Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ (๖)

พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ (๖)

Description: พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ (๖)

Search

Read the Text Version

ราชกิจจานเุ บกษา พระราชบญั ญัติ ให้ใช้พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม พ.ศ. ๒๕๔๓

พระราชบัญญตั ิ ให้ใช้พระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วนั ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นปี ท่ี ๕๕ ในรัชกาลปัจจุบนั พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช มีพระบรมราช โองการโปรดเกลา้ ฯ ให้ประกาศวา่ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ตราพระราชบญั ญตั ิข้ึนไวโ้ ดย คาแนะนาและยนิ ยอมของรัฐสภา ดงั ต่อไปน้ี มาตรา ๑ พระราชบญั ญตั ิน้ีเรียกวา่ “พระราชบญั ญตั ิใหใ้ ชพ้ ระธรรมนูญ ศาลยตุ ิธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓” มาตรา ๒[๑] พระราชบญั ญตั ิน้ีให้ใชบ้ งั คบั ต้งั แต่วนั ถดั จากวนั ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเป็นตน้ ไป มาตรา ๓ ใหย้ กเลิกพระราชบญั ญตั ิให้ใชพ้ ระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๗ และพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมซ่ึงไดใ้ ชบ้ งั คบั โดย พระราชบญั ญตั ิดงั กล่าว

มาตรา ๔ ใหใ้ ชบ้ ทบญั ญตั ิทา้ ยพระราชบญั ญตั ิน้ีเป็นพระธรรมนูญศาล ยตุ ิธรรม มาตรา ๕ พระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมทา้ ยพระราชบญั ญตั ิน้ีใหใ้ ชบ้ งั คบั แก่บรรดาคดีท่ีไดย้ น่ื ฟ้องในวนั ที่พระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมทา้ ยพระราชบญั ญตั ิน้ีใช้ บงั คบั เป็นตน้ ไป ไมว่ า่ มลู คดีไดเ้ กิดข้ึนก่อนหรือในวนั ท่ีพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมทา้ ย พระราชบญั ญตั ิน้ีใชบ้ งั คบั บรรดาคดีท่ีไดย้ น่ื ฟ้องก่อนวนั ท่ีพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมทา้ ย พระราชบญั ญตั ิน้ีใชบ้ งั คบั ใหบ้ งั คบั ตามกฎหมายซ่ึงใชอ้ ยกู่ ่อนวนั ท่ีพระธรรมนูญศาล ยตุ ิธรรมทา้ ยพระราชบญั ญตั ิน้ีใชบ้ งั คบั จนกวา่ คดีจะถึงท่ีสุด เวน้ แตม่ าตรา ๒๘ มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐ และมาตรา ๓๑ แห่งพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมทา้ ยพระราชบญั ญตั ิน้ี ใหใ้ ชบ้ งั คบั แก่คดีในลกั ษณะดงั กล่าวนบั แตว่ นั ที่ ๑๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๖ ใหผ้ ทู้ ่ีดารงตาแหน่งรองประธานศาลฎีกา และรองอธิบดีผู้ พพิ ากษาศาลช้นั ตน้ เฉพาะท่ีมีอาวโุ สถดั จากรองประธานศาลฎีกา และรองอธิบดีผู้ พิพากษาศาลช้นั ตน้ คนที่สาม และรองอธิบดีผูพ้ ิพากษาภาคอยใู่ นวนั ที่พระธรรมนูญ ศาลยตุ ิธรรมทา้ ยพระราชบญั ญตั ิน้ีใชบ้ งั คบั คงดารงตาแหน่งดงั กล่าวไดต้ อ่ ไปจนกวา่ จะไดร้ ับแตง่ ต้งั ให้ไปดารงตาแหน่งอื่น แตต่ อ้ งไม่เกินวนั ท่ี ๑๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้ผทู้ ี่ดารงตาแหน่งรองอธิบดีผพู้ ิพากษาศาลอทุ ธรณ์ และรองอธิบดีผู้ พพิ ากษาศาลอุทธรณ์ภาค เฉพาะที่มีอาวโุ สถดั จากรองอธิบดีผพู้ ิพากษาศาลอุทธรณ์ และรองอธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ภาคคนที่หน่ึง อยใู่ นวนั ที่พระธรรมนูญศาล ยตุ ิธรรมทา้ ยพระราชบญั ญตั ิน้ีใชบ้ งั คบั คงดารงตาแหน่งดงั กล่าวไดต้ ่อไปจนกวา่ จะ ไดร้ ับแตง่ ต้งั ให้ไปดารงตาแหน่งอื่น แตต่ อ้ งไม่เกินวนั ท่ี ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้ผทู้ ี่ดารงตาแหน่งอยตู่ ามวรรคหน่ึงและวรรคสอง มีหนา้ ที่ช่วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผพู้ พิ ากษาศาล

ช้นั ตน้ และอธิบดีผพู้ พิ ากษาภาค ตามที่ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธาน ศาลอทุ ธรณ์ภาค อธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ และอธิบดีผพู้ ิพากษาภาคมอบหมาย แลว้ แตก่ รณี มาตรา ๗ บรรดาพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบราชการฝ่าย ตลุ าการ ระเบียบ ขอ้ บงั คบั และบรรดาคาสง่ั ต่าง ๆ ของรัฐมนตรีวา่ การกระทรวง ยตุ ิธรรมท่ีตรา หรือออกโดยอาศยั อานาจตามพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมซ่ึงได้ใชบ้ งั คบั โดยพระราชบญั ญตั ิให้ใชพ้ ระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๗ ก่อนวนั ที่ พระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมทา้ ยพระราชบญั ญตั ิน้ีใชบ้ งั คบั ใหค้ งใชบ้ งั คบั ไดต้ ่อไป จนกวา่ จะมีประกาศ ระเบียบ หรือคาสง่ั ตามพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมทา้ ย พระราชบญั ญตั ิน้ีออกใชบ้ งั คบั แทน มาตรา ๘ ให้ประธานศาลฎีการักษาการตามพระราชบญั ญตั ิน้ี ผรู้ ับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภยั นายกรัฐมนตรี

พระธรรมนูญศาลยุติธรรม หมวด ๑ บททั่วไป มาตรา ๑ ศาลยตุ ิธรรมตามพระธรรมนูญน้ีมีสามช้นั คือ ศาลช้นั ตน้ ศาล อุทธรณ์ และศาลฎีกา เวน้ แต่จะมีกฎหมายบญั ญตั ิไวเ้ ป็นอยา่ งอื่น มาตรา ๒ ศาลช้นั ตน้ ไดแ้ ก่ ศาลแพง่ ศาลแพง่ กรุงเทพใต้ ศาลแพง่ ธนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบรุ ี ศาลจงั หวดั ศาลแขวง และศาล ยตุ ิธรรมอ่ืนท่ีพระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลน้นั กาหนดให้เป็นศาลช้นั ตน้ มาตรา ๓ ศาลอทุ ธรณ์ ไดแ้ ก่ ศาลอทุ ธรณ์และศาลอทุ ธรณ์ภาค มาตรา ๔ ศาลฎีกา ศาลอทุ ธรณ์ และศาลช้นั ตน้ อาจแบง่ ส่วนราชการเป็น แผนกหรือหน่วยงานที่เรียกช่ืออยา่ งอ่ืน และจะใหม้ ีอานาจในคดีประเภทใดหรือคดีใน ทอ้ งท่ีใด ซ่ึงอยใู่ นเขตอานาจของแต่ละศาลน้นั แยกตา่ งหากโดยเฉพาะก็ได้ โดย ออกเป็นประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรม ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรมตามวรรคหน่ึง เม่ือประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาแลว้ ให้ใชบ้ งั คบั ได้ มาตรา ๕ ให้ประธานศาลฎีกามีหนา้ ที่วางระเบียบราชการฝ่ายตลุ าการ ของศาลยตุ ิธรรม เพ่ือใหก้ ิจการของศาลยตุ ิธรรมดาเนินไปโดยเรียบร้อยและเป็น

ระเบียบเดียวกนั และใหป้ ระธานศาลฎีกามีอานาจดูแลให้ผพู้ พิ ากษาปฏิบตั ิตามระเบียบ วิธีการต่าง ๆ ท่ีกาหนดข้ึนโดยกฎหมายหรือโดยประการอ่ืนใหเ้ ป็นไปโดยถูกตอ้ ง มาตรา ๖ ใหเ้ ลขาธิการสานกั งานศาลยตุ ิธรรมโดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรมมีอานาจเสนอความเห็นเกี่ยวกบั การจดั ต้งั การยบุ เลิก หรือการเปลี่ยนแปลงเขตอานาจศาลของศาลยตุ ิธรรมต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อ พิจารณาดาเนินการ ท้งั น้ี โดยคานึงถึงจานวน สภาพ สถานท่ีต้งั และเขตอานาจศาล ตามท่ีจาเป็นเพือ่ ใหก้ ารอานวยความยตุ ิธรรมแก่ประชาชนเป็นไปโดยเรียบร้อยตลอด ราชอาณาจกั ร มาตรา ๗ ให้คณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรมกาหนดจานวนผู้ พพิ ากษาในศาลยตุ ิธรรมให้เหมาะสมตามความจาเป็นแห่งราชการ มาตรา ๘ ใหม้ ีประธานศาลฎีกาประจาศาลฎีกาหน่ึงคน ประธานศาล อทุ ธรณ์ประจาศาลอทุ ธรณ์หน่ึงคน ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาคประจาศาลอทุ ธรณ์ภาค ศาลละหน่ึงคน และให้มีอธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ ประจาศาลแพง่ ศาลแพง่ กรุงเทพ ใต้ ศาลแพง่ ธนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบรุ ี และศาลยตุ ิธรรม อื่นที่พระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลน้นั กาหนดให้เป็นศาลช้นั ตน้ ศาลละหน่ึงคน กบั ใหม้ ี รองประธานศาลฎีกาประจาศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ประจาศาลอุทธรณ์ รอง ประธานศาลอุทธรณ์ภาคประจาศาลอทุ ธรณ์ภาค และรองอธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ ประจาศาลแพ่ง ศาลแพง่ กรุงเทพใต้ ศาลแพง่ ธนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี และศาลยตุ ิธรรมอ่ืนที่พระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลน้นั กาหนดให้เป็นศาล ช้นั ตน้ ศาลละหน่ึงคน และในกรณีท่ีมีความจาเป็นเพ่ือประโยชน์ในทางราชการ คณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรม โดยความเห็นชอบของประธานศาลฎีกา จะ กาหนดให้มีรองประธานศาลฎีกา หรือรองอธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ มากกวา่ หน่ึงคน แตไ่ ม่เกินสามคนกไ็ ด้

เมื่อตาแหน่งประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ ภาค หรืออธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ วา่ งลง หรือเมื่อผดู้ ารงตาแหน่งดงั กล่าวไม่อาจ ปฏิบตั ิราชการได้ ให้รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาล อุทธรณ์ภาค หรือรองอธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ แลว้ แตก่ รณี เป็นผทู้ าการแทน ถา้ มี รองประธานศาลฎีกา หรือรองอธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ หลายคน ให้รองประธาน ศาลฎีกา หรือรองอธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ ที่มีอาวโุ สสูงสุดเป็นผทู้ าการแทน ถา้ ผทู้ ่ี มีอาวโุ สสูงสุดไม่อาจปฏิบตั ิราชการได้ ให้ผทู้ ่ีมีอาวโุ สถดั ลงมาตามลาดบั เป็นผทู้ าการ แทน ในกรณีที่ไมม่ ีผทู้ าการแทนประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรืออธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ ตามวรรคสอง หรือมีแตไ่ ม่ อาจปฏิบตั ิราชการได้ ให้ผพู้ พิ ากษาท่ีมีอาวโุ สสูงสุดในศาลน้นั เป็นผทู้ าการแทน ถา้ ผทู้ ่ี มีอาวโุ สสูงสุดไม่อาจปฏิบตั ิราชการได้ ให้ผพู้ พิ ากษาที่มีอาวโุ สถดั ลงมาตามลาดบั เป็น ผทู้ าการแทน ในกรณีท่ีไม่มีผทู้ าการแทนตามวรรคสาม ประธานศาลฎีกาจะสง่ั ใหผ้ ู้ พพิ ากษาคนหน่ึงเป็นผทู้ าการแทนก็ได้ ผพู้ ิพากษาอาวโุ สหรือผพู้ พิ ากษาประจาศาลจะเป็นผทู้ าการแทนใน ตาแหน่งตามวรรคหน่ึงไม่ได้ มาตรา ๙ ในศาลจงั หวดั หรือศาลแขวง ใหม้ ีผพู้ ิพากษาหวั หนา้ ศาล ศาล ละหน่ึงคน เมื่อตาแหน่งผพู้ ิพากษาหวั หน้าศาลจงั หวดั หรือผพู้ ิพากษาหวั หนา้ ศาล แขวงวา่ งลง หรือเม่ือผดู้ ารงตาแหน่งดงั กล่าวไมอ่ าจปฏิบตั ิราชการได้ ให้ผพู้ พิ ากษาท่ีมี อาวโุ สสูงสุดในศาลน้นั เป็นผทู้ าการแทน ถา้ ผทู้ ี่มีอาวโุ สสูงสุดในศาลน้นั ไม่อาจปฏิบตั ิ ราชการได้ ใหผ้ พู้ พิ ากษาที่มีอาวโุ สถดั ลงมาตามลาดบั ในศาลน้นั เป็นผทู้ าการแทน ในกรณีที่ไม่มีผทู้ าการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎีกาจะส่งั ใหผ้ ู้ พิพากษาคนหน่ึงเป็นผทู้ าการแทนกไ็ ด้

ผพู้ พิ ากษาอาวโุ สหรือผพู้ พิ ากษาประจาศาลจะเป็นผทู้ าการแทนใน ตาแหน่งตามวรรคหน่ึงไม่ได้ มาตรา ๑๐ ในกรณีที่มีการแบ่งส่วนราชการในศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ หรือศาลช้นั ตน้ ออกเป็นแผนกหรือหน่วยงานท่ีเรียกชื่ออยา่ งอ่ืน ใหม้ ีผพู้ ิพากษา หวั หนา้ แผนกหรือผพู้ พิ ากษาหวั หนา้ หน่วยงานท่ีเรียกช่ืออยา่ งอื่น แผนกหรือ หน่วยงานละหน่ึงคน เมื่อตาแหน่งผพู้ ิพากษาหวั หนา้ แผนกหรือผพู้ ิพากษาหวั หนา้ หน่วยงานท่ี เรียกช่ืออยา่ งอ่ืนตามวรรคหน่ึงวา่ งลง หรือเม่ือผดู้ ารงตาแหน่งดงั กล่าวไม่อาจปฏิบตั ิ ราชการได้ ให้ผพู้ ิพากษาที่มีอาวโุ สสูงสุดในแผนกหรือในหน่วยงานที่เรียกช่ืออยา่ งอื่น น้นั เป็นผทู้ าการแทน ถา้ ผทู้ ่ีมีอาวโุ สสูงสุดในแผนกหรือในหน่วยงานท่ีเรียกชื่ออยา่ ง อ่ืนน้นั ไม่อาจปฏิบตั ิราชการได้ ใหผ้ พู้ ิพากษาที่มีอาวุโสถดั ลงมาตามลาดบั ในแผนก หรือในหน่วยงานท่ีเรียกช่ืออยา่ งอ่ืนน้นั เป็นผทู้ าการแทน ในกรณีท่ีไม่มีผทู้ าการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎีกาจะสง่ั ให้ผู้ พิพากษาคนหน่ึงเป็นผทู้ าการแทนกไ็ ด้ ผพู้ พิ ากษาอาวโุ สหรือผพู้ ิพากษาประจาศาลจะทาการแทนในตาแหน่ง ตามวรรคหน่ึงไมไ่ ด้ มาตรา ๑๑ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ ภาค อธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ และผพู้ ิพากษาหัวหนา้ ศาล ตอ้ งรับผดิ ชอบในราชการ ของศาลใหเ้ ป็นไปโดยเรียบร้อย และให้มีอานาจหนา้ ที่ดงั ต่อไปน้ีดว้ ย (๑) นง่ั พจิ ารณาและพพิ ากษาคดีที่มีผลกระทบตอ่ ความมน่ั คงของรัฐหรือ เป็นท่ีสนใจของประชาชน คดีท่ีเป็นความผดิ อาญาร้ายแรง คดีที่มีทนุ ทรัพยส์ ูง และคดี ละเมิดอานาจศาล ท้งั น้ี ตามหลกั เกณฑท์ ี่กาหนดในระเบียบราชการฝ่ายตุลาการของ ศาลยตุ ิธรรม

(๒) สง่ั คาร้องคาขอต่าง ๆ ที่ยนื่ ตอ่ ตนตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายวา่ ดว้ ย วธิ ีพิจารณาความ (๓) ระมดั ระวงั การใชร้ ะเบียบวธิ ีการตา่ ง ๆ ที่กาหนดข้ึนโดยกฎหมาย หรือโดยประการอื่นใหเ้ ป็นไปโดยถูกตอ้ ง เพือ่ ให้การพิจารณาพพิ ากษาคดีเสร็จ เดด็ ขาดไปโดยเร็ว (๔) ใหค้ าแนะนาแก่ผพู้ ิพากษาในศาลน้นั ในขอ้ ขดั ขอ้ งเน่ืองในการ ปฏิบตั ิหนา้ ที่ของผพู้ พิ ากษา (๕) ร่วมมือกบั เจา้ พนกั งานฝ่ายปกครองในบรรดากิจการอนั เกี่ยวกบั การ จดั วางระเบียบและการดาเนินการงานส่วนธุรการของศาล (๖) ทารายงานการคดีและกิจการของศาลส่งตามระเบียบ (๗) มีอานาจหนา้ ที่อ่ืนตามที่กฎหมายกาหนด ใหร้ องประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาล อุทธรณ์ภาค หรือรองอธิบดีผูพ้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ มีอานาจตาม (๒) ดว้ ย และให้มี หนา้ ที่ช่วยประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรือ อธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ แลว้ แตก่ รณี ตามที่ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรืออธิบดีผูพ้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ มอบหมาย มาตรา ๑๒ ผพู้ พิ ากษาหวั หนา้ แผนกหรือผพู้ ิพากษาหวั หนา้ หน่วยงานที่ เรียกชื่ออยา่ งอื่นตามมาตรา ๑๐ วรรคหน่ึง ตอ้ งรับผดิ ชอบงานของแผนกหรือ หน่วยงานที่เรียกชื่ออยา่ งอ่ืนให้เป็นไปโดยเรียบร้อยตามท่ีกาหนดไวใ้ นประกาศคณะ กรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรมที่ไดจ้ ดั ต้งั แผนกหรือหน่วยงานที่เรียกช่ืออยา่ งอ่ืนน้นั และตอ้ งปฏิบตั ิตามคาสงั่ ของประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาล อทุ ธรณ์ภาค อธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ หรือผพู้ ิพากษาหวั หนา้ ศาลน้นั

มาตรา ๑๓ ใหม้ ีอธิบดีผพู้ ิพากษาภาค ภาคละหน่ึงคน จานวนเกา้ ภาค มี สถานท่ีต้งั และเขตอานาจตามที่คณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรมกาหนด โดย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อตาแหน่งอธิบดีผพู้ ิพากษาภาควา่ งลงหรือเมื่ออธิบดีผูพ้ พิ ากษาภาคไม่ อาจปฏิบตั ิราชการได้ ให้ประธานศาลฎีกาสง่ั ใหผ้ พู้ พิ ากษาคนหน่ึงเป็นผทู้ าการแทน ผพู้ พิ ากษาอาวโุ สหรือผพู้ พิ ากษาประจาศาลจะเป็นผทู้ าการแทนใน ตาแหน่งตามวรรคหน่ึงไม่ได้ มาตรา ๑๔ ใหอ้ ธิบดีผพู้ พิ ากษาภาคเป็นผพู้ ิพากษาในศาลท่ีอยใู่ นเขต อานาจดว้ ยผหู้ น่ึง โดยใหม้ ีอานาจและหนา้ ที่ตามท่ีกาหนดไวใ้ นมาตรา ๑๑ วรรคหน่ึง และใหม้ ีอานาจหนา้ ที่ดงั ตอ่ ไปน้ีดว้ ย (๑) สงั่ ใหห้ วั หนา้ สานกั งานประจาศาลยตุ ิธรรมรายงานเก่ียวดว้ ยคดี หรือ รายงานกิจการอ่ืนของศาลท่ีอยใู่ นเขตอานาจของตน (๒) ในกรณีจาเป็นจะสงั่ ให้ผพู้ พิ ากษาคนใดคนหน่ึงในศาลที่อยใู่ นเขต อานาจของตนไปช่วยทางานชวั่ คราวมีกาหนดไม่เกินสามเดือนในอีกศาลหน่ึงโดย ความยนิ ยอมของผพู้ พิ ากษาน้นั ก็ได้ แลว้ รายงานไปยงั ประธานศาลฎีกาทนั ที หมวด ๒ เขตอานาจศาล มาตรา ๑๕ หา้ มมิใหศ้ าลยตุ ิธรรมศาลใดศาลหน่ึงรับคดีซ่ึงศาลยตุ ิธรรม อื่นไดส้ งั่ รับประทบั ฟ้องโดยชอบแลว้ ไวพ้ ิจารณาพิพากษา เวน้ แต่คดีน้นั จะไดโ้ อนมา ตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายว่าดว้ ยวิธีพจิ ารณาความหรือตามพระธรรมนูญศาล ยตุ ิธรรม

มาตรา ๑๖ ศาลช้นั ตน้ มีเขตตามท่ีพระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลน้นั กาหนด ไว้ ศาลแพง่ และศาลอาญา มีเขตตลอดทอ้ งที่กรุงเทพมหานครนอกจาก ทอ้ งที่ที่อยใู่ นเขตของศาลแพง่ กรุงเทพใต้ ศาลแพง่ ธนบุรี ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาล อาญาธนบุรี ศาลจงั หวดั มีนบรุ ี และศาลยตุ ิธรรมอ่ืนตามท่ีพระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลน้นั กาหนดไว้ ในกรณีที่มีการยน่ื ฟ้องคดีต่อศาลแพ่งหรือศาลอาญา และคดีน้นั เกิดข้ึน นอกเขตของศาลแพง่ หรือศาลอาญา ศาลแพง่ หรือศาลอาญา แลว้ แตก่ รณี อาจใช้ ดุลพนิ ิจยอมรับไวพ้ จิ ารณาพพิ ากษาหรือมีคาสง่ั โอนคดีไปยงั ศาลยตุ ิธรรมอ่ืนท่ีมีเขต อานาจ ในกรณีที่มีการยนื่ ฟ้องคดีต่อศาลจงั หวดั และคดีน้นั เกิดข้ึนในเขตของ ศาลแขวงและอยใู่ นอานาจของศาลแขวง ให้ศาลจงั หวดั น้นั มีคาสง่ั โอนคดีไปยงั ศาล แขวงที่มีเขตอานาจ มาตรา ๑๗ ศาลแขวงมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอานาจทาการ ไต่สวน หรือมีคาสง่ั ใด ๆ ซ่ึงผพู้ ิพากษาคนเดียวมีอานาจตามท่ีกาหนดไวใ้ นมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๕ วรรคหน่ึง มาตรา ๑๘ ศาลจงั หวดั มีอานาจพิจารณาพพิ ากษาคดีแพง่ และคดีอาญา ท้งั ปวงท่ีมิไดอ้ ยใู่ นอานาจของศาลยตุ ิธรรมอื่น มาตรา ๑๙ ศาลแพง่ ศาลแพง่ กรุงเทพใต้ และศาลแพง่ ธนบุรีมีอานาจ พจิ ารณาพพิ ากษาคดีแพง่ ท้งั ปวงและคดีอ่ืนใดท่ีมิไดอ้ ยใู่ นอานาจของศาลยตุ ิธรรมอ่ืน ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ และศาลอาญาธนบุรีมีอานาจพิจารณา พิพากษาคดีอาญาท้งั ปวงท่ีมิไดอ้ ยใู่ นอานาจของศาลยตุ ิธรรมอื่น รวมท้งั คดีอ่ืนใดท่ีมี กฎหมายบญั ญตั ิใหอ้ ยใู่ นอานาจของศาลท่ีมีอานาจพิจารณาคดีอาญา แลว้ แต่กรณี

มาตรา ๒๐ ศาลยตุ ิธรรมอื่นมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีตามท่ี พระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลน้นั หรือกฎหมายอ่ืนกาหนดไว้ มาตรา ๒๑ ศาลอทุ ธรณ์มีเขตตลอดทอ้ งท่ีท่ีมิไดอ้ ยใู่ นเขตศาลอุทธรณ์ ภาค ในกรณีที่มีการยน่ื อุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ และคดีน้นั อยนู่ อกเขตของ ศาลอทุ ธรณ์ ศาลอุทธรณ์อาจใชด้ ุลพินิจยอมรับไวพ้ ิจารณาพพิ ากษาหรือมีคาสง่ั โอน คดีน้นั ไปยงั ศาลอทุ ธรณ์ภาคที่มีเขตอานาจ มาตรา ๒๒ ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอานาจพิจารณาพพิ ากษา บรรดาคดีท่ีอทุ ธรณ์คาพิพากษาหรือคาสง่ั ของศาลช้นั ตน้ ตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมาย วา่ ดว้ ยการอทุ ธรณ์ และวา่ ดว้ ยเขตอานาจศาล และมีอานาจดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) พพิ ากษายนื ตาม แกไ้ ข กลบั หรือยกคาพิพากษาของศาลช้นั ตน้ ท่ี พพิ ากษาลงโทษประหารชีวติ หรือจาคุกตลอดชีวติ ในเมื่อคดีน้นั ไดส้ ่งข้ึนมายงั ศาล อทุ ธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บญั ญตั ิไวใ้ นกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา (๒) วินิจฉยั ช้ีขาดคาร้องคาขอที่ยนื่ ต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลอทุ ธรณ์ภาค ตามกฎหมาย (๓) วินิจฉยั ช้ีขาดคดีท่ีศาลอทุ ธรณ์และศาลอทุ ธรณ์ภาคมีอานาจวนิ ิจฉยั ไดต้ ามกฎหมายอื่น มาตรา ๒๓ ศาลฎีกามีอานาจพจิ ารณาพิพากษาบรรดาคดีท่ีอุทธรณ์คา พิพากษาหรือคาสง่ั ของศาลอทุ ธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค และคดีท่ีอทุ ธรณ์คาพพิ ากษา หรือคาสง่ั ของศาลช้นั ตน้ โดยตรงต่อศาลฎีกาตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายวา่ ดว้ ยการ อทุ ธรณ์หรือฎีกาและคดีท่ีกฎหมายอื่นบญั ญตั ิใหศ้ าลฎีกามีอานาจพิจารณาพิพากษา รวมท้งั มีอานาจวนิ ิจฉยั ช้ีขาดหรือสง่ั คาร้องคาขอที่ยนื่ ตอ่ ศาลฎีกาตามกฎหมาย

คดีท่ีศาลฎีกาไดพ้ ิจารณาพิพากษาหรือมีคาสงั่ แลว้ คู่ความไม่มีสิทธิที่จะ ทูลเกลา้ ฯ ถวายฎีกาคดั คา้ นคดีน้นั ตอ่ ไป หมวด ๓ องค์คณะผู้พพิ ากษา จงั หวดั อื่น มาตรา ๒๔ ให้ผพู้ ิพากษาคนหน่ึงมีอานาจดงั ต่อไปน้ี (๑) ออกหมายเรียก หมายอาญา หรือหมายสง่ั ให้ส่งคนมาจากหรือไปยงั (๒) ออกคาสงั่ ใด ๆ ซ่ึงมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉยั ช้ีขาดขอ้ พิพาทแห่งคดี มาตรา ๒๕ ในศาลช้นั ตน้ ผพู้ ิพากษาคนเดียวเป็นองคค์ ณะมีอานาจเก่ียว แก่คดีซ่ึงอยใู่ นอานาจของศาลน้นั ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ไตส่ วนและวินิจฉยั ช้ีขาดคาร้องหรือคาขอท่ียน่ื ต่อศาลในคดีท้งั ปวง (๒) ไตส่ วนและมีคาสง่ั เก่ียวกบั วิธีการเพื่อความปลอดภยั (๓) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคาสงั่ ในคดีอาญา (๔) พจิ ารณาพิพากษาคดีแพง่ ซ่ึงราคาทรัพยส์ ินท่ีพพิ าทหรือจานวนเงิน ที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพยส์ ินท่ีพพิ าทหรือจานวนเงินดงั กล่าวอาจขยายได้ โดยการตราเป็ นพระราชกฤษฎีกา (๕) พจิ ารณาพพิ ากษาคดีอาญา ซ่ึงกฎหมายกาหนดอตั ราโทษอยา่ งสูงไว้ ใหจ้ าคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ แตจ่ ะลงโทษ จาคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหน่ึงหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ ซ่ึงโทษจาคุกหรือ ปรับอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงหรือท้งั สองอยา่ งเกินอตั ราที่กล่าวแลว้ ไม่ได้ ผพู้ ิพากษาประจาศาลไม่มีอานาจตาม (๓) (๔) หรือ (๕)

มาตรา ๒๖ ภายใตบ้ งั คบั มาตรา ๒๕ ในการพจิ ารณาพิพากษาคดีของ ศาลช้นั ตน้ นอกจากศาลแขวงและศาลยตุ ิธรรมอ่ืนซ่ึงพระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลน้นั กาหนดไวเ้ ป็นอยา่ งอื่น ตอ้ งมีผูพ้ พิ ากษาอยา่ งนอ้ ยสองคนและตอ้ งไม่เป็นผูพ้ ิพากษา ประจาศาลเกินหน่ึงคน จึงเป็นองคค์ ณะท่ีมีอานาจพจิ ารณาพิพากษาคดีแพง่ หรือ คดีอาญาท้งั ปวง มาตรา ๒๗ ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอทุ ธรณ์ ศาลอุทธรณ์ ภาคหรือศาลฎีกา ตอ้ งมีผพู้ ิพากษาอยา่ งนอ้ ยสามคน จึงเป็นองคค์ ณะท่ีมีอานาจ พจิ ารณาพพิ ากษาคดีได้ ผพู้ พิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ ผพู้ พิ ากษาศาลอุทธรณ์ภาค และผพู้ ิพากษาศาล ฎีกา ที่เขา้ ประชุมใหญใ่ นศาลน้นั หรือในแผนกคดีของศาลดงั กล่าว เม่ือไดต้ รวจ สานวนคดีท่ีประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีแลว้ มีอานาจพพิ ากษาหรือทาคาสง่ั คดี น้นั ได้ และเฉพาะในศาลอทุ ธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีอานาจทาความเห็นแยง้ ไดด้ ว้ ย มาตรา ๒๘ ในระหวา่ งการพิจารณาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสยั หรือมีเหตุ จาเป็นอ่ืนอนั มิอาจกา้ วล่วงได้ ทาให้ผพู้ ิพากษาซ่ึงเป็นองคค์ ณะในการพจิ ารณาคดีน้นั ไมอ่ าจจะนงั่ พิจารณาคดีต่อไป ใหผ้ พู้ ิพากษาดงั ต่อไปน้ีนง่ั พิจารณาคดีน้นั แทนต่อไป ได้ (๑) ในศาลฎีกา ไดแ้ ก่ ประธานศาลฎีกา หรือรองประธานศาลฎีกา หรือผู้ พพิ ากษาในศาลฎีกาซ่ึงประธานศาลฎีกามอบหมาย (๒) ในศาลอทุ ธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค ไดแ้ ก่ ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรือผพู้ พิ ากษาในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคซ่ึงประธานศาลอทุ ธรณ์หรือ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค แลว้ แตก่ รณี มอบหมาย (๓) ในศาลช้นั ตน้ ไดแ้ ก่ อธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ อธิบดีผพู้ ิพากษา ภาค ผพู้ พิ ากษาหวั หนา้ ศาล หรือรองอธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ หรือผพู้ พิ ากษาในศาล

ช้นั ตน้ ของศาลน้นั ซ่ึงอธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ อธิบดีผพู้ ิพากษาภาค หรือผพู้ พิ ากษา หวั หนา้ ศาล แลว้ แต่กรณี มอบหมาย ใหผ้ ทู้ าการแทนในตาแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๓ มีอานาจตาม (๑) (๒) และ (๓) ดว้ ย มาตรา ๒๙ ในระหวา่ งการทาคาพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสยั หรือ เหตจุ าเป็นอ่ืนอนั มิอาจกา้ วล่วงได้ ทาให้ผพู้ พิ ากษาซ่ึงเป็นองคค์ ณะในการพจิ ารณาคดี น้นั ไม่อาจจะทาคาพิพากษาในคดีน้นั ต่อไปได้ ให้ผพู้ ิพากษาดงั ต่อไปน้ีมีอานาจลง ลายมือช่ือทาคาพพิ ากษา และเฉพาะในศาลอทุ ธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลช้นั ตน้ มี อานาจทาความเห็นแยง้ ไดด้ ว้ ย ท้งั น้ี หลงั จากไดต้ รวจสานวนคดีน้นั แลว้ (๑) ในศาลฎีกา ไดแ้ ก่ ประธานศาลฎีกาหรือรองประธานศาลฎีกา (๒) ในศาลอทุ ธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค ไดแ้ ก่ ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองประธานศาลอทุ ธรณ์ หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค แลว้ แตก่ รณี (๓) ในศาลช้นั ตน้ ไดแ้ ก่ อธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ อธิบดีผพู้ พิ ากษา ภาค รองอธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ หรือผพู้ ิพากษาหวั หน้าศาล แลว้ แตก่ รณี ใหผ้ ทู้ าการแทนในตาแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๓ มีอานาจตาม (๑) (๒) และ (๓) ดว้ ย มาตรา ๓๐ เหตุจาเป็นอื่นอนั มิอาจกา้ วล่วงไดต้ ามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ หมายถึง กรณีท่ีผพู้ ิพากษาซ่ึงเป็นองคค์ ณะนงั่ พิจารณาคดีน้นั พน้ จากตาแหน่งท่ี ดารงอยหู่ รือถูกคดั คา้ นและถอนตวั ไป หรือไมอ่ าจปฏิบตั ิราชการจนไมส่ ามารถนงั่ พจิ ารณาหรือทาคาพพิ ากษาในคดีน้นั ได้ มาตรา ๓๑ เหตจุ าเป็นอ่ืนอนั มิอาจกา้ วล่วงไดต้ ามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ นอกจากท่ีกาหนดไวใ้ นมาตรา ๓๐ แลว้ ใหห้ มายความรวมถึงกรณีดงั ต่อไปน้ีดว้ ย

(๑) กรณีท่ีผพู้ ิพากษาคนเดียวไตส่ วนมูลฟ้องคดีอาญาแลว้ เห็นวา่ ควร พพิ ากษายกฟ้อง แต่คดีน้นั มีอตั ราโทษตามท่ีกฎหมายกาหนดเกินกวา่ อตั ราโทษตาม มาตรา ๒๕ (๕) (๒) กรณีท่ีผพู้ ิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีอาญาตามมาตรา ๒๕ (๕) แลว้ เห็นวา่ ควรพิพากษาลงโทษจาคุกเกินกวา่ หกเดือน หรือปรับเกินหน่ึงหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ ซ่ึงโทษจาคุกหรือปรับน้นั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง หรือท้งั สองอยา่ งเกินอตั รา ดงั กล่าว (๓) กรณีที่คาพิพากษาหรือคาสง่ั คดีแพง่ เรื่องใดของศาลน้นั จะตอ้ ง กระทาโดยองคค์ ณะซ่ึงประกอบดว้ ยผพู้ ิพากษาหลายคน และผพู้ ิพากษาในองคค์ ณะ น้นั มีความเห็นแยง้ กนั จนหาเสียงขา้ งมากมิได้ (๔) กรณีท่ีผพู้ พิ ากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพง่ ตามมาตรา ๒๕ (๔) ไป แลว้ ต่อมาปรากฏวา่ ราคาทรัพยส์ ินที่พพิ าทหรือจานวนเงินท่ีฟ้องเกินกวา่ อานาจ พจิ ารณาพพิ ากษาของผพู้ ิพากษาคนเดียว หมวด ๔ การจ่าย การโอน และการเรียกคืนสานวนคดี มาตรา ๓๒ ให้ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาล อุทธรณ์ภาค อธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ ผพู้ ิพากษาหวั หนา้ ศาล หรือผพู้ พิ ากษาหวั หนา้ แผนกคดีในแตล่ ะศาล แลว้ แตก่ รณี รับผิดชอบในการจ่ายสานวนคดีใหแ้ ก่องคค์ ณะผู้ พพิ ากษาในศาลหรือในแผนกคดีน้นั โดยให้ปฏิบตั ิตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการท่ีกาหนด โดยระเบียบราชการฝ่ ายตุลาการของศาลยตุ ิธรรม การออกระเบียบราชการฝ่ ายตลุ าการของศาลยตุ ิธรรมตามวรรคหน่ึง ให้ คานึงถึงความเชี่ยวชาญและความเหมาะสมขององคค์ ณะผพู้ พิ ากษาท่ีจะรับผิดชอบ สานวนคดีน้นั รวมท้งั ปริมาณคดีที่องคค์ ณะผพู้ ิพากษาแตล่ ะองคค์ ณะรับผิดชอบ

มาตรา ๓๓ การเรียกคืนสานวนคดีหรือการโอนสานวนคดีซ่ึงอยใู่ น ความรับผิดชอบขององคค์ ณะผพู้ ิพากษาใด ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค อธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ หรือผพู้ พิ ากษาหวั หนา้ ศาล จะ กระทาไดต้ อ่ เม่ือเป็นกรณีท่ีจะกระทบกระเทือนต่อความยตุ ิธรรมในการพิจารณาหรือ พพิ ากษาอรรถคดีของศาลน้นั และรองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รอง ประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผูพ้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ หรือผพู้ พิ ากษาท่ีมีอาวโุ ส สูงสุดในศาลจงั หวดั หรือผพู้ ิพากษาที่มีอาวโุ สสูงสุดในศาลแขวง แลว้ แตก่ รณี ที่มิได้ เป็นองคค์ ณะในสานวนคดีดงั กล่าวไดเ้ สนอความเห็นใหก้ ระทาได้ ในกรณีท่ีรองประธานศาลฎีกา รองอธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ หรือผู้ พพิ ากษาที่มีอาวโุ สสูงสุดในศาลจงั หวดั หรือผพู้ ิพากษาที่มีอาวโุ สสูงสุดในศาล แขวง แลว้ แต่กรณี ไมอ่ าจปฏิบตั ิราชการไดห้ รือไดเ้ ขา้ เป็นองคค์ ณะในสานวนคดีท่ี เรียกคืนหรือโอนน้นั ให้รองประธานศาลฎีกา รองอธิบดีผูพ้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ หรือผู้ พิพากษาที่มีอาวโุ สถดั ลงมาตามลาดบั ในศาลน้นั เป็ นผมู้ ีอานาจในการเสนอความเห็น แทน ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา รองอธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ มีหน่ึงคนและใน กรณีที่รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค ไม่อาจปฏิบตั ิราชการได้ หรือไดเ้ ขา้ เป็นองคค์ ณะในสานวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนน้นั ให้ผพู้ ิพากษาท่ีมีอาวโุ ส สูงสุดของศาลน้นั เป็นผมู้ ีอานาจในการเสนอความเห็น ผพู้ พิ ากษาอาวโุ สหรือผพู้ ิพากษาประจาศาลไม่มีอานาจในการเสนอ ความเห็นตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสอง ในกรณีที่ผพู้ พิ ากษาเจา้ ของสานวนหรือองคค์ ณะผพู้ พิ ากษามีคดีคา้ งการ พิจารณาอยเู่ ป็นจานวนมาก ซ่ึงจะทาให้การพจิ ารณาพิพากษาคดีของศาลน้นั ล่าชา้ และ ผพู้ พิ ากษาเจา้ ของสานวนหรือองคค์ ณะผพู้ ิพากษาน้นั ขอคืนสานวนคดีท่ีตนรับผดิ ชอบ อยู่ ใหป้ ระธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค อธิบดีผู้ พิพากษาศาลช้นั ตน้ หรือผพู้ พิ ากษาหวั หนา้ ศาล แลว้ แตก่ รณี มีอานาจรับคืนสานวนคดี

ดงั กล่าว และโอนให้ผพู้ พิ ากษาหรือองคค์ ณะผพู้ ิพากษาอื่นในศาลน้นั รับผิดชอบแทน ได้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ิฉบบั น้ี คือ โดยท่ีมาตรา ๒๓๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย บญั ญตั ิให้การนงั่ พิจารณาคดีของศาลตอ้ งมีผู้ พพิ ากษาครบองคค์ ณะและผพู้ ิพากษาซ่ึงมิไดน้ ง่ั พิจารณาคดีใดจะทาคาพิพากษาคดีน้นั มิได้ เวน้ แตม่ ีเหตุสุดวิสยั หรือมีเหตุจาเป็นอื่นอนั มิอาจกา้ วล่วงได้ ท้งั น้ี ตามท่ีกฎหมาย บญั ญตั ิ ประกอบกบั มาตรา ๒๔๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย บญั ญตั ิให้ การจา่ ยสานวนคดีให้ผพู้ ิพากษาตอ้ งเป็ นไปตามหลกั เกณฑท์ ี่กฎหมายบญั ญตั ิ และได้ หา้ มการเรียกคืนสานวนคดีหรือการโอนสานวนคดี เวน้ แต่เป็นกรณีท่ีจะ กระทบกระเทือนต่อความยตุ ิธรรมในการพิจารณาพพิ ากษาอรรถคดี นอกจากน้ี ไดม้ ี การตรากฎหมายตามมาตรา ๒๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย ซ่ึงบญั ญตั ิ ใหศ้ าลยตุ ิธรรมมีหน่วยธุรการที่เป็นอิสระ โดยมีเลขาธิการสานกั งานศาลยตุ ิธรรมเป็น ผบู้ งั คบั บญั ชาข้ึนตรงต่อประธานศาลฎีกา ดงั น้นั เพื่อเป็นการรองรับบทบญั ญตั ิของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย และเพ่ือให้การจดั ระบบการบริหารงานศาล ยตุ ิธรรมตามพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมสอดคลอ้ งกบั กฎหมายซ่ึงตราข้ึนตามมาตรา ๒๗๕ ดงั กล่าว จึงจาเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญตั ิน้ี สุกญั ญา/ผจู้ ดั ทา ๒๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๔ ปณตภร/ปรับปรุง ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๔๔ ก/หนา้ ๑/๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๓