Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการผลิตหม่อนใบอินทรีย์

คู่มือการผลิตหม่อนใบอินทรีย์

Description: คู่มือการผลิตหม่อนใบอินทรีย์

Search

Read the Text Version

คู่ มื อ กรมหมอ่ นไหม 1คูม่ ือการผลิตหมอ่ นใบอินทรีย์

คู่ มื อ สารบญั เกษตรอนิ ทรียค์ อื อะไร 3 ประโยชนข์ องเกษตรอนิ ทรีย์ 4 แนวทางการผลติ หมอ่ นใบอนิ ทรยี ์ 5 กระบวนการผลิตหมอ่ นใบอินทรยี ์ 6 บนั ทกึ การผลติ หมอ่ นใบอนิ ทรยี ์ 11 ภาคผนวก 1 22 วธิ ีการเกบ็ ตวั อย่างดนิ และนำ้�เพ่ือการวเิ คราะห์ 22 รายละเอียดประกอบตวั อย่างดิน 24 หลักเกณฑใ์ นการเกบ็ ตัวอย่างนำ้� 25 ภาคผนวก 2 27 ตารางท่ี 1 ปจจยั การผลติ ทใ่ี ชเ ปน ปยุ และสารปรับปรงุ บํารงุ ดนิ 27 ตารางท่ี 2 สารที่ใช้ส�ำ หรบั ควบคุมศัตรแู ละโรคของพชื 30

เกษตรอนิ ทรยี ค์ อื อะไร เกษตรอนิ ทรีย์ หรือ Organic Agriculture คอื ระบบการจดั การ การผลติ ด้านการเกษตรแบบองค์รวม ท่คี ำ�นึงถงึ สภาพแวดลอ้ มรักษาสมดุลของ ธรรมชาตทิ เ่ี กอ้ื หนนุ ตอ่ ระบบนเิ วศ เพอ่ื สง่ เสรมิ ความอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ รวมถงึ ความหลากหลายทางชีวภาพและวงจรชีวิตในระบบนิเวศและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ให้กลับคืนสู่สมดุลธรรมชาติโดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งการทำ�การเกษตร โดยใชป้ ยุ๋ อนิ ทรยี ์ การใชป้ ยุ๋ ชวี ภาพและสมนุ ไพรในการปอ้ งกนั และก�ำ จดั ศตั รพู ชื นน้ั กล่าวได้ว่าเป็นเพียงส่วนหน่ึงในการทำ�การเกษตรอินทรีย์เท่าน้ัน เพราะเกษตร อินทรีย์จะรวมไปถึงการใช้วัสดุธรรมชาติโดยหลีกเล่ียงการใช้วัตถุดิบจากการ สังเคราะห์ทางการเกษตรทุกชนดิ เชน่ ปุย๋ เคมี ยาฆ่าหญา้ ฯลฯ และการใช้ ทรพั ยากรในทอ้ งถนิ่ มาหมนุ เวยี นใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ เพอ่ื รกั ษาความสมดลุ ของ ธาตอุ าหาร ทง้ั นย้ี งั ตอ้ งมกี ารเลอื กใชพ้ นั ธพ์ุ ชื ทม่ี คี วามตา้ นทานและมคี วามหลากหลาย หลีกเล่ียงการใช้พันธ์ุพืชหรือสัตว์ท่ีเกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม และมีการ เตรียมดินที่ดี โดยใช้แรงงานคนหรือเคร่ืองมือกลในการกำ�จัดวัชพืช มีการใช้ ตวั หำ�้ ตวั เบยี น มาผสมผสานในการกำ�จดั ศัตรูพืช ตลอดกระท่ังการปฏิบัติหลัง การเกบ็ เกย่ี วและการแปรรปู ควรใชว้ ธิ ธี รรมชาตแิ ละประหยดั พลงั งาน พรอ้ มทง้ั ใหค้ วามส�ำ คญั ถงึ ผลกระทบตอ่ มนษุ ยแ์ ละสงิ่ มชี วี ติ อนื่ รวมไปถงึ ควรมกี ารจดั เกบ็ บันทึกข้อมลู ไวเ้ พื่อรอการตรวจสอบ 3คมู่ ือการผลิตหม่อนใบอินทรยี ์

การเกษตรสมัยใหม่ มีการใช้ทรัพยากรดินโดยไม่คำ�นึงถึงผลเสีย ทางกายภาพของดิน ทำ�ให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง เป็นผลให้เกิดการ สูญเสียความสามารถในการดูดซับแร่ธาตุ ขาดแคลนธาตุอาหารรองในพืช กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาพชื ออ่ นแอ ขาดภมู ติ า้ นทานโรค และท�ำ ใหก้ ารคกุ คามของแมลง และเชื้อโรคเกิดข้ึนได้ง่าย ซ่ึงนำ�ไปสู่การใช้สารเคมีฆ่าแมลงและเชื้อราเพ่ิมข้ึน ทง้ั นดี้ นิ ทเ่ี สอ่ื มสภาพนน้ั จะเรง่ การเจรญิ เตบิ โตของวชั พชื ใหแ้ ขง่ กบั พชื การเกษตร ซ่ึงนำ�ไปสู่การใช้สารเคมีสังเคราะห์กำ�จัดวัชพืช ซ่ึงทำ�ให้การเพาะปลูกมีการ ลงทุนท่ีสงู ขนึ้ ในขณะที่ราคาผลผลิตอาจจะไม่สงู ขึ้นตามไปดว้ ย ท�ำ ให้เกษตรกร ขาดทุน และมหี นสี้ ินเพมิ่ ขนึ้ นอกจากนแี้ มน่ ้ำ�และแหลง่ น�้ำ อาจปนเปือ้ นไปดว้ ย สารเคมีทก่ี ่อใหเ้ กดิ วิกฤติในห่วงโซอ่ าหารและระบบการเกษตร ท�ำ ใหเ้ กดิ ปญั หา สิ่งแวดล้อมและสุขภาพในปจั จบุ นั อยา่ งมาก เกษตรกรและภาครัฐจึงมีความตืน่ ตวั ทจ่ี ะสนบั สนนุ การท�ำ การเกษตรอนิ ทรยี ม์ ากขนึ้ ทง้ั นเ้ี ปน็ ผลสบื เนอื่ งมาจากได้ เหน็ พิษภัยของสารเคมีตา่ งๆ ซ่ึงสง่ ผลกระทบตอ่ ดิน แหลง่ น้�ำ สภาพแวดล้อม และพิษภัยอนั ตรายตอ่ ส่งิ มีชวี ิต ประโยชน์ของเกษตรอินทรีย์ การทำ�การเกษตรอินทรีย์ ทำ�ให้ส่ิงแวดล้อมและผืนดินมีความอุดม สมบรู ณ์ สามารถจดั การของเสยี ไดด้ ี ใชพ้ ลงั งานต�ำ่ กวา่ การเกษตรทว่ั ไป นอกจาก นี้ยังค้นพบว่าดินของระบบเกษตรอินทรีย์สามารถจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วสามารถเปล่ียนเป็นเน้ือดินด้วยกระบวนการจับคาร์บอนร่วมกันระหว่างพืช และดิน ซ่ึงสามารถลดก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนได้ ทั้งนี้การ ทำ�การเกษตรอินทรีย์ยังชว่ ยในเรอ่ื งการลดตน้ ทุนการผลิต ลดความเส่ยี งในการ ผลติ และอาจไดผ้ ลก�ำ ไรทสี่ งู ขนึ้ เนอ่ื งจากผลผลติ ทางเกษตรอนิ ทรยี ไ์ ดร้ าคาพเิ ศษ และผลผลติ ทไ่ี ดจ้ ากเกษตรอนิ ทรยี เ์ ปน็ ผลผลติ ทมี่ ปี ระโยชนไ์ รส้ ารพษิ ซงึ่ สรา้ งให้ มนษุ ยม์ อี าหารทถี่ กู สขุ ลกั ษณะ สขุ ภาพแขง็ แรง นอกจากนเ้ี กษตรอนิ ทรยี ย์ งั มผี ล ในเรอ่ื งการเผยแพรค่ วามรภู้ ายในชมุ ชน ท�ำ ใหเ้ กษตรกรมสี ว่ นรว่ มในการพฒั นา และมีการทำ�งานรว่ มกันในชมุ ชนมากขน้ึ 4 กรมหมอ่ นไหม

แนวทางการผลติ หม่อนใบอินทรยี ์ เป็นท่ีทราบกันดีอยู่แล้วว่าใบหม่อนมีสารดิอ็อกซิโนจิริมายซิน (Deoxynojirimycin) ซ่งึ สารน้มี ีผลในการลดระดับนำ�้ ตาลในเลือด มีสารกาบา (GABA – gamma amino butyric acid) ทม่ี คี ณุ สมบตั ใิ นการลดความดนั โลหติ และสารไฟโตสเตอรอล (Phytosterol) ที่มีประสิทธิภาพในการลดระดับ คอเลสเตอรอล แรธ่ าตุ และวิตามนิ ท่เี ปน็ ประโยชนต์ อ่ ร่างกายโดยรวมสงู กวา่ ใบชา อาทิ แคลเซยี ม โปรแตสเซยี ม โซเดยี ม แมกนเี ซยี ม เหลก็ สงั กะสี วติ ามนิ เอ วิตามินบี อีกท้ังยงั มี กรดอะมิโน ทจี่ ำ�เปน็ ต่อรา่ งกายครบทุกชนิด ชาวอีสานได้ ใช้ใบหม่อนปรงุ อาหารแทนผงชรู ส และเป็นสว่ นประกอบของอาหารพน้ื บา้ นได้ หลายชนิด เชน่ ตม้ ย�ำ แกงออ่ ม และผกั เคยี ง ฯลฯ มาเปน็ เวลาชา้ นานแล้ว ปัจจบุ ันชาใบหมอ่ นไดเ้ ขา้ มาสอู่ ุตสาหกรรมอาหารตา่ ง ๆ เชน่ ไอศกรีมชาเขยี ว ใบหม่อน เคก้ ชาใบหมอ่ น คุกก้ีใบหม่อน บะหมีใ่ บหมอ่ น นอกจากนีใ้ บหมอ่ นยัง มีประโยชนอ์ ีกมาก ดังจะเหน็ ได้จากมีการศกึ ษาหาขอ้ มูลเพ่มิ เตมิ เร่ือยมา ต้งั แต่ ชาใบหม่อนได้กลายเป็นผลติ ภัณฑ์ที่รจู้ กั กนั โดยท่ัวไป เกษตรกร และผู้ประกอบ การ สามารถยดึ เปน็ อาชีพได้ อกี ทงั้ สินคา้ หนง่ึ ตำ�บลหน่งึ ผลิตภณั ฑ์ของหลายๆ จงั หวดั มกี ารเตบิ โต อยา่ งตอ่ เนอ่ื งทงั้ ตลาดตา่ งประเทศและตลาดภายในประเทศ เพอ่ื ใหเ้ กดิ การใชใ้ บหมอ่ นหรอื ชาใบหมอ่ นไดก้ วา้ งขวางมากขนึ้ พบวา่ ในใบหมอ่ น มสี ารเควอซิติน (quercetin) และ เคมเฟอรอล (kaempferol) ซ่ึงเป็นสารกลุ่ม ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ทีม่ คี ณุ สมบตั ิ ดังน้ี - ป้องกันการดดู ซึมของน้ำ�ตาลในลำ�ไส้เล็ก - ทำ�ใหก้ ระแสเลือดหมนุ เวียนดี และหลอดเลือดแข็งแรง - ยับย้ังการเกิดสารก่อมะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งเต้านม และมะเร็ง ล�ำ ไสใ้ หญ่ - ลดอาการแพต้ ่าง ๆ และยืดอายุเม็ดเลือดขาว - สารทง้ั 2 ชนดิ น้ี สามารถดูดซึมเข้าสรู่ า่ งกายทางล�ำ ไสเ้ ล็กและ ไมเ่ ปลย่ี นแปลงสภาพ พชื ใชส้ ารเหลา่ นเ้ี พอ่ื ใหท้ นตอ่ ลม ฝน แสงแดด ซงึ่ รา่ งกาย มนุษยไ์ ม่สามารถสรา้ งขึ้นเองได้ตอ้ งอาศัยจากพืช นอกจากน้นั ยงั พบสารโพลฟี ีนอลโดยรวม (polyphenols) ซงึ่ มีฤทธ์ิ ต้านอนุมลู อิสระได้ดกี วา่ สารส�ำ คญั 2 ชนดิ ทีก่ ล่าวมาข้างต้น เปน็ ท่นี ่าสังเกต วา่ สารส�ำ คญั เหลา่ นจี้ ะพบมากในใบหมอ่ นสว่ นยอด มากกวา่ ใบออ่ น และพบใน ใบออ่ นมากกวา่ ใบแก่ ดงั นน้ั การจ�ำ หนา่ ยชาใบหมอ่ นทท่ี �ำ จากสว่ นยอดควรมรี าคาสงู กวา่ ชาใบหมอ่ นทท่ี �ำ จากใบออ่ น และใบแก่ ตามล�ำ ดบั การปลกู หมอ่ นในสถานท่ี ต่างกันก็ทำ�ให้สารสำ�คัญท่ีได้แตกต่างกัน เช่นเดียวกับพันธ์ุหม่อน ปัจจุบันพบ 5คมู่ ือการผลติ หมอ่ นใบอนิ ทรยี ์

วา่ พันธบ์ุ รุ ีรัมย์ 60 (บร.60) และพนั ธน์ุ ครราชสีมา 60 (นม.60) เปน็ พนั ธท์ุ ใ่ี ห้ สารส�ำ คญั สงู กวา่ หม่อนพันธุพ์ ื้นเมอื ง การผลิตชาใบหม่อนในรปู ของชาเขียวทงั้ การผลติ แบบครวั เรอื นและโรงงานจะใหป้ รมิ าณสารเควอซติ นิ เคมเฟอรอล และ โพลีฟีนอลโดยรวมสูงสุด ดังนั้นการผลิตชาใบหม่อนควรผลิตด้วยกระบวนการ ผลิตชาเขียว และใชว้ ธิ ีการนึ่งหรือผา่ นไอน้�ำ เดอื ดเปน็ เวลา 1 – 2 นาที แทน วธิ กี ารเดมิ ท่ีเคยแนะน�ำ ใหล้ วกนำ้�ร้อน 20 วินาทีแล้วจุ่มนำ�้ เยน็ ทันที เนื่องจาก วธิ ีนส้ี ารออกฤทธ์ิในใบหมอ่ นจะสูญเสยี ไปสว่ นหนึ่ง เนื่องจากคุณประโยชน์มากมายที่มีอยู่ในใบหม่อน ความนิยมในการ บริโภคชาใบหม่อนจึงเพิ่มสูงข้ึนอย่างต่อเนื่องจากผู้บริโภคท่ีให้ความสำ�คัญกับ สุขภาพ ซึ่งก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงข้ึนสำ�หรับเกษตรกรผู้ปลูกหม่อน ผลิตใบ กระบวนการผลิตหม่อนใบอินทรยี ม์ ดี ังตอ่ ไปนี้ 1. การคัดเลอื กพนื้ ทเ่ี พาะปลกู - พนื้ ทค่ี วรมขี นาดใหญต่ ดิ ตอ่ กนั และมคี วามอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ โดย ธรรมชาตคิ อ่ นขา้ งสงู ดนิ สามารถระบายน�ำ้ ได้ดี และประกอบดว้ ยธาตุอาหารที่ จำ�เปน็ ตอ่ การเจรญิ เติบโตของหม่อน - ตอ้ งทราบประวตั ใิ นการใช้ประโยชน์ของพ้ืนทีท่ ่ีจะเลือกใช้เป็นพ้ืนที่ เพาะปลกู โดยเฉพาะทางด้านเกษตร เชน่ มีการปลกู พืชชนดิ ใดมาก่อน มกี าร ใช้สารเคมีในการผลิตหรือไม่ เปน็ ตน้ - ไม่ควรเป็นพน้ื ที่ท่ีมกี ารใช้สารเคมใี นปริมาณมากติดตอ่ กนั เปน็ เวลา นาน หรอื มกี ารปนเปอื้ นของสารเคมสี งู และหา่ งจากพน้ื ทที่ ม่ี กี ารใชส้ ารเคมใี นการ ท�ำ เกษตร (ควรมกี ารตรวจสอบหาสารตกคา้ งในดนิ หากเคยเปน็ พน้ื ทเี่ ปน็ เกษตร เคมมี าก่อน จะใชเ้ วลา 18 เดือน ในการปรบั เปลี่ยนพ้นื ที่ นบั ตงั้ แต่วนั ท่ีมีการ หยุดใช้สารเคมีในการเปล่ียนมาเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยผลผลิตที่อยู่ในระหว่าง การปรับเปล่ียน และได้ปฏิบัติตามวิธีการของเกษตรอินทรีย์เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ให้เรยี กว่า “ผลิตผลหรือผลิตภณั ฑก์ �ำ ลงั ปรับเปล่ยี น”) - เปน็ พน้ื ทท่ี ไ่ี มอ่ ยใู่ นภาวะเสยี่ งตอ่ การปนเปอื้ นของวตั ถแุ ละสงิ่ ทเ่ี ปน็ อนั ตราย - เป็นที่โล่งแจง้ นำ้�ไมท่ ว่ มขงั ควรเป็นดนิ ร่วนปนทราย ระบายน�้ำ ไดด้ ี หนา้ ดินลกึ ไมน่ ้อยกวา่ 30 ซม. - เปน็ พนื้ ทที่ ่ีควรอยสู่ งู จากระดบั น้�ำ ทะเลไมเ่ กิน 700 เมตร และมี ความลาดเอียงไม่เกนิ 30% 6 กรมหมอ่ นไหม

2. การคดั เลอื กพันธหุ์ มอ่ น - ควรเลือกจากแหล่งท่ีมีการปลูกด้วยวิธีการเกษตรอินทรีย์เป็น ลำ�ดับแรก และต้องไม่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตทุกข้ันตอนการ ปรบั เปลย่ี นสูก่ ารผลติ ไหมอินทรยี ์ - เกษตรกรต้องเสนอแผนการจดั การฟารม์ ท่ีชดั เจนเกีย่ วกับการปรับ เปล่ียนกระบวนการผลติ โดยจะตอ้ งมีข้อมูลทีช่ ดั เจน ดังน้ี 1. ประวตั ฟิ ารม์ 2. แผนการปรบั เปลี่ยนและชว่ งเวลา 3. การวเิ คราะห์ผลตกคา้ งสารเคมใี นดิน 4. ประวตั กิ ารใช้สารเคมี 5. ประวตั กิ ารใช้ท่ีดนิ 6. ระยะเวลาปรับเปล่ียน 3. การปลกู หมอ่ น - การปลูกโดยใชก้ งิ่ ปกั ชำ� ให้เลือกกง่ิ ท่ีมีอายุ 6 – 10 เดอื น แตล่ ะ ท่อนมตี า 4-5 ตา มคี วามยาวประมาณ 15-20 ซม. โดยน�ำ กง่ิ ไปช�ำ ไวใ้ นแปลง เพาะช�ำ หรือในถุงช�ำ และย้ายลงปลูกในแปลงเม่ือ ต้นพันธมุ์ ีอายุ 3-4 เดอื น โดยทำ�การตัดแต่งรากและกง่ิ ท่ีแตกใหม่ให้ยาวประมาณ 20 ซม. - การปลูกโดยใชท้ ่อนพนั ธ์ุ ใหเ้ ลือกกงิ่ ทมี่ ีอายุ 6 – 10 เดอื น โดยใช้ กิง่ ท่ีแก่ (สีน�้ำ ตาล) ตดั ทอ่ นพนั ธ์ุ ใหม้ ีตา 4-5 ตา หรือความยาว 15 - 20 ซม. ตัดท่อนพนั ธส์ ว่ นปลายให้มีลกั ษณะเฉยี ง น�ำ ท่อนพันธ์ุไปปลูกในแปลงโดยปกั ลกึ ลงในดนิ ประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของทอ่ นพนั ธุ์ 4. การจดั การดิน นำ้� และปุ๋ย - ควบคุมความเป็นกรด – ด่าง ของดนิ โดยการหวา่ นปูนขาว - ก�ำ จดั วชั พชื และคอยเฝา้ ดแู ลการระบาดของโรค และแมลงศตั รหู มอ่ น - ควรใช้วัสดุคลุมดินเพื่อลดการสูญเสียนำ้�และป้องกันการสูญเสีย หนา้ ดิน เช่น ฟางข้าว หรือ แกลบดบิ - สามารถใชป้ ยุ๋ และสารปรบั ปรงุ ดนิ เฉพาะรายการทร่ี ะบอุ ยใู่ นภาคผนวก 2 (ตารางท่ี 1) 7คมู่ อื การผลิตหม่อนใบอนิ ทรยี ์

- หา้ มใชป้ ยุ๋ ทม่ี าจากมลู สตั วท์ ยี่ งั ไมผ่ า่ นการหมกั เบอ้ื งตน้ อนิ ทรยี วตั ถุ ท่ีมสี ่วนผสมจากอจุ จาระของมนษุ ย์ และปยุ๋ หมกั จากขยะเมอื ง - หา้ มเผาตอซงั หรอื เศษวสั ดใุ นแปลงเกษตร เนอื่ งจากเปน็ การท�ำ ลาย อินทรยี วัตถแุ ละจุลนิ ทรีย์ทม่ี ีประโยชน์ต่อดนิ - กรณีท่ีมีความเส่ียงต่อการปนเปื้อนจากวัตถุหรือสิ่งที่เป็นอันตราย ใหส้ ง่ ตวั อยา่ งน�้ำ และดนิ สง่ หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารของทางราชการหรอื หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารทไี่ ด้ รบั การรบั รองระบบคณุ ภาพเพอื่ วเิ คราะหก์ ารปนเปอ้ื นวตั ถหุ รอื สงิ่ ทเี่ ปน็ อนั ตราย และจลุ นิ ทรยี ก์ อ่ โรค สามารถดวู ธิ กี ารเกบ็ ตวั อยา่ งดนิ และน�้ำ เพอ่ื การวเิ คราะหไ์ ด้ ในภาคผนวก 1 5. การตัดแตง่ กง่ิ ต้นหมอ่ น - การตัดแต่งกิง่ ตน้ หม่อนสามารถท�ำ ได้ 2 วธิ ี ดงั น้ี 1. การตดั ต�่ำ ท�ำ ไดโ้ ดยการตดั กง่ิ สูงจากพ้ืนดนิ 25-50 ซม. จากนน้ั สามารถเกบ็ ใบหมอ่ นไดห้ ลงั จากตัดต่�ำ แลว้ เป็นเวลา 60-70 วัน โดยใหเ้ หลอื ใบ สว่ นยอดไว้ สามารถเก็บใบไปใช้ประโยชน์คร้ังทีส่ องไดห้ ลังจากน้ัน 30-45 วนั โดยให้เหลือใบส่วนยอดไว้ และสามารถเก็บใบไปใช้ประโยชน์ครั้งที่สามได้หลัง จากเกบ็ ใบรอบท่สี อง 30-45 วัน 2. การตัดกลาง หลงั จากเก็บใบไปใชป้ ระโยชนค์ รง้ั ทส่ี าม สามารถ ตัดกลางได้โดยตัดกิ่งสงู จากพน้ื ดิน 80-100 ซม. หลงั จากตัดกลางไดป้ ระมาน 40-45 วัน สามารถเก็บใบไปใชป้ ระโยชน์ไดใ้ นครัง้ ทส่ี ี่ และครัง้ ที่ห้าได้ โดยมี ระยะห่างในการตดั แต่ละครงั้ เท่าๆกัน หลงั จากนนั้ ให้พกั การตดั แต่งกิง่ เพอ่ื เขา้ สู่ การตดั ต�่ำ ในรอบปีถดั ไป 6. การป้องกนั และกำ�จัดวัชพชื - ควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืชโดยการไถกลบ การปลูกพืช หมุนเวียน การปลกู พืชรว่ ม การปลูกพืชคลุมดนิ - วธิ กี ารและผลติ ภณั ฑใ์ นการปอ้ งกนั ก�ำ จดั ศตั รพู ชื รวมทง้ั สารปรงุ แตง่ ท่ีใช้ในผลิตภัณฑ์ป้องกันกำ�จัดศัตรูพืชที่อนุญาตให้ใช้ได้ระบุอยู่ในภาคผนวก 2 (ตารางท่ี 2) 8 กรมหม่อนไหม

7. การป้องกนั กำ�จัดศัตรูหม่อน - ใชพ้ ันธุห์ ม่อนท่ตี า้ นทานโรคและแมลง - ตัดแต่งกิ่งให้ทรงพุ่มโปร่ง ทำ�ให้การถ่ายเทอากาศดีและแสงแดด สอ่ งถึง - ทำ�ความสะอาดเคร่อื งมอื ปลูกและเครื่องมอื ตกแตง่ กงิ่ - หากพบโรคและแมลง ควรเก็บใบและก่ิงที่เป็นโรคมาเผาท�ำ ลาย - ควรกำ�จัดแมลงศตั รูหมอ่ นโดยวิธีชวี ภาพ เช่น สารสกัดจากพืช 8. การเก็บเก่ียวและการปฏิบตั หิ ลังการเก็บเกี่ยว - อปุ กรณแ์ ละภาชนะท่ีใชใ้ นการเกบ็ เกย่ี วและขนยา้ ยต้องสะอาด - ภาชนะทใ่ี ชบ้ รรจใุ บหมอ่ นตอ้ งแขง็ แรง มขี นาดเหมาะสมกบั ปรมิ าณ บรรจทุ ไ่ี มท่ �ำ ใหใ้ บหมอ่ นเสยี หายจากการซอ้ นทบั กนั และสามารถระบายอากาศได้ - ไม่ใช้ภาชนะบรรจุใบหม่อนร่วมกับการใช้บรรจุวัตถุอันตรายทาง การเกษตรหรือปุ๋ย เพ่อื ป้องกนั การปนเป้ือน - อปุ กรณแ์ ละภาชนะทใี่ ชม้ ปี รมิ าณเพยี งพอกบั การปฏบิ ตั แิ ละมสี ภาพ การใชง้ านทีไ่ มส่ ่งผลเสียหายต่อใบหม่อน - เก็บเก่ียวใบหม่อนด้วยวิธีที่เหมาะสม ไม่ทำ�ให้คุณภาพเสียหาย จนมีผลกระทบต่อการเกบ็ รกั ษา - เก็บเกีย่ วใบหม่อนโดยพิจารณาจากสีของใบ ตามวตั ถุประสงค์ของ การน�ำ ไปใช้ประโยชน์ - ไม่เกบ็ ใบหมอ่ นที่รว่ งหล่นลงพืน้ - ภาชนะบรรจทุ บ่ี รรจใุ บหมอ่ นแลว้ ตอ้ งไมว่ างสมั ผสั กบั พนื้ ดนิ โดยตรง เพอ่ื ปอ้ งกนั การปนเปอ้ื น - ต้องป้องกันไม่ให้ใบหม่อนที่เก็บเกี่ยวมาแล้วถูกแสงแดดโดยตรง จนท�ำ ใหใ้ บหมอ่ นเส่อื มคุณภาพ 9คมู่ อื กาเรกผษตลิตรอหินมท่อรนียใบใ์ บอหนิ มทอ่รนยี ์

9. การเกบ็ รกั ษาและการขนยา้ ยผลิตผล - ขนยา้ ยใบหมอ่ นออกจากแปลงไปยังแหลง่ รวบรวมโดยเรว็ - พาหนะที่ใช้ในการขนย้ายต้องสะอาดและไม่ใช้ร่วมกับการขนย้าย วตั ถอุ นั ตรายทางการเกษตรหรอื ปยุ๋ กรณที จ่ี �ำ เปน็ ตอ้ งแนใ่ จวา่ มกี ารท�ำ ความสะอาด อย่างเพยี งพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากการปนเป้อื น - แหลง่ รวบรวมใบหมอ่ นเพื่อรอซ้อื ขายหรือส่งมอบต้องมกี ารจัดการ อยา่ งถูกสขุ ลกั ษณะ ไม่ทำ�ให้เกิดการปนเปอื้ น - มีการจัดการสภาพแวดลอ้ ม เชน่ อุณหภูมิ แสง และการหมนุ เวยี น อากาศของแหล่งรวบรวมใบหม่อนท่ีไม่ทำ�ให้ใบหม่อนเสียหายหรือเสื่อมคุณภาพ โดยเร็ว - ในกรณที มี่ กี ารเกบ็ รกั ษาเพอ่ื รอการแปรรปู ตอ้ งเกบ็ ใบหมอ่ นในสภาพ ที่เหมาะสมต่อการรักษาคณุ ภาพของใบหมอ่ น 10. สขุ ภาพและความรู้ของผ้ปู ฏบิ ตั ิงาน - ผปู้ ฏบิ ตั งิ านไดร้ บั การดแู ลสขุ ภาพอยา่ งเหมาะสมและเพยี งพอ หรอื ได้รบั การตรวจสขุ ภาพอยา่ งน้อยปีละ 1 ครง้ั - ผู้ปฏิบัติงานต้องมีความรู้ด้านสุขลักษณะส่วนบุคคลท่ีเก่ียวข้องกับ การปฏิบตั ิงาน โดยเฉพาะการเกบ็ เกี่ยวและขนย้ายใบหม่อน - ไมใ่ หผ้ ู้ปฏิบัตงิ านทปี่ ่วยหรือโรคติดตอ่ หรือมีบาดแผล ปฏิบตั งิ านที่ ตอ้ งสมั ผัสกบั ใบหมอ่ น 11. การบนั ทึกขอ้ มูล - หัวข้อในการบนั ทกึ ขอ้ มลู มีดังตอ่ ไปน้ี 1. ผลการตรวจสอบการปนเปอ้ื นในดนิ และน้ำ� กรณที ี่มีความเส่ียง 2. ผลการตรวจสอบคุณภาพน�ำ้ เชน่ ความเป็นกรด-เบส และความ กระดา้ งของน้�ำ 3. ผลการตรวจสอบความอดุ มสมบูรณข์ องดิน 4. การใช้วัตถอุ ันตรายทางการเกษตร โดยระบุชนดิ ศัตรูพชื ท่ตี ้องการ ควบคมุ หรือกำ�จัด ชนดิ ของวัตถุอันตรายทางการเกษตรท่ีใช้ ความเข้มข้น วธิ ี การใช้ และวนั ทใ่ี ช้ 5. แหล่งทมี่ าของปจั จัยการผลติ เช่น ตน้ พนั ธ/์ุ ท่อนพันธุ์หมอ่ น และ วัตถุอนั ตรายทางการเกษตร 6. แหลง่ ทีม่ าของปยุ๋ เคมแี ละปุ๋ยอนิ ทรยี ์ 7. รายการวัตถุอันตรายทางการเกษตรที่มีไว้ในครอบครองปริมาณ ผลผลิตท่เี ก็บไดใ้ นแต่ละวัน/รนุ่ 8. การเกบ็ รกั ษาเพอ่ื รอการแปรรปู ตอ้ งบนั ทกึ ขน้ั ตอนและวธิ กี ารเกบ็ รกั ษา - เก็บรักษาบนั ทกึ ขอ้ มลู อยา่ งนอ้ ย 2 ปี 10 กรมหมอ่ นไหม

บนั ทกึ การผลิตหมอ่ นใบอินทรีย์ 1. ขอ้ มลู ทว่ั ไป 1.1 ชอื่ ผ้ผู ลิต/เกษตรกร/บรษิ ทั .............................................................................................................................................. ท่อี ยู่ บ้านเลขที่.............หมทู่ ี่............ถนน................................................ต�ำ บล/แขวง........................................................ อ�ำ เภอ/เขต................................................................จงั หวัด..................................................................................................... โทรศพั ท์..............................................โทรสาร................................... E-mail........................................................................ 1.2 ชอื่ เจ้าของ (นาย/นาง/นางสาว)........................................................... นามสกลุ ..................................................... ทอี่ ยู่ บ้านเลขที่.............หม่ทู .่ี ...........ถนน................................................ตำ�บล/แขวง........................................................ อำ�เภอ/เขต................................................................จงั หวดั ..................................................................................................... โทรศพั ท.์ .............................................โทรสาร................................... E-mail........................................................................ 1.3 ช่อื ผูบ้ ันทึก (นาย/นาง/นางสาว)......................................................นามสกุล............................................................ ท่ีอยู่ บ้านเลขที่.............หมู่ท่ี............ถนน................................ตำ�บล/แขวง.................................................................... อ�ำ เภอ/เขต................................................................จงั หวดั ..................................................................................................... โทรศพั ท.์ .............................................โทรสาร................................... E-mail......................................................................... 2. รายละเอยี ดเกย่ี วกับสถานที่ผลิต 2.1 พนื้ ที่ทใ่ี ช้ในการผลิตทัง้ หมด.....................................ไร.่ ................................งาน..................................ตารางวา 2.2 สถานท่ีต้ังแปลง.....................หม่ทู ่.ี ..................ถนน...........................................ต�ำ บล................................................. อ�ำ เภอ.................................................................................จงั หวัด............................................................................................. 2.3 จำ�นวนแปลงย่อย................................................จำ�นวนชนิด..................พชื ............................................................... รายละเอียดของแตล่ ะแปลงยอ่ ย พชื หลัก อธบิ าย แปลงย่อยท ่ี ขนาดแปลง (ไร)่ 11คมู่ ือการผลติ หมอ่ นใบอนิ ทรีย์

3. การจดั การดิน 3.1 วธิ ีการเตรยี มแปลง แปลง เม่ือ โดย ยอ่ ยท่ ี วธิ กี ารเตรียม วัน/เดอื น/ปี เคร่อื งจกั ร แรงงานสัตว์ อนื่ ๆ โปรดระบุ ขนาดเครื่องยนต์ โปรดระบุ เป็นเจ้าของเครอื่ งจักร/ สตั ว์ หรือเช่ามา (หากเชา่ มาโปรดระบแุ หลง่ )..................................................................... 3.2 การปรับปรุง – บ�ำ รุงดิน มีการใส่ป๋ยุ หรือธาตุอาหารบ�ำ รุงดนิ ในข้นั ตอนการเตรยี มดนิ หรือไม่ หากมีโปรดระบรุ ายละเอียด แปลงย่อยท ่ี ชนดิ อตั รา (กก./ไร่) วนั / เดือน/ ปี ปริมาณรวม (กก.) แหลง่ ท่ีมา การปลูกพืชบำ�รงุ ดิน ชนิดพืช แหล่งท่มี าของพนั ธ ุ์ อตั รา (กก./ไร่) วันท่ปี ลูก วันที่กลบลงดิน แปลงยอ่ ยทใี่ ช้ 12 กรมหมอ่ นไหม

การใช้ปยุ๋ หมัก / ปุ๋ยคอก / น้�ำ สกัดชวี ภาพ (โปรดระบดุ ว้ ยวา่ ทำ�เองหรือซื้อมา) ชนิด ปริมาณกองปุ๋ย องค์ประกอบ แหล่งทม่ี า ปริมาณการใช ้ แปลงยอ่ ยทใ่ี ช้ ระยะเวลาที่ท�ำ ของวัตถดุ ิบ ของวัตถุดบิ (กก./ไร่) 3.3 การใช้สารกำ�จัดศัตรูพชื ในขั้นตอนการเตรยี มดิน กำ�จัดแมลง ก�ำ จดั โรคพชื กำ�จดั วชั พชื อื่น ๆ (ระบุ) ใช/้ ไมใ่ ช้ ช่อื สารทใ่ี ช้ แหลง่ ผลิต อัตรา (ตอ่ ไร)่ ปริมาณทใี่ ช้ อปุ กรณท์ ใี่ ช้ วนั ท่ี ที่ใช ้ 3.4 การวิเคราะห์ดนิ วัน/เดอื น/ปี ทท่ี ำ�การวเิ คราะห์ รายละเอยี ดผลการวเิ คราะห์ แปลงยอ่ ยท่ ี ชอื่ หน่วยงานทที่ �ำ การวเิ คราะห์....................................................................โทรศพั ท์......................................................... 13คูม่ อื การผลิตหมอ่ นใบอินทรยี ์

4. การจัดการน้�ำ (โปรดระบแุ หล่งน้ำ� เชน่ หนอง คลอง บึง คลองชลประธาน หรอื บ่อท่ีขุดขนึ้ และโปรด ระบุดว้ ยวา่ แหล่งน�ำ้ นั้นไหลผา่ นพน้ื ทก่ี ารเกษตร หรือย่านชมุ ชนอยา่ งใด หรอื ไม่) 4.1 แหลง่ น้ำ�หลกั ท่ีนำ�มาใช้ มาจาก.................................................................................................. 4.2 แหล่งน้ำ�สำ�รองในแปลง..........................................................จ�ำ นวน..................................แหง่ บ่อท ี่ ขนาด ความจุ สำ�หรบั แปลงยอ่ ยท ่ี พ้นื ท่ีเพาะปลูก (ไร)่ ชนดิ พชื ปลูก 4.3 การวเิ คราะห์นำ้� แหลง่ นำ้� วัน/เดือน/ปี ทที่ �ำ การวิเคราะห์ รายละเอียดผลการวเิ คราะห์ น�ำ้ ก่อนเขา้ พนื้ ทเ่ี กษตรอินทรยี ์ น้�ำ ในพน้ื ทท่ี ำ�การเกษตรอินทรีย์ หลกั ส�ำ รอง ชื่อหนว่ ยงานท่ีทำ�การวิเคราะห.์ ..............................................................................โทรศัพท์.............................................. 14 กรมหมอ่ นไหม

4.4 แผนผังการจัดการน้ำ�ในแปลง 15คูม่ อื การผลติ หมอ่ นใบอนิ ทรีย์

5. แผนการปลกู พชื 5.1 จ�ำ นวนพืชทปี่ ลูกในแปลงย่อย...........................ชนิด รายละเอยี ดของแต่ละแปลงมดี งั นี้ แปลงย่อยท ่ี ปลกู พืช พันธ์ุพืช พืน้ ท่ี (ไร่) ระยะเวลาปลกู จ�ำ นวนครั้ง/ปี หมายเหตุ 5.2 แหลง่ ทม่ี าของเมล็ดพนั ธ์ุ หรือพันธพุ์ ชื (โปรดระบุ ผลิตเอง หรอื นำ�มาจากแหลง่ อน่ื โปรดระบุ แหลง่ ทีม่ า) พืช ส่วนท่ีใช้ขยายพนั ธ์ ุ แหลง่ ที่มา แปลงย่อยท่ี 16 กรมหมอ่ นไหม

5.3 การดแู ลพชื ในระหวา่ งการผลติ มกี ารใส่ปุย๋ บำ�รงุ ดินใหพ้ ชื หรอื ไม่ (..........) ไม่ใช้ (..........) ใช้ รายละเอียดการใช้ ชนดิ อตั รา (กก./ไร่) วัน/เดอื น/ปี ปรมิ าณรวม แหล่งทีม่ า 5.4 การใช้สารกำ�จดั ศัตรพู ืช (แมลง/โรคพชื /วชั พืช/สัตวศ์ ตั รูพชื โปรดระบุ เช่น เพล้ียแป้ง โรค ราสนมิ ) ศตั รพู ืช การควบคมุ หมายเหตุ 17ค่มู อื การผลติ หมอ่ นใบอินทรยี ์

5.5 การใช้สารก�ำ จัดศตั รูพชื 1 2 3 4 ชอื่ สารทีใ่ ช้ แหล่งผลติ อตั รา (ต่อไร่) ปริมาณที่ใช ้ อุปกรณท์ ี่ใช้ วนั ที่ ท่ีใช ้ หากมีการใชส้ ารสกัดจากสง่ิ มชี วี ติ อ่นื ๆ โปรดระบรุ ายละเอียดการใช้ และวธิ ีการเตรียมการน้นั ๆ โดย ละเอียด 5.6 การใช้เครือ่ งมือ-อุปกรณใ์ นการควบคุมศัตรูพืช ศัตรูพืช เครื่องมอื วิธกี ารใช ้ แปลงท่ีใช ้ หมายเหตุ 18 กรมหมอ่ นไหม

5.7 การใชส้ ารเร่งการเจรญิ เติบโต แปลงย อ่ ยที่ ช่ือพ ืช ทวใ่ี ันช/เ้เกดบ็ อื เนก/ี่ยปว ี พืน้ ทเี่ ก ็บเกย่ี ว อปุ กรณ์ ปริมาณผลผลิต วิธกี ารเกบ็ เกยี่ ว (/ไร่) 6. การเก็บเกย่ี ว แปลงย ่อยท่ ี ชือ่ พ ืช ทวี่ใันช/้เเกด็บอื เนก/่ียปว ี พนื้ ท่ีเก บ็ เกี่ยว อุปกรณ์ ปริมาณผลผลิต วธิ ีการเกบ็ เกยี่ ว (/ไร)่ 19ค่มู ือการผลติ หม่อนใบอินทรยี ์

7. การบรรจหุ ีบหอ่ วิธีการบรรจุ สถานที่บรรจุ หมายเหตุ ชื่อ พืช แปลงท่ี 8. การดแู ล รกั ษา อุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ีใชใ้ นกระบวนการผลิต โปรดระบชุ นดิ อุปกรณ์ที่อย่ใู นความครอบครองและการดูแลรักษาอุปกรณ์ตา่ ง ๆ เหล่านั้น ชนดิ ของอปุ ก รณ์ จำ�นวน วิธีการใช้ วิธกี ารบ�ำ รุงรกั ษา 20 กรมหมอ่ นไหม

9. สารอน่ื ๆ ท่ีใชใ้ นกระบวนการผลติ พชื อนิ ทรีย์ นอกจากสารทร่ี ะบขุ ้างต้น มีการใช้สารอินทรีย์ และอนินทรยี ์อื่น หรือไม่ สารอนิ ทรีย์ ชอ่ื ปรมิ าณ (อตั รา) แหลง่ ท่ีมา การใช้ สารอนนิ ทรยี ์ ปริมาณ (อัตรา) แหลง่ ที่มา การใช้ ช่อื ค�ำ อธบิ ายเพ่ิมเตมิ 21คู่มือการผลติ หมอ่ นใบอนิ ทรยี ์

ภาคผนวก 1 วธิ กี ารเกบ็ ตัวอยา่ งดินและน�้ำ เพ่อื การวิเคราะห์ หลักเกณฑใ์ นการเก็บตัวอยา่ งดิน 1. เตรียมเครือ่ งมอื ทจ่ี �ำ เป็น เช่น จอบ เสียม พลัว่ อปุ กรณ์ส�ำ หรับรวบรวมดนิ ในแตล่ ะระดบั ความลึก เช่น ถังพลาสติก อุปกรณ์สำ�หรับคลุกเคล้าดิน ผ่ึงดิน และบรรจุดินเพื่อนำ�ส่งวิเคราะห์ เช่น ถุงพลาสติกและแผ่นพลาสติกใส (โดยอุปกรณ์น้ีต้องมีความสะอาด เพราะหากมีสิ่งเจือปนอาจทำ�ให้ค่า วิเคราะห์ผิดพลาดได้) อุปกรณ์สำ�หรับขุดเจาะดิน เช่น สว่านเจาะดิน (Soil auger) หลอดเจาะดิน (Soil sampling tube) กระบอกเจาะ (Sampling core) พลั่วหรอื เสยี ม (Spade) 2. ขนาดของพื้นที่ ควรมีขนาดใหญ่ไม่เกนิ 25 ไร่ ซ่งึ ปัจจัยในการกำ�หนดขนาดของพ้นื ท่ีทจ่ี ะ ท�ำ การเกบ็ ตัวอย่าง 1 ตัวอยา่ งน้นั ควรมหี ลกั ในการพิจารณาดังนี้ 1. สภาพภูมิอากาศ 2. สีของดนิ 3. อายุ ของพืชทป่ี ลูก 4. ประเภทของเนอื้ ดิน 5. ชนิดของดนิ 6. ประวัติการใสป่ นู และป๋ยุ ท่ไี มต่ ่างกันมาก รวมถึง ในพ้นื ท่นี นั้ ควรปลกู พชื ชนิดเดยี วกนั และพนื้ ทค่ี วรมลี ักษณะคอ่ นขา้ งราบหรือมคี วามลาดเทไมต่ า่ งกันมาก 3. ความชน้ื ของดนิ ควรมคี วามชน้ื ทเ่ี หมาะสม ซงึ่ การทดสอบความชน้ื ของดนิ ทเ่ี หมาะสมสามารถ ทดสอบไดโ้ ดยการบบี ดนิ ไวใ้ นองุ้ มอื และเมอื่ แบมอื ออก ดนิ จะจบั กนั เปน็ กอ้ นและเมอื่ บอิ อกจะรสู้ กึ รว่ นและ แยกออกจากกันง่าย 4. ความลกึ ท่เี หมาะสมส�ำ หรับการเกบ็ ตัวอยา่ งดินของ ไม้พุม่ ไมย้ นื ตน้ ควรเกบ็ ตวั อย่างดนิ ที่ ความลึก 0 – 6 และ 6 – 12 นิว้ วิธีการเก็บตวั อยา่ งดนิ 1. กำ�หนดพื้นที่ ท่ีต้องการเก็บตวั อย่างดนิ 2. ก�ำ หนดจุดเก็บดินบนพ้นื ที่ โดยจดุ ทกี่ �ำ หนดควรมพี ้ืนทีจ่ �ำ นวน 1 ไร่ และควรกำ�หนด กระจายให้ทว่ั พนื้ ที่ โดยหลีกเล่ยี งบรเิ วณทางเดนิ เก่า กองปยุ๋ ปูน สารเคมี และคอกสตั ว์ 3. ควรมจี ุดเกบ็ ดนิ อย่างน้อย 1 – 2 จุด ซ่ึงหากท�ำ การเกบ็ ตวั อยา่ งดินในพืน้ ทท่ี ี่มีขนาด ไม่เกนิ 25 ไร่ ควรกำ�หนดจุดเก็บ 15 – 50 จุด โดยพ้นื ท่ี 15 ไร่ควรก�ำ หนดจดุ เก็บ 15 – 30 จดุ ในขณะ ท่พี ื้นท่ี 12 ไรค่ วรก�ำ หนดจดุ เก็บ 12 – 25 จุด 4. ทำ�ความสะอาดผิวดินบริเวณจดุ ที่ก�ำ หนดโดยการเกบ็ เศษวัชพชื และขยะออกใหห้ มด 5. เก็บตัวอย่างดินบนและดินล่าง ในกรณีที่เก็บตัวอย่างดินโดยใช้หลอดเจาะดิน สว่าน รปู กระบอก หรือสว่านเจาะดิน ให้กดเครอ่ื งมือลงให้ตั้งฉากกบั พ้ืนดนิ จนถึงความลกึ ที่ 12 น้ิว จะไดต้ ัวอย่าง ดนิ ท่ีมีความลกึ 0 – 12 น้ิว จากน้นั จึงเกบ็ ตัวอย่างโดยแบง่ ดนิ ทร่ี ะยะ 0 – 6 นิ้ว ส�ำ หรับดนิ บน และ ท่รี ะยะ 6 – 12 นิว้ ส�ำ หรับดนิ ลา่ ง แต่หากใชเ้ สยี มหรอื พลว่ั ในการเกบ็ ตวั อยา่ ง ให้ขดุ ดินเปน็ รปู ตวั วี (V) ทม่ี คี วามลกึ ตามแนวดงิ่ เทา่ กบั 6 นวิ้ โดยแซะดนิ จากปากหลมุ ดา้ นใดดา้ นหนงึ่ ใหห้ า่ งจากปากหลมุ ประมาณ 1 น้ิว กดให้ลึกตามแนวขนานกบั ดา้ นข้างของรปู ตัววี จากนั้นงดั ดนิ ขน้ึ มา ใช้มือบิดา้ นข้างทง้ั สองตามแนว ความลกึ ออกใหเ้ หลอื เฉพาะดนิ ตรงกลาง โดยมคี วามหนาประมาณ 2 นวิ้ ส�ำ หรบั ดนิ ลา่ งใหด้ �ำ เนนิ การลกั ษณะ เดยี วกนั กบั ดนิ ดา้ นบน คอื เกบ็ ตวั อยา่ งดนิ ทร่ี ะดบั ความลกึ 6 – 12 นวิ้ เนอ่ื งจากดนิ ชนั้ ลา่ งมคี วามแปรปรวน ของคุณสมบตั ทิ างเคมแี ละฟสิ กิ สน์ ้อยกวา่ ดนิ บน จงึ อาจเกบ็ ทุกจุด หรือจำ�นวนจุดทเี่ ก็บอาจจะนอ้ ยลงกไ็ ด้ โดยแยกรวบรวมไวใ้ นถังพลาสติกคนละใบกบั ดินบน 22 กรมหมอ่ นไหม

*** พื้นท่ีท่ีเหมาะสมสำ�หรับไม้ยืนต้น ควรมีความหนาของดินไม่น้อยกว่า 1 เมตร และจะ อาศัยความละเอียดของเน้ือดินในการพิจารณาขอบเขตในการเก็บตัวอย่าง โดยเลือกต้นท่ีเป็นตัวแทนสวน 6 – 8 ตน้ โดยให้กระจายทวั่ แปลงสวน ซึ่งเครอื่ งมือในการเก็บตัวอย่างดินสำ�หรับแปลงสวน ควรเปน็ สวา่ น เจาะดิน หรอื หลอดเจาะดิน หรอื ใช้เสียมขนาดเล็ก เพอ่ื ให้รบกวนรากพชื นอ้ ยท่สี ดุ และควรเกบ็ ตัวอยา่ งที่ ความลึก 0 – 6 นวิ้ และ 6 – 12 นวิ้ ในรัศมีพุม่ ใบ ต้นละ 4 จดุ ตามทศิ หลักทง้ั 4 ทิศ ** พืน้ ทซี่ ่งึ มีปัญหา - หากพืชมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติหรือพืชตาย ควรเก็บตัวอย่างจากบริเวณต้นที่ แสดงอาการ จำ�นวน 4 – 8 ตน้ รวมกัน และเกบ็ ตวั อย่างจากพ้นื ที่ตดิ ๆ กนั กบั บริเวณทพี่ ชื แสดงอาการ มาอกี 1 ตัวอยา่ ง โดยข้ันตอนการเกบ็ ทำ�ลกั ษณะเดยี วกันกบั การเก็บตัวอยา่ งดนิ ข้างต้น - หากพน้ื ทม่ี ปี ญั หาสะสมเกลอื ตา่ งๆ ปนู ขาว หรอื พน้ื ทไี่ ดร้ บั น�้ำ ทงิ้ จากโรงงานอตุ สาหกรรม ควรเก็บตัวอย่างดนิ ท่คี วามลึก 0 – 6 นว้ิ โดยเก็บหา่ งกันจุดละ 2 เมตร ประมาณ 20 จดุ มารวมกัน และ ควรเก็บทกุ ระดับความลกึ 12 น้ิว – 1 เมตร โดยทกุ ระดบั ความลึกเก็บดิน จำ�นวน 5 – 10 จดุ มารวมกัน เป็นหน่ึงตัวอย่าง 6. น�ำ ตวั อยา่ งดนิ ทเี่ กบ็ มาใสล่ งในถงั พลาสตกิ ทสี่ ะอาดท�ำ เชน่ นจ้ี นครบทกุ จดุ ทกี่ �ำ หนด และ นำ�ดินท่ีเก็บจากแต่ละจุดมารวมกนั ในถังพลาสติก จากนน้ั คลุกเคลา้ ดินใหเ้ ขา้ กนั และเทลงบนแผ่นพลาสตกิ ทส่ี ะอาด และท�ำ การคลกุ เคลา้ ดนิ อกี ครงั้ (ควรผงึ่ ดนิ ในทร่ี ม่ จนดนิ มคี วามชน้ื ทเี่ หมาะสม ในกรณที ดี่ นิ เปยี ก) เสรจ็ แล้วจึงทำ�การแบ่งดินมาจำ�นวนหน่ึง ประมาณคร่งึ กิโลกรัม เพื่อบรรจุดนิ ในถุงพลาสติก 7. บนั ทกึ รายละเอยี ดของดนิ (เขยี นบนถงุ ดา้ นนอก หรอื บนปา้ ยผกู ตดิ ดา้ นนอก อยา่ สอดไว้ ในถงุ ) แปลงที่.............................................. เจา้ ของช่ือ................................................................... ความลกึ ท่ีเก็บ........................................................................................................................... เกบ็ จาก........................................................ตำ�บล................................................................... อ�ำ เภอ...........................................................จังหวดั ................................................................ วันทเ่ี กบ็ ............................................พชื ท่ีปลกู ....................................................................... 8. นำ�สง่ วิเคราะห์ โดยเรียงลำ�ดับการสง่ เปน็ คู่ เช่น แปลงท่ี 1 ดนิ บนกบั แปลงท่ี 1 ดิน ลา่ ง จัดเปน็ 1 คู่ 23ค่มู อื การผลติ หมอ่ นใบอนิ ทรีย์

รายละเอียดประกอบตวั อย่างดิน ชื่อ..................................................................................... นามสกุล........................................................................................... ทอี่ ยเู่ ลขที่.....................................ถนน..................................................................ต�ำ บล........................................................... อำ�เภอ.....................................................................................จงั หวดั ......................................................................................... ตวั อยา่ งดนิ เกบ็ จาก...........................................................................ต�ำ บล.............................................................................. อ�ำ เภอ.....................................................................................จงั หวดั .......................................................................................... 1. รายละเอยี ดประกอบตัวอยา่ งดิน ตัวอยา่ งที่ 1 ตวั อยา่ งท่ี 2 ก. เน้ือท่ี (ไร่) ................................................ .............................................. ข. พน้ื ท่ี (ล่มุ ดอน) ................................................ .............................................. ค. ความลาดเท (มาก ปานกลาง ราบ) ................................................ .............................................. ง. การระบายน�้ำ (ดี ปานกลาง ไมด่ )ี ................................................ .............................................. จ. ชนิดของดิน (หากทราบ) ................................................ .............................................. 2. นำ้� ( ดี ปานกลาง ไมพ่ อ) 3. ประวตั ิการใชป้ ยุ๋ เมื่อสองปีก่อน 25.....................25................... 25................25.................. ก. ปยุ๋ อนิ ทรีย์ (ชนิด) ................................................ .............................................. ข. จ�ำ นวน (กิโลกรัมต่อไร)่ ................................................ .............................................. ค. ปยุ๋ เคมี (สูตร) ................................................ .............................................. ง. จำ�นวน (กโิ ลกรมั ตอ่ ไร)่ ................................................ .............................................. จ. ปนู ขาว (กโิ ลกรัมต่อไร่) ................................................ .............................................. 4. ประวตั ิการปลกู พชื เมอ่ื สองปีก่อน 25.....................25................... 25................25.................. ก. พืชที่ปลูก ................................................ .............................................. ข. ผลผลติ (กิโลกรัมตอ่ ไร่ หรือ ถงั ต่อไร่) ................................................ ........................................... 5. พชื ท่ตี อ้ งการปลูกในปีนี้...................................................................................................................................................... 6. หมายเหต.ุ .............................................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................................................................................ 24 กรมหมอ่ นไหม

หลักเกณฑ์ในการเกบ็ ตัวอย่างนำ�้ 1. เตรียมอปุ กรณ์ 1.1 ภาชนะเกบ็ ตัวอย่าง ควรเลือกชนิดทมี่ คี วามจุ 2 – 3 ลติ ร เปน็ พลาสตกิ ใสหรือ เทฟลอน (หากไม่มแี ละจ�ำ เปน็ ตอ้ งซือ้ สามารถใช้ขวดเก็บตัวอย่าง ซง่ึ ทางที่ดีควรใชเ้ ป็นขวดพลาสติกหรือ โพลีเอทธลี ลีน ท่มี จี กุ สามารถเปดิ ได้ และมคี วามจุประมาณ 1 – 2 ลิตร แทนได้เลย) โดยภาชนะนน้ั ตอ้ ง มคี วามสะอาด 1.2 อุปกรณส์ �ำ หรบั เขียนรายละเอียดของตัวอยา่ งนำ้� ได้แก่ ฉลาก ปากกาเคมี จดระบุ วันท่เี ก็บ เวลา สถานท่ี บริเวณทเ่ี กบ็ พรอ้ มทง้ั ระบุวัตถุประสงคใ์ นการสง่ วิเคราะห์อยา่ งชดั เจน 2. ปริมาณตัวอย่างนำ้�ที่เก็บ ที่เพียงพอสำ�หรับการนำ�ไปตรวจสอบทางกายภาพและเคมีใน แง่การเกษตร คือปรมิ าณตัวอย่างน�้ำ 1 – 2 ลิตร ซง่ึ ข้อส�ำ คญั ในการเก็บ จ�ำ เป็นต้องเกบ็ ตวั อยา่ งน�้ำ ให้ เต็มขวดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะใช้ขวดท่บี รรจุขนาดใดก็ตาม (อย่าใหม้ ีชอ่ งว่างของอากาศ) 3. วิธีการเก็บรกั ษาคณุ สมบัติของตัวอยา่ งน้�ำ หลังจากทเ่ี ก็บตวั อย่างน�ำ้ มาแลว้ ควรนำ�ส่งเพ่ือ วิเคราะห์ให้รวดเร็วท่ีสุด เพราะหากปล่อยไว้อาจเกิดปฏิกิริยาทางเคมีและชีวะ ซ่ึงทำ�ให้คุณสมบัติของน้ำ� เปลย่ี นแปลงไป โดยระยะเวลาทย่ี อมใหม้ ากทสี่ ดุ ทจ่ี ะเกบ็ ตวั อยา่ งกอ่ นการท�ำ การวเิ คราะหท์ างกายภาพและ เคมี เป็นดังนี้ * น้ำ�สะอาด (unpolluted water) 72 ชัว่ โมง * นำ�้ คอ่ นขา้ งสกปรก (Slightly polluted water) 48 ชวั่ โมง * น�ำ้ สกปรก (polluted water) 24 ช่วั โมง หากมคี วามจ�ำ เปน็ ไมส่ ามารถน�ำ สง่ ตวั อยา่ งน�้ำ เพอ่ื วเิ คราะหไ์ ดท้ นั ที การเกบ็ ตวั อยา่ งน�ำ้ ไวใ้ นทม่ี ดื และอณุ หภูมติ �่ำ (40 องศาเซลเซียส) จะเป็นวธิ ที ส่ี ะดวกและเหมาะสมทีส่ ุด 25คูม่ อื การผลิตหมอ่ นใบอนิ ทรยี ์

วิธกี ารเกบ็ ตัวอย่างน้�ำ 1. ล้างอปุ กรณใ์ ห้สะอาดกอ่ นน�ำ มาใช้ 2. เก็บตัวอย่าง โดยการนำ�นำ้�ท่ีจะเกบ็ ตวั อยา่ งนน้ั มาเขย่า ลา้ งขวด 2 – 3 ครัง้ แลว้ จึงเกบ็ ตวั อยา่ งน�ำ้ ให้ลน้ จนเตม็ ขวด แล้วปิดจกุ ใหแ้ นน่ - น้ำ�ประปา น้ำ�ก๊อก และนำ้�จากระบบน้ำ�ที่ส่งตามท่อ ก่อนเก็บควรไขนำ้�ท้ิงสักครู่ เพ่อื เปน็ การท�ำ ความสะอาดท่อ จงึ ทำ�การเก็บตวั อยา่ ง - น้�ำ บอ่ น�้ำ บาดาล และน�้ำ เจาะทส่ี บู ข้ึนมา กอ่ นเกบ็ ควรสบู น้ำ�ขนึ้ มา จนน�ำ้ ใตด้ ินไหลซึม เขา้ มาในบ่อเตม็ ท่ี จึงทำ�การเกบ็ ตวั อย่าง - น�ำ้ แมน่ ำ้� ล�ำ ธาร และคลองทีม่ นี ำ้�ไหล จะมีคุณสมบตั ิแตกต่างกันตามความลกึ มอี ตั รา การไหล และระยะหา่ งจากฝ่งั ดงั น้ันหากมเี คร่อื งมือจึงควรเก็บตัวอยา่ งจากผิวนำ้�จนถึงก้นแมน่ ำ้�ท่ีบริเวณ กลางลำ�น้ำ� น�ำ มารวมกัน โดยคดิ ตามการไหลของน้ำ� หรืออาจเก็บเปน็ ตัวอยา่ งแยก โดยเกบ็ จากกลางลำ�น�ำ้ ที่จุดกึ่งกลางของความลึก จึงจะนบั วา่ เปน็ ตวั อย่างทด่ี ีทส่ี ดุ แต่หากไมม่ เี คร่ืองมอื ใหใ้ ชข้ วดเกบ็ ตัวอยา่ งท่ี สะอาดล้างน้ำ�ตัวอยา่ ง 2 – 3 ครั้ง จมุ่ ลงในผิวน้ำ�ท่รี ะดบั ความลกึ 1 ฟตุ หรือ จุดทีจ่ ะใชน้ �ำ้ น้ัน - น�้ำ ทะเลสาบ สระ หนอง บงึ อา่ งเกบ็ น�้ำ ทม่ี คี วามลกึ และความกวา้ ง เปน็ น�้ำ นงิ่ คณุ สมบตั ิ ของนำ้�ในแต่ละบริเวณจะแตกต่างกันมาก จึงควรเก็บตัวอย่างแยกเฉพาะจุด โดยจุ่มเก็บตัวอย่างในระดับ ความลึกประมาณ 1 ฟุต หรือตามความเหมาะสม - น�ำ้ โสโครก น�ำ้ เสยี หรอื น�้ำ ทง้ิ จากโรงงานอตุ สาหกรรมจะมกี ารผนั แปรทงั้ ทางดา้ นคณุ ภาพ ของน�้ำ และอตั ราการไหลอยตู่ ลอดเวลา โดยการเกบ็ ตวั อยา่ งน�ำ้ ทงิ้ จากโรงงานอตุ สาหกรรม ใหเ้ กบ็ น�้ำ ทงิ้ จาก ทุก ๆ จุด ท่ีปลอ่ ยน้ำ�ออกมา หรอื ที่จุดรวมของนำ�้ ทง้ิ การเก็บตวั อย่างนำ้�เสยี จากอาคารบ้านเรอื น ควรเก็บ จากทอ่ ระบายน�ำ้ โสโครก ท้งั หมดข้างต้นควรเก็บตัวอยา่ งแยกทกุ ๆ ชว่ งเวลา ณ จดุ เดียวกัน โดยช่วงเวลา ทใี่ ช้คอื ชว่ งเวลา 24 ชั่วโมง 3. สง่ ตวั อยา่ งน�ำ้ เพอ่ื วเิ คราะหท์ นั ที โดยใหข้ อ้ มลู ประกอบตวั อยา่ งน�ำ้ โดยละเอยี ด ระบุ วนั เดอื น ปี ที่เก็บ ชนดิ ของแหลง่ นำ้� แหล่งท่ีเก็บ ความลึก อัตราการไหล ตลอดจนขอ้ มลู สงิ่ แวดลอ้ มอืน่ ๆ เชน่ น�้ำ เคยทว่ ม ฝนตกหนกั หรอื แหง้ แลง้ และควรระบวุ ตั ถปุ ระสงค์ ปญั หา และความจ�ำ เปน็ ทตี่ อ้ งท�ำ การวเิ คราะห์ ทั้งนี้สามารถนำ�ส่งตัวอย่างได้ท่ีกลุ่มงานพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำ� กลุ่มวิจัยเกษตรเคมี ส�ำ นกั วจิ ยั และพฒั นาปจั จยั การผลติ ทางการเกษตร (กองเกษตรเคมเี ดมิ ) กรมวชิ าการเกษตร (ภายในมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ จตุจักร กรุงเทพ ฯ 10900 โทร 0-2579-8601 ต่อ 200 โทรสาร 0-2579-8600) 26 กรมหมอ่ นไหม

ภาคผนวก 2 ตารางท่ี 1 ปจ จัยการผลิตทีใ่ ชเ ปนปยุ และสารปรับปรุงบาํ รุงดิน ช่ือสาร รายละเอียด/ขอ กาํ หนด 1. มูลสตั วจ ากปศุสตั วแ ละสัตวปก - กรณีไมไดมาจากระบบการผลิตเกษตรอินทรีย 2. ปยุ หมกั จากปฏกิ ูลของสตั วและสัตวป ก 3. ปุยคอกและปุยหมกั จากมูลสตั ว จําเปนตองไดรับการยอมรับจากหนวยรับรองหรือ 4. มลู สตั วช นดิ แหง จากปศสุ ัตวและสตั วป ก หนวยงานที่มอี าํ นาจหนา ท่เี ก่ียวขอ ง - ไมอ นญุ าตใหใ ชแ หลง ทม่ี าจากฟารม ทม่ี กี ารเลย้ี งแบบ 5. ของเสยี และปส สาวะจากสตั ว  อตุ สาหกรรม (ใชส ารเคมี หรอื ยาสตั ว ปรมิ าณมาก และการเลยี้ งแบบกรงตับ) 6. ปยุ จากธรรมชาติ (ปุย ปลา มูลนก มูลคา งคาว) - ไมใหใชมูลสัตวสดกับพืชอาหารในลักษณะที่เส่ียง 7. ฟางขา ว ตอ การปนเปอ นจลุ นิ ทรยี ก อ โรคสสู ว นทบ่ี รโิ ภคไดข อง 8. ปยุ หมกั จากวัสดเุ พาะเห็ด พืช 9. ปยุ หมกั จากวสั ดุอินทรียเ หลอื ใชจากบานเรือน - กรณีไมไดมาจากระบบการผลิตอินทรีย จําเปนตอง 10. ปุยหมกั จากวสั ดพุ ืชเหลือใช้ ไดรับการยอมรับจากหนวยรับรองหรือหนวยงานที่ 11. สว นเหลอื จากโรงงานฆาสัตวแ ละโรงงาน มีอํานาจหน้าท่ีเกี่ยวของ ควรผานการหมัก และ/ อุตสาหกรรมสตั วน้�ำ หรอื การทําใหเจือจางลงภายใตส ภาวะควบคุมแลว และไมอ นญุ าตใหใ ชแ หลง ทม่ี าจากการทาํ ฟารม แบบ โรงงาน - จําเปนตองไดรับการยอมรับจากหนวยรับรองหรือ หนว ยงานที่มีอาํ นาจหนาที่เก่ยี วของ - จําเปนตองไดรับการยอมรับจากหนวยรับรองหรือ หนวยงานที่มีอาํ นาจหนา ทเ่ี กีย่ วของ - จําเปนตองไดรับการยอมรับจากหนวยรับรองหรือ หนวยงานที่มีอํานาจหนาที่เกี่ยวของ และวัสดุที่ ใชควรอยูภายใตรายการเหลา นี้ - จําเปนตองไดรับการยอมรับจากหนวยรับรองหรือ หนว ยงานทม่ี ีอํานาจหนา ทเี่ กยี่ วขอ ง - - โดยตอ งไมใ ชส ารสงั เคราะห และจาํ เปน ตอ งไดร บั การ ยอมรับจากหนวยรับรองหรือหนวยงานที่มีอํานาจ หนา ที่เกีย่ วขอ ง 27ค่มู อื การผลิตหมอ่ นใบอนิ ทรยี ์

ชื่อสาร รายละเอียด/ขอ กําหนด 12. ผลพลอยไดจากโรงงานอุตสาหกรรมอาหารและ - จะตอ งไมม กี ารใชวตั ถเุ จอื ปนทเี่ ปน สารสงั เคราะห ทอผา - จําเปนตองไดรับการยอมรับจากหนวยรับรองหรือ หนวยงานท่มี อี ํานาจหนาทเี่ กย่ี วขอ ง 13. สาหรา ยทะเลและผลติ ภัณฑจ ากสาหรา ยทะเล - จาํ เปน ตอ งไดรบั การยอมรบั จากหนวยรบั รองหรือ หนว ยงานที่มีอาํ นาจหนาท่เี กี่ยวของ 14. ข้ีเลอ่ื ย เปลอื กไม และของเสียจากไม  - จําเปน ตอ งไดร บั การยอมรบั จากหนวยรับรองหรือ หนว ยงานที่มอี ํานาจหนา ที่เกย่ี วขอ ง 15. ขี้เถา จากไม  - จาํ เปน ตอ งไดร บั การยอมรบั จากหนวยรบั รองหรอื หนว ยงานที่มอี ํานาจหนาที่เกย่ี วขอ ง 16. หินฟอสเฟตจากธรรมชาต ิ - จาํ เปนตอ งไดร บั การยอมรบั จากหนวยรับรองหรอื 17. เบซกิ สแลก (basic slag) หนว ยงานท่มี ีอาํ นาจหนาทีเ่ กี่ยวของ - ปริมาณแคดเมียมตองไมเ กิน 90 mg/kg (มิลลกิ รัม ตอ กโิ ลกรัม) P2O5 - จาํ เปนตอ งไดรับการยอมรับจากหนวยรับรองหรือ หนว ยงานท่มี อี ํานาจหนา ทเี่ ก่ียวของ 18. หินโปแทสเซียมและเกลือโปแทสเซียมจากเหมือง - ตองมคี ลอรีนเปน สว นประกอบต่ำ�กวา 60% (เชน kainite และ sylvinite) 19. ซัลเฟตของโปแทส (เชน patenkali) - ไดจ ากกระบวนการทางกายภาพ แตต อ งไมม กี ารเสรมิ ดวยกระบวนการทางเคมเี พือ่ เพ่ิมการละลาย - จาํ เปน ตอ งไดรบั การยอมรบั จากหนวยรบั รองหรอื หนวยงานที่มีอํานาจหนาที่เก่ยี วขอ ง 20. แคลเซยี มคารบอเนตจากธรรมชาติ (เชน ชอลก - ปูนมารล ปูนขาว ชอลกฟอสเฟต) 21. หนิ แมกนเี ซยี ม - 22. หนิ แคลคาเรียสแมกนเี ซียม (calcareous - magnesium rock) 23. แมกนีเซียมซัลเฟต (epsom salt) - 24. ยปิ ซมั (แคลเซียมซลั เฟต) - 25. สทลิ เลจ (stillage) และสารสกดั สทลิ เลจ - ไมรวมแอมโมเนยี มสทิลเลจ (ammonium stillage) (stillage extract) 28 กรมหม่อนไหม

ชอ่ื สาร รายละเอียด/ขอกาํ หนด 26. โซเดียมคลอไรด (sodium chloride) - เฉพาะเกลอื สนิ เธาว 27. อลูมิเนียมแคลเซียมฟอสเฟต (aluminium - ปริมาณแคดเมยี มไมเ กิน 90 mg/kg P2O5 calcium phosphate) 28. แรธาตุปรมิ าณนอ ย (เชน โบรอน ทองแดง เหลก็ - จําเปนตอ งไดรับการยอมรับจากหนว ยรับรองหรอื แมงกานสี โมลิบดนี มั สงั กะสี) หนวยงานทมี่ อี ํานาจหนาทเ่ี ก่ียวของ 29. กํามะถัน - จาํ เปน ตอ งไดรับการยอมรับจากหนวยรบั รองหรอื หนว ยงานที่มอี ํานาจหนาที่เกย่ี วของ 30. หินบด - 31. ดนิ เชน เบนโทไนต เพอรไ ลต ซีโอไลต - (bentonite, perlite, zeolite) 32. สง่ิ มชี วี ติ ดา นชวี วทิ ยาตามธรรมชาติ (เชน ไสเ ดอื น) - 33. เวอมิคูไลต (vermiculite) - 34. วัสดุท่ใี ชใ นการเพาะปลูก (peat) - ไมร วมวตั ถเุ จอื ปนสงั เคราะหท อ่ี นญุ าตสาํ หรบั เมลด็ พนั ธุ วัสดปุ ลูกบางชนดิ - การใชอ ่ืนๆ ตามทไ่ี ดรบั การยอมรับจากหนว ยรับรอง 35. ฮวิ มสั (humus) จากไสเ ดอื นดนิ และแมลง - 36. ซโี อไลต (zeolite) - 37. ถานจากไม้ - 38. ดางคลอไรด (chloride of lime) - จาํ เปน ตองไดร ับการยอมรบั จากหนว ยรบั รองหรอื หนวยงานทม่ี ีอํานาจหนาที่เกี่ยวของ 39. ผลพลอยไดจ ากโรงงานนำ�้ ตาล - จาํ เปนตองไดร ับการยอมรบั จากหนวยรบั รองหรือ หนว ยงานท่มี อี ํานาจหนา ทเ่ี กี่ยวขอ ง 40. ผลพลอยไดจากโรงงานผลิตสวนผสมแปรรูปตางๆ - จาํ เปน ตองไดรับการยอมรบั จากหนวยรับรองหรือ จากเกษตรอนิ ทรยี  หนวยงานทมี่ ีอํานาจหนา ทเี่ กีย่ วของ 41. ผลพลอยไดจ ากน�ำ้ มนั ปาลม มะพรา ว และโกโก - จําเปน ตองไดรับการยอมรับจากหนวยรับรองหรอื หนว ยงานทมี่ อี ํานาจหนาทเ่ี ก่ียวของ 29คู่มอื การผลิตหมอ่ นใบอินทรีย์

ตารางท่ี 2 สารที่ใชส้ �ำ หรับควบคุมศตั รูและโรคของพืช ช่ือสาร รายละเอยี ด/ขอกาํ หนด 1. พืชและสัตว - จําเปนตอ งไดร บั การยอมรบั จากหนวยรบั รองหรอื 1.1 สารเตรียมที่มสี วนของไพรีทริน(pyrethrins) หนวยงานทมี่ อี ํานาจหนาทเี่ กี่ยวขอ ง สกัดจาก Chrysanthemum cinerariaefolium 1.2 สารเตรียมของโรทโี นน (rotenone) หรอื สาร - มกี ารปอ งกนั การปนเปอ นลงสูแหลงน้ำ� ออกฤทธ์ิจากโลตน้ิ (Derris elliptica), Lonchocarpus, - จาํ เปนตอ งไดร บั การยอมรบั จากหนว ยรับรองหรอื Thephrosia spp. หนว ยงานทม่ี ีอํานาจหนาที่เกี่ยวของ 1.3 สารเตรยี มจาก Quassia amara - จาํ เปนตองไดร บั การยอมรับจากหนว ยรบั รองหรือ หนวยงานทม่ี ีอํานาจหนาทเ่ี ก่ียวของ 1.4 สารเตรยี มจาก Ryania speciosa - จาํ เปนตอ งไดรับการยอมรับจากหนวยรบั รองหรือ หนวยงานทม่ี ีอํานาจหนาทเ่ี กีย่ วของ 1.5 สารออกฤทธ์จิ ากสะเดา (neem) หรือ - จาํ เปน ตองไดรบั การยอมรบั จากหนวยรบั รองหรือ Azadirachtin จาก Azadirachta spp. หนวยงานท่ีมีอํานาจหนา ที่เกย่ี วขอ ง 1.6 โพรโปลสิ (propolis) - จําเปน ตอ งไดร ับการยอมรบั จากหนว ยรบั รองหรือ หนว ยงานทม่ี อี ํานาจหนาที่เกี่ยวขอ ง 1.7 น�ำ้ มนั จากพชื และสตั ว (plant and animal oils) - 1.8 สาหรายทะเล (seaweed) สาหรายทะเลบด - ไมใ ชส ารเคมี (seaweed meal) หรือสาหรา ย สกัด น�้ำ ทะเล นำ้�เกลอื (seaweed extracts, sea salts and salty water) 1.9 เจลาทนิ (gelatin) - 1.10 เลซิทิน (lecithin) - จําเปนตอ งไดรับการยอมรับจากหนวยรับรองหรือ หนวยงานทีม่ ีอํานาจหนาทเ่ี กย่ี วของ 1.11 เคซีน (casein) - 1.12 กรดธรรมชาติ (เชน น�้ำ สม สายช)ู - จาํ เปนตอ งไดรบั การยอมรบั จากหนวยรบั รองหรอื หนวยงานที่มีอํานาจหนาทเ่ี กย่ี วของ 1.13 สารหมกั จาก aspergillus - 1.14 สารสกัดจากเห็ดหอม (shiitake fungus) - 1.15 สารสกดั จาก Chlorella - 30 กรมหมอ่ นไหม

ช่ือสาร รายละเอยี ด/ขอ กาํ หนด 1.16 สารเตรยี มจากพชื ธรรมชาติ ยกเวน ยาสบู - จาํ เปนตองไดร ับการยอมรบั จากหนวยรบั รองหรือ หนวยงานทม่ี ีอํานาจหนาทเ่ี กย่ี วขอ ง 1.17 น�ำ้ ชายาสบู (tobacco tea) ยกเวน้ สารนโิ คตนิ - จาํ เปนตองไดรบั การยอมรบั จากหนว ยรับรองหรอื บริสทุ ธ ์ิ หนว ยงานท่มี อี ํานาจหนา ทเ่ี กี่ยวของ 1.18 กากชา - จาํ เปนตองไดรับการยอมรับจากหนวยรับรองหรือ หนว ยงานทม่ี อี ํานาจหนา ที่เกี่ยวขอ ง 1.19 น�ำ้ สม ควันไม - จาํ เปนตอ งไดรบั การยอมรบั จากหนว ยรับรองหรอื หนว ยงานที่มอี าํ นาจหนาที่เกย่ี วของ 2. แรธาตุ (mineral) 2.1 สารประกอบอนินทรยี  เชน สารผสมบอรโดซ - จาํ เปน ตองไดรบั การยอมรบั จากหนวยรบั รองหรือ (bordeaux mixture) คอปเปอรไ ฮดรอกไซด์ (copper หนว ยงานที่มอี ํานาจหนา ท่ีเกย่ี วขอ ง hydroxide) คอปเปอรอ อกซีคลอไรด์ (copper oxy- chloride 2.2 สารผสมเบอกนั ดี (burgundy mixture) - จําเปน ตอ งไดร ับการยอมรบั จากหนว ยรับรองหรือ หนวยงานที่มีอํานาจหนา ท่ีเกี่ยวของ 2.3 เกลอื ทองแดง (copper salts) - จาํ เปนตองไดร บั การยอมรับจากหนวยรับรองหรือ หนวยงานที่มอี ํานาจหนา ที่เกี่ยวขอ ง 2.4 กาํ มะถนั (sulphur) - จําเปน ตองไดร ับการยอมรบั จากหนว ยรับรองหรือ หนวยงานท่ีมีอาํ นาจหนา ที่เกี่ยวขอ ง 2.5 แรธ าตุผง เชน่ หินบด (stone meal) - ซลิ ิเกต (silicates) 2.6 ดินเบา (diatomaceous earth) - จาํ เปนตองไดร ับการยอมรบั จากหนว ยรับรองหรอื หนว ยงานทม่ี อี ํานาจหนาทเ่ี ก่ียวของ 2.7 ซลิ ิเกต (silicates) ดินแรเ บนโทไนต์ - (ben tonite) 2.8 โซเดยี มซิลเิ กต (sodium silicate) - 2.9 โซเดยี มไบคารบ อเนต (sodium bicarbonate) - 2.10 โพแทสเซยี มเปอรแ มงกาเนต (potassium - จาํ เปน ตอ งไดร บั การยอมรับจากหนวยรับรองหรือ permanganate) หนวยงานทมี่ ีอาํ นาจหนา ที่เกย่ี วขอ ง 31คมู่ อื การผลิตหม่อนใบอินทรีย์

ช่อื สาร รายละเอียด/ขอ กําหนด 2.11 น�้ำ มันพาราฟน (paraffin oil) - จาํ เปน ตอ งไดรับการยอมรบั จากหนว ยรับรองหรอื หนว ยงานที่มีอํานาจหนา ท่ีเก่ยี วขอ ง 3. จุลินทรียทใ่ี ชส าํ หรับควบคุมศัตรพู ืชแบบชวี วธิ ี - จําเปนตองไดร ับการยอมรบั จากหนวยรับรองหรอื 3.1 จุลนิ ทรยี  (แบคทีเรีย, ไวรสั , เช้อื รา เช่น หนว ยงานที่มีอํานาจหนา ที่เกีย่ วขอ ง Bacillus thuringiensis, Granulosis virus) 4. อ่นื ๆ - จําเปน ตอ งไดร บั การยอมรับจากหนว ยรับรองหรือ 4.1 กา ซคารบอนไดออกไซดและไนโตรเจน หนว ยงานท่มี อี ํานาจหนาท่ีเกย่ี วของ (carbon dioxide and nitrogen gas) - 4.2 สบโู พแทสเซยี ม (สบอู อน) - จาํ เปนตองไดร ับการยอมรบั จากหนวยรบั รองหรือ 4.3 เอทิลแอลกอฮอล (ethyl alcohol) หนว ยงานที่มอี ํานาจหนาที่เก่ยี วของ 4.4 สารเตรียม Homeopathic และ Ayurvedic - 4.5 สมนุ ไพรและสารเตรยี มทไี่ ดจ ากการเปลยี่ นแปลง - ทางพลชีวภาพ 4.6 แมลงตวั ผูทีถ่ ูกทําหมัน - จาํ เปนตองไดร บั การยอมรบั จากหนว ยรบั รองหรือ หนวยงานทม่ี อี ํานาจหนาท่ีเกี่ยวของ 5. การใชก ับดัก - 5.1 สารเตรยี มฟโรโมน (pheromone) 5.2 สารเตรยี มจาก metaldehyde ใชใ นกบั ดัก - จําเปนตอ งไดรบั การยอมรบั จากหนวยรับรองหรอื หนวยงานท่ีมอี าํ นาจหนา ที่เกี่ยวขอ ง 32 กรมหม่อนไหม