กรมหม่อนไหม 4.1.2.8 ผา้ ไหมไทยทมี่ สี งิ่ อนื่ เปน็ สว่ นประกอบเพอื่ การตกแตง่ (Decorated Thai silk) หมายถงึ 47 ผา้ ไหมไทยทที่ อโดยใช้เสน้ ไหมยืนท่มี ีขนาดระหวา่ ง 60 ถงึ น้อยกว่า 80 ดิเนียร์ โดยใช้เส้นยนื จ�ำนวนไมน่ ้อย กวา่ 32 เส้นต่อเซนตเิ มตร ส�ำหรับไหมอุตสาหกรรม และ ใช้เสน้ ไหมยืนทม่ี ขี นาดระหวา่ ง 120 ถงึ น้อย กวา่ 200 ดเิ นยี ร์ โดยใชเ้ สน้ ยนื จำ� นวนไมน่ อ้ ยกวา่ 12 เสน้ ตอ่ เซนตเิ มตร สำ� หรบั ผา้ ไหมทใี่ ชเ้ สน้ ไหมสาวมอื (เสน้ ไหมไทยพนื้ บา้ น) โดยผา้ ทที่ อทกุ ชนดิ ตอ้ งมนี ำ้� หนกั ผา้ ไหมนอ้ ยกวา่ 50 กรมั ตอ่ หนงึ่ ตารางเมตร ตอ้ งเปน็ ไหมแท้ ทมี่ คี วามยาวของผา้ แตล่ ะพบั หรอื แตล่ ะมว้ นใหเ้ ปน็ ไปตามขอ้ ตกลงระหวา่ งผซู้ อื้ ผขู้ าย แตต่ อ้ งไมน่ อ้ ย กวา่ ท่ีระบุไว้ท่ีผ้า ความกว้างของผ้าให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซ้ือกับผู้ขาย และความคลาดเคล่ือน ตอ้ งเปน็ ไปตามท่ีก�ำหนด ผา้ แตล่ ะพับหรือแตล่ ะมว้ น ตอ้ งไม่น้อยกวา่ หรอื ไม่เกินรอ้ ยละ ของขนาดทรี่ ะบุไว้ ทผี่ า้ ผา้ ทกุ ชิน้ ต้องอยใู่ นสภาพเรียบร้อย ไมเ่ ปรอะเปือ้ น ไม่ชำ� รดุ และมีสีสม�ำ่ เสมอตามสภาพหรือลกั ษณะ ของผา้ ไหมไทยตลอดทั้งผนื 4.1.3 การแสดงเคร่อื งหมาย สำ� หรบั เครอ่ื งหมายทีแ่ สดงตามมาตรฐานฉบับนี้ ผผู้ ลติ จะตอ้ งปฏบิ ัตดิ ังนี้ 4.1.3.1 ตวั เลข อกั ษร หรอื เครอื่ งหมายแสดงขอ้ ความตอ่ ไปนเ้ี ปน็ ภาษาไทยใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจน อยทู่ ่ีผา้ แตล่ ะพับหรอื แตล่ ะม้วน ดงั นี้ • ช่ือหรอื เครือ่ งหมายการค้าทจี่ ดทะเบียนแล้วของโรงงานทท่ี �ำ • ชนดิ ของผ้าไหมไทย • ความยาวของผา้ เป็นเมตร • ความกวา้ งของผา้ เป็นเมตร 4.1.3.2 ผ้าไหมไทยที่ทอด้วยมือ ต้องมีข้อความภาษาไทยว่า ผ้าไหมไทยทอด้วยมือ หรือ ขอ้ ความภาษาองั กฤษวา่ THAI SILK HAND – WOVEN IN THAILAND WITH 100% PURE SILK ไว้ ทรี่ มิ ผา้ ทกุ ระยะหนง่ึ เมตรตลอดทง้ั ผนื 4.1.3.3 ผ้าไหมไทยที่ทอด้วยเครื่องจักร ต้องมีข้อความภาษาไทยว่า ผ้าไหมไทยทอด้วย เครอ่ื งจักร หรือข้อความภาษาองั กฤษวา่ THAI SILK MACHINE WOVEN IN THAILAND WITH 100% PURE SILK ไวท้ ีร่ ิมผา้ ทุกระยะหนึง่ เมตร ตลอดทัง้ ผนื 4.1.3.4 ในกรณที ไี่ ม่อาจปฏิบัติตามขอ้ 4.1.3.1 ขอ้ 4.1.3.2 และ ข้อ 4.1.3.3 ได้ เนอ่ื งจาก สภาพสินค้านน้ั ให้ติดป้ายหรือฉลากแจง้ ขอ้ ความดงั กล่าวไว้ท่ผี า้ แทน ผลติ ภัณฑอ์ ตุ สาหกรรมทเ่ี ป็นไปตาม มาตรฐานน้ี จะแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนั้นได้ ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจาก คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อตุ สาหกรรมแลว้ 4.1.4 การตรวจสอบ/ทดสอบมาตรฐาน ในการตรวจสอบผ้าไหมก่อนการอนุญาตให้ใช้เคร่ืองหมายมาตรฐานนั้นคณะกรรมการมาตรฐาน ผลิตภณั ฑ์อุตสาหกรรม จะทดสอบคณุ สมบัติตา่ งๆ ดงั นี้ 4.1.4.1 การหาขนาดเสน้ ไหมยนื ให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภณั ฑ์อตุ สาหกรรม วิธีทดสอบ ส่งิ ของขนาดเส้นดา้ ยตามมาตรฐาน มอก. 4.1.4.2 การหาจำ� นวนเสน้ ไหมยนื ตอ่ หนง่ึ เมตร ใหเ้ ปน็ ไปตามมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ อตุ สาหกรรม วธิ ีทดสอบสิ่งทอ จำ� นวนเสน้ ดา้ ยต่อหน่ึงหน่วยความยาวผา้ ทอตามมาตรฐานเลขท่ี มอก. 4.1.4.3 การหานำ้� หนกั ของผา้ ไหมไทยตอ่ หนงึ่ ตารางเมตร ใหเ้ ปน็ ไปตามมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ อตุ สาหกรรมวธิ ที ดสอบสง่ิ ทอ นำ้� หนกั ของผา้ ทอตอ่ หนงึ่ หนว่ ยความยาวและหนง่ึ หนว่ ยพนื้ ทต่ี าม มาตรฐาน มอก.
มาตรฐานหมอ่ นไหม 4.1.4.4 การทดสอบเสน้ ไหมแท้ ใหท้ ดสอบตามวธิ ที กี่ ำ� หนดวธิ ใี ดวธิ หี นงึ่ จากวธิ ที ดสอบดงั ตอ่ ไปน้ี (1) วิธกี ารเผาไฟ ถ้าเป็นไหมแทจ้ ะติดไฟและไหม้เร็ว เมื่อน�ำออกจากเปลวเทยี นไฟจะดบั ส่วนเถา้ จะรวมกันเปน็ กอ้ นสดี �ำเหมือนผมหรือขนนกไหม้ไฟ (2) วธิ ที ดสอบดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ โดยดลู กั ษณะตามขวางของเสน้ ไหมดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ โดยปรับกำ� ลงั ขยายน้อยทีส่ ดุ กอ่ นแลว้ จึงคอ่ ยขยายใหม้ ากข้นึ เป็น 250 ถงึ 500 เท่า ลกั ษณะตามขวางของ ไหมดิบจะเหน็ เส้นใยเป็นรปู เหลีย่ มสองเส้น หุ้มดว้ ยเยอื่ บางๆติดกัน บางทเี ย่ือหุ้มนจี้ ะหลุดหายไปเปน็ ตอนๆ สว่ นไหมฟอกเป็นรปู สามเหลี่ยมมมุ มน บางทกี ็กลมหรอื เปน็ รูปไข่ (3) วิธที ดสอบทางเคมี (4) วธิ ที ดสอบโดยการยอ้ มสี โดยใชห้ ยดนำ�้ ยาซงิ กค์ ลอไรดไ์ อโอไดดล์ งบนเสน้ ไหมปดิ ดว้ ย กระจกทบั ระวังอยา่ ใหม้ ีฟองอากาศ แล้วสอ่ งดูดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ ถา้ เปน็ ไหมแทจ้ ะมสี ีน�ำ้ ตาล หรอื จะใช้ ชิน้ ทดสอบจ�ำนวนมากใส่ในบเี กอร์ แลว้ รินนำ�้ ยาเชอรล์ าสเตน เอ พอท่วมช้ินทดสอบ แชไ่ ว้ 2 ถึง 3 นาที น�ำมาล้างให้สะอาด ผ่ึงให้แห้งแล้วน�ำมาเทียบกับแผ่นสีตัวอย่าง ซึ่งมีสีของเส้นใยแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ถา้ ไหมแท้จะเป็นสนี �้ำตาล 4.2 มาตรฐานผลิตภณั ฑช์ ุมชน (มผช) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นมาตรฐานสมัครใจท่ีจัดท�ำโดย ส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือท่ีเรียกย่อๆว่า สมอ. ใช้เป็น 48 แนวทางในการสนบั สนนุ ดา้ นมาตรฐานและการรบั รองคณุ ภาพของผลติ ภณั ฑข์ อง ชมุ ชนท่ีได้จากโครงการหนง่ึ ตำ� บลหน่ึงผลติ ภัณฑ์ (One Tambo One Product : OTOP) เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับและสามารถประกันคุณภาพให้กับ ผู้บริโภค ซ่ึงเป็นแนวทางหน่ึงที่เช่ือมโยงผลิตภัณฑ์จากชุมชนสู่ตลาดผู้บริโภค ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบายส�ำคัญของรัฐบาลตาม ภาพที่ 4.2 แสดงตราสัญลักษณ์ โครงการหนึ่งต�ำบลหน่ึงผลิตภัณฑ์ ในการแก้ไขปัญหาความยากจนของชุมชน เคร่ืองหมายรับรอง มาตรฐานผลิตภัณฑ์ ชุมชน โดยมงุ่ ใหค้ วามสำ� คญั ของการนำ� ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นและทรพั ยากรทม่ี อี ยใู่ นทอ้ งถนิ่ มาพฒั นาและสรา้ งมลู คา่ ของผลติ ภณั ฑใ์ หส้ งู ขนึ้ โดยการพฒั นาคณุ ภาพ จดุ เดน่ และความมเี อกลกั ษณข์ องสนิ คา้ ในทอ้ งถน่ิ ทำ� ใหช้ มุ ชนเขม้ แขง็ และพงึ่ ตนเองได้ ถือเป็นการพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืน ปัจจุบันสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการ คัดสรรใหส้ ่งเขา้ ประกวดตามโครงการหนงึ่ ต�ำบลหนึ่งผลิตภณั ฑ์ (One Tambo One Product : OTOP) จะต้องผา่ นมาตรฐานผลิตภณั ฑ์ชุมชนฉบบั น้ี โดยคา่ ใช้จา่ ยในการตรวจสอบและวเิ คราะห์ไดร้ บั การสนับสนุนจากกรมพฒั นาชุมชน การก�ำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนมีวัตถุประสงค์เพ่ือรองรับการ พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนหรือระดับพ้ืนบ้านให้ได้รับการพัฒนาเทียบเท่า สนิ คา้ อตุ สาหกรรม โดยมีวตั ถปุ ระสงคท์ ี่สำ� คัญคือ ส่งเสริมและพฒั นาคุณภาพ ของผลติ ภณั ฑใ์ หไ้ ดก้ ารรบั รองและแสดงเครอ่ื งหมายการรบั รอง เพอื่ สง่ เสรมิ ดา้ น การตลาดของผลิตภัณฑ์ให้เป็นท่ียอมรับอย่างแพร่หลาย และสร้างความม่ันใจ ให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เก่ียวข้องกับผ้าไหมมีหลายประเภทตามชนิดของผ้า ท่ีมีการผลิตในแต่ละท้องถ่ินซึ่งรวมทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหม และผ้าเส้นใยผสม
กรมหม่อนไหม ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบท่ีใช้ โดยผ้าไหมเป็นสินค้าชุมชนประเภทหน่ึงท่ีสามารถขอการรับรองตามมาตรฐานน้ี ประเภทของผ้าไหมทส่ี ามารถขอรับรองภายใต้มาตรฐานผลติ ภัณฑ์ชุมชนฉบบั น้มี ีหลายประเภท โดยจ�ำแนก ประเภทตามเทคนิคและวิธกี ารทอที่ทำ� ใหเ้ กดิ ลวดลายผืนผ้าไหม ไดแ้ ก่ ผ้าขิด ผา้ ยก ผ้าไหมแพรวา เป็นตน้ โดยมาตรฐานผลติ ภัณฑช์ ุมชนสำ� หรับผ้าไหมประเภทตา่ งๆ ไดป้ ระกาศใชเ้ มอื่ วนั ที่ 30 เมษายน 2546 และ ได้ปรบั ปรุงแกไ้ ข โดยยกเลิกมาตรฐานฉบบั เดมิ และประกาศใชฉ้ บบั ใหม่ เมื่อวนั ท่ี 16 พฤศจกิ ายน 2552 เนื้อหารายละเอยี ดตามมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ผา้ ไหมทุกประเภท มหี ลักการในการกำ� หนดเงอื่ นไข หลักเกณฑ์ และขอ้ กำ� หนดทว่ั ไปทเี่ หมอื นกนั จะแตกตา่ งในสว่ นของมาตรฐานทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณข์ องผา้ แตล่ ะประเภทเทา่ นน้ั 4.2.1 ประเภทของมาตรฐานผลิตภณั ฑช์ ุมชนเกย่ี วกบั ผ้าไหม มาตรฐานผลติ ภณั ฑช์ มุ ชนเปน็ มาตรฐานขอ้ กำ� หนดหรอื ระเบยี บทมี่ งุ่ เนน้ การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพ การผลติ หมอ่ นไหมเปน็ ขอ้ กำ� หนด หรอื กฎ หรอื ระเบยี บแบบสมคั รใจ มาตรฐานผลติ ภณั ฑช์ มุ ชนทเี่ กยี่ วขอ้ ง กับผ้าไหมไทยท่ีได้รับการประกาศมาตรฐานเพื่อใช้ในการรับรองคุณภาพมาตรฐานตามประกาศส�ำนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ตามประกาศฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่ เม่ือวันท่ี 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มดี ังนี้ 4.2.1.1 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชมุ ชน ผา้ กาบบวั (มผช. 13/2552) เป็นมาตรฐานที่ใช้รับรองคุณภาพผ้ากาบบัวท่ีทอด้วยกี่ ทอมอื แบบพน้ื บา้ นหรอื แบบกระตกุ โดยใชเ้ สน้ ไหมแท้ หรอื ไหมผสม โดยผา้ ไหมทไ่ี ด้รับการรบั รองจะตอ้ งมคี ุณสมบัติ ดังตอ่ ไปน้ี 49 (1) ลกั ษณะคณุ ภาพทว่ั ไป ผา้ ไหมกาบบวั ตอ้ งทำ� ดว้ ยไหม แท้ หรอื ตามทร่ี ะบไุ วท้ ฉี่ ลาก ผนื ผา้ สะอาดและอยใู่ นสภาพเรยี บรอ้ ย ท้ังผืน ลวดลายเด่น เน้ือผ้ามีความสมำ่� เสมอตามแนวเส้นพุ่งและ ภาพท่ี 4.3 แสดงผ้าไหมกาบบัว เส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องท่ีเกิดจากกรรมวิธีการผลิตท่ีเห็นได้ชัดเจน ธรรมดาตามาตรฐาน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สีผ้าและเน้ือผ้าไม่สม�่ำเสมอ มผช.13 /2552 ลายผดิ หรือลายขาดความตอ่ เนอ่ื ง ผา้ ไหมเป็นรอ่ ง รู แยก เสน้ ไหม ขาด เส้นไหมหยอ่ นหรอื เป็นบ่วง เส้นไหมตึงเส้นริมผา้ เสยี (2) ลักษณะมาตรฐานดา้ นเอกลกั ษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบบั น้ี ไดก้ �ำหนดการรบั รองผา้ ไหม กาบบวั ทั้ง ๓ ชนิด ได้แก่ ผา้ กาบบวั ธรรมดา ผ้ากาบบวั จก และผ้ากาบวั คำ� โดยผา้ ไหมกาบบวั แตล่ ะชนิด จะตอ้ งมีมาตรฐานด้านเอกลักษณด์ งั นี้ (2.1) ผา้ ไหมกาบบัวธรรมดา ตอ้ งทอโดยใชเ้ สน้ ไหมยนื อย่างนอ้ ย 2 สเี ปน็ ลายร้ิว และ มีลายหางกระรอก มดั หมี่ และขดิ เปน็ ลายค่นั (2.2) ผา้ ไหมกาบบวั (จก) ตอ้ งทอโดยใช้เสน้ ไหมยนื อย่างน้อย 2 สเี ปน็ ลายริว้ และมลี าย กระจุกดาว เป็นช่วงๆ หรือกระจายเต็มผนื ผ้ากไ็ ด้ (2.3) ผา้ ไหมกาบบวั (ค�ำ) เปน็ ผ้ายกหรือขดิ ทีม่ ไี หมคำ� หรือดน้ิ ทองสอดตามลวดลายอาจ สอดดิน้ เงนิ หรือไหมสีตา่ งๆ และคั่นด้วยมดั หมี่ (3) มาตรฐานด้านคณุ ภาพและความปลอดภยั ภายใตม้ าตรฐานฉบบั นี้ ไดก้ ำ� หนดคณุ ภาพ และมาตรฐานการที่สร้างความม่นั ใจให้แก่ผบู้ รโิ ภคเก่ยี วข้องคุณภาพของสินค้าหลงั การดแู ลรกั ษา ไวด้ ังนี้
มาตรฐานหม่อนไหม (3.1) มีคา่ ความเป็นกรด – ดา่ ง อยู่ระหวา่ ง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเสน้ สีเคมี สีเอโซท่ีให้แอโรแมตกิ แอมนี ทัง้ 24 ตวั ตอ้ งไม่เกนิ 30 มิลลิกรมั ตอ่ กิโลกรัม (3.3) การเปลยี่ นแปลงขนาดภายหลงั การซกั และทำ� ใหแ้ หง้ ตอ้ งไมเ่ กนิ รอ้ ยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสตี อ่ เหงื่อ ท้ังการเปลีย่ นสแี ละ การเปอ้ื นสี ตอ้ งไมน่ อ้ ยกวา่ เกรยส์ เกล ระดบั 3 4.2.1.2 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผา้ แพรวา (มผช.14 /2552) ตามมาตรฐานฉบับนี้ สามารถใช้ในการรับรองคุณภาพผ้าไหม แพรวาทที่ อดว้ ยกที่ อมอื แบบพน้ื บา้ นหรอื แบบกระตกุ โดยใชเ้ สน้ ไหมแทย้ า่ งเดยี ว หรอื ไหมผสม ผา้ ไหมท่ไี ดร้ บั การรับรองจะตอ้ งมคี ุณสมบตั ิ ดงั ตอ่ ไปน้ี (1) ลกั ษณะคณุ ภาพทว่ั ไป ผา้ ไหมแพรวาตอ้ งทำ� ดว้ ยไหมแท้ หรอื ตามทรี่ ะบุไวท้ ฉ่ี ลาก ผืนผ้าสะอาดและอยใู่ นสภาพเรยี บร้อยท้ังผืน ลวดลายเด่น เน้ือผ้ามีความสม่�ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจาก กรรมวิธกี ารผลิตท่ีเหน็ ได้ชดั เจน และมีผลกระทบต่อการใชง้ าน เช่น สีผ้าและ เนอื้ ผา้ ไม่สม่�ำเสมอ ลายผิดหรือลายขาดความตอ่ เน่ือง ผา้ ไหมเป็นรอ่ ง รู แยก เสน้ ไหมขาด เสน้ ไหมหยอ่ นหรอื เปน็ บว่ ง เสน้ ไหมตึงเส้นริมผา้ เสยี 50 (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ผ้าไหมแพรวาเป็นผ้าท่ี มีความเปน็ เอกลกั ษณ์ของลวดลายสงู ลวดลายท่ีเปน็ เอกลกั ษณข์ องผ้าไหมแพร ภาพท่ี 4.4 แสดงผ้าไหมกาบบัว วา ไดแ้ ก่ ลายหลกั ลายคัน่ และลายเชงิ ผ้า ประกอบกบั เทคนคิ การทอท่ีมกี าร จก และกาบบวั คำ�ตาม ใช้สีเส้นไหมแตกต่างกันไป ท�ำให้ผ้าไหมแพรวาภายใต้มาตรฐานฉบับน้ี ลำ�ดบั ภายใตม้ าตรฐาน มผช 13 /2552 ไดก้ �ำหนดการรบั รองผา้ ไหมแพรวา ๓ ชนดิ ไดแ้ ก่ ผา้ แพรวาเกาะ ผา้ แพรวาลว่ ง และผา้ แพรวาจกดาว โดยผา้ แพรวาแตล่ ะชนดิ จะตอ้ งมีมาตรฐานดงั นี้ (2.1) ผ้าไหมแพรวาเกาะ ประกอบด้วยลายดอกใหญ่หรือลายหลัก ลายค่ัน และ ลายเชิงผ้า โดยใช้เส้นไหมพุง่ ที่เพม่ิ พิเศษหลายสี (2.2) ผ้าไหมแพรวาล่วง ประกอบด้วยลายดอกใหญ่หรือลายหลัก ลายคั่น และ ลายเชงิ ผ้า โดยใช้เสน้ ไหมพงุ่ ที่เพ่มิ พิเศษสเี ดียว (2.3) ผ้าไหมแพรวาจกดาว ประกอบด้วยลายดอกใหญ่หรือลายหลัก ลายค่ัน และ ลายเชงิ ผ้าโดยใชเ้ สน้ ไหมพุง่ ทเ่ี พ่มิ พเิ ศษหลายสีแตเ่ ป็นลายขนาดเลก็ (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภยั ภายใต้มาตรฐานฉบับน้ี ได้ก�ำหนดคณุ ภาพ และมาตรฐานการทส่ี ร้างความม่นั ใจใหแ้ ก่ผบู้ รโิ ภคเกย่ี วข้องคุณภาพของสนิ ค้าหลังการดแู ลรกั ษา ไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณเี ส้นสีเคมี สเี อโซทใี่ หแ้ อโรแมติกแอมนี ท้ัง 24 ตัว ตอ้ งไมเ่ กิน 30 มลิ ลิกรมั ตอ่ กิโลกรมั (3.3) การเปล่ียนแปลงขนาดภายหลงั การซักและท�ำให้แห้ง ตอ้ งไม่เกนิ รอ้ ยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหง่ือ ท้ังการเปล่ียนสีและ การเปอ้ื นสี ต้องไม่นอ้ ยกวา่ เกรยส์ เกล ระดบั 3
กรมหม่อนไหม ลายหลกั ลายคั่น ลายหลัก ภาพที่ 4.5 แสดงเอกลักษณ์ของ องค์ประกอบลายของ ลายค่นั ผ้าไหมแพรวาเกาะ ลายชอ่ ปลายเชงิ ตามมาตรฐาน มผช. 14/2552 4.2.1.3 มาตรฐานผลิตภณั ฑช์ มุ ชน ผา้ ขดิ (มผช. 15 /2552) ส�ำหรบั ใชใ้ นการรับรองคุณภาพผา้ ไหมขิดทท่ี อดว้ ยกที่ อมอื แบบพน้ื บา้ นหรือแบกระตกุ โดยใช้ เสน้ ไหมแท้ หรอื ไหมผสม โดยผ้าไหมทไี่ ด้รบั การรบั รองจะตอ้ งมีคณุ สมบตั ิ ดังต่อไปน้ี (1) ลกั ษณะคุณภาพท่วั ไป ผ้าไหมขิดต้องท�ำดว้ ยไหมแท้ หรอื ตาม ที่ระบุไว้ที่ฉลาก ผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม่�ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจาก กรรมวิธีการผลติ ทเ่ี หน็ ได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สผี ้าและ เนื้อผ้าไมส่ มำ่� เสมอ ลายผดิ หรอื ลายขาดความตอ่ เนอ่ื ง ผา้ ไหมเปน็ รอ่ ง รู แยก 51 เสน้ ไหมขาด เส้นไหมหยอ่ นหรือเป็นบว่ ง เส้นไหมตงึ เสน้ ริมผา้ เสีย ภาพที่ 4.6 แสดงผา้ ไหมแพรวา (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับน้ี ชนดิ ตา่ งๆ ตามมาตรฐาน ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าขิไหมด จะต้องมีลักษณ์ท่ีมีเอกลักษณ์ของลวดลายต้อง มผช.14/2552 มีมาตรฐานดังนี้ (2.1) ลวดลายของผ้าขิดต้องนูนเด่นชัด เป็นรูปลายซ้�ำเรียง ตดิ ตอ่ กนั ตลอดความกวา้ งของหนา้ ผา้ และมสี เี ดยี วกนั ตลอด สว่ นรปู ลายซำ้� ตาม ความยาวของผนื ผา้ อาจเหมอื นหรอื ไมเ่ หมอื นกนั โดยสอี าจมสี เี ดยี วหรอื หลายสกี ไ็ ด้ (2.2) ลวดลายของผ้าขิดเกิดจากเส้นไหมพุ่งที่เพิ่มพิเศษยาว ตลอดความกวา้ งของหนา้ ผา้ และเมอื่ ดงึ เสน้ ไหมพงุ่ ทเี่ พม่ิ พเิ ศษออก เสน้ ไหมพงุ่ ภาพที่ 4.7 แสดงผา้ ขิดไหม ธรรมดายังคงอยู่ ตามมาตรฐาน (3) มาตรฐานด้านคณุ ภาพและความปลอดภยั ภายใตม้ าตรฐาน มผช.15/2552 ฉบับนี้ ได้ก�ำหนดคุณภาพและมาตรฐานการที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค เกย่ี วข้องคณุ ภาพของสินคา้ หลังการดูแลรกั ษา ไวด้ งั นี้ (3.1) มคี ่าความเป็นกรด – ดา่ ง อยรู่ ะหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสเี คมี สีเอโซทใ่ี หแ้ อโรแมติกแอมีนท้งั 24 ตัว ต้องไมเ่ กนิ 30 มลิ ลกิ รมั ต่อกโิ ลกรมั (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลงั การซักและทำ� ใหแ้ หง้ ต้องไม่เกนิ ร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ท้ังการเปล่ียนสีและ การเปื้อนสี ตอ้ งไมน่ ้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 3
มาตรฐานหมอ่ นไหม 4.2.1.4 มาตรฐานผลติ ภัณฑ์ชุมชน ผา้ หางกระรอก (มผช.16 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้าหางกระรอกท่ีทอด้วยกี่ทอมือแบบพ้ืนบ้านหรือแบบกระตุก โดยใชเ้ สน้ ไหมแท้ หรือไหมผสม โดยผา้ ไหมที่ได้รับการรับรองจะต้องมคี ณุ สมบัติ ดงั ต่อไปน้ี (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมหางกระรอกต้องท�ำด้วยไหมแท้ หรอื ตามทรี่ ะบไุ วท้ ฉี่ ลากผนื ผา้ สะอาดและอยใู่ นสภาพเรยี บรอ้ ยทงั้ ผนื ลวดลายเดน่ เน้ือผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องท่ีเกิดจาก กรรมวธิ ีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมผี ลกระทบตอ่ การใชง้ าน เชน่ สีผ้าและ เนือ้ ผ้าไมส่ มำ่� เสมอ ลายผิดหรือลายขาดความตอ่ เนอื่ ง ผ้าไหมเป็นร่อง รู แยก เส้นไหมขาด เสน้ ไหมหยอ่ นหรือเปน็ บ่วง เส้นไหมตงึ เส้นรมิ ผา้ เสยี (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับน้ี ภาพท่ี 4.8 แสดงลักษณะผ้าไหม ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าไหมหางกระรอก จะต้องมีลักษณะที่มีเอกลักษณ์คือ หางกระรอกตาม เปน็ ผา้ ทม่ี สี เี หลอื บจากการใชเ้ สน้ ไหมควบหลายสี ทำ� ใหม้ องดคู ลา้ ยหางกระรอก มาตรฐาน มผช. (3) มาตรฐานดา้ นคณุ ภาพและความปลอดภยั ภายใตม้ าตรฐานฉบบั 16/2552 น้ี ไดก้ ำ� หนดคณุ ภาพและมาตรฐานการทส่ี รา้ งความมนั่ ใจใหแ้ กผ่ บู้ รโิ ภคเกย่ี วขอ้ ง คุณภาพของสินคา้ หลังการดูแลรกั ษา ไว้ดังน้ี (3.1) มคี ่าความเปน็ กรด – ด่าง อยู่ระหวา่ ง 5 – 7.5 52 (3.2) กรณเี สน้ สเี คมี สเี อโซทใี่ หแ้ อโรแมตกิ แอมนี ทง้ั 24 ตวั ตอ้ ง ไม่เกิน 30 มิลลกิ รัมต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้งต้อง ไม่เกินรอ้ ยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีตอ่ เหงือ่ ภาพท่ี 4.10 ผา้ ทอมอื ลายขดั ท้ังการเปล่ียนสีและการเปื้อนสี ต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 4 4.2.1.5 มาตรฐานผลิตภัณฑช์ มุ ชน ผา้ มัดหมี่ (มผช.17 /2552) ใชใ้ นการรบั รองคณุ ภาพผา้ มดั หมท่ี ที่ อดว้ ยกที่ อมอื แบบพน้ื บา้ นหรอื แบบกระตกุ โดยใชเ้ สน้ ไหม แท้ หรอื ไหมผสม โดยผา้ ไหมท่ไี ด้รบั การรับรองจะตอ้ งมคี ุณสมบตั ิ ดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมมัดหม่ีต้องท�ำด้วยไหมแท้ หรือตามที่ระบุไว้ที่ฉลาก ผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยท้ังผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและ เส้นยนื ไมม่ ีข้อบกพรอ่ งท่เี กดิ จากกรรมวธิ กี ารผลติ ที่เห็นไดช้ ัดเจน และมผี ลกระทบต่อการใชง้ าน เช่น สผี ้า และเนอ้ื ผา้ ไมส่ ม่�ำเสมอ ลายผิดหรอื ลายขาดความตอ่ เน่อื ง ผา้ ไหมเปน็ ร่อง รู แยก เสน้ ไหมขาด เส้นไหม หยอ่ นหรอื เป็นบ่วง เสน้ ไหมตงึ เส้นรมิ ผา้ เสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบบั น้ี ได้กำ� หนดการรบั รองผ้าไหม มดั หมี่ จะตอ้ งมลี กั ษณ์ที่มีเอกลักษณข์ องลวดลายตอ้ งมีมาตรฐานดังนี้ (2.1) ช่วงรอยตอ่ ของสีในเส้นไหมทเี่ กดิ จากการมดั ย้อมจะปรากฏรอยซมึ ของสที ่ซี มึ เขา้ ไป ตรงส่วนท่ีมัดไวใ้ นขณะยอ้ ม (2.2) ตอ้ งมลี วดลายตอ่ เนอ่ื งโดยรายละเอยี ดของลวดลายแตล่ ะรปู อาจซำ�้ หรอื ไมซ่ ำ้� กนั เลย เนอ่ื งจากการมัดยอ้ มเส้นไหมก่อนการทอ
กรมหม่อนไหม (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานฉบบั นี้ ได้ก�ำหนดคณุ ภาพ 53 และมาตรฐานการทส่ี ร้างความมั่นใจใหแ้ กผ่ ูบ้ ริโภคเกยี่ วข้องคณุ ภาพของสินค้าหลังการดแู ลรักษา ไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ดา่ ง อยรู่ ะหวา่ ง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมี สีเอโซที่ใหแ้ อโรแมตกิ แอมีนท้งั 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลกิ รัม ต่อกิโลกรัม (3.3) การเปล่ียนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้ง ตอ้ งไม่เกนิ รอ้ ยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปล่ียนสีและ การเปือ้ นสี ต้องไมน่ อ้ ยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 4 4.2.1.6 มาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ชมุ ชน (มผช.18 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้าพ้ืนลายขัดทอมือที่ทอด้วยก่ีทอมือแบบพ้ืนบ้านหรือแบบกระตุก สว่ นใหญจ่ ะเป็นผ้าพื้น โดยใช้เส้นไหมแท้ หรือไหมผสม โดยผ้าไหมท่ีได้รับการรับรองจะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปน้ี (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมทอมือลายขัดต้องท�ำด้วยไหมแท้ หรือตามที่ระบุไว้ ทฉี่ ลากผนื ผ้าสะอาดและอยใู่ นสภาพเรยี บร้อยท้ังผืน ลวดลายเดน่ เนอื้ ผา้ มคี วามสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่ง และเส้นยนื ไม่มีข้อบกพรอ่ งที่เกิดจากกรรมวิธกี ารผลติ ท่ีเหน็ ไดช้ ัดเจน และมีผลกระทบตอ่ การใช้งาน เชน่ สีผ้าและเนื้อผ้าไม่สม่�ำเสมอ ลายผิดหรือลายขาดความต่อเน่ือง ผ้าไหมเป็นร่อง รู แยก เส้นไหมขาด เส้นไหมหยอ่ นหรอื เป็นบว่ ง เส้นไหมตงึ เสน้ ริมผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรอง ผ้าไหมทอมือลายขดั พื้นฐานจะต้องมีลกั ษณค์ ือ เส้นไหมยืนและเสน้ ไหมพุง่ ขดั สานซงึ่ กันและกัน ในลกั ษณะ ข้าม 1 เส้น และลอด 1 เส้น (3) มาตรฐานดา้ นคณุ ภาพและความปลอดภยั ภายใตม้ าตรฐานฉบบั น้ี ไดก้ ำ� หนดคณุ ภาพ และมาตรฐานการทีส่ รา้ งความมัน่ ใจใหแ้ ก่ผูบ้ รโิ ภคเก่ียวข้องคุณภาพของสินคา้ หลงั การดูแลรักษา ไว้ดงั น้ี (3.1) มคี ่าความเป็นกรด – ดา่ ง อยูร่ ะหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณเี ส้นสเี คมี สเี อโซท่ใี ห้แอโรแมติกแอมนี ทั้ง 24 ตวั ตอ้ งไม่เกิน 30 มลิ ลิกรมั ต่อกโิ ลกรมั (3.3) การเปลยี่ นแปลงขนาดภายหลงั การซักและทำ� ให้แหง้ ตอ้ งไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหง่ือ ทั้งการเปลี่ยนสีและ การเปือ้ นสี ตอ้ งไมน่ ้อยกว่าเกรย์สเกล ระดบั 4 4.2.1.7 มาตรฐานผลติ ภัณฑ์ชุมชน ผ้าจก (มผช.48 /2552) ใชใ้ นการรบั รองคณุ ภาพผา้ จกทท่ี อดว้ ยกที่ อมอื แบบพนื้ บา้ นหรอื แบบกระตกุ โดยใชเ้ สน้ ไหมแท้ หรอื ไหมผสมกัน โดยผ้าไหมทไ่ี ด้รับการรบั รองจะตอ้ งมคี ณุ สมบตั ิ ดังตอ่ ไปน้ี (1) ลกั ษณะคณุ ภาพทว่ั ไป ผา้ จกไหมตอ้ งทำ� ดว้ ยไหมแท้ หรอื ตามทรี่ ะบไุ วท้ ฉี่ ลากผนื ผา้ สะอาด และอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มี ข้อบกพรอ่ งทีเ่ กิดจากกรรมวิธีการผลติ ที่เหน็ ได้ชดั เจน และมผี ลกระทบตอ่ การใช้งาน เชน่ สผี ้าและเนื้อผา้ ไ ม ่ ส ม่� ำ เ ส ม อ ล า ย ผิ ด ห รื อ ล า ย ข า ด ค ว า ม ต ่ อ เ น่ื อ ง ผ ้ า ไ ห ม เ ป ็ น ร ่ อ ง รู แ ย ก เสน้ ไหมขาด เส้นไหมหยอ่ นหรือเป็นบว่ ง เสน้ ไหมตงึ เส้นรมิ ผา้ เสีย
มาตรฐานหมอ่ นไหม ภาพท่ี 4.11 ผา้ ตีนจก ลาวพรวน (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้กำ� หนดการรับรองผา้ จกไหม จะตอ้ งมีลักษณะท่ีเปน็ เอกลักษณ์ คือ ลวดลาย ของผ้าไหมเกดิ จากการเพิม่ เส้นไหมพงุ่ พเิ ศษหลายสีเป็นช่วงๆ บนลายพื้น (3) มาตรฐานดา้ นคุณภาพและความปลอดภัย ภายใตม้ าตรฐาน ฉบับนี้ ได้ก�ำหนดคุณภาพและมาตรฐานการท่ีสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค เกยี่ วข้องคุณภาพของสนิ ค้าหลงั การดแู ลรกั ษา ไวด้ งั น้ี (3.1) มคี ่าความเปน็ กรด – ดา่ ง อย่รู ะหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณเี สน้ สีเคมี สเี อโซทีใ่ หแ้ อโรแมติกแอมีนท้งั 24 ตัว ต้องไมเ่ กิน 30 มลิ ลกิ รมั ต่อกโิ ลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้ง ตอ้ งไมเ่ กนิ รอ้ ยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสี ต่อเหง่ือ ท้ังการเปล่ียนสีและการเปื้อนสี ต้องไม่น้อย กว่าเกรย์สเกล ระดับ 4 4.2.1.8 มาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ชุมชน ผา้ ยกมกุ (มผช.49 /2552) ใชใ้ นการรบั รองคณุ ภาพผา้ ยกมกุ ทที่ อดว้ ยกที่ อมอื แบบพน้ื บา้ นหรอื 54 แบบกระตุก โดยใช้เส้นไหมแท้ หรือไหมผสม โดยผ้าไหมท่ีได้รับการรับรอง จะต้องมีคุณสมบตั ิ ดังต่อไปน้ี (1) ลักษณะคุณภาพท่ัวไป ผา้ ไหมยกมกุ ต้องท�ำดว้ ยไหมแท้ หรือ ภาพท่ี 4.12 ผา้ จก หรือ จกภษู า ตามที่ระบุไว้ที่ฉลากผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจาก กรรมวธิ กี ารผลติ ทเ่ี หน็ ได้ชดั เจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เชน่ สผี ้าและ เนื้อผ้าไมส่ มำ่� เสมอ ลายผดิ หรอื ลายขาดความตอ่ เนอ่ื ง ผา้ ไหมเปน็ รอ่ ง รู แยก เสน้ ไหมขาด เส้นไหมหยอ่ นหรือเปน็ บ่วง เส้นไหมตงึ เส้นริมผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ไดก้ ำ� หนดการรบั รองผา้ ไหมยกมกุ จะตอ้ งมลี กั ษณะทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์ คอื ลวดลาย ของผ้าไหมเกิดข้ึนบนลายพื้น ตามความยาวผืนผ้า น้ันเกิดจากชุดเส้นไหมยืน ภาพที่ 4.13 แสดงผา้ ไหมยกมกุ ตาม พเิ ศษซง่ึ มสี เี ดียวหรอื หลายสีกไ็ ด้ตลอดตามแนวเสน้ ไหมยนื มาตรฐาน มผช. (3) มาตรฐานดา้ นคณุ ภาพและความปลอดภยั ภายใตม้ าตรฐานฉบบั น้ี ได้ก�ำหนดคุณภาพและ มาตรฐานการทสี่ ร้างความมั่นใจให้แกผ่ ู้บริโภคทีเ่ ก่ียวขอ้ งคณุ ภาพของสินค้าหลังการดูแลรกั ษา ไวด้ งั นี้ (3.1) มคี ่าความเป็นกรด – ด่าง อยรู่ ะหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณเี ส้นสเี คมี สีเอโซที่ให้แอโรแมตกิ แอมนี ท้ัง 24 ตัว ต้องไมเ่ กนิ 30 มลิ ลิกรัม ต่อกโิ ลกรมั (3.3) การเปล่ียนแปลงขนาดภายหลังการซกั และท�ำให้แหง้ ต้องไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ท้ังการเปล่ียนสีและ การเป้อื นสี ตอ้ งไมน่ ้อยกวา่ เกรย์สเกล ระดับ 4
กรมหมอ่ นไหม 4.2.1.9 มาตรฐานผลิตภัณฑช์ ุมชน ผา้ บาติก (มผช.51 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้าบาติกที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านหรือแบบกระตุก โดยใช้ เสน้ ดา้ ยฝ้าย หรือเสน้ ไหมแท้ หรอื เส้นด้ายใยประดษิ ฐ์ อย่างใดอยา่ งหนงึ่ หรอื ผสมกัน โดยผ้าไหมทไ่ี ด้รบั การรับรองจะต้องมีคุณสมบัติ ดังตอ่ ไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทวั่ ไป ผ้าไหมบาตกิ ต้องท�ำด้วยไหมแท้ หรอื ตามทร่ี ะบุไว้ทีฉ่ ลากผืนผ้า สะอาดและอยใู่ นสภาพเรียบรอ้ ยท้ังผนื สแี ละลวดลายสวยงามผสมผสานกลมกลนื ตลอดผนื ผา้ เส้นเทียน ต้องคมชัดท้ังด้านหน้า และด้านหลังของผืนผ้า ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจากกรรมวิธีการผลิตท่ีเห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใชง้ าน เชน่ การลงสีผ้าไม่สมำ่� เสมอ มีรอยดา่ ง (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ 55 ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าไหมบาติก จะต้องมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ของผ้าไหมบาตกิ คือ คอื สามารถมองเห็นลวดลายของผา้ ไหมท้งั สองด้าน (3) มาตรฐานดา้ นคณุ ภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐาน ฉบับน้ี ได้ก�ำหนดคุณภาพและมาตรฐานการท่ีสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค เก่ยี วขอ้ งคณุ ภาพของสินคา้ หลงั การดูแลรักษาไว้ดงั นี้ (3.1) มคี ่าความเปน็ กรด – ด่าง อยรู่ ะหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณเี ส้นสีเคมี สเี อโซทใ่ี หแ้ อโรแมติกแอมนี ทง้ั 24 ตัว ต้องไม่เกนิ 30 มลิ ลิกรมั ต่อกโิ ลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้งต้อง ไม่เกนิ ร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีตอ่ การซัก และความคงทนของสีตอ่ เหงื่อ ท้ังการเปล่ียนสีและการเปื้อนสี ต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 4 4.2.1.10 มาตรฐานผลติ ภัณฑช์ มุ ชน ผ้ายก (มผช.62 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้ายกที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพ้ืนบ้านหรือ ภาพที่ 4.14 ผา้ ไหมบาติก แบบกระตกุ โดยใชเ้ ส้นไหมแท้ หรอื ไหมผสม และใชต้ ะกอในการสร้างลวดลาย โดยผา้ ไหมทไ่ี ดร้ บั การรบั รองจะต้องมคี ณุ สมบัติ ดงั ตอ่ ไปน้ี (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมยกต้องท�ำด้วยไหมแท้ หรือ ตามท่ีระบุไว้ที่ฉลากผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยท้ังผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม่�ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องท่ีเกิดจาก กรรมวธิ กี ารผลิตท่ีเห็นไดช้ ัดเจน และมีผลกระทบต่อการใชง้ าน เช่น สผี า้ และ เน้ือผ้าไม่สม�่ำเสมอ ลายผิดหรอื ลายขาดความต่อเนือ่ ง ผา้ ไหมเป็นร่อง รู แยก เสน้ ไหมขาด เสน้ ไหมหย่อนหรือเปน็ บว่ ง เสน้ ไหมตงึ เสน้ รมิ ผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ภาพท่ี 4.15 แสดงลกั ษณะผา้ ยกไหม ไดก้ ำ� หนดการรับรองผ้ายกไหม จะต้องมลี กั ษณะท่เี ปน็ เอกลักษณ์ คอื ลวดลาย ตามมาตรฐาน มผช. ของผ้าไหมเกิดจากเส้นไหมสีต่างๆ ด้ินเงิน ดิ้นทอง บนลายพ้ืนตลอดหน้าผ้า 62/2552 หรอื เปน็ บางสว่ น
มาตรฐานหม่อนไหม (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใตม้ าตรฐานฉบบั น้ี ได้กำ� หนดคณุ ภาพ และมาตรฐาน การที่สรา้ งความมัน่ ใจให้แกผ่ ู้บริโภคเกี่ยวข้องคุณภาพของสินค้าหลงั การดแู ลรกั ษา ไว้ดงั น้ี (3.1) มคี ่าความเป็นกรด – ดา่ ง อยรู่ ะหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเสน้ สเี คมี สีเอโซท่ีให้แอโรแมติกแอมนี ท้งั 24 ตวั ต้องไมเ่ กิน 30 มิลลิกรมั ต่อกโิ ลกรมั (3.3) การเปลีย่ นแปลงขนาดภายหลังการซกั และทำ� ใหแ้ หง้ ต้องไมเ่ กินรอ้ ยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ท้ังการเปล่ียนสีและ การเปอื้ นสี ตอ้ งไมน่ อ้ ยกว่าเกรย์สเกล ระดบั 4 4.2.1.11 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้ายกดอก (มผช.63 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้ายกดอกที่ทอด้วยก่ีทอมือแบบพ้ืนบ้านหรือแบบกระตุก โดยใช้ เสน้ ไหมแท้ หรอื ไหมผสม และใชต้ ะกอในการสรา้ งลวดลาย โดยผา้ ไหมทไี่ ดร้ บั การรบั รองจะตอ้ งมคี ณุ สมบตั ิ ดงั ต่อไปนี้ (1) ลกั ษณะคณุ ภาพทวั่ ไป ผา้ ไหมยกดอกตอ้ งทำ� ดว้ ยไหมแท้ หรอื ตามท่ีระบุไว้ท่ีฉลากผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจาก กรรมวธิ ีการผลิตท่ีเหน็ ไดช้ ัดเจน และมีผลกระทบตอ่ การใชง้ าน เช่น สีผ้าและ เนื้อผ้าไม่สม่ำ� เสมอ ลายผิดหรือลายขาดความต่อเน่ือง ผ้าไหมเป็นรอ่ ง รู แยก 56 เส้นไหมขาด เส้นไหมหยอ่ นหรอื เป็นบว่ ง เสน้ ไหมตงึ เส้นริมผา้ เสยี (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับน้ี ภาพที่ 4.16 แ ส ด ง ลั ก ษ ณ ะ ผ้ า ไดก้ ำ� หนดการรบั รองผา้ ไหมยกดอก จะตอ้ งมลี กั ษณะทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์ คอื ลวดลาย ยกดอกไหม ของผ้าไหมมลี ักษณะลายขนาดเลก็ ซ�ำ้ ตดิ ตอ่ กนั ตามแนวเสน้ ไหมยืนเตม็ ผนื ผา้ (3) มาตรฐานดา้ นคุณภาพและความปลอดภัย ภายใตม้ าตรฐานฉบับน้ี ไดก้ �ำหนดคุณภาพ และมาตรฐานการทสี่ ร้างความมน่ั ใจใหแ้ ก่ผู้บรโิ ภคเกย่ี วขอ้ งคุณภาพของสนิ คา้ หลังการดูแลรักษา ไวด้ งั น้ี (3.1) มคี ่าความเปน็ กรด – ด่าง อยูร่ ะหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมี สเี อโซทใ่ี ห้แอโรแมติกแอมีนทัง้ 24 ตัว ตอ้ งไม่เกิน 30 มลิ ลกิ รมั ต่อกโิ ลกรัม (3.3) การเปลยี่ นแปลงขนาดภายหลงั การซักและทำ� ให้แหง้ ตอ้ งไมเ่ กนิ รอ้ ยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและ การเป้ือนสี ต้องไมน่ ้อยกวา่ เกรย์สเกล ระดบั 4 4.2.2 หลกั เกณฑแ์ ละเงื่อนไขในการรับรองมาตรฐานผลติ ภัณฑ์ชุมชน การรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน หมายถึง การให้การรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนของ ผ้ผู ลติ ในชุมชนทเ่ี กดิ การรวมกลมุ่ กันประกอบกิจกรรมใดกิจกรรมหนึง่ ท้งั ที่จดทะเบยี นอย่างเปน็ ทางการหรือ ที่ไม่มีการจดทะเบียนเป็นการรวมกลุ่มเองโดยธรรมชาติ หรือชุมชนในโครงการหนึ่งต�ำบลหน่ึงผลิตภัณฑ์ ที่ผ่านการคัดเลือกจากจังหวัด และหรือหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ส�ำนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมได้ประกาศ ก�ำหนดไว้แล้ว และผ่านการตรวจประเมินแล้ว และได้รับ การรับรองจากคณะกรรมการมาตรฐานผลติ ภัณฑช์ ุมชน
กรมหม่อนไหม 4.2.3 คณุ สมบตั ิของผยู้ ื่นค�ำขอรับการรับรอง 57 ผยู้ ืน่ คำ� ขอตอ้ งมีคุณสมบัติในขอ้ หนึง่ ข้อใด ดงั ต่อไปน้ี 4.2.3.1. เป็นผู้ผลิตในชุมชนของโครงการ หน่ึงต�ำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ได้รับการคัดเลือก จากคณะกรรมการอำ� นวยการหน่ึงต�ำบลหนง่ึ ผลิตภณั ฑ์แหง่ ชาต(ิ กอ.นตผ.) 4.2.3.2 กลมุ่ หรอื สมาชกิ ของกลมุ่ เกษตรกร กลมุ่ สหกรณ์ หรอื กลมุ่ อนื่ ๆ ตามกฎหมายวสิ าหกจิ ชมุ ชน เชน่ กลุ่มอาชพี กลุ่มอาชพี ก้าวหน้า กลุ่มธรรมชาติ เป็นต้น 4.2.4 หลักเกณฑแ์ ละข้ันตอนการรบั รอง การรบั รองคณุ ภาพตามมาตรฐานผลติ ภัณฑ์ชุมชน ประกอบดว้ ยการดำ� เนินการดังนี้ 4.2.4.1. ตรวจสอบสถานทผี่ ลติ และเกบ็ ตวั อยา่ งจากสถานทผ่ี ลติ สง่ ตรวจสอบ เพอื่ พจิ ารณา ออกใบรับรอง 4.2.4.2. ตรวจติดตามผลคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ได้รับการรับรอง โดยสุ่มซ้ือตัวอย่าง ที่ไดร้ บั การรบั รองจากสถานท่จี ำ� หนา่ ย เพ่อื ตรวจสอบ 4.2.4.3. การขอการรบั รอง ใหย้ น่ื คำ� ขอตอ่ สำ� นกั งานมาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม หรอื สำ� นกั งานอตุ สาหกรรมจงั หวดั หรอื จงั หวดั พรอ้ มหลกั ฐานและเอกสารตา่ งๆ ตามแบบทสี่ ำ� นกั งานมาตรฐาน ผลติ ภัณฑ์อุตสาหกรรมก�ำหนด 4.2.4.4. เม่ือได้รับค�ำขอตามข้อ ๓ แล้ว ส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จะนดั หมายการตรวจสอบสถานทผี่ ลิตเกบ็ ตัวอยา่ งส่งทดสอบ หรือทดสอบ ณ สถานท่ผี ลติ 4.2.4.5 ประเมนิ ผลการตรวจสอบวา่ เปน็ ไปตามมาตรฐานผลติ ภณั ฑช์ มุ ชนท่ี ไดก้ ำ� หนดไวห้ รอื ไม่ 4.2.4.6 ใบรบั รองผลติ ภัณฑ์ มอี ายุ ๓ ปี นับตงั้ แต่วันท่รี ะบุในใบรบั รอง การประเมิน ผลการตรวจสอบตัวอย่างที่สุ่มซื้อเพ่ือตรวจติดตามอย่างน้อยปีละ ๑ คร้ัง ผลต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ผลติ ภัณฑช์ ุมชนท่กี �ำหนด 4.2.5. การแสดงเคร่อื งหมายมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ชมุ ชน ส�ำหรับเคร่ืองหมายท่ีแสดงตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนฉบับนี้ ผู้ผลิตจะต้องแสดงตัวเลข อักษร หรอื เครอ่ื งหมายแจ้งรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ีให้เหน็ ไดง้ า่ ย และชัดเจน ดงั นี้ 4.2.5.1. ชอ่ื ผลิตภัณฑ์ (ตามช่อื มผช) 4.2.5.2. เอกลกั ษณ์ 4.2.5.3 ชนดิ เสน้ ใย (ในทนี่ ้ี ใหร้ ะบุ เสน้ ไหมแท้ 100 % s หรอื ผสม) 4.2.5.4. ความกวา้ ง ความยาว เปน็ นิ้ว หรือเซนตเิ มตร 4.2.5.5 กรณใี ช้สีธรรมชาติให้ระบุ 4.2.5.6. ขอ้ แนะน�ำในการดแู ลรกั ษา 4.2.5.7. ประวตั ิผลิตภณั ฑ์(ถา้ ม)ี 4.2.5.8. เดอื น ปี ท่ผี ลิต 4.2.5.9. ชื่อผ้ผู ลติ สถานทผ่ี ลติ 4.2.6 การตรวจสอบ /การทดสอบมาตรฐาน การทดสอบผา้ ไหมทขี่ อรบั การรบั รองภายใตม้ าตรฐานผลติ ภณั ฑช์ มุ ชนทกุ ชนดิ จะตอ้ งทดสอบ คลอบคลมุ รายการและประเดน็ ทก่ี ำ� หนดในมาตรฐาน ดงั น้ี
มาตรฐานหม่อนไหม 4.2.6.1 การตรวจสอบเอกลักษณ์ผ้าไหม ด�ำเนินการตรวจสอบโดยการแต่งตั้งคณะ ผู้เช่ียวชาญเกี่ยวกบั ผา้ ไหมประเภทนน้ั ๆ จ�ำนวน 3 คน เพือ่ ตรวจพนิ ิจและตรวจสอบเอกลักษณ์ 4.2.6.2 การตรวจสอบเสน้ ไหม (ชนดิ เสน้ ใยทใ่ี ช้ ตอ้ งเปน็ ไปตามทร่ี ะบไุ วท้ ฉี่ ลาก) ทางดา้ น กายภาพ ทางเคมี และการเผาไหม้ 4.2.6.3 การทดสอบความเปน็ กรด-ด่าง ตามวิธี ISO 3071 4.2.6.4 การทดสอบสีเอโซทใ่ี ห้แอโรแมติกแอมนี 24 ตวั โดยปฏบิ ตั ิตาม EN 14362 part 1 และ EN 14362 part 2 4.2.6.5 การทดสอบการเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้งตามมาตรฐาน วธิ ที ดสอบส่งิ ทอ เลม่ 21 และมาตรฐานเลขที่ มอก 121 เล่ม 21 4.2.6.6 การทดสอบความคงทนของสี ตอ่ การซกั ทง้ั การเปลยี่ นสี และการเปอ้ื นสตี อ้ งไมน่ อ้ ยกวา่ เกรยส์ เกลระดบั 3 โดยปฏบิ ตั ติ ามวธิ ที ดสอบสง่ิ ทอ เล่ม 3 และมาตรฐานเลขท่ี มอก. 121 เล่ม 3 โดยวธิ ที ดสอบ A(1) 4.2.6.6 การทดสอบความคงทนของสตี อ่ เหงอื่ ทงั้ สภาพกรดและสภาพดา่ ง ตอ้ งไมน่ อ้ ยกวา่ เกรยส์ เกลระดบั 3 โดยปฏบิ ัติตามวิธีทดสอบส่ิงทอ เล่ม 4 และมาตรฐานเลขท่ี มอก. 121 เลม่ 4 4.3 เครื่องหมายรับรองผลติ ภัณฑผ์ ้าไหมไทยตรานกยงู พระราชทาน 4.3.1 ความเปน็ มา ไหมไทย ( Thai Silk ) เปน็ สว่ นหนง่ึ ในสญั ลกั ษณข์ องประเทศไทย ในสายตาของชาวตา่ งชาติ 58 มีการสง่ ออกผา้ ไหมไทยไปยงั ตา่ งประเทศมลู ค่านับพนั ลา้ นบาท และไหมไทยยังไดช้ ื่อว่า The Queen of Silk เพื่อสนองปณิธานองค์สมเดจ็ พระนางเจ้าสริ ิกติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ พระแม่ของแผน่ ดินท่ีทรงทุม่ เท พระวรกายและเหน็ดเหน่ือยมานาน 5 ทศวรรษกบั การรักษาไหมไทยใหเ้ ปน็ มรดกทางวฒั นธรรมคูช่ าตไิ ทย ถึงเวลาที่คนไทยทุกคนในชาติจะหวงแหนไหมไทยไว้เป็นมรดกโลกที่ทรงคุณค่าด้วยการใช้ตรานกยูง พระราชทานมาเป็นเครื่องหมายรับรองความเป็นมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ไหมไทย ท่ีมีคุณค่าเพื่อให้เกิด ความมนั่ ใจในคณุ ภาพของไหมไทยของผบู้ รโิ ภคทงั้ ชาวไทยและชาวตา่ งชาติ แบบตราสญั ลกั ษณพ์ ระราชทาน ตรานกยูง ( The Royal Peacock Logo ) เปน็ เครื่องหมายการคา้ รบั รองคณุ ภาพผลติ ภัณฑ์ไหมไทย สมเดจ็ พระนางเจ้าสริ ิกิติ์ พระบรมราชินนี าถ ไดท้ รงส่งเสริม และพัฒนา ใหอ้ าชีพการปลูก หมอ่ นเลยี้ งไหม ทอผา้ ไหม เป็นอาชีพท่ีสร้างอาชีพและรายได้ และสรา้ งความเข้มแข็งให้ชมุ ชนในชนบท เพื่อการอนุรักษ์ให้อาชีพน้ี และภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านไหมไทยได้รับการอนุรักษ์อยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป จนทำ� ใหผ้ ้าไหมไทยมชี อื่ เสยี งไปทวั่ โลก เพื่อเปน็ การรบั รองคุณภาพมาตรฐานสนิ คา้ ผลิตภัณฑผ์ า้ ไหมไทยทม่ี ี คุณภาพ และสร้างตราสัญลักษณ์ท่ีใช้รับรองมาตรฐานผ้าไหมไทยตามกฎหมาย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชนิ นี าถ ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานสญั ลกั ษณน์ กยงู พระราชทาน(Royal Peacock Logo) ให้เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย โดยเคร่ืองหมายรับรองคุณภาพผลติ ภณั ฑ์ ผา้ ไหมไทยตราสญั ลกั ษณน์ กยงู พระราชทาน ถกู จดทะเบยี นภายใตเ้ ครอื่ งหมายการคา้ ตามพระราชบญั ญตั ิ เครื่องหมายการคา้ พ.ศ. 2535 ต่อกรมทรพั ย์สินทางปญั ญา กระทรวงพาณิชย์ คร้งั แรกเมอ่ื 16 กุมภาพนั ธ์ 2547 โดยส�ำนักปลัดนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าของสิทธิ ต่อมาเม่ือวันที่ 19 ธันวาคม 2548 ส�ำนักปลัด นายกรัฐมนตรีจึงได้โอนสิทธิดังกล่าวให้แก่สถาบันหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ให้ด�ำเนินการต่อไป และหลังจากการสถาปนาต้ังกรมหม่อนไหมข้ึนเป็นหน่วยงานท่ี รับผิดชอบในการวิจัยพัฒนา ส่งเสริมและอนุรักษ์อาชีพการปลุกหม่อนเลี้ยงไหม ทอผ้าไหมตลอดจนการ ส่งเสริมมาตรฐานและการตลาดหมอ่ นไหมของไทย เปน็ หนว่ ยงานทจ่ี ดั ตง้ั ขนึ้ ภายใตพ้ ระราชดำ� รขิ องสมเดจ็
กรมหม่อนไหม พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ ีนาถ เมอ่ื วนั ที่ 4 ธันวาคม 2552 กรมหม่อนไหมได้รบั โอนสิทธิในการ ก�ำกับดูแลเครื่องหมายตรานกยูงพระราชทาน เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2553 (กรมหม่อนไหม, 2554) ดังน้ันหลักเกณฑ์ วิธีการและเง่ือนไขในการอนุญาตการใช้เครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทานท่ีใช้ อยู่ในปัจจบุ นั เปน็ ฉบบั ทไี่ ดร้ บั การปรบั ปรงุ แก้ไข ตามมติของคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภณั ฑ์ผ้าไหมไทย ที่แต่งต้ังโดยกรมหม่อนไหม ตามประกาศกรมหม่อนไหมว่าด้วยเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย พ.ศ. 2554 แก้ไขเพิม่ เตมิ (ฉบบั ที่ 1) ประกาศใชเ้ มอื่ 26 กันยายน 2554 เคร่ืองหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตราสัญลักษณ์ ภาพที่ 4.17 แสดงเครื่องหมาย นกยูงพระราชทาน เป็นมาตรฐานสมัครใจส�ำหรับใช้ในการรับรองผ้าไหมไทย รั บ ร อ ง ต ร า น ก ยู ง พระราชทานทั้ง 4 โดยใหก้ ารรบั รองวตั ถดุ บิ หรอื เสน้ ไหม และกระบวนการผลติ ผา้ ไหมผนื นน้ั ๆ หรอื ชนิดของกรมหม่อน กล่าวอีกนัยหนึ่งตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทานรับรองผ้าไหมไทยที่มีการผลิต ไหม หรือแหล่งก�ำเนิดในประเทศไทย โดยขอบเขตการรับรองผ้าไหมไทยภายใต้ 59 เคร่ืองหมายตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทานมีขอบเขตกว้างขวาง และ ครอบคลมุ ผลติ ภณั ฑผ์ า้ ไหมไทยทผ่ี ลติ โดยเกษตรกรรายยอ่ ย กลมุ่ เกษตรกร และ ผปู้ ระกอบการ ทงั้ ผา้ ไหมไทยทท่ี อมอื และผา้ ไหมไทยทที่ อดว้ ยเครอ่ื งจกั ร ผา้ ไหม ท่ีผลิตจากเส้นไหมไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ และผ้าไหมที่มีเส้นไหมแท้เป็นส่วน ประกอบหลัก กลา่ วคือ เคร่ืองหมายตรานกยงู พระราชทานครอบคลมุ การรบั รอง ผา้ ไหมไทยทผ่ี ลติ ในประเทศไทยตง้ั แตผ่ า้ ไหมไทยทมี่ เี อกลกั ษณแ์ ละเกดิ จากภมู ปิ ญั ญา ทอ้ งถนิ่ ท่ีผลิตโดยเกษตรรายยอ่ ย ไปจนถงึ การผลิตผา้ ไหมในเชงิ อตุ สาหกรรม 4.3.2 ชนิดของเคร่อื งหมายรบั รองผลติ ภัณฑผ์ า้ ไหมไทยตรานกยงู พระราชทาน เครอื่ งหมายรบั รองผลติ ภณั ฑผ์ า้ ไหมไทยสญั ลกั ษณน์ กยงู พระราชทาน ตามประกาศกรมหมอ่ นไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าดว้ ยเคร่อื งหมายรบั รองผลติ ภณั ฑผ์ า้ ไหมไทย พ.ศ. 2554 แกไ้ ขเพม่ิ เติม (ฉบบั ท่ี 1) ประกาศใชเ้ มอื่ 26 กนั ยายน 2554 ไดป้ ระกาศเครอ่ื งหมายรบั รองคณุ ภาพผา้ ไหมตรานกยงู พระราชทาน เป็นมาตรฐานรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย โดยให้การรับรองวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และมาตรฐาน ผ้าไหมไทย เพ่ือสร้างตราที่เป็นสัญลักษณ์ด้านคุณภาพในการสร้างความม่ันใจให้แก่ผู้บริโภคท้ังในและ ต่างประเทศ ตามประกาศเคร่ืองหมายรับรองฉบับนี้ ได้จ�ำแนกเคร่ืองหมายรับรองผลิตภํณฑ์ผ้าไหมไทย ภายใตต้ ราสัญลกั ษณ์นกยงู พระราชทาน เปน็ 4 ชนดิ ไดแ้ ก่ 4.3.2.1 ตรานกยูงพระราชทานสีทอง (Royal Thai Silk) 4.3.2.2 ตรานกยงู พระราชทานสเี งนิ (Classic Thai Silk) 4.3.2.3 ตรานกยงู พระราชทานสีน้�ำเงนิ (Thai Silk) 4.3.2.4 ตรานกยงู พระราชทานสเี ขียว (Thai Silk Blend)
มาตรฐานหมอ่ นไหม โดยมีรายละเอยี ดมาตรฐานผา้ ไหมไทยภายใตต้ ราสญั ลักษณ์ตรานกยงู แตล่ ะชนดิ มี ดงั นี้ 4.3.3 ตรานกยงู พระราชทานสที อง (Royal Thai Silk) (1) รายละเอยี ดมาตรฐานการรับรอง เคร่ืองหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยชนิดตรานกยูงพระราชทาน สีทอง (Royal Thai Silk) ก�ำหนดข้ึน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การรับรอง มาตรฐานผา้ ไหมไทยทผี่ ลติ โดยภมู ปิ ญั ญาดง้ั เดมิ ตลอดกระบวนการผลติ เพอื่ ให้ การอนุรักษ์และรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการปลูกหม่อนเล้ียงไหม พันธุ์ไหม วธิ กี ารสาวไหม การทอผ้าไหมไทย กรรมวิธีการผลิตและอุปกรณ์ในการผลิตท่ี เปน็ ภูมิปญั ญาดังเดิมไว้ให้คนรุน่ หลังไดเ้ รยี นรู้และอนรุ กั ษ์ให้อยสู่ บื ตอ่ ไป ภาพที่ 4.18 แสดงเคร่ืองหมาย ส�ำหรับข้อก�ำหนดตามข้อบังคับในประกาศกรมหม่อนไหมฉบับนี้ รับรองผ้าไหมไทยตรา ได้ก�ำหนดรายละเอียดมาตรฐานวัตถุดิบ และวิธีการผลิตภายใต้เคร่ืองหมาย นกยูงพระราชทานสี ทอง รับรองผลิตภณั ฑผ์ ้าไหมไทยตรานกยงู พระราชทานสีทอง มีรายละเอียด ดังนี้ (1.1) มาตรฐานวตั ถุดิบ (เสน้ ไหม) เสน้ ไหมทใ่ี ชเ้ ปน็ วตั ถดุ บิ ในการทอผา้ ไหมไทยตรานกยงู พระราชทานสที อง ทง้ั เสน้ พงุ่ และเสน้ ยนื ต้องใช้เสน้ ไหมพันธ์ไุ ทยพื้นบา้ น ท่ไี ด้จากการสาวรงั ไหมพันธุ์ไทยพืน้ บา้ น ดว้ ยมอื ผ่านพวงสาวไหมพน้ื บา้ น 60 โดยสาวเส้นไหมลงในภาชนะทร่ี องรับ แลว้ จงึ น�ำเสน้ ไหมไปกรอส�ำหรับท�ำเขด็ ตอ่ ไป ผลิตภณั ฑผ์ า้ ไหมอาจ มกี ารตกแตง่ โดยใชเ้ สน้ เงนิ หรอื เสน้ ทองทไี่ ดม้ าตรฐานไดไ้ มเ่ กนิ รอ้ ยละ 20 โดยพนื้ ที่ในหน่วยตารางหลา หรือ ไมเ่ กินรอ้ ยละ 50 สำ� หรบั การทอผ้าไหมด้วยวธิ ีการยก จก หรอื ขิด (1.2) มาตรฐานกระบวนการผลิต 1.2.1 การทอ การทอผ้าไหมภายใต้เคร่ืองหมายรับรองตรานกยูงพระราชทานสีทอง ตอ้ งทอดว้ ยกีท่ อมอื แบบพ้ืนบา้ นชนดิ พุ่งกระสวยดว้ ยมือ 1.2.2 การใชส้ ี ใชส้ ธี รรมชาติ หรือสเี คมีทีเ่ ปน็ มิตรกบั สงิ่ แวดลอ้ ม (1.3) แหล่งผลิต ผ้าไหมไทยท่ีขอรับรองภายใต้นกยูงพระราชทานสีทองการผลิตทุกขั้นตอน ต้องผลิตในประเทศไทยเทา่ น้ัน 4.3.4 ตรานกยูงพระราชทานสเี งนิ (Classic Thai Silk) (1) รายละเอยี ดมาตรฐานการรับรอง เคร่ืองหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยชนิดตรานกยูงพระราชทาน สีเงิน เป็นมาตรฐานรับรองผ้าไหมไทยท่ีผลิตข้ึนโดยยังคงอนุรักษ์ภูมิปัญญา พ้ืนบ้านผสมผสานกับการประยุกต์ ใช้เครื่องมือและกระบวนการผลิตในบาง ขนั้ ตอน เพอื่ การอนรุ กั ษแ์ ละรกั ษาภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ดา้ นการปลกู หมอ่ นเลย้ี งไหม การสาวไหม การทอผ้าไหมไทย และอปุ กรณ์ในการผลติ ไวใ้ หค้ นรนุ่ หลังไดเ้ รียน รูแ้ ละ กรรมวธิ ีการผลิตทเี่ ป็นภูมิปญั ญาดังเดมิ สำ� หรับขอ้ ก�ำหนดตามขอ้ บังคบั ในประกาศกรมหม่อนไหมฉบบั น้ี ได้กำ� หนดรายละเอยี ดมาตรฐานวัตถุดบิ และ ภาพที่ 4.19 แสดงเครื่องหมาย วธิ กี ารผลติ ภายใตเ้ ครอ่ื งหมายรบั รองผลติ ภณั ฑผ์ า้ ไหมไทยตรานกยงู พระราชทาน รับรองผ้าไหมไทยตรา สีเงิน มีรายละเอยี ด ดังน้ี นกยงู พระราชทานสเี งนิ
กรมหม่อนไหม (1.1) มาตรฐานวตั ถดุ บิ (เสน้ ไหม) เสน้ ไหมทใ่ี ชเ้ ปน็ วตั ถดุ บิ ในการทอผา้ ไหมไทยตรานกยงู พระราชทานสเี งนิ (Classic Thai Silk) ต้องใชเ้ สน้ ไหมพนั ธไุ์ ทยพื้นบา้ น ที่ไดจ้ ากการสาวรังไหมพันธ์ุไทยพื้นบ้าน ดว้ ยมือผ่านพวงสาวไหมพืน้ บ้าน ลงในภาชนะทร่ี องรบั หรอื เขา้ อัก หรือเส้นไหมพันธ์ไุ ทยปรบั ปรุงทีส่ าวมอื หรอื สาวดว้ ยเครอ่ื งสาว เครอื่ งกรอ เสน้ ไหมทใี่ ชม้ อเตอรก์ ำ� ลงั รวมกนั ไมเ่ กนิ 5 แรงมา้ เปน็ เสน้ พงุ่ และ/หรอื เสน้ ยนื ผลติ ภัณฑผ์ า้ ไหมอาจมกี าร ตกแตง่ โดยใชเ้ สน้ เงนิ หรอื เสน้ ทองทไี่ ดม้ าตรฐานไดไ้ มเ่ กนิ รอ้ ยละ 20 โดยพนื้ ทใ่ี นหนว่ ยตารางหลา หรอื ไมเ่ กนิ ร้อยละ 50 ส�ำหรับการทอผา้ ไหมด้วยวิธีการยก วธิ ีการจก หรือวธิ กี ารขิด (1.2) มาตรฐานกรรมวธิ กี ารผลติ (1.2.1) การทอ การทอผา้ ไหมทอดว้ ยก่ีทอมอื ชนดิ พุ่งกระสวย ดว้ ยมือหรือก่ีกระตกุ ก็ได้ (1.2.2) การใชส้ ี สธี รรมชาติ หรอื สเี คมที เ่ี ปน็ มติ รกบั สง่ิ แวดลอ้ ม (1.3) แหลง่ ผลติ ผ้าไหมไทยท่ขี อรับรองภายใต้นกยงู พระราชทานสเี งินการผลิตทุกขัน้ ตอนต้อง ผลิตในประเทศไทยเท่านนั้ 4.3.5 ตรานกยงู พระราชทานสนี �ำ้ เงิน (Thai Silk) 61 (1) รายละเอยี ดมาตรฐานการรบั รอง เคร่ืองหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยชนิดตรานกยูงพระราชทาน สีน้�ำเงิน (Thai Silk) ใช้รับรองผ้าไหมที่ผลิตจากภูมิปัญญาเดิมผสมกับการ ประยกุ ต์กบั การใชเ้ ทคโนโลยีสมยั นยิ ม นกยงู พระราชทานสีน�ำ้ เงนิ (Thai Silk) ส�ำหรับข้อก�ำหนดตามข้อบังคับในประกาศกรมหม่อนไหมฉบับนี้ ได้ก�ำหนด รายละเอียดมาตรฐานวัตถุดิบ และวิธีการผลิตภายใต้เครื่องหมายรับรอง ผลิตภณั ฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยงู พระราชทานสนี �้ำเงิน มีรายละเอียด ดังนี้ (1.1) มาตรฐานวัตถุดบิ (เสน้ ไหม) ภาพท่ี 4.20 แสดงเครื่องหมาย วตั ถดุ บิ ในการทอผา้ ไหมตรานกยงู พระราชทานสนี ำ�้ เงนิ จะตอ้ งใช้ รั บ ร อ ง ผ้ า ไ ห ม ไ ท ย เสน้ ไหมแทเ้ ปน็ เสน้ พงุ่ และเสน้ ยนื โดยเสน้ ไหมแทท้ ใ่ี ชม้ ถี นิ่ กำ� เนดิ ในประเทศ หรอื ตรานกยงู พระราชทาน นอกประทศ สำ� หรบั เสน้ ไหมทมี่ ถี นิ่ กำ� เนดิ นอกประเทศจะตอ้ งมเี อกสารการนำ� เขา้ สีนำ้ �เงิน ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมอาจมีการตกแต่งโดยใช้เส้นเงินหรือ เสน้ ทองทีไ่ ด้มาตรฐานไดไ้ ม่เกินร้อยละ 20 โดยพ้ืนทีใ่ นหน่วยตารางหลา หรือ ไม่เกนิ ร้อยละ 50 ส�ำหรบั การทอผ้าไหมดว้ ยวธิ ีการยก วธิ กี ารจก หรอื วธิ ีการขิด (1.2) มาตรฐานกรรมวธิ ีการผลิต (1.2.1) การทอ ทอดว้ ยก่แี บบใดกไ็ ด้ (1.2.2) การใช้สี สีธรรมชาติ หรอื สเี คมที เ่ี ป็นมติ รกบั ส่งิ แวดล้อม ภาพที่ 4.21 แ ส ด ง ผ้ า ไ ห ม พ้ื น ติ ด ด ว ง ต ร า น ก ยู ง (1.3) แหลง่ ผลิต การผลิตต้องผลิตในประเทศไทยเท่าน้นั พระราชทานสีนำ้ �เงิน
มาตรฐานหมอ่ นไหม 4.3.6 ตรานกยูงพระราชทานสีเขยี ว (Thai Silk Blend) (1)รายละเอียดมาตรฐานการรับรอง เครื่องหมายตราสญั ลกั ษณ์ตรานกยูงพระราชทานสเี ขียว (Thai Silk Blend) ใชใ้ นการรบั รองผา้ เสน้ ไหมทผ่ี ลติ จากเทคโนโลยสี มยั ใหมท่ ผ่ี สมผสานกบั ภูมิปัญญาด้านลวดลายและสีสัน ส�ำหรับข้อก�ำหนดตามข้อบังคับในประกาศ กรมหมอ่ นไหมฉบับน้ี ได้ก�ำหนดรายละเอียดมาตรฐานวัตถดุ ิบ และวิธกี ารผลติ ภายใต้เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานสีเขียว มรี ายละเอยี ด ดังนี้ ภาพท่ี 4.22 แสดงเคร่ืองหมาย (1.1) มาตรฐานวัตถุดบิ (เสน้ ไหม) รั บ ร อ ง ผ้ า ไ ห ม ไ ท ย เส้นไหมท่ีใช้เป็นวัตถุดิบในการทอผ้านกยูงพระราชทานสีเขียว ตรานกยงู พระราชทาน ใช้เส้นไหมแท้ผสมกับเส้นใยอ่ืนได้แต่ต้องใช้ไหมเป็นส่วนประกอบหลัก และ สีเขยี ว ต้องระบสุ ่วนประกอบของเส้นใยอื่นให้ชดั เจน (1.2) มาตรฐานกรรมวิธกี ารผลติ (1.2.1) การทอ การทอผ้าไหมทอดว้ ยกี่แบบใดกไ็ ด้ (1.2.2) การใช้สี ไม่ระบุ (1.3) แหล่งผลติ ตอ้ งผลติ ในประเทศไทยเทา่ นน้ั 62 4.3.7 การขอรับการรับรองเคร่ืองหมายรับรองมาตรฐาน ผลิตภัณฑผ์ า้ ไหมไทยตรานกยงู พระราชทาน 4.3.7.1 หลักเกณฑ์และเง่ือนไขในการรับรองมาตรฐานนกยูง พระราชทาน การรบั รองคณุ ภาพผา้ ไหมไทยตราสญั ลกั ษณต์ รานกยงู พระราชทาน หมายถงึ การใหก้ ารรับรองคณุ ภาพผ้าไหมท่ผี ลิตในประเทศไทยท้งั หมด ต้งั แต่ ผา้ ไหมไทยในเชงิ อนรุ กั ษท์ ผ่ี ลติ โดยใชว้ ธิ กี ารผลติ แบบดง้ั เดมิ โดยใชภ้ มู ปิ ญั ญาทอ้ ง ถ่ิน ผ้าไหมท่ีมีวิธีการผลิตท่ีประยุกต์จากวิธีการดั้งเดิมโดยเกษตรกรรายย่อย ไปจนถึงการผลิตแบบสมัยนิยมในระดับอุตสาหกรรม โดยผู้ท่ีประสงค์ขอการ รบั รองตอ้ งยน่ื คำ� ขอตามแบบฟอรม์ กรมหมอ่ นไหม พรอ้ มชำ� ระคา่ ธรรมเนยี มในการ ออกใบรบั รอง และคา่ ดวงตรานกยงู พระราชทานแตล่ ะชนดิ ท่ีต้องติดบนผ้าไหมทุก เมตรๆ ละ 1 ดวง ในอตั ราดวง ละ 5 บาท โดยกรมหมอ่ นไหมไดก้ ำ� หนดอายุ ของในการรบั รองครงั้ ละ 5 ปี อัตราคา่ ธรรมเนียมในการออกใบรับรอง มีดังน้ี (1) อัตราค่าธรรมเนียม 500 บาท ส�ำหรับค�ำขอที่ผลิตผ้าไหม ไม่เกิน 1,000 เมตร (2) อัตรา 1,000 บาท ส�ำหรับค�ำขอท่ีผลิตผ้าไหมมากกว่า 1,000 เมตร แตไ่ มเ่ กนิ 5,000 เมตร (3) อัตรา 2,000 บาท ส�ำหรับค�ำขอที่ผลิตผ้าไหมมากกว่า 5,000 เมตร
กรมหมอ่ นไหม 4.3.7.2 คณุ สมบัติของผยู้ ่นื ค�ำขอรบั การรบั รอง 63 เน่ืองจากเคร่ืองหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน เปน็ มาตรฐานแบบสมัครใจ ที่วางเปา้ หมายให้ผ้ผู ลิตผา้ ไหมไทยทกุ คนท่ีประสงคจ์ ะขอการรับรองสามารถ ยื่นค�ำขอการรับรองได้ ดังน้ันบุคคลที่ยื่นค�ำขอจึงครอบคลุมผู้ผลิตผ้าไหมไทยทุกคนและทุกระดับการผลิต ไดแ้ ก่ เกษตรกรผปู้ ลกู หมอ่ นเลย้ี งไหมและทอผา้ ไหม กลมุ่ เกษตรกรผทู้ อผา้ ไหม กลมุ่ วสิ าหกจิ ชมุ ชนทอผา้ ไหม กลุม่ สหกรณท์ อผ้าไหม ผ้ปู ระกอบการผ้าไหม และโรงงานอุตสาหกรรมทอผ้า 4.3.7.3 วธิ ีการและข้ันตอนการรบั รอง การรับรองคุณภาพตามมาตรฐานผ้าไหมไทยตามข้อก�ำหนดตราสัญลักษณ์นกยูง พระราชทาน ทง้ั 4 ชนดิ ทอ่ี ยภู่ ายใตค้ วามรบั ผดิ ชอบรบั รองของกรมหมอ่ นไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบดว้ ยหลักเกณฑแ์ ละข้นั ตอนการด�ำเนนิ การดังน้ี (1) การตรวจสอบสถานท่ีผลติ อปุ กรณ์การผลติ วัตถุดบิ กอ่ นการผลติ (2) การตรวจติดตามผลคุณภาพตัวอยา่ งจากสถานทีผ่ ลติ เพอ่ื ตรวจสอบและเก็บตวั อย่าง จากสถานท่ีผลติ สง่ ตรวจสอบ เพอื่ พิจารณาออกใบรับรอง (3) การขอการรบั รอง ใหย้ น่ื คำ� ขอตอ่ กรมหมอ่ นไหม หรอื สำ� นกั งานหมอ่ นไหมเฉลมิ พระเกยี รตฯิ เขต ทงั้ 5 เขต หรอื ศนู ย์หมอ่ นไหมเฉลิมพระเกียรติฯ 21 ศนู ยท์ ่วั ประเทศจงั หวัด พรอ้ มหลักฐานและ เอกสารตา่ งๆ ตามแบบท่กี รมหมอ่ นไหมก�ำหนด (4) เมอ่ื ไดร้ บั ค�ำขอตามขอ้ (3) แล้ว ศนู ยห์ มอ่ นไหมเฉลมิ พระเกยี รตฯิ จะนัดหมายการ ตรวจสอบสถานท่ีผลิต เกบ็ ตวั อย่างทดสอบ ณ สถานทผ่ี ลิต (5) ประเมินผลการตรวจสอบว่าเป็นไปตามมาตรฐานตรานกยูงพระราชทานตามชนิด ท่ีขอรับการรับรองหรอื ไม่ เพอี่ ใหก้ ารรบั รอง และการติดดวงตรารับรอง (6) ใบรบั รองผลติ ภณั ฑ์ มอี ายุ 3 ปี นบั ตง้ั แตว่ นั ทร่ี ะบใุ นใบรบั รอง การประเมนิ ผลการตรวจ สอบตัวอย่างเพือ่ ตรวจติดตามอย่างนอ้ ยปีละ 1 ครง้ั ผลต้องเปน็ ไปตามมาตรฐานนกยงู พระราชทานตาม ท่ีกำ� หนด 4.3.7.4 การแสดงเคร่อื งหมายมาตรฐานตราสญั ลักษณ์นกยงู พระราชทาน ผู้ผลิตผ้าไหมไทยท่ีได้รับใบรับรองให้แสดงเคร่ืองหมายตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน จากกรมหมอ่ นไหมกอ่ น จงึ สามารถตดิ ดวงตราสญั ลกั ษณน์ กยงู พระราชทานทงั้ 4 ชนดิ ตามทข่ี อรบั การรบั รอง โดยเจา้ หนา้ ทกี่ รมหมอ่ นไหมจะดำ� เนนิ การติดดวงตรานกยูงพระราชทานบนขอบผืนผา้ ไหมทกุ ระยะ 1 เมตร ๆ ละ 1 ดวง ตลอดความยาวผ้าไหม ส�ำหรบั ผ้าไหมประเภทผา้ พนั คลมุ ไหล่ ผา้ พนั คอ ผา้ สไบ ใหต้ ิด ดวงตรา 1ดวงตอ่ ผืน 4.3.7.5 การตรวจสอบ /การทดสอบมาตรฐาน การตรวจสอบและทดสอบผ้าไหมไทย ท่ีขอรับการรับรองภายใต้มาตรฐานตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทานทุกชนิด จะต้องทดสอบคลอบคลุม รายการและประเด็น ท่ีก�ำหนดในมาตรฐาน ดงั นี้ 4.3.7.5.1 การตรวจสอบอุปกรณ์การผลติ วตั ถดุ บิ ณ สถานท่ีผลิต กรรมวธิ กี ารผลติ ใหต้ รงตามหลกั เกณฑ์ของแต่ละชนดิ 4.3.7.5.2 การตรวจสอบการตกสี โดยการน�ำตัวอย่างผ้าท่ีขอการรับรองมาทดสอบโดย วธิ ีการซกั และวธิ ีการใช้ส�ำลชี บุ เชด็ ด้วยสารละลายสบู่มาตรฐาน (Standard soap) ISO 105 : 1989 C01-C05
มาตรฐานหม่อนไหม มาตรฐานการผลิตผา้ ไหมภายใต้เครอ่ื งหมายรบั รอง ตรานกยูงพระราชทานสีทอง ตามที่ได้กล่าวในบทท่ี 4 เก่ียวกับรายละเอียดข้อกำ�หนด หลักเกณฑ์ เง่ือนไข และมาตรฐานของผ้าไหมไทยที่ได้รับการรับภายใต้เครื่องหมายรับรอง 64 มาตรฐานผ้าไหมไทยตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน ผู้ผลิตผ้าไหมไทย ที่จะขอรับการรับรองจะต้องปฏิบัติตามข้อกำ�หนด และเง่ือนไขในประกาศของ กรมหม่อนไหมดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการนำ�ไปสู่การปฏิบัติที่ ถูกต้องตามข้อกำ�หนดของผู้ผลิตผ้าไหมไทยที่สมัครใจขอรับ การรับรองภายใต้ เคร่ืองหมายนกยูงพระราชทานทั้ง 4 ชนิด การกำ�หนดแนวทางในการผลิต ผ้าไหมไทยภายใต้เคร่ืองหมายนกยูงพระราชทานจึงเป็นส่ิงสำ�คัญในการสร้าง ความเขา้ ใจ และใชเ้ ปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั สิ ำ�หรบั กระบวนการผลติ ผา้ ไหมไทย ทค่ี รอบคลมุ ตง้ั แต่วตั ถุดิบ อุปกรณก์ ารผลิต วธิ กี ารผลติ ตามขอ้ กำ�หนด เพ่ือให้ ผลิตผ้าไหมไทยท่ีมีคุณภาพมาตรฐานตรงตามข้อกำ�หนด และได้รับการรับรอง ให้ตดิ ตรานกยูงพระราชทานจากกรมหม่อนไหม ผ้าไหมไทยท่ีผลิตภายใต้มาตรฐานเคร่ืองหมายรับรองตรานกยูง พระราชทานสีทองน้ัน เป็นผ้าไหมในเชิงการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีและ วิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีการสืบทอดกระบวนการผลิต ท่ีเกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ไม่ให้สูญหายไป รวมถึงการอนุรักษ์พันธุ์ไหม ท่ีเป็นเอกลักษณ์ของไทยไว้ ดังน้ันมาตรฐานในการการผลิตผ้าไหมตรานกยูง พระราชทานสีทองจึงมีข้อจำ�กัดมากมายที่จะต้องคำ�นึงถึง ต้ังแต่พันธ์ุไหม ภาพที่ 5.1 แสดงรูปดวงตรานก ที่ใช้ในการสาวไหม อุปกรณ์ในการสาวไหม กรรมวิธีในการสาวไหม ก่ีท่ีใช้ ยูงพระราชทานสีทอง ในการทอผา้ ไหม เปน็ ตน้ มาตรฐานทใ่ี ชเ้ ปน็ แนวทางในการผลติ ผา้ ไหมไทยภายใต้ (Royal peacock logo) การรบั รองตรานกยงู พระราชทานสีทองครอบคลมุ รายละเอียดดงั น้ี
กรมหม่อนไหม 5.1 มาตรฐานวัตถุดิบ(เส้นไหมไทย) เสน้ ไหมเปน็ สว่ นประกอบสำ�คญั ในการผลติ ผา้ ไหมใหม้ คี ณุ ภาพเนอ่ื งจากคณุ ภาพของเสน้ ไหมสง่ ผล 65 ตอ่ คณุ สมบตั ผิ า้ ไหม (สนั่น บุญลา, 2555) ตามระเบยี บขอ้ บงั คับกรมหม่อนไหมว่าดว้ ยการใช้เคร่อื งหมาย รบั รองผลติ ภณั ฑผ์ า้ ไหมไทยนน้ั ไดก้ ำ�หนดมาตรฐานผา้ ไหมไทยภายใตเ้ ครอ่ื งหมายตรานกยงู พระราชทานสที อง เสน้ ไหมท่ใี ช้เปน็ วัตถุดบิ ในการทอผา้ ไหมจะตอ้ งเปน็ เสน้ ไหมพันธ์ุไทยพืน้ บา้ น ทใ่ี ช้วธิ ีการสาว และอปุ กรณ์ การสาว(พวงสาวไหม) ตามท่ีกำ�หนดเท่าน้ัน โดยมีรายละเอียดมาตรฐานกระบวนการผลิตท่ีทำ�ให้ผ้าไหม สามารถผ่านการรบั รองมาตรฐานภายใตเ้ ครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทานสีทอง ดังน้ี 5.1.1 พันธุ์ไหม (Silkworm variety) ภายใต้ข้อกำ�หนดมาตรฐานผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานสีทอง พันธ์ุไหมท่ีเกษตรกรใช้เลี้ยงเพ่ือผลิตรังไหมสำ�หรับใช้เป็นวัตถุดิบในการสาวไหม นั้น ต้องเป็นไหมพันธ์ุไทยพื้นบ้านเท่าน้ัน ลักษณะของไหมพันธุ์ไทยพ้ืนบ้าน (Native variety) เป็นพนั ธไ์ุ หมทีไ่ ขไ่ หมฟกั ออกเป็นตัวไดต้ ลอดปีโดยธรรมชาติ (Polyvoltine) ดังนน้ั เกษตรกรจึงสามารถเลี้ยงไหมผลิตรงั ไหม และสาวไหมได้ ท้ังปีหากไม่มีปัญหาผลผลิตใบหม่อน พันธ์ุไหมที่เลี้ยงในภาคอีสานเป็นพันธุ์ไทย พ้ืนบ้านที่มีความแข็งแรง เล้ียงง่าย ปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศของภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ได้ดี น้ำ�หนักรงั สด 0.8-1.0 กรัม ตอ่ รงั น้ำ�หนกั เปลือกรัง 10-12 เซนติกรมั ต่อรงั เปลือกรัง 11-13 เปอรเ์ ซ็นต์ รูปรา่ งรังไหมมลี กั ษณะ หัวป้านทา้ ยแหลม หรอื คลา้ ยกระสวย รงั ไหมสเี หลอื ง เส้นใยมขี นาด 1.7-2.1 ดเี นยี ร์ (Denier) ความยาวเสน้ ใย 200-400 เมตรตอ่ รงั เสน้ ไหมมคี วามยดื หยนุ่ ดี มีความเงางาม รงั บาง มีปุยหรอื ข้ไี หม (Floss) ค่อนขา้ งมาก มีอตั ราการสาว ออกง่าย ได้แก่ พนั ธ์ุตุย่ สิ่ว สำ�โรง นางน้อย นางลาย นางเขียว นางเหลือง นางไหม แพงพวย กากี ลักษณะเด่นของไหมพันธ์ุไทยพื้นบ้านไหมพันธ์ุไทย พืน้ บา้ นมี คณุ ลกั ษณะ คือ - ไข่ไหม (Silkworm egg) ไข่ไหมพันธ์ุไทยพ้ืนบ้านมีสีขาวครีม ภาพที่ 5.2 แสดงลักษณะไข่ไหม ขนาดฟองเลก็ กลมแบน เมอื่ อายปุ ระมาณ 8 วนั สไี ขไ่ หมจะเรม่ิ เปน็ จดุ สนี ำ้ �เงนิ ไหมพนั ธไุ์ ทยพนื้ บ้าน เรยี กวา่ Blue spot อายุ 10 วนั สไี ขเ่ ปน็ สนี ำ้ �เงนิ ทง้ั หมดเรยี กวา่ All blue ไขไ่ หม เมอื่ มอี ายุ 10 วนั ในอณุ หภมู ิหอ้ งปกติจะฟกั ออกเป็นตัวได้เอง จำ�นวนไขไ่ หม ต่อแม่ 250-360 ฟอง - ตวั หนอนไหม (Silkworm) จะมสี ลี ำ�ตวั ทแ่ี ตกตา่ งกนั เชน่ ขาวลว้ น ขาวมจี ดุ ขาวสลบั ลาย เปน็ ตน้ ทง้ั นข้ี น้ึ อยกู่ บั แตล่ ะสายพนั ธท์ุ ไ่ี ดร้ บั การปรบั ปรงุ พนั ธุ์ ตวั หนอนไหมมขี นาดเลก็ กวา่ ตวั หนอนไหมชนดิ Bivoltine มรี ะยะการเจรญิ เตบิ โต 5 วยั คอื วยั 1 – วยั 3 ใชเ้ วลาประมาณ 10 วนั เรยี กวา่ สว่ น วยั 4 – วยั 5 ใชเ้ วลาประมาณ 10 – 12 วนั เรยี กวา่ ไหมวยั แก่ เมอ่ื หนอนไหมเจรญิ เตบิ โตเตม็ ท่ี เรยี กว่าไหมสุก รวมเวลาไหมแรกฟักหรอื ไหมขน จนกระทงั่ ไหมสกุ ประมาณ ภาพท่ี 5.3 แสดงลักษณะหนอน 18 – 22 วนั หนอนไหมสุกจะถกู เกบ็ เขา้ จ่อ ซ่งึ เป็นอุปกรณ์สำ�หรับไหมทำ�รัง ไหมพันธ์ุไทยพื้นบ้าน พนั ธ์ุนางลาย
มาตรฐานหม่อนไหม พนั ธุ์นางตยุ่ พันธ์นุ างสวิ่ สำ�โรง พนั ธแุ์ พงพวย พนั ธ์นุ างน้อย พันธุก์ ากี พนั ธนุ์ างลาย พันธน์ุ างเหลอื ง ภาพท่ี 5.4 แสดงลกั ษณะกายภาพ - รังไหม (Coccoon) รังไหมพันธ์ุไทยพื้นบ้าน รูปร่างรังไหม ของรงั ไหมพนั ธไุ์ ทยพน้ื มีลักษณะหวั ปา้ นทา้ ยแหลม หรอื หวั ทา้ ยแหลม คลา้ ยกระสวย รงั ไหมสเี หลอื ง บ้านพันธุ์ต่างๆที่เป็น ขนาดเลก็ น้ำ�หนกั รังสด 0.8-1.0 กรมั ตอ่ รงั น้ำ�หนักเปลือกรงั 10-12 เซนตกิ รัม วัตถุดิบในการสาวเส้น 66 ไหมสำ�หรบั การผลติ ผา้ ต่อรงั เปอร์เซน็ ตเ์ ปลือกรังประมาณ รอ้ ยละ 10 –12 เปลอื กรังมปี ุยมาก เสน้ ใย ไหมนกยงู พระราชทาน เด่ียว(Silk filament) มขี นาด 1.7-2.1 ดีเนียร์ (Denier) ความยาวของเสน้ ไหม สีทอง รงั เด่ียวประมาณ 300 – 350 เมตร ลกั ษณะรงั ไหมพันธ์ุไทยพ้นื บา้ นพันธุต์ ่างๆมลี กั ษณะทางกายภาพดังน้ี 5.1.2. มาตรฐานการสาวไหม การผลติ เสน้ ไหมไทยใหไ้ ดค้ ณุ ภาพมาตรฐานเสน้ ไหมไทยตามมาตรฐาน มกอช. 8000-2548 และเปล่ยี นเปน็ มกษ. 8000-2555 นนั้ อุปกรณก์ ารสาว การตรวจคณุ ภาพรงั ไหม และวธิ กี ารสาวไหมเปน็ องคป์ ระกอบทสี่ ำ�คญั ในการผลติ ใหไ้ ดเ้ สน้ ไหมไทยทม่ี คี ณุ ภาพมาตรฐานตามตอ้ งการ (สำ�นกั งานมาตรฐานสนิ คา้ เกษตร และอาหารแห่งชาติ, 2550) ดังน้ันมาตรฐานในการสาวไหมเพ่ือผลิตเส้น ไหมไทยพื้นบ้านสำ�หรับใช้ในการผลิตผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานสีทองนั้น มรี ายละเอียด ดังนี้ 5.1.2.1. พวงสาวไหม หมายถึงอุปกรณ์สำ�หรับการสาวไหมด้วย มือประกอบด้วยโครงและรอกทำ�ด้วยไม้ ซ่ึงเกาะติดที่ปากหม้อต้มสาวไหม ตามมาตรฐานเครื่องหมายตรานกยูงพระราชทานสีทองกำ�หนดมาตรฐาน พวงสาวไหมท่ีใช้สาวเส้นไหมพันธ์ุไทยพ้ืนบ้าน น้ันต้องเป็นพวงสาวไหมแบบ พน้ื บา้ น และพวงสาวไหมปรบั ปรงุ โดยการสาวไหมนน้ั จะตอ้ งทำ�การสาวเสน้ ไหม ลงในภาชนะท่ีรองรับโดยตรง ดังนั้นพวงสาวไหม(อุปกรณ์สาวไหม) ท่ีได้รับ การรบั รองภายใตม้ าตรฐานนกยงู พระราชทานสที อง มี 2 ชนดิ คอื พวงสาวไหม
กรมหมอ่ นไหม พันธุ์ไทยพื้นบ้าน และพวงสาวไหมเด่นชัย 1 (พวงสาวไหมแบบปรับปรุง) ซึ่งรายละเอียดของอุปกรณท์ ัง้ สองชนิดดงั กล่าว มีดงั นี้ (1) พวงสาวไหมแบบพืน้ บา้ น เป็นอุปกรณ์การสาวไหมที่ทำ�จากไม้เน้ืออ่อนที่ไม่มีเสี้ยน หรือขุยขน เชน่ ไมต้ ะแบก ไมโ้ มก มกี ารแกะสลักลวดลายสวยงาม รปู ทรงแลว้ แตล่ ะท้อง ถนิ่ และเปน็ งานฝมี อื มขี า 2 ขา้ ง สำ�หรบั ยดึ กบั ปากหมอ้ สาวไหมไมใ่ หล้ ม้ ขาพวง สาวไหมสามารถขยบั ใหก้ วา้ งและแคบได้ มคี วามสงู ประมาณ 35-40 เซนตเิ มตร กว้างประมาณ 25 เซนติเมตร มลี ูกรอก 1 อนั อยู่ตรงกลางพวงสาวตัง้ อยู่สูงจาก ปากหมอ้ ตม้ สาวไหมประมาณ 25 เซนตเิ มตร มลี กั ษณะเปน็ รปู ทรงกระบอก ยาว ประมาณ 6-8 เซนติเมตร เสน้ ผา่ นศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนตเิ มตร มซี ีก ไมไ้ ผ่ล้อมรอบประมาณ 15-20 ซีก ขนาดขนึ้ อยู่กับชา่ งผู้ทำ�พวงสาวไหม ลูกรอก เป็นอุปกรณ์ใช้สำ�หรับพันเกลียวเส้นไหมทำ�ให้เส้นไหมรวมตัวกันขณะสาวไหม (ศริ ิพร และ นนั ทวนั , 2555) (2) พวงสาวไหมแบบปรบั ปรุง พวงสาวไหมแบบปรบั ปรงุ เปน็ อปุ กรณท์ ท่ี ำ�จากไมเ้ นอ้ื ออ่ นทไี่ มม่ เี สย้ี น หรอื ขยุ ขน เชน่ ไม้ตะแบก ไม้โมก มีการแกะสลกั ลวดลายสวยงาม รูปทรงแล้ว ภาพท่ี 5.5 แสดงลักษณะพวง 67 แต่ละท้องถ่ินและเป็นงานฝีมือ มีขา 2 ข้าง สำ�หรับยึดกับปากหม้อสาวไหม สาวไหมแบพนื้ บา้ นซงึ่ ไม่ให้ล้ม ขาพวงสาวไหมสามารถขยับให้กว้างและแคบได้ มีความสูงประมาณ ประกอบด้วยลูกรอก 1 รอก 35-40 เซนตเิ มตร กว้างประมาณ 25 เซนตเิ มตร ประกอบดว้ ยรอกสาวไหม 2 รอก และรอกเล็กรับเส้นไหมอีก 1 รอก มีตัวกันรังไหมไม่ให้รังขึ้นไปพัน กับเส้นไหมเวลาสาวไหมและมีรูร้อยเส้นไหมจะมีส่วนบังคับให้เส้นไหมไม่มีปุ่ม ปมขนาดใหญแ่ ละทำ�ใหเ้ ส้นไหมเรยี บสมำ่ �เสมอกนั เกอื บท้ังเสน้ การทำ�เกลียวจะ ทำ�ไดม้ าก ซง่ึ ทำ�ใหไ้ ด้ 80 เกลยี ว (พนั 80 รอบ) มผี ลทำ�ใหเ้ สน้ รวมตวั ดี เสน้ กลม ไมแ่ ตกสาวลงตะกรา้ (ภาชนะรองรบั ) เหมอื นการสาวแบบพนื้ บา้ นแตด่ งึ เสน้ ไหม ไดค้ ลอ่ งตวั กวา่ เพราะมรี อกรบั เสน้ ไหมทำ�ใหเ้ กดิ มมุ ของการสาวไหมไดเ้ หมาะสม พอดี จึงดึงเสน้ ไหมลงตะกรา้ ได้ง่ายๆ 5.1.2.2 คุณภาพมาตรฐานรังไหม ภาพท่ี 5.6 แสดงมาตรฐานองค์ การเตรียมรังไหมก่อนจะทำ�การสาวไหมเพื่อให้ได้เส้นไหมที่มีคุณภาพ ประกอบของพวง และมาตรฐาน เกษตรกรจะตอ้ งทำ�การตรวจสอบคณุ ภาพรงั ไหมพนั ธไ์ุ ทยพน้ื บา้ น สาวไหมแบบปรับปรุง (เด่นชัย)ประกอบด้วย ลูกรอก 3 รอก เพอื่ พจิ ารณาลกั ษณะรงั ไหมทไ่ี มส่ มบรณู ห์ รอื รงั เสยี และรงั ดี ดำ�เนนิ การคดั เลอื ก รงั ไหมโดยแยกรงั ดอี อกจากรงั เสยี และนำ�เฉพาะรงั ไหมดไี ปทำ�การสาวเพอ่ื ใหไ้ ด้ เสน้ ไหมทม่ี คี ณุ ลักษณะเส้นกลมขนาดสมำ่ �เสมอ ท่มี คี ณุ ภาพดี เรียบ สีเสน้ ไหม สมำ่ �เสมอ ขั้นตอนการคัดแยกรังไหมถือเป็นขั้นตอนสำ�คัญในการผลิตเส้นไหม ให้ได้คุณภาพมาตรฐานท่ีดีสำ�หรับการนำ�ไปทอผ้าไหม ประเภทของรังไหม ทจ่ี ำ�แนกเปน็ รงั เสยี และตอ้ งคดั แยกออกกอ่ นการสาวไหมตามมาตรฐานการปฏบิ ตั ิ ท่ีดีสำ�หรับการผลิตเส้นไหมไทย (สำ�นักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร ภาพท่ี 5.7 แสดงการคดั แยกรงั ไหม แหง่ ชาต,ิ 2550) มจี ำ�นวน 11 ชนิด ดงั นี้ ก่อนการสาวไหมของ เกษตรกร
มาตรฐานหม่อนไหม (1) รงั แฝด (Double cocoon) หมายถงึ รงั ไหมทเ่ี กดิ จากหนอนไหม ตง้ั แต่ 2 ตวั ขนึ้ ไป ทำ�รงั รว่ มกนั ทำ�ใหร้ งั ไหมทไี่ ดจ้ ะมรี ปู รา่ งผดิ ไปจากลกั ษณะเดมิ และมักจะมขี นาดใหญ่กว่ารงั ไหมปกติ รังไหมประเภทนี้ เมื่อนำ�มาสาวจะทำ�ให้ เสน้ ไหมขาดบอ่ ย เพราะเสน้ ไหมพนั กนั มากวา่ หนง่ึ เสน้ จากการทำ�รงั ของหนอนไหม 2 ตวั ทำ�ให้เมื่อนำ�ไปสาวจะมปี ระสทิ ธภิ าพการสาวลดลง ความสามารถในการ ภาพท่ี 5.8 แสดงลักษณะรังไหม สาวออกต่ำ� ทำ�ใหเ้ สน้ ไหมไมเ่ รยี บ คณุ ภาพเสน้ ไหมต่ำ� สาเหตขุ องการเกดิ รงั แฝด เสยี ประเภทรงั แฝด อาจเกดิ ไดจ้ ากหลายสาเหตุ ไดแ้ ก่ ลักษณะของพนั ธไ์ุ หมเอง จำ�นวนหนอนไหม ในจ่อมากเกินไป หรอื จอ่ มีลกั ษณะทไ่ี ม่เหมาะสมตอ่ การการทำ�รงั ของหนอนไหม (2) รงั เจาะ (Pierced cocoon) หมายถงึ ทมี่ ลี กั ษณะเปน็ รเู นอื่ งจาก ถูกหนอนแมลงวันลายวางไข่รังไหมที่เกิดจากหนอนแมลงวันลายวางไข่บน ตวั หนอนไหมและเจรญิ เตบิ โตอยภู่ ายในหนอนไหม เมอ่ื หนอนไหมกลายเปน็ ดกั แด้ อยภู่ ายในรงั ไหมจะถกู แมลงวนั ลายเจาะรงั ไหมออกมา ทำ�ใหร้ งั ไหมทถี่ กู เจาะเปน็ ภาพที่ 5.9 แสดงลักษณะขอรัง รงั เสีย เพราะรงั ไหมทีเ่ กดิ เปน็ รูทำ�ใหเ้ สน้ ไหมขาดท้งั เส้น เม่ือนำ�ไปสาวเส้นไหม ไ ห ม เ สี ย ป ร ะ เ ภ ท รังเจาะ จะขาดบอ่ ย ประสิทธภิ าพการสาวออกตำ่ � ได้เส้นไหมไม่เรยี บและคณุ ภาพต่ำ� (3) รงั เป้ือนภายใน (Inside soiled cocoon) หมายถงึ รงั ไหม ภายในรงั ไหมสกปรก สาเหตเุ กดิ จากหนอนไหมทเี่ ปน็ โรคแตส่ ามารถทำ�รงั ไหมได้ 68 แต่หลังจากทำ�รังเสร็จแล้วหนอนไหมหรือดักแด้จะตายอยู่ภายในรังไหมท่ีตาย จะทำ�ใหภ้ ายในของรงั ไหมสกปรก เม่อื นำ�มาสาวจะไดเ้ ส้นไหมที่มสี ีดำ� สีเส้นไหม ภาพที่ 5.10 แสดงลักษณะรังไหม ไม่สมำ่ �เสมอและไม่มคี ุณภาพ เสยี ประเภทรงั เป้อื น ภายใน (4) รงั เปอ้ื นภายนอก (Outside soiled cocoon) หมายถงึ รงั ไหม ทม่ี ลี กั ษณะรงั ไหมภายนอกเปอื้ นสกปรก สาเหตเุ กดิ จากหนอนไหมปลอ่ ยปสั สาวะ คร้ังสุดทา้ ยก่อนทำ�รงั หรืออาจเกดิ จากหนอนไหมทเี่ ขา้ จ่อเปน็ โรค เมอื่ ตวั หนอน ไหมแตกทำ�ให้เปื้อนรังไหมท่ีอยู่ในจ่อเดียวกัน เมื่อนำ�รังไหมไปสาวจะทำ�ให้ สาวยาก รงั ไหมบรเิ วณที่เป้ือน โดยเฉพาะรงั ไหมที่เปื้อนปสั าวะของหนอนไหม จะเละก่อนเน่ืองจากปัสสาวะมีความเป็นด่าง ทำ�ให้การสาวเส้นไหมยากขึ้น ภาพที่ 5.11 แสดงลักษณะของรัง สีเส้นไหมไม่สมำ่ �เสมอและเส้นไหมที่ได้มคี ุณภาพตำ่ � ไหมเสยี ประเภทเปอื้ น ภายนอก (5) รงั บาง (Thin shell cocoon) หมายถงึ รงั ไหมทม่ี ลี กั ษณะรงั บาง ผิดปกติ สาเหตุเกิดจากขณะที่หนอนไหมเป็นโรคแล้วเจริญเติบโตได้จนไหมสุก เข้าทำ�รังและเมื่อพ่นเส้นใยเพื่อทำ�รังได้เล็กน้อยหนอนไหมก็ตายทำ�ให้รังไหม ที่ได้บาง หรือสาเหตุอาจมาจากเกษตรกรเก็บหนอนไหมเข้าจ่อช้าเกินไป ทำ�ให้ หนอนไหมพน่ เสน้ ใยท้ิงกอ่ นบา้ งแล้วทำ�ให้เส้นใยทีเ่ หลอื ในการทำ�รงั น้อย รังไหม ที่ได้จึงบางผิดปกติเม่ือนำ�มาสาวรังไหมประเภทน้ีจะเละก่อนเส้นไหมที่ได้ไม่มี ภาพท่ี 5.12 แสดงลักษณะรังไหม คณุ ภาพ เสียประเภทรงั บาง
กรมหม่อนไหม (6) รังหลวม (Loose shell cocoon) หมายถึง รังไหมทม่ี ีเสน้ ใย แยกเป็นช้ันๆ สาเหตุเกิดจากขณะหนอนไหมสกุ ทำ�รงั สภาพอากาศไมเ่ หมาะสม กับการทำ�รังของหนอนไหม เช่น อุณหภูมิข้ึนๆ ลงๆ ส่งผลให้การพ่นใย ไม่สม่ำ�เสมอรังไหมจงึ แยกเป็นชัน้ ๆ เมอ่ื นำ�ไปสาวทำ�ให้ไดเ้ ส้นไหมท่ไี ม่มีคณุ ภาพ (7) รังหัวท้ายบาง (Thin-end cocoon) หมายถึง รังไหมท่ีมี ภาพที่ 5.13 แสดงลักษณะรังไหม ลกั ษณะหวั แหลมผดิ ปกตโิ ดยบรเิ วณดงั กลา่ วมลี กั ษณะรงั บางเหน็ ไดช้ ดั เจน สาเหตุ เสยี ประเภทรังหลวม เกดิ จากลกั ษณะของสายพนั ธไุ์ หมบางสายพนั ธุ์ หรอื เกดิ จากอณุ หภมู ใิ นการกกไข่ ไหมสูง หรือบางครงั้ เกิดจากอณุ หภูมิระหว่างไหมทำ�รงั ต่ำ�เกนิ ไป รังไหมชนดิ นี้ ถา้ นำ�ไปสาวบรเิ วณทเ่ี ปน็ สว่ นปลายแหลมเสน้ ไหมจะขาดบอ่ ย ทำ�ใหค้ วามสามารถ ในการสาวออกลดลงและได้เส้นไหมที่มคี ณุ ภาพตำ่ � (8) รงั ผดิ รปู รา่ ง (Malformed cocoon) หมายถงึ รงั ไหมทม่ี ลี กั ษณะ ภาพที่ 5.14 แสดงลักษณะรังไหม เสียประเภทรังหัวท้าย บิดเบี้ยว ไม่สมำ่ �เสมอและผิดรูปร่าง สาเหตุจากหนอนไหมอ่อนแอทำ�ให้ทำ�รัง บาง ได้ไม่สมบูรณ์หรือเกิดจากลักษณะจ่อท่ีหนอนไหมทำ�รังไม่ถูกสุขลักษณะ รังไหม ลักษณะน้ีเม่ือนำ�ไปสาวรวมกับรังดี รังชนิดน้ีจะเละก่อนหรือบางที่ก็แข็งขึ้นอยู่ ลักษณะรปู รา่ งทผ่ี ดิ ปกตขิ องรงั ไหม ทำ�ให้เสน้ ไหมทีไ่ ดไ้ ม่มคี ุณภาพ (9) รงั ด้านหรอื รงั ตดิ ข้างจ่อ (Cocoon with prints of cocoon ภาพท่ี 5.15 แสดงลักษณะรังไหม 69 frame) หมายถึง รังไหมที่ลักษณะรังไหมบางส่วนแบนผิดปกติและรังไหม เสยี ประเภทรงั ผดิ รปู รา่ ง มคี วามหนาเปน็ บางสว่ น เนอ่ื งจากหนอนไหมทำ�รงั ตดิ ขา้ งจอ่ หรอื ตดิ กบั กระดาษ รองจ่อ หรือจำ�นวนหนอนไหมในจ่อแน่นเกินไป หรือการใช้จ่อท่ีไม่เหมาะสม ทำ�ใหร้ งั ไหมบรเิ วณดังกล่าวลกั ษณะรงั ไหมจะแบนผิดปกติ และหนา เม่ือนำ�ไป สาวทำ�ใหส้ าวยากเสน้ ไหมไมม่ ีคุณภาพ (10) รังบุบ (Crushed cocoon) หมายถึง รังไหมที่มีลักษณะ ภาพที่ 5.16 แสดงลักษณะรังไหม รังไหมยุบหรือบุบ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขนส่งรังไหมโดยไม่ระมัดระวัง เสียประเภทรังติดข้าง ทำ�ใหร้ งั ไหมเกดิ การกระทบกระแทกกนั และเสน้ ใยไหมยบุ ตวั ลงและเมอื่ นำ�ไปสาว จ่อหรือรงั ดา้ น จะทำ�ให้เส้นไหมบรเิ วณท่ยี บุ ลงจะขาดบอ่ ยทำ�ให้ได้เสน้ ไหมทม่ี ีคณุ ภาพตำ่ � (11) รังเป็นเช้ือรา (Musty cocoon) หมายถึง ลักษณะรังไหม ทม่ี เี ชื้อราขึ้นในเปลอื กรงั ไหม สาเหตุจากรงั ไหมมคี วามชื้นสูง เนอื่ งจากการอบ รังไหมทกี่ ารอบแห้งไม่สมบูรณ์ หรือบางคร้ังไม่มกี ารควบคมุ ความชื้นในหอ้ งเก็บ ภาพท่ี 5.17 แสดงลักษณะรังไหม รังไหม ทำ�ให้เกิดเชื้อราเกิดข้ึนได้เส้นไหมบริเวณท่ีเป็นเช้ือราจะเสื่อมคุณภาพ เสียประเภทรังบบุ ถา้ หากนำ�ไปสาวจะไดเ้ ส้นไหมท่ีมีคุณภาพตำ่ � ภาพท่ี 5.18 แสดงลักษณะรังไหม เสยี ประเภทรงั เปน็ เชอ้ื รา
มาตรฐานหมอ่ นไหม 5.1.2.3 มาตรฐานวธิ ีการสาวไหม การผลิตเส้นไหมท่ีได้คุณภาพตามข้อกำ�หนดภายใต้เครื่องหมายตรา นกยงู พระราชทานสที องนน้ั นอกจาก การคำ�นงึ ถงึ พนั ธไุ์ หม อปุ กรณก์ ารสาวไหม และการตรวจสอบคุณภาพรังไหมแล้ว วิธีการสาวไหมก็เป็นข้อกำ�หนดที่ต้อง ปฏิบัติตาม เพื่อให้ได้เส้นไหมท่ีมีคุณภาพมาตรฐานตรงตามข้อกำ�หนดสำ�หรับ ใช้เป็นวัตถุดิบในการทอผ้าไหมภายใต้การรับรองนกยูงพระราชทานสีทอง มาตรฐานวธิ ีการสาวไหม เพ่ือใหไ้ ด้เสน้ ไหมทั้ง 3 ชนดิ มีรายละเอียด ดงั น้ี (1) วธิ ีการสาวไหมลบื หรอื ไหมเปลือก หรอื ไหม 3 (1.1) วธิ กี ารสาวดว้ ยพวงสาวไหมแบบพ้ืนบา้ น สำ�หรับวิธีการและขั้นตอนในการสาวไหมลืบด้วยพวงสาวไหมแบบ พืน้ บ้านมมี าตรฐานการปฏบิ ตั ิ กรรมวธิ ีและข้นั ตอนการสาวไหม ดังนี้ (1.1.1) การต้มรังไหม นำ้ �ที่ใช้ต้มรังไหมควรเป็นนำ้ �สะอาด ไม่ขนุ่ มีความเปน็ กรด-ด่างปานกลาง เชน่ นำ้ �ฝน น้ำ�ประปา ที่ใส่โอง่ เกบ็ ไว้นาน (ไม่ใชน่ ้ำ�บอ่ นำ้ �บาดาล นำ้ �ประปา และนำ้ �ฝนใหม)่ ตม้ ให้รอ้ นแตไ่ ม่เดอื ด โดย สังเกตเหน็ ไอน้ำ�ทีป่ ากหม้อ และฟองอากาศเล็กๆ ลอยขึน้ มาทวั่ ปากหม้อ หรอื ใช้นิ้วมือจุ่มดูรู้สึกว่าร้อน มีอุณหภูมิประมาณ 82-89 องศาเซลเซียส นำ�รัง 70 ภาพท่ี 5.19 แสดงอุปกรณ์(พวงสา ไหมท่ีเตรยี มไวล้ งตม้ ในหมอ้ 2 กำ�มอื ใหญ่ (ประมาณ 120-150 รัง) ใช้ไม้คืบ ไหม) และวิธีการการ กดรังไหมใหจ้ มน้ำ�ไปมา 4-5 ครงั้ นาน 1-2 นาที (เรียกวา่ การตม้ รังไหม) ยก สาวไหมลืบ หรือไหม เปลือก หรอื ไหมสาม ไมค้ บื เกลย่ี รงั ไหมข้นึ ปมเส้นไหมจะหลดุ จากรังไหมติดไม้คบื ขนึ้ มา (1.1.2) การพันเกลียวเส้นไหม เม่ือเส้นไหมติดไม้คืบเกล่ียรังไหมข้ึนมา ใช้มือซ้ายรวบ เส้นไหมที่ติดกับไม้คืบดึงข้ึนมา แล้วสอดเส้นไหมใส่รูที่อยู่ตรงกลางพวงสาว ดึงขึ้นไปพันกับลูกรอกของ พวงสาว 1 รอบ แลว้ พนั เกลียวเส้นไหม 7-9 รอบ แลว้ ดงึ เส้นไหมผ่านพวงสาวไหมลงภาชนะที่วางอยู่ ทางด้านซา้ ยมือ คอ่ นไปทางด้านหลังและทำ�การสาวไหม (ดึงเสน้ ไหม) จนเส้นไหมเปลือกนอกหมด (1.1.3) เมอ่ื สาวไหมสาม หรอื ไหมลบื ซงึ่ เปน็ ไหมเปลอื กนอกออกหมดแลว้ โดยจะสงั เกตเหน็ เสน้ ไหมทอ่ี อกจากรงั ไหมในหมอ้ ตม้ สาวมลี กั ษณะเลก็ ละเอยี ด สมำ่ �เสมอและนมุ่ มอื ผวิ รงั ไหมเรยี บ และรงั ไหม มีสีจางลง ให้หยุดสาวแล้วใช้กระชอน หรือช้อน หรือทัพพี ตักรังไหมออกจากหม้อต้มคร้ังละประมาณ 15-20 รงั และเพ่ิมรงั ไหมคร้งั ละ 15-20 รงั ผ่ึงไวบ้ นกระด้งอกี ด้านหนงึ่ ที่ว่าง (1.2) วธิ กี ารสาวดว้ ยพวงสาวไหมแบบปรบั ปรงุ (เดน่ ชยั 1) สำ�หรบั การสาวไหมลบื ดว้ ยพวงสาวไหมแบบปรบั ปรงุ เดน่ ชยั 1 มาตรฐานในการสาวไหมมแี นวทาง ในการปฏบิ ตั ิ ดังน้ี (1.2.1) การตม้ รงั ไหม นำ้ �ทใ่ี ชต้ ม้ รงั ไหมควรเปน็ นำ้ �สะอาดไมข่ นุ่ มคี วามเปน็ กรด-ดา่ งปานกลาง เชน่ นำ้ �ฝน นำ้ �ประปา ทใี่ ส่โอง่ เกบ็ ไวน้ าน (ไม่ใชน่ ำ้ �บ่อ นำ้ �บาดาล นำ้ �ประปา และนำ้ �ฝนใหม)่ ต้มให้ร้อน แต่ไม่เดือด โดยสังเกตเห็นไอนำ้ �ที่ปากหม้อ และฟองอากาศเล็กๆ ลอยขึ้นมาท่ัวปากหม้อ หรือใช้น้ิวมือ จุม่ ดรู ้สู กึ วา่ ร้อน มอี ณุ หภูมิประมาณ 82-89 องศาเซลเซยี ส นำ�รังไหมที่เตรียมไว้ลงต้มในหมอ้ 2 กำ�มือ ใหญ่ (ประมาณ 120-150 รงั ) ใชไ้ มค้ บื กดรงั ไหมใหจ้ มนำ้ �ไปมา 4-5 ครง้ั นาน 1-2 นาที (เรยี กวา่ การตม้ รังไหม) ยกไม้คืบเกลย่ี รังไหมขนึ้ ปมเสน้ ไหมจะหลดุ จากรังไหมตดิ ไมค้ บื ข้ึนมา
กรมหม่อนไหม (1.2.2) การพันเกลียวเส้นไหม เม่ือเส้นไหมติดไม้คืบเกล่ียรังไหมขึ้นมา ใช้มือซ้ายรวบ 71 เส้นไหมท่ีติดกับไม้คืบดึงข้ึนมา แล้วสอดเส้นไหมใส่รูที่อยู่ตรงกลางพวงสาว ดึงข้ึนไปพันกับลูกรอกของ พวงสาวตวั ลา่ งสุด1 รอบ แลว้ พันเกลียวเสน้ ไหม 7-9 รอบ (1.2.3) แล้วดึงเส้นไหมผ่านพวงสาวไหมลงภาชนะที่วางอยู่ทางด้านซ้ายมือ ค่อนไปทาง ด้านหลังและทำ�การสาวไหม (ดึงเส้นไหม) จนเส้นไหมเปลอื กนอกหมด (1.2.4) เมื่อสาวไหม 3 หรอื ไหมลบื ซ่งึ เป็นไหมเปลือกนอกออกหมดแล้ว โดยจะสังเกตเห็น เสน้ ไหมทอ่ี อกจากรงั ไหมในหมอ้ ตม้ สาวมลี กั ษณะเลก็ ละเอยี ด สมำ่ �เสมอและนมุ่ มอื ผวิ รงั ไหมเรยี บ และรงั ไหม มีสีจางลง ให้หยุดสาวแล้วใช้กระชอน หรือช้อน หรือทัพพี ตักรังไหมออกจากหม้อต้มครั้งละประมาณ 15-20 รัง และเพม่ิ รงั ไหมครัง้ ละ 15-20 รงั ผ่งึ ไว้บนกระด้งอีกด้านหน่งึ ทวี่ า่ ง (2) มาตรฐานวธิ กี ารสาวไหมน้อย หรอื ไหมเครอื หรอื ไหม 1 วิธีการสาวไหมน้อยเป็นการสาวเส้นไหมที่อยู่ช้ันในของรังไหม รังไหมที่จะนำ�มาสาวไหมน้อย ต้องผ่านการสาวไหมหัว หรือไหมลืบเพื่อเอาเปลือกรังไหมชั้นนอกออกหมดแล้วตามข้อ (1) จึงนำ�รังไหม ที่เหลือเฉพาะรังไหมช้ันในมาทำ�การสาวไหมน้อย หรือไหมหน่ึง โดยมาตรฐานวิธีการปฏิบัติและข้ันตอน การสาวไหมนอ้ ย ดงั น้ี (2.1) วธิ ีการสาวไหมดว้ ยพวงสาวไหมแบบพ้นื บา้ น (2.1.1) การตม้ รังไหม น้ำ�ท่ีใช้ตม้ รังไหมสำ�หรับสาวไหมน้อย ต้องสะอาดและมคี ณุ สมบัติ เชน่ เดยี วกบั น้ำ�ทใี่ ชต้ ม้ รงั ไหมสาวไหมหวั และทกุ ครง้ั ทจี่ ะสาวไหมนอ้ ยตอ้ งเปลย่ี นน้ำ�ตม้ ใหมไ่ มค่ วรใชน้ ้ำ�ทตี่ ม้ สาวไหมหัวมาสาวไหมนอ้ ยต่อ เพราะจะทำ�ใหเ้ สน้ ไหมไม่สวย มสี ีคลำ้ � แข็งกระดา้ ง ตม้ นำ้ �ใหร้ ้อนอุณหภมู ิ ประมาณ 85-90 องศาเซลเซียส หรอื สังเกตมไี อนำ้ �และฟองอากาศขนึ้ ทวั่ ปากหม้อตม้ หรือใช้น้วิ มือจมุ่ ดู รสู้ ึกรอ้ น ยกเวน้ ชว่ งฤดูฝน (2.1.2) นำ�รังไหมท่ีผ่านการสาวไหมหัวออกแล้ว กำ�รังไหมบีบให้นำ้ �ออกพอหมาดๆ ใสล่ งไปในหมอ้ ตม้ ประมาณ 70-80(80-100) รัง ใช้ไม้คืบกดรังไหมใหจ้ มน้ำ� พลิกไปมา 3-4 ครง้ั นาน 1-2 นาที แลว้ ยกไมค้ ืบเกลย่ี รังไหมข้นึ ปมเสน้ ไหมจะหลุดออกจากรังไหม และตดิ ปลายไม้คบื มาด้วย (2.1.3) ยกไม้คืบขึ้นสูง ใช้มือซ้ายรวบเส้นไหมดึงข้ึนมา สอดเส้นไหมใส่เข้าไปในรูของ พวงสาวดงึ ขน้ึ ไปพันลกู รอก 1 รอบ แลว้ พนั เกลียว 10-11 รอบ (2.1.4) ใชม้ อื ซา้ ยดงึ ปลายเสน้ ไหมผา่ นหนา้ ขาซา้ ย แลว้ ปลอ่ ยใหเ้ สน้ ไหมลงภาชนะทวี่ าง รองรบั อยดู่ า้ นหลังทางด้านซา้ ยมือ (2.1.5) ดึงเสน้ ไหมลงภาชนะให้สมำ่ �เสมอ ความเรว็ ประมาณ 60-65 ครั้ง/นาที และชว่ ง ของการดงึ เสน้ ไหมมรี ะยะจากการจบั เสน้ ไหมถงึ ชว่ งการปลอ่ ยเสน้ ไหมลงภาชนะประมาณ 40-45 เซนตเิ มตร จะทำ�ให้เส้นไหมวางเรียงกันในภาชนะสวยงามเมื่อนำ�มาเหล่งมัดใจไหมแล้วเส้นไหมจะตรงขณะสาวไหม ให้ใช้ไม้คืบเกล่ียรังไหมเข้ารวมกัน และบังคับรังไหมไม่ให้ลอยข้ึนตามเส้นไหมเพราะจะทำ�ให้เส้นไหมติด สาวไมไ่ ด้ พยายามอยา่ เกลย่ี รงั ไหมบอ่ ยเกนิ ไปจะทำ�ใหเ้ สน้ ไหมมปี มุ่ ปม ตดิ ออกมามาก และทำ�ใหเ้ สน้ ไหมขาด (2.1.6) ขณะเดียวกันก็ใช้สายตาสังเกตดูลักษณะรังไหมท่ีอยู่ในหม้อต้ม ถ้ามีรังเสีย รงั เนา่ กต็ กั ออก ถา้ สงั เกตรงั ไหมบางมองเหน็ ดกั แดช้ ดั เจนกห็ ยดุ ตกั รงั ไหม ดกั แดอ้ อกครงั้ ละประมาณ 5-10 รงั แลว้ เตมิ รงั ไหมใหมเ่ ขา้ ไป 5-10 รงั /ครงั้ แลว้ ใชไ้ มค้ บื กดรงั ไหมทเี่ ตมิ เขา้ ไปใหมใ่ หจ้ มน้ำ�แลว้ ทำ�การสาวตอ่ (2.1.7) นอกจากใช้สายตาสังเกตรังไหมในหม้อต้มแล้ว ต้องสังเกตเส้นไหมที่สาวผ่าน พวงสาวดว้ ยว่ามีป่มุ ปมหรือขี้ไหมตดิ มา ถา้ มีปุ่มปมหรือขไี้ หมให้หยุดและแกะออก
มาตรฐานหมอ่ นไหม (2.1.8) เมอ่ื เสน้ ไหมมขี นาดเลก็ ลงใหห้ ยดุ เตมิ รงั ไหมลงตม้ เพมิ่ ครง้ั ละไมเ่ กนิ 10 รงั และ รสู้ กึ วา่ เสน้ ไหมมีขนาดใหญข่ นึ้ ใหใ้ ช้ไม้คบื เกลยี่ รังไหมในหมอ้ ต้มออกดา้ นข้าง หรือตักรังไหมในหม้อออก (2.1.9) การควบคมุ อณุ หภมู นิ ำ้ �ตม้ รงั ไหม ถา้ น้ำ�รอ้ นรงั ไหมจะเปอื่ ยเสน้ ไหมออกมาก บางที หลดุ ออกมาทงั้ รัง ให้เติมนำ้ �เยน็ ลงไป ถ้านำ้ �เยน็ เกนิ ไปจะสาวไมค่ อ่ ยออก ให้เพ่ิมฟืนเชอื้ เพลงิ เขา้ ไปอีก และ คอยควบคมุ ความรอ้ นของน้ำ�ในหมอ้ ต้มให้สมำ่ �เสมอตลอดเวลาการสาวไหม (2.1.10) ทำ�การสาวไหมนอ้ ยตามข้นั ตอนวิธีการดังกล่าวขา้ งตน้ ตามข้อ (2.1.4) – ข้อ (2.1.9) จนรังไหมทเี่ ตรียมไวห้ มด (2.1.11) เมื่อสาวเสรจ็ แล้ว ใหน้ ำ�เส้นไหมออกจากภาชนะทใ่ี สอ่ อกมาตากใหแ้ ห้ง โดย มีวัสดุท่ีมีนำ้ �หนักพอประมาณทับไว้ ทิ้งไว้ให้แห้งโดยมีวัสดุท่ีมีนำ้ �หนักพอประมาณทับไว้ เช่น เมล็ดนุ่น ข้าวสาร ก้อนกรวดเมด็ เลก็ ที่ลา้ งสะอาด แล้วจงึ นำ�ไปกรอใสอ่ ัก เพือ่ ทำ�ความสะอาด ตีเกลยี ว และเหลง่ มัดทำ�ไพและไจไหมต่อไป (2.2) วธิ กี ารสาวดว้ ยพวงสาวไหมแบบปรับปรงุ (เดน่ ชัย 1) (2.2.1) การต้มรังไหม นำ้ �ที่ใชต้ ม้ รงั ไหมสำ�หรับสาวไหมน้อย ต้องสะอาดและมีคุณสมบตั ิ เชน่ เดยี วกบั น้ำ�ทใ่ี ชต้ ม้ รงั ไหมสาวไหมหวั และทกุ ครง้ั ทจี่ ะสาวไหมนอ้ ยตอ้ งเปลย่ี นน้ำ�ตม้ ใหมไ่ มค่ วรใชน้ ้ำ�ทตี่ ม้ สาวไหมหัวมาสาวไหมน้อยต่อ เพราะจะทำ�ใหเ้ ส้นไหมไม่สวย มสี ีคล้ำ� แขง็ กระด้าง ต้มนำ้ �ให้รอ้ นอุณหภมู ิ ประมาณ 85-90 องศาเซลเซียส หรอื สงั เกตมีไอนำ้ �และฟองอากาศขึ้นทัว่ ปากหมอ้ ตม้ หรอื ใชน้ ้วิ มอื จมุ่ ดู 72 ร้สู กึ ร้อน (2.2.2) นำ�รงั ไหมทผ่ี า่ นการสาวไหมหวั ออกแลว้ กำ�รงั ไหมบบี ใหน้ ำ้ �ออกพอหมาดๆ ใสล่ งไป ในหมอ้ ต้มประมาณ 80-90 รงั ใชไ้ ม้คืบกดรังไหมใหจ้ มน้ำ� พลกิ ไปมา 3-4 ครั้ง นาน 1-2 นาที แลว้ ยก ไม้คบื เกล่ยี รังไหมข้ึน ปมเสน้ ไหมจะหลดุ ออกจากรงั ไหม และติดปลายไม้คืบมาด้วย (2.2.3) ยกไมค้ บื ขนึ้ สงู ใชม้ อื ซา้ ยรวบเสน้ ไหมดงึ ขนึ้ มา สอดเสน้ ไหมใสเ่ ขา้ ไปในรขู องพวง สาวดงึ ขน้ึ ไปพันลูกรอก 2 รอก 1 รอบ แล้วพันเกลยี วไม่น้อยกวา่ 80 เกลยี ว แล้วผา่ นเส้นไหมไปยังรอก ท่ี 3 (2.2.4) ใช้มือซ้ายดึงปลายเส้นไหมผ่านหน้าขาซ้าย แล้วปล่อยให้เส้นไหมลงภาชนะที่ วางรองรับอยูด่ า้ นหลังทางดา้ นซา้ ยมอื (2.2.5) ดึงเสน้ ไหมลงภาชนะใหส้ ม่ำ�เสมอ ความเร็วประมาณ 60-65 คร้ัง/นาที และช่วง ของการดงึ เสน้ ไหมมรี ะยะจากการจบั เสน้ ไหมถงึ ชว่ งการปลอ่ ยเสน้ ไหมลงภาชนะประมาณ 40-45 เซนตเิ มตร จะทำ�ใหเ้ สน้ ไหมวางเรยี งกนั ในภาชนะสวยงามเมอ่ื นำ�มาเหลง่ มัดใจไหมแล้วเสน้ ไหมจะตรง (2.2.6) ขณะสาวไหมใหใ้ ชไ้ มค้ ืบเกล่ยี รังไหมเข้ารวมกัน และบังคบั รังไหมไมใ่ ห้ลอยขึน้ ตามเส้นไหมเพราะจะทำ�ให้เส้นไหมติด สาวไม่ได้ พยายามอย่าเกล่ียรังไหมบ่อยเกินไปจะทำ�ให้เส้นไหม มีปมุ่ ปม ติดออกมามาก และทำ�ใหเ้ ส้นไหมขาด (2.2.7) ขณะเดยี วกนั กใ็ ชส้ ายตาสงั เกตดลู กั ษณะรงั ไหมทอ่ี ยใู่ นหมอ้ ตม้ ถา้ มรี งั เสยี รงั เนา่ ก็ตักออก ถา้ สงั เกตรังไหมบางมองเห็นดกั แด้ชัดเจนกห็ ยุด ตกั รงั ไหม ดักแดอ้ อกคร้ังละประมาณ 5-10 รัง แลว้ เติมรงั ไหมใหมเ่ ขา้ ไป 5-10 รัง/ครั้ง แล้วใชไ้ ม้คบื กดรงั ไหมทเ่ี ติมเขา้ ไปใหม่ให้จมนำ้ �แล้วทำ�การสาวตอ่ (2.2.8) นอกจากใชส้ ายตาสงั เกตรงั ไหมในหมอ้ ตม้ แลว้ ตอ้ งสงั เกตเสน้ ไหมทส่ี าวผา่ นพวง สาวดว้ ยว่ามีปุม่ ปมหรือขไี้ หมตดิ มา ถา้ มปี ุ่มปมหรอื ข้ีไหมใหห้ ยุดและแกะออก
กรมหม่อนไหม (2.2.9) เมอ่ื เสน้ ไหมมขี นาดเลก็ ลงใหห้ ยดุ เตมิ รงั ไหมลงตม้ เพมิ่ ครง้ั ละไมเ่ กนิ 10 รงั และ 73 รู้สึกวา่ เส้นไหมมขี นาดใหญข่ น้ึ ให้ใช้ไม้คบื เกล่ียรงั ไหมในหมอ้ ตม้ ออกดา้ นขา้ ง หรอื ตกั รงั ไหมในหมอ้ ออก (2.2.10) การควบคุมอุณหภูมินำ้ �ต้มรังไหม ถ้านำ้ �ร้อนรังไหมจะเปื่อยเส้นไหมออกมาก บางทหี ลดุ ออกมาทง้ั รงั ใหเ้ ตมิ นำ้ �เยน็ ลงไป ถา้ นำ้ �เยน็ เกนิ ไปจะสาวไมค่ อ่ ยออก ใหเ้ พม่ิ ฟนื เชอ้ื เพลงิ เขา้ ไปอกี และคอยควบคมุ ความร้อนของน้ำ�ในหม้อต้มใหส้ มำ่ �เสมอตลอดเวลาการสาวไหม (2.2.11) เมือ่ สาวเสรจ็ แลว้ ให้นำ�เสน้ ไหมทิ้งไว้ให้แหง้ โดยมวี สั ดุทมี่ ีน้ำ�หนักพอประมาณ ทบั ไว้ เช่น เมลด็ นนุ่ ข้าวสาร กอ้ นกรวดเมด็ เลก็ ท่ีลา้ งสะอาด แลว้ จึงนำ�ไปเหล่งมัดทำ�ไพและไจไหมตอ่ ไป (3) มาตรฐานวิธีการสาวเส้นไหมสาวเลย หรือเสน้ ไหมรวด หรอื ไหม 2 วิธีการสาวเส้นไหมสาวเลย หรือไหมรวด หรือไหม 2 เป็นการสาวเส้นไหมจากการสาว ควบกันของเสน้ ใยทั้งหมดใหเ้ สรจ็ ในคราวเดยี วกนั ท้งั รงั ไหมชัน้ นอก(ปยุ ไหม )และรงั ไหมช้ันใน โดยไม่ได้ แบง่ เปน็ ไหม 3 (ไหมลบื ) และไหม 1 (ไหมนอ้ ย) มาตรฐานในการปฏบิ ตั ิ วธิ กี ารและขน้ั ตอนการสาวไหม ดงั นี้ (3.1) วิธีการสาวไหมด้วยพวงสาวไหมแบบพืน้ บา้ น (3.1.1) การตม้ รังไหม นำ้ �ทีใ่ ช้ต้มรังไหมสำ�หรับสาวไหมสอง ตอ้ งสะอาดและมีคุณสมบัติ เชน่ เดยี วกับน้ำ�ทีใ่ ช้ตม้ รงั ไหมสาวไหม1 และไหม 3 ควรใชน้ ำ้ �ที่ตม้ สาวไหมใหม่ เพราะจะทำ�ใหเ้ ส้นไหมสวย มีสีไม่คลำ้ � ต้มนำ้ �ให้ร้อนอุณหภูมิประมาณ 85-90 องศาเซลเซียส หรือสังเกตมีไอนำ้ �และฟองอากาศข้ึน ทั่วปากหม้อต้ม หรอื ใช้น้วิ มือจ่มุ ดูรูส้ กึ รอ้ น (3.1.2) นำ�รงั ไหม ใสล่ งไปในหมอ้ ตม้ ประมาณ 60-70รัง ใช้ไมค้ บื กดรังไหมให้ จมนำ้ � พลกิ ไปมา 3-4 ครงั้ นาน 1-2 นาที แล้วยกไมค้ บื เกลย่ี รงั ไหมขน้ึ ปมเส้นไหมจะหลดุ ออกจาก รังไหม และตดิ ปลายไม้คบื มาด้วย (3.1.3) ยกไมค้ บื ขนึ้ สงู ใชม้ อื ซา้ ยรวบเสน้ ไหมดงึ ขนึ้ มา สอดเสน้ ไหมใสเ่ ขา้ ไปในรขู องพวง สาวดึงขนึ้ ไปพันลูกรอก 1 รอบ แล้วพนั เกลียว 7-8 รอบ (3.1.4) ใช้มือซ้ายดึงปลายเส้นไหมผ่านหน้าขาซ้าย แล้วปล่อยให้เส้นไหมลงภาชนะท่ี วางรองรบั อยดู่ ้านหลังทางดา้ นซ้ายมือ (3.1.5) ดึงเส้นไหมลงภาชนะให้สม่ำ�เสมอ ความเร็วประมาณ 40-50 ครงั้ /นาที และช่วง ของการดงึ เสน้ ไหมมรี ะยะจากการจบั เสน้ ไหมถงึ ชว่ งการปลอ่ ยเสน้ ไหมลงภาชนะประมาณ 40-45 เซนตเิ มตร จะทำ�ใหเ้ สน้ ไหมวางเรียงกนั ในภาชนะสวยงามเม่อื นำ�มาเหล่งมดั ใจไหมแล้วเส้นไหมจะตรง (3.1.6) ขณะสาวไหมให้ใช้ไมค้ ืบเกลย่ี รังไหมเข้ารวมกัน และบงั คับรังไหมไมใ่ ห้ลอยข้นึ ตามเส้นไหมเพราะจะทำ�ให้เส้นไหมติด สาวไม่ได้ พยายามอย่าเกลี่ยรังไหมบ่อยเกินไปจะทำ�ให้เส้นไหม มปี ุม่ ปม ตดิ ออกมามาก และทำ�ให้เสน้ ไหมขาด (3.1.7) ขณะเดยี วกนั กใ็ ชส้ ายตาสงั เกตดลู กั ษณะรงั ไหมทอ่ี ยใู่ นหมอ้ ตม้ ถา้ มรี งั เสยี รงั เนา่ ก็ตกั ออก ถา้ สังเกตรังไหมบางมองเห็นดักแดช้ ัดเจนกห็ ยดุ ตักรงั ไหม ดกั แด้ออกคร้งั ละประมาณ 5-10 รัง แลว้ เตมิ รังไหมใหมเ่ ขา้ ไป 5-10 รงั /คร้ัง แลว้ ใช้ไม้คบื กดรังไหมที่เตมิ เขา้ ไปใหม่ใหจ้ มน้ำ�แลว้ ทำ�การสาวตอ่ (3.1.8) นอกจากใชส้ ายตาสงั เกตรงั ไหมในหมอ้ ตม้ แลว้ ตอ้ งสงั เกตเสน้ ไหมทสี่ าวผา่ นพวง สาวดว้ ยวา่ มปี ุม่ ปมหรือขไ้ี หมติดมา ถา้ มีขไ้ี หม และมีส่งิ ปลอมปนให้หยดุ และแกะออก (3.1.9) เมอ่ื เส้นไหมมีขนาดเล็กลงใหห้ ยดุ เตมิ รงั ไหมลงตม้ เพิ่มครงั้ ละไม่เกิน 5-10 รัง และรสู้ กึ วา่ เสน้ ไหมมขี นาดใหญข่ นึ้ ใหใ้ ชไ้ มค้ บื เกลย่ี รงั ไหมในหมอ้ ตม้ ออกดา้ นขา้ ง หรอื ตกั รงั ไหมในหมอ้ ออก
มาตรฐานหมอ่ นไหม (3.1.10) การควบคุมอุณหภูมินำ้ �ต้มรังไหม ถ้านำ้ �ร้อนรังไหมจะเป่ือยเส้นไหมออกมาก บางทหี ลดุ ออกมาทง้ั รงั ใหเ้ ตมิ นำ้ �เยน็ ลงไป ถา้ นำ้ �เยน็ เกนิ ไปจะสาวไมค่ อ่ ยออก ใหเ้ พม่ิ ฟนื เชอ้ื เพลงิ เขา้ ไปอกี และคอยควบคุมความร้อนของน้ำ�ในหมอ้ ต้มใหส้ มำ่ �เสมอตลอดเวลาการสาวไหม (3.1.11) เม่ือสาวเสรจ็ แล้ว ใหน้ ำ�เสน้ ไหมทง้ิ ไวใ้ ห้แห้งโดยมีวัสดุท่มี นี ้ำ�หนกั พอประมาณ ทับไว้ เช่น เมล็ดนุ่น ข้าวสาร ก้อนกรวดเมด็ เลก็ ทลี่ ้างสะอาด แล้วจงึ นำ�ไปเหล่งมดั ทำ�ไพและไจไหมตอ่ ไป (3.2) วธิ กี ารสาวดว้ ยพวงสาวไหมแบบปรับปรุง (3.2.1) การต้มรังไหม นำ้ �ที่ใช้ต้มรังไหมสำ�หรับสาวไหมสองต้องสะอาดต้มน้ำ�ให้ร้อน อุณหภูมิประมาณ 85-90 องศาเซลเซยี ส หรอื สงั เกตมีไอน้ำ�และฟองอากาศข้นึ ทวั่ ปากหม้อตม้ หรอื ใชน้ ้วิ มอื จมุ่ ดรู สู้ กึ รอ้ น (3.2.2) นำ�รังไหม ใส่ลงไปในหม้อต้มประมาณ 60-70รัง ใช้ไม้คืบกดรังไหมให้จมน้ำ� พลิกไปมา 3-4 ครง้ั นาน 1-2 นาที แลว้ ยกไมค้ บื เกลย่ี รงั ไหมขน้ึ ปมเสน้ ไหมจะหลดุ ออกจากรงั ไหม และ ตดิ ปลายไมค้ บื มาด้วย (3.2.3) ยกไมค้ บื ขนึ้ สงู ใชม้ อื ซา้ ยรวบเสน้ ไหมดงึ ขนึ้ มา สอดเสน้ ไหมใสเ่ ขา้ ไปในรขู องพวง สาวดงึ ขน้ึ ไปพนั ลกู รอก 2 รอก 1 รอบ แลว้ พนั เกลยี วไมน่ อ้ ยกวา่ 50-60 เกลยี ว แลว้ ผา่ นเสน้ ไหมไปยงั รอกท่ี 3 (3.2.4) ใชม้ อื ซา้ ยดงึ ปลายเสน้ ไหมผา่ นหนา้ ขาซา้ ย แลว้ ปลอ่ ยใหเ้ สน้ ไหมลงภาชนะทวี่ าง รองรบั อยู่ดา้ นหลังทางดา้ นซ้ายมอื 74 (3.2.5) ดงึ เสน้ ไหมลงภาชนะใหส้ ม่ำ�เสมอ ความเร็วประมาณ 55-60 คร้งั /นาที และชว่ ง ของการดงึ เสน้ ไหมมรี ะยะจากการจบั เสน้ ไหมถงึ ชว่ งการปลอ่ ยเสน้ ไหมลงภาชนะประมาณ 40-45เซนตเิ มตร จะทำ�ใหเ้ สน้ ไหมวางเรียงกันในภาชนะสวยงามเมอื่ นำ�มาเหล่งมดั ใจไหมแล้วเส้นไหมจะตรง (3.2.6) ขณะสาวไหมให้ใชไ้ ม้คืบเกล่ยี รงั ไหมเขา้ รวมกนั และบงั คับรังไหมไม่ให้ลอยขึน้ ตามเส้นไหมเพราะจะทำ�ให้เส้นไหมติด สาวไม่ได้ พยายามอย่าเกล่ียรังไหมบ่อยเกินไปจะทำ�ให้เส้นไหม มปี ุ่มปม ตดิ ออกมามาก และทำ�ให้เสน้ ไหมขาด (3.2.7) ขณะเดียวกันก็ใช้สายตาสังเกตดูลักษณะรังไหมท่ีอยู่ในหม้อต้ม ถ้ามีรังเสีย รงั เนา่ กต็ กั ออก ถา้ สงั เกตรงั ไหมบางมองเหน็ ดกั แดช้ ดั เจนกห็ ยดุ ตกั รงั ไหม ดกั แดอ้ อกครงั้ ละประมาณ 5-10 รงั แลว้ เตมิ รงั ไหมใหมเ่ ขา้ ไป 5-10 รงั ตอ่ ครง้ั แลว้ ใชไ้ มค้ บื กดรงั ไหมทเ่ี ตมิ เขา้ ไปใหมใ่ หจ้ มนำ้ �แลว้ ทำ�การสาวตอ่ (3.2.8) นอกจากใช้สายตาสงั เกตรังไหมในหมอ้ ตม้ แลว้ ต้องสงั เกตเส้นไหมท่สี าวผ่านพวง สาวด้วยว่ามีปมุ่ ปมหรอื ข้ไี หมตดิ มา ถา้ มสี งิ่ ปลอมปน หรอื ขไ้ี หมให้หยุดและแกะออก (3.2.9) เมอ่ื เส้นไหมมีขนาดเล็กลงใหห้ ยุด เติมรงั ไหมลงต้มเพ่มิ ครงั้ ละไมเ่ กนิ 5-10 รงั และรสู้ กึ วา่ เสน้ ไหมมขี นาดใหญข่ นึ้ ใหใ้ ชไ้ มค้ บื เกลยี่ รงั ไหมในหมอ้ ตม้ ออกดา้ นขา้ ง หรอื ตกั รงั ไหมในหมอ้ ออก (3.2.10) การควบคุมอุณหภูมินำ้ �ต้มรังไหม ถ้านำ้ �ร้อนรังไหมจะเปื่อยเส้นไหมออกมาก บางทีหลุดออกมาท้ังรัง ให้เติมนำ้ �เย็นลงไป ถ้าน้ำ�เย็นเกินไปจะสาวไม่ค่อยออก ให้เพ่ิมฟืนเชื้อเพลิงเข้า ไปอกี และคอยควบคุมความร้อนของนำ้ �ในหมอ้ ต้มใหส้ ม่ำ�เสมอตลอดเวลาการสาวไหม (3.2.11) ทำ�การสาวไหมสองตามข้ันตอนวิธีการดังกล่าวข้างต้นตามข้อ (3.2.4) –ข้อ (3.2.10) จนรังไหมที่เตรยี มไว้หมด (3.2.12) เม่ือเหน็ ว่าน้ำ�ในหม้อตม้ มสี ีคล้ำ�ให้เปลีย่ นนำ้ �สำ�หรบั ตม้ และสาวไหม (3.2.13) เมื่อสาวเสรจ็ แลว้ ใหน้ ำ�เส้นไหมทง้ิ ไว้ให้แห้งโดยมวี สั ดุท่ีมีน้ำ�หนกั พอประมาณ ทับไว้ เช่น เมล็ดนุน่ ขา้ วสาร กอ้ นกรวดเม็ดเลก็ ท่ลี ้างสะอาด แลว้ จึงนำ�ไปเหลง่ มัดทำ�ไพและไจไหมตอ่ ไป
กรมหมอ่ นไหม 5.1.2.4 มาตรฐานวธิ กี ารทำ�ไจหรือเข็ดไหม เสน้ ไหมพนั ธไุ์ ทยพน้ื บา้ นทไี่ ดจ้ ากการสาวดว้ ยพวงสาวไหมแบบพนื้ บา้ นและพวงสาวไหมแบบ ปรับปรุงเด่นชัย 1 เส้นไหมจะกองรวมกันในภาชนะท่ีรองรับ ซ่ึงไม่สามารถจะนำ�ไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ผู้สาวไหมจะ ต้องทำ�กระบวนการตอ่ ไปอีก คอื การกรอเส้นไหมเขา้ อัก การแกะทำ�ความสะอาดเส้นไหม การตเี กลยี วเสน้ ไหม การเหลง่ ไหม และการทำ�ไพ เพอ่ื ทำ�เสน้ ไหมให้อยใู่ นรูปไจไหมท่ไี ดม้ าตรฐานพร้อมใช้ สำ�หรับการนำ�เส้นไหมไปฟอกกาวไหมออก เพื่อย้อมสีสำ�หรับใช้ในกระบวนการทอผ้าไหม หลักการสำ�คัญ ของการสาวไหม คือ การพันเกลียวระหว่างรอบสาวไหมเพ่ือให้เส้นใยหลายๆ เส้นท่ีสาวมาจากหลายๆ รัง ดึงมารวมกันเป็นเส้นเดียวนั้นให้เกิดการรัดตัวแน่น เส้นไม่แตก และเส้นกลม การสาวไหมทุกครั้ง ต้องพันเกลียวซ่ึงเป็นหวั ใจหลกั ของการสาวไหมทจี่ ำ�เปน็ ต้องปฏบิ ัตทิ ุกครงั้ 1. การกรอไหม หรอื การเหลง่ (Re-reeling) คอื การนำ�เสน้ ไหมทส่ี าวไดม้ ากรอทำ�เขด็ ไหม (ไจไหม) โดยใหม้ เี สน้ รอบ วง 135-155 เซนตเิ มตร ตามมาตรฐาน ทำ�การมดั เงอ่ื นเสน้ ไหมใหเ้ รยี บรอ้ ย โดย ใน 1 เขด็ จะมเี งอ่ื นปลาย 2 อนั นำ�เงอ่ื นในซง่ึ เปน็ เงอ่ื นทเ่ี รม่ิ การกรอกบั เงอ่ื นนอก ซึ่งเป็นเง่ือนที่กรอเส้นไหมเสร็จ นำ�มาผูกเข้ากับเชือกด้วยด้ายสีแดง สีนำ้ �เงิน และสเี หลอื ง มดั เงอ่ื นใหเ้ รยี บรอ้ ย แลว้ ทำ�การมดั เปน็ เขด็ โดยแบง่ เปน็ 3-4 ชว่ ง (พ้นื บ้านเรียกวา่ ทำ�พลอง) ตลอดตามความยาวของเสน้ รอบวงเขด็ โดย 1 ชว่ ง ภาพที่ 5.20 แสดงการกรอเส้นไหม (พลอง) จะแบง่ แยกออกเปน็ 3-4 เปลาะ(หรอื ไน)(พน้ื บา้ นเรยี กทำ�ไพ) แลว้ ทำ�การ จากภาชนะที่รองรับ 75 ร้อยด้ายขึ้นลง เพ่ือโอบเส้นไหมไว้ไม่ให้กระจาย(จะง่ายต่อการฟอกย้อมถ้าผู้ทอ เสน้ ไหมเขา้ อัก จะนำ�ไปใช้เลยหรืองา่ ยต่อการไปควบและทำ�เกลยี วในขั้นตอนต่อๆไป) ทำ�เช่นนี้ จนครบทง้ั 4-6 ชว่ ง สว่ นไหมหตั ถกรรมมกั นยิ มนำ้ �หนกั ขนาด ไมเ่ กนิ 100 กรมั เสน้ ไหม ทไี่ ดจ้ ากการกรอยงั ไมผ่ า่ นการตเี กลยี วน้ี เรยี กกนั วา่ เสน้ ไหมดบิ (Raw silk) ตามมาตรฐานการกรอไหมต้องกรอแบบสาน(Diamond cross) คือการจัดเรียง เส้นไหมในเข็ดให้เป็นแบบไขว้ไป-มา ซึ่งจะสานกันเป็นเหมือนร่างแหทำ�ให้ง่าย ต่อการนำ�ไปสู่กระบวนการผลติ ผ้า ภาพท่ี 5.21 แสดงอุปกรณ์และ วิ ธี ก า ร เ ห ล่ ง ( ก า ร ก รอ)เส้นไหมแบบสาน (Diamond cross) จากอัก ภาพท่ี 5.22 แสดงขั้นตอนและ มาตรฐานวิธีการทำ� ไพและการมัดเง่ือนไจ ไหม
มาตรฐานหม่อนไหม 5.1.2.5 มาตรฐานคณุ ลักษณะเสน้ ไหมไทย เสน้ ไหมพนั ธไุ์ ทยพนื้ บา้ นทใี่ ชเ้ ปน็ วตั ถดุ บิ ในการผลติ ผา้ ไหมไทยภายใตก้ ารรบั รองตราสญั ลกั ษณ์ นกยงู พระราชทานสที อง (Royal peacock logo) นน้ั เสน้ ไหมทไี่ ดจ้ ากกระบวนการผลติ ในขอ้ 5.1 สามารถ จำ�แนกชน้ั คณุ ภาพมาตรฐาน(เกรด) ของเสน้ ไหมไทยพน้ื บา้ นทส่ี าวดว้ ยมอื เปน็ 3 ประเภท คอื เสน้ ไหมหนง่ึ หรือไหมนอ้ ย) เสน้ ไหมสองหรอื ไหมสาวเลย และเส้นไหมสามหรอื ไหมลืบ เสน้ ไหมแต่ไจควรมีเสน้ รอบวง ของไจไหมระหวา่ ง 135 -155 เซนตเิ มตร และการทำ�ไพ ควรทำ�ไพอย่างน้อย 6 จุด และแต่ละจุดมีการ รอ้ ยเส้นดา้ ยเพื่อแบง่ เสน้ ไหมออกจากกนั ไม่นอ้ ยกวา่ 5 ส่วน (สำ�นักงานมาตรฐานสนิ ค้าเกษตรและอาหาร แห่งชาติ, 2555) 5.2 มาตรฐานการใช้สีในการฟอกย้อมสไี หม ตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และข้อก�ำหนดการใช้เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย โดยกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2554 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับท่ี 1) พ.ศ. 2554 ไดก้ �ำหนดผลิตภัณฑผ์ ้าไหมไทยชนิดนกยงู สที อง(Royal Thai silk) เกี่ยวกับการใช้สใี นการฟอกย้อมสีไหม ควรใชว้ ัสดธุ รรมชาตหิ รอื สารเคมีท่ีไม่ทำ� ลายสง่ิ แวดลอ้ ม ซง่ึ ในการตรวจประเมินเพอื่ ขอรบั การรับรองจะใช้ เอกสารการบนั ทกึ ชนดิ และปรมิ าณของวสั ดทุ ใ่ี ชส้ ที ใ่ี ชท้ งั้ สเี คมแี ละการการใชว้ สั ดธุ รรมชาติ พรอ้ มเกบ็ เอกสาร และหลักฐานไว้เพ่ือการตรวจสอบส�ำหรับกรณีใช้สีเคมี ในการออกใบรับรองเพื่ออนุญาตให้ติดตรานกยูง พระราชทานสที อง น้นั ผ้ตู รวจประเมนิ จะทดสอบเฉพาะการตกสีของผ้าไหมตามวิธีการทดสอบ 2 วิธี คือ 76 วิธีการซัก และวิธีการใช้ส�ำลีชุดเช็ด รายละเอียดตามภาคผนวก เพ่ือประเมินการตกสี หากพบว่ามีการ ตกสขี องผ้าไหมตามเกณฑ์การพิจารณาตดั สนิ การตกสีตามคมู่ ือของกรมหมอ่ นไหม (กรมหมอ่ นไหม, 2554) ผ้าไหมชิ้นนั้นก็ไม่สามารถผ่านการรับรองการใช้ตรานกยูงพระราชทานสีทองได้ซึ่งสะท้อนถึงการไม่ได้ มาตรฐานของสที ี่ใช้ และวธิ กี ารในการฟอกย้อมสีไหมดว้ ย 5.3. มาตรฐานกระบวนการทอผา้ ไหม ตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และข้อกำ�หนดการใช้เคร่ืองหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย โดยกรมหมอ่ นไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2554 แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ (ฉบบั ท่ี 1) พ.ศ. 2554 ไดก้ ำ�หนด ผลติ ภณั ฑผ์ า้ ไหมไทยตรานกยงู พระราชทานสที อง(Royal Thai silk) จะตอ้ งใชก้ รรมวธิ กี ารทอดง้ั เดมิ กลา่ วคอื ทอโดยอุปกรณ์และวิธีการทอท่ีเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น เพ่ือการอนุรักษ์และคุ้มครองภูมิปัญญาด้ังเดิมไว้ใน คงอยู่ตอ่ ไป(กรมหมอ่ นไหม, 2554) เพอ่ื สบื สานพระปณธิ านของสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ องค์พระอุปถัมภ์ไหมไทยจนทำ�ให้ไหมไทยมีช่ือเสียงไปท่ัวโลก กรมหม่อนไหมจึงได้กำ�หนดรายละเอียด ข้อกำ�หนดและเกณฑ์ในการตรวจประเมิน ให้สอดคล้องกับข้อกำ�หนดตามข้อบังคับผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย ตรานกยูงพระราชทานสที อง(Royal Thai silk) ปี พ.ศ. 2554 ในประเดน็ ที่สำ�คัญในกระบวนการทอผ้า ไหมไทย 3 ประเดน็ ได้แก่ อุปกรณก์ ารทอผ้า(ก่)ี วธิ กี ารทอ และองคป์ ระกอบผลติ ภณั ฑ(์ กรมหมอ่ นไหม, 2554) ดงั นน้ั แนวทางและมาตรฐานการปฏบิ ตั สิ ำ�หรบั ขน้ั ตอนในการทอผา้ ไหมไทยภายใตข้ อ้ กำ�หนดและขอ้ บงั คบั ของผลิตภัณฑผ์ ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานสที อง(Royal Thai silk) สามารถดำ�เนินการไดด้ งั นี้
กรมหม่อนไหม 5.3.1. กี่ทอผ้า การทอผา้ ไหมภายใตข้ อ้ บงั คบั เครอื่ งหมายรบั รองผลติ ภณั ฑผ์ า้ ไหมไทย ตรานกยงู พระราชทานสที อง ตอ้ งใชก้ ที่ อผา้ ทเี่ ปน็ กที่ อมอื แบบพนื้ บา้ นพงุ่ กระสวย ด้วยมือ สำ�หรับการทอผ้าไหมทุกประเภท โดยกี่ทอผ้าควรทำ�ด้วยไม้เนื้อแข็ง มีสภาพที่สมบรูณ์แข็งแรง โดยเฉพาะขาก่ีทอผ้าควรวางบนพ้ืนท่ีเรียบและ ไม่มีความลาดเอียง เพ่ือทำ�ให้การกระทบฟืมในระหว่างการทอผ้าได้แน่นและ สม่ำ�เสมอทำ�ให้เน้ือเนื้อผา้ ไหมมีความสมำ่ �เสมอตลอดทั้งผืน ภาพท่ี 5.23 แสดงก่ีทอผ้าพื้นบ้าน สำ�หรับทอผ้าลายขัด 5.3.2. มาตรฐานวธิ กี ารทอ (ผา้ พน้ื )ตามมาตรฐาน ปัจจัยที่สำ�คัญในข้ันตอนการทอ สำ�หรับการผลิตผ้าไหมให้มีคุณภาพ นกยูงพระราชทานสี ซงึ่ ผทู้ อผา้ ไหมตอ้ งให้ความระมัดระวงั มีดงั น้ี (สนัน่ บุญลา, 2555) • ตรวจสอบเสน้ ไหมยืนใหข้ งึ บนก่ีใหต้ ึงอย่างสมำ่ �เสมอ • การทอผา้ ไหมเมอื่ เหยยี บเทา้ จนสดุ เสน้ ไหมยนื ชดุ ลา่ งควรแนบราง กระสวย • ตะกอต้องไม่เอียงดา้ นใดด้านหนึง่ ขณะทอผ้าไหม • การกระทบผ้าของฟมื ควรสม่ำ�เสมอ 5.3.3 มาตรฐานอน่ื ๆ การผลิตผ้าไหมไทยภายใต้มาตรฐานนกยูงพระราชทานสีทอง ท่ีใช้ เส้นไหมไทยพ้ืนบ้านท่ีถือเป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาขั้นสูงของการปลูกหม่อน 77 เลย้ี งไหมของไทย สำ�หรบั การผลติ ผา้ ไหมซง่ึ คณุ ลกั ษณข์ องผา้ ไหมทด่ี มี คี ณุ ภาพนน้ั ผา้ ไหมทไ่ี ดต้ อ้ งไมม่ รี อยสกปรกอยใู่ นสภาพสมบรณู เ์ รยี บรอ้ ยตลอดทงั้ ผนื ลวดลาย เดน่ ชดั เนอื้ ผา้ ไหมมคี วามสมำ่ �เสมอทงั้ ตามแนวเสน้ ไหมยนื และเสน้ ไหมพงุ่ และ ต้องไม่มีข้อบกพร่องท่ีเกิดจากกรรมวิธีผลิตให้เห็นอย่างชัดเจนหรือมีผลต่อการ ภาพที่ 5.24 แสดงก่ีทอผ้าพ้ืนบ้าน ใชง้ าน ไดแ้ ก่ สแี ละเนอื้ ผา้ ไมส่ ม่ำ�เสมอ ลายผดิ หรอื ลายไมต่ อ่ เนอื่ ง ผา้ มรี อยแยก พุ่ ง ก ร ะ ส ว ย ด้ ว ย มื อ ผา้ เปน็ รู รอยเส้นไหมพ่งุ ขาดหรือตึงหรือหย่อน ริมผ้าไหมไมเ่ รียบร้อย สำ�หรับทอผ้าสาเกต ตามมาตรฐานนกยูง พระราชทานสีทอง
มาตรฐานหมอ่ นไหม ภาคผนวก การตรวจสอบการตกสี รับค�ำ ขอ/กรอกเอกสาร/ยนื่ คำ�ขอ ไมผ่ ่าน ปรบั ปรุง ปรับปรุง ตรวจสอบเอกสาร ครบ ไมค่ รบ ตรวจประเมนิ สถานที่ผลิต ระบบการผลิต และคุณภาพผลติ ภัณฑ์ ทบทวนและพจิ ารณาใหก้ ารรบั รอง ไม่ผ่าน ปรบั ปรงุ ออกใบรบั รอง/ตดิ ดวงตรานกยงู 78 ตรวจตดิ ตาม แผนภมู ิที่ 1 แสดงกระบวนการรับรองคุณภาพผลิตภณั ฑ์ผ้าไหมไทย ก ารตรวจสอบการตกสี ในการตรวจสอบการตกสีผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย ตามข้อบังคับของกรมหม่อนไหมว่าด้วยการใช้ เคร่อื งหมายรับรองผลติ ภัณฑผ์ ้าไหมไทย พ.ศ. 2554 ทงั้ 4 ชนดิ ได้แก่ Royal Thai Silk , Classic Thai Silk , Thai Silk และ Thai Silk Blend มรี ายละเอียดดงั นี้ 1. วสั ดอุ ปุ กรณ์ : 1.1 น้ำ� ดื่มบริโภค 1.2 สบ่มู าตรฐาน (Standard soap) ISO 105:1989:Co1 to Co5 1.3 สำ� ลแี ผ่น (ไมม่ ีสารเรืองแสง) ขนาดไมน่ ้อยกว่า 56× เซนตเิ มตร หนา 0.5 เซนตเิ มตร 1.4 ภาชนะสำ� หรบั ใสผ่ า้ ซกั สขี าว ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 15-20 เซนตเิ มตร จำ� นวน 6 ใบตอ่ ชดุ 1.5 เคร่ืองชัง่ 0-100 กรัม ทม่ี คี วามละเอยี ด 0.01 กรมั 1.6 กระบอกตวงขนาด 300 มลิ ลิลิตร 1.7 กระบอกตวงขนาด 1,000-2,000 มลิ ลลิ ติ ร 1.8 กระบอกฉีด (Syringe) หรือ กระบอกตวง ขนาด 50-100 มิลลลิ ิตร 1.9 เทอรโ์ มมิเตอร์ (0-100 องศาเซลเซยี ส) 1.10 กรรไกรตัดผา้
กรมหม่อนไหม 1.11 แทง่ แกว้ หรอื แท่งพลาสตกิ 79 1.12 กระตกิ น�้ำร้อน 1.13 นาฬิกาจบั เวลา 1.14 เครือ่ งคิดเลข 2. วธิ ปี ฏิบตั ิงาน 2.1 การเตรียมสารละลายสบ่มู าตรฐาน 1) ชง่ั สบมู่ าตรฐาน (Standard soap) น้ำ� หนกั 2 กรัม 2) ละลายสบู่มาตรฐาน ในนำ้� อุน่ อณุ หภูมปิ ระมาณ 70-80 องศาเซลเซยี ส ปรมิ าตร 100 มิลลลิ ิตร ในกระบอกตวงขนาด 300 มิลลลิ ติ ร 3) ใช้แทง่ แก้วคนใหส้ บู่ละลาย 4) เทใสก่ ระบอกตวงขนาด 1,000-2,000 มิลลิลิตร แลว้ เติมน้ำ� ดม่ื บริโภคใหไ้ ดป้ ริมาตร ท้ังหมด 1,000 มลิ ลลิ ิตร ใชแ้ ทง่ แกว้ คนให้สบู่ละลายเขา้ กัน 2.2 การตรวจสอบการตกสีโดวิธีการซัก 1) ตดั ผา้ ไหมทจี่ ะทดสอบซกั ขนาด 35× เซนตเิ มตร หรอื เสน้ ไหมแตล่ ะสี นำ�้ หนกั ประมาณ 0.3-0.5 กรมั (ในกรณีที่ไมส่ ามารถตดั เนอื้ ผ้าได)้ จ�ำนวน 2 ชน้ิ ๆแรกส�ำหรับทดสอบการตกสี ส่วนอกี ชิ้น สำ� หรบั เยบ็ ตดิ ในแบบทดสอบการตกสี (แบบ กมม.03 – 2, 04 – 2, 05 – 2, 06 - 2) 2) ใช้กระบอกฉีด (Syringe) หรือกระบอกตวง ตวงน้�ำสบู่ท่ีละลายแล้วปริมาตร 50 มลิ ลลิ ิตร เทลงภาชนะสขี าวสำ� หรับใส่ผ้า/เสน้ ไหมซัก เตรียม 3 ชุด 3) ตวงนำ�้ เปล่าปริมาตร 50 มิลลิลติ ร สำ� หรับล้างผ้า/เสน้ ไหมทซ่ี ักแลว้ เตรียม 3 ชดุ 4) น�ำผา้ ไหม/เส้นไหม ที่จะทดสอบการตกสี ลงซกั ใชแ้ ท่งแกว้ หรือแทง่ พลาสตกิ กดผ้า/ เส้นไหมใหน้ ้ำ� ซมึ เขา้ จนท่ัว แล้วคนเบาๆ 5 นาที นำ� ผ้าขึน้ จากน�ำ้ สบู่ บีบน้ำ� ออกใหห้ มาดๆ ตรวจดสู aี zของ น�้ำสบู่ แลว้ บันทึกผลลงในแบบ กมม.03-2 หรือ กมม.04-2 หรอื กมม.05-2 หรือ กมม.06-2 และน�ำผา้ / เส้นไหมนัน้ ลา้ งน้�ำ 5) ท�ำซำ้� ตามข้อ 4 อีก 2 ครัง้ รวมการซกั และลา้ งท้ังหมด 3 คร้ัง 2.3 การตรวจสอบการตกสีโดยวิธีการใชส้ �ำลีชบุ เช็ด (ใช้เฉพาะกรณีที่ตดั ผนื ผา้ ไม่ได้ เช่น ผา้ พันคอ ผา้ คุมไหล่ ผา้ ผนื เฉพาะบางประเภท ทีไ่ มส่ ามารถ ตัดตัวอยา่ งได้) 1) น�ำสำ� ลีแผ่นชบุ สารละลายสบมู่ าตรฐานใหช้ มุ่ จำ� นวน 2 แผน่ 2) นำ� ไปวางประกบบนผา้ ไหมทตี่ อ้ งการทดสอบตกสี โดยทดสอบบรเิ วณจดุ ทหี่ า่ งจากปลาย ผ้าลกึ เข้าไปในผืนผา้ 2.5 ซม. (1นิ้ว) หรือจุดทคี่ าดวา่ สจี ะตกทุกสี เช่น จดุ แตม้ ของผ้ามดั หม่ี 3) กดและถสู �ำลีกับผืนผ้า ประมาณ 5 นาที กระท�ำเชน่ นีร้ วม 3 ครั้ง ทีจ่ ุดเดมิ โดย เปลี่ยนส�ำลีและชุบสารละลายสบู่มาตรบานใหม่ทุกคร้ัง สังเกตว่ามีน�้ำซึมลงในผืนผ้าผ่านไปถึงด้านล่าง ถา้ มกี ารตกสจี ะเหน็ สีติดมากับส�ำลที กุ ๆครง้ั บนั ทึกผลแบบทดสอบในแบบบันทกึ ผล กมม.03-2 หรอื กมม. 04-2 หรือ กมม.05-2 หรอื กมม.06-2 4) ถา้ เปน็ ผา้ มลี ายและมหี ลายสี ใหท้ ำ� การทดสอบใหค้ รอบคลุมครบทกุ สี 5) ติดรูปถ่ายผืนผ้าพร้อมแนบเส้นไหม/เส้นใยอื่นที่ทดสอบในแบบบันทึกผล กมม.03-2 หรอื กมม.04-2 หรือ กมม.05-2 หรอื กมม.06-2
มาตรฐานหมอ่ นไหม 3. แบบฟอร์ม 3.1 แบบบันทึกผล กมม.03-2 หรือ กมม.04-2 หรือ กมม.05-2 หรอื กมม.06-2 เกณฑก์ ารพจิ ารณาตัดสินการตกสี วธิ ีท่ี 1 โดยการซัก กรณีท ่ี ครง้ั ที่ 1 ครง้ั ท่ี 2 ครงั้ ท่ี 3 ผลการพจิ ารณา 1 ไม่ตก จาง จาง ไม่ผ่าน 2 ไมต่ ก จาง ตกเข้ม ไม่ผา่ น 3 จาง จาง ไมต่ ก ไมผ่ ่าน 4 ตกเขม้ จาง ไม่ตก ไม่ผ่าน 5* จาง ไมต่ ก ไมต่ ก ผา่ น 6 ไมต่ ก ไม่ตก ไมต่ ก ผา่ น หมายเหตุ *ให้ผา่ น ถ้าเป็นการย้อมด้วยสีธรรมชาติ กรณยี ้อมสีเคมี ถอื ว่าไม่ผา่ น วธิ ีที่ 2 โดยการใช้สำ�ลชี บุ เชด็ 80 กรณที ี่ คร้ังที่ 1 ครงั้ ที่ 2 ครั้งที่ 3 ผลการพิจารณา 1 ตกเขม้ ตกเขม้ ตกเขม้ ไม่ผา่ น 2 ตกเข้ม ตกเข้ม จาง ไมผ่ ่าน 3 ตกเขม้ จาง จาง ไมผ่ า่ น 4 ตกเข้ม จาง ไมต่ ก ไม่ผ่าน 5 จาง จาง ไม่ตก ไมผ่ า่ น 6* จาง ไม่ตก ไมต่ ก ผ่าน 7 ไม่ตก ไม่ตก ไม่ตก ผา่ น หมายเหตุ *ใหผ้ า่ น ถ้าเป็นการยอ้ มดว้ ยสีธรรมชาติ กรณียอ้ มสเี คมี ถอื วา่ ไม่ผ่าน ข้อมูลวิธกี ารทดสอบจากคณะผทู้ รงคุณวฒุ ิ ณ 20 ต.ค. 2550
Search