Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ (๒)

พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ (๒)

Description: พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ (๒)

Search

Read the Text Version

ราชกิจจานเุ บกษา พระราชบญั ญัติ ให้ใช้พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม พ.ศ. ๒๕๔๓

พระราชบัญญตั ิ ใหใ้ ช้พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ภมู พิ ลอดุลยเดช ป.ร. ใหไ้ ว้ ณ วันท่ี ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นปที ี่ ๕๕ ในรชั กาลปัจจุบนั พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช มพี ระบรมราชโองการโปรด เกล้าฯ ใหป้ ระกาศว่า โดยท่ีเป็นการสมควรปรับปรุงพระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม จึงทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหต้ ราพระราชบญั ญัติขึ้นไว้โดยคาแนะนาและ ยนิ ยอมของรฐั สภา ดงั ตอ่ ไปน้ี มาตรา ๑ พระราชบญั ญัติน้เี รียกว่า “พระราชบัญญัติใหใ้ ช้พระธรรมนญู ศาล ยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญตั นิ ี้ใหใ้ ช้บังคบั ตัง้ แต่วนั ถัดจากวันประกาศในราชกจิ จา นุเบกษาเป็นตน้ ไป มาตรา ๓ ใหย้ กเลิกพระราชบญั ญตั ิใหใ้ ช้พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม พทุ ธศักราช ๒๔๗๗ และพระธรรมนูญศาลยุติธรรมซ่งึ ไดใ้ ชบ้ ังคบั โดยพระราชบัญญัติดงั กล่าว มาตรา ๔ ให้ใช้บทบญั ญัติทา้ ยพระราชบญั ญตั ินเ้ี ป็นพระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรม

มาตรา ๕ พระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรมทา้ ยพระราชบญั ญตั ินีใ้ ห้ใชบ้ ังคับแก่บรรดา คดีทีไ่ ด้ยืน่ ฟ้องในวนั ทพ่ี ระธรรมนูญศาลยุตธิ รรมทา้ ยพระราชบญั ญัตนิ ีใ้ ช้บงั คบั เปน็ ต้นไป ไมว่ า่ มลู คดีได้เกดิ ข้นึ กอ่ นหรอื ในวันทพ่ี ระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรมท้ายพระราชบัญญตั นิ ีใ้ ชบ้ งั คบั บรรดาคดีที่ได้ยน่ื ฟ้องก่อนวนั ทีพ่ ระธรรมนญู ศาลยุติธรรมท้ายพระราชบญั ญตั นิ ี้ใช้ บังคบั ให้บงั คับตามกฎหมายซ่ึงใช้อยู่ก่อนวันท่พี ระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรมท้ายพระราชบญั ญตั ิน้ใี ช้ บังคับจนกว่าคดีจะถงึ ที่สดุ เว้นแตม่ าตรา ๒๘ มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐ และมาตรา ๓๑ แห่งพระ ธรรมนูญศาลยุติธรรมท้ายพระราชบญั ญตั นิ ี้ ให้ใชบ้ งั คับแกค่ ดีในลักษณะดังกล่าวนบั แตว่ ันที่ ๑๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๖ ให้ผู้ทดี่ ารงตาแหน่งรองประธานศาลฎีกา และรองอธบิ ดีผู้พพิ ากษาศาล ชั้นต้น เฉพาะทมี่ อี าวุโสถัดจากรองประธานศาลฎกี า และรองอธบิ ดีผู้พพิ ากษาศาลชัน้ ต้น คนทีส่ าม และรองอธิบดผี ูพ้ ิพากษาภาคอยูใ่ นวันทพี่ ระธรรมนูญศาลยุตธิ รรมทา้ ยพระราชบญั ญตั ินใ้ี ช้บังคับ คงดารงตาแหนง่ ดังกล่าวได้ต่อไปจนกวา่ จะได้รบั แต่งต้งั ใหไ้ ปดารงตาแหน่งอ่ืน แตต่ อ้ งไม่เกินวันท่ี ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้ผู้ท่ีดารงตาแหน่งรองอธิบดีผ้พู พิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ และรองอธิบดผี พู้ พิ ากษา ศาลอุทธรณภ์ าค เฉพาะทีม่ ีอาวุโสถดั จากรองอธบิ ดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ และรองอธบิ ดีผู้ พิพากษาศาลอทุ ธรณ์ภาคคนทีห่ นงึ่ อยใู่ นวนั ทพ่ี ระธรรมนูญศาลยุตธิ รรมทา้ ยพระราชบัญญตั ินี้ใช้ บงั คับ คงดารงตาแหนง่ ดังกล่าวได้ต่อไปจนกว่าจะไดร้ ับแต่งตงั้ ใหไ้ ปดารงตาแหน่งอ่นื แตต่ อ้ งไม่ เกนิ วนั ที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ใหผ้ ู้ทีด่ ารงตาแหน่งอย่ตู ามวรรคหนงึ่ และวรรคสอง มีหนา้ ท่ีชว่ ยประธานศาลฎกี า ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธบิ ดผี พู้ พิ ากษาศาลชนั้ ต้น และอธิบดีผูพ้ พิ ากษา ภาค ตามท่ีประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดผี ้พู พิ ากษาศาล ชนั้ ต้น และอธิบดผี พู้ พิ ากษาภาคมอบหมาย แลว้ แตก่ รณี มาตรา ๗ บรรดาพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบยี บราชการฝ่ายตลุ าการ ระเบียบ ข้อบงั คับ และบรรดาคาสง่ั ต่าง ๆ ของรัฐมนตรวี ่าการกระทรวงยุตธิ รรมท่ีตรา หรือออก โดยอาศัยอานาจตามพระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรมซึ่งไดใ้ ชบ้ งั คับโดยพระราชบญั ญตั ใิ ห้ใช้พระ ธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม พุทธศักราช ๒๔๗๗ ก่อนวนั ท่ีพระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรมทา้ ยพระราชบัญญตั ิ น้ีใช้บังคบั ให้คงใช้บงั คบั ไดต้ อ่ ไปจนกว่าจะมีประกาศ ระเบียบ หรอื คาสั่ง ตามพระธรรมนูญศาล ยุติธรรมทา้ ยพระราชบญั ญัตินีอ้ อกใช้บงั คับแทน

มาตรา ๘ ใหป้ ระธานศาลฎีการักษาการตามพระราชบญั ญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลกี ภยั นายกรัฐมนตรี พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม หมวด ๑ บททัว่ ไป มาตรา ๑ ศาลยตุ ิธรรมตามพระธรรมนญู นมี้ สี ามช้นั คือ ศาลชนั้ ตน้ ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เวน้ แต่จะมกี ฎหมายบัญญตั ิไว้เปน็ อยา่ งอืน่ มาตรา ๒ ศาลช้นั ตน้ ไดแ้ ก่ ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพง่ ธนบุรี ศาล อาญา ศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาลอาญาธนบรุ ี ศาลจังหวดั ศาลแขวง และศาลยตุ ิธรรมอนื่ ที่ พระราชบญั ญตั จิ ดั ตั้งศาลนั้นกาหนดให้เป็นศาลชั้นต้น มาตรา ๓ ศาลอทุ ธรณ์ ได้แก่ ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค มาตรา ๔ ศาลฎีกา ศาลอทุ ธรณ์ และศาลช้ันต้น อาจแบ่งส่วนราชการเปน็ แผนก หรอื หน่วยงานทเี่ รยี กชอ่ื อยา่ งอ่นื และจะให้มอี านาจในคดีประเภทใดหรอื คดีในท้องทใ่ี ด ซ่งึ อยูใ่ น เขตอานาจของแต่ละศาลนั้นแยกต่างหากโดยเฉพาะกไ็ ด้ โดยออกเป็นประกาศคณะ กรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรม

ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมตามวรรคหนงึ่ เม่อื ประกาศในราช กจิ จานเุ บกษาแล้วใหใ้ ชบ้ ังคบั ได้ มาตรา ๕[๒] ให้ประธานศาลฎกี ามีหนา้ ที่วางระเบยี บราชการฝา่ ยตลุ าการของศาล ยุติธรรมเพือ่ ใหก้ จิ การของศาลยตุ ิธรรมดาเนินไปโดยเรียบร้อยและเปน็ ระเบยี บเดียวกัน และให้ ประธานศาลฎกี ามีอานาจให้คาแนะนาแกผ่ ู้พิพากษาในการปฏบิ ัตติ ามระเบียบวิธกี ารต่าง ๆ ท่ี กาหนดข้นึ โดยกฎหมายหรอื โดยประการอน่ื ใหเ้ ป็นไปโดยถูกตอ้ ง มาตรา ๖ ใหเ้ ลขาธิการสานักงานศาลยตุ ิธรรมโดยความเหน็ ชอบของ คณะกรรมการบรหิ ารศาลยุติธรรมมอี านาจเสนอความเห็นเก่ียวกบั การจัดต้ัง การยุบเลิก หรอื การ เปลย่ี นแปลงเขตอานาจศาลของศาลยุตธิ รรมตอ่ คณะรัฐมนตรีเพ่ือพจิ ารณาดาเนินการ ท้งั น้ี โดย คานึงถึงจานวน สภาพ สถานท่ีตงั้ และเขตอานาจศาลตามที่จาเป็นเพอ่ื ให้การอานวยความยตุ ิธรรม แก่ประชาชนเปน็ ไปโดยเรียบร้อยตลอดราชอาณาจกั ร มาตรา ๗ ให้คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกาหนดจานวนผู้พพิ ากษาในศาล ยตุ ิธรรมให้เหมาะสมตามความจาเป็นแหง่ ราชการ มาตรา ๘ ให้มีประธานศาลฎกี าประจาศาลฎกี าหน่ึงคน ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประจาศาลอทุ ธรณ์หน่งึ คน ประธานศาลอุทธรณ์ภาคประจาศาลอุทธรณ์ภาค ศาลละหนึ่งคน และ ให้มีอธิบดีผู้พิพากษาศาลชัน้ ตน้ ประจาศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาลอาญาธนบรุ ี และศาลยุตธิ รรมอน่ื ท่ีพระราชบญั ญัตจิ ัดตง้ั ศาลนน้ั กาหนดใหเ้ ป็นศาลชัน้ ตน้ ศาลละหนึ่งคน กับให้มีรองประธานศาลฎีกาประจาศาลฎีกา รอง ประธานศาลอทุ ธรณ์ประจาศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณภ์ าคประจาศาลอทุ ธรณ์ภาค และรองอธิบดีผ้พู พิ ากษาศาลช้ันต้นประจาศาลแพง่ ศาลแพ่งกรงุ เทพใต้ ศาลแพ่งธนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี และศาลยตุ ิธรรมอืน่ ที่พระราชบัญญตั จิ ัดตัง้ ศาลนั้น กาหนดใหเ้ ป็นศาลชัน้ ตน้ ศาลละหนึ่งคน และในกรณีที่มคี วามจาเป็นเพือ่ ประโยชนใ์ นทางราชการ คณะกรรมการบรหิ ารศาลยุติธรรมโดยความเห็นชอบของประธานศาลฎกี าจะกาหนดให้มีรอง ประธานศาลฎกี ามากกว่าหน่ึงคนแตไ่ ม่เกนิ หกคน รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาล อทุ ธรณ์ภาค หรือรองอธิบดีผูพ้ พิ ากษาศาลชั้นตน้ มากกวา่ หนึง่ คนแตไ่ ม่เกนิ สามคนกไ็ ด้[๓]

เมือ่ ตาแหน่งประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรอื อธิบดผี ้พู พิ ากษาศาลชน้ั ต้นวา่ งลง หรือเมือ่ ผู้ดารงตาแหน่งดงั กล่าวไมอ่ าจปฏิบัติราชการได้ให้รอง ประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรือรองอธบิ ดีผพู้ พิ ากษา ศาลชัน้ ต้น แล้วแต่กรณี เป็นผูท้ าการแทน ถ้ามรี องประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รอง ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรอื รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชนั้ ตน้ หลายคน ให้รองประธานศาลฎกี า รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรอื รองอธิบดผี ู้พิพากษาศาลชั้นตน้ ท่ีมี อาวุโสสูงสดุ เปน็ ผทู้ าการแทน ถ้าผู้ทม่ี ีอาวโุ สสงู สุดไมอ่ าจปฏบิ ัติราชการได้ ให้ผ้ทู ีม่ อี าวุโสถัดลงมา ตามลาดับเปน็ ผูท้ าการแทน[๔] ในกรณีท่ีไม่มีผทู้ าการแทนประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาล อุทธรณภ์ าค หรืออธิบดีผ้พู พิ ากษาศาลชน้ั ต้นตามวรรคสอง หรอื มีแต่ไม่อาจปฏบิ ตั ิราชการได้ ใหผ้ ู้ พพิ ากษาที่มีอาวโุ สสงู สดุ ในศาลนน้ั เปน็ ผู้ทาการแทน ถา้ ผทู้ ม่ี อี าวุโสสูงสุดไม่อาจปฏบิ ตั ิราชการได้ ให้ผู้พิพากษาทม่ี อี าวุโสถดั ลงมาตามลาดบั เป็นผทู้ าการแทน ในกรณีที่ไม่มผี ู้ทาการแทนตามวรรคสาม ประธานศาลฎีกาจะส่ังใหผ้ ู้พพิ ากษาคน หนง่ึ เป็นผทู้ าการแทนกไ็ ด้ ผูพ้ ิพากษาอาวุโสหรอื ผู้พิพากษาประจาศาลจะเปน็ ผ้ทู าการแทนในตาแหน่งตาม วรรคหนงึ่ ไมไ่ ด้ มาตรา ๙ ในศาลจังหวัดหรอื ศาลแขวง ใหม้ ีผู้พพิ ากษาหัวหนา้ ศาล ศาลละหนึ่งคน เมื่อตาแหนง่ ผู้พพิ ากษาหวั หนา้ ศาลจังหวัดหรือผู้พิพากษาหวั หนา้ ศาลแขวงว่างลง หรอื เมื่อผ้ดู ารงตาแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัตริ าชการได้ ให้ผพู้ ิพากษาทมี่ อี าวุโสสงู สุดในศาลนนั้ เป็นผทู้ าการแทน ถ้าผูท้ ี่มีอาวุโสสูงสุดในศาลน้ันไมอ่ าจปฏิบตั ริ าชการได้ ให้ผู้พิพากษาทีม่ ีอาวุโส ถัดลงมาตามลาดบั ในศาลน้นั เปน็ ผ้ทู าการแทน ในกรณีทีไ่ ม่มีผู้ทาการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎีกาจะส่ังให้ผู้พพิ ากษาคน หน่ึงเปน็ ผูท้ าการแทนกไ็ ด้ ผูพ้ ิพากษาอาวุโสหรอื ผู้พิพากษาประจาศาลจะเป็นผู้ทาการแทนในตาแหนง่ ตาม วรรคหนงึ่ ไม่ได้ มาตรา ๑๐ ในกรณที ่มี ีการแบ่งส่วนราชการในศาลฎีกา ศาลอทุ ธรณ์ หรือศาล ชัน้ ต้นออกเปน็ แผนกหรอื หนว่ ยงานท่เี รยี กชอื่ อย่างอนื่ ใหม้ ีผู้พพิ ากษาหวั หน้าแผนกหรอื ผู้ พิพากษาหวั หนา้ หนว่ ยงานทเี่ รยี กชือ่ อยา่ งอ่ืน แผนกหรอื หน่วยงานละหนึง่ คน

เมอื่ ตาแหนง่ ผพู้ ิพากษาหวั หนา้ แผนกหรอื ผู้พิพากษาหัวหน้าหนว่ ยงานท่ีเรยี กชื่อ อย่างอน่ื ตามวรรคหน่งึ วา่ งลง หรือเม่ือผดู้ ารงตาแหนง่ ดังกล่าวไม่อาจปฏิบตั ิราชการได้ ให้ผู้ พิพากษาท่ีมอี าวุโสสูงสดุ ในแผนกหรือในหน่วยงานท่ีเรยี กช่ืออยา่ งอืน่ น้นั เปน็ ผู้ทาการแทน ถา้ ผ้ทู ี่มี อาวุโสสูงสดุ ในแผนกหรอื ในหน่วยงานท่ีเรยี กชอ่ื อยา่ งอน่ื นน้ั ไม่อาจปฏิบัตริ าชการได้ ให้ผ้พู พิ ากษา ท่ีมีอาวโุ สถดั ลงมาตามลาดบั ในแผนกหรือในหน่วยงานที่เรยี กชอ่ื อยา่ งอื่นนัน้ เปน็ ผทู้ าการแทน ในกรณีท่ไี ม่มีผู้ทาการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎีกาจะส่ังให้ผู้พพิ ากษาคน หนง่ึ เป็นผทู้ าการแทนกไ็ ด้ ผู้พพิ ากษาอาวุโสหรอื ผู้พิพากษาประจาศาลจะทาการแทนในตาแหน่งตามวรรค หนึ่งไม่ได้ มาตรา ๑๑ ประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณภ์ าค อธิบดผี ู้พิพากษาศาลชั้นตน้ และผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ต้องรบั ผิดชอบในราชการของศาลให้ เป็นไปโดยเรียบรอ้ ย และใหม้ ีอานาจหน้าที่ดังตอ่ ไปนีด้ ว้ ย (๑)[๕] น่งั พจิ ารณาและพิพากษาคดใี ด ๆ ของศาลน้ัน หรือเมอื่ ได้ตรวจสานวนคดีใด แล้วมีอานาจทาความเห็นแย้งได้ (๒) สั่งคาร้องคาขอต่าง ๆ ทยี่ ืน่ ต่อตนตามบทบญั ญตั แิ ห่งกฎหมายว่าดว้ ยวธิ ี พิจารณาความ (๓) ระมัดระวังการใช้ระเบียบวธิ ีการต่าง ๆ ท่กี าหนดข้ึนโดยกฎหมายหรอื โดย ประการอื่นให้เป็นไปโดยถกู ตอ้ ง เพ่อื ให้การพจิ ารณาพพิ ากษาคดเี สรจ็ เดด็ ขาดไปโดยเร็ว (๔) ให้คาแนะนาแกผ่ ูพ้ พิ ากษาในศาลนั้นในขอ้ ขดั ขอ้ งเนอื่ งในการปฏบิ ัตหิ นา้ ทีข่ อง ผพู้ ิพากษา (๕) ร่วมมือกับเจ้าพนกั งานฝา่ ยปกครองในบรรดากจิ การอันเกี่ยวกบั การจดั วาง ระเบียบและการดาเนนิ การงานสว่ นธุรการของศาล (๖) ทารายงานการคดีและกจิ การของศาลส่งตามระเบียบ (๗) มีอานาจหนา้ ทอี่ ่นื ตามท่ีกฎหมายกาหนด ใหร้ องประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรือรองอธบิ ดผี พู้ พิ ากษาศาลชั้นต้น มีอานาจตาม (๒) ดว้ ย และให้มีหนา้ ทช่ี ่วยประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรอื อธิบดีผู้พิพากษาศาลชน้ั ต้น แลว้ แตก่ รณี ตามทีป่ ระธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอุทธรณภ์ าค หรอื อธิบดผี ู้พิพากษาศาล ช้นั ต้นมอบหมาย

มาตรา ๑๒ ผ้พู พิ ากษาหัวหนา้ แผนกหรอื ผพู้ ิพากษาหวั หนา้ หน่วยงานทเ่ี รยี กชือ่ อย่างอ่นื ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึง่ ตอ้ งรบั ผดิ ชอบงานของแผนกหรือหนว่ ยงานที่เรยี กชื่ออยา่ งอนื่ ให้เป็นไปโดยเรยี บรอ้ ยตามท่กี าหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยตุ ธิ รรมท่ีได้จัดตัง้ แผนกหรอื หนว่ ยงานท่ีเรียกชื่ออย่างอ่ืนน้นั และต้องปฏิบตั ิตามคาสั่งของประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชน้ั ตน้ หรือผู้พิพากษาหัวหนา้ ศาลนนั้ มาตรา ๑๓[๖] ใหม้ อี ธบิ ดผี ูพ้ พิ ากษาภาค ภาคละหนงึ่ คน จานวนเกา้ ภาค มสี ถาน ทต่ี งั้ และเขตอานาจตามทค่ี ณะกรรมการบริหารศาลยตุ ธิ รรมกาหนดโดยประกาศในราชกจิ จา นุเบกษา กบั ใหม้ รี องอธบิ ดีผู้พิพากษาภาค ภาคละสามคน ในกรณีที่มีความจาเป็นเพือ่ ประโยชน์ ในทางราชการ คณะกรรมการบริหารศาลยุตธิ รรมโดยความเหน็ ชอบของประธานศาลฎีกาจะ กาหนดให้มรี องอธิบดีผู้พิพากษาภาคมากกว่าสามคนแต่ไม่เกนิ หกคนกไ็ ด้ เม่ือตาแหนง่ อธบิ ดผี ู้พพิ ากษาภาคว่างลง หรือเมอื่ ผ้ดู ารงตาแหน่งดงั กล่าวไม่อาจ ปฏิบัตริ าชการได้ ให้รองอธบิ ดผี ู้พพิ ากษาภาคที่มอี าวโุ สสงู สดุ เป็นผู้ทาการแทน ถ้าผทู้ ่ีมอี าวุโส สงู สดุ ไมอ่ าจปฏิบัตริ าชการได้ ใหผ้ ู้ทมี่ อี าวโุ สถัดลงมาตามลาดับเปน็ ผ้ทู าการแทน ในกรณีท่ีไม่มผี ูท้ าการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎกี าจะสั่งใหผ้ ู้พพิ ากษาคน หน่ึงเป็นผ้ทู าการแทนก็ได้ ผู้พิพากษาอาวุโสหรอื ผู้พิพากษาประจาศาลจะเป็นผทู้ าการแทนในตาแหน่งตาม วรรคหน่ึงไม่ได้ มาตรา ๑๔ ให้อธบิ ดผี พู้ ิพากษาภาคเป็นผู้พิพากษาในศาลท่อี ยใู่ นเขตอานาจด้วยผู้ หนึ่ง โดยใหม้ อี านาจและหนา้ ทีต่ ามทก่ี าหนดไว้ในมาตรา ๑๑ วรรคหน่งึ และให้มีอานาจหนา้ ที่ ดังตอ่ ไปน้ดี ว้ ย (๑) ส่ังให้หวั หน้าสานักงานประจาศาลยุติธรรมรายงานเก่ยี วด้วยคดี หรือรายงาน กิจการอน่ื ของศาลท่ีอยู่ในเขตอานาจของตน (๒) ในกรณีจาเป็นจะส่ังให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนงึ่ ในศาลทอ่ี ยใู่ นเขตอานาจของ ตนไปชว่ ยทางานช่วั คราวมกี าหนดไม่เกนิ สามเดอื นในอีกศาลหน่ึงโดยความยนิ ยอมของผู้พิพากษา นั้นก็ได้ แลว้ รายงานไปยงั ประธานศาลฎกี าทนั ที

ใหร้ องอธิบดผี ู้พิพากษาภาคเปน็ ผ้พู ิพากษาในศาลที่อย่ใู นเขตอานาจดว้ ย โดยใหม้ ี อานาจตามทีก่ าหนดไวใ้ นมาตรา ๑๑ วรรคหน่งึ (๒) และให้มีหนา้ ทช่ี ่วยอธิบดีผูพ้ ิพากษาภาคตามท่ี อธิบดผี ู้พพิ ากษาภาคมอบหมาย[๗] หมวด ๒ เขตอานาจศาล มาตรา ๑๕ ห้ามมใิ ห้ศาลยุติธรรมศาลใดศาลหนง่ึ รับคดซี ่งึ ศาลยตุ ธิ รรมอน่ื ได้สั่งรับ ประทับฟอ้ งโดยชอบแลว้ ไวพ้ ิจารณาพพิ ากษา เว้นแต่คดีนัน้ จะได้โอนมาตามบทบัญญตั แิ ห่ง กฎหมายวา่ ด้วยวธิ พี ิจารณาความหรือตามพระธรรมนูญศาลยุตธิ รรม มาตรา ๑๖ ศาลชั้นตน้ มีเขตตามท่ีพระราชบญั ญัตจิ ัดตง้ั ศาลน้ันกาหนดไวใ้ นกรณี ทม่ี ีความจาเป็นต้องเปล่ยี นแปลงเขตอานาจศาลเพอ่ื ประโยชนใ์ นการอานวยความยตุ ธิ รรมแก่ ประชาชน ให้ตราเปน็ พระราชกฤษฎกี า[๘] ศาลแพ่งและศาลอาญา มีเขตตลอดทอ้ งท่ีกรุงเทพมหานครนอกจากท้องทีท่ อี่ ยู่ใน เขตของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพง่ ธนบุรี ศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี ศาลจังหวัดมนี บุรี และศาลยตุ ธิ รรมอนื่ ตามทพ่ี ระราชบัญญตั ิจัดต้งั ศาลน้ันกาหนดไว้ ในกรณีที่มกี ารย่นื ฟอ้ งคดีตอ่ ศาลแพ่งหรือศาลอาญา และคดีน้นั เกิดข้ึนนอกเขต ของศาลแพง่ หรือศาลอาญา ศาลแพง่ หรือศาลอาญา แล้วแต่กรณี อาจใช้ดลุ พนิ ิจยอมรับไว้ พจิ ารณาพพิ ากษาหรือมคี าสั่งโอนคดไี ปยงั ศาลยุตธิ รรมอน่ื ท่มี ีเขตอานาจ ในกรณีทมี่ ีการยื่นฟอ้ งคดีต่อศาลจงั หวดั และคดีนน้ั เกดิ ขน้ึ ในเขตของศาลแขวง และอยใู่ นอานาจของศาลแขวง ใหศ้ าลจังหวัดน้ันมคี าสัง่ โอนคดไี ปยังศาลแขวงท่ีมเี ขตอานาจ มาตรา ๑๗ ศาลแขวงมอี านาจพจิ ารณาพิพากษาคดี และมีอานาจทาการไตส่ วน หรือมคี าสั่งใด ๆ ซงึ่ ผพู้ ิพากษาคนเดียวมอี านาจตามทก่ี าหนดไว้ในมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๕ วรรคหนึง่ มาตรา ๑๘ ศาลจังหวดั มีอานาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงท่ี มิไดอ้ ยใู่ นอานาจของศาลยตุ ิธรรมอืน่

มาตรา ๑๙ ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และศาลแพ่งธนบรุ ีมีอานาจพจิ ารณา พิพากษาคดแี พ่งทงั้ ปวงและคดีอนื่ ใดทีม่ ิไดอ้ ยู่ในอานาจของศาลยตุ ธิ รรมอ่นื ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ และศาลอาญาธนบรุ ีมอี านาจพิจารณาพิพากษา คดีอาญาทง้ั ปวงทม่ี ไิ ด้อยู่ในอานาจของศาลยุตธิ รรมอ่ืน รวมทง้ั คดอี ืน่ ใดท่มี ีกฎหมายบญั ญัตใิ หอ้ ยู่ ในอานาจของศาลที่มอี านาจพิจารณาคดอี าญา แล้วแตก่ รณี มาตรา ๒๐ ศาลยุติธรรมอื่นมีอานาจพิจารณาพพิ ากษาคดีตามท่ีพระราชบญั ญัติ จัดตง้ั ศาลน้นั หรอื กฎหมายอื่นกาหนดไว้ มาตรา ๒๑ ศาลอุทธรณ์มีเขตตลอดท้องที่ท่มี ิไดอ้ ยูใ่ นเขตศาลอทุ ธรณภ์ าค ในกรณีทีม่ กี ารยน่ื อุทธรณค์ ดตี ่อศาลอทุ ธรณ์ และคดนี ัน้ อยู่นอกเขตของศาล อุทธรณ์ ศาลอุทธรณอ์ าจใชด้ ลุ พินิจยอมรบั ไวพ้ จิ ารณาพิพากษาหรอื มีคาสั่งโอนคดีนั้นไปยังศาล อุทธรณภ์ าคทม่ี ีเขตอานาจ มาตรา ๒๒ ศาลอุทธรณแ์ ละศาลอุทธรณภ์ าคมอี านาจพิจารณาพพิ ากษาบรรดา คดีที่อทุ ธรณ์คาพพิ ากษาหรอื คาส่ังของศาลช้ันต้น ตามบทบัญญตั ิแห่งกฎหมายวา่ ด้วยการอทุ ธรณ์ และวา่ ดว้ ยเขตอานาจศาล และมีอานาจดงั ต่อไปนี้ (๑) พพิ ากษายืนตาม แกไ้ ข กลบั หรอื ยกคาพิพากษาของศาลช้ันต้นทีพ่ พิ ากษา ลงโทษประหารชีวติ หรอื จาคกุ ตลอดชีวติ ในเมือ่ คดีนัน้ ได้ส่งขนึ้ มายังศาลอทุ ธรณแ์ ละศาลอุทธรณ์ ภาคตามทบ่ี ญั ญัติไวใ้ นกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (๒) วนิ ิจฉัยชข้ี าดคาร้องคาขอทย่ี ่ืนต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคตาม กฎหมาย (๓) วินจิ ฉยั ช้ีขาดคดีทศี่ าลอทุ ธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมอี านาจวนิ จิ ฉยั ไดต้ าม กฎหมายอื่น มาตรา ๒๓ ศาลฎกี ามอี านาจพิจารณาพิพากษาคดที ่ีรัฐธรรมนญู หรอื กฎหมาย บัญญตั ิให้เสนอตอ่ ศาลฎีกาได้โดยตรง และคดีทอี่ ุทธรณ์หรอื ฎีกาคาพพิ ากษาหรือคาส่ังของศาล ช้นั ตน้ ศาลอทุ ธรณ์ หรอื ศาลอุทธรณภ์ าคตามทกี่ ฎหมายบัญญตั ิ เวน้ แต่กรณที ่ีศาลฎีกาเห็นว่าขอ้ กฎหมายหรือข้อเทจ็ จริงทีอ่ ุทธรณ์หรือฎกี านั้นจะไม่เป็นสาระอนั ควรแกก่ ารพจิ ารณา ศาลฎกี ามี

อานาจไมร่ ับคดีไวพ้ ิจารณาพิพากษาได้ ทง้ั นี้ ตามระเบียบทที่ ีป่ ระชุมใหญศ่ าลฎกี ากาหนดโดย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา[๙] คดีท่ศี าลฎกี าได้พิจารณาพพิ ากษาหรอื มคี าสั่งแล้ว คู่ความไม่มีสทิ ธทิ จี่ ะทูลเกล้าฯ ถวายฎกี าคดั ค้านคดีน้ันต่อไป หมวด ๓ องคค์ ณะผพู้ ิพากษา มาตรา ๒๔ ให้ผพู้ พิ ากษาคนหนึ่งมอี านาจดังต่อไปน้ี (๑) ออกหมายเรยี ก หมายอาญา หรือหมายส่งั ให้ส่งคนมาจากหรือไปยงั จงั หวัดอน่ื (๒) ออกคาส่งั ใด ๆ ซง่ึ มิใช่เป็นไปในทางวินิจฉยั ชข้ี าดขอ้ พพิ าทแห่งคดี มาตรา ๒๕ ในศาลชั้นตน้ ผพู้ ิพากษาคนเดียวเปน็ องค์คณะมีอานาจเกย่ี วแกค่ ดีซง่ึ อยู่ในอานาจของศาลนนั้ ดังต่อไปน้ี (๑) ไต่สวนและวนิ ิจฉยั ชี้ขาดคาร้องหรือคาขอทยี่ นื่ ต่อศาลในคดที ั้งปวง (๒) ไตส่ วนและมคี าสง่ั เก่ียวกบั วธิ ีการเพอ่ื ความปลอดภัย (๓) ไต่สวนมูลฟอ้ งและมคี าสั่งในคดอี าญา (๔) พิจารณาพิพากษาคดแี พ่ง ซึง่ ราคาทรัพยส์ ินทพ่ี พิ าทหรือจานวนเงนิ ที่ฟอ้ งไม่ เกนิ สามแสนบาท ราคาทรพั ยส์ นิ ที่พิพาทหรอื จานวนเงินดงั กล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระ ราชกฤษฎกี า (๕) พิจารณาพพิ ากษาคดีอาญา ซ่งึ กฎหมายกาหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จาคุกไม่ เกนิ สามปี หรอื ปรบั ไม่เกินหกหมนื่ บาท หรือทงั้ จาทัง้ ปรับ แต่จะลงโทษจาคุกเกนิ หกเดอื น หรือ ปรบั เกินหนงึ่ หม่ืนบาท หรือท้งั จาทัง้ ปรับ ซ่ึงโทษจาคุกหรือปรับอยา่ งใดอย่างหน่ึงหรอื ทง้ั สองอยา่ ง เกนิ อัตราทก่ี ล่าวแลว้ ไมไ่ ด้ ผู้พิพากษาประจาศาลไม่มีอานาจตาม (๓) (๔) หรือ (๕) มาตรา ๒๖ ภายใตบ้ ังคบั มาตรา ๒๕ ในการพจิ ารณาพิพากษาคดขี องศาลชน้ั ต้น นอกจากศาลแขวงและศาลยตุ ธิ รรมอื่นซ่ึงพระราชบญั ญตั จิ ัดต้งั ศาลนน้ั กาหนดไว้เป็นอยา่ งอ่ืน ตอ้ ง

มีผูพ้ พิ ากษาอย่างนอ้ ยสองคนและตอ้ งไม่เป็นผู้พพิ ากษาประจาศาลเกินหนึง่ คน จงึ เป็นองค์คณะท่ี มีอานาจพจิ ารณาพิพากษาคดีแพง่ หรือคดีอาญาทัง้ ปวง มาตรา ๒๗ ในการพจิ ารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ ศาลอทุ ธรณภ์ าคหรอื ศาลฎีกา ต้องมีผู้พิพากษาอยา่ งนอ้ ยสามคน จงึ เปน็ องคค์ ณะทีม่ ีอานาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดีได้ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค และผพู้ ิพากษาศาลฎกี า ทเี่ ข้า ประชมุ ใหญ่ในศาลนนั้ หรอื ในแผนกคดขี องศาลดงั กล่าว เม่ือไดต้ รวจสานวนคดีท่ีประชุมใหญ่หรือท่ี ประชมุ แผนกคดแี ลว้ มอี านาจพิพากษาหรือทาคาสั่งคดีน้นั ได้ และเฉพาะในศาลอทุ ธรณห์ รอื ศาล อุทธรณภ์ าคมอี านาจทาความเหน็ แย้งไดด้ ้วย มาตรา ๒๘ ในระหวา่ งการพจิ ารณาคดีใด หากมเี หตุสุดวิสยั หรือมเี หตุจาเปน็ อ่ืน อันมอิ าจกา้ วลว่ งได้ ทาใหผ้ ู้พิพากษาซ่ึงเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดนี ้ัน ไมอ่ าจจะนัง่ พจิ ารณา คดตี ่อไป ให้ผพู้ ิพากษาดังตอ่ ไปน้ีนงั่ พิจารณาคดีน้นั แทนต่อไปได้ (๑) ในศาลฎีกา ได้แก่ ประธานศาลฎกี า หรือรองประธานศาลฎกี า หรอื ผ้พู พิ ากษา ในศาลฎกี าซึ่งประธานศาลฎกี ามอบหมาย (๒) ในศาลอุทธรณ์หรือศาลอทุ ธรณภ์ าค ได้แก่ ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาล อุทธรณ์ภาค หรอื รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณภ์ าค หรือผพู้ ิพากษาในศาล อุทธรณ์หรือศาลอทุ ธรณ์ภาคซ่ึงประธานศาลอุทธรณ์หรอื ประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค แลว้ แต่กรณี มอบหมาย (๓)[๑๐] ในศาลช้ันต้น ไดแ้ ก่ อธบิ ดีผพู้ ิพากษาศาลช้ันตน้ อธบิ ดผี พู้ พิ ากษาภาค ผู้ พพิ ากษาหัวหน้าศาล หรือรองอธิบดผี พู้ ิพากษาศาลชัน้ ตน้ รองอธบิ ดผี พู้ พิ ากษาภาค หรอื ผู้ พพิ ากษาในศาลชัน้ ตน้ ของศาลนั้น ซงึ่ อธิบดผี พู้ ิพากษาศาลช้นั ต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค หรอื ผู้ พพิ ากษาหัวหนา้ ศาล แลว้ แตก่ รณี มอบหมาย ใหผ้ ู้ทาการแทนในตาแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๓ มี อานาจตาม (๑) (๒) และ (๓) ดว้ ย มาตรา ๒๙ ในระหวา่ งการทาคาพิพากษาคดใี ด หากมเี หตุสดุ วสิ ยั หรือเหตจุ าเป็น อน่ื อนั มิอาจก้าวลว่ งได้ ทาใหผ้ พู้ ิพากษาซึง่ เป็นองคค์ ณะในการพจิ ารณาคดีนน้ั ไมอ่ าจจะทาคา พพิ ากษาในคดีน้ันต่อไปได้ ใหผ้ ้พู ิพากษาดังต่อไปนม้ี อี านาจลงลายมอื ชื่อทาคาพิพากษา และ

เฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลช้นั ต้น มอี านาจทาความเหน็ แย้งได้ด้วย ทัง้ นี้ หลงั จากไดต้ รวจสานวนคดนี น้ั แล้ว (๑) ในศาลฎกี า ได้แก่ ประธานศาลฎกี าหรอื รองประธานศาลฎีกา (๒) ในศาลอุทธรณห์ รอื ศาลอุทธรณ์ภาค ได้แก่ ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาล อทุ ธรณภ์ าค รองประธานศาลอุทธรณ์ หรอื รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค แล้วแต่กรณี (๓)[๑๑] ในศาลชนั้ ต้น ไดแ้ ก่ อธบิ ดผี ู้พิพากษาศาลช้นั ต้น อธิบดผี ูพ้ ิพากษาภาค รอง อธิบดผี ูพ้ พิ ากษาศาลชัน้ ตน้ รองอธิบดผี ู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแตก่ รณี ใหผ้ ูท้ าการแทนในตาแหนง่ ต่าง ๆ ตามมาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๓ มี อานาจตาม (๑) (๒) และ (๓) ด้วย มาตรา ๓๐ เหตจุ าเปน็ อ่ืนอันมอิ าจก้าวล่วงไดต้ ามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ หมายถึง กรณที ผ่ี ู้พิพากษาซึง่ เป็นองคค์ ณะนงั่ พจิ ารณาคดนี น้ั พน้ จากตาแหน่งท่ีดารงอย่หู รือถูก คดั ค้านและถอนตัวไป หรือไม่อาจปฏบิ ตั ิราชการจนไม่สามารถนัง่ พจิ ารณาหรือทาคาพิพากษาใน คดีน้นั ได้ มาตรา ๓๑ เหตจุ าเป็นอืน่ อนั มอิ าจกา้ วลว่ งได้ตามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ นอกจากท่กี าหนดไวใ้ นมาตรา ๓๐ แลว้ ให้หมายความรวมถึงกรณดี ังตอ่ ไปน้ดี ้วย (๑) กรณที ี่ผูพ้ พิ ากษาคนเดียวไตส่ วนมูลฟ้องคดอี าญาแล้วเหน็ ว่าควรพิพากษายก ฟอ้ ง แตค่ ดีน้นั มีอัตราโทษตามที่กฎหมายกาหนดเกินกวา่ อตั ราโทษตามมาตรา ๒๕ (๕) (๒) กรณีที่ผพู้ พิ ากษาคนเดยี วพจิ ารณาคดีอาญาตามมาตรา ๒๕ (๕) แลว้ เห็นวา่ ควร พพิ ากษาลงโทษจาคกุ เกนิ กวา่ หกเดอื น หรอื ปรับเกนิ หนง่ึ หม่ืนบาท หรือทง้ั จาท้งั ปรับ ซึ่งโทษจาคุก หรอื ปรบั นน้ั อย่างใดอย่างหน่งึ หรือทั้งสองอย่างเกนิ อตั ราดังกลา่ ว (๓) กรณีทค่ี าพพิ ากษาหรอื คาส่งั คดแี พ่งเร่ืองใดของศาลน้นั จะตอ้ งกระทาโดยองค์ คณะซงึ่ ประกอบดว้ ยผพู้ ิพากษาหลายคน และผพู้ พิ ากษาในองค์คณะนนั้ มคี วามเห็นแย้งกนั จนหา เสียงขา้ งมากมไิ ด้ (๔) กรณที ่ีผู้พพิ ากษาคนเดียวพจิ ารณาคดแี พง่ ตามมาตรา ๒๕ (๔) ไปแลว้ ต่อมา ปรากฏว่าราคาทรพั ยส์ ินท่ีพิพาทหรือจานวนเงินที่ฟ้องเกนิ กวา่ อานาจพจิ ารณาพพิ ากษาของผู้ พิพากษาคนเดยี ว

หมวด ๔ การจ่าย การโอน และการเรียกคนื สานวนคดี มาตรา ๓๒ ให้ประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณภ์ าค อธบิ ดผี ูพ้ ิพากษาศาลชัน้ ตน้ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล หรือผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกคดีในแต่ละศาล แล้วแต่กรณี รบั ผดิ ชอบในการจา่ ยสานวนคดีให้แก่องค์คณะผพู้ พิ ากษาในศาลหรือในแผนกคดีนั้น โดยใหป้ ฏบิ ัตติ ามหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการทกี่ าหนดโดยระเบยี บราชการฝา่ ยตุลาการของศาลยุตธิ รรม การออกระเบียบราชการฝ่ายตุลาการของศาลยตุ ธิ รรมตามวรรคหนงึ่ ใหค้ านึงถงึ ความเชยี่ วชาญและความเหมาะสมขององค์คณะผพู้ พิ ากษาทจ่ี ะรบั ผิดชอบสานวนคดีนน้ั รวมท้ัง ปรมิ าณคดที อี่ งคค์ ณะผู้พพิ ากษาแตล่ ะองค์คณะรับผิดชอบ มาตรา ๓๓ การเรยี กคืนสานวนคดีหรอื การโอนสานวนคดีซึง่ อยู่ในความ รับผิดชอบขององค์คณะผ้พู ิพากษาใด ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชัน้ ต้น หรือผู้พิพากษาหัวหนา้ ศาล จะกระทาไดต้ อ่ เมื่อเป็นกรณที จี่ ะ กระทบกระเทือนตอ่ ความยุตธิ รรมในการพจิ ารณาหรือพิพากษาอรรถคดขี องศาลนั้น และรอง ประธานศาลฎกี า รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค รองอธิบดีผพู้ ิพากษาศาล ช้นั ตน้ หรือผพู้ พิ ากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง ที่มีอาวโุ สสูงสดุ ในศาลน้ัน แล้วแต่กรณี ทม่ี ไิ ด้ เป็นองคค์ ณะในสานวนคดดี ังกลา่ วไดเ้ สนอความเห็นให้กระทาได้[๑๒] ในกรณีทรี่ องประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณ์ ภาค รองอธบิ ดผี ู้พพิ ากษาศาลชั้นตน้ หรอื ผพู้ ิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง ทม่ี ีอาวโุ สสูงสดุ ในศาลน้ัน แลว้ แต่กรณี ไมอ่ าจปฏิบัติราชการได้ หรอื ได้เข้าเป็นองค์คณะในสานวนคดีทีเ่ รียกคนื หรือโอนนั้น ใหร้ องประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค รอง อธบิ ดีผู้พิพากษาศาลช้ันต้น หรือผู้พิพากษา ทีม่ อี าวโุ สถัดลงมาตามลาดับในศาลนั้น เป็นผูม้ ีอานาจ ในการเสนอความเห็นแทน ในกรณที ่ีรองประธานศาลฎกี า รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธาน ศาลอทุ ธรณภ์ าค รองอธิบดผี ู้พิพากษาศาลชัน้ ตน้ มหี น่ึงคน หรอื มหี ลายคนแตไ่ ม่อาจปฏิบัติ ราชการไดห้ รอื ได้เขา้ เป็นองค์คณะในสานวนคดที ่เี รียกคืนหรือโอนน้นั ท้ังหมด ให้ผู้พพิ ากษาทีม่ ี อาวุโสสูงสุดของศาลน้นั เปน็ ผมู้ ีอานาจในการเสนอความเหน็ [๑๓] ผพู้ ิพากษาอาวุโสหรอื ผู้พิพากษาประจาศาลไมม่ ีอานาจในการเสนอความเหน็ ตาม วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง

ในกรณีท่ผี ู้พพิ ากษาเจา้ ของสานวนหรือองค์คณะผู้พพิ ากษามีคดคี ้างการพิจารณา อย่เู ปน็ จานวนมาก ซึง่ จะทาใหก้ ารพิจารณาพพิ ากษาคดีของศาลน้ันลา่ ช้า และผพู้ พิ ากษาเจ้าของ สานวนหรือองค์คณะผูพ้ พิ ากษาน้นั ขอคืนสานวนคดที ี่ตนรับผิดชอบอยู่ ให้ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค อธิบดผี ู้พิพากษาศาลช้ันต้น หรือผพู้ ิพากษาหัวหน้า ศาล แล้วแตก่ รณี มอี านาจรบั คนื สานวนคดีดังกลา่ ว และโอนใหผ้ ู้พพิ ากษาหรอื องคค์ ณะผู้พิพากษา อนื่ ในศาลนนั้ รบั ผดิ ชอบแทนได้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ี คือ โดยที่มาตรา ๒๓๖ ของ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย บญั ญตั ิให้การนง่ั พจิ ารณาคดขี องศาลต้องมีผู้พิพากษาครบองค์ คณะและผพู้ ิพากษาซงึ่ มไิ ดน้ ัง่ พิจารณาคดใี ดจะทาคาพิพากษาคดีนนั้ มิได้ เวน้ แต่มเี หตสุ ุดวสิ ยั หรอื มเี หตุจาเป็นอืน่ อนั มอิ าจกา้ วล่วงได้ ทง้ั น้ี ตามทีก่ ฎหมายบญั ญัติ ประกอบกบั มาตรา ๒๔๙ ของ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย บญั ญัติให้การจ่ายสานวนคดีให้ผพู้ ิพากษาตอ้ งเปน็ ไปตาม หลักเกณฑ์ท่ีกฎหมายบัญญัติ และได้หา้ มการเรียกคืนสานวนคดีหรือการโอนสานวนคดี เวน้ แต่ เป็นกรณที จ่ี ะกระทบกระเทือนต่อความยุตธิ รรมในการพิจารณาพพิ ากษาอรรถคดี นอกจากนี้ ไดม้ ี การตรากฎหมายตามมาตรา ๒๗๕ ของรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย ซง่ึ บัญญัติใหศ้ าล ยตุ ิธรรมมีหนว่ ยธุรการท่เี ปน็ อิสระ โดยมีเลขาธกิ ารสานกั งานศาลยุตธิ รรมเปน็ ผบู้ งั คับบญั ชาขึน้ ตรงต่อประธานศาลฎีกา ดังน้นั เพ่อื เปน็ การรองรับบทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั ร ไทย และเพ่ือให้การจัดระบบการบริหารงานศาลยตุ ธิ รรมตามพระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรมสอดคลอ้ ง กบั กฎหมายซ่งึ ตราข้นึ ตามมาตรา ๒๗๕ ดังกลา่ ว จงึ จาเปน็ ต้องตราพระราชบญั ญัตนิ ี้ พระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพม่ิ เตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม พ.ศ. ๒๕๕๐[๑๔] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพ้ ระราชบัญญตั ิฉบบั น้ี คือ โดยท่บี ทบัญญัติแห่งพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรมไดก้ าหนดใหศ้ าลชนั้ ต้นมีเขตอานาจตามทก่ี าหนดไว้ในพระราชบัญญตั ิ จงึ ทาให้การ เปลย่ี นแปลงเขตอานาจศาลดังกล่าวจะต้องตราเป็นพระราชบญั ญตั ิ ซง่ึ ตอ้ งใช้เวลานานไมท่ นั กับ การแก้ไขเปล่ียนแปลงเขตพ้ืนทท่ี างปกครอง และไม่เออื้ ประโยชน์ในการอานวยความยุติธรรมแก่ ประชาชน ดังนนั้ เพื่อให้การเปลย่ี นแปลงเขตอานาจศาลชั้นตน้ สามารถกระทาได้อย่างคล่องตัว สมควรแก้ไขเพม่ิ เติมพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมเพอ่ื ให้การเปล่ียนแปลงเขตอานาจศาลช้ันตน้ สามารถกระทาได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎกี า จึงจาเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญตั นิ ้ี

พระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพม่ิ เติมพระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรม (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐[๑๕] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญตั ิฉบบั นี้ คอื โดยทีพ่ ระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม ไดก้ าหนดใหม้ ีรองประธานศาลฎกี าหนงึ่ คน รองประธานศาลอทุ ธรณ์ และรองประธานศาลอุทธรณ์ ภาค ศาลละหนงึ่ คน และในกรณที ่ีมคี วามจาเป็นเพื่อประโยชนใ์ นทางราชการ คณะกรรมการ บรหิ ารศาลยุติธรรมโดยความเหน็ ชอบของประธานศาลฎกี าจะกาหนดใหม้ รี องประธานศาลฎกี า มากกวา่ หน่งึ คนแตไ่ มเ่ กนิ สามคนก็ได้ แตเ่ นื่องจากในปจั จบุ นั ปรมิ าณงานของประธานศาลฎกี า ประธานศาลอทุ ธรณ์ และประธานศาลอุทธรณภ์ าคไดเ้ พิม่ มากขนึ้ เป็นลาดบั สมควรกาหนดใหม้ ี การเพมิ่ การกาหนดจานวนรองประธานศาลฎกี าได้ไม่เกนิ หกคน และจานวนรองประธานศาล อทุ ธรณห์ รือรองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาคได้ไมเ่ กินสามคน เพ่ือช่วยแบง่ เบาภาระหน้าทีข่ อง ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์และประธานศาลอุทธรณภ์ าค จงึ จาเป็นตอ้ งตรา พระราชบัญญัตนิ ้ี พระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑[๑๖] หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้พระราชบญั ญัตฉิ บบั น้ี คือ โดยท่กี ารพิจารณาพิพากษาอรรถ คดขี องศาลยตุ ธิ รรมเป็นงานท่ีต้องใชค้ วามละเอยี ดรอบคอบและการกล่ันกรองจากผ้พู พิ ากษาทีม่ ี ประสบการณ์ สมควรกาหนดใหป้ ระธานศาลฎีกามอี านาจให้คาแนะนาแก่ข้าราชการตุลาการ และ ใหผ้ ทู้ ี่รบั ผดิ ชอบการบริหารงานของศาลมีอานาจหนา้ ทใ่ี นการตรวจสานวนและทาความเห็นแยง้ ทง้ั ยังสมควรเพิม่ เติมบทบัญญัติทเ่ี กย่ี วกบั อานาจพจิ ารณาพิพากษาคดีของศาลฎกี าให้สอดคลอ้ ง กบั บทบญั ญัตขิ องรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๑๙ วรรค สอง จงึ จาเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญตั นิ ้ี พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพ่มิ เตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม (ฉบบั ที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕[๑๗] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบญั ญตั ิฉบบั นี้ คือ เนือ่ งด้วยปริมาณงานตลุ าการและ งานธุรการคดขี องศาลยตุ ธิ รรมได้เพิม่ มากข้ึนเปน็ ลาดับแตผ่ รู้ บั ผดิ ชอบควบคมุ ดแู ลงานของศาล ยุติธรรมในส่วนภูมภิ าคมีอธบิ ดีผู้พิพากษาภาคเพียงคนเดยี ว ไมม่ ผี ูช้ ่วยปฏิบตั ริ าชการ ทาให้

ราชการของศาลยุตธิ รรมไม่อาจดาเนนิ ไปได้ด้วยความสะดวก รวดเรว็ และมีประสิทธิภาพ เทา่ ที่ควร และปริมาณคดที เ่ี พม่ิ มากขน้ึ ดงั กล่าวสง่ ผลตอ่ ระยะเวลาในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดีของ ศาลช้นั ต้น ทาใหก้ ารพจิ ารณาพิพากษาคดีของศาลช้ันตน้ มีความลา่ ช้ากระทบตอ่ การอานวยความ ยตุ ธิ รรมแกป่ ระชาชนและคู่ความในคดี ดังน้ัน เพอื่ ให้การบรหิ ารจัดการคดีของศาลยุตธิ รรมเปน็ ไป โดยสะดวก รวดเร็ว และมปี ระสิทธิภาพเพื่อประโยชนใ์ นการพิจารณาพพิ ากษาอรรถคดีให้เปน็ ไป โดยถกู ตอ้ ง รวดเร็ว และเปน็ ธรรม สมควรแก้ไขเพม่ิ เตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรมโดยกาหนด ตาแหนง่ รองอธบิ ดีผพู้ ิพากษาภาคและอานาจหน้าทีข่ องอธบิ ดีผพู้ ิพากษาภาคและรองอธิบดผี ู้ พพิ ากษาภาค จึงจาเปน็ ต้องตราพระราชบัญญตั นิ ้ี ปณตภร/ผ้จู ัดทา ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กองกฎหมายไทย/ปรบั ปรงุ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ [๑] ราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๑๑๗/ตอนที่ ๔๔ ก/หน้า ๑/๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๓ [๒] มาตรา ๕ แกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนญู ศาล ยุติธรรม (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๓] มาตรา ๘ วรรคหนึง่ แกไ้ ขเพิม่ เติมโดยพระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพม่ิ เติมพระ ธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๔] มาตรา ๘ วรรคสอง แกไ้ ขเพมิ่ เติมโดยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพมิ่ เติมพระ ธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๕] มาตรา ๑๑ (๑) แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ โดยพระราชบัญญัติแกไ้ ขเพ่มิ เติมพระธรรมนูญ ศาลยตุ ิธรรม (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๖] มาตรา ๑๓ แกไ้ ขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ พระธรรมนูญศาล ยุติธรรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕

[๗] มาตรา ๑๔ วรรคสอง เพิม่ โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่มิ เติมพระธรรมนญู ศาล ยุตธิ รรม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕ [๘] มาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญตั ิแก้ไขเพม่ิ เตมิ พระ ธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๐ [๙] มาตรา ๒๓ วรรคหนง่ึ แกไ้ ขเพม่ิ เติมโดยพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพม่ิ เติมพระ ธรรมนูญศาลยุตธิ รรม (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๐] มาตรา ๒๘ (๓) แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเตมิ พระธรรมนูญ ศาลยุตธิ รรม (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕ [๑๑] มาตรา ๒๙ (๓) แก้ไขเพม่ิ เติมโดยพระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพิม่ เตมิ พระธรรมนูญ ศาลยตุ ธิ รรม (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕ [๑๒] มาตรา ๓๓ วรรคหนง่ึ แก้ไขเพิม่ เติมโดยพระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพิ่มเตมิ พระ ธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๓] มาตรา ๓๓ วรรคสอง แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญตั ิแก้ไขเพมิ่ เตมิ พระ ธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๔] ราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ ๑๒๔/ตอนท่ี ๕๑ ก/หน้า ๒๑/๕ กันยายน ๒๕๕๐ [๑๕] ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนท่ี ๕๑ ก/หน้า ๒๔/๕ กนั ยายน ๒๕๕๐ [๑๖] ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๓๗ ก/หน้า ๔๔/๒๒ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๑ [๑๗] ราชกิจจานุเบกษา เลม่ ๑๒๙/ตอนที่ ๓๗ ก/หน้า ๑/๒๗ เมษายน ๒๕๕๕