Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การผลิตและการใช้ปุ๋ ยชีวภาพพีจีพีอาร

การผลิตและการใช้ปุ๋ ยชีวภาพพีจีพีอาร

Description: การผลิตและการใช้ปุ๋ ยชีวภาพพีจีพีอาร

Search

Read the Text Version

การผลติ และการใชป้ ๋ ยุ ชวี ภาพพจี พี อี าร์ กล่มุ วิชาการ สานกั วิจยั และพฒั นาการเกษตรเขตท่ี 4 กรมวิชาการเกษตร

สารบญั 2 เรือ่ ง หน้า ปุย๋ ชวี ภาพพจี พี อี าร์คืออะไร 1 การใชป้ ระโยชน์ป๋ยุ ชีวภาพพีจพี ีอาร์ 4 การผลิตป๋ยุ ชีวภาพพีจีพีอารใ์ นระดับเครอื ขา่ ย 5 การนาปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ไปใชใ้ นพื้นท่ี สวพ.4 14 การสร้างเครอื ขา่ ยผู้ใชป้ ระโยชน์ 17 ความพึงพอใจของผูใ้ ชป้ ระโยชน์ 18 เอกสารอ้างอิง 19 การจดั การความรู้ สานกั วิจยั และพัฒนาการเกษตรเขตท่ี 4

3 ปุ๋ยชีวภาพพจี พี ีอาร์ “ปุ๋ยชีวภาพ” ตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 ฉบับแก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ. 2550 หมายความว่า ปุ๋ยที่ได้จากการนาจุลินทรีย์ที่มีชีวติ ท่ีสามารถสร้างธาตุอาหารหรือช่วยให้ธาตุอาหารเป็นประโยชน์กับพืช มา ใช้ในการปรับปรุงบารุงดินทางชวี ภาพทางกายภาพหรือทางชวี เคมี และใหห้ มายความรวมถงึ หวั เชอื้ จุลินทรีย์ ชนดิ ของป๋ยุ ชีวภาพ ได้แก่ - ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซา่ - ปุย๋ ชีวภาพไรโซเบยี ม - ปยุ๋ ชีวภาพพีจีพีอาร์ - ปยุ๋ ชวี ภาพสาหรา่ ยสเี ขยี วแกมนา้ เงิน - ปุ๋ยชวี ภาพละลายฟอสเฟต - ปุ๋ยชีวภาพแหนแดง (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) (ฉ) ภาพท่ี 1 ปุย๋ ชีวภาพชนดิ ตา่ งๆ (ก) ไรโซเบยี ม (ข) ไมโคไรซา่ (ค) พีจีพีอาร์ (ง) ละลายฟอสเฟต (จ) แหนแดง (ฉ) สาหรา่ ยสีเขยี วแกมน้าเงิน โดยแบ่งออกเปน็ 2 กลุ่ม คือ 1. ปยุ๋ ชีวภาพทีส่ ร้างธาตุอาหารพชื ไดแ้ ก่ ปุ๋ยชวี ภาพไรโซเบียม พจี ีพอี าร์ แหนแดง 2. ปุ๋ยชีวภาพท่ีช่วยให้ธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์แก่พืช ได้แก่ ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่า ละลาย ฟอสเฟต ละลายโพแทสเซยี ม การจดั การความรู้ สานักวจิ ัยและพฒั นาการเกษตรเขตที่ 4

4 ปยุ๋ ชีวภาพพจี พี อี าร์ คืออะไร? “ปุ๋ยชวี ภาพพจี ีพอี าร์ หรอื ปยุ๋ ชีวภาพแบคทีเรียสง่ เสริมการเจริญเตบิ โตของพชื (Plant Growth Promoting Rhizobacteria or PGPR)” เป็นปุ๋ยชีวภาพที่ประกอบด้วยแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในดินบริเวณ รอบรากพืช (rhizosphere) และช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชได้ โดยแบคทีเรียกลุ่มนี้มีความสามารถ ในการตรึงไนโตรเจน เพม่ิ ความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารพืช สรา้ งสารซเิ ดอโรฟอร์ (siderophores) ซึง่ มี สมบัติเพิ่มการนาธาตุเหล็กเข้าสู่เซลล์พืช โดยการแย่งจับธาตุเหล็กบริเวณรอบรากพืช ทาให้เช้ือราโรคพืชไม่ สามารถนาธาตุเหล็กไปใช้ได้ นอกจากนยี้ งั สามารถสร้างฮอรโ์ มนพืช (phytohormones) เช่น ฮอร์โมนกลมุ่ ออกซนิ (auxins) ซึง่ กระตนุ้ การยดื ตัวของเซลล์ การแบ่งเซลลแ์ ละการเปลีย่ นสภาพของเซลล์ สร้างเอนไซม์ไค ติเนส (chitinase) และลามินาริเนส (laminarinase) ย่อยเส้นใยเชื้อราโรคพืช สร้างสารปฏชิ ีวนะทีม่ ฤี ทธิ์ต้าน เชอื้ ราสาเหตโุ รคพืชได้ เปน็ ต้น (หนึง่ , 2548; ธงชัย, 2550 และ Glick et al., 1999) ซึ่งในแบคทีเรยี บางสกุล มีความสามารถหลายอย่างรวมกัน เช่น แบคทีเรียสกุลอะโซสไปริลลัม (Azospirillum) บางสายพันธุ์มี ความสามารถในการตรงึ ไนโตรเจน ช่วยละลายฟอสเฟต ผลิตฮอร์โมนส่งเสริมการเจริญของรากพืช และช่วย เพ่ิมประสทิ ธิภาพการดูดธาตุอาหารพืช ผลิตภัณฑ์ปยุ๋ ชีวภาพพจี ีพอี าร์ของกรมวิชาการเกษตร แบ่งออกเปน็ 3 ชนิด ไดแ้ ก่ 1. ปยุ๋ ชีวภาพพีจีพอี าร์-วนั ประกอบดว้ ย แบคทีเรีย 3 ชนิด ได้แก่ Azospirillum brasilense, Azotobacter vinelandii และ Beijerinckia mobilis มีปริมาณจุลินทรีย์รบั รองไม่ต่ากว่า 1×106 โคโลนี ต่อ ปุย๋ ชวี ภาพ 1 กรัม เหมาะสาหรับใชก้ ับ ข้าวโพด ข้าวฟ่าง 2. ปยุ๋ ชวี ภาพพีจพี อี าร์-ทู ประกอบดว้ ย แบคทเี รยี 2 ชนดิ ได้แก่ Azospirillum brasilense และ Burkholderia vietnamiensis มีปริมาณจุลินทรีย์รับรองไม่ต่ากวา่ 1×106 โคโลนี ต่อ ปุ๋ยชีวภาพ 1 กรมั เหมาะสาหรบั ใชก้ ับข้าว 3. ป๋ยุ ชวี ภาพพจี พี ีอาร์-ทรี ประกอบดว้ ย แบคทีเรีย 2 ชนดิ ได้แก่ Azospirillum brasilense และ Gluconacetobacter diazotrophicus มีปรมิ าณจลุ ินทรีย์รบั รองไมต่ ่ากว่า 1×106 โคโลนี ต่อ ปุย๋ ชวี ภาพ 1 กรัม เหมาะสาหรบั ใช้กบั มันสาปะหลัง Azospirillum brasilense Azotobactervinelandii Beijerinckia mobilis การจดั การความรู้ สานักวิจยั และพฒั นาการเกษตรเขตท่ี 4

5 ภาพที่ 2 ชนดิ แบคทีเรียทมี่ ีอยู่ในปุ๋ยชวี ภาพพจี พี ีอาร์ ภาพที่ 3 ชนิดของปุ๋ยชีวภาพพีจพี ีอาร์ การจัดการความรู้ สานกั วจิ ยั และพฒั นาการเกษตรเขตท่ี 4

6 ประโยชน์ของปยุ๋ ชีวภาพพีจีพีอาร์ ป๋ยุ ชวี ภาพพจี ีพีอาร์ช่วยในการสง่ เสรมิ การเจริญเติบโตของพืชโดยผลติ สารคล้ายฮอร์โมนพืชช่วยเพิ่ม ปริมาณราก เพิม่ การดูดนา้ และปุ๋ย ชว่ ยสง่ เสรมิ การเจริญเตบิ โตให้กับพืช โดยชว่ ยตรึงไนโตรเจน ช่วยละลาย ฟอนฟอรัสและโพแทสเซียมที่มอี ย่ใู นดนิ และเพ่มิ การนาธาตเุ หล็กเข้าเซลลพ์ ืช 1. ชว่ ยเพ่ิมปริมาณราก อย่างน้อย 20% 2. ลดการใชป้ ุ๋ยเคมี อย่างน้อย 25% 3. ชว่ ยเพ่มิ ผลผลิตพืช อยา่ งน้อย 10% 4. เพิ่มประสิทธิภาพในการดดู นา้ และปุย๋ อยา่ งน้อย 15% ภาพท่ี 4 ตัวอย่างรากของขา้ วโพดระหว่างเมลด็ ที่คลกุ ปุ๋ยชีวภาพพีจพี ีอาร์กบั ไม่ไดค้ ลกุ เมลด็ การจดั การความรู้ สานกั วิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4

7 การผลติ ปยุ๋ ชวี ภาพพจี ีพีอาร์ระดบั เครอื ข่าย ใช้เวลาในการผลิต 14-19 วนั สามารถผลิตปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ได้ครง้ั ละ 2,000 ถงุ มีขนั้ ตอนในการ ผลติ จานวน 6 ขน้ั ตอน ดังน้ี 1. เล้ียงเช้อื พันธ์ใุ นจานเพาะเช้ือดว้ ยอาหารจาเพาะ เปน็ เวลา 2-4 วัน เพ่อื ให้ได้เชอื้ บริสุทธ์ิ 2. นาเชื้อพันธุ์ท่ีได้จากข้อ 1 มาทาการเลี้ยงเป็นหัวเช้ือ (starter) ในขวดรูปชมพู่ที่บรรจุ อาหารจาเพาะ เป็นเวลา 3-4 วัน ขนึ้ อยู่กบั ชนดิ เช้ือแบคทเี รีย 3. นาหวั เช้อื จากขอ้ 2 ฉีดลงในขวดอาหารเลยี้ งเชื้อขนาดใหญ่ บรรจุอาหารจาเพาะ ปรมิ าณ 250 มล. และทาการเลีย้ งเชื้อตอ่ เป็นเวลา 3-4 วนั ขึน้ อย่กู บั ชนดิ เชือ้ แบคทีเรยี 4. นาหัวเชื้อจากข้อ 3 ฉีดลงในถังเพาะเล้ียงเชื้อ (fermenter) ปริมาณ 9 ลิตร และทาการ เลี้ยงเชอื้ ต่อเปน็ เวลา 3-4 วนั ข้ึนอยกู่ ับชนดิ เชื้อแบคทเี รยี 5. นาเชือ้ เหลวท่ีได้จากขอ้ 4 มาผสมกบั วสั ดุพา (carrier) (ปุ๋ยหมักท่ียอ่ ยสลายสมบูรณ์) โดย ให้มีความชน้ื ไมเ่ กิน 60% แลว้ บ่มท้ิงไว้ 1 วัน 6. ทาการบรรจุปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ลงถุงบรรจุ ถุงละ 500 กรัม และเก็บรักษาไว้ในห้อง ไม่ใหโ้ ดนแดด ภาพท่ี 5 ข้นั ตอนการผลติ ปุ๋ยชีวภาพพจี ีพีอาร์ การจดั การความรู้ สานักวิจยั และพฒั นาการเกษตรเขตที่ 4

8 ข้ันตอนการผลติ ปยุ๋ ชวี ภาพพจี ีพอี าร์ของศูนยข์ ยายผล การผลิตปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ของศูนย์ขยายผลเป็นการลดขั้นตอนการปฏิบัติงานซึ่งใช้เวลาในการผลิต เพียง 5-9 วัน สามารถผลิตปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ ได้ครั้งละ 170-180 ถุง/เชื้อเหลว 4 ขวด มีข้ันตอนในการผลิต จานวน 4 ข้นั ตอน ดงั นี้ 1. นาเช้ือเหลวที่ได้จากห้องปฏิบัติการ มาทาการเลี้ยงเป็นหัวเช้ือ (starter) โดยเทเช้ือเหลว จานวน 1 หลอด (2 มล.) ใสล่ งในขวดรูปชมพ่ทู บี่ รรจุอาหารเหลวจาเพาะ (250 มล.) และทาการเลย้ี งเชื้อต่อเปน็ เวลา 2-3 วัน 2. นาหัวเช้ือจากข้อ ก จานวน 100 มล. ฉีดลงในขวดอาหารเล้ียงเช้ือขนาดใหญ่ (fermenter) ที่ บรรจุอาหารเหลวจาเพาะ (9 ลติ ร) และทาการเลย้ี งเชอ้ื ต่อเป็นเวลา 2-3 วัน 3. นาเชื้อเหลวท่ีได้จากข้อ ข มาผสมกับวัสดุพา (เปลือกยูคาแช่น้า 10 ปี บดละเอียด) โดยให้มี ความช้ืนไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ (อัตราส่วนโดยประมาณ เช้ือเหลว 12.8 ลิตร/วัสดุพา 25 กก.) และบ่มทิ้งไว้ หน่ึงคืน 4. ทาการบรรจุถงุ ป๋ยุ ชีวภาพพีจีพีอาร์ ถุงละ 500 กรมั และเกบ็ รักษาไวใ้ นห้องเย็น 25oC หรอื ตา่ กว่า **หลังจากเสร็จส้ินกระบวนการผลิต ต้องทาการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ส่งตรวจ ณ ห้องปฏิบัติการ วเิ คราะหป์ ุ๋ยชวี ภาพทุกคร้งั ** ภาพท่ี 6 ข้ันตอนการผลิตปุ๋ยชีวภาพพจี พี ีอาร์ของศนู ย์ขยายผล การจดั การความรู้ สานกั วิจัยและพฒั นาการเกษตรเขตที่ 4

9 การผลติ ปุย๋ ชวี ภาพพจี ีพีอาร์-วนั ปุย๋ ชีวภาพพจี ีพีอาร์-วนั ประกอบด้วยแบคทีเรยี 3 สกุล ซ่ึงมรี ะยะเวลาในการเจริญเติบโตแตกตา่ งกนั ดังน้ี 1. Azospirillum brasilense (A1) ใชร้ ะยะเวลาในเจรญิ เติบโต 2-3 วัน ใชอ้ าหาร NFb ในการเล้ียง 2. Azotobacter valendii (B1) ใชร้ ะยะเวลาในเจริญเตบิ โต 2-3 วนั ใชอ้ าหาร Azoto ในการเลยี้ ง 3. Beijerinckia mobilis (C1) ใช้ระยะเวลาในเจรญิ เติบโต 4-5 วัน ใชอ้ าหาร Beijer ในการเลี้ยง การผลติ ปุ๋ยชวี ภาพพจี ีพีอาร์-ทู ป๋ยุ ชีวภาพพีจพี อี าร์-ทู ประกอบดว้ ยแบคทเี รีย 2 สกุล ซ่ึงมรี ะยะเวลาในการเจรญิ เติบโตใกล้เคียงกัน ดังนี้ 1. Azospirillum brasilense (A2) ใชร้ ะยะเวลาในเจริญเตบิ โต 2-3 วนั ใชอ้ าหาร NFb-1 ในการเลี้ยง 2. Burkholderia vietnamiensis (B2) ใช้ระยะเวลาในเจริญเติบโต 2-3 วัน ใช้อาหาร NFb-1 ใน การเลยี้ ง การผลติ ปุ๋ยชวี ภาพพจี ีพีอาร์-ทรี ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์-ทรี ประกอบด้วยแบคทีเรีย 2 สกุล ซ่ึงมีระยะเวลาในการเจริญเติบโตใกล้เคยี งกัน ดงั นี้ 1. Azospirillum brasilense (A3) ใชร้ ะยะเวลาในเจริญเตบิ โต 2-3 วนั ใชอ้ าหาร NFb ในการเล้ียง 2. Gluconacetobacter diazotrophicus (B3) ใช้ระยะเวลาในเจรญิ เติบโต 3-4 วนั ใช้อาหาร LGI ในการเลี้ยง การตรวจสอบคณุ ภาพปุ๋ยชวี ภาพ 1. การนบั ปรมิ าณด้วยวิธี Total plate count Standard plate count หรือ วิธีตรวจนับจุลนิ ทรียม์ าตรฐาน เรยี กย่อวา่ SPC อาจเรยี กวา่ Aerobic plate count (APC) หรอื Total viable count (TVA) หรอื ปรมิ าณจุลินทรยี ์ท่ีมชี วี ิตทง้ั หมด การตรวจนบั จุลนิ ทรีย์ เป็นการนบั ปรมิ าณโคโลนี (colony) ทม่ี ีขนาดใหญ่พอที่จะมองเห็นดว้ ยตาเปล่า หรือมองเหน็ ด้วยแวน่ ขยาย ซึ่งมาจากเซลล์ของจุลินทรียจ์ ะถกู ตรงึ อย่กู ับท่ี เจริญเติบโตและแบง่ ตวั จากเซลล์ เดยี วเป็นหลาย ๆ เซลลอ์ ย่บู นอาหารเล้ยี งเชอื้ คา่ ทีไ่ ด้จากการตรวจนับจลุ ินทรีย์มาตรฐาน คอื colony forming unit (cfu) การจัดการความรู้ สานักวจิ ัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4

10 การเจอื จางตวั อย่าง โดยท่ัวไปการนับจานวนจุลินทรีย์ จะนับเฉพาะจานอาหารท่ีมีจานวนเซลล์ระหว่าง 25-250 เซลล์ เพ่ือให้จานวนโคโลนีทเ่ี จริญบนจานอาหาร อยใู่ นชว่ งดงั กล่าว ไม่มากหรอื น้อยเกนิ ไปจงึ ต้อง นาตวั อยา่ งมาเจอื จาง เป็นลาดบั ดว้ ยวธิ ี serial Dilution การทา serial dilution คือ เจือจางตัวอย่าง เช้ือเร่ิมต้นโดยท่ัวไปทาเป็นลาดับ ๆ ละ 10 เท่าโดยใช้ ปิเปตดูดตัวอย่างแต่ละ Dilution ปริมาณ 1 มล. ใส่ในจานเพาะเชื้อเทอาหารวุ้น (nutrient agar) ลงในจาน ผสมให้เข้ากันทิ้งไว้ให้วุ้นแข็งคว่าจานลง บ่ม (incubate) 48 ช่ัวโมง หรือตามอายุการเจริญเติบโตของเชื้อ หลังจากนนั้ จึงทาการนบั ปริมาณ วธิ ีคานวณปรมิ าณ จานวนจุลินทรีย์ต่อหนึ่งหน่วยน้าหนัก หรือ จานวนจุลินทรีย์ต่อหน่ึงหน่วยปริมาตร จะสามารถ คานวณ ได้จากผลการนับจานวนจุลินทรยี ท์ โ่ี ตในอาหารเลยี้ งเช้ือจากลาดับตวั อย่างท่ีเจือจางเปน็ เท่าติดต่อกัน การคานวณทาไดโ้ ดย จานวนแบคทเี รยี (Cfu/ml) = จานวนโคโลนีบนจานอาหาร X ระดบั ความเจอื จาง ปรมิ าณตัวอยา่ ง ทีใ่ ส่ลงใน Petri dish ส่ิงท่ีตอ้ งคานึงถึงคอื - จุลินทรยี ์ท่ไี ม่สามารถเจริญในอาหารเลีย้ งเชอื้ เรากไ็ มส่ ามารถตรวจนบั ไดซ้ ่งึ ได้แก่ ไวรสั และ แบคทเี รยี ที่เพาะยากบางชนดิ - จานวนโคโลนที ่ีความเจือจางสงู ควรนอ้ ยกวา่ จานวนโคโลนที ่ีความเจอื จางลาถัดลงมาประมาณ 10 เทา่ ถา้ คลาดเคล่อื นไปมาก แสดงว่ามีความผิดพลาดเกิดขน้ึ อาจเน่ืองมาจากการเจือจางไม่ดี หรือ เชอ้ื ผสมกับอาหารวนุ้ ไมด่ ี - นับ plate ทมี่ เี ช้ือขน้ึ ระหวา่ ง 30–300 โคโลนี การจัดการความรู้ สานักวิจัยและพฒั นาการเกษตรเขตท่ี 4

11 ภาพที่ 6 ขน้ั ตอนการนับปรมิ าณดว้ ยวธิ ี Total plate count 2. การนับปรมิ าณดว้ ยวธิ ี The most probable number of coliform organism (MPN) หลักการ MPN คือ จุลินทรีย์จะมีการกระจายตัวอย่างสม่าเสมอในของเหลว ถ้าแบ่งของเหลวน้ี ออกเปน็ สว่ นเท่า ๆ กนั แต่ละส่วนจะมีปริมาณจลุ ินทรีย์ใกลเ้ คยี งกนั อาจมากกวา่ หรือน้อยกวา่ บา้ ง โดยใช้ 1. ระบบ 3 หลอด หมายถงึ จานวนของหลอดเล้ยี งเชอ้ื ทีใ่ ช้หมกั ตอ่ ปริมาณตัวอย่างแตล่ ะตวั อย่างมี 3 หลอด 2. ระบบ 5 หลอด หมายถึง จานวนของหลอดเลย้ี งเชอ้ื ที่ใชห้ มกั ต่อปรมิ าณตวั อย่างแตล่ ะตวั อย่างมี 5 หลอด มีปริมาณความเข้มข้นของตัวอย่างท่ีใช้ต่างกัน ดังนี้ คือ อัตราส่วน 1:10, 1:100 และ 1:1000 ค่าเฉล่ยี ทีไ่ ดน้ คี้ อื MPN ซง่ึ เปน็ คา่ ทางสติถิท่ไี มม่ ีหนว่ ย การจดั การความรู้ สานักวจิ ยั และพัฒนาการเกษตรเขตท่ี 4

12 การคานวณหาค่าดัชนี MPN นาจานวนของหลอดทใี่ หผ้ ล positive ของแตล่ ะระดับการเจอื จางจานวน 3 ระดบั ในการตรวจสอบ ขนั้ ยนื ยัน มาหาค่าปรมิ าณของเช้ือแบคทีเรยี ในตวั อยา่ งเทียบกับตารางดัชนี MPN เชน่ ถา้ ในอนกุ รมการเจือ จางตวั อยา่ ง 10, 1, 0.1 พบวา่ 10 มล. มหี ลอดทใ่ี ห้ผลบวก 4 หลอดจาก 5 หลอด (ระดับการเจือจางแรกควรเขา้ ใกล้ 5) 1 มล. มหี ลอดทีใ่ ห้ผลบวก 3 หลอดจาก 5 หลอด 0.1 มล. มีหลอดท่ีให้ผลบวก 1 หลอดจาก 5 หลอด (ระดับการเจือจางสุดท้ายควรเข้าใกล้ 0 ไม่ควร เกิน 2) ดังน้ันให้ไปเปิดดูตารางดัชนี MPN จากเลขรวมของหลอดท่ีให้ผลบวก คือ 4-3-1 ซ่ึงจะให้ค่าดัชนี MPN ของตวั อย่างเปน็ 33 MPN/100 มล. ของตวั อย่าง แต่ถ้าอนุกรมการเจือจางตัวอย่างน้าที่อ่านผลได้เป็น 1,0.1,0.01 มล. ค่าท่ีอ่านได้จากดัชนี MPN จะตอ้ งคูณดว้ ย 10 แต่ถ้าอนุกรมการเจือจางตัวอย่างน้าที่อ่านผลได้เป็น 0.1, 0.01, 0.001 มล. ค่าท่ีอ่านได้จากดัชนี MPN จะตอ้ งคณู ดว้ ย 100 บางคร้ังผลท่ีได้อาจจะอ่านไมไ่ ดจ้ ากตารางดัชนี MPN ให้ทาการคานวณหาค่า MPN/100 มล. MPN/100 มลิ ลลิ ติ ร = จานวนหลอดทใี่ หผลบวก x 100 (ผลรวมปรมิ าตรตวั อยางทีใ่ ชทดสอบท่ใี หผลลบ) x (ผลรวมปริมาตรตวั อยางท่ใี ชทุกหลอด) ภาพท่ี 7 ขนั้ ตอนการนับปริมาณด้วยวิธี MPN การจดั การความรู้ สานักวิจยั และพฒั นาการเกษตรเขตที่ 4

13 3. การยอ้ มสีแกรม การย้อมสแี บคทเี รยี โดยทั่วไปมี 2 ลกั ษณะ คอื 1. การยอ้ มแบบเนกาตฟี (negative) การย้อมสีวิธีนเี้ ซลล์จะไมต่ ิดสแี ตพ่ น้ื ทีส่ ่วนรอบเซลล์จะตดิ สสี ที ่ี ย้อมอาจใชโ้ มเลกุลใหญ่ เช่น india ink หรือ สี negrosin ก็ได้ 2. การย้อมสแี บบโพสติ ฟี (positive) เป็นการยอ้ มสีโดยที่ตัวเซลลห์ รือโครงสรา้ งของเซลลจ์ ะตดิ สโี ดย พ้ืนท่ีโดยรอบไม่ติดสีสาหรับการย้อมวิธีนี้ถ้าใช้สีเดียวในการย้อม เรียกว่า simple strain แต่ถ้าใช้สีมากกว่า หนึง่ ชนดิ เรียกว่า differential strain การยอ้ มสแี กรม เป็นวธิ เี บ้อื งตน้ ในการจาแนกแบคทเี รียออกเป็น 2 กลุ่ม ไดแ้ ก่ แบคทีเรียแกรมบวก และแบคทีเรียแกรมลบ การยอ้ มนีจ้ ดั เปน็ การยอ้ มแบบ differential staining ซ่ึงหมายถึงการใช้สีย้อมต้ังแต่ 2 ชนิดข้ึนไป สีย้อมแรกเรียกว่า primary strain ซึ่งได้แก่สี crystal violet ส่วนสีที่สองเรียกว่า counter strain หรือ secondary strain สีท่ีใช้คือ safranin o ระหว่างการใช้สีแรกกับสีที่สอง จะมีการใช้สารละลาย ไอโอดีน ซ่ึงทาหน้าท่ีเป็น mordant ช่วยให้ crystal violet จับกับแบคทีเรียแกรมบวกได้แน่น ไม่หลุดออก เม่ือล้าง (decolorization) ด้วยสารละลายแอลกอฮอร์ (alcohol) หรือแอลกอฮอร์ผสมอะซีโตน (acetone alcohol) การที่แบคทีเรียจะติดสีย้อมสีแกรมสีแรกหรือสีที่สอง เน่ืองจากส่วนประกอบทางเคมีและโครงสรา้ ง ของผนังเซลล์แบคทเี รียแตกต่างกัน พวกแกรมลบจะมปี รมิ าณไขมัน (Lipid) ทผี่ นังเซลล์สูง ทาให้เมื่อชะล้างสี ด้วยสารละลายแอลกอฮอร์ ไขมนจะถูกล้างออกและสารประกอบเชิงซ้อน crystal violet – iodine จะหลุด ออกจากผนงั เซลล์ได้งา่ ยเพราะผนงั เซลลม์ รี ูพรนุ มากขึ้น วิธีการยอ้ มสไลด์ 1. ทาความสะอาดสไลด์และเช็ดให้แห้ง 2. เตรยี มรอยเสมียรโ์ ดยใช้ปากกา permanent ขดี เปน็ วงกลมดา้ นหลงั slide 3. จากนน้ั ใช้ loop แตะนา้ กลน่ั มาหยด และใช้ loop แตะเชื้อมาละเลงในวงกลมท่ีทาเครื่องหมายไว้และ ตรึงเซลล์ด้วยความร้อน โดยการนา slide ผ่านไฟที่ตะเกียง 4. หยดสี crystal violet ใหท้ ว่ มรอยเสมียรท์ ้ิงไวน้ าน 1 นาที 5. เทสีส่วนท่ีเหลือค้างบนสไลด์ลงในอ่างน้า แล้วชะล้างด้วยสารละลายไอโอดีน หลังจากนั้นสารละลาย ไอโอดนี ให้ทว่ มรอยเสมียร์และทงิ้ ไวน้ าน 1 นาที 6. เทสารละลายไอโอดีนทิ้ง แล้วชะล้างด้วยสารละลายแอลกอฮอร์ 95% หรือแอลกอฮอร์อะซีโตน กระท่ังไม่มสี มี ่วงละลายออกมา แต่อยา่ ใหเ้ กนิ 20 วนิ าที แล้วล้างน้าทนั ทีโดยให้นา้ ผ่านเบา ๆ 7. ซบั ดว้ ยกระดาษซบั แลว้ ยอ้ มทบั ด้วยการหยดสี safranin O ใหท้ ว่ มรอยเสมียรท์ งิ้ ไวน้ าน 1 นาที 8. เทสีท้งิ ล้างดว้ ยน้า แลว้ ซับด้วยกระดาษซับ วางทง้ิ ไวใ้ ห้แหง้ 9. นาไปสอ่ งดูด้วยกลอ้ งจุลทรรศน์ ที่กาลงั ขยาย 100X การจัดการความรู้ สานกั วิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตท่ี 4

14 การนาป๋ยุ ชีวภาพพจี ีพอี ารไ์ ปใชป้ ระโยชนใ์ นพ้ืนท่ี การนาปุ๋ยพีจีพีอาร์ไปใช้ประโยชน์ในพื้นท่ี 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ อุบลราชธานี นครราชสีมา มหาสารคาม บุรีรัมย์ ยโสธร ร้อยเอ็ด อานาจเจริญ สุรินทร์ และศรีสะเกษ ดาเนินการโดย นักวิชาการเกษตรถ่ายทอดความรู้เร่ืองการใช้ประโยชน์ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ให้แก่เกษตรกร ซ่ึงการถ่ายทอด ความรู้ดาเนินการในรูปแบบของการจัดอบรม การจ่ายแจกเอกสารวิชาการ การจัดนิทรรศการ จัดทาแปลง ตน้ แบบ/แปลงเรยี นรู้ การเผยแพรผ่ า่ นส่อื วทิ ยกุ ระจายเสียง รวมทัง้ ส่ือโซเชยี ลมเี ดยี ท่ี จงั หวดั อบรม (ราย) นิทรรศการ แจกเอกสาร แปลงต้นแบบ สอื่ วทิ ยุ ราย ไร่ (ครงั้ ) 1 อบุ ลราชธานี 736 - 2279 - - - 2 อานาจเจริญ 352 1 100 - - 3 3 ร้อยเอ็ด 869 0 563 - - - 4 ยโสธร 100 - -- - - 5 บรุ ีรัมย์ 110 3 415 10 46 - 6 สุรินทร์ 685 - 685 75 343 - 7 นครราชสมี า 82 - 82 - - - 8 มหาสารคาม 2,830 6 82 - - - 9 ศรีสะเกษ 95 - -- - - รวม 5,859 10 4,206 85 389 3 การใชป้ ุ๋ยพจี พี ีอารใ์ นระบบการปลกู มันสาปะหลงั อินทรีย์ เกษตรกรผู้ปลูกมันสาปะหลงั อินทรยี ์นาปยุ๋ ชีวภาพพีจีพีอาร์ทรี เพอื่ เพ่ิมประสทิ ธภิ าพการผลิตด้วย การใชท่ อ่ นพันธ์มุ ันสาปะหลังด้วยปยุ๋ ชวี ภาพพีจีพีอารท์ รี อัตราสว่ นปุ๋ยชีวภาพ 1 กิโลกรัมต่อนา้ 20 ลติ ร ต่อไร่ แชท่ ่อพนั ธุ์เปน็ เวลา 30 นาที จึงนาไปปลกู ทันที หรอื อกี หนงึ่ วธิ ีคอื การใชร้ ่วมกบั ปุ๋ยหมัก โดยใชป้ ุ๋ยชวี ภาพ 1 ถงุ ผสมกบั ป๋ยุ หมัก 250 กิโลกรมั ตอ่ ไร่ การจดั การความรู้ สานักวจิ ัยและพัฒนาการเกษตรเขตท่ี 4

15 การใช้ปยุ๋ พจี ีพีอารใ์ นระบบการปลกู อ้อยอินทรีย์ในจงั หวดั มหาสารคาม พ้ืนท่ีปลูกอ้อยอินทรีย์จังหวดั มหาสารคาม ดินส่วนใหญ่มีความอดุ มสมบูรณ์ต่า แต่ไม่มีค่าโลหะหนัก ในดินเกินในระดับเกณฑ์พ้ืนฐาน ปริมาณน้าฝนในช่วงปี 2558-59 มีปริมาณอยู่ในเกณฑ์เพียงพอกับความ ตอ้ งการของออ้ ย แต่มกี ารกระจายตัวของฝนในพื้นที่ไม่สม่าเสมอ ฝนท้งิ ชว่ ง และมจี านวนวนั ฝนตกน้อย การ ผลิตอ้อยโดยใส่ปุ๋ยอนิ ทรยี ์อตั ราเทียบเคียงตามค่าวิเคราะห์ดิน โดยใช้ปุ๋ยอนิ ทรยี ม์ ูลไกอ่ ัดเมด็ หรือปุ๋ยหมักเติม อากาศให้ผลผลิตอ้อยอินทรยี ์และน้าตาลออแกนิคสูงสุด และในอ้อยตอการใช้ปุ๋ยหมักกากตะกอนอ้อย 50% ของคาแนะนาร่วมกบั การใช้ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ 3 มีแนวโน้มให้ผลผลิตและคุณภาพของอ้อยมากกวา่ แต่ไม่ แตกต่างกับการปุ๋ยอินทรีย์อัตราเทียบเคียงตามค่าวิเคราะห์ดิน การใส่ปุ๋ยอินทรีย์อัตราเทียบเคียงตามค่า วิเคราะหด์ ินใหผ้ ลตอบแทนมากท่ีสุด โดยเม่อื คิดเปน็ สดั สว่ นของรายได้ตอ่ ต้นทุน (BCR) ใหผ้ ลตอบแทนสูงกว่า วิธเี กษตร รอ้ ยละ 27.34 และให้ผลตอบแทนสงู กวา่ เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ผลตอบแทนในระบบการผลิตออ้ ยเคมี (อนุชา และคณะ, 2561) การ เ พ่ิม ผลผลิตและลดต้นทุนการ ผลิตอ้อย โดย ใช้ปุ๋ย ตามค่ าวิเคร าะ ห์ดิน ในพ้ืนท่ีนาไม่ เหมาะสมในจังหวดั บรุ รี ัมย์ การปลูกอ้อยของเกษตรกรในจังหวัดบุรีรัมย์มีแนวโน้มเพิ่มมากข้ึน จากข้อมูลของสานักงาน คณะกรรมการอ้อยและน้าตาล ในปี 2557/2558 และ 2558/2559 จงั หวัดบรุ รี มั ย์มีพื้นทปี่ ลูกออ้ ย 200,941 ไร่ และ 210,919 ไร่ ตามลาดับ มีผลผลิตเฉล่ีย 11.09 และ 10.00 ตนั ตอ่ ไร่ ตามลาดับ ซึ่งผลผลติ ออ้ ยตอ่ ไร่มี แนวโนม้ ลดลง เนอ่ื งจากเกษตรกรสว่ นใหญ่นิยมใชป้ ุ๋ยเคมเี ป็นหลัก และมักจะใชป้ ุ๋ยสตู รเดิมใสซ่ ้าในอตั ราเดิม และใส่ในปริมาณมาก โดยไม่เคยตรวจสอบปริมาณธาตุอาหารในดินหรือวิเคราะห์ศักยภาพของดินที่ใช้ปลกู ยงั ไม่เขา้ ใจบทบาทความสาคัญของธาตุอาหารพืช ขาดความรูใ้ นการใช้ป๋ยุ ทเี่ หมาะสมกับอ้อย ทาใหเ้ กิดความ เส่ือมโทรมของทรัพยากรดิน รวมทั้งเกษตรกรบางรายมีการใช้สารเร่งการเจรญิ เติบโตหรือใช้ฮอรโ์ มนตามคา โฆษณาชวนเชื่อ ทาให้ตน้ ทุนการผลิตสูง ผลผลติ ตา่ ดังนัน้ ศนู ย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรบรุ รี มั ย์ จงึ ไดน้ าองค์ ความรู้จากผลงานวิจัยถ่ายทอดสู่เกษตรกร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบเทคโนโลยีการใช้ปุ๋ยตามค่า วิเคราะห์ดนิ ในการเพม่ิ ผลผลติ และลดต้นทนุ การผลิตอ้อยในพนื้ ทีน่ าไมเ่ หมาะสม สามารถขยายผลสเู่ กษตรกร ผู้ปลูกอ้อยในพื้นท่ีเป้าหมายได้ เกษตรกรใช้ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ 3 อัตรา1 กิโลกรัมผสมร่วมกับปุ๋ยเคมีอัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ หวา่ นตามร่องออ้ ย เมอื่ อ้อยอายุ 2-4 เดือนหลังปลกู (หลังจากฝนตกและดินมีความชื้น) การนาเทคโนโลยีการใช้ปุ๋ยตามค่าวเิ คราะห์ดนิ เข้าไปถ่ายทอดให้ความรู้แก่เกษตรกร เพื่อเพิม่ ผลผลิต และลดตน้ ทนุ การผลิตอ้อยในพน้ื ทีน่ าไม่เหมาะสม สามารถช่วยเพ่มิ ผลผลิตอ้อยคิดเปน็ รอ้ ยละ 5.86 สามารถ ลดตน้ ทนุ การใชป้ ๋ยุ คิดเปน็ รอ้ ยละ 28.77 ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลงคดิ เป็นรอ้ ยละ 6.41 เกษตรกรมรี ายได้ สุทธิเพ่ิมขึ้นร้อยละ 23.8 การปลูกอ้อยแทนข้าวยังสามารถเพมิ่ รายได้ต่อพืน้ ที่ให้เกษตรกรได้ถึง 5,770 บาท ตอ่ ไร่ งานทดสอบนีส้ ามารถตอบสนองนโยบายของรัฐบาลได้เปน็ อยา่ งดี นอกจากจะชว่ ยลดพ้ืนทีก่ ารปลกู ข้าว การจัดการความรู้ สานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4

16 ไม่เหมาะสมเพอื่ ปรับเปลี่ยนระบบการผลิตของเกษตรกรให้เหมาะสมกบั สภาพพน้ื ที่แล้ว เกษตรกรยงั สามารถ เพิม่ ผลผลติ และลดต้นทุนการผลิตอ้อยได้ มแี นวโนม้ ขยายผลใหก้ ับกลุ่มเกษตรกรเปา้ หมายมากขนึ้ (พิกลุ ทอง และคณะ, 2561) การจดั การความรู้ สานกั วจิ ัยและพฒั นาการเกษตรเขตที่ 4

17 การสร้างเครือขา่ ยผู้ใชป้ ระโยชน์ การสรา้ งเครือขา่ ยผู้ใช้ประโยชน์ปุ๋ยชีวภาพพีจพี ีอาร์ เกดิ จากการสร้างเกษตรกรตน้ แบบ เพื่อเปน็ จุด กระจายและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับเกษตรกรท่ีอยู่ใกล้เคียง และเกษตรกรผู้สนใจ จากเกษตรกรรายเด่ยี ว เป็นกลุ่มเกษตรกร และขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ เป็นการบูรณาการด้านความรู้ การเชี่อมโยงเครือข่ายที่ เก่ียวข้อง ท้ังภาคเกษตรกร ภาครัฐ ภาคเอกชน ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดมหาสารคาม โดยศูนย์วิจัยและ พฒั นาการเกษตรมหาสารคามได้จัดทาโครงการความร่วมมือระหว่างกรมวิชาการเกษตร กลุ่มเกษตรกร และ กลมุ่ วังขนาย โดย ศวพ.มหาสารคาม มีแผนขยายพืน้ ทปี่ ลูกอ้อยอินทรยี ใ์ นพื้นทแ่ี ปลงใหญ่ เพือ่ ใหส้ ามารถผลิต อ้อยอินทรีย์ตามความต้องการของโรงงานน้าตาล ยกระดับรายได้ของเกษตรกรให้เพิ่มข้ึน สร้างเชื่อมโยง เครือข่ายทุกภาคส่วน และมีเกษตรกรต้นแบบ หรือ Smart farmer ด้านการผลิตอ้อยโรงงานและอ้อยค้นั นา้ อนิ ทรยี ์ เพื่อเปน็ ต้นแบบให้เกษตรกรท่ีสนใจนาไปขยายผลในพนื้ ที่ของตนได้ ภาพที่ 8 เครือขา่ ยผู้ใช้ประโยชน์ปยุ๋ พจี พี อี าร์ จากผผู้ ลิตระดบั เครอื ขา่ ยสู่ผู้ใช้ และจากเกษตรกรต้นแบบสู่ เกษตรกรรายยอ่ ย การจัดการความรู้ สานักวิจยั และพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4

18 ความพึงพอใจของผูใ้ ชป้ ระโยชน์ ทาการประเมินความพึงพอใจของเกษตรกรผู้ใช้ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ จานวน 191 ราย โดยใช้ แบบสอบถาม พบว่า เกษตรกรพอใจมากท่ีสุด พอใจมาก พอใจปานกลาง และไม่แสดงความคิดเห็น คิดเป็น ร้อยละ 45.02 30.37 6.8 และ 17.81 ตามลาดบั ซง่ึ เกษตรกรทไ่ี ม่แสดงความคิดเห็นเนือ่ งจากเพิง่ เริม่ ใช้ปุย๋ พีจี พอี ารใ์ นครั้งแรก ทาให้ยังไม่เหน็ ถงึ ความเปล่ยี นแปลง นอกจากนี้ยังพบวา่ เกษตรกรร้อยละ 97.38 มคี วามต้องการใช้ปุ๋ยพีจีพีอารใ์ นฤดูกาลถัดไป เน่อื งจาก ลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมี ราคาถูก พืชมีการเจริญเติบโตดี ผลผลิตเพิ่มข้ึน คุณภาพผลผลิตเพิ่มข้ึน เช่น ความ หวาน เปน็ ต้น ผลลพั ธข์ องกลุ่มเปา้ หมายจากการนาผลงานวิจัยไปใช้ เมื่อเปรยี บเทยี บกบั กอ่ นนาไปใช้ เกษตรกรนาปยุ๋ พีจพี ีอาร์ไปใชโ้ ดยวิธกี ารคลกุ เมลด็ ข้าวโพดก่อนปลูก การคลุกเมลด็ ข้าวกอ่ นปลกู (ตก กล้า) คลุกเมล็ดข้าวหว่านกอ่ นปลกู ผสมกับปยุ๋ อนิ ทรีย์ใส่รองพ้ืน/รองก้นหลมุ คลกุ ปุ๋ยเคมหี ว่านรองพน้ื คลุก ปุย๋ เคมหี ว่านแต่งหน้า ละลายน้าฉดี พน่ ท่อนพนั ธุ์ ละลายนา้ แชท่ ่อนพันธุ์ คิดเปน็ ร้อยละ 21.46 30.36 24.08 22.51 6.8 15.18 12.04 12.56 และ 10.47 ตามลาดับ ซ่ึงเกษตรกรร้อยละ 59.16 พบว่า หลังการใช้ปุ๋ยมี ปรมิ าณผลผลติ เพม่ิ ข้ึน ประโยชน์ของปยุ๋ ชีวภาพพีจีพอี าร์ทีเ่ กษตรกรคดิ วา่ พืชไดร้ ับ คือ เพิม่ ราก เพ่มิ การแตกกอ เพ่มิ จานวน ต้นต่อกอ เพมิ่ ความสูงของต้น เพิ่มผลผลติ ทนแล้ง เพ่มิ ความหวาน เพม่ิ ปรมิ าณแปง้ และทนทานตอ่ โรคและ แมลง โดยคดิ เป็นรอ้ ยละ 79.58 49.21 38.74 31.41 39.79 14.66 6.28 1.04 และ 32.46 ตามลาดบั การจดั การความรู้ สานกั วิจยั และพฒั นาการเกษตรเขตท่ี 4

19 เอกสารอ้างอิง ธงชัย มาลา. 2550. ปุ๋ยอินทรีย์และป๋ยุ ชวี ภาพ : เทคนคิ การผลติ และการใช้ประโยชน์. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรงุ เทพฯ. 300 หน้า. พกิ ุลทอง สุอนงค์ วนดิ า แหชยั ภูมิ และสวัสดิ์ สมสะอาด. 2561. การเพมิ่ ผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตออ้ ย โดยใช้ปุ๋ยตามค่าวเิ คราะหด์ นิ ในพื้นทน่ี าไมเ่ หมาะสมในจังหวัดบรุ รี มั ย.์ แก่นเกษตร 46(2): 70 – 76. อนชุ า เหลาเคน นพิ นธ์ ภาชนะวรรณ สชุ าติ คาอ่อน นวลจนั ทร์ ศรสี มบัติ สนัน่ อุประวรรณ และจักรพรรดิ วนุ้ สแี ซง. 2561. การจดั การธาตุอาหารเพื่อผลิตอ้อยอินทรยี ใ์ นพ้ืนทีจ่ งั หวดั มหาสารคาม. แก่น เกษตร 46(2): 130 – 139. หนง่ึ เต่ยี อารุง. 2548. ความร้ทู ่ัวไปเกี่ยวกบั แบคทีเรยี PGPR (Plant Growth Promoting Rhizobacteria). วารสารเทคโนโลยีสรุ นารี 12(3): 249–258. American Public Health Association. 2005. Standard Methods for the Examination of water and Wastewater. 21th Edition, American Public Health Association. Glick, B.R.; C.L. Patten; G. Holguin and D.M. Penrose. 1999. Biochemical and genetic mechanisms used by plant growth promoting bacteria. Imperial College Press, Waterloo, Ontario, Canada. 276 p. การจัดการความรู้ สานักวิจัยและพฒั นาการเกษตรเขตท่ี 4