ราชกิจจานเุ บกษา พระราชบญั ญัติ ให้ใช้พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม พ.ศ. ๒๕๔๓
พระราชบัญญตั ิ ให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ภมู พิ ลอดุลยเดช ป.ร. ใหไ้ ว้ ณ วนั ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นปีท่ี ๕๕ ในรชั กาลปจั จุบนั พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช มพี ระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยทเี่ ปน็ การสมควรปรบั ปรงุ พระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบญั ญตั ขิ ึ้นไว้โดยคาแนะนาและ ยินยอมของรฐั สภา ดังตอ่ ไปน้ี มาตรา ๑ พระราชบญั ญตั นิ เี้ รยี กว่า “พระราชบญั ญตั ิให้ใชพ้ ระธรรมนญู ศาล ยุตธิ รรม พ.ศ. ๒๕๔๓” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญตั นิ ้ใี หใ้ ช้บงั คับตัง้ แตว่ ันถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จา นุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ใหย้ กเลิกพระราชบัญญตั ิให้ใช้พระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรม พุทธศกั ราช ๒๔๗๗ และพระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรมซ่งึ ได้ใช้บงั คบั โดยพระราชบัญญตั ิดงั กล่าว มาตรา ๔ ใหใ้ ช้บทบญั ญัติทา้ ยพระราชบญั ญตั นิ เ้ี ปน็ พระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม
มาตรา ๕ พระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรมท้ายพระราชบญั ญัตนิ ้ีใหใ้ ช้บงั คบั แก่บรรดา คดีทีไ่ ด้ยืน่ ฟอ้ งในวนั ท่พี ระธรรมนูญศาลยุตธิ รรมทา้ ยพระราชบัญญัตินี้ใชบ้ งั คับเปน็ ต้นไป ไม่ว่ามูล คดไี ด้เกดิ ข้นึ กอ่ นหรอื ในวันทีพ่ ระธรรมนูญศาลยุตธิ รรมท้ายพระราชบัญญัตนิ ีใ้ ช้บงั คับ บรรดาคดีที่ไดย้ น่ื ฟ้องก่อนวนั ท่ีพระธรรมนญู ศาลยุติธรรมทา้ ยพระราชบญั ญัติน้ใี ช้ บังคบั ให้บังคับตามกฎหมายซ่ึงใช้อยู่ก่อนวันที่พระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรมทา้ ยพระราชบัญญตั ินใี้ ช้ บังคับจนกว่าคดีจะถงึ ที่สดุ เว้นแตม่ าตรา ๒๘ มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐ และมาตรา ๓๑ แห่งพระ ธรรมนูญศาลยุติธรรมทา้ ยพระราชบญั ญตั นิ ี้ ให้ใช้บังคับแกค่ ดใี นลักษณะดงั กล่าวนับแต่วนั ท่ี ๑๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๖ ใหผ้ ู้ทดี่ ารงตาแหน่งรองประธานศาลฎีกา และรองอธบิ ดผี พู้ ิพากษาศาล ชั้นต้น เฉพาะทมี่ อี าวุโสถัดจากรองประธานศาลฎีกา และรองอธบิ ดผี ู้พิพากษาศาลช้ันต้น คนท่ีสาม และรองอธิบดผี ูพ้ ิพากษาภาคอยูใ่ นวันทพี่ ระธรรมนูญศาลยุตธิ รรมท้ายพระราชบญั ญตั นิ ีใ้ ช้บังคบั คงดารงตาแหนง่ ดังกลา่ วได้ตอ่ ไปจนกวา่ จะได้รบั แตง่ ตัง้ ใหไ้ ปดารงตาแหน่งอนื่ แต่ตอ้ งไมเ่ กินวันท่ี ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้ผู้ท่ดี ารงตาแหน่งรองอธิบดผี ู้พิพากษาศาลอทุ ธรณ์ และรองอธิบดีผพู้ พิ ากษา ศาลอุทธรณภ์ าค เฉพาะทีม่ ีอาวุโสถดั จากรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอทุ ธรณ์ และรองอธบิ ดีผู้ พิพากษาศาลอทุ ธรณ์ภาคคนที่หนงึ่ อยใู่ นวนั ทพ่ี ระธรรมนูญศาลยุตธิ รรมท้ายพระราชบญั ญัตินี้ใช้ บงั คับ คงดารงตาแหนง่ ดังกล่าวได้ต่อไปจนกวา่ จะไดร้ บั แต่งตงั้ ใหไ้ ปดารงตาแหน่งอน่ื แตต่ ้องไม่ เกนิ วนั ที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ใหผ้ ู้ท่ดี ารงตาแหน่งอย่ตู ามวรรคหนึ่งและวรรคสอง มีหน้าท่ีช่วยประธานศาลฎกี า ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลชัน้ ตน้ และอธบิ ดผี พู้ พิ ากษา ภาค ตามท่ีประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผพู้ พิ ากษาศาล ชนั้ ต้น และอธิบดผี พู้ พิ ากษาภาคมอบหมาย แลว้ แตก่ รณี มาตรา ๗ บรรดาพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบราชการฝา่ ยตุลาการ ระเบียบ ข้อบงั คับ และบรรดาคาสง่ั ต่าง ๆ ของรฐั มนตรวี ่าการกระทรวงยุตธิ รรมทีต่ รา หรอื ออก โดยอาศัยอานาจตามพระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรมซึง่ ไดใ้ ชบ้ ังคับโดยพระราชบัญญตั ิให้ใชพ้ ระ ธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม พุทธศกั ราช ๒๔๗๗ ก่อนวนั ที่พระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมท้ายพระราชบัญญัติ น้ีใช้บังคบั ให้คงใช้บงั คบั ไดต้ อ่ ไปจนกว่าจะมีประกาศ ระเบยี บ หรอื คาสั่ง ตามพระธรรมนญู ศาล ยุติธรรมทา้ ยพระราชบัญญัตินอี้ อกใช้บงั คบั แทน
มาตรา ๘ ใหป้ ระธานศาลฎีการกั ษาการตามพระราชบญั ญตั ิน้ี ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลกี ภัย นายกรัฐมนตรี พระธรรมนญู ศาลยุติธรรม หมวด ๑ บททวั่ ไป มาตรา ๑[๒] ศาลยตุ ธิ รรมตามพระธรรมนูญนีม้ ีสามชั้น คอื ศาลช้นั ตน้ ศาลชนั้ อทุ ธรณ์ และศาลฎีกา เวน้ แต่จะมีกฎหมายบัญญตั ไิ ว้เป็นอยา่ งอน่ื มาตรา ๒ ศาลชั้นต้น ไดแ้ ก่ ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบรุ ี ศาล อาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี ศาลจังหวัด ศาลแขวง และศาลยตุ ิธรรมอื่นที่ พระราชบัญญัตจิ ดั ตง้ั ศาลน้นั กาหนดให้เปน็ ศาลชน้ั ต้น มาตรา ๓[๓] ศาลช้ันอทุ ธรณ์ ได้แก่ ศาลอทุ ธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลยตุ ิธรรม อ่ืนท่ีพระราชบญั ญัติจดั ตั้งศาลนัน้ กาหนดให้เป็นศาลชัน้ อทุ ธรณ์ มาตรา ๔[๔] ศาลฎกี า ศาลชั้นอทุ ธรณ์ และศาลช้ันต้น อาจแบง่ ส่วนราชการเปน็ แผนกหรอื หนว่ ยงานทเ่ี รียกชอื่ อย่างอื่น และจะให้มีอานาจในคดีประเภทใดหรือคดใี นท้องท่ีใด ซ่ึง อยใู่ นเขตอานาจของแต่ละศาลนัน้ แยกต่างหากโดยเฉพาะก็ได้ โดยให้ออกเป็นประกาศคณะ กรรมการบรหิ ารศาลยุตธิ รรม
ศาลชัน้ ตน้ อาจเปดิ ทาการสาขาในทอ้ งที่อนื่ ใด และจะใหม้ ีอานาจในคดปี ระเภทใด หรือคดีในทอ้ งท่ีใด ซึ่งอยู่ในเขตอานาจของศาลนัน้ แยกตา่ งหากโดยเฉพาะก็ได้ โดยให้ออกเป็น ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุตธิ รรม การกาหนดและการเปลยี่ นแปลงสถานท่ตี งั้ ของศาล ให้ออกเปน็ ประกาศคณะ กรรมการบริหารศาลยตุ ธิ รรม ประกาศคณะกรรมการบรหิ ารศาลยุติธรรมทีอ่ อกตามความในมาตรานีเ้ มอื่ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแลว้ ให้ใชบ้ ังคับได้ มาตรา ๕[๕] ให้ประธานศาลฎกี ามีหน้าท่วี างระเบยี บราชการฝ่ายตลุ าการของศาล ยตุ ิธรรมเพือ่ ให้กิจการของศาลยุตธิ รรมดาเนินไปโดยเรียบร้อยและเป็นระเบยี บเดียวกนั และให้ ประธานศาลฎีกามอี านาจให้คาแนะนาแกผ่ ู้พพิ ากษาในการปฏบิ ตั ิตามระเบยี บวธิ ีการตา่ ง ๆ ท่ี กาหนดขน้ึ โดยกฎหมายหรอื โดยประการอื่นใหเ้ ปน็ ไปโดยถกู ตอ้ ง มาตรา ๖ ใหเ้ ลขาธกิ ารสานักงานศาลยุตธิ รรมโดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการบรหิ ารศาลยุตธิ รรมมีอานาจเสนอความเหน็ เกย่ี วกบั การจัดตง้ั การยบุ เลิก หรือการ เปลีย่ นแปลงเขตอานาจศาลของศาลยตุ ิธรรมต่อคณะรัฐมนตรเี พื่อพิจารณาดาเนนิ การ ทงั้ น้ี โดย คานึงถึงจานวน สภาพ สถานทีต่ ัง้ และเขตอานาจศาลตามทจี่ าเป็นเพ่อื ใหก้ ารอานวยความยุตธิ รรม แกป่ ระชาชนเปน็ ไปโดยเรียบร้อยตลอดราชอาณาจกั ร มาตรา ๗ ให้คณะกรรมการบรหิ ารศาลยุติธรรมกาหนดจานวนผู้พพิ ากษาในศาล ยุตธิ รรมให้เหมาะสมตามความจาเปน็ แหง่ ราชการ มาตรา ๘ ใหม้ ปี ระธานศาลฎกี าประจาศาลฎีกาหนึ่งคน ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประจาศาลอุทธรณ์หนงึ่ คน ประธานศาลอุทธรณ์ภาคประจาศาลอุทธรณ์ภาค ศาลละหน่ึงคน และ ใหม้ ีอธิบดีผูพ้ พิ ากษาศาลชั้นต้นประจาศาลแพ่ง ศาลแพง่ กรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี และศาลยตุ ิธรรมอน่ื ทพี่ ระราชบญั ญัตจิ ัดต้งั ศาลนน้ั กาหนดใหเ้ ป็นศาลชัน้ ต้น ศาลละหน่ึงคน กบั ให้มีรองประธานศาลฎกี าประจาศาลฎกี า รอง ประธานศาลอทุ ธรณ์ประจาศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคประจาศาลอทุ ธรณ์ภาค และรองอธิบดผี พู้ ิพากษาศาลชัน้ ตน้ ประจาศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรงุ เทพใต้ ศาลแพ่งธนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี และศาลยุตธิ รรมอน่ื ทีพ่ ระราชบัญญตั ิจัดตัง้ ศาลน้นั
กาหนดใหเ้ ปน็ ศาลชั้นตน้ ศาลละหนง่ึ คน และในกรณีทม่ี ีความจาเป็นเพื่อประโยชนใ์ นทางราชการ คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมโดยความเห็นชอบของประธานศาลฎกี าจะกาหนดให้มีรอง ประธานศาลฎกี ามากกว่าหนึ่งคนแต่ไมเ่ กนิ หกคน รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาล อทุ ธรณภ์ าค หรือรองอธิบดผี ู้พพิ ากษาศาลช้ันตน้ มากกวา่ หน่ึงคนแต่ไม่เกนิ สามคนกไ็ ด้[๖] เม่อื ตาแหนง่ ประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค หรอื อธบิ ดีผพู้ พิ ากษาศาลช้ันตน้ วา่ งลง หรือเมือ่ ผูด้ ารงตาแหน่งดงั กล่าวไมอ่ าจปฏิบตั ริ าชการได้ให้รอง ประธานศาลฎกี า รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรอื รองอธิบดีผู้พพิ ากษา ศาลชั้นต้น แล้วแต่กรณี เป็นผู้ทาการแทน ถ้ามีรองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค หรอื รองอธิบดีผ้พู พิ ากษาศาลชั้นตน้ หลายคน ให้รองประธานศาล ฎกี า รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ทีม่ อี าวโุ สสูงสดุ เปน็ ผู้ทาการแทน ถา้ ผู้ทม่ี อี าวุโสสูงสุดไม่อาจปฏบิ ตั ิราชการได้ ใหผ้ ทู้ ่มี อี าวุโสถัดลง มาตามลาดบั เป็นผ้ทู าการแทน[๗] ในกรณีทไ่ี มม่ ีผทู้ าการแทนประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาล อทุ ธรณภ์ าค หรืออธิบดผี ู้พพิ ากษาศาลชั้นต้นตามวรรคสอง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัตริ าชการได้ ให้ผู้ พิพากษาท่ีมีอาวุโสสงู สดุ ในศาลนน้ั เป็นผู้ทาการแทน ถา้ ผูท้ ีม่ ีอาวุโสสูงสุดไมอ่ าจปฏบิ ัติราชการได้ ให้ผพู้ พิ ากษาทีม่ ีอาวโุ สถดั ลงมาตามลาดบั เปน็ ผทู้ าการแทน ในกรณีที่ไมม่ ีผทู้ าการแทนตามวรรคสาม ประธานศาลฎกี าจะส่ังให้ผู้พิพากษาคน หนง่ึ เป็นผทู้ าการแทนก็ได้ ผู้พพิ ากษาอาวุโสหรอื ผู้พพิ ากษาประจาศาลจะเปน็ ผู้ทาการแทนในตาแหนง่ ตาม วรรคหนึ่งไมไ่ ด้ มาตรา ๙ ในศาลจงั หวดั หรือศาลแขวง ให้มีผ้พู พิ ากษาหัวหน้าศาล ศาลละหนึง่ คน เม่ือตาแหน่งผ้พู ิพากษาหัวหน้าศาลจงั หวัดหรอื ผู้พิพากษาหัวหนา้ ศาลแขวงวา่ งลง หรือเม่ือผู้ดารงตาแหน่งดังกลา่ วไม่อาจปฏบิ ัติราชการได้ ให้ผ้พู ิพากษาทมี่ อี าวโุ สสงู สุดในศาลน้นั เป็นผู้ทาการแทน ถ้าผู้ท่มี ีอาวโุ สสูงสดุ ในศาลนั้นไมอ่ าจปฏิบตั ริ าชการได้ ให้ผู้พพิ ากษาท่ีมีอาวโุ ส ถัดลงมาตามลาดับในศาลนั้นเปน็ ผู้ทาการแทน ในกรณีท่ไี มม่ ีผ้ทู าการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎีกาจะสั่งใหผ้ ู้พิพากษาคน หน่งึ เป็นผทู้ าการแทนกไ็ ด้ ผู้พพิ ากษาอาวุโสหรอื ผู้พิพากษาประจาศาลจะเป็นผู้ทาการแทนในตาแหน่งตาม วรรคหน่งึ ไม่ได้
มาตรา ๑๐ ในกรณีทมี่ กี ารแบง่ ส่วนราชการในศาลฎกี า ศาลชน้ั อทุ ธรณ์ หรือศาล ชน้ั ต้นออกเปน็ แผนกหรอื หน่วยงานทเี่ รียกชอ่ื อยา่ งอ่นื ให้มผี พู้ พิ ากษาหวั หน้าแผนกหรอื ผู้ พพิ ากษาหัวหน้าหนว่ ยงานท่เี รยี กชือ่ อยา่ งอ่ืน แผนกหรอื หนว่ ยงานละหนง่ึ คน[๘] เมอ่ื ตาแหน่งผพู้ พิ ากษาหัวหน้าแผนกหรอื ผู้พพิ ากษาหวั หนา้ หนว่ ยงานทเี่ รยี กชื่อ อย่างอ่นื ตามวรรคหนึ่งวา่ งลง หรือเม่ือผู้ดารงตาแหน่งดังกล่าวไมอ่ าจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้ พิพากษาทม่ี อี าวุโสสูงสุดในแผนกหรือในหน่วยงานทีเ่ รยี กชื่ออยา่ งอ่นื นั้นเป็นผู้ทาการแทน ถ้าผ้ทู ม่ี ี อาวโุ สสูงสดุ ในแผนกหรอื ในหนว่ ยงานทเ่ี รียกชื่ออยา่ งอื่นน้นั ไมอ่ าจปฏบิ ตั ริ าชการได้ ให้ผูพ้ ิพากษา ที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลาดบั ในแผนกหรอื ในหน่วยงานทเ่ี รยี กช่ืออย่างอน่ื นน้ั เป็นผูท้ าการแทน ในกรณีทไ่ี ม่มผี ้ทู าการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎกี าจะสั่งใหผ้ ู้พพิ ากษาคน หนง่ึ เป็นผู้ทาการแทนก็ได้ ผพู้ พิ ากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจาศาลจะทาการแทนในตาแหน่งตามวรรค หนง่ึ ไมไ่ ด้ มาตรา ๑๑ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค อธิบดีผพู้ ิพากษาศาลชัน้ ต้น และผพู้ ิพากษาหัวหน้าศาล ต้องรบั ผิดชอบในราชการของศาลให้ เป็นไปโดยเรียบรอ้ ย และให้มอี านาจหน้าที่ดังตอ่ ไปน้ีด้วย (๑)[๙] นัง่ พิจารณาและพิพากษาคดใี ด ๆ ของศาลน้นั หรอื เมือ่ ไดต้ รวจสานวนคดใี ด แลว้ มอี านาจทาความเห็นแย้งได้ (๒) ส่งั คาร้องคาขอต่าง ๆ ท่ยี ่ืนตอ่ ตนตามบทบัญญตั ิแหง่ กฎหมายวา่ ด้วยวิธี พจิ ารณาความ (๓) ระมดั ระวังการใช้ระเบียบวธิ ีการต่าง ๆ ทีก่ าหนดข้นึ โดยกฎหมายหรือโดย ประการอ่นื ใหเ้ ปน็ ไปโดยถูกตอ้ ง เพ่ือใหก้ ารพจิ ารณาพพิ ากษาคดีเสรจ็ เด็ดขาดไปโดยเร็ว (๔) ให้คาแนะนาแก่ผู้พิพากษาในศาลน้ันในข้อขัดข้องเนื่องในการปฏิบัติหน้าท่ี ของผู้พิพากษา (๕) รว่ มมือกบั เจ้าพนกั งานฝ่ายปกครองในบรรดากิจการอนั เกีย่ วกบั การจดั วาง ระเบยี บและการดาเนินการงานสว่ นธุรการของศาล (๖) ทารายงานการคดแี ละกิจการของศาลส่งตามระเบยี บ (๗) มีอานาจหน้าที่อนื่ ตามท่ีกฎหมายกาหนด
ใหร้ องประธานศาลฎกี า รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรือรองอธบิ ดผี ู้พพิ ากษาศาลชั้นตน้ มีอานาจตาม (๒) ด้วย และให้มีหน้าท่ีช่วยประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรอื อธิบดีผู้พิพากษาศาลชนั้ ตน้ แลว้ แตก่ รณี ตามทป่ี ระธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอุทธรณภ์ าค หรอื อธิบดีผพู้ ิพากษาศาล ชั้นต้นมอบหมาย มาตรา ๑๒ ผูพ้ พิ ากษาหัวหนา้ แผนกหรือผพู้ ิพากษาหัวหน้าหนว่ ยงานทีเ่ รียกชอ่ื อย่างอนื่ ตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึง่ ตอ้ งรับผดิ ชอบงานของแผนกหรอื หนว่ ยงานทีเ่ รยี กช่อื อย่างอื่น ใหเ้ ป็นไปโดยเรยี บรอ้ ยตามท่กี าหนดไวใ้ นประกาศคณะกรรมการบรหิ ารศาลยุติธรรมทีไ่ ด้จัดต้ัง แผนกหรือหน่วยงานทเี่ รยี กช่ืออย่างอื่นน้นั และตอ้ งปฏิบัติตามคาส่ังของประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค อธิบดีผ้พู ิพากษาศาลช้ันต้น หรือผู้พพิ ากษาหัวหน้า ศาลน้ัน มาตรา ๑๓[๑๐] ใหม้ อี ธิบดีผพู้ พิ ากษาภาค ภาคละหน่ึงคน จานวนเกา้ ภาค มีสถาน ทตี่ ัง้ และเขตอานาจตามทค่ี ณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรมกาหนดโดยประกาศในราชกิจจา นเุ บกษา กบั ใหม้ รี องอธบิ ดีผพู้ พิ ากษาภาค ภาคละสามคน ในกรณีทีม่ ีความจาเป็นเพื่อประโยชน์ ในทางราชการ คณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรมโดยความเห็นชอบของประธานศาลฎีกาจะ กาหนดให้มีรองอธบิ ดีผพู้ ิพากษาภาคมากกว่าสามคนแต่ไมเ่ กนิ หกคนกไ็ ด้ เมอ่ื ตาแหนง่ อธบิ ดผี ู้พิพากษาภาควา่ งลง หรือเมอ่ื ผู้ดารงตาแหน่งดงั กล่าวไมอ่ าจ ปฏบิ ัตริ าชการได้ ให้รองอธิบดผี ู้พิพากษาภาคท่ีมีอาวโุ สสงู สดุ เปน็ ผูท้ าการแทน ถา้ ผู้ท่มี ีอาวุโส สูงสดุ ไม่อาจปฏิบตั ริ าชการได้ ให้ผทู้ มี่ อี าวุโสถดั ลงมาตามลาดับเปน็ ผทู้ าการแทน ในกรณที ไ่ี ม่มีผ้ทู าการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎกี าจะส่ังใหผ้ ู้พิพากษาคน หน่งึ เป็นผทู้ าการแทนกไ็ ด้ ผู้พิพากษาอาวุโสหรอื ผู้พพิ ากษาประจาศาลจะเปน็ ผทู้ าการแทนในตาแหนง่ ตาม วรรคหน่งึ ไม่ได้ มาตรา ๑๔ ใหอ้ ธบิ ดผี ูพ้ พิ ากษาภาคเป็นผพู้ ิพากษาในศาลท่อี ยู่ในเขตอานาจด้วยผู้ หนงึ่ โดยให้มอี านาจและหน้าที่ตามทีก่ าหนดไว้ในมาตรา ๑๑ วรรคหน่ึง และให้มอี านาจหนา้ ที่ ดงั ตอ่ ไปน้ีดว้ ย
(๑) ส่ังให้หัวหน้าสานักงานประจาศาลยุติธรรมรายงานเกย่ี วดว้ ยคดี หรอื รายงาน กจิ การอ่ืนของศาลทอี่ ยู่ในเขตอานาจของตน (๒) ในกรณีจาเป็นจะสัง่ ให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนง่ึ ในศาลท่ีอยใู่ นเขตอานาจของ ตนไปช่วยทางานชัว่ คราวมกี าหนดไม่เกินสามเดือนในอกี ศาลหน่งึ โดยความยนิ ยอมของผู้พิพากษา นัน้ กไ็ ด้ แลว้ รายงานไปยังประธานศาลฎีกาทันที ใหร้ องอธิบดผี ู้พิพากษาภาคเป็นผู้พิพากษาในศาลทอ่ี ยใู่ นเขตอานาจดว้ ย โดยใหม้ ี อานาจตามท่ีกาหนดไว้ในมาตรา ๑๑ วรรคหนง่ึ (๒) และให้มีหนา้ ท่ีชว่ ยอธิบดีผู้พิพากษาภาคตามที่ อธิบดีผพู้ พิ ากษาภาคมอบหมาย[๑๑] หมวด ๒ เขตอานาจศาล มาตรา ๑๕ ห้ามมใิ ห้ศาลยุตธิ รรมศาลใดศาลหนงึ่ รบั คดซี งึ่ ศาลยุติธรรมอื่นได้สั่งรบั ประทับฟ้องโดยชอบแลว้ ไวพ้ ิจารณาพิพากษา เวน้ แต่คดีนั้นจะไดโ้ อนมาตามบทบัญญัติแหง่ กฎหมายว่าด้วยวิธพี จิ ารณาความหรอื ตามพระธรรมนญู ศาลยุติธรรม มาตรา ๑๖ ศาลชน้ั ตน้ มีเขตตามท่พี ระราชบญั ญตั จิ ัดตั้งศาลนัน้ กาหนดไว้ในกรณี ทมี่ ีความจาเปน็ ต้องเปลยี่ นแปลงเขตอานาจศาลเพ่ือประโยชนใ์ นการอานวยความยุตธิ รรมแก่ ประชาชน ให้ตราเปน็ พระราชกฤษฎีกา[๑๒] ศาลแพ่งและศาลอาญา มีเขตตลอดท้องท่ีกรงุ เทพมหานครนอกจากท้องทท่ี อี่ ยู่ใน เขตของศาลแพ่งกรงุ เทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบรุ ี ศาลจังหวัดมนี บรุ ี และศาลยตุ ธิ รรมอ่นื ตามท่พี ระราชบัญญตั จิ ัดต้งั ศาลนั้นกาหนดไว้ ในกรณที ่มี ีการยื่นฟอ้ งคดตี ่อศาลแพ่งหรือศาลอาญา และคดนี ้ันเกิดข้ึนนอกเขต ของศาลแพง่ หรือศาลอาญา ศาลแพง่ หรือศาลอาญา แล้วแต่กรณี อาจใช้ดลุ พนิ ิจยอมรับไว้ พจิ ารณาพิพากษาหรอื มคี าสง่ั โอนคดไี ปยงั ศาลยตุ ิธรรมอ่นื ทมี่ เี ขตอานาจ (ยกเลกิ )[๑๓]
มาตรา ๑๗ ศาลแขวงมอี านาจพิจารณาพิพากษาคดี และมอี านาจทาการไต่ สวน หรือมีคาสง่ั ใด ๆ ซ่ึงผู้พพิ ากษาคนเดียวมีอานาจตามท่กี าหนดไว้ในมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๕ วรรคหนง่ึ มาตรา ๑๘[๑๔] ภายใตบ้ ังคบั มาตรา ๑๙/๑ ศาลจังหวัดมีอานาจพจิ ารณาพิพากษา คดแี พง่ และคดอี าญาทัง้ ปวงทม่ี ไิ ด้อยู่ในอานาจของศาลยุติธรรมอน่ื มาตรา ๑๙ ศาลแพง่ ศาลแพ่งกรงุ เทพใต้ และศาลแพ่งธนบุรีมีอานาจพิจารณา พพิ ากษาคดีแพ่งทัง้ ปวงและคดีอ่นื ใดทีม่ ิไดอ้ ยู่ในอานาจของศาลยตุ ธิ รรมอนื่ ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ และศาลอาญาธนบุรมี อี านาจพจิ ารณาพพิ ากษา คดอี าญาทัง้ ปวงที่มิไดอ้ ยู่ในอานาจของศาลยุตธิ รรมอน่ื รวมทัง้ คดอี ื่นใดทม่ี ีกฎหมายบัญญตั ิให้อยู่ ในอานาจของศาลทม่ี อี านาจพจิ ารณาคดอี าญา แลว้ แตก่ รณี มาตรา ๑๙/๑[๑๕] บรรดาคดีซ่งึ เกิดขึ้นในเขตศาลแขวงและอยู่ในอานาจของศาลแขวง นั้นถ้าย่ืนฟ้องต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาล อาญาธนบุรี หรอื ศาลจังหวดั ใหอ้ ย่ใู นดลุ พินิจของศาลดงั กล่าวทีจ่ ะยอมรบั พิจารณาคดใี ดคดหี น่งึ ที่ ยื่นฟอ้ งเชน่ น้นั หรือมคี าสั่งโอนคดไี ปยังศาลแขวงที่มีเขตอานาจก็ได้ และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด หากศาลแพ่ง ศาลแพง่ กรุงเทพใต้ ศาลแพง่ ธนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบรุ ี หรือศาลจังหวัดไดม้ ีคาสงั่ รับฟ้องคดเี ชน่ ว่านั้นไวแ้ ลว้ ใหศ้ าลดงั กล่าวพจิ ารณาพิพากษาคดนี ัน้ ตอ่ ไป ในกรณีท่ีขณะย่ืนฟ้องคดีน้ันเป็นคดีท่ีอยู่ในอานาจศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัดอยู่แล้ว แม้ ต่อมาจะมีพฤตกิ ารณ์เปล่ยี นแปลงไปทาใหค้ ดนี ัน้ เป็นคดีทีอ่ ยใู่ นอานาจของศาลแขวง ก็ใหศ้ าลนนั้ พจิ ารณาพิพากษาคดีดังกล่าวต่อไป มาตรา ๒๐ ศาลยุตธิ รรมอ่ืนมีอานาจพิจารณาพพิ ากษาคดีตามท่ีพระราชบัญญัติ จดั ตง้ั ศาลนัน้ หรอื กฎหมายอนื่ กาหนดไว้ มาตรา ๒๑ ศาลอทุ ธรณม์ เี ขตตลอดทอ้ งที่ทม่ี ิได้อยู่ในเขตศาลอุทธรณภ์ าค
ในกรณีที่มกี ารย่นื อทุ ธรณค์ ดีต่อศาลอุทธรณ์ และคดีน้นั อยนู่ อกเขตของศาล อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อาจใชด้ ลุ พนิ จิ ยอมรบั ไวพ้ จิ ารณาพพิ ากษาหรอื มคี าส่ังโอนคดีน้ันไปยงั ศาล อทุ ธรณภ์ าคท่มี เี ขตอานาจ มาตรา ๒๒ ศาลอทุ ธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอานาจพิจารณาพพิ ากษาบรรดา คดที อ่ี ุทธรณค์ าพพิ ากษาหรือคาส่ังของศาลช้ันต้น ตามบทบัญญัตแิ ห่งกฎหมายวา่ ด้วยการอทุ ธรณ์ และว่าดว้ ยเขตอานาจศาล และมอี านาจดงั ต่อไปนี้ (๑) พิพากษายืนตาม แกไ้ ข กลับ หรือยกคาพพิ ากษาของศาลชั้นต้นท่ีพิพากษา ลงโทษประหารชวี ิตหรอื จาคกุ ตลอดชีวติ ในเมอื่ คดนี ้นั ไดส้ ง่ ข้นึ มายังศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ ภาคตามท่ีบญั ญัตไิ วใ้ นกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา (๒) วินิจฉยั ช้ีขาดคาร้องคาขอที่ย่นื ตอ่ ศาลอุทธรณ์หรอื ศาลอุทธรณ์ภาคตาม กฎหมาย (๓) วินิจฉยั ชข้ี าดคดีท่ีศาลอทุ ธรณแ์ ละศาลอทุ ธรณ์ภาคมอี านาจวนิ ิจฉยั ไดต้ าม กฎหมายอน่ื มาตรา ๒๓ ศาลฎีกามีอานาจพิจารณาพพิ ากษาคดที ีร่ ัฐธรรมนญู หรอื กฎหมาย บัญญัติใหเ้ สนอตอ่ ศาลฎีกาได้โดยตรง และคดีทอ่ี ทุ ธรณ์หรือฎีกาคาพพิ ากษาหรอื คาสงั่ ของศาล ช้นั ต้น ศาลอทุ ธรณ์ หรอื ศาลอทุ ธรณภ์ าคตามที่กฎหมายบัญญตั ิ เวน้ แต่กรณีท่ศี าลฎกี าเห็นว่าข้อ กฎหมายหรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทอ่ี ุทธรณ์หรือฎกี านั้นจะไม่เปน็ สาระอนั ควรแก่การพจิ ารณา ศาลฎกี ามี อานาจไม่รับคดไี ว้พิจารณาพิพากษาได้ ทง้ั น้ี ตามระเบยี บทที่ ปี่ ระชมุ ใหญศ่ าลฎีกากาหนดโดย ประกาศในราชกิจจานเุ บกษา[๑๖] คดที ีศ่ าลฎีกาไดพ้ จิ ารณาพิพากษาหรือมคี าส่ังแลว้ คู่ความไมม่ ีสทิ ธทิ ่จี ะทลู เกล้าฯ ถวายฎีกาคดั ค้านคดนี นั้ ต่อไป หมวด ๓ องค์คณะผพู้ ิพากษา มาตรา ๒๔ ใหผ้ ู้พพิ ากษาคนหน่งึ มีอานาจดังต่อไปน้ี (๑) ออกหมายเรียก หมายอาญา หรอื หมายส่ังให้ส่งคนมาจากหรอื ไปยงั จังหวดั อ่ืน
(๒) ออกคาสงั่ ใด ๆ ซงึ่ มิใชเ่ ปน็ ไปในทางวินจิ ฉยั ชี้ขาดข้อพพิ าทแห่งคดี มาตรา ๒๕ ในศาลชั้นตน้ ผู้พิพากษาคนเดียวเปน็ องคค์ ณะมอี านาจเกี่ยวแก่คดซี งึ่ อยู่ในอานาจของศาลนน้ั ดังต่อไปนี้ (๑) ไต่สวนและวนิ ิจฉยั ชขี้ าดคารอ้ งหรอื คาขอท่ียื่นตอ่ ศาลในคดีท้ังปวง (๒) ไต่สวนและมีคาสั่งเกยี่ วกับวธิ ีการเพ่อื ความปลอดภัย (๓) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคาส่ังในคดีอาญา (๔) พิจารณาพิพากษาคดแี พ่ง ซ่งึ ราคาทรัพยส์ ินทพ่ี พิ าทหรือจานวนเงนิ ทีฟ่ อ้ งไม่ เกินสามแสนบาท ราคาทรัพยส์ นิ ท่พี พิ าทหรอื จานวนเงนิ ดงั กล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระ ราชกฤษฎีกา (๕) พิจารณาพพิ ากษาคดีอาญา ซ่ึงกฎหมายกาหนดอตั ราโทษอย่างสูงไว้ให้จาคกุ ไม่ เกินสามปี หรอื ปรับไม่เกินหกหม่นื บาท หรือทงั้ จาทั้งปรบั แต่จะลงโทษจาคุกเกนิ หกเดอื น หรือ ปรบั เกนิ หนึง่ หมืน่ บาท หรอื ทง้ั จาทงั้ ปรับ ซ่ึงโทษจาคุกหรอื ปรบั อยา่ งใดอย่างหน่งึ หรือทง้ั สองอยา่ ง เกนิ อัตราทีก่ ลา่ วแลว้ ไมไ่ ด้ ผพู้ ิพากษาประจาศาลไมม่ ีอานาจตาม (๓) (๔) หรอื (๕) มาตรา ๒๖ ภายใตบ้ ังคบั มาตรา ๒๕ ในการพจิ ารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจากศาลแขวงและศาลยตุ ธิ รรมอ่นื ซง่ึ พระราชบัญญัติจดั ตัง้ ศาลน้นั กาหนดไวเ้ ปน็ อย่างอนื่ ต้อง มผี พู้ ิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผพู้ พิ ากษาประจาศาลเกินหนง่ึ คน จงึ เปน็ องค์คณะที่ มอี านาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดแี พ่งหรือคดีอาญาทงั้ ปวง มาตรา ๒๗ ในการพิจารณาพพิ ากษาคดขี องศาลอทุ ธรณ์ ศาลอทุ ธรณภ์ าค หรอื ศาลฎีกา ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคน จงึ เป็นองคค์ ณะทีม่ ีอานาจพิจารณาพพิ ากษาคดีได้ ผ้พู พิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ ผู้พิพากษาศาลอทุ ธรณภ์ าค และผ้พู ิพากษาศาลฎกี า ท่ีเข้า ประชุมใหญใ่ นศาลนัน้ หรือในแผนกคดขี องศาลดงั กล่าว เมอื่ ได้ตรวจสานวนคดที ป่ี ระชุมใหญ่หรือที่ ประชุมแผนกคดแี ล้ว มอี านาจพพิ ากษาหรือทาคาส่ังคดนี ั้นได้ และเฉพาะในศาลอทุ ธรณห์ รอื ศาล อทุ ธรณ์ภาคมอี านาจทาความเห็นแย้งได้ดว้ ย
มาตรา ๒๘ ในระหวา่ งการพจิ ารณาคดใี ด หากมเี หตุสดุ วิสยั หรือมเี หตุจาเปน็ อืน่ อันมิอาจกา้ วล่วงได้ ทาให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองคค์ ณะในการพิจารณาคดนี ้ัน ไมอ่ าจจะน่งั พจิ ารณา คดตี อ่ ไป ใหผ้ พู้ ิพากษาดงั ต่อไปน้นี ั่งพจิ ารณาคดีนัน้ แทนต่อไปได้ (๑) ในศาลฎกี า ได้แก่ ประธานศาลฎีกา หรือรองประธานศาลฎกี า หรอื ผพู้ ิพากษา ในศาลฎีกาซึ่งประธานศาลฎกี ามอบหมาย (๒) ในศาลอทุ ธรณ์หรือศาลอุทธรณภ์ าค ได้แก่ ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาล อุทธรณภ์ าค หรอื รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค หรือผู้พิพากษาในศาล อุทธรณห์ รือศาลอทุ ธรณ์ภาคซ่ึงประธานศาลอทุ ธรณ์หรือประธานศาลอุทธรณภ์ าค แลว้ แต่กรณี มอบหมาย (๓)[๑๗] ในศาลช้นั ตน้ ได้แก่ อธิบดผี พู้ ิพากษาศาลชัน้ ต้น อธิบดีผูพ้ พิ ากษาภาค ผู้ พิพากษาหวั หน้าศาล หรอื รองอธิบดีผพู้ ิพากษาศาลช้ันต้น รองอธิบดผี พู้ ิพากษาภาค หรือผู้ พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนน้ั ซ่ึงอธิบดีผูพ้ พิ ากษาศาลช้นั ต้น อธบิ ดผี ู้พิพากษาภาค หรอื ผู้ พิพากษาหวั หน้าศาล แล้วแต่กรณี มอบหมาย ใหผ้ ้ทู าการแทนในตาแหนง่ ต่าง ๆ ตามมาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๓ มอี านาจ ตาม (๑) (๒) และ (๓) ดว้ ย มาตรา ๒๙ ในระหว่างการทาคาพพิ ากษาคดใี ด หากมเี หตุสุดวิสยั หรือเหตจุ าเปน็ อน่ื อันมิอาจก้าวลว่ งได้ ทาใหผ้ ้พู ิพากษาซ่งึ เป็นองคค์ ณะในการพิจารณาคดีน้นั ไม่อาจจะทาคา พพิ ากษาในคดีน้ันต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนมี้ อี านาจลงลายมอื ชอ่ื ทาคาพิพากษา และ เฉพาะในศาลอทุ ธรณ์ ศาลอุทธรณภ์ าค และศาลช้นั ตน้ มีอานาจทาความเห็นแยง้ ได้ด้วย ทั้งน้ี หลงั จากได้ตรวจสานวนคดีนัน้ แลว้ (๑) ในศาลฎกี า ได้แก่ ประธานศาลฎีกาหรอื รองประธานศาลฎกี า (๒) ในศาลอทุ ธรณห์ รอื ศาลอทุ ธรณภ์ าค ได้แก่ ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาล อุทธรณ์ภาค รองประธานศาลอุทธรณ์ หรือรองประธานศาลอทุ ธรณ์ภาค แล้วแตก่ รณี (๓)[๑๘] ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลช้ันต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธบิ ดผี ู้พพิ ากษาศาลชั้นตน้ รองอธิบดผี ู้พพิ ากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแตก่ รณี ใหผ้ ทู้ าการแทนในตาแหนง่ ต่าง ๆ ตามมาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๓ มีอานาจ ตาม (๑) (๒) และ (๓) ดว้ ย
มาตรา ๓๐ เหตุจาเปน็ อืน่ อนั มิอาจกา้ วล่วงไดต้ ามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ หมายถึง กรณที ผ่ี ูพ้ ิพากษาซึ่งเป็นองคค์ ณะน่ังพจิ ารณาคดนี น้ั พน้ จากตาแหนง่ ทด่ี ารงอยหู่ รอื ถกู คัดคา้ นและถอนตวั ไป หรือไมอ่ าจปฏิบัติราชการจนไมส่ ามารถนั่งพิจารณาหรือทาคาพิพากษาใน คดนี ้ันได้ มาตรา ๓๑ เหตจุ าเปน็ อ่นื อนั มอิ าจก้าวลว่ งได้ตามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ นอกจากท่ีกาหนดไวใ้ นมาตรา ๓๐ แล้ว ให้หมายความรวมถึงกรณดี งั ต่อไปนด้ี ้วย (๑) กรณีทีผ่ ู้พพิ ากษาคนเดียวไต่สวนมลู ฟ้องคดอี าญาแล้วเหน็ ว่าควรพิพากษายก ฟอ้ ง แตค่ ดนี ั้นมอี ัตราโทษตามที่กฎหมายกาหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา ๒๕ (๕) (๒) กรณที ีผ่ ู้พิพากษาคนเดียวพจิ ารณาคดอี าญาตามมาตรา ๒๕ (๕) แลว้ เห็นว่าควร พิพากษาลงโทษจาคกุ เกนิ กวา่ หกเดือน หรอื ปรบั เกินหนงึ่ หมน่ื บาท หรือทงั้ จาท้ังปรบั ซึง่ โทษจาคุก หรือปรับน้ันอย่างใดอยา่ งหนง่ึ หรอื ทั้งสองอยา่ งเกินอตั ราดังกล่าว (๓) กรณีท่คี าพพิ ากษาหรือคาสัง่ คดแี พ่งเรื่องใดของศาลนั้นจะตอ้ งกระทาโดยองค์ คณะซึง่ ประกอบดว้ ยผพู้ ิพากษาหลายคน และผู้พิพากษาในองค์คณะน้ันมคี วามเหน็ แย้งกนั จนหา เสยี งข้างมากมไิ ด้ (๔) กรณที ผ่ี ู้พิพากษาคนเดยี วพจิ ารณาคดีแพ่งตามมาตรา ๒๕ (๔) ไปแลว้ ต่อมา ปรากฏว่าราคาทรัพยส์ นิ ที่พิพาทหรือจานวนเงนิ ท่ีฟอ้ งเกนิ กว่าอานาจพจิ ารณาพิพากษาของผู้ พิพากษาคนเดียว หมวด ๔ การจา่ ย การโอน และการเรียกคนื สานวนคดี มาตรา ๓๒ ใหป้ ระธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดผี ูพ้ พิ ากษาศาลช้นั ตน้ ผพู้ พิ ากษาหัวหน้าศาล หรอื ผู้พิพากษาหวั หน้าแผนกคดีในแต่ละศาล แลว้ แตก่ รณี รับผิดชอบในการจ่ายสานวนคดีใหแ้ กอ่ งคค์ ณะผู้พพิ ากษาในศาลหรอื ในแผนกคดนี ั้น โดยให้ปฏิบัตติ ามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการทก่ี าหนดโดยระเบยี บราชการฝ่ายตุลาการของศาลยตุ ิธรรม การออกระเบยี บราชการฝา่ ยตุลาการของศาลยตุ ธิ รรมตามวรรคหน่ึง ให้คานึงถงึ ความเชย่ี วชาญและความเหมาะสมขององค์คณะผพู้ ิพากษาท่จี ะรบั ผิดชอบสานวนคดนี ั้น รวมท้งั ปริมาณคดที อี่ งค์คณะผู้พพิ ากษาแต่ละองค์คณะรับผิดชอบ
มาตรา ๓๓ การเรยี กคืนสานวนคดีหรือการโอนสานวนคดซี งึ่ อยู่ในความ รบั ผดิ ชอบขององค์คณะผู้พิพากษาใด ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาล อุทธรณ์ภาค อธิบดีผพู้ พิ ากษาศาลชัน้ ต้น หรือผพู้ พิ ากษาหวั หนา้ ศาล จะกระทาได้ต่อเม่ือเป็นกรณี ที่จะกระทบกระเทือนตอ่ ความยุติธรรมในการพิจารณาหรอื พิพากษาอรรถคดีของศาลนน้ั และรอง ประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค รองอธิบดผี ู้พิพากษาศาล ชน้ั ตน้ หรอื ผ้พู พิ ากษาในศาลจงั หวดั หรอื ศาลแขวง ทมี่ ีอาวโุ สสงู สดุ ในศาลนัน้ แลว้ แตก่ รณี ท่มี ิได้ เป็นองคค์ ณะในสานวนคดีดังกล่าวได้เสนอความเห็นให้กระทาได้[๑๙] ในกรณที ี่รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ ภาค รองอธบิ ดผี ู้พิพากษาศาลช้นั ตน้ หรือผพู้ ิพากษาในศาลจังหวดั หรอื ศาลแขวง ทีม่ อี าวโุ สสูงสดุ ในศาลน้ัน แล้วแต่กรณี ไมอ่ าจปฏบิ ัติราชการได้ หรอื ได้เข้าเป็นองค์คณะในสานวนคดที ีเ่ รียกคืนหรือ โอนน้ัน ให้รองประธานศาลฎกี า รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลช้ันตน้ หรอื ผู้พิพากษา ที่มอี าวุโสถดั ลงมาตามลาดบั ในศาลนัน้ เปน็ ผูม้ อี านาจในการ เสนอความเหน็ แทน ในกรณที ร่ี องประธานศาลฎกี า รองประธานศาลอทุ ธรณ์ รองประธานศาล อุทธรณ์ภาค รองอธบิ ดีผู้พิพากษาศาลช้ันต้น มหี นงึ่ คน หรือมหี ลายคนแตไ่ มอ่ าจปฏบิ ัติราชการได้ หรอื ได้เขา้ เปน็ องค์คณะในสานวนคดีท่ีเรียกคืนหรือโอนนั้นท้งั หมด ให้ผพู้ ิพากษาทมี่ อี าวุโสสงู สุด ของศาลนั้นเปน็ ผ้มู ีอานาจในการเสนอความเห็น[๒๐] ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจาศาลไมม่ อี านาจในการเสนอความเห็นตาม วรรคหน่งึ หรือวรรคสอง ในกรณที ผ่ี ูพ้ พิ ากษาเจ้าของสานวนหรือองค์คณะผพู้ พิ ากษามีคดีค้างการพจิ ารณา อยู่เปน็ จานวนมาก ซงึ่ จะทาให้การพิจารณาพพิ ากษาคดีของศาลนั้นลา่ ช้า และผ้พู พิ ากษาเจ้าของ สานวนหรือองค์คณะผู้พิพากษาน้ันขอคนื สานวนคดที ตี่ นรบั ผิดชอบอยู่ ใหป้ ระธานศาลฎีกา ประธานศาลอทุ ธรณ์ ประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค อธบิ ดผี ู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผ้พู พิ ากษาหวั หนา้ ศาล แล้วแตก่ รณี มอี านาจรับคืนสานวนคดีดังกล่าว และโอนใหผ้ ู้พิพากษาหรือองคค์ ณะผู้พิพากษา อื่นในศาลน้ันรับผิดชอบแทนได้
หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใชพ้ ระราชบัญญตั ิฉบบั น้ี คอื โดยที่มาตรา ๒๓๖ ของ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้การนั่งพิจารณาคดีของศาลต้องมีผู้พิพากษาครบ องค์คณะและผู้พพิ ากษาซึ่งมิได้น่งั พิจารณาคดีใดจะทาคาพพิ ากษาคดีนน้ั มิได้ เว้นแตม่ ีเหตุสุดวิสัย หรอื มเี หตจุ าเปน็ อ่ืนอันมอิ าจก้าวล่วงได้ ท้ังนี้ ตามที่กฎหมายบัญญตั ิ ประกอบกับมาตรา ๒๔๙ ของรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย บัญญตั ใิ ห้การจา่ ยสานวนคดใี ห้ผู้พพิ ากษาตอ้ งเป็นไปตาม หลกั เกณฑ์ท่กี ฎหมายบญั ญัติ และได้ห้ามการเรียกคืนสานวนคดีหรอื การโอนสานวนคดี เว้นแต่ เป็นกรณที ่จี ะกระทบกระเทอื นตอ่ ความยุติธรรมในการพจิ ารณาพิพากษาอรรถคดี นอกจากนี้ ไดม้ ี การตรากฎหมายตามมาตรา ๒๗๕ ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซ่งึ บญั ญัติให้ศาล ยตุ ิธรรมมีหนว่ ยธรุ การที่เป็นอสิ ระ โดยมีเลขาธิการสานกั งานศาลยตุ ิธรรมเป็นผู้บงั คับบญั ชาขน้ึ ตรงต่อประธานศาลฎกี า ดงั น้นั เพอื่ เปน็ การรองรบั บทบัญญตั ิของรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักร ไทย และเพื่อให้การจัดระบบการบริหารงานศาลยุตธิ รรมตามพระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรมสอดคล้อง กบั กฎหมายซึง่ ตราขึ้นตามมาตรา ๒๗๕ ดังกลา่ ว จงึ จาเป็นต้องตราพระราชบัญญตั นิ ี้ พระราชบญั ญัติแก้ไขเพ่มิ เติมพระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม พ.ศ. ๒๕๕๐[๒๑] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัตฉิ บบั นี้ คือ โดยทีบ่ ทบัญญัตแิ ห่งพระ ธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรมไดก้ าหนดใหศ้ าลชน้ั ต้นมีเขตอานาจตามท่กี าหนดไว้ในพระราชบัญญัติ จงึ ทา ให้การเปล่ยี นแปลงเขตอานาจศาลดังกล่าวจะตอ้ งตราเป็นพระราชบญั ญตั ิ ซึ่งตอ้ งใช้เวลานานไม่ ทันกับการแก้ไขเปลย่ี นแปลงเขตพน้ื ทีท่ างปกครอง และไมเ่ อือ้ ประโยชนใ์ นการอานวยความ ยตุ ธิ รรมแก่ประชาชน ดังน้นั เพอ่ื ใหก้ ารเปลี่ยนแปลงเขตอานาจศาลชนั้ ต้นสามารถกระทาได้อยา่ ง คล่องตวั สมควรแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ พระธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรมเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเขตอานาจศาล ชัน้ ต้นสามารถกระทาได้โดยตราเปน็ พระราชกฤษฎีกา จงึ จาเป็นตอ้ งตราพระราชบัญญตั ิน้ี พระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพิม่ เตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐[๒๒] หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัตฉิ บบั นี้ คือ โดยที่พระธรรมนญู ศาลยุติธรรม ได้กาหนดใหม้ ีรองประธานศาลฎกี าหนึ่งคน รองประธานศาลอุทธรณ์ และรองประธานศาลอทุ ธรณ์ ภาค ศาลละหน่งึ คน และในกรณที ีม่ คี วามจาเปน็ เพอ่ื ประโยชน์ในทางราชการ คณะกรรมการ บรหิ ารศาลยตุ ิธรรมโดยความเห็นชอบของประธานศาลฎีกาจะกาหนดใหม้ ีรองประธานศาลฎกี า
มากกว่าหน่ึงคนแต่ไมเ่ กนิ สามคนกไ็ ด้ แตเ่ น่อื งจากในปัจจุบันปรมิ าณงานของประธานศาลฎกี า ประธานศาลอทุ ธรณ์ และประธานศาลอุทธรณภ์ าคได้เพิ่มมากข้ึนเปน็ ลาดบั สมควรกาหนดใหม้ ี การเพ่มิ การกาหนดจานวนรองประธานศาลฎีกาไดไ้ มเ่ กินหกคน และจานวนรองประธานศาล อทุ ธรณห์ รือรองประธานศาลอุทธรณภ์ าคได้ไม่เกนิ สามคน เพอ่ื ช่วยแบง่ เบาภาระหนา้ ทข่ี อง ประธานศาลฎกี า ประธานศาลอุทธรณ์และประธานศาลอทุ ธรณภ์ าค จงึ จาเปน็ ตอ้ งตรา พระราชบญั ญตั นิ ้ี พระราชบัญญัติแกไ้ ขเพิ่มเตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑[๒๓] หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้พระราชบญั ญตั ฉิ บับน้ี คอื โดยท่กี ารพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถ คดีของศาลยตุ ธิ รรมเป็นงานท่ีต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและการกลน่ั กรองจากผพู้ ิพากษาทมี่ ี ประสบการณ์ สมควรกาหนดให้ประธานศาลฎกี ามีอานาจให้คาแนะนาแก่ข้าราชการตุลาการ และ ให้ผทู้ ่ีรบั ผิดชอบการบริหารงานของศาลมอี านาจหน้าท่ใี นการตรวจสานวนและทาความเหน็ แย้ง ท้ังยังสมควรเพิ่มเติมบทบญั ญตั ิที่เก่ยี วกบั อานาจพจิ ารณาพิพากษาคดขี องศาลฎกี าให้สอดคลอ้ ง กับบทบัญญัติของรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๑๙ วรรค สอง จงึ จาเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญตั ินี้ พระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพิม่ เตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม (ฉบบั ที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕[๒๔] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญตั ฉิ บบั นี้ คือ เนือ่ งดว้ ยปริมาณงานตุลาการ และงานธรุ การคดขี องศาลยตุ ธิ รรมได้เพมิ่ มากขนึ้ เป็นลาดบั แตผ่ รู้ บั ผิดชอบควบคุมดแู ลงานของ ศาลยุตธิ รรมในส่วนภมู ิภาคมอี ธิบดผี ูพ้ ิพากษาภาคเพยี งคนเดียว ไม่มผี ู้ช่วยปฏบิ ตั ริ าชการ ทาให้ ราชการของศาลยุตธิ รรมไมอ่ าจดาเนนิ ไปได้ด้วยความสะดวก รวดเร็ว และมปี ระสทิ ธิภาพ เทา่ ทคี่ วร และปริมาณคดีที่เพม่ิ มากขึน้ ดังกลา่ วส่งผลตอ่ ระยะเวลาในการพิจารณาพิพากษาคดี ของศาลชัน้ ตน้ ทาใหก้ ารพิจารณาพพิ ากษาคดขี องศาลชัน้ ตน้ มีความล่าช้ากระทบตอ่ การอานวย ความยุตธิ รรมแกป่ ระชาชนและคคู่ วามในคดี ดงั นน้ั เพ่อื ให้การบริหารจดั การคดีของศาลยตุ ธิ รรม เปน็ ไปโดยสะดวก รวดเรว็ และมปี ระสทิ ธภิ าพเพอื่ ประโยชนใ์ นการพิจารณาพพิ ากษาอรรถคดใี ห้ เป็นไปโดยถูกตอ้ ง รวดเร็ว และเป็นธรรม สมควรแก้ไขเพมิ่ เตมิ พระธรรมนูญศาลยุติธรรมโดย กาหนดตาแหน่งรองอธบิ ดผี พู้ ิพากษาภาคและอานาจหนา้ ทขี่ องอธิบดผี ู้พิพากษาภาคและรองอธิบดี ผ้พู ิพากษาภาค จงึ จาเปน็ ตอ้ งตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัตแิ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม (ฉบบั ที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘[๒๕] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตนิ ี้ให้ใชบ้ งั คับตั้งแต่วนั ถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นเุ บกษา เปน็ ตน้ ไป มาตรา ๑๐ บรรดาบทบญั ญัติแห่งกฎหมายใดท่อี า้ งถงึ การยน่ื อทุ ธรณ์ตอ่ ศาล อุทธรณ์ ให้ถือว่าอ้างถึงการย่ืนอุทธรณ์ต่อศาลชั้นอุทธรณ์ เว้นแต่เมื่อบทบัญญัติดังกล่าวน้ัน แสดงให้เหน็ ว่าใชไ้ ด้เฉพาะกับศาลอทุ ธรณ์ ศาลอทุ ธรณภ์ าค หรอื ศาลยตุ ิธรรมอนื่ ที่พระราชบญั ญัติ จดั ตัง้ ศาลกาหนดให้เปน็ ศาลชน้ั อุทธรณศ์ าลใดศาลหน่ึงเทา่ นั้น มาตรา ๑๑ ใหป้ ระธานศาลฎีการักษาการตามพระราชบัญญตั ิน้ี หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้พระราชบัญญตั ฉิ บบั นี้ คอื โดยที่ได้มีการจดั ตั้งศาลอุทธรณ์ คดชี านัญพิเศษโดยกาหนดใหเ้ ปน็ ศาลชั้นอทุ ธรณ์ทีม่ ีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีท่ีอุทธรณ์คา พิพากษาหรอื คาสั่งของศาลชานญั พิเศษ สมควรกาหนดความหมายของคาว่า “ศาลชน้ั อทุ ธรณ์” ใหส้ อดคล้องกบั การจัดตง้ั ศาลดังกลา่ ว อกี ทัง้ สมควรกาหนดใหค้ ณะกรรมการบริหาร ศาลยตุ ธิ รรมมีอานาจออกประกาศเปิดทาการสาขาของศาลช้ันตน้ รวมทั้งใหม้ ีอานาจกาหนดและ เปลย่ี นแปลงสถานที่ต้งั ของศาลไดด้ ้วย เพ่อื อานวยความสะดวกใหแ้ ก่ประชาชนผูม้ ีอรรถคดีและผู้ ทีเ่ ก่ียวขอ้ งซ่ึงอยู่ในพนื้ ที่หา่ งไกล และในกรณีคดีท่ีอยู่ในอานาจของศาลแขวงถ้ามีการยื่นฟ้องคดี ต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพง่ ธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาลอาญา ธนบรุ ี หรือศาลจังหวัด ก็ให้ศาลดังกลา่ วน้ันมีดุลพินิจท่จี ะพิจารณาพิพากษาคดีทีร่ บั ฟอ้ งไว้แล้วน้นั ตอ่ ไปหรือโอนคดไี ปยังศาลแขวงท่ีมีอานาจก็ได้ แตห่ ากในกรณีทีศ่ าลดังกล่าวไดม้ คี าสง่ั รับฟอ้ งคดี ไวแ้ ล้วโดยในขณะยนื่ ฟ้องคดีนน้ั เป็นคดีท่ีอยใู่ นอานาจของศาลแขวง หรือกรณเี ปน็ คดีที่อยูใ่ น อานาจของศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบรุ ี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาล อาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัด แต่ต่อมามพี ฤตกิ ารณ์เปลยี่ นแปลงไปทาให้คดีน้ันอยู่ในอานาจของ ศาลแขวง กใ็ หศ้ าลนั้นมอี านาจพจิ ารณาพิพากษาคดตี ่อไป อนั เปน็ การส่งเสรมิ ใหก้ ารบริหาร จดั การคดขี องศาลยุติธรรมมีประสทิ ธภิ าพเพ่ือประโยชน์ในการพิจารณาพพิ ากษาอรรถคดีให้ เปน็ ไปโดยถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม จึงจาเป็นตอ้ งตราพระราชบัญญัตินี้
ปณตภร/ผจู้ ดั ทา ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ นสุ รา/เพิม่ เตมิ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ [๑] ราชกจิ จานุเบกษา เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๔๔ ก/หนา้ ๑/๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๓ [๒] มาตรา ๑ แกไ้ ขเพมิ่ เติมโดยพระราชบัญญัติแกไ้ ขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาล ยุติธรรม (ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๓] มาตรา ๓ แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ โดยพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพ่มิ เติมพระธรรมนูญศาล ยุติธรรม (ฉบบั ที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๔] มาตรา ๔ แกไ้ ขเพิม่ เตมิ โดยพระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพิ่มเตมิ พระธรรมนูญศาล ยตุ ิธรรม (ฉบบั ที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๕] มาตรา ๕ แกไ้ ขเพม่ิ เติมโดยพระราชบญั ญัติแก้ไขเพ่มิ เติมพระธรรมนญู ศาล ยตุ ิธรรม (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๖] มาตรา ๘ วรรคหน่งึ แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพิ่มเตมิ พระ ธรรมนูญศาลยุตธิ รรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๗] มาตรา ๘ วรรคสอง แกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพมิ่ เตมิ พระ ธรรมนูญศาลยตุ ธิ รรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๘] มาตรา ๑๐ วรรคหนึง่ แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระ ธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม (ฉบบั ที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๙] มาตรา ๑๑ (๑) แก้ไขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบัญญัติแกไ้ ขเพ่มิ เติมพระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๐] มาตรา ๑๓ แกไ้ ขเพ่มิ เติมโดยพระราชบัญญตั ิแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนญู ศาล ยตุ ิธรรม (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕ [๑๑] มาตรา ๑๔ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพ่ิมเติมพระธรรมนูญศาล ยุติธรรม (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕
[๑๒] มาตรา ๑๖ วรรคหนึง่ แกไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพมิ่ เติมพระ ธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๓] มาตรา ๑๖ วรรคสี่ ยกเลิกโดยพระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพ่มิ เติมพระธรรมนูญศาล ยุติธรรม (ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๑๔] มาตรา ๑๘ แกไ้ ขเพ่มิ เติมโดยพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพ่ิมเติมพระธรรมนูญศาล ยตุ ิธรรม (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๑๕] มาตรา ๑๙/๑ เพมิ่ โดยพระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพ่ิมเติมพระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [๑๖] มาตรา ๒๓ วรรคหนึง่ แก้ไขเพ่มิ เติมโดยพระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพิม่ เตมิ พระ ธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ [๑๗] มาตรา ๒๘ (๓) แก้ไขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญัติแกไ้ ขเพ่มิ เตมิ พระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม (ฉบบั ท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕ [๑๘] มาตรา ๒๙ (๓) แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม (ฉบบั ที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๕ [๑๙] มาตรา ๓๓ วรรคหนึ่ง แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติแกไ้ ขเพิม่ เตมิ พระ ธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๐] มาตรา ๓๓ วรรคสอง แกไ้ ขเพิม่ เติมโดยพระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพม่ิ เติมพระ ธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๑] ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนที่ ๕๑ ก/หน้า ๒๑/๕ กนั ยายน ๒๕๕๐ [๒๒] ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนท่ี ๕๑ ก/หน้า ๒๔/๕ กนั ยายน ๒๕๕๐ [๒๓] ราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๑๒๕/ตอนที่ ๓๗ ก/หน้า ๔๔/๒๒ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๑ [๒๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙/ตอนที่ ๓๗ ก/หน้า ๑/๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ [๒๕] ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนท่ี ๑๒๐ ก/หน้า ๕/๑๔ ธนั วาคม ๒๕๕๘
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: