รายงานผลการเข้าร่วมการฝกึ อบรมครูดา้ นการสอนคนพิการตามหลกั สูตร การฝกึ อบรมครดู ้านการสอนคนพิการ พุทธศกั ราช ๒๕๖๑ หนว่ ยฝึกอบรมท่ี ๔ ระหว่างวนั ที่ ๑๕ – ๒๗ ตลุ าคม ๒๕๖๒ ณ ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษ เขตการศึกษา ๑๐ จงั หวดั อุบลราชธานี โรงเรียนโสตศกึ ษาจงั หวดั มกุ ดาหาร อาเภอเมอื ง จงั หวัดมุกดาหาร ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ เร่ือง รายงานผลการเขา้ รว่ มการฝกึ อบรมครดู ้านการสอนคนพกิ ารตามหลักสูตร การฝกึ อบรมครดู ้านการ สอนคนพิการ พุทธศกั ราช ๒๕๖๑ หนว่ ยฝกึ อบรมท่ี ๔ เรียน ผูอ้ านวยการโรงเรียนโสตศกึ ษาจังหวดั มุกดาหาร ตามท่ี ข้าพเจ้า นายธนิก ประชานันท์ ตาแหน่ง ครูผู้ช่วย โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดมุกดาหาร อาเภอ เมือง จังหวัดมุกดาหาร ได้เข้าเข้าร่วมการฝึกอบรมครูด้านการสอนคนพิการตามหลักสูตร การฝึกอบรมครูด้าน การสอนคนพิการ พุทธศักราช ๒๕๖๑ หน่วยฝึกอบรมท่ี ๔ ระหว่างวันท่ี ๑๕ – ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ ศูนย์ การศกึ ษาพิเศษ เขตการศึกษา ๑๐ จงั หวัดอุบลราชธานี ข้าพเจา้ และคณะได้เขา้ ร่วมโครงการ ดงั นี้ ผลการเขา้ ร่วมโครงการ วนั ท่ี ๑๕ ตลุ าคม ๒๕๖๒ เข้าร่วมอบรมการศึกษาการคัดแยกประเภทพิการแบบไม่เป็นทางการโดยใช้การสังเกต เพื่อบันทึก พฤติกรรมท่ีเบ่ียงเบนไปจากปกติ โดยแบ่งประเภทความพิการตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องกาหนด ประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๕๒ และประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทา แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระดับการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พ.ศ.๒๕๕๒ กาหนดประเภทความพิการออกเป็น ๙ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑.บุคคลที่มคี วามบกพร่องทางการมองเห็น ๒.บุคคลทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการได้ยนิ ๓.บคุ คลท่ีมคี วามบกพร่องทางการสติปญั ญา ๔.บุคคลท่มี คี วามบกพรอ่ งทางรา่ งกาย หรอื การเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ ๕.บุคคลที่มคี วามบกพร่องทางการเรียนรู้ ๖.บุคคลที่มีความบกพรอ่ งทางการพูด และภาษา ๗.บคุ คลทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ ๘.บุคคลทม่ี คี วามพกิ ารแบบออทิสตกิ ๙.บุคคลที่มีความพิการซอ้ น ประเภทที่ ๑ บกพรอ่ งทางการมองเห็น บคุ คลทีม่ ีความบกพร่องทางการเหน็ หมายถึง บุคคลทีส่ ญู เสยี การเห็นจนไมส่ ามารถรับการศกึ ษา ได้โดยการเห็นหรือใช้สายตาไดต้ ามปกติ แตส่ ามารถศึกษาเล่าเรยี นได้โดย วธิ กี ารต่างไปจากคนท่ีมองเห็นปกติแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คอื
๑. คนตาบอด หมายถึง บุคคลที่สญู เสียการเห็นมากจนไม่สามารถอา่ นหนงั สือธรรมดาได้ ต้องสอน ให้ อ่านและเขียนอกั ษรเบรลล์ หรือใชว้ ิธีการฟังแถบบนั ทึกเสยี ง หรือเครอื่ งบนั ทึกเสยี ตา่ ง ๆ และมี ความสามารถในการเห็นของตาข้างทด่ี ี หลกั จากไดร้ บั การแกไ้ ขแลว้ อยู่ ระหวา่ ง ๒๐ ส่วน ๒๐๐ ฟตุ มลี านสายตาแคบกว่า ๓๐ องศา ๒. คนตาบอดเลือนราง หมายถึง บคุ คลทม่ี สี ูญเสยี การเห็นแต่ยงั สามารถอ่านอักษรตัวพิมพ์ทมี่ ขี นาด ใหญไ่ ด้ โดยต้องใช้แวน่ ขยายหรืออุปกรณ์พเิ ศษบางอย่างที่ทาให้ความชัดเจนของการเห็นใน ข้างท่ดี ี เม่ือแก้ไขแลว้ อยใู่ นระดับ ๒๐ สว่ น ๖๐ ฟุต ถงึ ๒๐ ส่วน ๒๐๐ ฟุต มลี านสายตาแคบ กว่า ๓๐ องศา ประเภทที่ ๒ บกพรอ่ งทางการได้ยนิ บคุ คลทมี่ ีความบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง บุคคลที่สูญเสยี การไดย้ นิ ต้ังแตร่ ะดับนอ้ ยไปถึง ระดบั รุนแรง จนไมส่ ามารถฟงั เสียงได้เหมอื นคนปกตซิ ึง่ อาจจะเปน็ หูตงึ หรอื หู หนวกกไ็ ด้ แบ่งเปน็ ๒ ประเภท ๑. คนหูหนวก หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถรับข้อมูลผ่านทางการได้ยิน ไม่ว่า จะใชห้ รอื ไม่ใชเ้ คร่อื งช่วยฟงั ก็ตาม โดยท่ัวไป หาตรวจการไดย้ ินจะสญู เสยี การไดย้ ินประมาณ ๙๐ เด ซเิ บลขน้ึ ไป ไม่สามารถได้ยินเสียงพดู ดงั ๆ อาจรบั รูเ้ สยี งบางเสียงได้ จากการสนั่ สะเทือน ไม่สามารถ ใช้การได้ยินได้เป็นประโยชน์เต็มประสิทธิภาพ คนหูหนวกอาจสูญเสียการได้ยินมา ตั้งแต่ กาเนดิ หรอื สญู เสยี การได้ยินภายหลงั ๒. คนหตู ึง หมายถึง บุคคลที่มีการได้ยนิ เหลอื อยบู่ ้างสามารถได้ยินได้ ไม่วา่ จะใช้เคร่ืองชว่ ยฟงั หรือ หรอื ไม่กต็ าม หากตรวจการไดย้ นิ จะพบว่ามีการสญู เสยี การได้ยินนอ้ ยกวา่ ๙๐ เดซิเบล ระดบั การได้ ยนิ อาจแบ่งเป็นกลมุ่ ย่อยดงั นี้ - ตึงเล็กน้อย (๒๖ – ๔๐ เดซิเบล) - ตึงปานกลาง (๔๑ – ๕๕ เดซเิ บล) - ตงึ มาก (๕๖ – ๗๐ เดซิเบล) - ตึงรนุ แรง (๗๑ – ๙๐ เดซเิ บล) คนปกติระดับการได้ยนิ อยู่ที่ ๑ – ๒๕ เดซิเบล หาได้รบั ความเข้มขน้ ของเสยี งอยทู่ ี่ ๑๒๐ เดซิเบลก็ สามารถสูญเสียการได้ยินเช่นกนั ประเภทที่ ๓ บกพร่องทางการสติปัญญา หมายถึง บุคคลท่ีมีระดับเชาว์ปัญญาน้อยกว่า ๗๐ หรือ พัฒนาการล่าช้ากว่าคนปกติท่ัวไปทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ภาษา เมื่อวัดสติปัญญาโดยใช้แบบทดสอบ มาตรฐานแล้วมีสติปัญญาต่ากว่าบุคคลปกติและความสามารถในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่ากว่าเกณฑ์ปกติ อย่างน้อย ๒ ทักษะ หรือมากกว่า เช่น ทักษะการส่ือความหมาย การดูแลตนเอง การดารงชีวิตในบ้าน การ ควบคุมตนเอง สุขอนามัย และความปลอดภัย การเรียนวิชาการเพ่ือชีวิตประจาวัน การใช้เวลาว่าง การทางาน ทักษะทางสังคม และทักษะในการใช้สาธารณสมบัติ เป็นต้น ซึ่งลักษณะความบกพร่องทางสติปัญญาจะแสดง อาการแบ่งออกเป็น ๔ ระดบั คอื ๑. บกพร่องระดับเล็กน้อย - ระดบั เชาวน์ปญั ญา (IQ) ประมาณ ๕๕ – ๗๐ ๒. บกพร่องระดบั ปานกลาง - ระดบั เชาวป์ ัญญา (IQ) ประมาณ ๔๐ – ๕๕ ๓. บกพร่องระดบั รุนแรง - ระดับเชาวร์ ะดบั รนุ แรงมาก (IQ) ประมาณ ๒๕ – ๔๐ ๔. บกพร่องระดบั รนุ แรงมาก - ระดบั เชาว์ปัญญา (IQ) ประมาณ ๒๐ -๒๕ ประเภทที่ ๔ บกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ บุคคลที่มีความบกพร่องทาง รา่ งกายและสุขภาพ หมายถึง บุคคลที่มีความผิดปกติ บกพร่องหรือสูญเสียอวัยวะ สว่ นใดสวนหนึ่งร่างกายทาให้
ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดีหรือมีอาการเกร็ง คือ อาการตึงตัวของกล้ามเน้ือ ส่วนใด ส่วนหน่ึงหรือหลาย ส่วน ควบคุมการทรงตัวได้ยากหรือไม่ได้เลย มีการเคล่ือนไหวของแขนขาไม่สัมพันธ์กันมีอาการส่ัน เดินเซ หรือ อาจเปน็ บคุ คลทบ่ี กพร่องเนื่องจากสขุ ภาพ หรอื อบุ ัตเิ หตุ อาการชดั โรคเรอ้ื รัง โรคติดตอ่ เปน็ ต้น ประเภทความบกพร่องทางรา่ งกายหรอื สุขภาพ อาจแบ่งได้ดงั น้ี ๑. บกพร่องทางระบบประสาท เชน่ บคุ คลสมองพิการ (Cerebral Palsy) ไม่ใชบ่ ุคคลปัญญาอ่อนแต่ หมายถงึ สมองสว่ นท่ใี ชค้ วบคุมกล้ามเน้ือสว่ นใดส่วนหนง่ึ บกพร่อง หรือสญู เสยี ทาใหม้ ีปัญหาในการเคล่ือนไหว ซง่ึ แตล่ ะคนมลี ักษณะทแ่ี ตกต่างกนั เชน่ กลา้ มเนื้ออ่อนแรง หรอื กล้ามเนื้อเคล่ือนไหวชา้ ทรงตัวได้ไม่ดี ซง่ึ แตล่ ะ คนทีมากนอ้ ยแตกต่างกันความบกพร่อง จะเกิดขึ้นต้ังแต่แรกเกดิ ถงึ อายุ ประมาณ 7 ปี ลกั ษณะท่ีเหน็ ได้ชดั เจน ของบุคคลสมองพิการ ได้แก่ - กลา้ มเน้ือหดตวั เกร็ง (Spastic) เป็นลกั ษณะความผดิ ปกติของการควบคุมการเคลื่อนไหว เคลอ่ื นไหว ชา้ มีอาการเกร็ง ซึง่ เราจะพบบุคคลทม่ี ีอาการในกลุ่มน้มี ากทส่ี ดุ - กลา้ มเนอ้ื ควบคุมการเคลอื่ นไหวได้ยาก (Athetoid) มลี กั ษณะขนขาไมส่ มั พันธ์กันหันไป ตามทิศทาง ต่าง ๆ - กลา้ มเนือ้ ตึงตวั (Ataxia) มีอาการสัน่ เดนิ เซ ควบคุมการทรงตัวได้ไมด่ ี ซึง่ เราจะพบบคุ คล ทีม่ ีอาการ ในกลมุ่ นีน้ ้อยทสี่ ุด - แบบผสม มลี ักษณะร่วมต้ังแต่ 2 ชนดิ เชน่ มอี าการเกร็งร่วมกับการเคลอ่ื นไหวของแขน ไม่สัมพันธ์กัน หนั ไปคนทิศหรอื มีการเกร็ง ควบคมุ การทรงตัวไม่ไดม้ ีการส่ันเดินเซ เป็นตน้ ๒. บกพร่องทางระบบกล้ามเน้ือและกระดกู เช่น กล้ามเนอื้ เปลีย่ น ไขขอ้ อักเสบ เปน็ ต้น ๓. ไมส่ มประกอบมาแต่กาเนดิ เช่น น้าค่งั ในสมอง แขน ขาดว้ ยหรอื กดุ แขน ขามีขนาดใหญ่ เล็กผดิ ปกติ ๔. สภาพความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพอนื่ ๆ ได้แก่ บกพร่องจากอบุ ัติเหตุไฟไหม้ แขน ขาขาด โรคติดตอ่ เชน่ โปลิโอ การได้รบั อันตรายจากการคลอด หรือบกพรอ่ ง เนื่องจากสขุ ภาพ เช่น โรคหืด โรคหวั ใจ โรคปอด โรคเอดส์ ประเภทที่ ๕ บกพร่องทางการเรยี นรู้ บุคคลท่มี ีปัญหาทางการเรียนรู้ หมายถึง บุคคลทม่ี คี วามบกพรอ่ ง ทางการรบั รูห้ รอื ทางการเรียนรู้ที่มี ความ ผิดปกติอย่างเดียวหรือหลายอยา่ งทาให้เกิดปัญหาทางการฟัง การอ่าน การพูด การเขียน การสะกด การคานวณ การใช้เหตุผล การรวบรวมความคิด ซ่ึงความผิดปกตินี้ไม่ใช่เกิดจาก ภาวะบกพร่องทางการเห็น การได้ยินทางร่างกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์แต่เป็นภาวะทางสมองที่มีความ ผิดปกติทาให้การแปลภาพ การแปลเสียงหรือการรับรู้ แปรปรวนไปจากเดิมเด็กบางคนมองเห็นหนังสือกลับ หลัง เด็กบางคนไม่สามารถแปลความหมายหรือเข้าใจจากการได้ยิน เด็กบางคนไม่เข้าใจตัวเลขและความหมาย ตวั เลข ประเภทท่ี ๖ บกพร่องทางการพูด และภาษา บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา หมายถึง บุคคลที่มีความบกพร่องในเรื่องการออกเสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือคนที่มีความบกพร่องในเรื่องการเข้าใจ และการใช้ภาษาพูด การเขียนตลอดจนระบบสัญลักษณ์อื่นท่ีใช้ใน การติดตอ่ สื่อสาร ซ่ึงอาจเกย่ี วกบั รูปแบบภาษา เนือ้ หาของภาษา และหนา้ ทข่ี องภาษา ประเภทที่ ๗ บกพร่องทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและ อารมณ์ หมายถึง บุคคลท่ีมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากบุคคลท่ัวไป และพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนน้ีส่งผลกระทบต่อ การเรียนรู้ต่อส่ิงต่างๆ และปัญหาทางพฤติกรรมนั้นเป็นไปอย่างต่อเน่ือง ไม่เป็นที่ยอมรับกันทางสังคมและ วัฒนธรรม รวมท้ังขาดสัมพันธภาพกับบุคคลอ่ืน มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม มีความคับข้องใจ มีการเก็บกดทาง อารมณโ์ ดยแสดงออกทางร่างกาย
ลกั ษณะของเดก็ ทีม่ ปี ัญหาทางพฤตกิ รรมและอารมณ์ - ก้าวร้าว ก่อกวน เด็กท่ีมีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ มักแสดงออกในทางก้าวร้าว ก่อกวนความ สงบของผอู้ ื่น พฤติกรรมที่แสดงออกอาจรวมไปถึงความโหดร้าย ทารุณสัตว์ ชกต่อย ทาร้ายตัวเองและผู้อ่นื หวีด ร้อง กระทืบเท้า ไมเ่ ชือ่ ฟงั ครแู ละพ่อแม่ พฤติกรรมเหลา่ นี้อาจรนุ แรงข้ึนหากไมไ่ ด้รบั การแก้ไขอย่างถกู ต้อง - การเคล่ือนไหวที่ผิดปกติ หมายถึง ไม่หยุดน่ิง เคล่ือนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยปราศจากจุดหมาย นอกจากน้ียังมีความสนใจสน้ั สนใจในบทเรยี นไดไ้ มน่ าน ขาดสมาธใิ นการเรียน - การปรับตัวทางสังคมเดก็ ที่มปี ัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ จะมกี ารปรับตัวทางสังคมไม่ถูกต้อง ฝ่า ฝนื กฎเกณฑท์ ีไ่ ม่เปน็ ที่ยอมรบั ทางสังคม เช่น แกง๊ อันธพาล การทาลายสาธารณสมบตั ิ ลกั ขโมย หนีโรงเรียน การ ประทษุ ร้ายทางเพศ พฤติกรรมเหลา่ นี้มกั จะเกิดกับเดก็ วยั รุน่ เปน็ สว่ นใหญ่ - ความวิตกกังวลและปมด้อย เด็กท่ีมีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์อาจไม่กล้าพูดกล้าแสดงออกใน ช้ันเรียน มีอาการประหมา่ ขาดความเช่ือม่ันในตนเอง พฤติกรรมดังกลา่ วต้องเปน็ พฤตกิ รรมที่ค่อนข้างรนุ แรงและ เกิดข้นึ สมา่ เสมอเท่าน้ัน จงึ จัดว่าเปน็ เดก็ ท่มี ีปัญหา - การหนีสังคมหรอื การปลีกตัวออกจากสังคมเป็นพฤตกิ รรมที่เบ่ียงเบนอย่างหน่ึง เช่น การที่เด็กไม่ค่อย พูด ไม่เล่นกับเพื่อน ไม่ร่วมกิจกรรมขี้อาย ชอบอยู่คนเดียว บางคนเจ้าอารมณ์ บางคนแสดงออกทางสังคมไม่ เหมาะสม - ความผิดปกติทางการเรียน เด็กท่ีมีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์จะมีผลการเรียนต่า โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในด้านการอ่าน การสะกดคา การคานวณ การตัดสินว่าเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม นั้น ควรพิจารณาความรนุ แรงและความส่าเสมอควบค่ไู ปด้วย การตัดสนิ ควรใชเ้ กณฑ์เป็นหลักในการพจิ ารณา ประเภทที่ ๘ บุคคลที่พกิ ารแบบออทสิ ตกิ บคุ คลออทิสตกิ หมายถึง บุคคลท่มี ีความบกพรอ่ ง พัฒนาการดา้ นสังคม ภาษาและการสอื่ ความหมาย พฤติกรรม อารมณ์ และจินตนาการ ซ่ึงสาเหตเุ น่ืองมาจาก การทางานในหนา้ ทีบ่ างส่วนของสมองท่ผี ดิ ปกตไิ ป และความผดิ ปกติน้นั พบได้ก่อนวัย ๓๐ เดือน ลกั ษณะของ เดก็ ออทสิ ติก มดี ังน้ี ๑. มีความบกพร่องทางปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เช่น ไม่มองสบตาบุคคลอ่ืนไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า กิริยาหรอื ท่าทางเล่นกับเพอื่ นไม่เป็น ไมส่ นใจท่ีจะทางานรว่ มกบั ใครไมเ่ ข้าใจพฤตกิ รรมของบคุ คลอ่นื ๒. มคี วามบกพร่องด้านการส่ือสาร ทงั้ การใชภ้ าษาพดู ความเข้าใจภาษา การแสดงกิรยิ า สื่อความหมาย ซ่ึงมีความบกพร่องหลายระดับ ตั้งแต่ไม่สามารถพูดส่ือความหมายได้เลย หรือคนพูดได้แต่ไม่สามารถสนทนา โตต้ อบกบั ผู้อ่ืนได้อย่างเข้าใจ บางคนพูดแบบเสียงสะท้อนหรือพูดเลียนแบบทวนคาพูด บางคนจะพูดซ้าในเร่ืองที่ ตนเองสนใจ มีการใชส้ รรพนามสลับที่ ระดับเสยี งพดู อาจมีความผิดปกติ บางคนพดู โทนเสียงเดยี ว บางคนพูดไม่มี ความหมาย ๓. มีความบกพร่องด้านพฤติกรรมและอารมณ์ บางคนมีพฤติกรรมซ้าๆ ผิดปกติ เช่น เล่น โบกมือไปมา หรือหมุนตัวไปรอบ ๆ เดินเขย่งเท้าปลาย ท่าทางเดินงุ่มง่าม ยึดติดโดยไม่ยอมรับการเปล่ียนแปลงใดๆการแสด ออกทางอารมณ์ไม่เหมาะสมกับวัยบางคนร้องไห้หรือหวั เราะโดยไม่มีเหตุผล บางคนมีอารมณ์ก้าวร้าว รนุ แรงเม่ือ มีการเปล่ียนแปลงสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ๔. มคี วามบกพรอ่ งด้านการรบั รูแ้ ละประสาทสัมผัส การใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าคือ การรับรู้ทางการเห็น การตอบสนองต่อการฟัง การสัมผัส การรับกลิ่นและรส มีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล บางคนชอบมองแสง บางคนตอบสนองต่อเสียงผิดปกติ รับเสียงบางเสียงไม่ได้ ด้านรับสัมผัสกล่ินและรส บางคนตอบสนองช้าหรือ ไว หรือแปลกว่าปกติ เชน่ ชอบดมของเลน่ เป็นตน้
๕. มีความบกพร่องด้านการใช้อวัยวะต่าง ๆ อย่างประสานสัมพันธ์กัน การใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงการประสานสัมพันธ์ของกลไกกล้ามเน้ือมัดใหญ่และมัดเล็กมีความบกพร่องบางคนเคลื่อนไหวงุ่มง่าม ผดิ ปกตไิ ม่คล่องแคล่ว ท่าทางเดินหรือวง่ิ แปลก การใชก้ ล้ามเน้ือมดั เล็กในการหยิบจบั ไมป่ ระสานกนั ๖. มีความบกพร่องด้านจินตนาการ ไม่สามารถแยกเรื่องจริงเรื่องสมมุติ หรือประยุกต์วิธีการจาก เหตุการณ์หน่ึงไปยังอีกเหตุการณ์หน่ึงได้ เข้าใจส่ิงท่ีเป็นนามธรรมได้ยาก เล่นบทบาทสมมุติไม่เป็น จัดระบบ ความคดิ ลาดับความคดิ ลาดบั ความสาคญั กอ่ นหลัง คดิ จินตนาการจากภาษาได้ยาก ทาใหเ้ กดิ อปุ สรรค ๗. มคี วามบกพรอ่ งดา้ นสมาธมิ คี วามสนใจสนั้ ไมอ่ ย่นู งิ่ ประเภทท่ี ๙ พิการซอ้ น บุคคลพิการซอ้ น (Multiple Handicapped) หมายถงึ บคุ คลที่มคี วามบกพรอ่ ง ตั้งแต่อยา่ ง ขน้ึ ไปในบคุ คล เดยี วกนั อาจแบง่ ตามลกั ษณะไดต้ ามความพิการท่เี หน็ ชัดเจน เชน่ ๑. บกพร่องทางการเห็นร่วมกับบกพรอ่ งอ่นื ๆ เชน่ การได้ยนิ สตปิ ัญญา ร่างกาย การเรยี นรู้ ๒. บกพร่องทางร่างกายร่วมกับบกพร่องอื่นๆ เช่น สติปัญญา การเห็น การได้ยิน การเรียนรู้ ออทิสติก สมาธิสัน้ เป็นตน้ ๓. บกพร่องทางสติปัญญาร่วมกับบกพร่องอื่น ๆ เช่น สติปัญญา การเห็น ร่างกาย การเรียนรู้สมาธิส้ัน เป็นต้น ๔. บกพร่องทางสติปัญญากับบกพร่องอ่ืน ๆ เช่น ร่างกาย ออทิสติก สมาธิสั้น เป็นต้น ลักษณะความพิการซ้อนมีมากมายหลายประเภท โดยอาจจับคู่ๆ ดังกล่าวข้างต้น หลายคนมลี ักษณะความพิการ ซ้อนมากกว่า ๒ อย่าง และมีความต้องการพิการเศษแตกต่างกันต้องได้รับการช่วยเหลือตามความต้องการเพื่อ พฒั นาให้เต็มตามศกั ยภาพของแต่ละบุคคล การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (EI) การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม หมายถึงการจัด โปรแกรมท่ีเป็นระบบในการให้บริการด้านต่าง ๆ โดยเร็วที่สุดแก่เด็กที่มีความเสี่ยงทุกระดับทันทีตั้งแต่แรกเกิด หรือทันที ท่ีได้รับการวินิจฉัยว่ามีความพิการ โดยม่งุ เน้นการให้การศึกษากับพ่อแม่และครอบครัว ทั้งนีม้ ุ่งพัฒนา เด็กให้ได้รับบริการจากนกั วิชาชีพท่หี ลากหลายทัง้ ดา้ นการ ศึกษา ดา้ นสุขภาพอนามัย การบาบัดรักษา ตลอดจน ป้องกัน ความพิการท่ีจะเกิดขึ้นเพ่ือให้เด็กมีพัฒนาการไปตามข้ันตอน เช่นเดียวกับเด็กทั่วไป หรือใกล้เคียงเด็ก ทัว่ ไปมากท่สี ดุ การดาเนนิ การตามขน้ั ตอนการใหบ้ ริการช่วยเหลือระยะแรกเริม่ ดังน้ี ๑. รวบรวมขอ้ มูลพื้นฐาน ซกั ประวตั ิโดยละเอยี ด ตรวจสอบเอกสารท่เี ก่ียวข้อง ใหค้ าแนะนาปรกึ ษา ๒. ประเมินสมรรถภาพพ้ืนฐาน ประเมนิ ทางจติ วิทยา ประเมนิ ทักษะต่างๆ ระบุจุดเด่น จุดด้อย ๓. จัดทาแผนการใหบ้ ริการ วเิ คราะห์ข้อมลู พ้ืนฐาน กาหนดจดุ มุ่งหมาย 1 ปพี รอ้ มเกณฑช์ ้วี ัด กาหนดสอื่ สงิ่ อานวยความสะดวกฯ จดั ทาแผน IEP / IFSP
๔. นาแผนสูก่ ารปฏิบัติ พัฒนาศักยภาพตามจุดม่งุ หมายทก่ี าหนด เยย่ี มบา้ น/ปรบั สภาพแวดลอ้ ม ประเมนิ และสรุปผลการพัฒนาตามเกณฑช์ ้วี ัดในแผนการให้บริการ ๕. ทบทวนแผนการให้บริการ วิเคราะห์การพัฒนาศักยภาพและทบทวนจดุ มุง่ หมายและวธิ กี ารในการพฒั นา ปรับปรุงแผนการใหบ้ ริการและปฏบิ ตั ิตามแผน สรปุ ผลการพัฒนา ๖. ส่งต่อโรงเรยี นเรียนรวมหรือโรงเรียนเฉพาะความพิการ ประสานโรงเรียน/หนว่ ยงาน จัดทาแผนช่วงเช่ือมต่อ เชื่อมต่อและสนบั สนนุ การพัฒนาศกั ยภาพอย่างต่อเนื่อง วนั ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ เข้าร่วมอบรมการทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program) คือ เครื่องมือสาหรับการสอนนักเรียนท่ีนอกเหนือจากการสอนปกติ ตลอดจนสิ่งอานวยความสะดวก บริการต่างๆ โดยมีแผนระยะยาวและระยะสนั้ โดยปกติจะเป็นแผนระยะ 1 ปี และมีการทบทวนทุกภาคเรียน โดยการทา iep ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง เพื่อขอใช้สิทธิส่ืออานวยความสะดวกตากกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ข้อสาคญั ของการทา iep เด็กทุกคนตอ้ งได้รับการศึกษาการให้บรกิ ารแบบใหเ้ ปล่าที่เหมาะสม ไม่ตกี รอบ ความสามารถ และส่งเสริมตลอดชีวิตในสภาพแวดล้อมท่ีมีขีดจากัดน้อยท่ีสุด การพิทักษ์สิทธิในการรับบริการ และมสี ว่ นร่วมของผ้ปู กครอง จุดประสงคข์ องการทา IEP ๑. เพ่ือใหค้ นพิการได้รับการศึกษาที่สอดคล้องกับความตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษรายบุคคล ๒. ใชเ้ ปน็ กระบวนการจดั การเรียนรู้เกี่ยวกบั การบวนการสอนให้ตรงกบั วัตถปุ ระสงค์ ๓. ผบู้ รกิ าร ผ้ปู กครอง คณะสหวิชาชีพ ครู มีสว่ นร่วมในการวางแผนการจัดการศึกษา องคป์ ระกอบของการทา IEP ๑. ข้อมูลท่วั ไป ๒. ข้อมูลการแพทย/์ สขุ ภาพ ๓. ขอ้ มูลด้านการศึกษา ๔. ข้อมูลอน่ื ๆ ทจี่ าเป็น ๕. การกาหนดแนวทางการจัดการศกึ ษาและวางแผนการจดั การศึกษาตลอดระยะเวลา ๑ ปี ทจี่ ะ เปล่ียนแปลง ๖. ความต้องการด้านสื่อ สงิ่ อานวยความสะดวก ๗. คณะกรรมการจัดทา IEP มที ้ังหมด ๖ คน และจะตอ้ งมอี ย่างนอ้ ย ๓ คน เพื่อให้การดาเนนิ การได้ ๘. ความเห็นของผู้ปกครอง
ลักษณะของ IEP ๑. เจาะจง ๒. วัดได้ ๓. ทาสาเร็จได้ ๔. ตรวจความตอ้ งการจาเปน็ ๕. มกี าหนด กระบวนการของ IEP ๑. เตรียมการ รวบรวมข้อมูล คดั กรองประเภทความพกิ าร ๙ ประเภท ๒. จัดทาแผน IEP แต่งตั้งคณะกรรมการดาเนนิ การ ประเมนิ ความสามารถพื้นฐานโดยทีค่ รจู ะเป็นผ้ปู ระเมนิ ตามหลกั สูตร จาทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ปญั หาและอุปสรรค - ข้อเสนอแนะและการแก้ไข - แนวทางในการพฒั นา ๑. การพัฒนาผู้เรยี น - ได้รับการแก้ไขปัญหาเกีย่ วกับการเรยี นการสอน รวมไปถึงการปรับพฤตกิ รรมในการเข้าสังคม และการเรียนรู้ ๒. การพัฒนาตนเอง - ได้พัฒนากระบวนการเรยี นการสอน ใหถ้ ูกต้องและตรงกับความตอ้ งการของนักเรียนท่ีมี ปัญหาเกีย่ วกับการเรยี นการสอน และเขา้ ใจนักเรยี นมากยิ่งขนึ้ ๓. ผลตอ่ โรงเรียน - ไดบ้ คุ ลากรทางการศกึ ษาท่ีมกี ารศึกษาพฤติกรรมนักเรียน และได้ชว่ ยกนั พัฒนานกั เรียนให้ ไดร้ ับการปรับเปล่ยี นพฤติกรรมในทางทด่ี ียง่ิ ขึน้ จึงเรียนมาเพ่ือโปรดทราบ ลงชือ่ ผูร้ ายงาน (นายธนิก ประชานันท์) ตาแหนง่ ครูผู้ชว่ ย
ความคิดเหน็ ของผู้บรหิ าร ………………………………………………………………………………………………………….................……………………… …………………………………................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ............................................. ลงช่ือ ผูร้ บั รอง (นายเรือง สพุ ร) ผอู้ านวยการโรงเรยี นโสตศกึ ษาจังหวดั มุกดาหาร
ภาคผนวก
เขา้ อบรมครูดา้ นการสอนคนพิการตามหลกั สูตร ณ โรงเรยี นราชประนเุ คราะห์ ๓๒
เขา้ อบรมการทา IEP การขอใชส้ ่อื การเขยี นแผนการสอน ณ ศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษเขต ๑๐
เขา้ อบรมการทา IEP การขอใชส้ ่อื การเขยี นแผนการสอน ณ ศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษเขต ๑๐
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: