Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กรณีศึกษาแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ

กรณีศึกษาแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ

Description: กรณีศึกษาแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ

Search

Read the Text Version

การวเิคราะหความหลากหลายทางชวีภาพของปาไมและสัตวปา เพือ่การจัดทำแนวเช่ือมตอระบบนิเวศในพื้นท่ีคมุครอง :กรณีศกึษาแนวเชอื่มตอระบบนเิวศระหวางอุทยานแหงชาตเิขาคิชฌกูฏ และเขตรกัษาพันธุสตัวปาเขาสอยดาวจงัหวัดจนัทบรุี ทรงธรรมสขุสวาง ธรรมนญูเตม็ไชย สำนักอทุยานแหงชาติ กรมอุทยานแหงชาติสตัวปาและพนัธุพืช

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไม้และสตั วป์ ่าเพือ่ การจัดทา แนวเชอ่ื มต่อระบบนเิ วศในพื้นทีค่ ้มุ ครอง : กรณศี กึ ษาแนวเชื่อมต่อระบบนเิ วศ ระหวา่ งอุทยานแห่งชาตเิ ขาคชิ ฌกฏู และเขตรกั ษาพันธุ์สัตวป์ ่าเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี บทคดั ย่อ การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์สังคมพืช ระบบนิเวศ ความหลากชนิด สถานภาพ การกระจาย และถิ่นท่ีอาศัยของสัตว์ป่า เพื่อนาข้อมูลไปใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่กลุ่มป่า ตะวันออกและประยุกต์ใช้กับพ้ืนท่ีคุ้มครองอื่นๆ พ้ืนท่ีศึกษาเป็นพ้ืนท่ีที่ยังไม่ได้ประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์ ตามกฎหมาย ตัง้ อย่รู ะหวา่ งตอนบนของอุทยานแหง่ ชาติเขาคิชฌกฏู และตอนล่างของเขตรักษาพนั ธ์ุสัตว์ป่า เขาสอยดาว ท้องท่ีจังหวัดจันทบุรี การศึกษาด้านทรัพยากรป่าไม้ดาเนินการศึกษาลักษณะนิเวศวิทยาใน 2 สังคมพืชเด่น คือ ป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้ง การศึกษาด้านทรัพยากรสัตว์ป่าได้กาหนดแนวสารวจ จานวน 7 เส้น ๆ ละ 5 กิโลเมตร ตามแนวทิศเหนือ – ใต้ ระยะห่างระหว่างเส้นสารวจ 1.5 กิโลเมตร กึ่งกลางของแต่ละเส้นจะอยู่บริเวณพื้นที่ป่าท่ีเป็นแนวเชื่อมต่อ ระยะเวลาสารวจและวิเคราะห์ ระหวา่ งปี 2557 - 2560 ผลการศึกษาด้านทรัพยากรป่าไม้ พบว่าป่าดิบชื้นฝ่ังตะวันตกมีการปกคลุมเรือนยอดไม้ ร้อยละ 94.03 ของพื้นท่ี ความหนาแน่นของต้นไม้รวม 1,250 ต้นต่อเฮกตาร์ ปริมาตรไม้รวม 249.966 ลูกบาศก์เมตรต่อเฮกตาร์ พื้นที่หน้าตัดของหมู่ไม้รวม 32.219 ตารางเมตรต่อเฮกตาร์ ป่าดิบชื้นฝั่งตะวันออกมีการปกคลุมของเรือนยอดไม้ ร้อยละ 92.50 ของพื้นท่ี ความหนาแน่นของ ต้นไม้รวม 1,756 ต้นตอ่ เฮกตาร์ ปริมาตรไม้รวม 328.864 ลูกบาศก์เมตรต่อเฮกตาร์ พน้ื ทีห่ น้าตดั ของ หมู่ไม้รวม 41.202 ตารางเมตรต่อเฮกตาร์ ส่วนป่าดิบแล้งมีการปกคลุมของเรือนยอดไม้ ร้อยละ 99.46 ของพ้ืนท่ี ความหนาแน่นของต้นไม้รวม 1,211 ต้นต่อเฮกตาร์ ปริมาตรไม้รวม 328.981 ลูกบาศก์เมตรต่อเฮกตาร์ พื้นท่ีหน้าตัดของหมู่ไม้รวม 39.604 ตารางเมตรต่อเฮกตาร์ ดัชนีความ หลากหลายของพันธุ์ไม้ พบว่า ค่า Shannon - Wiener Index ของไม้ยืนต้นในป่าดิบชื้น ฝั่งตะวันตก ป่าดิบชื้นฝั่งตะวันออก และป่าดิบแล้ง เท่ากับ 3.089 3.882 3.703 ตามลาดับ และค่า Simpson’ diversity index ของไมย้ ืนตน้ ในป่าดบิ ช้ืนฝั่งตะวันตก ปา่ ดบิ ชื้นฝง่ั ตะวันออก และป่าดบิ แล้ง เท่ากับ 0.933 0.973 0.972 ตามลาดับ ส่วนพืชหายาก พืชเฉพาะถ่ินและพืชท่ีถูกคุกคามพบ 16 ชนดิ 10 วงศ์ ด้านทรัพยากรสัตว์ป่า พบสัตว์ป่าทั้งหมด 55 วงศ์ 136 ชนิด โดยพบสัตว์เล้ียงลูกด้วยนม ขนาดใหญ่ท่ีมีบทบาทสาคัญในระบบนิเวศ จานวน 10 ชนิด กระจายหากินในบริเวณแนวเชื่อมต่อ ระบบนิเวศคาบเกี่ยวไปถึงพื้นที่อนุรักษ์ทั้งสอง รวมทั้งบริเวณดังกล่าวมีค่าความคล้ายคลึงของ สัตว์เล้ียงลูกด้วยนมมากกว่าร้อยละ 50 บ่งบอกถึงการที่มีชนิดสัตว์ป่าคล้ายกันในบริเวณท้ังสาม สตั ว์ป่ามีการเคล่อื นย้ายผ่านไปมา เพิม่ โอกาสในการหากนิ และผสมพนั ธุ์

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า พื้นท่ีบริเวณนี้มีความสมบูรณ์ทางระบบนิเวศสูง มีความเหมาะสมใน การเป็นถิ่นที่อาศัยของสัตว์ป่า แต่ยังมีปัญหาในด้านการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ จึงเห็นควร ดาเนนิ การผนวกพน้ื ที่รวมกบั อทุ ยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกฏู ต่อไป คาสาคัญ: แนวเชื่อมต่อระบบนิเวศ อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว ความหลากหลายทางชวี ภาพ

Analysis of Forest and Wildlife Diversity for Ecological Corridor Management between Kitchakut National Park and Khao Soidao Wildlife Sanctuary, Chantaburi Province Abstract The objectives of this study was to find out the plant community, ecosystem, diversity of species, status, distribution and wildlife habitat, in order to use the basic data for managing the eastern forest complex and apply to other protected areas, the study area is not legally protected area between Kitchakut National Park and Khao Soidao Wildlife Sanctuary, Chantaburi Province, especially forest ecosystem in moist evergreen forest and dry evergreen forest. Wildlife survey by using, 5 strips census which 5 Kilometers long and 1.5 Kilometers between each line. The study area is the north of Kitchakut National Park and the south of Khao Soidao Wildlife Sanctuary outside these protected areas, during 2014 – 2018. The results found that the plant community, the west moist evergreen forest, canopy cover is 94.03% of the area, tree density is 1,250 per hectares, tree volume is 249.966 m³/hectare, basal area of trees is 32.219 m²/hectare. The east moist evergreen forest, canopy cover is 92.50% of the area, tree density 1,755 per hectare, tree volume is 328.864 m²/hectare, basal areas of the trees is 41.202 per hectare. Dry evergreen forest, canopy cover is 99.46%, tree density is 1,211 per hectare, tree volume is 328.281 m3/hectare and basal area is 39.604 m²/hectare. The index of diversity by Shannon – Wiener Index of west moist evergreen forest, east evergreen forest and dry evergreen forest is 3.089, 3.822 and 3.703, consequently. Simpson diversity index of west moist evergreen forest, east moist evergreen forest and dry evergreen forest is 0.933, 0.973 and 0.972, consequently. The endemic and endangered species are 16 species in 10 families. Wildlife resources found 55 families 136 species, especially 10 species of large mammals which are important role in forest ecosystem. They distribute in ecological corridor and

2 protected areas. There had similarity index more than 50% in 3 areas, indicated that there had same species. From this study, indicated that the area is high value of ecosystem and suitable for wildlife habitat, but the area is lack of protection, it should be added to Kitchakut National Park. Keywords : ecological corridor, Kitchakut National Park, Khao Soidao Wildlife Sanctuary, biodiversity

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไมแ้ ละสตั ว์ปา่ เพอ่ื การจัดทาแนวเชื่อมตอ่ ระบบนเิ วศในพ้นื ทคี่ ุ้มครอง (1) : กรณีศึกษาแนวเชอ่ื มต่อระบบนเิ วศระหว่างอทุ ยานแหง่ ชาติเขาคชิ ฌกฏู และเขตรกั ษาพันธส์ุ ัตวป์ ่าเขาสอยดาว สารบาญ หน้า (1) สารบาญ (3) สารบาญตาราง (5) สารบาญภาพ (9) สารบาญภาคผนวก 1 คานา 3 วัตถุประสงค์ 4 การตรวจเอกสาร 21 อุปกรณ์และวิธกี าร ผลและวิจารณ์ 33 ดา้ นทรัพยากรป่าไม้ 35 37 1. การปกคลุมสงั คมพชื 2. การศึกษาโครงสรา้ งของสงั คมพืช 37 3. การวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งป่า 40 43 3.1. ปา่ ดิบชนื้ บริเวณฝั่งตะวันตก 46 - โครงสร้างป่า 48 - การกระจายของต้นไม้ - การปกคลมุ ของเรือนยอดไม้ 51 - ความหนาแน่น ปรมิ าตรไม้ และพ้ืนท่หี นา้ ตดั 54 - ดชั นีความสาคญั ของพนั ธ์ุไม้ 57 60 3.2. ป่าดบิ ช้นื บริเวณฝั่งตะวนั ออก - โครงสรา้ งปา่ - การกระจายของต้นไม้ - การปกคลมุ ของเรือนยอดไม้ - ความหนาแนน่ ปรมิ าตรไม้ และพื้นที่หนา้ ตดั สานกั อทุ ยานแห่งชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตว์ป่าเพอื่ การจดั ทาแนวเช่อื มตอ่ ระบบนิเวศในพื้นที่คุ้มครอง (2) : กรณีศกึ ษาแนวเช่ือมต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอทุ ยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกฏู และเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั ว์ป่าเขาสอยดาว สารบาญ (ตอ่ ) หน้า 63 - ดัชนีความสาคญั ของพนั ธ์ุไม้ 3.3. ปา่ ดิบแลง้ 67 69 - โครงสร้างปา่ 72 - การกระจายของต้นไม้ 75 - การปกคลุมของเรือนยอดไม้ 78 - ความหนาแน่น ปรมิ าตรไม้ และพื้นที่หนา้ ตัด 81 - ดชั นีความสาคญั ของพนั ธ์ุไม้ 82 4. คา่ ความหลากชนดิ ของพนั ธุไ์ ม้ 5. ชนิดพนั ธุพ์ ืชหายาก พืชเฉพาะถน่ิ พชื ที่ถกู คุกคาม พันธ์ไุ มห้ วงห้าม ตาม 87 พระราชกฤษฎีกากาหนดไมห้ วงห้าม พ.ศ. 2530 102 103 ดา้ นทรพั ยากรสตั ว์ปา่ 106 1. ความหลากชนิดของสตั วป์ า่ 2. ความชุกชมุ ของสัตว์เล้ยี งลกู ดว้ ยนม 107 3. การกระจายของสตั วป์ า่ 110 4. ความคล้ายคลึงของสตั วเ์ ลย้ี งลูกด้วยนมในบรเิ วณแนวเช่อื มต่อระบบนเิ วศ 114 กบั พน้ื ที่อนุรกั ษ์ 119 5. การประเมนิ สถานภาพการกระจายของสตั ว์ป่า สรุปและข้อเสนอแนะ เอกสารและส่งิ อา้ งอิง ภาคผนวก สานักอุทยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตวป์ ่าเพอื่ การจัดทาแนวเชื่อมตอ่ ระบบนิเวศในพื้นทค่ี มุ้ ครอง (3) : กรณศี กึ ษาแนวเชอ่ื มตอ่ ระบบนเิ วศระหว่างอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาคชิ ฌกฏู และเขตรกั ษาพันธส์ุ ตั วป์ า่ เขาสอยดาว สารบาญตาราง หน้า 43 ตารางท่ี 47 1 การปกคลุมของเรอื นยอดไม้ในแตล่ ะวงศ์ในแปลงตัวอยา่ งป่าดิบช้ืน 49 ฝงั่ ตะวันตก บริเวณแนวเชอ่ื มต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแห่งชาติ เขาคชิ ฌกฏู และเขตรักษาพันธส์ุ ตั ว์ป่าเขาสอยดาว 57 61 2 ความหนาแน่น (density) ปรมิ าตรไม้ (volume) และพื้นท่ีหนา้ ตัดของ 64 หมไู่ ม้ (basal area) ในแปลงตวั อยา่ งป่าดิบชืน้ ฝง่ั ตะวนั ตกบริเวณแนว 72 เชอ่ื มต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแห่งชาตเิ ขาคชิ ฌกฏู และเขตรักษา 76 พนั ธสุ์ ัตว์ปา่ เขาสอยดาว 79 3 ขอ้ มลู พรรณไม้ ความหนาแน่น (D) ความถ่ี (F) พื้นทีห่ นา้ ตัด (BA) คา่ ความสมั พนั ธ์และคา่ ดัชนคี วามสาคัญ (IVI) ของไม้ยืนต้นในแปลงตัวอย่าง ปา่ ดบิ ช้ืนฝั่งตะวันตก บรเิ วณแนวเชอ่ื มต่อระบบนิเวศระหว่างอุทยาน แหง่ ชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพันธุ์สัตวป์ า่ เขาสอยดาว 4 การปกคลุมของเรือนยอดไมใ้ นแตล่ ะวงศใ์ นแปลงตวั อยา่ งป่าดบิ ชืน้ ฝงั่ ตะวนั ออก บรเิ วณหน่วยพิทักษ์ป่าคลองทงุ่ เพล 5 ความหนาแน่น (density) ปริมาตรไม้ (volume) และพื้นที่หนา้ ตดั ของ หมูไ่ ม้ (basal area) ในแปลงตัวอย่างป่าดิบชืน้ บริเวณฝัง่ ตะวันออก บริเวณหน่วยพทิ กั ษป์ า่ คลองทงุ่ เพล 6 ข้อมูลพรรณไม้ ความหนาแน่น (D) ความถ่ี (F) พ้นื ทห่ี นา้ ตัด (BA) คา่ ความสมั พันธ์และค่าดัชนคี วามสาคัญ (IVI) ของไมย้ ืนต้นในแปลงตัวอยา่ ง ปา่ ดบิ ช้ืนฝง่ั ตะวันออก บริเวณหนว่ ยพิทักษป์ า่ คลองทุ่งเพล 7 การปกคลุมของเรือนยอดไมใ้ นแตล่ ะวงศใ์ นแปลงตัวอยา่ งป่าดิบแล้ง บริเวณอุทยานแห่งชาตเิ ขาคิชฌกฏู 8 ความหนาแน่น (density) ปริมาตรไม้ (volume) และพ้ืนท่ีหนา้ ตดั ของ หมู่ไม้ (basal area) ในแปลงตวั อย่างปา่ ดิบแลง้ บริเวณอุทยานแห่งชาติ เขาคชิ ฌกูฏ 9 ขอ้ มูลพรรณไม้ ความหนาแน่น (D) ความถ่ี (F) พน้ื ทีห่ น้าตัด (BA) คา่ ความสัมพันธ์ และค่าดัชนคี วามสาคญั (IVI) ของไมย้ ืนต้นใน แปลงตัวอย่างปา่ ดิบแลง้ บริเวณอทุ ยานแห่งชาตเิ ขาคชิ ฌกูฏ สานกั อุทยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไม้และสตั ว์ป่าเพอื่ การจัดทาแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศในพน้ื ทคี่ ้มุ ครอง (4) : กรณศี ึกษาแนวเชื่อมต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาคชิ ฌกูฏและเขตรักษาพนั ธุ์สตั ว์ปา่ เขาสอยดาว สารบาญตาราง (ตอ่ ) หน้า 81 ตารางท่ี 81 83 10 ค่าความหลากชนดิ ของไม้ยนื ตน้ ไม้หนุ่ม และกล้าไม้ แสดงโดยค่าดัชนี 88 แชนนอนวเี นอร์ Shannon -Wiener Index 90 11 คา่ ความหลากชนิดของไมย้ ืนตน้ ไมห้ นมุ่ และกลา้ ไม้ แสดงโดยคา่ ดชั นี 94 ซมิ ปส์ นั Simpson’ diversity index 100 12 ชนิดพันธุ์ไม้หายากที่พบในแปลงตวั อยา่ ง 101 13 รายช่อื และสถานภาพของสัตวเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนมทส่ี ารวจพบบริเวณแนว 107 เชือ่ มตอ่ ระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแหง่ ชาตเิ ขาคชิ ฌกฏู และเขตรักษา พันธ์สุ ัตว์ปา่ เขาสอยดาว 14 คา่ ดัชนคี วามหลากหลายของสตั ว์เลี้ยงลูกดว้ ยนมตามสมการของ แชนนอนวเี นอร์ (Shannon-Weiner Diversity Index) 15 รายชอื่ และสถานภาพของนกที่สารวจพบบรเิ วณแนวเช่ือมต่อระบบนเิ วศ ระหว่างอทุ ยานแห่งชาติเขาคิชฌกฏู และเขตรักษาพันธุ์สตั ว์ป่าเขาสอยดาว 16 รายช่อื และสถานภาพของสตั ว์สะเทนิ นา้ สะเทินบกทีส่ ารวจพบบรเิ วณ แนวเชื่อมต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแหง่ ชาตเิ ขาคิชฌกูฏและเขต รักษาพนั ธ์ุสัตวป์ ่าเขาสอยดาว 17 รายชือ่ และสถานภาพของสัตว์เลื้อยคลานท่ีสารวจพบบริเวณแนว เชอ่ื มตอ่ ระบบนิเวศอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพันธุ์ สัตว์ปา่ เขาสอยดาว 18 ความคล้ายคลงึ ของสตั ว์เลยี้ งลูกด้วยนมในบรเิ วณแนวเช่อื มต่อระบบ นเิ วศกบั พื้นทอ่ี นุรักษ์ สานกั อุทยานแห่งชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตว์ป่าเพอ่ื การจดั ทาแนวเชอ่ื มตอ่ ระบบนเิ วศในพนื้ ที่คุม้ ครอง (5) : กรณศี กึ ษาแนวเชอื่ มต่อระบบนเิ วศระหว่างอทุ ยานแหง่ ชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพันธ์สุ ัตว์ปา่ เขาสอยดาว สารบาญภาพ หน้า 5 ภาพที่ 6 11 1 แนวเช่ือมต่อระบบนเิ วศในรปู แบบตา่ ง ๆ 12 12 2 การเกิดการแตกกระจายของหย่อมปา่ 14 26 3 การเชือ่ มต่อถ่นิ ทอ่ี าศยั แบบโมเสค (habitat mosaics or landscape 30 corridor) 31 34 4 การเชอื่ มต่อถน่ิ ที่อาศยั แบบอาศยั ระบบนิเวศเดมิ (habitat corridor) 36 5 การเชือ่ มต่อถ่ินที่อาศยั โดยใช้หย่อมป่าท่ีกระจายอยูใ่ นแนวเชื่อมตอ่ 39 (stepping stones) 40 6 ความกว้างของแนวเชือ่ มต่อระหว่างผืนป่าทีเ่ หมาะสมสาหรับสัตว์ ประเภทต่าง ๆ 7 แนวสารวจสตั วป์ ่าบรเิ วณแนวเชอื่ มตอ่ ระบบนิเวศระหวา่ งอุทยาน แห่งชาติเขาคชิ ฌกูฏและเขตรักษาพนั ธสุ์ ตั วป์ ่าเขาสอยดาว 8 ทีต่ ง้ั ของอทุ ยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพนั ธส์ุ ตั ว์ป่าเขาสอยดาว 9 พน้ื ท่แี นวเชอื่ มตอ่ ระบบนเิ วศระหว่างอุทยานแหง่ ชาติเขาคิชฌกูฏและ เขตรักษาพันธสุ์ ตั ว์ปา่ เขาสอยดาว 10 แผนทีส่ งั คมพืชและการใชป้ ระโยชน์ท่ดี ินบริเวณแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศ ระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกฏู และเขตรักษาพนั ธุส์ ัตว์ป่าเขาสอยดาว 11 สภาพป่าแปลงตัวอยา่ งปา่ ดิบชืน้ ฝง่ั ตะวนั ตก บริเวณแนวเชอื่ มต่อระบบ นิเวศระหวา่ งอุทยานแหง่ ชาติเขาคิชฌกฏู และเขตรักษาพนั ธส์ุ ัตว์ป่า เขาสอยดาว 12 ภาพวาด profile diagram ของป่าดิบชน้ื ฝงั่ ตะวนั ตก บริเวณแนวเช่ือมต่อ ระบบนเิ วศระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพันธส์ุ ตั วป์ ่า เขาสอยดาว 13 การวางแปลงตวั อยา่ งป่าดบิ ชื้นฝงั่ ตะวันตก บรเิ วณแนวเชอ่ื มตอ่ ระบบ นเิ วศระหว่างอุทยานแหง่ ชาติเขาคชิ ฌกูฏและเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า เขาสอยดาว สานักอทุ ยานแห่งชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไมแ้ ละสัตว์ป่าเพอื่ การจดั ทาแนวเชอ่ื มตอ่ ระบบนเิ วศในพนื้ ท่ีคมุ้ ครอง (6) : กรณีศึกษาแนวเชือ่ มต่อระบบนิเวศระหวา่ งอุทยานแหง่ ชาตเิ ขาคชิ ฌกูฏและเขตรักษาพันธส์ุ ตั วป์ า่ เขาสอยดาว สารบาญภาพ (ตอ่ ) ภาพที่ หนา้ 14 เส้นชั้นความสงู ในแปลงตัวอย่างป่าดิบชื้นฝง่ั ตะวันตก บริเวณแนวเช่ือมต่อ 41 ระบบนเิ วศระหว่างอทุ ยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกฏู และเขตรักษาพันธุ์สตั ว์ปา่ เขาสอยดาว 15 แบบจาลอง 3 มิติ ปา่ ดิบช้นื บรเิ วณฝั่งตะวนั ตก บริเวณแนวเชื่อมตอ่ ระบบ 41 นเิ วศระหวา่ งอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพนั ธ์ุสัตว์ปา่ เขาสอยดาว 16 การกระจายของต้นไมใ้ นแปลงตวั อยา่ งปา่ ดิบชื้นฝง่ั ตะวนั ตก และการ 42 กระจายของตน้ ไม้ในแปลงตัวอยา่ งตามชั้นขนาดเสน้ ผ่าศูนย์กลางระดบั อก 17 การปกคลุมเรอื นยอดไมใ้ นแปลงตัวอยา่ งป่าดบิ ชน้ื ฝ่งั ตะวนั ตก บรเิ วณ 44 แนวเชื่อมต่อระบบนเิ วศระหว่างอทุ ยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรักษา พันธ์ุสัตวป์ ่าเขาสอยดาว 18 แผนภาพการปกคลมุ เรือนยอดของพรรณไมบ้ างวงศ์ในแปลงตัวอย่าง 45 ปา่ ดบิ ช้นื ฝั่งตะวันตก บรเิ วณแนวเช่อื มตอ่ ระบบนิเวศระหวา่ งอุทยาน แหง่ ชาตเิ ขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพนั ธสุ์ ัตว์ป่าเขาสอยดาว 19 ภาพวาด profile diagram ของป่าดิบชน้ื ฝ่ังตะวันออก บริเวณหน่วย 53 พทิ ักษป์ า่ คลองทุ่งเพล 20 การวางแปลงตัวอย่างป่าดบิ ชื้นฝง่ั ตะวันออก บรเิ วณหนว่ ยพิทกั ษ์ป่า 54 คลองทุ่งเพล 21 เสน้ ชั้นความสูงและการกระจายของต้นไม้ในแปลงตวั อย่างป่าดบิ ชื้น 55 ฝั่งตะวันออก บรเิ วณหน่วยพิทกั ษ์ปา่ คลองทงุ่ เพล 22 แบบจาลอง 3 มิติ ของป่าดบิ ช้ืนบรเิ วณฝ่ังตะวันออก บรเิ วณหน่วยพิทกั ษ์ปา่ 56 คลองทุ่งเพล 23 การกระจายของต้นไม้ในแปลงตัวอย่างป่าดิบชนื้ ฝัง่ ตะวนั ออกตามช้ัน 56 ขนาดเสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางระดบั อก 24 การปกคลุมเรือนยอดไม้ในแปลงตัวอยา่ งปา่ ดบิ ชื้นฝง่ั ตะวันออก บรเิ วณ 58 หนว่ ยพิทักษ์ป่าคลองทุ่งเพล สานักอุทยานแห่งชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตว์ป่าเพอื่ การจัดทาแนวเชอ่ื มตอ่ ระบบนเิ วศในพืน้ ท่คี ุม้ ครอง (7) : กรณศี ึกษาแนวเชือ่ มต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกูฏและเขตรักษาพนั ธสุ์ ัตว์ป่าเขาสอยดาว หน้า สารบาญภาพ (ตอ่ ) 59 68 ภาพท่ี 69 70 25 แผนภาพการปกคลมุ ของเรือนยอดของพรรณไม้บางวงศ์ในแปลงตวั อย่าง 70 ป่าดิบชืน้ ฝั่งตะวนั ออก บรเิ วณหน่วยพทิ ักษ์ปา่ คลองทุ่งเพล 71 73 26 ภาพวาด profile diagram ของป่าดบิ แล้ง บรเิ วณอุทยานแหง่ ชาติ 74 เขาคชิ ฌกูฏ 85 91 27 การวางแปลงตัวอย่างปา่ ดบิ แลง้ บริเวณอุทยานแห่งชาตเิ ขาคิชฌกูฏ 92 92 28 เส้นช้ันความสูงในแปลงตัวอย่างปา่ ดิบแลง้ บริเวณอุทยานแห่งชาติ เขาคชิ ฌกฏู 29 แบบจาลอง 3 มติ ิ ป่าดบิ แล้ง บรเิ วณอทุ ยานแหง่ ชาติเขาคิชฌกฏู 30 การกระจายของตน้ ไม้ในแปลงตัวอย่างปา่ ดบิ แล้ง และการกระจายของ ต้นไมใ้ นแปลงตัวอย่างตามชน้ั ขนาดเสน้ ผา่ ศูนย์กลางระดับอก 31 การปกคลุมของเรือนยอดไม้ในแปลงตัวอยา่ งป่าดิบแลง้ บริเวณอทุ ยาน แห่งชาตเิ ขาคชิ ฌกฏู 32 แผนภาพการปกคลุมของเรือนยอดของพรรณไมบ้ างวงศ์ในแปลงตัวอยา่ ง ปา่ ดิบแล้ง บริเวณอุทยานแห่งชาตเิ ขาคชิ ฌกูฏ 33 ตวั อย่างพรรณไม้ที่พบในพื้นที่ปา่ ดบิ ชน้ื ในแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศระหว่าง อุทยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกฏู และเขตรักษาพนั ธุส์ ตั วป์ า่ เขาสอยดาว 34 รอ่ งรอยของสัตว์ปา่ บางชนิดท่ีพบในพน้ื ท่ีศึกษา 35 แผนภาพคา่ ดชั นคี วามหลากหลายของสตั วเ์ ลีย้ งลูกดว้ ยนมในพ้ืนท่ศี ึกษา แสดงโดยคา่ ของแชนนอนวเี นอร์ Shannon - Weiner Index 36 ร่องรอยจากภัยคุกคามทเ่ี กิดจากกิจกรรมของมนุษย์ สานกั อุทยานแหง่ ชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของป่าไมแ้ ละสตั ว์ปา่ เพอื่ การจัดทาแนวเช่ือมต่อระบบนเิ วศในพน้ื ทีค่ ุม้ ครอง (8) : กรณศี กึ ษาแนวเชือ่ มต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรกั ษาพันธ์ุสัตว์ป่าเขาสอยดาว สารบาญภาพ (ตอ่ ) หน้า 103 ภาพที่ 104 108 37 ความชุกชุมของสตั วเ์ ลยี้ งลูกดว้ ยนมท่ีสารวจพบบรเิ วณแนวเชอ่ื มตอ่ ระบบนเิ วศ 109 ระหวา่ งอุทยานแหง่ ชาติเขาคชิ ฌกฏู และเขตรักษาพันธ์สุ ตั ว์ปา่ เขาสอยดาว 38 การกระจายของสัตว์เลยี้ งลูกดว้ ยนมขนาดใหญ่ในพนื้ ที่แนวเชอ่ื มต่อระบบ นิเวศ 39 ภาพรวมสถานภาพการกระจายของสตั ว์เลี้ยงลกู ด้วยนมในพนื้ ทแ่ี นว เชอ่ื มต่อระบบนเิ วศ วเิ คราะห์ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ 40 สถานภาพการกระจายของสัตว์เลีย้ งลูกดว้ ยนมในพ้ืนที่แนวเชือ่ มตอ่ ระบบ นิเวศ วิเคราะหด์ ว้ ยระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร์ สานักอทุ ยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไมแ้ ละสตั วป์ ่าเพอ่ื การจัดทาแนวเชือ่ มตอ่ ระบบนเิ วศในพื้นทค่ี ้มุ ครอง (9) : กรณีศกึ ษาแนวเชอ่ื มตอ่ ระบบนิเวศระหวา่ งอทุ ยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรกั ษาพนั ธุส์ ัตวป์ า่ เขาสอยดาว หนา้ สารบาญตารางผนวก 120 133 ตาราง พรรณไม้ในปา่ ดบิ ชื้นฝั่งตะวันตก 152 ผนวกท่ี พรรณไม้ในป่าดบิ ชน้ื ฝัง่ ตะวนั ออก พรรณไมใ้ นปา่ ดบิ แลง้ 1 2 3 สานักอทุ ยานแห่งชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตว์ป่าเพอื่ การจดั ทาแนวเชอื่ มต่อระบบนเิ วศในพน้ื ท่ีคมุ้ ครอง 1 : กรณีศกึ ษาแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศระหว่างอุทยานแหง่ ชาตเิ ขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพนั ธ์ุสัตวป์ ่าเขาสอยดาว คำนำ แนวความคิดเร่ือง “แนวเชื่อมต่อระบบนิเวศ” เป็นแนวทางหน่ึงท่ีจะช่วยให้ระบบนิเวศของ พ้ืนที่คุ้มครองท่ีกระจัดกระจายอยู่ตามกลุ่มป่าท่ัวประเทศกลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์และคงไว้ซ่ึงนิเวศ บริการ (ecosystem service) ที่ดี เพราะเป็นกลไกสาคัญในการเพ่ิมพ้ืนที่ป่าไม้และพ้ืนที่สีเขียวให้กลับสู่ ความสมดุล เม่ือพื้นที่คุ้มครองมีความหลากหลายทางชีวภาพท่ีสมบูรณ์และมั่นคง (integrity) จะส่งผลดี ต่อการดารงชีวิตของประชาชนรอบผืนป่า และความม่ันคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของ ประเทศ ท้ังนี้ พ้ืนท่ีคุ้มครองขนาดใหญ่สามารถอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพได้มีประสิทธิภาพ กว่าพื้นที่คุ้มครองขนาดเล็ก เพราะพ้ืนท่ีคุ้มครองขนาดใหญ่มีแนวโน้มในการรองรับจานวนชนิดและ ปริมาณของสัตว์ป่าได้มากข้ึน รวมทั้งส่ิงมีชีวิตขนาดเล็กจะไม่สามารถอยู่รอดได้ถ้าอาศัยอยู่ในพ้ืนที่ คมุ้ ครองขนาดเล็กและพืน้ ทนี่ น้ั แยกตัวอยา่ งโดดเด่ยี ว ปัจจุบันพื้นที่คุ้มครองของประเทศไทยต้ังอยู่กระจัดกระจายทั่วประเทศ หลายแห่งแยกพื้นที่ อย่างโดดเด่ียวไม่ต่อเนื่องกับป่าผืนใหญ่ การอนุรักษ์พ้ืนที่คุ้มครองเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพและสามารถ รองรับความหลากหลายทางชีวภาพได้มากข้ึน จาเป็นต้องมีการจัดการพื้นที่คุ้มครองในเชิงระบบนิเวศ ของพ้นื ท่ีขนาดใหญ่ ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตภูมิศาสตรท์ ่ีมีความสาคัญเชิงภูมิศาสตรต์ ่อสัตว์ป่าและพืชพรรณ ส่งผล ให้เกิดความหลากหลายของถ่ินที่อาศัยของส่ิงมีชีวิตหลากหลายรูปแบบ แต่จากสถานการณ์ด้านป่าไม้ ของประเทศไทยในอดีตท่ีลดลงอย่างต่อเน่ือง โดยมีสาเหตุมาจากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงความต้องการท่ีดินของราษฎร ส่งผลให้พื้นท่ีป่าไม้ถูกตัดขาดกลายเป็นหย่อมป่าที่แยกส่วนกัน (habitat fragmentation) และมีขนาดเล็กลง ท่ีต้ังบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างอ่ืนๆ กลายเป็นส่ิง แปลกปลอมเข้ามากีดขวางเส้นทางการเดินตามธรรมชาติของสัตว์ป่า ส่งผลต่อสัตว์ป่าบางชนิดท่ี ไม่สามารถข้ามผ่านพ้ืนท่ีหากินและผสมพันธุ์ ซึ่งในทางนิเวศวิทยาจะทาให้สัดส่วนความสมบูรณ์ของ ปัจจัยการดารงชีพของสัตว์ป่าลดลง เกิดการตัดขาดของประชากรเดิมออกเป็นประชากรย่อยๆ (metapopulation) และไม่มีการแลกเปลี่ยนหรือการไหลผ่านของยีน (gene flow) เกิดขึ้น ส่งผลให้ ความหลากหลายของพันธุกรรมลดลง ทาให้ประชากรย่อยในแต่ละกลุ่มง่ายต่อการถูกทาลายให้หมดไป ในอนาคต อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ต้ังอยู่ในท้องท่ีตาบลพลวง ตาบลตะเคียนทอง อาเภอเขาคิชฌกูฏ และตาบลฉมัน ตาบลวังแซ้ม อาเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี มีพ้ืนที่ประมาณ 58.7 ตารางกิโลเมตร หรือ 36,687 ไร่ ส่วนเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าเขาสอยดาว ต้ังอยู่ในท้องท่ีตาบลทรายขาว ตาบลทับไทร อาเภอโป่งน้าร้อน ตาบลตะเคียนทอง ตาบลฉมัน อาเภอมะขาม และตาบลแก่งหางแมว อาเภอ ท่าใหม่ จังหวัดจนั ทบรุ ี มพี ้ืนท่ี 745.96 ตารางกโิ ลเมตร หรือ 465,602 ไร่ ช่วงรอยต่อระหว่างตอนบนของอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและตอนล่างของเขตรักษาพันธ์ุ สัตว์ป่าเขาสอยดาว เป็นพ้ืนที่ป่าธรรมชาติที่ครอบคลุมทั้งสองพื้นที่ โดยพ้ืนที่ส่วนนี้ไม่ได้รับการประกาศ สานกั อทุ ยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของป่าไมแ้ ละสตั วป์ ่าเพอ่ื การจดั ทาแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศในพ้นื ท่คี ้มุ ครอง 2 : กรณีศึกษาแนวเชอื่ มต่อระบบนเิ วศระหว่างอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาคิชฌกฏู และเขตรักษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ เขาสอยดาว เป็นพื้นท่ีอนุรักษ์ เป็นพ้ืนที่อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ จึงส่งผลให้พ้ืนที่ป่า ธรรมชาติผืนนี้ มีภัยคุกคาม เน่ืองจากมีการบุกรุกเพ่ือทาการเกษตรในบริเวณพ้ืนที่ราบชายขอบ นอกจากน้ียังมีปัญหาการลักลอบล่าสัตว์ การทาไม้ ส่งผลให้พื้นที่บางส่วนมีความเสื่อมโทรมก่อให้เกิด ความเสียหายต่อถิ่นที่อาศัยของสัตว์ป่า และความหลากหลายทางชีวภาพ ทาให้เป็นอุปสรรคต่อ การเชอื่ มต่อของระบบนเิ วศผืนปา่ อุทยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกูฏ และเขตรักษาพันธุ์สตั วป์ า่ เขาสอยดาว อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว เป็นพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์ท่ี ยังคงมีสัตว์ป่าจานวนมากอาศัยอยู่อย่างชุกชุม จึงมีความจาเป็นท่ีจะต้องจัดการให้สัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ ในพื้นท่ีอนุรักษ์ท้ัง 2 แห่งดังกล่าวได้เช่ือมโยงถึงกัน เพ่ือความม่ันคงและเสถียรภาพของความหลากหลาย ทางชวี ภาพในพื้นท่ี โดยเฉพาะความเขม้ แข็งของสายพนั ธุ์สัตว์ป่าและพรรณพชื การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไม้และสัตว์ป่าบริเวณพ้ืนที่น้ี เพ่ือนาข้อมูลที่ได้ ไปใช้ในการบริหารจัดการพ้ืนท่ีกลุ่มป่าตะวันออกและประยุกต์ใช้กับพื้นที่คุ้มครองอ่ืน ๆ ทั้งน้ีเพ่ือการ ดูแลผืนป่าให้ทั่วถึง ลดปัญหาการถูกบุกรุกและภัยคุกคามทางด้านต่างๆ ให้น้อยลง และช่วยให้ กระบวนการทางระบบนิเวศป่าไม้มีความสมบูรณ์ ส่งเสริมให้มีการแพร่กระจายพันธ์ุของสัตว์ป่าและ พืชพรรณท่ีเปน็ อาหารสตั ว์ป่ามีโอกาสแพร่พันธุ์ผ่านไปยังพื้นทีป่ ่าที่ห่างไกล เอ้ือให้กลุ่มประชากรสัตว์ป่า สามารถเคลื่อนย้ายกระจายพนั ธ์ุ เกิดการถ่ายเททางพันธุกรรม ลดการผสมเลอื ดชิดในหมู่เครือเดียวกัน (inbreeding) สร้างความมั่นคงแข็งแรงให้สังคมป่าโดยรวม ท้ังน้ี ต้องดาเนินการภายใต้การวางแผนการ จัดการที่รัดกุมรอบคอบ ภายใต้ฐานข้อมูลทางวิชาการและความเหมาะสมทางเศรษฐกิจและสังคมของ พน้ื ทน่ี ้ีดว้ ย สานกั อทุ ยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของป่าไมแ้ ละสัตว์ปา่ เพอื่ การจัดทาแนวเช่ือมต่อระบบนเิ วศในพืน้ ทค่ี ุ้มครอง 3 : กรณศี กึ ษาแนวเชือ่ มต่อระบบนิเวศระหว่างอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาคิชฌกฏู และเขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่าเขาสอยดาว วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อศึกษาและวิเคราะห์สภาพสังคมพืชและระบบนิเวศบริเวณแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศ ระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าเขาสอยดาวในการจัดทาแนวเช่ือมต่อ ใหก้ บั สตั วป์ ่า 2. เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ความหลากชนิด สถานภาพ การกระจายและถิ่นท่ีอาศัยของสัตว์ป่า กลุ่มสัตว์เล้ียงลูกด้วยนม นก สัตว์เล้ือยคลาน และสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก เพ่ือใช้เป็นข้อมูลในการ จัดทาแนวเชอื่ มต่อระบบนเิ วศ 3. เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการบริหารจัดการพ้ืนที่กลุ่มป่าตะวันออกและประยุกต์ใช้กับพ้ืนท่ี คมุ้ ครองอน่ื ๆ ประโยชน์ที่ได้รบั 1. เป็นข้อมูลสาหรับใช้ในการผนวกเป็นพ้ืนท่ีอนุรักษ์ เพื่อปกป้องความหลากหลายทาง ชีวภาพและถิ่นที่อาศัยให้ประชากรสัตว์ป่าสามารถเคลื่อนย้ายกระจายพันธ์ุ เกิดการถ่ายเททาง พนั ธุกรรม ลดการผสมเลือดชดิ เพิ่มพื้นท่ใี นการหาแหล่งอาหารและเพ่ิมพืน้ ทีท่ างเลือกในการหลบภัย ของสัตว์ป่า 2. เป็นข้อมูลในการจัดการแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศให้กับสัตว์ป่าระหว่างอุทยานแห่งชาติ เขาคชิ ฌกฏู และเขตรักษาพนั ธส์ุ ัตว์ป่าเขาสอยดาวและพนื้ ที่ใกล้เคยี ง ตลอดจนใชเ้ ป็นฐานข้อมูลในการ บรหิ ารจัดการพนื้ ท่ีกลุ่มปา่ ตะวนั ออกและประยกุ ตใ์ ช้กับพ้ืนท่ีคมุ้ ครองอ่นื ๆ 3. เป็นข้อมูลสาหรับใช้ในการผนวกเป็นพ้ืนที่อนุรักษ์ในการเพิ่มพ้ืนที่อนุรักษ์ให้ได้ร้อยละ 25 ของพน้ื ที่ประเทศ 4. เป็นการสนบั สนุนความม่ันคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ เน่ืองจาก มีความมัน่ คงดา้ นความหลากหลายทางชีวภาพ 5. เป็นข้อมูลในการจัดทาหนังสือ “แนวเช่ือมต่อระบบนิเวศ” สาหรับใช้เป็นคู่มือในการ ปฎิบัติงานของเจ้าหน้าท่ีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และใช้เป็นส่ือเผยแพร่ ประชาสมั พันธ์ใหค้ วามรู้ ความเขา้ ใจเร่ืองแนวเชอ่ื มตอ่ ระบบนเิ วศตอ่ สาธารณชน สานักอทุ ยานแห่งชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของป่าไมแ้ ละสัตว์ปา่ เพอ่ื การจดั ทาแนวเชอื่ มต่อระบบนเิ วศในพน้ื ทคี่ ้มุ ครอง 4 : กรณีศึกษาแนวเชอ่ื มตอ่ ระบบนิเวศระหว่างอทุ ยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกฏู และเขตรกั ษาพันธสุ์ ตั ว์ป่าเขาสอยดาว กำรตรวจเอกสำร ควำมหมำยและควำมสำคัญทำงเชือ่ มตอ่ หรือแนวเชื่อมต่อ แม้ว่าคาว่า “ทำงเชื่อมต่อหรือแนวเชื่อมต่อ (corridor)” จะมีการใช้กันอย่างมากใน หลากหลายสาขาวิชา แตน่ ักวิจัยทางดา้ นการอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพทม่ี ีผลงานตีพมิ พ์ใน วารสารวิจัยระดับนานาชาติโดยส่วนใหญ่ได้ให้คาจากัดความของคาว่า “ทางเชื่อม” ที่ค่อนข้าง ใกล้เคียงกนั ตัวอย่างเช่น Corridor: “narrow strips of land which differ from the matrix on either side or maybe isolated strips, but are usually attached to a patch of somewhat similar vegetation” (Forman and Gordon, 1986) Corridor: “a linear landscape element that provides for movement between habitat patches, but not necessarily reproduction. Thus, not all life history requirements of a species may be met in a corridor” (Rosenberg, et al. 1997). Corridor: “a swath of land that is best expected to serve movement needs of an individual species after the remaining matrix has been converted to other uses” (Beier, et al. 2005). จากคาจากัดความดังกล่าว สรุปความหมายของคาว่าทางเชื่อมต่อไว้ว่า ทางเช่ือมต่อ (corridor) หมายถึง พื้นท่ีขนาดเล็ก โดยมากมักมีรูปร่างเป็นแถบยาวช่วยทาหน้าที่ตอบสนอง ความต้องการของชนิดเฉพาะน้นั ๆ ที่ต้องการเคล่ือนท่ีระหว่างหย่อมปา่ ท่แี ตกต่างกันโดยแนวเชื่อมต่อ มักมพี รรณไมใ้ กล้เคียงกบั ถ่ินท่ีอาศยั หลักท่ีอยู่ใกล้เคยี ง (ทรงธรรม และ ธรรมนูญ, 2557) คาจากัดความดังกล่าวได้เน้นย้าถึงความสาคัญของความสามารถในการเคล่ือนที่ของ ชนิดพันธุ์ จากหย่อมถ่ินที่อาศัยแห่งหนึ่ง ผ่านแนวเช่ือมต่อไปยังหย่อมถ่ินท่ีอาศัยที่อยู่ไกลออกไป โดยแนวเชื่อมต่อน้ีอาจเป็นที่ต้องการของชนิดพันธุ์เฉพาะในบางช่วงเวลาหนึ่งหรือทุกช่วงเวลาของ วงจรชวี ิต ขณะทคี่ วามหมายของคาว่า ถนิ่ ท่ีอาศัย (habitat) หมายถึง บริเวณพนื้ ที่ทีม่ ีความเหมาะสม ท้ังในแง่ของการสนับสนุนปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ในการดารงชีวิต เช่น แหล่งอาหาร แหล่งหลบภัย แหล่งน้าและอยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีเอื้ออานวยให้ชนิดพันธ์ุสามารถอยู่รอดจากการตายและสืบพันธุ์ ออกลูกออกหลานต่อไปได้ ดังนั้น แนวเช่ือมต่อระบบนิเวศ หรือ ecological corridor หมายถึง เส้นทางสาหรับการ เคล่ือนย้ายท่ีของชนิดพันธ์ุ โดยเฉพาะสัตว์ป่าและระบบนิเวศอ่ืนๆ ระหว่างพ้ืนท่ีหนึ่งไปยังอีกพื้นท่ี หนึ่งเพ่ือสรา้ งความเชื่อมโยงต่อกนั ซ่ึงการเชื่อมโยงดังกล่าวจะประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก คือ เขตพื้นที่อนุรักษ์ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ (core areas) แนวเช่ือมต่อผืนป่าแบบหย่อม (stepping stones) พ้ืนที่กันชน (buffer zones) และพ้ืนที่การใช้ประโยชน์อย่างย่ังยืน (sustainable use areas) สานกั อุทยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตว์ป่าเพอ่ื การจัดทาแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศในพนื้ ทค่ี ้มุ ครอง 5 : กรณีศึกษาแนวเชือ่ มต่อระบบนิเวศระหว่างอทุ ยานแหง่ ชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพันธ์สุ ัตวป์ ่าเขาสอยดาว ภำพท่ี 1 แนวเชอื่ มต่อระบบนิเวศในรูปแบบต่าง ๆ ท่ีมำ: ดัดแปลงภาพมาจาก ทรงธรรม และ ธรรมนูญ (2557) นอกจากน้ี Hess and Fischer (2001) ได้เน้นย้าให้เห็นถึงบทบาทของทางเช่ือมต่อท่ีมี ความสาคัญ 2 ดา้ น ทีน่ ักจดั การพ้ืนที่คุม้ ครองตอ้ งการ ไดแ้ ก่ 1. เป็นบทบาทของแนวเชื่อมต่อท่ีทาหน้าท่ีช่วยเหลือการเคล่ือนท่ีของชนิดเพียงอย่างเดียว (conduit function) 2. เป็นบทบาทของทางเชื่อมต่อที่ช่วยเหลอื ชนดิ ในแง่การเป็นแหล่งอาหารและแหล่งสืบพนั ธ์ุ ด้วย (habitat function) โดยจะเรียกกลุ่มของสัตว์ป่าเหล่านี้ว่าเป็นผู้อาศัยในทางเช่ือมต่อ (corridor dwellers) ซ่ึงชนิดเหล่าน้ีอาจมีความสามารถในการเคล่ือนที่ ต่างจาเป็นต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุเพื่อการขยาย และย้ายถิ่นฐานออกไปจากถ่ินที่อาศัยด้ังเดิม ในบางสถานการณ์แนวเชื่อมต่อที่มีความกว้างมากๆ อาจช่วยใหส้ ังคมแห่งชีวติ และระบบนิเวศสามารถอยู่ได้อยา่ งมั่นคง สตั ว์ป่าและพชื พรรณท่เี ปน็ อาหาร ของสัตว์ป่าสามารถเคล่ือนท่ีไปมาระหว่างพ้ืนที่คุ้มครองท่ีมีขนาดใหญ่ได้ในช่ว งหลายช่ัวอายุของ สิ่งมีชีวิต ทางเช่ือมต่อที่มีคุณลักษณะเช่นนี้รู้จักกันในนาม “landscape linkage” โดยท่ี Bennett (2003) ได้ให้แนวคิดของการออกแบบทางเช่ือมต่อเพื่อส่งเสริมให้ชนิดสามารถเคลื่อนที่ไปมาระหว่าง หย่อมทอ่ี าศัยได้ในระดบั ภมู ิภาค ในทางตรงกนั ข้าม บทบาทการเปน็ ตัวกรองและตัวขดั ขวางของทางเช่อื มต่อเปน็ การพิจารณา บทบาทของบริเวณพื้นท่ีด้านนอกที่มีแนวเช่ือมต่อขน้ั กลาง พ้ืนที่ที่อยู่ตรงขา้ มกันของสองฝงั่ ทางเช่ือม สานักอุทยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตวป์ า่ เพอ่ื การจดั ทาแนวเชื่อมต่อระบบนเิ วศในพ้ืนทค่ี ุ้มครอง 6 : กรณศี ึกษาแนวเช่อื มตอ่ ระบบนิเวศระหวา่ งอุทยานแหง่ ชาติเขาคชิ ฌกฏู และเขตรักษาพันธ์สุ ตั ว์ป่าเขาสอยดาว ถูกแบ่งแยกออกจากกัน ดังนั้น แนวเช่ือมต่อจึงทาหน้าที่เสมือนเป็นอุปสรรคไม่ให้ส่ิงมีชีวิต บางประเภทข้ามผ่านไปมาได้โดยง่าย อาจมีการยอมให้สิ่งมีชีวิตบางประเภทหรือสิ่งมีชีวิตที่มีบาง คุณลักษณะท่ีเฉพาะสามารถข้ามผ่านไปได้เท่าน้ัน หรืออาจไม่ยอมให้สิ่งมีชีวิตใดๆ ผ่านไปเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น การใช้ลาน้าเป็นแนวเช่ือมต่อระหว่างทะเลสาบ 2 แห่ง อาจทาให้สัตว์บกขนาดเล็ก ไมส่ ามารถขา้ มผ่านไปได้ เปน็ ตน้ ข ณ ะ ท่ี บ ท บ า ท ข อ งก าร เป็ น แ ห ล่ ง ผ ลิ ต แ ล ะ แ ห ล่ งก า จั ด ส่ิ งมี ชี วิ ต เป็ น ส่ิ ง ที่ ไม่ ค่ อ ย ได้ รั บ ความสนใจนักต่อการพิจารณาการออกแบบแนวเช่ือมต่อ เนื่องจากบทบาทของแนวเช่ือมต่อที่มี อิทธพิ ลตอ่ ด้านนี้มไี ม่มากนัก แหล่งผลิตเป็นการอธบิ ายถงึ ถนิ่ ท่ีอาศยั ที่มีภาวการณ์การส่งเสรมิ การเพิ่ม ของประชากรมากกว่าภาวการณ์การลดจานวนของประชากร โดยที่แหล่งกาจัดหมายถึงถิ่นที่อาศัย ท่พี บภาวการณล์ ดลงของประชากรมากกวา่ ภาวการณ์เพิ่มของประชากร กำรเกดิ กำรแตกกระจำยของผนื ปำ่ ตามการศึกษาของ Bennett (2003) พบว่าการเกิดการแตกกระจายของผืนป่าประกอบไป ด้วย 3 องคป์ ระกอบท่ีสาคญั ได้แก่ 1. การเกดิ การสูญเสียถ่ินที่อาศัย (habitat loss) ได้แก่ การลดลงของขนาดพ้ืนที่ถ่ินที่อาศัย ภายหลงั จากการแบ่งแยกพ้ืนท่แี ละการทาลายพน้ื ทบี่ างสว่ นออกไป (habitat reduction) 2. การเพ่ิมระดับของความโดดเด่ียวของถ่ินท่ีอาศัย โดยการเพ่ิมข้ึนของระยะทางระหว่าง หย่อมป่าที่เหลืออยู่ ขณะท่ีใช้ประโยชน์พื้นท่ีดินประเภทอ่ืนๆ เกิดข้ึนมาแทนท่ีระหว่างหย่อมป่า (habitat isolation) 3. การแตกกระจายของกลุ่มป่า ถือได้ว่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศทั้งในระดับท้องถ่ิน (landscape) และระดับภูมิภาค (regional landscape) อีกทั้งยังส่งผลกระทบทั้งในระดับโครงสร้าง (structure) และหนา้ ทข่ี อง (function) ดว้ ย สาหรับกระบวนการเกดิ การแตกกระจายของหย่อมปา่ มีกระบวนการเกดิ ดังต่อไปน้ี ภำพท่ี 2 การเกิดการแตกกระจายของหยอ่ มปา่ ท่ีมำ: ดดั แปลงภาพจาก นนั ทชยั และ ประทีป (2553) สานักอุทยานแห่งชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไม้และสตั ว์ป่าเพอื่ การจดั ทาแนวเช่อื มต่อระบบนเิ วศในพืน้ ท่ีคมุ้ ครอง 7 : กรณีศกึ ษาแนวเช่อื มตอ่ ระบบนิเวศระหวา่ งอุทยานแห่งชาตเิ ขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพันธ์สุ ัตว์ป่าเขาสอยดาว 1. การตัดผ่าน (dissection) ข้ันแรกของการเริ่มต้นการเกิดการแตกกระจายของ หย่อมป่าต้องมีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมประเภทต่าง ๆ เป็นการเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงพ้ืนที่ได้ ของมนุษย์ อาจจะกลา่ วได้ว่าการมเี สน้ ทางคมนาคมเป็นจุดเร่ิมต้นของการเกิดการสญู เสียถนิ่ ท่ีอาศยั 2. การเป็นรูทะลุของผืนป่า (perforation) กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์เป็นตัวการทาลายพื้นท่ี ธรรมชาติ โดยการทาลายได้เริ่มจากพ้ืนท่ีขนาดเล็ก ๆ เสมือนเป็นการเจาะรูทะลุไปบนพื้นที่ธรรมชาติ อัตราการสูญเสียถ่ินท่ีอาศัยจะเร็วหรือช้าผัน แปรไปตามระดับความเข้มข้นของกิจกรรม ของมนุษย์ 3. การแตกกระจายของผืนป่า (fragmentation) เม่ือมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ การขยายพื้นท่เี ขตเมืองและพื้นท่ีเกษตรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทาให้พื้นที่ธรรมชาติเร่มิ แยกตัวห่าง ออกจากกัน และสุดท้ายเกิดเป็นหย่อมป่าขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามพื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่โดยรอบ (matrix) ยังคงมสี ภาพเปน็ ป่าธรรมชาติอยู่ 4. การลดจานวนพ้ืนท่ีป่า (attrition) เวลาผ่านไปไม่กี่รุ่นของมนุษย์ การขยายพื้นที่ ทากินทาให้พ้ืนท่ีหย่อมป่าขนาดใหญ่เปล่ียนแปลงไปเป็นหย่อมป่าขนาดเล็ก ขณะท่ีพนื้ ท่ีโดยรอบมีการ เปล่ียนสภาพไปเป็นพ้ืนที่การใช้ประโยชน์ของมนุษย์ประเภทอื่นๆ มากยิ่งข้ึน เช่น พ้ืนที่เพื่อการ เกษตรกรรม ปศุสัตว์ และเขตเมือง เป็นต้น กล่าวคือ พื้นที่ป่าธรรมชาติส่วนใหญ่ในท่ีสุดแล้วถูก พฒั นากลายเปน็ พนื้ ทีส่ าหรบั การอยอู่ าศัยและประกอบกิจกรรมต่าง ๆ สาหรับมนุษย์นั่นเอง แนวคิดกำรจดั ทำแนวเช่ือมตอ่ ระบบนเิ วศในประเทศไทย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช (2555) ได้ทาการศึกษาความเหมาะสมในการ จัดทาแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศของผืนป่าในกลุ่มป่าที่สาคัญของประเทศไทยโดยใช้ทฤษฎีและ แนวคิดพื้นฐานเรื่องนิเวศวิทยา (landscape ecology) ทฤษฎีชีวภูมิศาสตร์ของเกาะ (Theory of Island Biogeography) และแน วคิ ด การจั ด การผื น ป่ าเชิ งระบ บ นิ เวศ (ecosystem based management) โดยให้ความสาคัญกับองค์ประกอบของพ้ืนท่ี 3 ประการ คือ ระบบนิเวศพื้น (matrix) ระบบนิเวศหย่อม (patch) ซ่ึงอยู่ภายในระบบนิเวศพื้นและการเชื่อมต่อระหว่างหย่อมป่า เพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายกระจายพันธุ์อย่างเข้มแข็ง เกิดการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และ การเช่ือมต่อภายใต้การเปล่ียนแปลงพื้นท่ีอันเกิดจากอิทธิพลของมนุษย์ ทั้งน้ี การจัดการนิเวศวิทยา ภูมิทศั น์นนั้ นอกจากเร่ืององคป์ ระกอบของพื้นที่แล้ว ยังใหค้ วามสาคญั กับเร่ืองโครงสร้าง หน้าที่ และ การเปลี่ยนแปลงของการใช้ทด่ี นิ อกี ดว้ ย จากหลักการข้างต้น ขอบเขตการศึกษาความเช่ือมโยงของผืนป่าในกลุ่มป่าท่ีสาคัญ จึงไม่ได้เน้นการศึกษาในป่าอนุรักษ์หรือพ้ืนที่คุ้มครองเท่านั้น แต่คานึงถึงระบบนิเวศต่าง ๆ ในภาพรวม ของพื้นที่ รวมท้ังพื้นที่ท่ีอยู่ระหว่างพื้นที่คุ้มครองท่ีเป็นเส้นทางการเคลื่อนย้ายของสัตว์ป่าด้วย อาศัย แนวคิดพื้นฐานเรื่องนิเวศ ภูมิทัศน์ หรือ ภูมินิเวศ (landscape ecology) ซ่ึงให้ความสาคัญกับการ เช่ือมต่อผืนป่า โดยมีนัยสาคัญท่ีการรักษากระบวนการทางนิเวศวิทยา (ecological process) และ สานกั อุทยานแห่งชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตวป์ ่าเพอ่ื การจดั ทาแนวเช่อื มต่อระบบนิเวศในพืน้ ท่ีคุ้มครอง 8 : กรณศี ึกษาแนวเช่อื มต่อระบบนเิ วศระหว่างอุทยานแหง่ ชาตเิ ขาคชิ ฌกูฏและเขตรักษาพันธุส์ ัตวป์ า่ เขาสอยดาว ความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) โดยเฉพาะเรื่องสัตว์ป่า ทั้งนี้ ในปัจจุบันผืนป่าได้ถูกแบ่งแยก เป็นหย่อม ๆ เน่ืองจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การพัฒนาถนน ทางรถไฟ การตั้งถิ่นฐาน การเกษตรกรรม เป็นต้น จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีต้องมีการเช่ือมต่อพ้ืนท่ี (landscape connectivity) เพ่ือให้เกิดความ ยั่งยืนของประชากรสัตว์ป่าที่สาคัญและสามารถรักษาสมดุลของระบบนิเวศเอาไว้ได้ ภูมิทัศน์ (landscape) ประกอบด้วยถ่ินทอี่ าศัย (habitat) ตา่ ง ๆ ทั้งทีเ่ ปน็ สภาพธรรมชาติและเปล่ียนแปลงไป แลว้ ดว้ ยกิจกรรมของมนษุ ย์ผสมผสานกนั ขึ้นในลักษณะโมเสค (mosaic) ดังนั้น สิ่งท่ีควรคานึงถึงในการศึกษาภูมินิเวศ (landscape) ก็คือ การใช้ที่ดินต่าง ๆ ที่ ประกอบขึ้นเป็นพ้ืนท่ีนั้นมีผลอย่างไรต่อกระบวนการทางนิเวศวิทยา และมีการเปลีย่ นแปลงอย่างไร เม่ือระยะเวลาผ่านไป การศึกษานิเวศภูมิทัศน์น้ีให้กรอบอย่างกว้างในการศึกษาหน้าท่ีและกิจกรรมทาง นเิ วศวิทยาของถิ่นท่ีอาศัยซ่ึงเป็นหยอ่ มๆ ในสภาพพื้นที่ท่ีพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ซ่ึงประโยชน์ของ การเชอ่ื มต่อถนิ่ ทีอ่ าศัยตา่ ง ๆ รวมไปถงึ การแลกเปล่ียนประชากรระหว่างหย่อมถน่ิ ทอ่ี าศัยน้นั ๆ เพอื่ ความ ยั่งยืนของประชากรและพลวัตในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาค การรักษาระบบนิเวศให้ยั่งยืน จาเป็นต้องเอ้ือให้เกิดการเคล่ือนย้ายของสัตว์ น้า และลม พร้อมกับมีการขนถ่ายสสาร พลังงาน แร่ ธาตุอาหาร ผ่านพ้ืนท่ีท่ีประกอบกันข้ึนเป็นภูมิทัศน์นั้น การจัดวางองค์ประกอบและรูปแบบการเรียงตัว ของถิ่นที่อาศัยที่ประกอบข้ึนเป็นโมเสคของสภาพพื้นที่น้ันมีผลต่อการเคลื่อนย้ายเหล่านี้ ดังนั้น การ เปล่ียนแปลงองค์ประกอบและรูปแบบการเรียงตัวของถ่ินท่ีอาศัยอันเนื่องมาจากการเปล่ียนแปลง สภาพการใช้ท่ีดินหรือกิจกรรมการพัฒนาต่าง ๆ ของมนุษย์ทาให้เกิดหย่อมป่า หรือการขยายตัวของ ช่องว่างระหว่างหย่อมป่า หรือในทางกลับกันการเช่ือมต่อหย่อมป่าโดยการพื้นฟูระบบนิเวศหรือการ ปลูกป่าย่อมส่งผลต่อการเคล่ือนย้ายของสัตว์ และองค์ประกอบอื่น ๆ ในระบบนิเวศทั้งที่มีชีวิตและ ไม่มีชีวิตได้เช่นกัน ลักษณะของถิ่นท่ีอาศัยที่เชื่อมกันอย่างต่อเนื่องในลักษณะเป็นเส้น (linear habitat) เช่น ระบบลาน้า (stream system) เป็นตัวอย่างที่ดีของการเคล่ือนย้ายน้า ตะกอน สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง และสัตว์น้าอ่ืน ๆ จากพ้ืนท่ีตอนบนสู่พื้นท่ีตอนล่างในระยะไกล ๆ ได้ นอกจากน้ัน การเชื่อมต่อป่ายังมี บทบาทสาคัญสาหรับสัตว์ป่าเพ่ือเอ้ือให้สัตว์ป่าสามารถเคล่ือนย้าย กระจายพันธุ์เกิดประชากรใหม่ ลดการผสมเลือดชิด (inbreeding) เกิดการถ่ายเททางพันธุกรรมเพื่อความม่ันคงของประชากรสัตว์ป่า สงั คมสัตว์ปา่ และระบบนิเวศโดยรวม เป้ำหมำยในกำรจัดทำแนวเชือ่ มต่อระบบนเิ วศ หน้าที่หลักของแนวเช่ือมต่อ คือ การส่งเสริม ให้เกิดความสามารถในการเช่ือมต่อกันของ สิ่งมีชีวิตระหว่างหย่อมป่าที่กระจายอยู่ทั่วไป ให้เกิดการเคล่ือนท่ี เคล่ือนย้ายไปมาระหว่างบริเวณ ถ่ินที่อาศัย คาดวา่ จะชว่ ยให้สิ่งมีชวี ิตมกี ารพัฒนาสายพันธ์ุไดด้ ีขึน้ รวมท้ังเปน็ การเพ่มิ โอกาสในการหา แหล่งอาหารที่เพ่มิ ขน้ึ สานักอทุ ยานแห่งชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไม้และสัตวป์ า่ เพอื่ การจดั ทาแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศในพ้นื ที่คุ้มครอง 9 : กรณีศกึ ษาแนวเช่อื มต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอทุ ยานแห่งชาตเิ ขาคชิ ฌกูฏและเขตรักษาพนั ธสุ์ ตั ว์ปา่ เขาสอยดาว 1. เพ่ือใช้เป็นฐานข้อมูลในการจัดการพ้ืนที่ตามแนวทางการจัดการพ้ืนท่ีแนวเชื่อมต่อ ระบบนเิ วศและพ้นื ทอี่ นุรกั ษต์ ่อไปในอนาคต 2. เพ่ือเพิ่มความหลากหลายของชนิดพันธุ์ ปรับปรุงชนิดพันธ์ุ และป้องกันไม่ให้ประชากร เกดิ การผสมพนั ธ์ใุ นสายเลือดใกลช้ ิดกัน 3. เพื่อเพ่ิมพ้ืนท่ีในการหาแหล่งอาหารท่ีมากข้ึน และเป็นพื้นที่ทางเลือกในการหลบภัยของ สิ่งมชี ีวิต 4. เพ่ือให้ส่ิงมีชีวิตช่วยในการกระจายพันธ์ุในพื้นที่โดยรอบ ส่งผลให้มีแหล่งอาหารที่เพ่ิมขึ้น เกดิ จากการกระทาของสงิ่ มชี ีวิต วธิ ีกำรแก้ไขผลกระทบจำกปัจจัยภำยนอกในพื้นท่แี นวเชอื่ มต่อ 1. มีการกาหนดเขตการจัดการ (zoning) ที่ชัดเจน กล่าวคือ กาหนดว่าบริเวณพ้ืนท่ีใด เหมาะสมแก่การใช้ประโยชน์ในส่วนใด และพื้นที่บริเวณใดที่ไม่เหมาะแก่การใช้ประโยชน์นามาซึ่งความ สูญเสียของสง่ิ แวดล้อม 2. การใช้แนวกันชนโดยรอบพื้นท่ีคุ้มครอง ป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดจากส่ิงแวดล้อม ทางธรรมชาติ ควำมสำคญั ของแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศ จากคาจากัดความท้งั หมดดงั กลา่ วพบว่าแนวเชอ่ื มต่อมคี วามสาคัญ 2 มมุ มอง ได้แก่ 1. มุมมองทำงด้ำนโครงสร้ำง (structural perspective) เป็นการพิจารณาแนวเชื่อมต่อ โดยเน้นไปท่ีลักษณะหรือรูปลักษณ์ภายนอกท่ีทาการเช่ือมต่อ เช่น ความยาว ความแคบ ความกว้างหรือ ความโค้งของทางเช่ือมต่อหรืออีกนัยหนึ่งคือการพิจารณาถึงการมีการเช่ือมต่อทางด้านโครงสร้างเท่านั้น (structural connectedness) 2. มุมมองทำงด้ำนหน้ำที่ (functional perspective) เป็นการพิจารณาทางเชื่อมต่อ ในฐานะของความสามารถท่ีทาให้มีการเชื่อมต่อกันได้ (connectivity) โดยความสามารถในการ เชื่อมต่อนั้นเป็นสงิ่ ท่ีบอกได้ว่าพืชหรือสตั ว์สามารถเคลื่อนย้ายผ่านระหว่างหย่อมป่าหรอื หมู่เกาะไปได้ ด้วยความยากง่ายเพียงใด (Hess and Fischer, 2001) ฉะนั้น เพ่ือให้การออกแบบทางเช่ือมต่อ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นักวิจัยและนักจัดการพื้นที่คุ้มครองจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องพิจารณาถึง ความสามารถในการเคล่ือนที่ของชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดน้ันๆ ท่ีจะผ่านไปตามทางเชื่อมต่อที่ได้ ออกแบบไว้ สิ่งมีชีวิตต่างชนิดพันธุ์กันย่อมมีความสามารถในการเคลื่อนที่ท่ีแตกต่างกัน จึงมีความ จาเป็นท่ีจะต้องออกแบบทางเชื่อมต่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของชนิดพันธุ์นั้น ๆ อย่าง เฉพาะเจาะจง สานกั อทุ ยานแห่งชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตวป์ ่าเพอ่ื การจัดทาแนวเชือ่ มต่อระบบนิเวศในพ้นื ที่คุม้ ครอง 10 : กรณีศึกษาแนวเชอ่ื มตอ่ ระบบนิเวศระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกฏู และเขตรกั ษาพันธ์ุสตั วป์ ่าเขาสอยดาว Hess and Fischer (2001) อ้างถึงใน ทรงธรรม และ ธรรมนูญ (2557) กล่าวว่าบทบาทของ ทางเช่อื มตอ่ ที่มคี วามสาคัญ 2 ด้านท่ีนักจัดการพน้ื ทีค่ ้มุ ครองตอ้ งการ ไดแ้ ก่ 1) บทบาทของแนวเชอื่ มต่อทีท่ าหน้าท่ีช่วยเหลือการเคลื่อนท่ีของชนดิ พันธุ์เพียงอยา่ งเดยี ว 2) บทบาทของทางเช่ือมต่อที่ช่วยเหลือชนิดพันธุ์ในแง่การเป็นแหล่งอาหารและแหล่ง สืบพันธุ์ด้วย โดยจะเรียกกลุ่มของสัตว์ป่าเหล่านี้ว่าเป็นผู้อาศัยในทางเช่ือมต่อ (corridor dwellers) ซ่ึงชนิดพันธ์ุเหล่าน้ีอาจมีความสามารถในการเคลื่อนที่ ต่างจาเป็นต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุเพ่ือการ ขยายพันธแ์ุ ละย้ายถิ่นฐานออกไปจากถ่นิ ที่อาศัยด้ังเดิม ในบางสถานการณ์แนวเชื่อมต่อทม่ี ีความกว้าง มาก ๆ อาจช่วยให้สังคมแห่งชีวิตและระบบนิเวศสามารถอยู่ได้อย่างม่ันคง สิ่งมีชีวิตทางเช่ือมต่อที่มี คุณลักษณะเชน่ น้รี ูจ้ ักกนั ในนาม “landscape linkage” รปู แบบกำรสร้ำงแนวเช่อื มตอ่ Bennett (2003) ได้เสนอ แนวทางในการสร้างทางเชื่อมตอ่ สาหรับสตั วป์ ่าไว้ 3 รปู แบบ ได้แก่ 1. กำรเช่ือมต่อถ่ินท่ีอำศัยแบบโมเสค (habitat mosaics) ในการเชื่อมต่อถิ่นท่ีอาศัย แบบโมเสค (habitat mosaics or landscape corridor) ในสภาพพ้ืนที่บางแห่งซ่ึงมีการเปลี่ยนแปลง จากสภาพธรรมชาติเดิมไม่มากนัก ทาให้ถิ่นที่อาศัยที่เป็นธรรมชาติกับพ้ืนท่ีที่ได้เปลี่ยนแปลงไปนั้น คอ่ นข้างไม่แตกต่างกันมากนัก การแยกแยะระหว่างถิ่นที่อาศัยที่เหมาะสมกับไม่เหมาะสมจึงอาจทาได้ยาก แต่สัตว์บางชนิดสามารถใช้ถ่ินท่ีอาศัยเหล่าน้ันได้ แม้จะถูกเปลี่ยนแปลงไปบ้างและมีข้อจากัด บางประการ การเช่ือมต่อในสภาพพ้ืนท่ีเช่นนี้ ข้ึนกับชนิดพันธุ์สัตวท์ ี่ใช้พื้นที่นั้นๆ การเคลื่อนย้ายของ สัตว์จะเป็นการใช้ท้ังผืนโมเสคในการเคลื่อนย้าย แม้ว่าจะต้องใช้บางพ้ืนที่ซึ่งอาจไม่เหมาะสมอยู่บ้าง กต็ าม (ภาพท่ี 3) การจดั การเชื่อมต่อแบบนีเ้ ป็นวธิ ีการท่ีจะได้ผลดีเมอ่ื พ้ืนท่สี ่วนใหญข่ องภูมิทศั น์ยังคง เป็นธรรมชาติหรือค่อนข้างเป็นธรรมชาติ เช่น สวนป่า ชนิดพันธุ์หรือชนิดสัตว์เป้าหมายมีความทนทานสูง ต่อลักษณะการใช้ที่ดิน ปัจจุบันเป้าหมายของการเชื่อมต่อแบบโมเสคเน้นชนิดพันธ์ุท่ีต้องการถ่ินที่อาศัย ขนาดใหญ่ แต่การเชื่อมต่อแบบนี้จะไม่เหมาะสมในสภาพพ้ืนที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากธรรมชาติ อยา่ งมาก และ/หรือชนิดพนั ธ์ุสตั วท์ จ่ี ะใช้พื้นทน่ี นั้ ไม่สามารถทนต่อถ่นิ ที่อาศัยทมี่ ีการเปลย่ี นแปลงได้ สานกั อุทยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไมแ้ ละสตั ว์ป่าเพอื่ การจดั ทาแนวเชือ่ มต่อระบบนเิ วศในพืน้ ท่คี มุ้ ครอง 11 : กรณศี ึกษาแนวเชื่อมต่อระบบนเิ วศระหว่างอุทยานแหง่ ชาตเิ ขาคิชฌกฏู และเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ัตวป์ า่ เขาสอยดาว ภำพท่ี 3 การเชอ่ื มตอ่ ถนิ่ ทอี่ าศัยแบบโมเสค (habitat mosaics or landscape corridor) ทม่ี ำ: ทรงธรรม และ ธรรมนูญ (2557) 2. กำรเช่ือมต่อถ่ินท่ีอำศัยโดยอำศัยระบบนิเวศที่มีอยู่เดิม (habitat corridor) เป็นการ เช่ือมต่อระหว่างถ่ินท่ีอาศัยท่ีเหมาะสมผ่านสภาพพื้นท่ีที่ไม่เหมาะสม เน้นสาหรับสัตว์ป่าเพ่ือ เอ้ืออานวยการเคล่ือนย้ายไปยังถ่ินท่ีอาศัยที่เหมาะสมที่ถูกแบ่งแยกกระจายด้วยกิจกรรมของมนุษย์ เช่น พื้นที่เกษตรกรรม ถนน เป็นต้น การเช่ือมต่อทางนิเวศวิทยาแบบนี้มีความเหมาะสมสาหรับกรณี ท่ีพ้ืนท่ีส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้วและไม่เหมาะสมกับชนิดพันธุ์ สาหรับชนิดพันธุ์ท่ีต้องอาศัย ถิ่นท่ีอาศัยที่เป็นธรรมชาติไม่ถูกรบกวนเท่าน้ันหรือเป็นถิ่นที่อาศัยเฉพาะ หรือเป็นชนิดพันธ์ุที่มี ข้อจากดั ในการเคลือ่ นยา้ ย โดยเฉพาะในเรอ่ื งขอ้ จากัดด้านระยะทางและความสามารถในการเคล่อื นท่ี เมื่อเป้าหมายต้องการให้รักษาความสม่าเสมอและความต่อเน่ืองของประชากรระหว่างถิ่นท่ีอาศัย ที่ต้องการเชื่อมต่อมากกว่าเป็นการใช้ประโยชน์นาน ๆ ครั้ง และเม่ือต้องการรักษากระบวนการทาง นิเวศวิทยาท่ีจาเป็นต้องมีความต่อเน่ืองของถิ่นที่อาศัยในการรักษากิจกรรมและหน้าที่ในกระบวนการ ดงั กล่าว (ภาพที่ 4) สานกั อทุ ยานแหง่ ชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไมแ้ ละสตั วป์ ่าเพอ่ื การจดั ทาแนวเชอ่ื มต่อระบบนเิ วศในพ้ืนทค่ี ุ้มครอง 12 : กรณีศกึ ษาแนวเช่อื มต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแหง่ ชาตเิ ขาคิชฌกฏู และเขตรกั ษาพนั ธุ์สัตว์ปา่ เขาสอยดาว ภำพท่ี 4 การเชอ่ื มต่อถน่ิ ทอ่ี าศยั แบบอาศัยระบบนิเวศเดิม (habitat corridor) ท่มี ำ: ทรงธรรม และ ธรรมนูญ (2557) 3. กำรเช่ือมต่อถ่ินที่อำศัยโดยใช้หย่อมป่ำท่ีกระจำยอยู่ในแนวเช่ือมต่อ (stepping stones) เป็นการเช่ือมต่อถิ่นท่ีอาศัยในพื้นที่ท่ีมีการพัฒนา โดยจัดให้เกิดหย่อมป่าที่เหมาะสมสาหรับสัตว์ เป็นช่วง ๆ เหมาะสาหรับสัตว์ทีม่ ีความสามารถในการเคลือ่ นท่ีสงู สามารถขา้ มผ่านบริเวณที่ไม่เหมาะสมได้ เชน่ สัตวป์ กี เปน็ ตน้ (ภาพที่ 5) ภำพท่ี 5 การเชื่อมตอ่ ถิน่ ทีอ่ าศัยโดยใช้หยอ่ มป่าท่ีกระจายอยใู่ นแนวเชื่อมต่อ (stepping stones) ทีม่ ำ: ทรงธรรม และ ธรรมนูญ (2557) สานกั อุทยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไม้และสัตว์ปา่ เพอื่ การจดั ทาแนวเชือ่ มต่อระบบนเิ วศในพน้ื ท่ีคุ้มครอง 13 : กรณีศึกษาแนวเช่ือมตอ่ ระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรกั ษาพันธส์ุ ตั วป์ า่ เขาสอยดาว ทางเชื่อมต่อระหว่างถ่ินท่ีอาศัยของสัตว์ป่าอาจแบ่งแยกได้ตามลักษณะของการเกิดทางเชื่อม ที่อาจมีอยู่แล้วในสภาพธรรมชาติ หรือเป็นแนวทางเช่ือมท่ีตั้งใจทาให้เกิดข้ึน Hilty, et al., (2006) อธิบายให้เห็นวา่ แนวเช่ือมตอ่ ทพี่ บเหน็ ในปัจจบุ ันมเี พยี งสองประเภทหลัก ไดแ้ ก่ 1. ทางเชื่อมท่ีไม่ได้มาจากการวางแผน (unplanned corridor) คือ แนวเชื่อมต่อตาม ธรรมชาติหรืออาจมาจากการสร้างของมนุษย์โดยที่ไม่ต้ังใจ โดยแนวเช่ือมต่อดังกล่าวได้เป็นส่วนหนึ่ง ของระบบนิเวศอยู่แล้ว แนวเช่ือมต่อประเภทน้ีมิได้มีวัตถุประสงค์เพ่ือช่วยเหลือการเคลื่อนที่ ของสิ่งมีชีวิตแต่อย่างใด แต่ในทางพฤตินัย ส่ิงมีชีวิตมีการเคล่ือนท่ีไปมาผ่านตามทางเช่ือมน้ีอยู่แล้ว ทางเชื่อมประเภทน้ี ได้แก่ แนวร้ัว แนวกันลม ต้นไม้ตามหัวไร่ปลายนา พืชพรรณท่ีปลูกไว้สองฟากถนน และแนวคลองขุดเพ่ือการระบายน้า พ้ืนที่ที่กล่าวมานี้มักมีสังคมพืชปกคลุมอยู่ในระดับหนึ่ง โดยท่ี สตั ว์ป่าสามารถใชเ้ ป็นทห่ี ลบภัยและเป็นแนวเชื่อมต่อเพ่ือเสาะแสวงหาถ่ินท่ีอาศยั แหง่ ใหมต่ ่อไป กรณี แนวเช่อื มตอ่ ของสองฝัง่ ถนนเป็นแนวเชื่อมต่อที่สตั ว์ป่ามีการใช้อยู่เป็นประจา มักเป็นถนนทม่ี ีกิจกรรม ของมนุษย์ไม่มากนัก อาจเป็นถนนสายรองหรือเป็นถนนท่ีใช้สัญจรของประชาชนในท้องถ่ินมากกว่า ที่จะเป็นถนนสายหลักท่ีเช่ือมต่อระหว่างเมืองใหญ่ สัตว์ป่าที่พบตามแนวเช่ือมต่อตามสองฟากถนน มกั เป็นชนิดพันธ์ุท่ีปรับตัวได้ดี (generalist) มีความทนทานสูงต่อสภาพพ้ืนที่ที่เปล่ียนไปจากธรรมชาติเดิม สามารถใช้ประโยชน์บริเวณพื้นท่ีท่ีถูกรบกวนจากกิจกรรมมนุษย์ได้ และไม่มีความเฉพาะเจาะจง ในการเลอื กใช้ปัจจัยแวดล้อมที่พิเศษบางอย่าง อย่างไรก็ตาม สัตว์ปา่ ที่ใช้ทางเช่ือมเหล่านี้อาจประสบอุบัติเหตุ จากรถท่ีผ่านไปมาได้ง่าย ขณะท่ีพื้นท่ีหัวไร่ปลายนา พนื้ ทีเ่ กษตรกรรม พื้นที่ปศสุ ัตว์ แนวก้นั รั้ว แนวกันลม แนวคูคลองระบายน้าที่ไม่ได้มีการจัดการการใช้ประโยชน์อย่างเข้มข้น มักพบว่ามีสัตว์ป่าขนาดเล็ก ใช้เป็นพ้ืนท่ีในการย้ายไปหาถ่ินท่ีอาศัย หรือหาอาหาร นกขนาดเล็กท่ีหากินใต้เรือนยอด สัตว์เล้ือยคลาน และสัตวส์ ะเทินนา้ สะเทินบก โดยกลุม่ สตั วท์ ง้ั หมดดังกลา่ วเป็นกล่มุ generalist ท่ีมศี ักยภาพในการใช้ ทางเชอ่ื มประเภทนี้ 2. ทางเชื่อมที่มาจากการวางแผน (planned corridor) เป็นทางเช่ือมท่ีถูกออกแบบมา เพ่ือวัตถุประสงค์หลักสาหรับการเชื่อมต่อระหว่างถ่ินที่อาศัยของสัตว์ป่าดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น อย่างไรก็ตาม พบว่าปัจจุบันในหลายประเทศได้มีการจัดทาแนวพื้นท่ีสีเขียวข้ึนเพ่ือตอบสนอง วตั ถุประสงค์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะเพื่อการนันทนาการสาหรับประชาชนที่อยู่ในเขตชานเมืองและ เขตเมือง รวมถงึ มีวตั ถุประสงคร์ องเพอื่ ให้เป็นแนวเชื่อมตอ่ ของสัตว์ป่าด้วย ควำมกว้ำงของแนวเชื่อมต่อ (corridor width) การออกแบบแนวเชื่อมต่อจาเป็นต้องคานึงถึงคุณภาพของแนวเชื่อมต่อว่ามีความเหมาะสม ต่อการช่วยเหลือการเคลื่อนท่ีของสัตว์ป่ามากน้อยเพียงใด แนวเช่ือมต่อที่มีประสิทธิภาพจาเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องมีส่วนพ้ืนที่แกนกลางของถิ่นท่ีอาศัย (core area) ภายในแนวเชื่อมต่อในระดับหนึ่ง กล่าวคือ แนวเช่ือมต่อท่ีมีความกว้างย่ิงมาก ย่ิงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการเคลื่อนท่ีและส่งเสริมให้ชนิด พันธ์ุท่ีหลากหลายให้สามารถใช้แนวเชื่อมต่อได้ อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากพื้นที่ท่ีไม่ใช่ป่าไม้ ที่ อยู่ โด ย รอ บ มั ก เป็ น อุ ป ส ร ร ค ห ลั ก ท่ี ส า คัญ ต่ อก าร จั ด ก าร แ น ว เช่ื อ ม ต่ อ ให้ มี คว า ม กว้ า งใน ร ะดั บ สานักอทุ ยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตวป์ ่าเพอื่ การจัดทาแนวเชอื่ มต่อระบบนเิ วศในพน้ื ที่คมุ้ ครอง 14 : กรณีศึกษาแนวเชอ่ื มต่อระบบนิเวศระหวา่ งอทุ ยานแหง่ ชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั ว์ปา่ เขาสอยดาว ที่เหมาะสม การวิจัยเพื่อให้ทราบถึงขนาดแนวเช่ือมต่อที่เหมาะสมต่อสัตว์ป่าแต่ละชนิดเป็นหัวข้อท่ีมี การวิจัยอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่ก็ยังมิได้ ตอบคาถามหลักท่ีว่าความกว้างของทางเช่ือมควรจะมีขนาดเท่าใด เพ่ือให้สัตว์ป่ากลุ่มเป้าหมาย สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความมีประสิทธิภาพของทางเชื่อมมักผันแปรไปตามความยาว ของแนวเชื่อม ความต่อเนื่องของถิ่นท่ีอาศัย และคุณภาพของถิ่นท่ีอาศัย Bentrup (2008) ได้อธิบายความสัมพันธ์โดยท่ัวไปของความกว้างของแนวเช่ือมต่อกับประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่ ของสตั ว์ไว้ว่า 1. ชนดิ พนั ธุ์ท่มี ีขนาดใหญ่จาเป็นต้องใช้แนวเช่ือมต่อที่มคี วามกว้างมากข้นึ เพื่อชว่ ยเหลือการ เคลื่อนท่ีและการเป็นถิน่ ทอี่ าศัยช่ัวคราว 2. ความยาวของแนวเช่ือมต่อที่มากขึน้ ทาให้จาเปน็ ตอ้ งกาหนดใหค้ วามกวา้ งของแนวเชื่อมท่ี เหมาะสมมีขนาดมากข้ึนเช่นกัน แนวเช่ือมต่อที่มีระยะสั้นกว่า มีความเป็นไปได้ท่ีช่วยให้ระดับความ ตอ่ เนอ่ื งของพ้ืนทมี่ ีมากกวา่ 3. แนวเชือ่ มตอ่ จาเป็นท่ีจะต้องมขี นาดกว้างขน้ึ เมื่อพื้นทสี่ ่วนใหญถ่ ูกยึดครองด้วยมนษุ ย์ 4. หากวางแผนให้แนวเช่ือมต่อมีการใช้ประโยชน์ระยะยาวนานนับทศวรรษหรือศตวรรษ ควรออกแบบให้แนวเช่ือมต่อมีความกว้างมากขึ้น Bentrup (2008) ยังได้แนะนาความกว้างของ แนวเชื่อมต่อที่เหมาะสมสาหรับสตั วป์ า่ แต่ละประเภท ดงั ภาพที่ 6 ภำพที่ 6 ความกวา้ งของแนวเชอ่ื มต่อระหวา่ งผนื ป่าที่เหมาะสมสาหรับสตั วป์ ระเภทต่างๆ ทมี่ ำ: ดัดแปลงภาพมาจาก Bentrup (2008) สานกั อทุ ยานแหง่ ชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของป่าไมแ้ ละสตั ว์ป่าเพอื่ การจดั ทาแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศในพืน้ ทคี่ ้มุ ครอง 15 : กรณศี กึ ษาแนวเชือ่ มตอ่ ระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกูฏและเขตรกั ษาพนั ธุ์สตั วป์ ่าเขาสอยดาว ควำมสำคัญของมำตรำส่วนเชงิ พืน้ ทแี่ ละเวลำ (importance of spatial and temporal scale) การพิจารณาออกแบบแนวเช่ือมต่อจาเป็นต้องคานึงถึงขอบเขตพื้นท่ที ่ีนักจัดการให้ความสนใจ ท้ังหมด (extent) รวมถึงมาตราส่วนเชิงพ้ืนที่และเวลา (spatial and temporal scale) เป้าหมายการ จัดการท่ดี ีจาเป็นตอ้ งกาหนดขอบเขตพื้นทีค่ ุ้มครองให้เดน่ ชัดและเป็นไปตามเป้าหมายของการอนุรักษ์ ควรกาหนดให้พื้นที่เป้าอนุรักษ์มีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะทาให้ขบวนการทางนิเวศภายในภูมิภาคน้ัน เกิดข้ึนได้อย่างมีเอกภาพและสามารถดารงไว้ได้ซ่ึงความหลากหลายทางชีวภาพทั้งสามระดับ อย่างไรก็ตาม พ้ืนที่เปา้ อนุรักษน์ ั้นไม่ควรจะใหญ่เกนิ ไปจนไมส่ ามารถดาเนินมาตรการด้านการอนุรกั ษ์ ในเชิงปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม การคานึงถึงมาตราส่วนเชิงพื้นที่เป็นสิ่งจาเป็นอย่างย่ิงในสาขา นเิ วศวิทยาภูมิภาพ (landscape ecology) เน่ืองจากส่ิงมีชีวิตชนิดท่ีแตกต่างกันรบั รู้ถึงความละเอียด เชิงพื้นที่ (spatial resolution) ได้แตกต่างกัน ตัวอย่างสัตว์ขนาดเล็ก เช่น แมลง มีการรับรู้ใน ขอบเขตพ้ืนที่ที่ใช้ในการดารงชวี ิตขนาดเล็กกว่า และการรับรู้ความละเอียดในเชิงพ้ืนที่มีความละเอยี ด (fine spatial resolution) มากกว่าสัตว์ท่ีมีขนาดใหญ่กว่าหรือมีความสามารถในการเคลื่อนที่ได้ ดีกว่า แต่ขณะเดียวกันการรับรู้ดังกล่าว มักถูกชดเชยโดยขอบเขตของพื้นที่ที่มีขนาดเล็ก (small spatial extent) ในทางตรงกนั ข้าม สัตว์ทมี่ ีขนาดใหญห่ รอื สตั ว์ท่ีมคี วามสามารถในการเคล่ือนท่ีได้สูง จาเป็นต้องใช้พ้ืนท่ีหากินขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดการรับรู้ถึงความละเอียดเชิงพื้นที่มีความหยาบ (coarse spatial resolution) มากกว่าสตั วท์ ี่มพี น้ื ที่หากนิ ขนาดเลก็ หรือความสามารถในการเคลื่อนที่ ไม่มากนัก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การรับรู้ขนาดหนึ่งหน่วยพื้นที่ของสิ่งมีชีวิตต่อการดารงชีวิตของ ส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิดมีขนาดไม่เท่ากันนั่นเอง นอกจากนั้นแล้วมาตราสว่ นเชิงเวลายังมีอิทธิพลสาคญั ต่อ การออกแบบทางเช่ือมต่อด้วย สัตว์ป่าบางชนิดมีการเคลื่อนย้ายเป็นระยะทางไกลในรอบวันเพ่ือการ หาอาหาร เช่น ค้างคาวกินผลไม้ และนกเงือกที่มีขนาดใหญ่ ขณะท่ีสัตว์ป่าบางชนิดจาเป็นต้อง เคล่ือนย้ายเปล่ียนพื้นที่หากินเป็นระยะทางไกลตามรอบฤดูกาล เช่น ช้าง (Elephas maximus Linnaeus, 1758) กระทิง (Bos gaurus C.H. Smith, 1827) และวัวแดง (Bos javanicus d'Alton, 1823) การออกแบบทางเชื่อมต่อจาเป็นต้องตอบสนองต่อมาตราส่วนเชิงเวลาของชนิดพันธ์ุท่ีเป็น เป้าอนุรักษ์ด้วยเชน่ กนั ลกั ษณะของแนวเช่ือมต่อ (corridor features) ความกว้างของแนวเช่ือมต่อ Harris and Scheck (1991) เสนอว่าหากต้องการให้แนวเช่ือมต่อ ยังรักษากระบวนการของ metapopulation ให้คงอยู่เป็นร้อยปีแล้ว ความกว้างของแนวเช่ือมต่อ อย่างน้อยที่สุดควรอยู่ในช่วง 100 ถึง 1,000 เมตร แต่หากต้องการให้แนวเชื่อมต่อสามารถช่วยให้ กระบวนการทางนิเวศดาเนินต่อไปได้ในช่วงทศวรรษ ความกว้างของแนวเชื่อมต่อไม่ควรน้อยกว่า 1 กิโลเมตร แต่สามารถใหก้ ว้างกว่าได้ และความกวา้ งของแนวเชื่อมต่อจะแปรผันไปตามชนิดของสัตว์ กลุม่ เปา้ หมาย ทง้ั น้ี ตอ้ งคานึงถึง สานักอทุ ยานแหง่ ชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไม้และสตั ว์ปา่ เพอ่ื การจดั ทาแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศในพนื้ ทค่ี ้มุ ครอง 16 : กรณศี ึกษาแนวเช่อื มตอ่ ระบบนิเวศระหวา่ งอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาคชิ ฌกูฏและเขตรักษาพันธุ์สัตวป์ า่ เขาสอยดาว 1. การใช้ประโยชน์พ้ืนที่สูงสุดบริเวณพ้ืนท่ีใกล้เคียงกัน ที่จะลดผลกระทบจากมนุษย์ต่อ แนวเช่ือมตอ่ วดั โดยการมีถ่ินอาศยั ทใ่ี กลเ้ คียงอยูร่ อบๆ คล้ายคลงึ กับในแนวเช่ือมต่อ 2. ไม่ควรให้มีการสร้างบ้านเรือนหรือผลกระทบอ่ืนๆ ที่เป็นการขัดขวางการเคลื่อนย้าย หรือ เพิม่ อันตรายจากผลกระทบของขอบป่า (edge effects) 3. หากมีบ้านเรือนใกล้เคียงแนวเช่ือมต่อ จะต้องกาหนดกรอบการอนุรักษ์สิทธิและ ข้อห้ามต่าง ๆ ท่เี กี่ยวข้อง 4. ระยะห่างระหว่าง 2 หย่อมป่า ควรจะมรี ะยะหา่ งส้ันท่ีสุด 5. แนวเช่ือมต่อควรอยู่ห่างจากแหล่งที่ต้ังของชุมชน เพราะมีการรบกวนจากกิจกรรมมนุษย์ คอ่ นข้างมาก 6. ควรเป็นเส้นทางที่สัตว์เคยใช้ข้ามระหว่าง 2 หย่อมป่าในอดีต โดยข้อมูลสามารถสอบถาม จากเจ้าหน้าที่ และประชาชนท่ีอยรู่ อบ ๆ บริเวณน้ัน 7. หากมีการตั้งบ้านเรือนใกล้เคียงกับแนวเชื่อมต่อ จะต้องประสานงานกับชุมชนเพื่อขอ ความร่วมมือในการดูแลแนวเชื่อมต่อให้คงสภาพพ้ืนท่ีใกล้เคียงกับป่าและเป็นแนวป่ากันชน ตลอดจน เปน็ แนวกนั ไฟ 8. ไมจ่ าเปน็ ต้องสร้างร้วั ไมต้ ามแนวเชอ่ื มต่อ หรอื ตามแนวชายขอบปา่ ท่ีอยใู่ กล้เคยี ง 9. หา้ มมใิ หม้ ีการเลี้ยงสัตวใ์ นแนวเช่อื มตอ่ หากพบจะตอ้ งจบั ออกนอกแนวเชอื่ มต่อ 10. ห้ามมิใหม้ ีการจับหรอื ล่าสตั วป์ า่ ชนิดและโครงสร้ำงของแนวเช่ือมต่อ (corridor type) ทรงธรรม และคณะ (2554) ไดอ้ ธิบายชนดิ และโครงสร้างของแนวเช่ือมต่อดงั นี้ 1. การสร้างแนวเช่ือมต่อเปน็ หย่อมป่า (step forest) แนวเชอื่ มต่อทีม่ ีลกั ษณะเป็นหยอ่ มป่า จะเหมาะสมตอ่ การหยดุ พักเมือ่ มีการเคลื่อนย้ายระหว่างหย่อมป่า เชน่ นกอพยพ เปน็ ตน้ 2. การสร้างแนวเชือ่ มต่อเป็นแนวเส้น (line corridors) การสรา้ งแนวเชื่อมต่อและเคร่ืองกั้น ให้สัตว์สามารถข้ามหรือหลีกเล่ียงทางหลวงและทางรถไฟเป็นแนวเส้นทอดผ่านสะพานหรือลอด ใต้ สะพานเหมาะสาหรับสัตว์บก ในปัจจุบันมีหลายวิธีการ ซ่ึงแต่ละวิธีการมีท้ังข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน การเลือกใชต้ ้องคานงึ ถึงสภาพแวดล้อมบรเิ วณท่ีจะทาแนวเชื่อมต่อเป็นสาคัญ สานกั อุทยานแห่งชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไม้และสัตวป์ ่าเพอื่ การจดั ทาแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศในพน้ื ทค่ี มุ้ ครอง 17 : กรณศี กึ ษาแนวเช่ือมตอ่ ระบบนเิ วศระหวา่ งอทุ ยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ เขาสอยดาว ควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพ (biodiversity) หมายถึง การมีสิ่งมีชีวิตนานาชนิด นานาพันธุ์ในระบบนิเวศอันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย ซึ่งมี มากมายและแตกต่างกันท่ัวโลก หรือง่าย ๆ คือ การมีชนิดพันธ์ุ (species) สายพันธุ์ (genetic) และ ระบบนิเวศ (ecosystem) ท่ีแตกต่างห ลากห ลายบ นโลก (สานักงานนโยบ ายและแผน ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม, 2559 : ออนไลน์) ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพในประเทศไทย ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพทั้งชนิดพันธ์ุ พันธุกรรม และระบบนิเวศ มจี ุลินทรยี ไ์ ม่น้อยกวา่ 200,000 ชนดิ พืชมีท่อลาเลียงและพชื ไม่มีทอ่ ลาเลยี งไม่นอ้ ยกว่า 14,000 ชนิด หรือคิดเป็นร้อยละ 4 ของพืชที่จาแนกชนิดได้แล้วท่ัวโลก สัตว์มีกระดูกสันหลังไม่น้อยกว่า 4,000 ชนิด หรือคิดเป็นร้อยละ 8 ของสัตว์มีกระดูกสันหลังทั่วโลก สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังไม่น้อยกว่า 80,000 ชนิด หรือคิดเป็นร้อยละ 6 ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในโลก ปลาไม่น้อยกว่า 2,000 ชนิด หรอื คิดเป็นรอ้ ยละ 10 ของปลาที่จาแนกแลว้ ในโลก (สานักงานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อม, 2558) กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพนั ธุ์พืชไดร้ วบรวมรายช่ือพืชทัง้ ทีม่ ีชอ่ื ไทย และไม่มีช่ือไทย ทั้งพืชพ้ืนเมืองและพืชต่างถิ่นได้จานวน 11,104 ชนิด ใน 2,465 สกุล และ 287 วงศ์ (ราชันย์, 2559) ท้ังน้ี ประเทศไทยเป็นหน่ึงใน 20 ประเทศที่มีทรัพยากรชีวภาพหลากหลายมากที่สุดของโลก แหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในธรรมชาติท่ีสาคัญในประเทศไทย ได้แก่ พ้ืนที่ อทุ ยานแห่งชาตแิ ละเขตรักษาพันธสุ์ ัตวป์ ่า รวมพื้นท่ีประมาณร้อยละ 20 ของพ้ืนที่ประเทศ ซ่ึงสาเหตุ สาคัญท่ีทาให้พื้นที่ป่าตามธรรมชาติในประเทศไทย มีความหลากหลายของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์เป็น อยา่ งมาก เน่ืองจากเหตุผลหลายประการ (ธรรมนญู และคณะ, 2560) ไดแ้ ก่ 1. ประเทศไทยต้ังอยู่ในโซนร้อนเหนือเส้นศูนย์สูตรเล็กน้อยและอยู่ติดทะเล จึงมีสภาพ ภมู ิอากาศทเี่ หมาะสมตอ่ การอยูร่ อด การเจรญิ เตบิ โตและการแพร่พนั ธุข์ องสงิ่ มชี ีวติ หลายชนิดตลอดปี 2. ความแตกต่างกันของสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย ได้เอ้ืออานวยให้เกิดความหลากหลายของประเภทป่าตามธรรมชาติท่ีแตกต่างและหลากหลาย ซึ่งป่า แต่ละประเภทจะมีลักษณะที่เฉพาะตัวและมสี ิ่งมีชีวิตทปี่ รบั ตัวอาศยั อยู่ในแต่ละพ้ืนที่ทแี่ ตกต่างกนั 3. ประเทศไทยอยู่ในบริเวณศูนย์กลางที่มีการกระจายพันธ์ุของพืชและสัตว์ กล่าวคือเป็น เขตซ้อนทับกันของกลุ่มพรรณพฤกษชาติ (floristic region) ถึง 3 กลุ่มคือ กลุ่มอินโด - เบอร์มีส (Indo - Burmese elements) กลุ่มอินโดไชนิส (Indo - Chinese elements) และกลุ่มอินโดมาเลเซียน (Indo - Malaysian elements) สานักอทุ ยานแหง่ ชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไม้และสตั ว์ปา่ เพอ่ื การจัดทาแนวเชอื่ มต่อระบบนเิ วศในพ้นื ท่ีคุม้ ครอง 18 : กรณีศกึ ษาแนวเช่อื มต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอทุ ยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกฏู และเขตรกั ษาพันธส์ุ ตั ว์ป่าเขาสอยดาว งำนวิจัยทีเ่ ก่ียวข้อง งานวิจัยเหล่าน้ีมีท้ังงานวิจัยรูปแบบของแนวเชื่อมต่อ และงานวิจัยด้านศักยภาพการใช้ ประโยชน์ของแนวเช่ือมต่อ 1. งานวิจยั ท่เี กี่ยวข้องกับรปู แบบของแนวเช่ือมต่อ ได้แก่ Walker and Craighead (1997) เลือกชนิดพันธุ์เป้าหมายในการจัดทาแนวเชื่อมต่อ โดยเลือกชนิดสัตว์ป่าที่ให้ร่มเงาแก่สัตว์อ่ืน การดารงอยู่ของสัตว์ชนิดนั้นเก้ือกูลต่อชีวิตอ่ืนๆ (umbrella species) Wierren and Worm (2001) พบวา่ เส้นทางทีเ่ หมาะสมสาหรับสัตวป์ ่าท่ีเดินข้างบนท่ีสูง ตอ้ งมคี วามยาวไม่เกิน 40 – 50 เมตร Harrison (1992) ได้กาหนดความกว้างน้อยท่ีสุดของแนวเช่ือมต่อจากข้อมูลขนาดพ้ืนที่ หากนิ ของชนดิ สัตว์เปา้ หมาย Lindenmayer and Nix (1993) พบว่า ชนิดสัตว์ท่ีสามารถอยู่รอดได้ มักเป็นสัตว์ที่ หากินตามลาพัง เนื่องจากสามารถกินอาหารในพื้นท่ีได้ ความกว้างของแนวเช่ือมต่อไม่ได้มีผลต่อการ อาศัยอยแู่ ละเคลอ่ื นทผ่ี า่ นของสัตว์ 2. งานวิจัยด้านศักยภาพการใช้ประโยชน์ของแนวเชื่อมต่อ แนวเช่ือมต่อระบบนิเวศสามารถ นาไปใช้ประโยชน์ในการจัดการพื้นที่คุ้มครองได้หลายแนวทาง โดยมีแนวทางการจัดการของแต่ละ รูปแบบดังกลา่ วท่ีแตกต่างกันออกไป ดังน้ี 2.1 แนวเช่ือมตอ่ ที่มีศักยภาพในการผนวกเป็นพ้นื ท่ีอนุรกั ษ์ เพิ่มพ้ืนทป่ี ่าไม้ใหป้ ระเทศ ทรงธรรม และคณะ (2554) ทาการศึกษาแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศระหว่างอุทยาน แห่งชาติแก่งกระจานและอุทยานแห่งชาติกุยบุรี พบว่าสังคมพืชเป็นป่าดิบชื้น ป่าดิบชื้นผสมดิบแล้ง สังคมย่อยไม่มีไผ่ผสม ป่าดิบช้ืนผสมดิบแล้งสังคมย่อยมีไผ่ผสม และป่าดิบแล้ง พบพรรณไม้ชนิดที่ หายาก ใกล้สูญพนั ธุ์ และพชื ถ่ินเดียว จานวน 49 ชนดิ 29 วงศ์ และพรรณพชื ทย่ี ังไม่มรี ายงานการพบ ในประเทศไทย 1 ชนิด ในวงศ์ Sapindaceae สกุล Lepisanthes ระบบนิเวศมีความสมบูรณ์ใน ระดับใกล้เคียงกับพ้ืนท่ีอนุรักษ์อื่นๆ ในกลุ่มป่าแก่งกระจาน ด้านสัตว์ป่า พบ 61 วงศ์ 177 ชนิด จาแนกเป็น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 8 อันดับ 18 วงศ์ 35 ชนิด นก 32 วงศ์ 107 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 10 วงศ์ 22 ชนิด สัตว์สะเทินน้าสะเทินบก 3 วงศ์ 13 ชนิด การวิเคราะห์ค่าความหลากชนิดชี้ให้เห็น ว่าสถานภาพการจัดการสัตว์ป่าในพื้นท่ีแนวเชื่อมต่อยังด้อยกว่าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ส่วนความคล้ายคลึงมีค่าใกล้เคียงกัน ข้อเสนอแนะ คือ หากพ้ืนท่ีแห่งน้ีได้รับ การจัดการในรูปแบบพื้นที่อนุรักษ์จะช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่มป่าแกง่ กระจาน ไวไ้ ดเ้ ป็นอยา่ งดี สานักอทุ ยานแห่งชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไม้และสัตวป์ า่ เพอ่ื การจดั ทาแนวเชอ่ื มต่อระบบนิเวศในพนื้ ท่คี ุ้มครอง 19 : กรณศี กึ ษาแนวเชอื่ มต่อระบบนิเวศระหวา่ งอุทยานแหง่ ชาติเขาคชิ ฌกูฏและเขตรักษาพนั ธ์สุ ัตว์ปา่ เขาสอยดาว ศูนย์นวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและพ้ืนที่คุ้มครอง จังหวัดพิษณุโลก (2556) ทาการศึกษาแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาค้อ อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าวังโป่ง – ชนแดน พบว่า สังคมพืชเป็นป่าดิบแล้ง มีค่าความหลากหลาย ปานกลาง ด้านสัตวป์ ่า พบ 101 ชนิด 87 สกุล 51 วงศ์ ค่าความหลากชนิดของสัตว์ มีค่าปานกลาง ค่อนไปทางต่า ชนิดสัตว์ป่าที่พบในพ้ืนท่ีแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศ มีความคล้ายคลึงกับชนิดสัตว์ท่ีพบ ในพ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาติเขาค้อ มากกว่า อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ข้อเสนอแนะ คือ ควรดาเนินการประกาศผนวกพ้ืนท่ีเพ่ิมเติมเข้ากับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เพ่ือรักษาความอุดมสมบูรณ์ของ สภาพปา่ ไม้และสตั วป์ า่ ให้คงอยตู่ ่อไป 2.2 แนวเชอ่ื มตอ่ สาหรับแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ ระหวา่ งคนกับสัตวป์ ่า ธรรมนูญ และ คณะ (2557) ทาการศึกษาแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศระหว่าง เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนและอุทยานแห่งชาติเขาชะเมา – เขาวง พบว่า สังคมพืชเป็น ป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่ารุ่นสองท่ีมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังมีพ้ืนท่ีเกษตรกรรม และมีปัญหากับการท่ีช้างป่าเข้ามากินพืชผลด้านสัตว์ป่า พบสัตว์เล้ียงลูกด้วยนม 7 อันดับ 18 วงศ์ 28 ชนิด นกพบ 32 วงศ์ 107 ชนิด สัตว์ป่ามีการกระจายท่ัวบริเวณ และมีระยะห่างจากชุมชนไม่มากนัก โดยเฉพาะช้างป่า (Elephas maximus) ค่าความหลากหลาย พบว่า บริเวณเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า เขาอ่างฤาไนมีความหลากหลายของสัตว์ป่าสูงกว่าอุทยานแห่งชาติเขาชะเมา – เขาวง ข้อเสนอแนะ คือ พ้ืนท่ีเกษตรกรรมท่ีค่ันกลางระหว่างพื้นที่อนุรักษ์ทั้ง 2 แห่ง มีค่าความหลากหลายในระดับที่มี นัยสาคัญสาหรับการจัดการให้มีแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศ และค่าความคล้ายคลึงใกล้เคียงกัน ซ่ึงหมายความว่ ามีช นิดสั ตว์ป่าประมาณ คร่ึงหนึ่งท่ี หากินในพ้ืนที่อนุรักษ์ท่ีอ อกมาหากินในพ้ื นท่ี เกษตรกรรมท่ีคั่นกลางระหว่างพื้นที่อนรุ ักษ์ ซ่ึงมีนัยสาคัญสาหรับความเป็นไปได้และความจาเป็นใน การจดั ทาแนวเชือ่ มตอ่ ระบบนิเวศ 2.3 แนวเชื่อมตอ่ ทีล่ ดผลกระทบตอ่ สัตวใ์ นการมีถนนเป็นแนวแบง่ แยกพื้นท่ี กรมทางหลวง (2556) ทาการศึกษาและสารวจออกแบบทางเชื่อมผืนป่ามรดกโลก บริเวณทางหลวงหมายเลข 304 สาย อ.กบินทร์บุรี – ปักธงไชย ตอน กม. 26 – 29 ซ่ึงแบ่งแยก อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และอุทยานแห่งชาติทับลานออกจากกัน พบว่า สังคมพืชฝ่ังอุทยานแห่งชาติ เขาใหญ่ เป็นป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่ารุ่นสอง ส่วนฝ่ังอุทยานแห่งชาติทับลาน เป็นป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ทุ่งหญ้า ป่ารุ่นสอง และป่าปลูก ด้านสัตว์ป่า พบสัตว์ป่าสงวน 72 ชนิด สัตว์ป่าคุ้มครอง 9 ชนิดอยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ ผลการออกแบบทางเชื่อม เลือกรูปแบบผสมผสาน ท้ังในรูปแบบ อุโมงค์ให้รถวิ่ง โดยสัตว์ป่าข้ามข้างบน (wildlife overpass) และทางยกระดับให้สัตว์ป่าลอดใต้ถนน (wildlife underpass) ศูนย์นวัตกรรมอุทยานแห่งชาติและและพื้นท่ีคุ้มครอง จังหวัดนครราชสีมา (2556) ทาการศึกษาแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ บริเวณท่ีทางหลวงหมายเลข 348 (ละหานทราย – ตาพระยา) ตัดผ่านบริเวณกิโลเมตรท่ี 91 – 96 พบว่า สังคมพืช ฝั่งซ้ายของ สานักอทุ ยานแหง่ ชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไมแ้ ละสตั วป์ ่าเพอื่ การจัดทาแนวเช่อื มต่อระบบนิเวศในพ้นื ที่ค้มุ ครอง 20 : กรณีศกึ ษาแนวเชือ่ มตอ่ ระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแหง่ ชาติเขาคิชฌกฏู และเขตรกั ษาพันธุส์ ตั ว์ป่าเขาสอยดาว ถนนเป็นป่าดิบแล้ง ส่วนฝั่งขวาเป็นป่าเบญจพรรณ ด้านสัตว์ป่า พบสัตว์เล้ียงลูกด้วยนม 11 วงศ์ 14 ชนิด นก 26 วงศ์ 39 ชนิด สัตว์เล้ือยคลาน 5 วงศ์ 7 ชนิด และสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก 3 วงศ์ 3 ชนิด สัตว์เล้ือยคลาน 3 วงศ์ 3 ชนิด ความหลากชนิด มีค่าปานกลาง ส่วนความคล้ายคลึง ท้ังสอง พื้นที่มีความคล้ายคลึงกันมาก ข้อเสนอแนะ คือ ควรออกแบบและจัดทาแนวเชื่อมต่อผืนป่า ในลกั ษณะทางขา้ มของชา้ ง ในรปู แบบโครงสร้างอุโมงคค์ ร่อมเส้นทางเดิม มีการปลกู ต้นไมด้ ้านบนของ อุโมงค์ให้มีสภาพใกล้เคียงกับสังคมพืชบริเวณนั้นๆ และทาการฟื้นฟูระบบนิเวศท้ังสองฝ่ังให้มีความ สมบูรณ์มากข้นึ คมเชษฐา และ ทรงธรรม (2557) ทาการศึกษาแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศระหว่าง อุทยานแห่งชาตนิ า้ หนาว และเขตรักษาพันธ์สุ ัตว์ปา่ ภูผาแดง บริเวณทที่ างหลวงหมายเลข 12 ตัดผ่าน พบว่า สังคมพชื เปน็ ป่าดิบแล้ง ด้านสัตวป์ ่า พบ 70 วงศ์ 135 สกุล 162 ชนดิ จาแนกเป็นสตั วเ์ ลี้ยงลูก ด้วยนม 19 วงศ์ 28 ชนิด นก 37 วงศ์ 97 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 8 วงศ์ 23 ชนิด สัตว์สะเทินน้า สะเทินบก 6 วงศ์ 14 ชนิด ข้อเสนอแนะ คือ พ้ืนที่ที่มีศักยภาพในการสร้างแนวเชื่อมต่อผืนป่า ได้แก่ บริเวณทางหลวงหมายเลข 12 สามารถจาแนกได้ 3 บริเวณ คือ 1) บริเวณ หลักกิโลเมตร ท่ี 399+700 ระยะทางประมาณ 500 เมตร 2) บริเวณหลกั กิโลเมตรท่ี 404 ถึง 407 ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร และ 3) บริเวณหลักกิโลเมตรท่ี 407 + 800 ถึง 416 ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ซง่ึ พ้นื ทที่ งั้ 3 บริเวณน้ี เป็นเส้นทางการเดนิ ของช้างปา่ (Elephas maximus) สานักอุทยานแห่งชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตวป์ า่ เพอื่ การจดั ทาแนวเชอ่ื มต่อระบบนิเวศในพ้ืนทค่ี มุ้ ครอง 21 : กรณีศึกษาแนวเชื่อมตอ่ ระบบนิเวศระหวา่ งอุทยานแหง่ ชาติเขาคิชฌกฏู และเขตรกั ษาพนั ธสุ์ ัตว์ป่าเขาสอยดาว อปุ กรณ์และวธิ กี ำร กำรศกึ ษำด้ำนทรัพยำกรป่ำไม้ 1. กำรศกึ ษำสังคมพชื และระบบนิเวศ การศึกษาระบบนิเวศในบริเวณพ้ืนท่ีศึกษา โดยภาพถ่ายจากดาวเทียม Landsat 5 และ ดาวเทียม Spot โดยเลือกใช้ช่วงคล่ืน (band) และระยะเวลาในการถ่ายทาท่ีเหมาะสม รวมทั้งใช้เทคนิค การปรับชัดด้วยวิธีการต่าง ๆ นามาพิจารณาจากสี ท่ีตั้ง รูปร่าง ความหยาบละเอียดสภาพแวดล้อม และการตรวจสอบภาคสนาม (ทรงธรรม และคณะ, 2554) จากผลการศึกษาดังกล่าว ทาการคัดเลือกพ้ืนที่ที่จะทาการวางแปลงตัวอย่างก่ึงถาวรขนาด 30 x 60 เมตร โดยให้มีขนาดพอดีหรือใกล้เคียงกับขนาดของ pixel ในภาพถ่ายดาวเทียม Landsat 5 TM ในบริเวณท่ีคัดเลือกเป็นพื้นที่เป้าหมาย ทั้งน้ีภายใต้ความเหมาะสมจากปัจจัยการเข้าถึงและ สามารถปฏิบัติงานได้จริง จากนั้นนาค่าพิกัดภูมิศาสตร์ของจุดตัดของ pixels ของมุมแปลงล่างซ้าย ป้อนลงในเคร่ืองมือด้วยค่าพิกัดสัญญาณดาวเทียม (GPS) และนาไปค้นหาตาแหน่งจุดพิกัดดังกล่าว เมอ่ื พบแล้วจะใหจ้ ดุ ๆ นเี้ ป็นเสมือนจดุ มมุ ล่างซ้ายของแปลงตวั อย่าง จากหมุดมุมล่างซ้ายของแปลงตัวอย่าง จะใช้เข็มทิศวัดมุมออกไปในทิศเหนือ 60 เมตร และตะวันออก 30 เมตร (หรืออาจจะวัดออกไปในทิศเหนือ 30 เมตร และตะวันออก 60 เมตร ตามความเหมาะสมของสภาพพ้ืนท่ี) ท้ังน้ี ทิศของมุมท่ีวัดออกไปจะใช้ทิศของกริดแผนที่ในระบบ WGS 84 (ซ่ึงแตกต่างกับทิศของแม่เหล็กหรือเข็มทศิ เลก็ น้อยประมาณ 30 ลิปดา ข้ึนอยู่กับแตล่ ะพื้นที่) แนวของทิศต่าง ๆ ท่ีหาได้นี้จะเป็นแกนหลักของแปลงตัวอย่าง เช่นเดียวกับแกนละติจูดและลองติจูด ในระบบแผนท่ี ทาการตรวจสอบค่าพิกัดของมุมแปลงทั้ง 4 มุม ว่าถูกต้องใกล้เคียงกับค่าพิกัด ภูมิศาสตร์ท่ีควรจะเป็นหรือไม่ หากถูกต้องแล้วจึงทาการซอยแบ่งเป็นแปลงย่อยขนาด 10 x 10 เมตร รวม 18 แปลงย่อย แต่ละแปลงย่อยทาการกาหนดรหัสแปลงให้เป็นระบบ เพื่อความง่ายในการจด บันทึกการตรวจสอบข้อมูล และป้องกันความสับสนในระหว่างการปฏิบัติงาน นอกจากน้ัน ยังต้องใช้ เครื่องมือ GPS หรือเครื่อง altimeter สาหรับวัดความสูงจากระดับน้าทะเลปานกลางของพื้นที่ท่ี ตาแหน่งของหมุดแปลงย่อยแต่ละแปลงเพื่อนาไปใช้ในการวาด profile diagram และการสร้าง model แปลงตัวอย่างในระบบ GIS (ทรงธรรม และคณะ, 2554) ในแปลงย่อยขนาด 10 x 10 เมตร แต่ละแปลง ทาการเก็บข้อมูลองค์ประกอบของชนิดพันธ์ุพืช ขนาดความโต ความสูง และการปกคลุมของ เรือนยอด โดยแบง่ กลุ่มพรรณไม้เพื่อตรวจนับเปน็ 3 ขนาด คือ 1. ไม้ยืนต้น (tree) หมายถึง ต้นไม้ท่ีมีขนาดวัดรอบท่ีระดับอก (girth at breath height, gbh.) ตั้งแต่ 14.0 เซนติเมตร ขึ้นไป และมีความสูงลาต้นมากกว่า 1.30 เมตร โดยทาการวัดมิติต่าง ๆ เช่น ความโตที่ระดับอก (gbh) ความสูงถึงก่ิงแรก ความสูงท้ังหมด ความกว้างของเรือนยอด ชนิดไม้ และ พิกัดตาแหน่งของต้นไม้แต่ละต้นท่ีปรากฏในแปลงตัวอย่างสาหรับการนาไปใช้ในการสร้าง profile สานักอทุ ยานแหง่ ชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของป่าไมแ้ ละสตั ว์ปา่ เพอื่ การจัดทาแนวเชอื่ มต่อระบบนิเวศในพ้ืนทค่ี มุ้ ครอง 22 : กรณศี กึ ษาแนวเช่อื มต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาคิชฌกฏู และเขตรกั ษาพนั ธุส์ ตั ว์ปา่ เขาสอยดาว diagram รวมท้งั การวเิ คราะหด์ ้านต่าง ๆ รวมท้ังประโยชน์ในการตรวจติดตามความเปล่ียนแปลงของระบบ นิเวศในอนาคต 2. ไม้หนุ่ม (sapling) หมายถึง พรรณไม้ท่ีมีขนาดวัดรอบที่ระดบั อกต่ากว่า 14.0 เซนติเมตร และ มีความสูงมากกว่า 1.30 เมตร โดยทาการตรวจนับชนิดและจานวนท่ีปรากฏในแปลงย่อยขนาด 4 x 4 เมตร ของแต่ละแปลงย่อย โดยให้ตาแหน่งของแปลงอยู่ทางด้านมุมล่างซ้ายของทุกแปลงย่อย ดงั นน้ั จะมีแปลงตวั อยา่ งไม้หนุม่ รวมทงั้ ส้ิน 18 แปลงตวั อย่าง 3. กลุ่มลูกไม้และกล้าไม้ (seedling) หมายถึง พรรณไม้ที่มีความสูงไม่เกิน 1.30 เมตร ทาการนับชนิดและจานวนท่ีปรากฏในแปลงตัวอย่างขนาด 1 x 1 เมตร ซ่ึงอยู่มุมแปลงด้านล่างซ้าย ของแปลงยอ่ ย 2. กำรวเิ ครำะห์ข้อมลู 2.1 กำรคำนวณปริมำตรไม้ 2.1.1 ปริมาตรไม้รายต้น (Vi, ลูกบาศกเ์ มตร) ใช้สมการของ สามารถ และ ธญั นรินทร์ (2538) อา้ งโดย ทรงธรรม และคณะ (2554) คอื เมื่อ dbh = เส้นผา่ ศนู ยก์ ลางเพียงอก (เซนตเิ มตร) 2.1.2 ปริมาตรไม้ต่อเฮกตาร์ (V, ลูกบาศก์เมตรต่อเฮกตาร์) คานวณจากผลรวมของ ปริมาตรไม้ท้ังหมดในแปลงตัวอย่าง (พื้นที่แปลงตัวอย่าง 1,800 ตารางเมตร) และเทียบเป็นหน่วยต่อ เฮกตาร์ (1 เฮกตาร์ เท่ากบั 10,000 ตารางเมตร) 2.2 พน้ื ท่ีหน้ำตดั ของตน้ ไม้ (BA, ตารางเมตรต่อเฮกตาร์) พืน้ ที่หน้าตัดของต้นไม้รายต้น (BAi) ใช้สมการพ้ืนที่วงกลม และพื้นท่ีหน้าตดั ต่อเฮกตาร์ (BA, ลูกบาศก์เมตรต่อเฮกตาร์) คานวณจากผลรวมของพื้นท่ีหน้าตัดท้ังหมดในแปลงตัวอย่าง (พื้นท่ีแปลงตัวอย่าง 1,800 ตารางเมตร) และเทียบเป็นหน่วยต่อเฮกตาร์ (1 เฮกตาร์ เท่ากับ 10,000 ตารางเมตร) ดงั น้ี เม่ือ dbh = เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางเพยี งอก (เซนตเิ มตร) สานักอุทยานแห่งชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไม้และสตั วป์ า่ เพอื่ การจัดทาแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศในพนื้ ทคี่ ุ้มครอง 23 : กรณีศกึ ษาแนวเช่อื มต่อระบบนเิ วศระหว่างอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาคิชฌกูฏและเขตรกั ษาพนั ธุ์สัตวป์ ่าเขาสอยดาว 2.3 จำนวนต้นไม้ (N, ตน้ ต่อเฮกตาร์) N = จานวนต้นไมใ้ นแปลงตัวอย่าง x 10,000/1,800 2.4 ควำมหนำแนน่ ควำมถ่ี ควำมเดน่ และดัชนคี วำมสำคัญ การศึกษาแปลงตัวอย่ างแบบส่ีเหลี่ยมขนาด 30 x 60 เมตร เพ่ื อศึกษาพรรณไม้ยืนต้น ไม้หนุ่ม และกล้าไม้ โดยแบ่งเป็นแปลงย่อยขนาด 10 x 10 เมตร จานวน 18 แปลงย่อย เพ่ือสารวจ ไม้ยืนต้น แปลงย่อยขนาด 4 x 4 เมตร สาหรับนับไม้หนุ่ม และแปลงย่อยขนาด 1 x 1 เมตร เพ่อื สารวจกลา้ ไม้ บันทกึ ช่ือพรรณไม้ ขนาดเส้นรอบวง ความสูง และการปกคลุม เพอื่ นาขอ้ มูลท่ีได้มา วิเคราะห์หาค่าดัชนีความสาคัญ (Important Value Index, IVI) โดยมีสูตรการคานวณตามแนวทาง ของอทุ ิศ (2542) ดังน้ี IVI = RD + RF + RDo โดย RD, RF และ RDo หาได้จาก 2.4.1 ควำมหนำแน่นของชนิดพันธ์ุ (Density, D) คือ จานวนต้นไม้ทั้งหมด ของชนดิ พนั ธ์ุ A ทป่ี รากฏในแปลงตวั อยา่ งต่อจานวนแปลงทง้ั หมดที่ทาการสารวจ (18 แปลงย่อย) D = จานวนตน้ ทัง้ หมดของชนิดพนั ธุ์ A ที่ปรากฏในแปลงตวั อย่าง จานวนแปลงท้งั หมดท่ีทาการสารวจ (18 แปลงยอ่ ย) จากนั้นนาความหนาแน่นท่ีได้ไปคานวณหาความหนาแน่นสัมพัทธ์ (Relative Dominant, RD) โดย RD (%) = ความหนาแน่นของชนิดพนั ธุ์ A x 100 ผลรวมของความหนาแนน่ ของทุกชนิดพนั ธุ์ 2.4.2 ควำมถ่ีของชนิดพันธุ์ (Frequency, F) คือ จานวนแปลงย่อยท่ีชนิดพันธ์ุ A ปรากฏต่อจานวนแปลงท้ังหมดท่ีสารวจ (18 แปลงยอ่ ย) ทาใหอ้ ย่ใู นรปู ของรอ้ ยละโดยคูณด้วย 100 F = ความถี่ของชนิดพันธุ์ A x 100 จานวนแปลงทง้ั หมดทีท่ าการสารวจ จากนั้นนาความถีท่ ่ีได้ไปคานวณหาความถ่สี มั พัทธ์ (Relative Frequency, RF) โดย RF = ความถ่ีของชนดิ พันธ์ุ A x 100 ผลรวมของความถ่ีของทุกชนิดพนั ธุ์ สานักอุทยานแห่งชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไม้และสัตวป์ ่าเพอื่ การจัดทาแนวเชื่อมต่อระบบนเิ วศในพืน้ ทค่ี ุ้มครอง 24 : กรณีศกึ ษาแนวเชือ่ มตอ่ ระบบนิเวศระหว่างอุทยานแหง่ ชาติเขาคิชฌกฏู และเขตรกั ษาพันธุส์ ตั วป์ ่าเขาสอยดาว 2.4.3 ควำมเด่น (Dominance, Do) ความเด่นในด้านพื้นท่ีหน้าตัด (Basal Area, BA) คือ พื้นที่หน้าตัดลาต้นของต้นไม้ท่ีวัดระดับอก (1.30 เมตร) ต่อจานวนแปลงทั้งหมดท่ีทาการสารวจ (18 แปลงย่อย) RDo) โดย BA = ผลรวมของพืน้ ที่หนา้ ตดั ชนิดพันธุ์ A พื้นทที่ ที่ าการสารวจ จากนน้ั นาความเดน่ ท่ีได้ไปคานวณหาความเดน่ สัมพทั ธ์ (Relative Dominance, RDo = ความเดน่ ของชนดิ พันธ์ุ A x 100 ผลรวมของความเดน่ ของทุกชนดิ พนั ธุ์ ท้ังนี้ ผลรวมของค่า RD, RF และ RDo เท่ากับ 300 ยกเว้นกรณีการคานวณค่าดัชนี ความสาคัญ (IVI) ของไม้หนุ่ม ลูกไม้ และกล้าไม้ ไม่ต้องใช้ค่าความเด่น (Do) จึงมีเฉพาะค่า RD และ RF ซ่งึ รวมกันเท่ากบั 200 2.5 ดัชนคี วำมหลำกหลำยของชนิดพันธุ์ (species diversity) การศึกษาความหลากหลายของชนิดพันธุ์ใช้สมการของ Shannon Wiener Index ซึ่ง ค่าที่ได้จะข้ึนอยู่กับจานวนชนิดพันธุ์ ถ้าจานวนชนิดพันธ์ุมาก ค่าความหลากหลายก็จะมาก ถ้าจานวน ชนิดพนั ธ์ุน้อย ค่าความหลากหลายก็จะน้อย และถา้ ชนิดพันธุ์แตล่ ะชนดิ มีการกระจายเท่าเทียมกันท่ัว พน้ื ท่ีความหลากหลายก็จะมาก การวดั ความเท่าเทียมกันสามารถทาได้หลายวิธีเช่นกัน (อุทิศ, 2542) ดังนี้ 2.5.1 Shannon-Wiener Diversity Index : H' โดย H' = ความหลากหลายของชนดิ พันธ์ุ pi = สัดสว่ นของจานวนชนดิ พนั ธุ์ A ตอ่ จานวนชนดิ พนั ธุ์ ทง้ั หมด S = จานวนชนดิ พันธุ์ทัง้ หมด 2.5.2 Simpson's diversity index : D สานกั อุทยานแห่งชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไม้และสตั ว์ป่าเพอื่ การจดั ทาแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศในพื้นท่คี มุ้ ครอง 25 : กรณศี กึ ษาแนวเชื่อมตอ่ ระบบนเิ วศระหวา่ งอทุ ยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกูฏและเขตรักษาพันธุส์ ัตว์ปา่ เขาสอยดาว โดย ni = จานวนตน้ ของพรรณไมช้ นดิ ที่ i ในแปลงตัวอยา่ ง (เมือ่ I = 1, 2, …N) N = จานวนต้นของพรรณไม้ทัง้ หมดในแปลงตัวอยา่ ง S = จานวนชนดิ พรรณไม้ทั้งหมดในแปลงตัวอย่าง จากการศึกษาแปลงตัวอย่างเพ่ือหาค่าดัชนีความหลากหลายของไม้ใหญ่ มีค่าดัชนี ความหลากหลายของ Shannon-Wiener มีค่าสูงสดุ ได้ไม่เกิน 3.5 ซึ่งสอดคล้องกับวิธีของ Simpson's diversity index (D) ที่มีค่าอยู่ระหว่าง 0 – 1 ถ้าค่า D ใกล้ 0 ความหลากหลายจะน้อย ถ้าค่า D ใกล้ 1 ความหลากหลายจะมาก 2.6 กำรกระจำยของต้นไมใ้ นแปลงตัวอยำ่ ง ตาแหน่งของต้นไม้ เฉพาะที่เป็นไม้ยืนต้น (tree) ท่ีปรากฏในแปลงตัวอย่าง ทาการวัด จากพิกัดของต้นไม้ในแต่ละแปลงย่อย นาไปแปลงให้เป็นค่าพิกัดในระดับแปลงใหญ่ แล้วจึงแปลงให้ เป็นค่าพิกัด UTM โดยอ้างอิงจากพิกัด UTM ของมุมแปลง จากนั้นจึงนาเข้าข้อมูลในตารางด้วย โปรแกรม ArcGIS โดยอ้างอิงตาแหน่งของต้นไม้แต่ละต้นด้วยค่าละติจูด (latitude) และลองติจูด (longitude) ของต้นไม้แต่ละต้นที่ได้แปลงไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงแปลงให้เป็นข้อมูลเชิงเลข (shape file) แลว้ จึงวเิ คราะหด์ ว้ ยฟงั ก์ชันทางสถิติทม่ี ใี นโปรแกรมด้าน GIS สานกั อทุ ยานแห่งชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไมแ้ ละสตั ว์ป่าเพอื่ การจดั ทาแนวเช่อื มต่อระบบนเิ วศในพน้ื ท่ีคมุ้ ครอง 26 : กรณีศกึ ษาแนวเชือ่ มต่อระบบนเิ วศระหว่างอุทยานแหง่ ชาตเิ ขาคิชฌกฏู และเขตรักษาพนั ธสุ์ ัตว์ปา่ เขาสอยดาว กำรสำรวจทรัพยำกรสัตว์ปำ่ 1. กำรกำหนดเส้นสำรวจ กาหนดเส้นทางการสารวจโดยใชแ้ นวทิศเหนือ - ใต้ ระยะความยาว 5 กโิ ลเมตร ในแต่ละเส้น ให้คาบเก่ียวกับพื้นที่อนุรักษ์ทั้งสอง โดยมีพ้ืนท่ีท่ีเป็นช่องว่างท่ีไม่มีกฎหมายรองรับเป็นจุดกึ่งกลาง ซึ่งกาหนดไว้ทั้งหมดจานวน 7 เส้น แต่ละเส้นมีระยะห่างกัน 1.5 กิโลเมตร ใช้ระยะการสารวจ 2 ฤดู คือ ฤดูแล้งกับฤดูฝน สารวจสัตว์ป่ากลุ่มต่างๆ ยกเว้นปลาและแมลง เน่ืองจากมีปัจจัยจากัดหลายอย่าง ทไ่ี มส่ ามารถนาอุปกรณ์เขา้ พืน้ ทีส่ ารวจได้ ดงั ภาพที่ 7 ภำพที่ 7 แนวสารวจสัตว์ป่าบริเวณแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและ เขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่าเขาสอยดาว สานกั อทุ ยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตว์ปา่ เพอื่ การจัดทาแนวเชือ่ มต่อระบบนเิ วศในพืน้ ท่คี ุม้ ครอง 27 : กรณศี ึกษาแนวเช่ือมตอ่ ระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ัตว์ปา่ เขาสอยดาว 2. กำรสำรวจสตั ว์ป่ำ การสารวจสตั ว์ปา่ ในแตล่ ะกลมุ่ ใช้วิธกี ารดงั น้ี 2.1 สัตว์เล้ียงลูกด้วยนม สารวจและจาแนกชนิด โดยใช้เส้นสารวจตามแนวสารวจท่ีวางไว้ สารวจและนับจานวนสัตว์ป่าจากการพบเห็นสัตว์ป่าโดยตรงและจากร่องรอยต่างๆ ท่ีปรากฏ เช่น รอยตีน กองมูล ร่องรอยการหากิน รอยข่วนตามต้นไม้ เป็นต้น ทาการบันทึกตาแหน่งพิกัดอ้างอิง บนพื้นโลก โดยใช้เคร่ืองมือหาพิกัดภูมิศาสตร์ (GPS) นอกจากน้ี ยังทาการบันทึกข้อมูลด้านปัจจัย แวดล้อมที่เก่ียวข้องกับการกระจายของสัตว์ป่า เช่น ชนิดป่า ระดับความลาดชัน และระดับความสูง เพื่อนาไปใช้ในการวิเคราะห์ด้านสารสนเทศภูมิศาสตร์ร่วมกับฐานข้อมูลอ่ืน ๆ หาความหลากชนิด ความชุกชมุ และวิเคราะห์การกระจายของสัตว์ป่าในพ้ืนท่ี สัตว์เล้ียงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ท่ีมีบทบาทสาคัญในระบบนิเวศป่าไม้ 16 ชนิด ตามการศึกษาสถานภาพและความหลากชนิดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ของ ประเทศไทยของกลุ่มงานวิจัยสัตว์ป่า (2553) ได้แก่ กวางป่า (R. unicolor) วัวแดง (B. javanicus) เสื อ โค ร่ ง (Panthera tigris) ค ว า ย ป่ า (Bubatus armee) ส ม เส ร็ จ (Tapirus indicus) ช้ าง (E. maximus) เสือดาว (P. pardus) หรือเสือดา (P. pardus) หมาจ้ิงจอก (Canis aureus) หมาใน (Cuon alpinus) หมีควาย (U. thibetanus) หมีหมา (U. malayanus) กระทิง (B. gaurus) เลยี งผา (C. sumatraensis) กวางป่า (R. unicolor) เก้ง (M. muntjak) และ หมปู า่ (S. scrofa) 2.2 นก สารวจและจาแนกชนิดโดยอาศัยการพบเห็นโดยตรงและการจาแนกด้วยเสียงร้อง ตามแนวเส้นสารวจท่ีวางไว้และบริเวณอ่ืน ๆ ในพื้นที่ท่ีทาการสารวจ เพื่อหาความหลากหลายชนิด แลว้ จัดทาบัญชีรายชอ่ื ชนิดนกที่สารวจพบในบริเวณพื้นทศี่ กึ ษา 2.3 สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและสัตว์เล้ือยคลำน ใช้วิธีการสารวจแบบทั่วไป โดยเดิน สารวจตัวท่ีพบตามแหล่งน้า และบริเวณใกล้เคียง รวมถึงบริเวณอ่ืน ๆ ในพ้ืนท่ีที่ทาการสารวจ แลว้ จัดทาบัญชีรายช่อื ชนิดสตั ว์ทพ่ี บในพ้นื ที่ศึกษา 3. กำรวิเครำะหข์ ้อมลู 3.1 จัดทำบัญชีรำยชื่อสัตว์ ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก สัตว์สะเทินน้าสะเทินบกและ สัตว์เลื้อยคลาน พร้อมแสดงสถานภาพของสัตว์ป่าที่สารวจพบตามที่สานักงานน โยบายและ แผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกาหนดไว้ รวมถึงการจัดสถานภาพขององค์การระหว่าง ประเทศเพ่ือการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) และอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซงึ่ ชนดิ พันธุส์ ัตว์ปา่ และพืชป่าทใี่ กล้สูญพันธุ์ (CITES) 3.2 คำนวณค่ำควำมชุกชุมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Relative Abundance; RA) ในพื้นทที่ ี่สารวจท้งั หมด โดยใชส้ มการ อา้ งถึงใน ทรงธรรม และคณะ (2554) สานักอทุ ยานแห่งชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของป่าไมแ้ ละสตั วป์ า่ เพอื่ การจัดทาแนวเชือ่ มต่อระบบนิเวศในพืน้ ท่คี ุม้ ครอง 28 : กรณศี ึกษาแนวเช่อื มตอ่ ระบบนเิ วศระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรกั ษาพันธ์ุสัตวป์ ่าเขาสอยดาว ค่าความชกุ ชมุ ของสตั ว์เลีย้ งลูกด้วยนม (%) = จานวนเส้นสารวจทพ่ี บสัตวเ์ ลยี้ งลูกด้วยนม X 100 จานวนเส้นสารวจทงั้ หมด 3.3 วิเครำะห์ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับสัตว์ป่ำ เช่น ชนิดป่า แหลง่ โปง่ และปัจจัยคุกคามต่าง ๆ โดยการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยระบบสารเทศภูมิศาสตร์ 3.4 คำนวณค่ำควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพในพ้ื นท่ีศึกษำ ซึ่งบริเวณใดมีความ หลากหลายสูง ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความสาคัญต่อการอนุรักษ์สัตว์ป่า การประเมินคุณค่าตามหลักการ ความหลากหลายในการศึกษาคร้ังนี้ใช้ค่าดัชนีความหลากหลายของ Shannon-Weiner Diversity Index) และค่าดัชนีความคล้ายคลึง (Similarity Index) ของสังคมสัตว์ป่าในแต่ละพ้ืนที่ศึกษา ซึ่งมี การวิเคราะห์ (ทรงธรรม และคณะ, 2554) ดังนี้ ค่าดชั นีความหลากชนิด (Shannon-Wiener Index) H' = -(Σpi ln pi) เมื่อ H' = คา่ ดชั นคี วามหลากชนดิ pi = สัดส่วนของจานวนสตั ว์แตล่ ะชนดิ ตอ่ จานวนสัตว์ทั้งหมด ค่าดัชนคี วามคล้ายคลึง (Jaccard’s Similarity; S) ISJ (%) = 2C /(A+B) เมือ่ S = คา่ ดชั นคี วามคลา้ ยคลึง A = จานวนชนิดของสัตวท์ ่พี บในบริเวณ A B = จานวนชนิดของสัตว์ทีพ่ บในบรเิ วณ B C = จานวนชนิดของสัตวท์ พ่ี บในบริเวณร่วมระหว่าง A และ B พ้นื ทศี่ กึ ษำ อทุ ยำนแห่งชำติเขำคิชฌกฏู อุทยานแหงชาติเขาคิชฌกูฏเดิมคือ ปาสงวนแหงชาติปาเขาคิชฌกูฏ ต่อมาไดมีพระราชกฤษฎีกา กาหนดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาคิชฌกูฏ เน้ือท่ี 36,687 ไร่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ในราชกิจจานุเบกษา เล่มท่ี 94 ตอนท่ี 38 วันท่ี 4 พฤษภาคม 2520 ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติลาดับที่ 14 ของประเทศ และในปีพ.ศ. 2541 ไดมีพระราชกฤษฎีกา เพิกถอนอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏบางส่วน เพื่อก่อสร้างโครงการเข่ือนไฟฟ้าพลังน้าคลองทุ่งเพล จานวน 242.95 ไร่ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนท่ี 64 ก วนั ท่ี 24 กนั ยายน 2541 สานักอุทยานแห่งชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไม้และสตั วป์ ่าเพอื่ การจัดทาแนวเชอ่ื มต่อระบบนิเวศในพน้ื ท่ีคุม้ ครอง 29 : กรณีศึกษาแนวเชอื่ มต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแหง่ ชาตเิ ขาคชิ ฌกฏู และเขตรักษาพันธ์สุ ตั ว์ปา่ เขาสอยดาว อุทยานแหงชาติเขาคิชฌกูฏ มีที่ทาการตั้งอยู่ท่ีหมู่ท่ี 5 ตาบลพลวง อาเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัด จนั ทบุรี มีพื้นท่ีรับผิดชอบ 36,444.05 ไร่ หรือ 58.7 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพ้ืนที่ ตาบลตะเคียนทอง ตาบลพลวง อาเภอเขาคิชฌกูฏ และตาบลวังแซม ตาบลฉมัน อาเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ในแผนท่ี 1: 50,000 ระวาง 5434 IV มีอาณาเขตตดิ ตอกบั พนื้ ทอ่ี ่ืน ๆ ดงั นี้ ทศิ เหนือ จรด เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ า่ เขาสอยดาว ทศิ ใต้ จรด อ่างเกบ็ นา้ บา้ นพลวง ตาบลพลวง อาเภอเขาคชิ ฌกฏู และ ทศิ ตะวันออก ตาบลวังแซม อาเภอมะขาม ทิศตะวนั ตก จรด สถานที ดลองยางจันทบรุ ี ตาบลฉมันและตาบลวังแซม อาเภอมะขาม จรด มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตจันทบุรี ตาบลตะเคยี นทอง และตาบลพลวง อาเภอเขาคิชฌกฏู อทุ ยานแหงชาตเิ ขาคิชฌกูฏ ลักษณะภูมิประเทศ เป็นภูเขาสูงชัน ทางด้านทิศตะวันออกจะมี ความลาดชันมาก เชิงเขาด้านตะวนั ตกและด้านใตมีความลาดชันน้อย มียอดเขาพระบาทเป็นยอดเขา สูงสุด สูงจากระดับน้าทะเลปานกลาง ประมาณ 1,096 เมตร และจุดต่าสุดของบริเวณอุทยานฯ สูงจากระดับน้าทะเลปานกลาง 50 เมตร (กรมป่าไม้, 2544) พื้นท่ีแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศ บริเวณแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศระหว่างตอนบนของอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏกับตอนล่าง ของเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าเขาสอยดาวเป็นป่าดิบช้ืนท่ีมีความสมบูรณ์ ซ่ึงไม่มีกฎหมายรองรับ อยู่ใน กลุ่มป่าตะวนั ออก พ้ืนที่ดังกล่าวเป็นส่วนหน่ึงของเทือกเขาจันทบุรี มคี วามลาดชันไม่มากนัก เป็นถิ่นท่ีอาศัย ของสัตว์ป่า เช่น ช้างป่า บริเวณน้ีมีความเหมาะสมสาหรับการจัดการให้เป็นแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศ เนื่องจากมแี นวโน้มของการเคลอ่ื นย้ายของสัตวป์ ่าจากพ้ืนที่อนุรักษ์หน่ึงไปยังพ้ืนที่อนุรักษ์ข้างเคียง มี พน้ื ทีท่ ั้งหมด 9,353.125 ไร่ หรอื 14.965 ตารางกิโลเมตร (ดงั ภาพท่ี 9) เขตรกั ษำพนั ธ์ุสตั วป์ ่ำเขำสอยดำว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวมีชื่อว่า ป่าสงวนเขาสอยดาว ต่อมาป่าสงวนแห่งนี้ ถูกราษฎรบุกรุกลักลอบตัดไม้ทาลายป่า และลักลอบล่าสัตว์ป่ากันอยู่เสมอ ประกอบกับ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติไม่รัดกุมพอท่ีจะเอาผิดผู้ทาลายป่าและล่าสัตว์ป่าได้ จึงทาให้มีการ ลักลอบทาลายทรัพยากรกันอย่างไม่มีท่ีสิ้นสุด กรมป่าไม้เห็นว่าถ้าปล่อยไว้ให้เป็นป่าสงวนอยู่เช่นเดิม นับวันป่าจะหมดไป สัตวป์ ่าหลายชนิดท่ีมีอยู่ในป่าแหง่ นี้ก็จะถูกล่าสูญพนั ธ์ุไปดว้ ย ทางกรมป่าไม้จึงได้ เข้าไปดาเนินการเพ่ือจัดต้ังให้เป็นเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า เมื่อปี 2508 โดยได้ทาการสารวจเบื้องต้น เพอ่ื ให้ทราบถึงชนิด ปริมาณของสัตว์ป่า สภาพของแหล่งน้า แหลง่ อาหาร ตลอดจนความเหมาะสมใน สานกั อุทยานแห่งชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของป่าไมแ้ ละสตั ว์ปา่ เพอ่ื การจดั ทาแนวเชอ่ื มต่อระบบนเิ วศในพ้นื ท่คี ุ้มครอง 30 : กรณีศึกษาแนวเช่ือมตอ่ ระบบนเิ วศระหวา่ งอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาคชิ ฌกูฏและเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ เขาสอยดาว การท่ีจะจัดให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จึงได้ดาเนินการเพื่อออกพระราชกฤษฎีกากาหนดให้เป็น เขตรักษาพันธุ์สัตวป์ า่ เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ปา่ เขาสอยดาว ต้ังอยู่ในท้องที่ตาบลทรายขาว ตาบลทับไทร อาเภอโป่งน้าร้อน ตาบลตะเคียนทอง ตาบลฉมัน อาเภอมะขาม และตาบลแก่งหางแมว อาเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี มีพืน้ ท่ี 465.602 ไร่ หรือ 745 ตารางกโิ ลเมตร อาณาเขตตดิ ต่อ ทิศเหนอื จรด อาเภอวงั นา้ เย็น จังหวดั สระแก้ว ทศิ ใต้ จรด อทุ ยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ บ้านทุ่งเพล ตาบลฉมัน อาเภอมะขาม จงั หวัดจนั ทบรุ ี ทิศตะวันตก จรด ป่าสงวนแห่งชาติขุนช่อง ตาบลแก่งหางแมว อาเภอแก่งหางแมว และป่าสงวนแหง่ ชาติจนั ตาแป๊ะ อาเภอเขาคิชฌกฏู จังหวดั จันทบรุ ี ทิศตะวนั ออก จรด ขนานและจดมาตามถนนจันทบุรี – สระแก้ว ตาบลทรายขาว ตาบล ปะตง อาเภอสอยดาว ตาบลทับไทร อาเภอโป่งน้าร้อน จังหวัด จันทบุรี เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว ลักษณ ะภูมิประเทศ เป็นภูเขาท่ีสลับซับซ้อน ยอดเขาสอยดาวใต้เป็นยอดเขาสูงสุด สูงจากระดับน้าทะเลปานกลางประมาณ 1,675 เมตร ประกอบด้วยลักษณะทางธรรมชาติท่ีสาคัญมากมาย ลักษณะพ้ืนท่ีมีความลาดชันมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ บริเวณพื้นที่เหล่านี้มักจะมีลาน้า ซึ่งมีลาน้าจากภูเขาไหลผ่าน ซึ่งจะทาให้ลักษณะทาง ภมู ปิ ระเทศโดยทว่ั ไปเป็นแพลกู คลืน่ ลอนชนั (กรมป่าไม้, 2536) ภำพที่ 8 ท่ตี งั้ ของอทุ ยานแห่งชาตเิ ขาคชิ ฌกูฏและเขตรักษาพนั ธ์ุสัตวป์ ่าเขาสอยดาว สานกั อุทยานแหง่ ชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของปา่ ไมแ้ ละสัตวป์ า่ เพอ่ื การจัดทาแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศในพ้ืนท่ีคุม้ ครอง 31 : กรณศี ึกษาแนวเชอื่ มต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอทุ ยานแห่งชาตเิ ขาคิชฌกฏู และเขตรกั ษาพนั ธสุ์ ัตวป์ า่ เขาสอยดาว ภำพที่ 9 พื้นท่ีแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาสอยดาว ระยะเวลำดำเนินกำร สารวจภาคสนามเป็นช่วงฤดูกาล แบ่งเป็น 2 ฤดู ดังน้ี ฤดูแล้ง ตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม 2557 (3 เดือน) ฤดูฝน ตั้งแต่ เดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2557 (3 เดือน) วิเคราะหข์ ้อมลู 2557 – 2560 สานกั อุทยานแหง่ ชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชวี ภาพของป่าไม้และสตั วป์ า่ เพอื่ การจดั ทาแนวเช่อื มตอ่ ระบบนเิ วศในพน้ื ท่คี ุ้มครอง 32 : กรณศี กึ ษาแนวเช่ือมต่อระบบนเิ วศระหวา่ งอุทยานแห่งชาตเิ ขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพนั ธุส์ ตั ว์ป่าเขาสอยดาว ผลและวิจารณ์ ด้านทรัพยากรป่าไม้ สานักอุทยานแหง่ ชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไมแ้ ละสตั ว์ปา่ เพอื่ การจดั ทาแนวเช่อื มตอ่ ระบบนิเวศในพืน้ ทค่ี มุ้ ครอง 33 : กรณีศึกษาแนวเชือ่ มตอ่ ระบบนเิ วศระหว่างอทุ ยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกฏู และเขตรกั ษาพนั ธ์ุสัตวป์ า่ เขาสอยดาว 1. การปกคลมุ ของสงั คมพชื การศึกษาระบบนิเวศในบริเวณพ้ืนท่ีศึกษา โดยภาพถ่ายจากดาวเทียม Landsat 5 และ ดาวเทียม Spot โดยเลือกใช้ช่วงคลื่น (band) และระยะเวลาในการถ่ายทาที่เหมาะสม รวมท้ัง ใช้เทคนิคการปรับชัดด้วยวิธีการต่างๆ นามาพิจารณาจากสี ท่ีตั้ง รูปร่าง ความหยาบละเอียด สภาพแวดล้อม และการตรวจสอบภาคสนาม (ทรงธรรม และคณะ, 2554) สามารถจาแนกระบบนิเวศ แบบต่างๆ ในพ้ืนท่ีแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพันธุ์ สตั วป์ า่ เขาสอยดาว ไดเ้ ป็น 2 ประเภท (แสดงในภาพท่ี 10) ดงั นี้ 1.1 ป่าประเภทไม่ผลดั ใบ (Evergreen Forest) ได้แก่ 1.1.1 ป่าดิบช้ืน (moist evergreen forest) มีการกระจายทั่วพื้นท่ีรวมทั้งหมด 5.931 ตารางกโิ ลเมตร คิดเป็นร้อยละ 39.632 ของพน้ื ทที่ ั้งหมด 1.1.2 ป่าดิบแล้ง (dry evergreen forest) มีการกระจายทั่วพ้ืนท่ีรวมท้ังหมด 6.418 ตารางกโิ ลเมตร คดิ เป็นร้อยละ 42.886 ของพน้ื ทที่ ัง้ หมด 1.2 พน้ื ทีป่ ระเภทอืน่ ๆ ได้แก่ 1.2.1 ป่ารุ่นสอง (secondary forest) พบส่วนใหญ่ทางทิศตะวันตกของพ้ืนท่ีมีการ กระจายรวมท้ังหมด 1.101 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 7.357 ของพ้ืนที่ทงั้ หมด 1.2.2 พื้นท่ีหินโผล่ (outcrop area) พบกระจายเป็นพื้นท่ีเล็กๆ บริเวณตอนกลางของ พ้นื ทแี่ นวเชอื่ มตอ่ รวมท้ังหมด 0.369 ตารางกิโลเมตร คิดเปน็ รอ้ ยละ 2.465 ของพน้ื ทีท่ งั้ หมด 1.2.3 พื้นท่ีเปิดโล่ง (spacious area) พบทางทิศตะวันออกของพ้ืนท่ีมีเพียงเล็กน้อย กระจายทวั่ พน้ื ทีร่ วมท้งั หมด 0.01 ตารางกโิ ลเมตร คดิ เปน็ รอ้ ยละ 0.067 ของพ้ืนที่ทง้ั หมด 1.2.4 พ้ืนท่ีเกษตรกรรม (agricultural area) ส่วนใหญ่พบบริเวณชายขอบป่า ทางด้านทิศตะวันออก และทิศตะวันตกมีขนาดพื้นท่ีกระจายรวมท้ังหมด 1.136 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นรอ้ ยละ 7.591 ของพนื้ ทท่ี ง้ั หมด สานกั อทุ ยานแห่งชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไม้และสัตวป์ ่าเพอ่ื การจดั ทาแนวเช่อื มต่อระบบนเิ วศในพ้ืนทีค่ มุ้ ครอง 34 : กรณศี กึ ษาแนวเชอื่ มต่อระบบนิเวศระหว่างอทุ ยานแห่งชาตเิ ขาคิชฌกฏู และเขตรักษาพันธสุ์ ัตวป์ า่ เขาสอยดาว ภาพที่ 10 แผนท่สี ังคมพืชและการใช้ประโยชน์ที่ดินบรเิ วณแนวเชอ่ื มต่อระบบนิเวศระหว่าง อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกฏู และเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ัตว์ป่าเขาสอยดาว สานักอุทยานแหง่ ชาติ

การวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไม้และสตั ว์ป่าเพอ่ื การจดั ทาแนวเชือ่ มต่อระบบนิเวศในพื้นทีค่ ้มุ ครอง 35 : กรณีศึกษาแนวเชือ่ มตอ่ ระบบนิเวศระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกฏู และเขตรักษาพันธุส์ ตั ว์ป่าเขาสอยดาว 2. การศกึ ษาโครงสรา้ งของสังคมพืช การศึกษาโครงสร้างของสังคมพืชที่พบในพ้ืนที่แนวเชื่อมต่อระบบนิเวศระหว่างอุทยานแห่งชาติ เขาคิชฌกูฏและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว ได้ทาการศึกษาตามวิธีการด้านนิเวศวิทยา ผสมผสานกบั เทคโนโลยดี ้านสารสนเทศภูมิศาสตร์ โดยแยกศกึ ษาในแตล่ ะสังคมพชื ดังน้ี 2.1 ปา่ ดิบชนื้ เป็นป่าธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ โดยสภาพภูมิประเทศเป็นเขาสูง มีปริมาณน้าฝน เฉลี่ยถึงปีละ 3,000 มิลลิเมตร ส่งผลให้ป่าบริเวณพื้นที่น้ีมีความชุ่มชื้นสูงสม่าเสมอทั้งปี ลักษณะ โครงสร้างเป็นป่ารกทึบประกอบด้วยพรรณไม้เกือบทั้งหมดเป็นชนิดท่ีมีความเขียวตลอดทั้งปี เรือนยอด ช้ันบน ส่วนใหญ่เป็น ชัน (Shorea thorelii Pierre ex Laness.) ตาเสือขาว (Dysoxylum alliaceum (Blume) Blume) จั น ท น์ ช ะ ม ด (Aglaia silvestris (M. Roem.) Merr.) ต า เสื อ (Aphanamixis polystachya (Wall.) R. Parker) พญารากดา (Diospyros rubra C. F. Gaertn.) พนั จา (Vatica odorata (Griff.) Symington) ยางแดง (Dipterocarpus turbinatus C. F. Gaertn) ยางเสียน (Dipterocarpus gracilis Blume) ก ระบ ก ก รั ง (Hopea helferi Brandis) ก ระบ าก (Anisoptera costata Korth.) ก่ อ ข้ า ว (Castanopsis inermis (Lindl.) Benth. & Hook.f.) ก่ อ แ พ ะ (Quercus sp.) ก่ อ ห มี (Lithocarpus recurvatus Barnett) ก่อนก (Lithocarpus polystachyus (Wall. ex A. DC.) Rehder) เปน็ ต้น ป่าชนิดนี้ได้รับอิทธิพลจากปริมาณน้าฝน มีความสามารถในการเก็บความช้ืนไว้ในดิน และ ระดับความสูงของพ้ืนท่ีซ่ึงพื้นท่ีที่สูงข้ึนจะส่งผลให้อุณหภูมิลดต่าลงทาให้การเก็บความชื้นในดิน สูงข้ึนและสภาพดินมีความชุ่มชื้นสูงตลอดท้ังปี มักจะพบไม้พุ่มเป็นส่วนใหญ่ เช่น กาลังหนุมาน (Dracaena conferta Ridl.) ล้ินควาย (Galearia fulva (Tul.) Miq.) ซ่ึงอยู่ในระดับความสูงประมาณ 1 - 10 เมตร สานกั อทุ ยานแหง่ ชาติ

การวเิ คราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพของปา่ ไม้และสัตวป์ ่าเพอื่ การจัดทาแนวเชือ่ มต่อระบบนิเวศในพื้นท่คี มุ้ ครอง 36 : กรณีศึกษาแนวเช่อื มตอ่ ระบบนิเวศระหว่างอทุ ยานแห่งชาติเขาคชิ ฌกฏู และเขตรักษาพันธส์ุ ัตว์ป่าเขาสอยดาว ภาพท่ี 11 สภาพป่าแปลงตัวอย่างป่าดิบชื้นฝ่ังตะวันตกบริเวณแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศระหว่าง อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎและเขตรักษาพันธสุ์ ตั ว์ปา่ เขาสอยดาว 2.2 ปา่ ดิบแล้ง ป่าดิบแล้งมีลักษณะโครงสร้างคล้ายกับป่าดิบช้ืน กล่าวคือ เรือนยอดของป่าจะดูเขียวชอุ่ม มากหรือน้อยตลอดปี แต่ในป่าดิบแล้งจะมีไม้ต้นผลัดใบ ข้ึนแทรกกระจายมากหรือน้อย ข้ึนอยู่กับ สภาพดินฟ้าอากาศและความชุ่มชื้นในดิน ป่าดิบแล้งในบริเวณท่ีมีความชุ่มช้ืนในดินน้อยหรือไม่ สม่าเสมอตลอดปี ก็จะปรากฏไม้ผลัดใบมากข้ึนในช้นั เรือนยอด ป่าดิบแล้งในบริเวณท่ีมีความชุ่มช้ืนสูง จะมไี ม้ผลัดใบปะปนอยเู่ ป็นจานวนไม่มากนัก ไม้ตน้ ผลดั ใบของปา่ ดบิ แล้งที่สาคญั (ธวัชชยั , 2555) เช่น ตาเสือ (A. polystachya (Wall.) R.Parker) ขานาง (Homalium tomentosum (Vent.) Benth) สะตอป่า (Parkia speciosa Hassk) คอแลน (Nephelium hypoleucum Kurz) พลอง (Memecylon sp1.) กระเบากลกั (Hydnocarpus ilicifolius King) มะนาวผี (Atalantia monophylla DC.) เปน็ ตน้ สานกั อุทยานแห่งชาติ