ราชกจิ จานเุ บกษา พระราชกาหนดพิกดั อัตราศลุ กากร พ.ศ. ๒๕๓๐
พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ภมู ิพลอดุลยเดช ป.ร. ใหไ้ ว้ ณ วนั ท่ี ๒๓ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นปี ที่ ๔๒ ในรัชกาลปัจจุบนั พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรด เกลา้ ฯ ใหป้ ระกาศวา่ โดยทเ่ี ป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าดว้ ยพกิ ดั อตั ราศุลกากร อาศยั อานาจตามความในมาตรา ๑๕๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยจึง ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ราพระราชกาหนดข้ึนไว้ ดงั ต่อไปน้ี มาตรา ๑ พระราชกาหนดน้ีเรียกว่า “พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐” มาตรา ๒[๑] พระราชกาหนดน้ีใหใ้ ชบ้ งั คบั ต้งั แต่วนั ถดั จากวนั ประกาศในราช กิจจานุเบกษาเป็นตน้ ไป มาตรา ๓ ใหย้ กเลิก (๑) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๐๓ (๒) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๐๔ (๓) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๐๔ (๔) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๐๔ (๕) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศลุ กากร (ฉบบั ที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๐๕
๒๕๑๕ (๖) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๐๕ (๗) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๐๕ (๘) พระราชบญั ญตั ิพิกดั อตั ราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๐๖ (๙) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๐๖ (๑๐) พระราชบญั ญตั ิพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๐๖ (๑๑) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๙) พ.ศ. ๒๕๐๖ (๑๒) พระราชบญั ญตั ิพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๗ (๑๓) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๐๗ (๑๔) พระราชบญั ญตั ิพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘ (๑๕) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๐๘ (๑๖) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๑๒) พ.ศ. ๒๕๐๙ (๑๗) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๐๙ (๑๘) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๑๐ (๑๙) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๑๕) พ.ศ. ๒๕๑๐ (๒๐) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๑๖) พ.ศ. ๒๕๑๐ (๒๑) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๑๑ (๒๒) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๑๑ (๒๓) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๑๑ (๒๔) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๑๑ (๒๕) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๒๑) พ.ศ. ๒๕๑๑ (๒๖) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศลุ กากร (ฉบบั ท่ี ๒๒) พ.ศ. ๒๕๑๒ (๒๗) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๑๓ (๒๘) ประกาศของคณะปฏิวตั ิ ฉบบั ที่ ๕๗ ลงวนั ท่ี ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ (๒๙) ประกาศของคณะปฏิวตั ิ ฉบบั ท่ี ๑๐๔ ลงวนั ท่ี ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ (๓๐) ประกาศของคณะปฏิวตั ิ ฉบบั ท่ี ๑๗๒ ลงวนั ท่ี ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ (๓๑) ประกาศของคณะปฏิวตั ิ ฉบบั ที่ ๒๗๘ ลงวนั ท่ี ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. (๓๒) ประกาศของคณะปฏิวตั ิ ฉบบั ที่ ๓๖๓ ลงวนั ท่ี ๑๓ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ (๓๓) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๑๖
(๓๔) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๒๕) พ.ศ. ๒๕๑๖ (๓๕) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศลุ กากร (ฉบบั ท่ี ๒๖) พ.ศ. ๒๕๑๗ (๓๖) พระราชบญั ญตั ิพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๑๗ (๓๗) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๑๘ (๓๘) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๒๘) พ.ศ. ๒๕๑๙ (๓๙) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๒๙) พ.ศ. ๒๕๒๐ (๔๐) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๓๐) พ.ศ. ๒๕๒๐ (๔๑) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๓๑) พ.ศ. ๒๕๒๐ (๔๒) พระราชบญั ญตั ิพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๐ (๔๓) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๓๒) พ.ศ. ๒๕๒๐ (๔๔) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๓๓) พ.ศ. ๒๕๒๑ (๔๕) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศลุ กากร (ฉบบั ท่ี ๓๔) พ.ศ. ๒๕๒๑ (๔๖) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๓๕) พ.ศ. ๒๕๒๑ (๔๗) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๓๖) พ.ศ. ๒๕๒๑ (๔๘) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๓๗) พ.ศ. ๒๕๒๒ (๔๙) พระราชบญั ญตั ิพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๒๒ (๕๐) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๓๘) พ.ศ. ๒๕๒๒ (๕๑) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๓๙) พ.ศ. ๒๕๒๒ (๕๒) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศลุ กากร (ฉบบั ท่ี ๔๐) พ.ศ. ๒๕๒๓ (๕๓) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศลุ กากร (ฉบบั ท่ี ๔๑) พ.ศ. ๒๕๒๔ (๕๔) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศลุ กากร (ฉบบั ท่ี ๔๒) พ.ศ. ๒๕๒๕ (๕๕) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ที่ ๔๓) พ.ศ. ๒๕๒๖ (๕๖) พระราชกาหนดพกิ ดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๔๔) พ.ศ. ๒๕๒๗ (๕๗) พระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๔๕) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔ ของที่นาหรือพาเขา้ มาในหรือส่งหรือพาออกไปนอกราชอาณาจกั รน้นั ใหเ้ รียกเก็บและเสียอากรตามท่ีกาหนดไวใ้ นพิกดั อตั ราอากรทา้ ยพระราชกาหนดน้ี ในการคานวณเงินอากรทีต่ อ้ งเสียหรือจ่ายคืนแต่ละรายการ เศษของหน่ึงบาทให้ ปัดทิง้
มาตรา ๕ ของใดท่ีระบอุ ตั ราอากรท้งั ตามราคาและตามสภาพ ใหเ้ สียอากรใน อตั ราท่ีคิดเป็นเงินสูงกวา่ มาตรา ๖ ถา้ อธิบดีกรมศุลกากรเห็นวา่ มีการหลีกเล่ียงอากรทพี่ งึ เกบ็ แก่สิ่งที่ สมบูรณ์แลว้ โดยวธิ ีนาส่ิงน้นั เขา้ มาเป็นส่วน ๆ ต่างหากจากกนั จะเป็นในวาระเดียวกนั หรือต่าง วาระกนั ก็ดี กใ็ หเ้ รียกเกบ็ อากรแก่ส่วนน้นั ๆ รวมกนั ในอตั ราทีถ่ ือเสมือนว่าเป็นสิ่งทไ่ี ดป้ ระกอบ มาสมบูรณ์แลว้ มาตรา ๗ การสาแดงรายการในใบขนสินคา้ ขาเขา้ และใบขนสินคา้ ขาออกน้นั มิ ใหถ้ ือวา่ บริบูรณ์ นอกจากจะสาแดงประเภทของและเกณฑ์ปริมาณทตี่ อ้ งใชใ้ นการเก็บอากรให้ ถูกตอ้ งครบถว้ นตามที่จาแนกและกาหนดไวใ้ นพิกดั อตั ราอากรทา้ ยพระราชกาหนดน้ี มาตรา ๘ ของที่ตอ้ งเสียอากรตามสภาพน้นั (๑) ถา้ เป็นของประเภทอาหารทบี่ รรจุภาชนะโดยมีของเหลวหล่อเล้ียงดว้ ยเพื่อ ประโยชน์ในการถนอมอาหารน้าหนกั ทใี่ ชเ้ ป็นเกณฑค์ านวณอากรใหถ้ ือเอาน้าหนกั แห่งของ รวมท้งั ของเหลวทบี่ รรจุในภาชนะน้นั (๒) ถา้ บรรจใุ นหีบห่อหรือภาชนะใด ๆ เพือ่ จาหน่ายท้งั หีบห่อหรือภาชนะ และมี เครื่องหมายหรือป้ายแสดงปริมาณแห่งของติดไวท้ ี่หีบห่อหรือภาชนะน้นั เพ่ือประโยชนใ์ นการ คานวณอากร อธิบดีกรมศุลกากรจะถือวา่ หีบห่อหรือภาชนะน้นั ๆ บรรจุของตามปริมาณดงั ท่ี แสดงไวก้ ไ็ ด้ มาตรา ๙ ของทต่ี อ้ งเสียอากรตามราคาน้นั อธิบดีกรมศุลกากรจะประกาศเป็น คร้ังคราวก็ไดว้ า่ ราคาในทอ้ งตลาดเป็นรายเฉล่ียสาหรับของประเภทหน่ึงประเภทใดกาหนดเป็น เงินเทา่ ใด ใหถ้ ือราคาเช่นวา่ น้ีเป็นเกณฑป์ ระเมินเงินอากรในประเภทของที่ประกาศน้นั แทน ราคาอนั แทจ้ ริงในทอ้ งตลาด นบั ต้งั แต่วนั ประกาศเป็นตน้ ไปจนกว่าจะมีประกาศยกเลิกหรือ เปลี่ยนแปลง การประกาศ การยกเลกิ หรือเปล่ียนแปลงประกาศในวรรคหน่ึง ใหป้ ระกาศใน ราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๐ ของใดซ่ึงในเวลานาเขา้ ไดร้ ับยกเวน้ หรือลดหยอ่ นอากรเพราะเหตุท่ี นาเขา้ มาเพอื่ ใชเ้ องโดยบคุ คลทีม่ ีสิทธิเช่นน้นั หรือเพราะเหตุทนี่ าเขา้ มาเพอ่ื ใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งใด ท่ีกาหนดไวโ้ ดยเฉพาะ ถา้ หากของน้นั ไดโ้ อนไปเป็นของบคุ คลทไี่ ม่มีสิทธิไดร้ ับยกเวน้ หรือ ลดหยอ่ นอากร หรือไดน้ าไปใชใ้ นการอ่นื นอกจากท่กี าหนดไว้ หรือสิทธิทไ่ี ดร้ ับยกเวน้ หรือ ลดหยอ่ นอากรสิ้นสุดลง ของน้นั จะตอ้ งเสียอากรโดยถือสภาพของของ ราคา และอตั ราอากรที่ เป็นอยใู่ นวนั โอนหรือนาไปใชใ้ นการอนื่ หรือวนั ทีส่ ิทธิไดร้ ับยกเวน้ หรือลดหยอ่ นอากรสิ้นสุด ลงเป็นเกณฑใ์ นการคานวณอากร สาหรับกรณีท่ีไดร้ ับลดหยอ่ นอากร ใหเ้ สียอากรเพมิ่ จากทไี่ ด้ เสียไวแ้ ลว้ ใหค้ รบถว้ นตามจานวนเงินอากรทจี่ ะพงึ ตอ้ งเสียท้งั หมดในเมื่อไดค้ านวณตามเกณฑ์ เช่นวา่ น้นั ท้งั น้ี ใหแ้ จง้ ขอชาระอากรหรืออากรเพิม่ ต่อกรมศุลกากรหรือด่านศุลกากรทไี่ ดน้ า ของน้นั เขา้ มาในราชอาณาจกั ร ภายในสามสิบวนั นบั แต่วนั ทคี่ วามรับผดิ ในอนั จะตอ้ งชาระอากร หรืออากรเพ่ิมเกิดข้ึน และตอ้ งชาระ ณ ที่ทาการศุลกากรซ่ึงกรมศุลกากรกาหนดใหเ้ สร็จสิ้น ภายในสามสิบวนั นบั แต่วนั ทไ่ี ดร้ ับแจง้ จานวนเงินอากรหรืออากรเพิ่มอนั จะพึงตอ้ งชาระ ถา้ มิได้ มีการปฏิบตั ิเช่นว่าน้นั ใหถ้ ือว่าของน้นั ไดน้ าเขา้ มาในราชอาณาจกั ร โดยหลกี เลี่ยงการเสียอากร แต่มิใหน้ ามาตรา ๑๗ แห่งพระราชบญั ญตั ิศุลกากร (ฉบบั ท่ี ๙) พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๒ มาใชบ้ งั คบั ในกรณีท่ีของน้นั ไดโ้ อนไปโดยสุจริต การชาระอากรหรืออากรเพม่ิ ตามความในวรรคแรก ใหเ้ ป็นความรับผดิ ของผู้ โอนของน้นั ไปเป็นของบุคคลทีไ่ ม่มีสิทธิไดร้ ับยกเวน้ หรือลดหยอ่ นอากร หรือผทู้ ีม่ ีสิทธิไดร้ ับ ยกเวน้ หรือลดหยอ่ นอากรไดน้ าหรือยนิ ยอมใหน้ าของน้นั ไปใชใ้ นการอ่นื หรือผทู้ ีไ่ ดร้ ับสิทธิ ยกเวน้ หรือลดหยอ่ นอากรสิ้นสิทธิลงในขณะเป็นเจา้ ของแลว้ แต่กรณี เวน้ แต่ในกรณีที่ผมู้ ีสิทธิ ไดร้ ับยกเวน้ หรือลดหยอ่ นอากรถึงแก่ความตายในขณะเป็นเจา้ ของ ใหผ้ จู้ ดั การมรดกหรือทายาท แลว้ แต่กรณี เป็นผรู้ ับผดิ ชาระอากรหรืออากรเพิม่ โดยใหแ้ จง้ ขอชาระอากรหรืออากรเพมิ่ ภายใน สามสิบวนั นบั แต่วนั ท่ีรู้ว่าของน้นั ผตู้ ายไดร้ ับยกเวน้ หรือลดหยอ่ นอากร บทบญั ญตั ิว่าดว้ ยความรับผดิ ในอนั จะตอ้ งเสียอากรหรืออากรเพม่ิ ตามมาตราน้ี มิ ใหใ้ ชบ้ งั คบั ในกรณีทข่ี องน้นั นาเขา้ โดยกระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวสิ าหกิจ ซ่ึงถา้ มีการ จาหน่ายของน้นั จะตอ้ งส่งรายรับท้งั สิ้นใหแ้ ก่รัฐโดยไม่หกั รายจ่าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลงั โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอานาจ ประกาศกาหนดใหข้ องบางประเภทหรือบางชนิดซ่ึงบคุ คลท่มี ีสิทธิไดร้ ับยกเวน้ หรือลดหยอ่ น อากรนาเขา้ มาเพือ่ ใชเ้ อง หรือของบางประเภทหรือบางชนิดที่นาเขา้ มาเพ่ือใชป้ ระโยชน์ที่
กาหนดไวโ้ ดยเฉพาะ ตามความในวรรคหน่ึง ไดร้ ับยกเวน้ จากบทบงั คบั แห่งมาตราน้ี โดยจะ กาหนดหลกั เกณฑแ์ ละเง่ือนไขใด ๆ ไวด้ ว้ ยก็ได้ การประกาศใหป้ ระกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๑๑ ของใดซ่ึงในเวลานาเขา้ ไดร้ ับยกเวน้ อากรโดยมีเงื่อนไขวา่ จะตอ้ ง ส่งกลบั ออกไปภายในระยะเวลาทก่ี าหนด ถา้ ภายในระยะเวลาทก่ี าหนดน้นั ของน้นั ไดโ้ อนไป เป็นของบุคคลท่มี ีสิทธิไดร้ ับยกเวน้ อากรหากนาของน้นั เขา้ มาเองหรือไดน้ าไปใชป้ ระโยชน์ที่ กฎหมายกาหนดใหไ้ ดร้ ับยกเวน้ อากรในการนาเขา้ โดยไม่มีเง่ือนไขว่าจะตอ้ งส่งกลบั ออกไป ให้ ของน้นั หลุดพน้ จากเง่ือนไขดงั กล่าว แต่ตอ้ งอยภู่ ายใตเ้ ง่ือนไขท่ีกฎหมายกาหนดไว้ สาหรับของ ท่ไี ดร้ ับยกเวน้ อากรเพราะนาเขา้ โดยบคุ คลทีม่ ีสิทธิหรือเพราะนาเขา้ เพ่อื ใชป้ ระโยชน์ท่กี ฎหมาย กาหนด ท้งั น้ี ใหถ้ ือวา่ ของน้นั ไดน้ าเขา้ โดยผรู้ ับโอนหรือเพื่อใชป้ ระโยชนด์ งั กล่าวต้งั แต่เวลาท่ี โอนหรือนาไปใชป้ ระโยชน์น้นั มาตรา ๑๒ เพอื่ ประโยชนแ์ ก่การเศรษฐกิจของประเทศหรือเพือ่ ความผาสุกของ ประชาชนหรือเพอ่ื ความมนั่ คงของประเทศ รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงการคลงั โดยความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรี มีอานาจประกาศลดอตั ราอากรสาหรับของใด ๆ จากอตั ราทกี่ าหนดไวใ้ นพิกดั อตั ราศุลกากร หรือยกเวน้ อากรสาหรับของใด ๆ หรือเรียกเกบ็ อากรพิเศษเพม่ิ ข้ึนสาหรับของใด ๆ ไม่เกินร้อยละหา้ สิบของอตั ราอากรที่กาหนดไวใ้ นพิกดั อตั ราศลุ กากรสาหรับของน้นั ท้งั น้ี โดยจะกาหนดหลกั เกณฑแ์ ละเงื่อนไขใด ๆ ไวด้ ว้ ยกไ็ ด้ การประกาศ การยกเลิกหรือเปล่ียนแปลงประกาศในวรรคหน่ึง ใหป้ ระกาศใน ราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๑๓ ในกรณีทรี่ ัฐมนตรีวา่ การกระทรวงการคลงั เห็นว่าของใดท่นี าเขา้ มา เป็นของทไ่ี ดร้ ับความช่วยเหลือจากประเทศหรือบุคคลใดโดยวธิ ีอน่ื นอกจากการคืนหรือชดเชย เงินค่าภาษีอากรอนั ก่อหรืออาจก่อใหเ้ กิดความเสียหายแก่การเกษตรหรือการอตุ สาหกรรมใน ประเทศ รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงการคลงั โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอานาจ ประกาศใหเ้ รียกเก็บอากรพเิ ศษแก่ของน้นั ในอตั ราตามที่เห็นสมควรนอกเหนือไปจากอากรทีพ่ งึ ตอ้ งเสียตามปกติ แต่อากรพเิ ศษท่ีเรียกเก็บน้ีจะตอ้ งไม่เกินจานวนทีร่ ัฐมนตรีวา่ การ กระทรวงการคลงั เห็นว่าไดม้ กี ารช่วยเหลือดงั กล่าวขา้ งตน้
การประกาศ การยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงประกาศในวรรคหน่ึง ใหป้ ระกาศใน ราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๑๔[๒] เพื่อปฏิบตั ิตามขอ้ ผกู พนั ตามสัญญาหรือความตกลงระหวา่ ง ประเทศทเี่ ป็นประโยชนแก่การเศรษฐกิจของประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลงั โดย ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอานาจประกาศยกเวน้ ลดหรือเพ่มิ อากรจากอตั ราทกี่ าหนดไว้ ในพิกดั อตั ราศุลกากร หรือประกาศเรียกเกบ็ อากรตามอตั ราท่กี าหนดไวใ้ นพิกดั อตั ราศุลกากร สาหรับของท่มี ีถิ่นกาเนินจากประเทศทรี่ ่วมลงนามหรือลกั ษณะตามทร่ี ะบไุ วใ้ นสัญญาหรือ ความตกลงดงั กล่าว ท้งั น้ี จะกาหนดหลกั เกณฑแ์ ละเง่ือนไขใด ๆ ไวด้ ว้ ยกไ็ ด้ การประกาศ การยกเลิกหรือการเปล่ียนแปลงประกาศตามวรรคหน่ึง ใหป้ ระกาศ ในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๑๕ อธิบดีกรมศุลกากรมีอานาจตีความในพิกดั อตั ราศุลกากรทา้ ยพระ ราชกาหนดน้ีโดยวิธีออกประกาศแจง้ พิกดั อตั ราศุลกากร การตีความตามวรรคหน่ึง มิใหม้ ีผลยอ้ นหลงั การตีความใหถ้ ือตามหลกั เกณฑก์ ารตีความพิกดั อตั ราศุลกากรในภาค ๑ ทา้ ยพระ ราชกาหนดน้ี ประกอบกบั คาอธิบายพกิ ดั ศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของคณะมนตรีความร่วมมือ ทางศุลกากรท่ีจดั ต้งั ข้ึนตามอนุสญั ญาวา่ ดว้ ยการจดั ต้งั คณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร ซ่ึง ทาเม่ือวนั ที่ ๑๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ และประเทศไทยไดเ้ ขา้ เป็นภาคีอนุสัญญาดงั กล่าวแลว้ เม่ือวนั ท่ี ๔ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๑๕ มาตรา ๑๖ บรรดาบทกฎหมายท่ีถูกยกเลิกตามมาตรา ๓ แห่งพระราชกาหนดน้ี ใหย้ งั คงใชบ้ งั คบั ต่อไปเฉพาะในการปฏิบตั ิจดั เกบ็ อากรที่คา้ งชาระ หรือท่ีพึงชาระหรือในการ คืนอากรก่อนวนั ที่พระราชกาหนดน้ีใชบ้ งั คบั มาตรา ๑๗ บรรดาประกาศหรือคาส่ังท่ีออกตามกฎหมายทีถ่ ูกยกเลิกตามมาตรา ๓ แห่งพระราชกาหนดน้ี ใหย้ งั คงใชบ้ งั คบั ไดต้ ่อไปเท่าท่ีไม่ขดั หรือแยง้ กบั บทบญั ญตั ิแห่งพระ ราชกาหนดน้ี ท้งั น้ี จนกว่าจะไดม้ ีประกาศหรือคาสัง่ ทอี่ อกตามพระราชกาหนดน้ีใชบ้ งั คบั
มาตรา ๑๘ ใหร้ ัฐมนตรีวา่ การกระทรวงการคลงั รักษาการตามพระราชกาหนดน้ี ผรู้ ับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ป. ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี
[เอกสารแนบท้าย] ๑. ภาค ๑ หลกั เกณฑก์ ารตีความพกิ ดั อตั ราศุลกากร ๒. ภาค ๒ พกิ ดั อตั ราอากรขาเขา้ ๓. ภาค ๓ พกิ ดั อตั ราอากรขาออก ๔. ภาค ๔ ของท่ไี ดร้ ับยกเวน้ อากร (ดขู ้อมลู จากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพ้ ระราชกาหนดฉบบั น้ี คือ เน่ืองจากพระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๐๓ ท่ใี ชบ้ งั คบั อยใู่ นปัจจุบนั น้นั ไดใ้ ชบ้ งั คบั มาเป็นเวลานาน ทาใหพ้ กิ ดั อตั ราศุลกากรทา้ ยพระราชกาหนดดงั กล่าวซ่ึงนามาจากระบบพกิ ดั ศุลกากรซ่ึง เรียกว่า CCCN ลา้ สมยั ขาดรายละเอียดและความชดั แจง้ ซ่ึงเป็นผลเสียแก่การคา้ การ อุตสาหกรรมและการลงทนุ ของประเทศสมควรปรับปรุงพระราชกาหนดดงั กล่าวเสียใหม่ เพ่ือใหเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์ปัจจุบนั โดยนาหลกั การและโครงสร้างการจาแนกประเภทพิกดั สินคา้ ซ่ึงเรียกวา่ ระบบฮาร์โมไนซ์อนั เป็นระบบทีช่ ดั แจง้ กวา่ มาใชแ้ ทน และเนื่องจากการ เปลี่ยนแปลงดงั กล่าวเป็นกรณีฉุกเฉินทีม่ ีความจาเป็นรีบด่วนในอนั จะรักษาความมนั่ คงในทาง เศรษฐกิจของประเทศ จึงจาเป็นตอ้ งตราพระราชกาหนดน้ี พระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพิม่ เติมพระราชกาหนดพิกดั อตั ราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบบั ที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๓๗[๓]
มาตรา ๒ พระราชบญั ญตั ิน้ีใหใ้ ชบ้ งั คบั ต้งั แต่วนั ถดั จากวนั ประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเป็นตน้ ไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ิฉบบั น้ี คือ โดยทีใ่ นปัจจุบนั การตกลง ระหว่างประเทศเก่ียวกบั การกาหนดอตั ราศุลกากรมีแนวโนม้ ท่ีจะเพิ่มมากข้ึน สมควรแกไ้ ข เพิม่ เติมกฎหมายว่าดว้ ยพิกดั อตั ราศุลกากร ใหร้ ัฐบาลสามารถยกเวน้ ลดหรือเพ่ิมอากรจากอตั รา ทกี่ าหนดไวใ้ นพิกดั อตั ราศุลกากร หรือประกาศเรียกเก็บอากรตามอตั ราท่ีกาหนดไวใ้ นพกิ ดั อตั ราศุลกากรเพ่อื รองรับพนั ธกรณีต่าง ๆ ที่ประเทศไทยไดเ้ ขา้ เป็ นสมาชิกขององค์การการคา้ โลก หรือท่ปี ระเทศไทยจะร่วมลงนาม หรือเขา้ เป็นสมาชิกในอนาคต จึงจาเป็นตอ้ งตราพระราช กาหนดน้ี สัญชยั /จดั ทา ๙ มกราคม ๒๕๕๒ พรรณพร/ปรับปรุง ๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๔/ตอนที่ ๒๗๖/ฉบบั พิเศษ หนา้ ๑/๓๑ ธนั วาคม ๒๕๓๐ [๒] มาตรา ๑๔ แกไ้ ขเพมิ่ เติมโดยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพิม่ เติมพระราชกาหนด พกิ ดั อตั ราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบบั ที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๓๗ [๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๑/ตอนท่ี ๖๒ ก/หนา้ ๓/๒๘ ธนั วาคม ๒๕๓๗
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: