิ ส�ำคัญคือจะต้องมีสภำพ ได้มีกำรจัดต้ังส่วนรำชกำร “ส�านักงานปฏิบัติการ ดนิ ฟำ้ อำกำศทเี่ ออ้ื อำ� นวยตอ่ กำรทำ� ฝนทดลอง กลำ่ วคอื ฝนหลวง” ขึ้น รบั ผิดชอบกำรด�ำเนินกำรฝนหลวง จะต้องดูลักษณะเมฆที่มีศักยภำพท่ีจะเกิดฝนได้ ซึ่ง ในระยะเวลำต่อมำจนถึงปัจจบุ ัน เมฆในลักษณะเช่นนี้มองเผินๆ จะคล้ำยขนแกะ ในท้องฟ้ำ ถ้ำไม่มีก็จ�ำเป็นต้องสร้ำงให้เกิดเมฆขึ้น ใ น ร ะ ย ะ แ ร ก ข อ ง ก ำ ร ด� ำ เ นิ น ก ำ ร ต ำ ม โดยเฉพำะอยำ่ งยิง่ ควำมชน้ื จะตอ้ งอยใู่ นระดบั ๗๐% พระรำชด�ำรนิ ี้ ข้อมูล หรอื หลกั ฐำนที่น�ำมำทดลอง กำรปฏบิ ตั งิ ำนจงึ จะไดผ้ ล แตถ่ ำ้ ควำมชน้ื ตำ่� ลงเทำ่ ใด พสิ ูจนย์ นื ยนั ผลนน้ั ยงั มนี อ้ ยมำก และขำดควำมเชอ่ื ถือ ก็จะยิง่ ได้ผลนอ้ ยลงจนไมค่ มุ้ คำ่ ฉะนนั้ กำรสร้ำงเมฆ ทำงวิชำกำร โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงในประเทศไทยเรำ ก็คือกำรสร้ำงควำมช้ืนข้ึนในอำกำศนั่นเอง โดยใช้ ยังไม่มีนักวิชำกำรด้ำนกำรดัดแปรสภำพอำกำศ เคมีภัณฑ์หลำยชนิดซ่ึงได้ทดสอบแล้วว่ำได้ผลดีและ หรอื นักวิชำกำรท�ำฝนอยู่เลย ดังน้ัน ในช่วงเร่ิมต้น ปลอดภัยต่อชีวติ มนษุ ย์มำใช้ในกำรท�ำฝนหลวง ของกำรทดลองปฏิบตั ิกำรฝนหลวง พระบำทสมเด็จ พระเจ้ำอยู่หัวจึงได้ทรงติดตำมผล วำงแผนกำร จำกพระมหำกรุณำธิคุณแห่งองค์พระบำท ทดลองปฏิบัติกำร โดยทรงสงั เกตจำกรำยงำน สมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว เมื่อมีปัญหำอุปสรรคเกี่ยวกับ แทบทกุ ครงั้ อย่ำงใกล้ชดิ กำรทดลอง จึงโปรดเกล้ำฯ พระรำชทำนค�ำแนะน�ำ และมีพระรำชด�ำริเพ่ิมเติมในกำรปรับปรุงหลำย วันที่ ๒๐ กรกฎำคม พ.ศ. ๒๕๑๒ นับเป็น ประกำรจนสำมำรถปฏิบตั กิ ำรฝนหลวงได้ดี และทรง ประวัติศำสตร์แห่งกำรท�ำฝนหลวงของประเทศไทย ให้กำรสนบั สนนุ ในด้ำนต่ำงๆ โดยเฉพำะทรงตดิ ตำม เพรำะเป็นวันปฐมฤกษ์ในกำรปฏิบัติกำรทดลองท�ำ กำรปฏิบตั ิงำนทดลองอย่ำงใกล้ชิดทกุ ระยะ และทรง ฝนเทียมกับเมฆในท้องฟ้ำเหนือภำคพ้ืนดิน บรเิ วณ แนะน�ำฝึกฝนนักวิชำกำรให้สำมำรถวำงแผนปฏิบัติ วนอุทยำนแห่งชำตเิ ขำใหญ่ อ�ำเภอปำกช่อง จงั หวัด กำรอย่ำงเหมำะสมกับสภำพภูมิอำกำศของแต่ละ นครรำชสมี ำ โดยกำรใช้น�้ำแขง็ แห้ง (dry-ice) โปรยที่ ท้องถ่ิน บำงคร้ังพระองค์ก็ทรงทดลองและควบคุม ยอดของกลุ่มก้อนเมฆ ปรำกฏว่ำหลงั กำรปฏิบัตกิ ำร บัญชำกำรทำ� ฝนหลวงด้วยพระองค์เอง ประมำณ ๑๕ นำที ก้อนเมฆในบรเิ วณนนั้ เกิดมกี ำร รวมตัวกันอย่ำงหนำแน่นจนเห็นได้ชัด สังเกตได้จำก ก่อนจะท�ำฝนหลวงแต่ละคร้ัง จะทรงเตือน สขี องฐำนเมฆได้เปล่ียนจำกสีขำวเป็นสีเทำเข้ม ซึ่ง ให้เจ้ำหน้ำท่ีตรวจสอบสภำพอำกำศล่วงหน้ำ เพื่อ ป้องกนั มิให้เกิดควำมเสยี หำยแก่พืชผลและทรพั ย์สิน 80

“...ควำมพร้อมจะทำ� ให้เกิดผลส�ำเรจ็ ในกำรปฏบิ ัตกิ ำรฝนหลวง...” ของรำษฎร ทรงเรง่ ใหป้ ฏบิ ตั กิ ำร เมอ่ื สภำพอำกำศอำ� นวย ทตี่ ้องกำร เช่น อ่ำงเกบ็ นำ�้ ห้วย หนอง คลอง บึง หรือ เพ่อื จะได้ปรมิ ำณน้�ำฝนมำกย่ิงข้ึน กบั ทรงแนะน�ำให้ บริเวณใกล้เคียงท่ีก�ำหนดไว้ จึงนับว่ำ “ฝนหลวง” ระมดั ระวงั สำรเคมที ใ่ี ชป้ ฏบิ ัตกิ ำรตอ้ งไมเ่ ปน็ อันตรำย เปน็ ควำมส�ำเร็จทเ่ี กดิ จำกพระอจั ฉรยิ ภำพ และควำม ต่อผู้ใช้ด้วย สนพระรำชหฤทัยอย่ำงจริงจังของพระบำทสมเด็จ พระเจ้ำอยู่หวั โดยแท้ จนในท่ีสุดจำกกำรศึกษำวิจัยเป็นกำรส่วน พระองค์ในเร่ืองเก่ียวกับกระแสและทิศทำงลม กำรพฒั นำคน้ ควำ้ ทเี่ กยี่ วกบั ฝนหลวงไดพ้ ฒั นำ ในแต่ละพ้นื ท่ีแต่ละเวลำมีกำรทดสอบปรบั ปรุงหลำย ก้ำวหน้ำข้ึนเป็นลำ� ดับ ทั้งน้ี เพรำะพระบำทสมเด็จ ประกำรจนน�ำไปใช้กำรได้ดี จนสำมำรถพระรำชทำน พระเจำ้ อยหู่ วั ไดท้ รงทำ� กำรทดลองวจิ ยั ดว้ ยพระองคเ์ อง ข้อแนะนำ� ให้ดงึ หรอื สรำ้ งเมฆได้ ทง้ั ยงั สำมำรถบงั คบั รวมทง้ั ไดพ้ ระรำชทำนทรพั ยส์ นิ สว่ นพระองคเ์ ปน็ คำ่ ใช้ เปล่ียนทิศทำงของเมฆให้เกดิ ฝนตกในบริเวณรับน้�ำ จ่ำย เพ่ือท�ำกำรทดลองปฏิบัติกำรฝนหลวงด้วยพระ 81

“...พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวเสด็จพระรำชด�ำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสำธริ ำชฯ สยำมมกุฎรำชกุมำร เพ่ือทอดพระเนตร กำรทดลอง และวิจยั ฝนหลวงด้วยพระองค์เอง...” เมตตำธรรม ระยะเวลำที่ทรงมำนะบำกบ่ัน อดทน และกำรด�ำเนินกำรปรับปรุงวิธีกำรท�ำฝนในแนวทำง ดว้ ยพระวริ ยิ อุตสำหะนบั ถงึ วนั นเ้ี ปน็ เวลำเกือบ ๓๐ ปี ของกำรออกแบบกำรปฏิบัติกำร กำรติดตำม และประเมินผลท่ีมีลักษณะเป็นกระบวนกำรทำง ในที่สุดด้วยพระปรีชำสำมำรถและพระอัจ- วิทยำศำสตร์มำกยิ่งข้ึน ตลอดจนควำมเป็นไปได้ ฉริยภำพท่ีทรงส่ังสมจำกกำรทดลอง สำมำรถท�ำให้ ในกำรใช้ประโยชน์ของเครือ่ งคอมพวิ เตอร์ เพอ่ื ศกึ ษำ กำ� หนดบังคับฝนให้ตกลงสู่พ้นื ท่ีเป้ำหมำยได้ส�ำเร็จ รปู แบบของเมฆและกำรปฏบิ ตั กิ ำรทำ� ฝนใหบ้ รรลตุ ำม กลำยเป็นหลกั แนวทำงให้นักวิชำกำรฝนหลวง วัตถุประสงค์ของโครงกำร รุ่นปัจจุบนั ได้ท�ำกำรศึกษำวิจัยอย่ำงมีระเบียบและ เป็นระบบวทิ ยำศำสตร์ทแ่ี ท้จริง ๒. ทรงย้�ำถึงบทบำทของกำรดัดแปรสภำพ อำกำศหรอื กำรท�ำฝนว่ำเป็นองค์ประกอบท่ีส�ำคัญ พระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จ อนั หนงึ่ ในกระบวนกำรจดั กำรทรพั ยำกรแหลง่ นำ้� เชน่ พระเจ้าอยู่หัวถงึ กลยุทธ์การพัฒนา กำรเพ่ิมปรมิ ำณน�้ำให้แก่แหล่งเก็บกักน้�ำต่ำงๆ กำร โครงการพระราชด�าริ “ฝนหลวง” บรรเทำปัญหำมลภำวะ และกำรเพ่ิมปริมำณน�้ำเพื่อ สำธำรณปู โภค เป็นต้น ๑. ทรงเน้นถึงควำมจ�ำเป็นในด้ำนพัฒนำกำร 82

“ทรงเจมิ เคร่ืองบิน “แอร์ทรคั ” เคร่ืองบนิ ท�ำฝนเทียม ณ สนำมบินบ่อฝ้ำย อ.หัวหนิ จ.ประจวบครี ีขนั ธ์ เม่ือวันที่ ๒๖ เมษำยน ๒๕๑๕” ๓. ทรงเนน้ ว่ำ ควำมรว่ มมอื ประสำนงำนอย่ำง ขนึ้ สู่เบอื้ งบนรวมตัวกนั เป็นกลุ่มก้อนเมฆฝน เต็มที่ระหว่ำงหน่วยงำนและส่วนรำชกำรท่ีเก่ียวข้อง ข้ันตอนแรกนี้เป็นขั้นตอนท่ีเมฆธรรมชำติเร่ิม เท่ำน้ัน ที่จะเป็นกญุ แจสำ� คัญในอนั ท่ีจะท�ำให้บรรลุ ผลตำมวตั ถปุ ระสงค์ของโครงกำรได้ กอ่ ตวั ทำงแนวตงั้ กำรทำ� ฝนหลวงในขน้ั ตอนนจี้ งึ มงุ่ ใช้ สำรเคมไี ปกระตนุ้ อำกำศใหเ้ กดิ กำรลอยตวั ขน้ึ สเู่ บอื้ งบน ดุจสิง่ มหัศจรรย์... เพาะเมฆและบังคับ เพ่ือให้เกิดกระบวนกำรชักน�ำไอน�้ำหรือควำมช้ืน เมฆให้เกิดฝน เข้ำสู่ระดับกำรเกดิ เมฆ ระยะเวลำที่เหมำะสมใน กำรปฏบิ ตั งิ ำนของขน้ั ตอนแรกนี้ ควรดำ� เนนิ กำรในชว่ ง พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวได้ทรงวิเครำะห์ เช้ำของแต่ละวัน กรรมวิธีที่จะท�ำกำรผลติ ฝนหลวงว่ำมีข้ันตอน ท่สี ำมำรถเข้ำใจกนั ได้ง่ำย ๓ ข้ันตอน คอื สำรเคมที ีใ่ ช้ในขัน้ ตอนนี้ ได้แก่ สำรแคลเซยี ม คลอไรด์ สำรแคลเซียมคำร์ไบด์ สำรแคลเซียม ขัน้ ตอนที่ ๑ ก่อกวน ออกไซด์ หรือสำรผสมระหว่ำงเกลือแกงกบั สำรยูเรีย โดยกำรใช้สำรเคมีไปกระตุ้นมวลอำกำศทำง หรือสำรผสมระหว่ำงสำรยูเรยี กับสำรแอมโมเนีย ด้ำนเหนือลมของพ้ืนที่เป้ำหมำย ให้เกดิ กำรลอยตัว ไนเตรท ซึ่งสำรผสมดังกล่ำวน้ี แม้จะมีเปอร์เซ็นต์ 83

พระรำชทำนพระรำชด�ำริว่ำ “...ในแต่ละพ้ืนที่เป้ำหมำยปฏิบัติกำรให้พจิ ำรณำก�ำหนดเลือกพ้นื ท่ีปฏิบตั ิกำรท่ีมีสภำพแวดล้อมเหมำะสม ต่อกำรตกของฝนมำกท่สี ดุ เป็นเป้ำหมำยหลกั ...” 84

85

“...วิธกี ำรท�ำฝน คอื ทำ� ให้ก้อนหรือกลุ่มเมฆรวมตวั กันหนำแน่น (Fatten) แล้วก็บงั คบั ให้เกดิ ฝนตกลง (Attack)...” ควำมชื้นสมั พัทธ์ต�่ำก็ตำม แต่ก็สำมำรถดูดซับไอน้�ำ ตอ่ กำรเจริญเตบิ โตของเมฆทำงดำ้ นเหนอื ลมของพนื้ ท่ี จำกมวลอำกำศได้อนั เป็นกำรกระตุ้นกลไกของ เป้ำหมำยอกี ด้วย กระบวนกำรกลนั่ ตวั ของไอนำ้� ในมวลอำกำศ อกี ทงั้ ยงั เสรมิ สร้ำงให้เกิดสภำพแวดล้อมโดยรอบที่เหมำะสม เมอ่ื เมฆเรมิ่ เกดิ มกี ำรกอ่ รวมตวั และเจรญิ เตบิ โต ทำงต้งั แล้ว จงึ ใช้สำรเคมีทใ่ี ห้ปฏิกริ ิยำคำยควำมร้อน 86

โปรยเป็นวงกลมหรือเป็นแนว ถดั มำทำงใต้ลมเป็น กำรวำงแผนปฏิบัติกำรฝนหลวงในข้ันแรก ระยะทำงส้ันๆ เข้ำสู่ก้อนเมฆ เพ่อื กระตุ้นให้เกิด นี้ก่อนด�ำเนินกำรจะต้องท�ำกำรศึกษำข้อมูลสภำพ ก้อนเมฆเป็นกลุ่มแกนร่วมในบรเิ วณพ้นื ท่ีปฏิบตั ิกำร อำกำศ และกำ� หนดพ้ืนท่ีเป้ำหมำยในแต่ละวัน สำ� หรับใช้เป็นแกนกลำงในกำรสร้ำงกลุ่มเมฆฝน โดยใช้ทิศทำงและควำมเร็วของลมเป็นตัวก�ำหนด ในระยะต่อมำ บริเวณหรือแนวพกิ ัดทีจ่ ะโปรยสำรเคมี อุณหภูมิและควำมชื้นของบรรยำกำศ แต่ละ ระดับจะถูกน�ำมำค�ำนวณและวิเครำะห์ตำมวิชำกำร ทำงอุตนุ ิยมวิทยำ เพอื่ หำสำเหตทุ ขี่ ดั ขวำงกำรก่อตวั ของเมฆทอ่ี ำจเกิดขึ้นระหว่ำงดำ� เนนิ กำร เช่น - ปรมิ ำณควำมชืน้ ทต่ี ำ�่ เกนิ ไป - อำกำศเกนิ ภำวะสมดุล - ระดบั ท่ีควำมชืน้ อมิ่ ตัว - ระดบั ทเ่ี มฆฝนเรม่ิ ก่อตวั - ระดับท่ีหยุดย้ังกำรเจริญเติบโตของ ยอดเมฆ ข้อมูลอนื่ ๆ ท่ีต้องนำ� มำพจิ ำรณำประกอบ ด้วย คือ - สภำพภูมิประเทศ เช่น แนวเขำ ป่ำไม้ แหล่งควำมชืน้ ฯลฯ - ลักษณะของเมฆท่สี งั เกตเห็น - ขอ้ มลู แผนทที่ ำงอำกำศ พำยโุ ซนรอ้ นและ เหตุอ่ืนๆ ที่อำจจะมีอิทธิพลต่อสภำพอำกำศในพ้ืนท่ี เป้ำหมำย ทง้ั หมดของข้อมลู และสำเหตตุ ่ำงๆ น้ี มีควำม ส�ำคัญต่อกำรก�ำหนดชนิดและปริมำณของสำรเคมีที่ จะน�ำมำใช้ในกำรท�ำฝนหลวง ซึ่งจะต้องกระท�ำด้วย ควำมช�ำนำญควบคู่ไปกับกำรคำ� นึงถงึ ระดับควำมสงู ผนวกกบั อตั รำกำรโปรยสำรเคมี รวมถึงลกั ษณะของ แนวโปรยสำรเคมีด้วย หำกแต่ละวันมีลักษณะข้อมูลท่ีแตกต่ำงกัน ออกไป กย็ ่อมทำ� ให้ต้องมีกำรปรับเปล่ยี นแผนปฏิบตั ิ งำนแต่ละครง้ั ด้วย 87

“...พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวทรงศึกษำวิจัยเป็นกำรส่วนพระองค์ในเร่อื งเก่ียวกับกระแสลมและทิศทำงลมในแต่ละพ้ืนที่ แต่ละเวลำ จนทรงสำมำรถพระรำชทำนข้อแนะน�ำให้ดงึ หรอื สร้ำงเมฆ ท้งั ยังบังคับเปล่ยี นทิศทำงของเมฆให้เกดิ ฝนตกในบริเวณรับน้�ำทตี่ ้องกำร...” ขั้นตอนท่ี ๒ เลีย้ งให้อ้วน ผสมผสำนกลยทุ ธ์ในเชิงศิลปะแห่งกำรท�ำฝนหลวง เป็นข้ันตอนส�ำคัญมำกในกำรปฏิบัติกำร ควบคไู่ ปพรอ้ มกนั เพอ่ื ตดั สนิ ใจโปรยสำรเคมฝี นหลวง ฝนหลวง เนื่องจำกเป็นระยะท่ีเมฆกำ� ลังก่อตัวเจริญ ทที่ รงค้นคว้ำขน้ึ มำ โดยไม่มสี ำรอันเป็นพษิ ต่อมนษุ ย์ เติบโตจึงใช้ควำมรู้ทำงเทคโนโลยแี ละประสบกำรณ์ และสิ่งแวดล้อม 88

หรอื อว้ นขนึ้ และปอ้ งกนั มใิ หก้ อ้ นเมฆสลำยตวั ใหจ้ งได้ กำรวำงแผนปฏิบัติกำรในขั้นตอนนี้จ�ำต้อง อำศัยข้อมูล และควำมต่อเนื่องจำกข้ันตอนที่หนึ่ง ประกอบกำรพิจำรณำด้วย กำรสงั เกตถึงควำม เปล่ียนแปลงของสภำพเมฆท่ีเกิดขึ้น จึงกล่ำวได้ว่ำ ข้ันตอนน้ีกำรวำงแผนปฏิบัติกำรอย่ำงต่อเน่ืองตลอด เวลำให้ทันต่อควำมเปล่ียนแปลงของเมฆที่เกิดข้ึน มคี วำมส�ำคญั ยงิ่ สำรเคมีท่ีใช้ในข้ันตอนน้ีมักได้แก่ เกลือแกง สำรประกอบสูตร ท. ๑ (เป็นสำรละลำยเข้มข้น ที่ได้จำกกระบวนกำรอิเล็กโตรไลซิส ซึ่งเป็นผลงำน ค้นคว้ำของ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล) สำรยูเรีย สำรแอมโมเนยี ไนเตรท นำ้� แขง็ แหง้ และบำงครัง้ อำจใช้ สำรแคลเซยี มคลอไรดร์ ว่ มดว้ ย โดยพจิ ำรณำลักษณะ กำรเติบโตของเมฆ บริเวณเมฆ และกำรเกิดฝน ในวนั นั้นๆ เป็นหลัก กำรปฏบิ ตั งิ ำนตอ้ งพจิ ำรณำอยำ่ งถอ่ งแทว้ ำ่ จะ ขั้นตอนท่ี ๓ โจมตี ใช้สำรเคมีชนิดใดและอัตรำใดจึงจะเหมำะสมในกำร เม่ือกลุ่มเมฆฝนมีควำมหนำแน่นมำกพอ ตัดสนิ ใจโปรยสำรเคมีฝนหลวง ณ ที่ใดของกลุ่ม ท่ีจะสำมำรถตกเป็นฝนได้ โดยภำยในกลุ่มเมฆจะมี กอ้ นเมฆ เพอื่ ใหส้ มั ฤทธิผลทจี่ ะทำ� ใหก้ อ้ นเมฆขยำยตวั เมด็ นำ�้ ขนำดใหญม่ ำกมำย สังเกตไดถ้ ำ้ หำกเครอ่ื งบนิ เข้ำไปในกลุ่มเมฆฝนนี้แล้ว จะมีเม็ดน�้ำเกำะตำมปีก และกระจงั หนำ้ ของเครอื่ งบนิ ดงั นนั้ ขน้ั ตอนสดุ ทำ้ ยจงึ มีควำมส�ำคัญอย่ำงย่ิงยวดเพรำะจะต้องอำศัยควำม ชำ� นำญและประสบกำรณเ์ ปน็ อยำ่ งมำก เหนอื สิง่ อนื่ ใด ต้องรู้จักใช้เทคนิคในกำรท�ำฝนหลวงซึ่งพระองค์ ท่ำนทรงให้ข้อคิดว่ำจะต้องพิจำรณำจุดมุ่งหมำย ของกำรท�ำฝนหลวงด้วยว่ำ ในกำรท�ำฝนหลวงของ แตล่ ะพน้ื ทนี่ นั้ ตอ้ งตอบสนองควำมตอ้ งกำรอนั แทจ้ รงิ ของรำษฎรใน ๒ ประเด็น คือ เพื่อเพ่ิมปริมำณ ฝนตกให้กับพ้ืนท่ี (Rain Enhancement) และเพ่ือให้ เกิดกำรกระจำยกำรตกของฝน (Rain Distribution) ซึ่งทั้ง ๒ วัตถปุ ระสงค์นี้ได้เป็นแนวทำงในกำร 89

บำ� บดั ทกุ ขบ์ ำ� รงุ สขุ ของพสกนกิ รใหค้ ลำยควำมเดอื ดรอ้ น ปำทังก้ำ เหล่ำน้เี ป็นต้น ซ่ึงล้วนแต่ได้รับควำมส�ำเรจ็ ยำมขำดแคลนน�้ำเร่อื ยมำตรำบเท่ำทุกวันนี้ เพรำะ อย่ำงดีเยี่ยมตลอดมำ ควำมต้องกำรน้�ำของมนุษยชำตินับวันแต่จะทวีข้ึน อย่ำงเกนิ คำด สืบเน่ืองมำจำกผลกระทบที่เกิดจำก พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวทรงได้รับควำม ปฏิกริ ิยำเรือนกระจกของโลก (Green House Effect) รว่ มมอื จำกเหลำ่ พสกนกิ รทว่ั ประเทศทเ่ี หน็ คณุ คำ่ ของ ทำ� ให้ฝนไม่ตกต้องตำมฤดกู ำลดงั เช่นเคยในอดตี ฝนหลวง ดังจะเห็นได้จำกกำรท่ีประชำชนในหลำย จังหวัดได้ร่วมกันทูลเกล้ำทูลกระหม่อมถวำยเงิน ฝนหลวงกบั การบรรเทาความ โดยเสด็จพระรำชกุศลในกำรจัดซื้อเคร่อื งบินส�ำหรับ เดอื ดร้อนของประชาชน ท�ำฝนหลวงเป็นจำ� นวนมำก เช่น หลังจำกที่ทรงประสบผลส�ำเรจ็ และมีกำร เครอื่ งบนิ แอรท์ รคั ซง่ึ รำษฎรจงั หวดั กำญจนบรุ ี ยอมรบั จำกทง้ั ภำยในและตำ่ งประเทศแลว้ นน้ั ปริมำณ ได้ร่วมกนั จดั ซ้ือเมือ่ พ.ศ. ๒๕๑๕ นับเป็นเคร่อื งแรก ควำมตอ้ งกำรฝนหลวงเพือ่ ชว่ ยพืน้ ทเ่ี กษตรกรรม และ ทไ่ี ด้นำ� ขน้ึ นอ้ มเกล้ำฯ ถวำยเพอื่ ใชใ้ นกจิ กรรมค้นคว้ำ กำรขำดแคลนนำ�้ เพอื่ กำรอปุ โภคและบรโิ ภคไดร้ บั กำร ทดลองปฏบิ ัติกำร ร้องเรยี นขอควำมช่วยเหลอื เพมิ่ มำกข้นึ เห็นได้ชัดใน ช่วงระหว่ำง พ.ศ. ๒๕๒๐ - ๒๕๓๔ มกี ำรร้องเรยี น ต่อมำรำษฎรจังหวัดสพุ รรณบุรี ได้ร่วมกันจัด ขอฝนหลวงเฉลีย่ ถึงปลี ะ ๔๔ จงั หวดั ซงึ่ ทรงพระเมตตำ ซ้ือเครื่องบินทัวเรอร์น้อมเกล้ำน้อมกระหม่อมถวำย อนุเครำะห์ช่วยเหลอื เกษตรกรไทยในกำรบรรเทำ เพ่ือใช้ในกำรบินอ�ำนวยกำรทดลองปฏิบัติกำร กำรสญู เสียทำงเศรษฐกิจให้ประสบควำมเสียหำย ฝนหลวงอีกเครอื่ งหนึ่งด้วย น้อยที่สุด นอกจำกนี้ประโยชน์ส�ำคัญท่ีควบคู่ไปกับ กำรปฏบิ ตั กิ ำรฝนหลวงเพอ่ื เกษตรกรรม และกำรอปุ โภค นอกจำกนีย้ ังมีรำษฎรจังหวัดขอนแก่น ชลบรุ ี บริโภค กค็ อื เป็นกำรช่วยเพิม่ ปรมิ ำณน้ำ� ต้นทุนให้แก่ และกำญจนบุรี ได้ร่วมกนั จดั ซอ้ื เครอื่ งบินปอร์ตเตอร์ อำ่ งและเขอ่ื นกกั เก็บนำ�้ เพอ่ื กำรชลประทำน และผลติ น้อมเกล้ำฯ ถวำยใช้ในงำนฝนหลวง กระแสไฟฟ้ำ แหล่งน�้ำและต้นน้�ำล�ำธำรธรรมชำติ อกี ทั้งยังเป็นกำรช่วยท�ำนุบ�ำรุงปำ่ ไม้ โดยเฉพำะ ควำมส�ำคัญในพระองค์ท่ำนนั้นเห็นได้ ในชว่ งฤดแู ลง้ ควำมชมุ่ ชนื้ ทไ่ี ดร้ ับเพิม่ ขน้ึ จำกฝนหลวง ชัดเจน ซึ่งจำกกำรท่ีพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว จะช่วยลดกำรเกดิ ไฟป่ำได้เป็นอย่ำงมำก พระรำชทำนพระบรมรำชวโรกำสให้ผู้ว่ำรำชกำร จังหวัดจันทบุรี น�ำชำวสวนจังหวัดจันทบุรีเฝ้ำทูล ฝนหลวงได้เข้ำมำมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหำ ละอองธลุ พี ระบำท ทลู เกลำ้ ทลู กระหมอ่ มถวำยเงนิ ซงึ่ ส่งิ แวดล้อมในกำรบรรเทำมลภำวะท่ีเกดิ ข้ึนในบ้ำน ได้ร่วมกันบรจิ ำคโดยเสด็จพระรำชกุศลในกำรจัดซ้ือ เมืองของเรำหลำยประกำร อำทิ ช่วยแก้ไขปัญหำ เครอื่ งบนิ สำ� หรบั โครงกำรทำ� ฝนเทยี ม และนอ้ มเกลำ้ ฯ น�้ำเน่ำเสยี ในแม่น�ำ้ ลำ� คลอง โรคระบำด อหวิ ำตกโรค ถวำยผลไม้ท่ีรอดพ้นจำกควำมเสียหำยอันเนื่อง กำรระบำดของศตั รพู ืชบำงชนิด เช่น เพล้ยี ตกั๊ แตน มำจำกภยั แล้ง ณ ศำลำดุสิดำลยั สวนจติ รลดำ เมือ่ วนั ที่ ๒๓ พฤศจิกำยน พ.ศ. ๒๕๑๕ ในโอกำสนี้ พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวได้ พระรำชทำนพระรำชด�ำรัสแก่คณะชำวสวนจังหวัด จนั ทบรุ ี ควำมว่ำ 90

“...เทคนิคกำรงัดเมฆออกจำกยอดเขำและกำรเล้ยี งเมฆให้อ้วน ต้องเรยี นรู้เทคนิคกำรน�ำเมฆออกจำกเทือกเขำและยอดเขำสงู ซ่ึงเป็น เสมือนโรงงำนสร้ำงเมฆตำมธรรมชำติ โดยไม่ท�ำให้เมฆเหล่ำนนั้ สลำยตัวเสียก่อน เพรำะทำ� ให้โอกำสเกิดฝนน้อยลง...” “...ทำ่ นทงั้ หลำยกเ็ ปน็ ประจกั ษพ์ ยำนวำ่ กำรทำ� และเมอ่ื ทอ้ งทม่ี คี วำมเจรญิ มนั่ คงแลว้ ประเทศยอ่ มอยไู่ ด้ ฝนเทยี มไดช้ บุ ชวี ติ ตน้ ไมซ้ ง่ึ มฉิ ะนน้ั ก็เสียหำยไป ฉะนน้ั มีทำงที่จะก้ำวหน้ำเพรำะทุกคนร่วมมือกัน ทุกคน จึงเกิดควำมยินดีมำกท่ีท่ำนท้ังหลำยได้มำพบกนั ใน ชว่ ยซง่ึ กนั และกนั ทกุ คนมคี วำมเหน็ อยำ่ งไรกแ็ จง้ ออกมำ วันนี้ ได้น�ำเงินมำสมทบในกิจกำรฝนเทียมและได้ ผู้ที่ได้รับฟัง ก็ย่อมรับฟังด้วยเหตุผลท่ีดี อันเป็น น�ำพำผลติ ผลซึง่ เป็นประจกั ษ์พยำนมำให้ ควำมดีใจ วธิ กี ำรทจ่ี ะอยใู่ นชวี ติ ของประเทศชำติ อนั นเ้ี ปน็ ควำม น้ีมีหลำยประกำรอย่ำงหนึ่งก็ได้เห็นว่ำท่ำนท้ังหลำย ปลมื้ ทใ่ี หญท่ สี่ ดุ ทเ่ี หน็ ควำมสำมคั คี ควำมขยนั หมนั่ เพยี ร ไดม้ คี วำมสขุ สบำย อกี อยำ่ งหนงึ่ กท็ เ่ี หน็ วำ่ กจิ กำรมผี ลดี ควำมซื่อสัตย์สุจริตประจักษ์ออกมำ ก็ขอขอบใจ และท่ำนทั้งหลำยทรำบดี ก็ขอขอบใจท่ำนทั้งหลำย ทุกท่ำนทกุ ฝ่ำยที่ได้แสดงว่ำเมอื งไทยเรำ วิธปี ฏบิ ัติ... ทีร่ ่วมมือ ทง้ั ฝ่ำยเจ้ำหน้ำที่ทไ่ี ด้ร่วมมอื ในกจิ กำร และ จะไมเ่ รยี กวำ่ วธิ กี ำรปกครอง...วธิ ปี ฏบิ ตั ิ ทงั้ ในดำ้ นชวี ติ กำ� ลงั ช่วยให้ประชำชนมีควำมสุข ควำมเรียบร้อย ท้ังในด้ำนอำชพี ตงั้ แต่กำรเป็นอยู่ส่วนตัว จนกระทงั่ ทุกประกำร ตำมหน้ำที่อันน้ีน�ำควำมปลำบปลื้ม ถึงกำรจัดระเบียบกำรทุกขั้นอย่ำงมีเหตุผล มีจิตใจ แก่ข้ำพเจ้ำอย่ำงมำก ฉะนั้นกข็ อขอบใจท่ำนทง้ั หลำย เอ้ือเฟื้อซ่ึงกันและกัน เป็นควำมหวังส�ำหรับอนำคต ทุกฝ่ำยที่ได้ร่วมมืออย่ำงมีสำมัคคีท่ีกระชับแน่นแฟ้น ของบ้ำนเมืองท่ีจะท�ำให้เมืองไทยคงอยู่ด้วยควำม ที่สุด เป็นทำงที่ท�ำให้ท้องท่ีมีควำมเจริญม่ันคง ผำสกุ ด้วยควำมมั่นคงไปตลอดกำล...” 91

บทบาท “ฝนหลวง” วนั นี้ เริม่ จำกแก้ไข “ภัยแลง้ ” ก้ำวไปสู่กำรบรรเทำ “สาธารณภยั ” และเพิม่ พูน “เศรษฐกิจ” “ฝนหลวง” ต้องเข้ำมำรับภำระหน้ำทีใ่ นกำร บำ� บดั ทกุ ขบ์ ำ� รงุ สขุ แกอ่ ำณำประชำรำษฎรม์ ำกเกนิ กวำ่ ที่คำดคิดกนั ไว้นัก เพรำะ “ฝนหลวง” กลับกลำย จำกจุดมุ่งหวังท่ีในคร้ังแรกเพ่ือช่วยเหลือเกษตรกร ที่ประสบภัยแล้งน้ัน ได้รับกำรร้องขอให้ขยำย กำรบรรเทำควำมเดอื ดรอ้ นทส่ี บื เนอ่ื งมำจำกกำรพฒั นำ อุตสำหกรรมและภำวะส่ิงแวดล้อมที่เป็นพิษอีกด้วย กล่ำวคือ “ฝนหลวง” มีส่วนช่วยเหลือกำรพัฒนำ เศรษฐกจิ และสังคมของประเทศไทยหลำยประกำร ดังน้ี ด้านการเกษตร เพอื่ การอุปโภค บริโภค มี ก ำ ร ร ้ อ ง ข อ ฝ น ห ล ว ง เ พ่ ือ แ ก ้ ไ ข ป ั ญ ห ำ ภำวะควำมต้องกำรน้�ำทั้งจำกน้�ำฝนและ ขำดแคลนนำ�้ ในชว่ งทเ่ี กิดภำวะฝนแลง้ หรือฝนทงิ้ ชว่ ง อ่ำงเกบ็ นำ�้ ห้วย หนอง คลอง บึง เป็นควำมต้องกำร ยำวนำน ซงึ่ มผี ลกระทบตอ่ แหลง่ ผลิตทำงกำรเกษตรท่ี ก�ำลังใหผ้ ลผลิต เชน่ แถบจงั หวดั จนั ทบรุ ี หรอื เพชรบรุ ี และประจวบคีรีขนั ธ์ เป็นจำ� นวนมำกหลำยรำย ซ่งึ ได้ พระรำชทำนควำมช่วยเหลือเสมอมำ ท�ำฝนหลวงเพื่อเพ่ิมปริมำณน�้ำให้กับบริเวณ พ้ืนที่ลุ่มรบั น้�ำของแม่น�้ำสำยต่ำงๆ ที่มีปริมำณน�้ำ ต้นทนุ ลดน้อยลง เช่น แม่น�ำ้ ปิง วงั ยม น่ำน เป็นต้น โดยเฉพำะในปีทเ่ี กิดวกิ ฤติขำดแคลนน้ำ� ทเี่ ขอื่ นสริ กิ ิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ สำมำรถจัดเกบ็ น�้ำจำกฝนหลวง นบั ตงั้ แตว่ นั ท่ี๒๘มกรำคมพ.ศ.๒๕๓๖ถงึ ๒๘ตลุ ำคม พ.ศ. ๒๕๓๖ อันเป็นวันสุดท้ำยของกำรปฏิบัติงำน ฝนหลวงในปนี น้ั ไดถ้ งึ ๔,๒๐๔.๑๘ ลำ้ นลกู บำศกเ์ มตร ในขณะทกี่ อ่ นทำ� ฝนหลวงมนี ำ�้ เหลือเพียง ๓,๔๙๗.๗๙ ล้ำนลูกบำศก์เมตรเท่ำนนั้ 92

“...ติดตำมผลกำรปฏบิ ตั ิกำรอย่ำงต่อเน่อื งและสม�ำ่ เสมอ ด้วยสำยตำ เรดำร์ และกำรประสำนงำนกับองค์กรท้องถิ่น...” ทสี่ ำมญั ของผู้คนอยำ่ งยงิ่ กำรขำดแคลนนำ�้ กิน นำ�้ ใช้ เกบ็ กกั นำ้� ได้ดีเท่ำที่ควร มีควำมรนุ แรงมำกในภำคตะวันออกเฉยี งเหนือ เนื่องจำกคุณสมบตั ิของดินในภูมิภำคนี้เป็นดินร่วน ชว่ ยในการแกไ้ ขปญั หาคณุ ภาพน้า� ปนทรำย ไม่สำมำรถอุ้มซับน�้ำได้ จึงไม่สำมำรถ ภำยใต้พ้ืนดินของภำคอีสำนมีแหล่งหินเกลือ 93

เปน็ จำ� นวนมำกและครอบคลุมพืน้ ทกี่ วำ้ งขวำง ดงั นนั้ เพิ่มปริมาณน�า้ ในเขือ่ นภูมิพลและ อำ่ งเกบ็ นำ้� ขนำดเล็กและขนำดกลำงทไ่ี มม่ ที ำงระบำย เขื่อนสริ ิกิต์เิ พ่ือผลติ กระแสไฟฟ้า ออก หำกมปี ริมำณนำ้� เหลือน้อย นำ้� จะกร่อยหรอื เคม็ ได้ เพรำะหินเกลอื ทอี่ ยู่ด้ำนล่ำงเกิดมกี ำรละลำยแล้ว บำ้ นเมอื งของเรำประสบปญั หำกำรขำดแคลน ลอยตวั เคลื่อนทีข่ นึ้ มำบนผิวดิน พลังงำนไฟฟ้ำขึ้นทุกขณะ เน่ืองจำกมีควำมต้องกำร ใช้ไฟฟ้ำในปริมำณสูงมำกจำกกำรขยำยตัวทำง เสรมิ สรา้ งเสน้ ทางคมนาคมทางน้�า เศรษฐกิจอุตสำหกรรม เมื่อเกิดภำวะวิกฤติระดับน�้ำ เหนือเขื่อนมีระดับต�่ำมำกจนไม่เพียงพอต่อกำรใช้ เมื่อกำรขำดปริมำณน้�ำเกิดข้ึนดุจภำวะลกู โซ่ พลงั งำนน้�ำไม่สำมำรถผลิตกระแสไฟฟ้ำส่งให้ผู้ใช้ได้ เช่นนี้ ก็ส่งผลมำถงึ ระดับน้�ำในแม่น�้ำลดต่�ำลง อย่ำงทั่วถึงจนถึงขนำดเกรงกันว่ำอำจจ�ำเป็นต้องใช้ บำงแห่งตื้นเขินจนไม่สำมำรถสญั จรไปมำทำงเรือได้ มำตรกำรตำ่ งๆ ในกำรประหยัดพลงั งำนไฟฟำ้ กนั บำ้ ง เช่น ทำงน้�ำในแม่น้�ำเจ้ำพระยำบำงตอนในปัจจุบัน เพอ่ื แก้ไขปัญหำสถำนกำรณ์ที่เกดิ ขนึ้ กำรทำ� ฝนหลวงเพอ่ื เพม่ิ ปรมิ ำณนำ�้ ใหก้ บั บรเิ วณดงั กลำ่ ว จงึ นับเป็นส่งิ สำ� คัญยงิ่ เพรำะกำรขนส่งสนิ ค้ำทำงน้ำ� กำรทำ� ฝนหลวงเพอ่ื เพม่ิ ปรมิ ำณนำ้� เหนอื เขอ่ื น เสียค่ำใช้จ่ำยน้อยกว่ำทำงอ่ืน และกำรจรำจรทำงบก ภูมิพล ซึ่งเกิดวิกฤติขำดแคลนน้�ำอย่ำงรนุ แรงท่ีสุด นับวันจะมปี ัญหำรนุ แรงมำกข้ึนทกุ ขณะ เปน็ ประวตั กิ ำรณ์ จงึ เปน็ ภำรกจิ สำ� คญั ยิง่ ทเี่ รม่ิ ดำ� เนนิ กำรเมอื่ วันท่ี ๑๘ สิงหำคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ถงึ วันที่ ๒ ป้องกนั และบ�าบัดภาวะมลพิษของ พฤศจิกำยน พ.ศ. ๒๕๓๖ ฝนหลวงได้มีส่วนในกำร สิ่งแวดลอ้ ม เพิ่มปรมิ ำณน้�ำให้เพียงพอต่อกำรใช้พลังน�้ำเพ่ือผลิต กระแสไฟฟ้ำมใิ หก้ ำรพฒั นำด้ำนต่ำงๆ เกดิ กำรสะดดุ หำกน�้ำในแม่น�้ำเจ้ำพระยำลดน้อยลงเม่ือใด หยดุ ชะงกั ลง และสำมำรถดำ� เนนิ กำรไปไดอ้ ยำ่ งรำบรนื่ น้�ำเค็มจำกทะเลอ่ำวไทยก็จะไหลหนุนเน่ืองเข้ำไป มั่นคง ในปีนี้สำมำรถเพิ่มปริมำณน้�ำในเขื่อนภูมิพล แทนท่ีท�ำให้เกดิ น้�ำกร่อยข้ึน และเกิดควำมเสียหำย ได้ถึง ๕,๒๗๔.๖๓ ล้ำนลูกบำศก์เมตร โดยทีป่ รมิ ำณ แก่เกษตรกรเป็นจ�ำนวนมำก จึงจ�ำเป็นที่ต้องมีกำร น้�ำก่อนปฏิบัติกำรฝนหลวงเหลือเพียง ๔,๐๓๗.๓๐ ปล่อยน้�ำจำกเขื่อนภูมิพล เพ่ือผลักดันน�้ำเค็มมิให้ ล้ำนลูกบำศก์เมตร ซ่ึงนับว่ำท�ำให้กำ� ลังผลิตส�ำรอง หนุนเข้ำมำท�ำควำมเสยี หำยต่อกำรอุปโภค บริโภค กระแสไฟฟ้ำท่ใี ช้ได้ในปีนอ้ี ยู่ในเกณฑ์ทเี่ พยี งพอ หรือเกษตรกรรม รวมทั้งส่ิงที่เรำอำจไม่คำดคิด มำก่อนว่ำ “ฝนหลวง” ได้บรรเทำภำวะสิ่งแวดล้อม ฝนหลวงในอนาคต ท่ีเป็นพิษอันเกิดจำกกำรระบำยน�้ำเสียทิ้งลงสู่แม่น้�ำ เจ้ำพระยำ และขยะมลู ฝอยที่ผู้คนทง้ิ ลงในสำยนำ้� กนั กำรท�ำฝนหลวงในปัจจุบันโดยใช้วิธีกำรโปรย อย่ำงมำกมำยนั้น ปรมิ ำณน้�ำจำกฝนหลวงจะช่วย สำรเคมีจำกเคร่ืองบินเพื่อเร่งหรือเสริมกำรก่อตัวและ ผลกั ดันออกสู่ท้องทะเล ท�ำให้ภำวะมลพิษจำกน้�ำ กำรเจริญเติบโตของเมฆ และโจมตีกลุ่มเมฆฝนให้ เสียเจือจำงลดลง ซ่ึงสงั เกตเห็นได้ชัดเจนมำกจำก เกิดฝนตกลงสู่พ้ืนท่ีเป้ำหมำยที่ต้องกำรนั้นบำงคร้ังก็ ขยะมลู ฝอยและกระแสนำ�้ เสียตำ่ งสีในบริเวณปำกนำ�้ ประสบปญั หำทไ่ี มส่ ำมำรถปฏบิ ตั ติ ำมขนั้ ตอนกรรมวธิ ี จนถึงเกำะล้ำนเมอื งพัทยำ ใหค้ รบถว้ นสมบรู ณ์ เชน่ ในขน้ั โจมตใี หฝ้ นตกลงสพู่ น้ื ที่ เปำ้ หมำยไมส่ ำมำรถกระทำ� ได้ เนอื่ งจำกฝนตกปกคลมุ 94

สนำมบินเกดิ ลมพำยุปั่นป่วนและรุนแรง เคร่ืองบิน ๒๕๓๐ ในขณะนี้จึงอยู่ระหว่ำงขั้นท�ำกำรผลิตจรวด ไม่สำมำรถข้ึนปฏิบัติกำรได้ ท�ำให้กลุ่มเมฆเคล่อื นท่ี เชิงอุตสำหกรรมในล�ำดับต่อมำ พ้นพ้ืนท่ีเป้ำหมำย จำกปัญหำต่ำงๆ เหล่ำนี้ จงึ ได้มี กำรค้นคว้ำวจิ ยั ทดลองกรรมวธิ ีท�ำฝนข้ึน เพ่ือพฒั นำ ประการท่สี อง คือ กำรใช้เคร่อื งพ่นสำรเคมี ให้ก้ำวหน้ำย่งิ ข้ึน ซึ่งพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว อัดแรงก�ำลังสูงจำกยอดเขำสู่ฐำนของก้อนเมฆ ทรงพระกรณุ ำพระรำชทำนแนวควำมคิดในกำรวิจัย โดยตรง เพื่อช่วยให้เมฆท่ีตำมปกติมักลอยปกคลุม พัฒนำฝนหลวงเพือ่ เกษตรกรหลำยประกำร คือ อยู่เหนือยอดเขำ สำมำรถรวมตัวหนำแน่นจนเกดิ ฝนตกลงสู่บรเิ วณภเู ขำหรอื พ้นื ท่ใี ต้ลมของภูเขำ หำก ประการแรก สร้ำงจรวดฝนเทียมบรรจุ ผลกำรทดลองลลุ ว่ งเรยี บรอ้ ยเมอ่ื ใด กค็ งไดน้ ำ� ไปใชก้ ัน สำรเคมจี ำกพนื้ ดนิ เขำ้ สเู่ มฆหรือยงิ จำกเครือ่ งบิน ซงึ่ ได้ อย่ำงท่ัวถึง มกี ำรทดลองแลว้ มคี วำมกำ้ วหนำ้ ขนึ้ มำเปน็ ลำ� ดบั ขณะนี้ ก�ำลังอยู่ในขั้นท�ำกำรผลิตจรวดเชิงอตุ สำหกรรม ประการสดุ ทา้ ย คอื กำรทำ� ฝนในเมฆเยน็ จดั และคำดว่ำอกี ไม่นำนเกนิ รอ ไทยเรำกค็ งได้เป็นผู้น�ำ (Super Cooled Cloud) โดยใชส้ ำรทที่ ำ� ใหเ้ กดิ ฝนในกลมุ่ ของกำรท�ำฝนหลวงในภูมภิ ำคนีอ้ กี คร้งั หนึ่ง เมฆเยน็ จัด (ที่อยู่สงู เกินกว่ำ ๑๘,๐๐๐ ฟตุ ) ให้สำรน้ี เป็นตัวเกิดหรือเร่งเร้ำกระตุ้นกลไกของกำรเกดิ ผลึก พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวทรงพระกรุณำ น้�ำแข็งในก้อนหรอื กลุ่มเมฆนั้น กำรวิจัยน้ีอยู่ภำยใต้ พระรำชทำนแนวควำมคดิ ในกำรวจิ ยั เพือ่ แกไ้ ขปญั หำ โครงกำรวิจัยทรัพยำกรบรรยำกำศประยุกต์ ซ่ึงเป็น ในกำรใชเ้ ครอื่ งบนิ ทำ� ฝนหลวง ดว้ ยกำรใหท้ ำ� กำรวจิ ยั โครงกำรร่วมมือของรัฐบำลไทยและอเมริกำ ต้ังแต่ปี สร้ำงจรวดบรรจุสำรเคมียิงจำกพ้ืนดินเข้ำสู่ก้อนเมฆ ๒๕๓๑ เป็นต้นมำ หรอื ยงิ จำกเคร่อื งบิน จึงได้มีกำรเร่มิ วิจัยประดิษฐ์ จรวดทำ� ฝนร่วมกับกรมสรรพำวุธทหำรบก เม่อื พ.ศ. “ฝนหลวง” จึงนับว่ำเป็นท่ีพึ่งของเกษตรกร ๒๕๑๕ - ๒๕๑๖ จนกำ้ วหนำ้ ถงึ ระดบั ทดลองประดษิ ฐ์ ยำมเกิดภัยแล้งได้อย่ำงแท้จรงิ และได้ก้ำวเข้ำมำ จรวด เพ่อื ท�ำกำรยงิ ในเบื้องต้นแล้ว แต่ต้องหยุด มสี ่วนช่วยเหลือประเทศชำตนิ ำนำประกำร จนมอิ ำจ ชะงกั ดว้ ยควำมจำ� เปน็ บำงประกำรของกรมสรรพำวธุ กล่ำวได้หมดสิน้ ทหำรบก จนถงึ พ.ศ. ๒๕๒๔ คณะกรรมกำรสภำ วิจัยแห่งชำติได้แต่งตั้งคณะท�ำงำนพัฒนำและวิจัย วันนี้...สภำพควำมแห้งแล้งอันเป็นภัย จรวดฝนเทยี มขน้ึ ประกอบดว้ ยผเู้ ชยี่ วชำญดำ้ นจรวด พิบัติจำกธรรมชำติ...ได้กลับพลิกฟื้นคืนสู่สภำพ ของกองทพั บก กองทพั เรอื กองทพั อำกำศ นกั วชิ ำกำร ที่สดใสขึ้นอีกครั้งหนึ่งบนผืนแผ่นดินไทยโดย จำกสภำวิจัยแห่งชำติ และนกั วิชำกำรฝนหลวง ซึ่งได้ พระรำชดำ� ริ “ฝนหลวง” อนั เกดิ จำกนำ้� พระรำชหฤทยั ร่วมกันท�ำกำรวิจัยค้นคว้ำและพัฒนำจรวดต้นแบบ ทีเ่ ปี่ยมด้วยพระเมตตำและพระมหำกรุณำธิคุณ ขึ้นเพ่อื ท�ำกำรทดลองยิง และถงึ ข้ันบรรจุสำรเคมี แห่งพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว...ผู้ทรง เพ่ือทดลองยงิ เข้ำสู่ก้อนเมฆจรงิ แล้วต้ังแต่ปี พ.ศ. สอดสอ่ งดแู ลทกุ ขส์ ขุ และหว่ งใยทกุ ชวี ติ โดยแท.้ .. 95

แนวคดิ การพัฒนาทรพั ยากรแหลง่ นา้� ในบรรยากาศ “เครื่องดกั หมอก” เพอ่ื นา� มาใช้ประโยชนท์ างการเกษตร “...พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวพระรำชทำนพระรำชด�ำรใิ ห้จัดท�ำแผงดักหมอกและทดลองใช้ในบรเิ วณพระต�ำหนักภูพงิ ครำชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๑๔ มนี ำคม ๒๕๓๖...” พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวทรงศึกษำ ท่ีได้ถูกน�ำมำใช้ในบำงประเทศอย่ำงได้ผล โดยใน ข้อมูลเก่ยี วกบั กำรใช้ประโยชน์จำกหมอกท่ีล่องลอย ภูมิประเทศที่เป็นภูเขำและสงู จำกระดับน�้ำทะเล ในอำกำศว่ำ หมอกสำมำรถกลำยเป็นหยดน�้ำ ตั้งแต่ ๕๐๐ เมตรขึ้นไป มักจะมีหมอกหนำแน่น หล่อเลย้ี งต้นไม้ได้ เช่น ในกรณีหมอกปลิวมำกระทบ ถำ้ หำกสำมำรถนำ� ไอนำ้� ทม่ี อี ยใู่ นหมอกมำใชไ้ ด้ กจ็ ะ ก้อนหินแล้วจับตัวเป็นหยดน้�ำไหลลงสู่พ้ืนดิน ท�ำให้ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนอ์ ยำ่ งมหำศำลทำงดำ้ นกำรเกษตร ต้นไม้สำมำรถเจรญิ งอกงำมได้ และเป็นแนวคิด เช่น กำรปลูกป่ำ เป็นต้น 96