Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความสัมพันธ์ของภาวะโรคอ้วนและความสามารถการคิดเชิงบริหาร ของสมองในเด็กวัยเรียน

ความสัมพันธ์ของภาวะโรคอ้วนและความสามารถการคิดเชิงบริหาร ของสมองในเด็กวัยเรียน

Published by ao.point03, 2021-05-28 02:32:55

Description: ความสัมพันธ์ของภาวะโรคอ้วนและความสามารถการคิดเชิงบริหาร
ของสมองในเด็กวัยเรียน

Search

Read the Text Version

45 สมองในเด็กวัยเรยี น จาแนกตามเพศ และระดบั ภาวะโภชนาการ (ต่อ) หนกั อว้ น ผอม หญิง (n=216) อว้ น (n=40) (n=18) (n=34) ปกติ ภาวะ ) (n=134) นา้ หนกั เกิน (n=30) 17 13 73 19 15 %) (42.5%) (72.2%) (54.5%) (63.3%) (44.1%) 23 5 61 11 19 %) (57.5%) (27.8%) (45.5%) (36.7%) (55.9%) 17 15 84 24 20 %) 42.5%) (83.3%) (62.7%) (80.0%) (58.8%) 23 3 50 6 14 %) (57.5%) (16.7%) (37.3%) (20.0%) (41.2%) 0%) 0 (0.0%) 0 (0.0%) 1 0 (0.0%) 0 (0.0%) (0.7%) 14 14 21 18 %) (35.0%) (77.8%) 80 (70.0%) (52.9%) (59.7%) 26 4 9 16 %) (65.0%) (22.2%) 53 (30.0%) (47.1%) (39.6%)

ตารางท่ี 4 จานวน และ ร้อยละ ของระดับความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของส ชาย (n=212) ความสามารถการคิดเชงิ บริหารใน ผอม ปกติ ภาวะนา้ ห (n=15) (n=127) เกิน เด็กวยั เรียน (n=30) 10.ด้าน Metacognition Index (MI) ปกติ 8 57 12 (53.3%) (44.9%) (40.0% ควรได้รับการส่งเสรมิ 7 70 18 (46.7%) (55.1%) (60.0% 11.ดา้ น Global Executive Composite: GEC (BRI+MI) ปกติ 7 57 10 ควรไดร้ ับการส่งเสริม (46.7%) (44.9%) (33.3% 8 70 20 (53.3%) (55.1%) (66.7% จากตารางท่ี 4 เมอื่ วเิ คราะห์ข้อมูลภาวะโภชนาการกับระดับความสามา กลุ่มอ้วนเพศชายมีระดับความสามารถการคดิ เชิงบริหารของสมองด้าน Monito หญิงมรี ะดบั ความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมองด้าน Plan/Organize, Me เกณฑ์ควรได้รับการสง่ เสริมร้อยละ 55.9 (รายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ในตารางท่ี 4)

46 สมองในเดก็ วยั เรยี น จาแนกตามเพศ และระดับภาวะโภชนาการ (ตอ่ ) หนกั อว้ น ผอม หญิง (n=216) อว้ น (n=40) (n=18) (n=34) ปกติ ภาวะ ) (n=134) นา้ หนกั เกนิ (n=30) 15 15 79 18 15 %) (37.5%) (83.3%) (59.0%) (60.0%) (44.1%) 25 3 55 12 19 %) (62.5%) (16.7%) (41.0%) (40.0%) (55.9%) 17 16 82 18 15 %) (42.5%) (88.9%) (61.2%) (60.0%) (44.1%) 23 2 52 12 19 %) (57.5%) (11.1%) (38.8%) (40.0%) (55.9%) ารถการคิดเชิงบริหารของสมองในแต่ละด้าน มีข้อมูลที่น่าสนใจคือเด็กนักเรียน or อยู่ในเกณฑ์ควรได้รับการส่งเสริมร้อยละ 65 ส่วนเด็กนักเรียนกลุ่มอ้วนเพศ etacognition Index (MI) และ Global Executive Composite (GEC) อยู่ใน

47 3. ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) และความสามารถทางสตปิ ญํ ญา (IQ) ในเดก็ วยั เรียน 3.1 ความสามารถทางสติปํญญา (IQ) ในเด็กวัยเรียน กลุ่มตวั อยา่ งเด็กวยั เรียนจานวน 428 คน เม่ือพิจารณาวัดระดบั ความสามารถทางสติปญํ ญา (IQ) แล้ว สามารถแบง่ ออกเปน็ กลมุ่ เดก็ ปกติ จานวน 309 คน (รอ้ ยละ 72.2 ) รองลงมา คอื กลมุ่ เด็กสูงกว่า ปกติ จานวน 54 คน (ร้อยละ 12.6) และ กลุ่มเด็กตา่ กวา่ ปกติ จานวน 39 คน (รอ้ ยละ 9.1 ) ตามลาดับ (ภาพที่ 21) ภาพท่ี 21 ร้อยละของระดับความสามารถทางสตปิ ํญญา (IQ) (n=428) เมือ่ พจิ ารณาแยกตามกลมุ่ ภาวะโภชนาการ พบว่ากลุม่ เด็กนักเรยี นผอม จานวน 33 คน ส่วนใหญ่ มีระดบั ความสามารถทางสติปํญญา (IQ) อยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 69.8 รองลงมาคือ ระดับ สูงกว่าปกติ และ ตา่ กวา่ ปกติ เท่า ๆ กันรอ้ ยละ 12.1 กลมุ่ เด็กนกั เรยี นน้าหนักปกติ จานวน 261 คน ส่วนใหญ่มีระดับ ความสามารถทางสตปิ ญํ ญา (IQ) อย่ใู นเกณฑป์ กติ ร้อยละ 72.0 รองลงมาคือ ระดับ สูงกว่าปกติ ร้อยละ 11.9 และระดบั ตา่ กวา่ ปกติ รอ้ ยละ 9.2 ตามลาดบั กลมุ่ เดก็ นกั เรยี นที่มภี าวะน้าหนักเกิน จานวน 60 คน ส่วนใหญม่ ีระดับความสามารถทางสตปิ ญํ ญา (IQ) อยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 70.0 รองลงมาคือ ระดับ สูง กว่าปกติ ร้อยละ 13.3 และระดับต่ากว่าปกติ ร้อยละ 11.6 ตามลาดับ กลุ่มเด็กนักเรียนที่มีภาวะอ้วน จานวน 74 คน ส่วนใหญ่มีระดับความสามารถทางสติปํญญา (IQ) อยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 75.7 รองลงมาคอื ระดบั ต่ากว่าปกติ ร้อยละ 14.3 และระดับสูงกว่าปกติ ร้อยละ 5.4 ตามลาดับ และเมื่อทา การวเิ คราะห์ความสัมพนั ธข์ องภาวะน้าหนกั เกนิ หรือโรคอว้ นกับความสามารถทางสติปัญญา (IQ) พบว่ามี ความสัมพนั ธ์กนั ทางสถิตทิ ่ี R= -0.068, P=0.165 (Pearson Correlation) (ภาพที่ 22)

48 ภาพที่ 22 ร้อยละของระดบั ความสามารถทางสตปิ ญํ ญา (IQ) จาแนกตามระดับภาวะโภชนาการ 3.2 ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ในเด็กวัยเรยี น กล่มุ ตัวอยา่ งเดก็ วัยเรยี นจานวน 428 คน เมอ่ื พจิ ารณาวดั ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ของเด็ก ในวัยเรียนแล้ว พบว่า ส่วนใหญ่ เด็กนักเรียนมีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) อยู่ในเกณฑ์ควรได้รับการ พัฒนา ร้อยละ 41.4รองลงมา คือ เด็กนักเรียนมีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) อยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 40.1 และ จาเป็นตอ้ งพฒั นาร้อยละ 18.5 ตามลาดบั (ภาพท่ี 23) ภาพที่ 23 ร้อยละของระดับความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ของเดก็ ในวัยเรียน (n=428)

49 เม่อื พิจารณาแยกตามกลมุ่ ภาวะโภชนาการ พบวา่ กลุ่มเด็กนกั เรียนผอม จานวน 33 คน ส่วนใหญม่ ีระดบั ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) อยใู่ นเกณฑ์ควรไดร้ ับการพัฒนา ร้อยละ 54.5 รองลงมา คือ ปกติ รอ้ ยละ 30.3 และ จาเปน็ ต้องพัฒนา รอ้ ยละ 15.2 ตามลาดบั กลุม่ เด็กนักเรยี นนา้ หนักปกติ จานวน 261 คน ส่วนใหญ่มีระดับความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) อยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 45.2 รองลงมาคือ ควรได้รับการพัฒนา ร้อยละ 36.0 และจาเป็นต้อง พฒั นารอ้ ยละ 18.8 ตามลาดับ กล่มุ เด็กนกั เรยี นที่มีภาวะนา้ หนกั เกนิ จานวน 60 คน สว่ นใหญ่มีระดับความฉลาดทาง อารมณ์ (EQ) อย่ใู นเกณฑ์ควรไดร้ บั การพฒั นา ร้อยละ 50.0 รองลงมาคือ ปกติ รอ้ ยละ 33.3 และ จาเป็นตอ้ งพฒั นา รอ้ ยละ 16.7 ตามลาดับ กลุ่มเด็กนกั เรยี นทมี่ ภี าวะอ้วน จานวน 74 คน สว่ นใหญ่มรี ะดับความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) อยู่ในเกณฑ์ควรได้รับการพัฒนา ร้อยละ 47.3 รองลงมาคือ ปกติ ร้อยละ 32.4 และจาเป็นต้อง พฒั นาร้อยละ 20.3 ตามลาดับ ( ภาพที่ 24) เม่อื ทาการวิเคราะหค์ วามสัมพันธ์ของภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนกับความฉลาดทาง อารมณ์ (EQ) พบว่ามีความสมั พนั ธ์กนั ทางสถติ ทิ ี่ R= -0.031, P=0.529 (Pearson Correlation) ภาพที่ 24 รอ้ ยละของระดับความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ของเดก็ ในวยั เรยี น จาแนกตามระดับภาวะโภชนาการ

4. ปจั จยั ที่สง่ ผลตอ่ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัยเรียน ตารางท่ี 5 แสดงปจั จัยท่ีมีอิทธิพลตอ่ ทักษะความสามารถการคิดเชงิ บริหารของ ปจั จัย ตัวแปร Constant เพศชาย (Ref: หญงิ ) ภาพรวม (GEC ปัจจัยดา้ นคณุ ลักษณะเด็ก Coefficient ระดบั การศึกษาประถมศกึ ษาตอนตน้ ปจั จยั างชวี ภาพด้าน (ref : ประถมศึกษาตอนปลาย) 66.303* 4 สุขภาพเดก็ มีโรคประจาตัว (ref: ไม่มโี รคประจาตัว) 1.833 1 6.901* 1 ปัจจัยพฤตกิ รรมการเลยี้ งดู ภาวะโภชนาการ (Ref: อ้วน) เดก็ 2.975* 1 ผอม -11.688* 3 ปกติ -9.199* 2 -6.397* 2 นา้ หนกั เกนิ -8.686* 2 ระดบั ความฉลาดทางปัญญาปกติ -3.238* 1 (ref: ตา่ กวา่ เกณฑ์ปกติ) ระดบั ความฉลาดทางอารมณ์ปกติ 2.408 1 (ref: ต่ากวา่ เกณฑป์ กติ ) เขา้ นอนก่อน 22.00 น. -.155 2 (ref: เข้านอนหลัง22.00 น.) 2.812 2 ออกกาลงั กาย (ref: ไม่ออกกาลังกาย) รับประทานอาหารเชา้ (ref: ไมร่ บั ประทานอาหารเช้า) หมายเหต:ุ *P<0.05 (การแปลผลคะแนนความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารของสมอง T be support)

50 งสมองในเดก็ วยั เรียน ทักษะความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของสมองในเด็กวยั เรียน C) ดา้ น Inhibit ด้าน Shift ดา้ น Emotional Control S.E. Coefficient S.E. Coefficient S.E. Coefficient S.E. 4.781 64.320* 4.426 55.620* 4.904 57.730* 4.426 1.483 2.247 1.373 4.022* 1.522 5.041* 1.373 1.483 5.704* 1.373 8.127* 1.521 4.856* 1.373 1.505 3.159* 1.393 3.468* 1.544 3.825 1.393 3.122 -11.253* 2.891 -11.505* 3.203 -9.457* 2.890 2.090 -8.803* 1.935 -7.329* 2.144 -6.635* 1.935 2.639 -6.455* 2.444 -6.148* 2.708 -4.107* 2.443 2.333 -7.903* 2.160 -5.649* 2.393 -5.781* 2.159 1.446 -1.634 1.339 1.063 1.483 -1.327 1.338 1.838 0.799 1.702 2.927 1.886 2.372 1.702 2.161 -.647 2.001 -1.676 2.217 -.015 2.001 2.466 2.443 2.283 5.066 2.530 3.248 2.283 T< 40= Good Brain Executive Function, 39 <T< 59= Normal, T>60= Should

ตารางที่ 5 แสดงปัจจัยทม่ี อี ิทธพิ ลตอ่ ทักษะความสามารถการคิดเชงิ บริหารของ ปัจจัย ตัวแปร ภาพรวม (GEC) Coefficient ปัจจยั เล่นเกมคอมพิวเตอร์/ไอแพด/แทบเลต .107 1 พฤติกรรมการ (ref: เดก็ ไมเ่ ล่นเกมคอมพิวเตอร/์ ไอแพด/แทบเลต) เด็กอา่ นหนงั สือ (ref: เดก็ ไม่อ่านหนงั สือ) -1.534 1 เล้ยี งดเู ดก็ -2.823 1 เดก็ วาดรูป/ระบายสี (ref: เดก็ ไม่วาดรปู /ระบายสี) 1.100 1 2.047 3 เด็กดูโทรทัศน์ (ref: เด็กไม่ดูโทรทศั น์) -1.014 1 เดก็ เลน่ ดนตรี (ref: เด็กไมเ่ ลน่ ดนตรี) เด็กเลน่ กีฬา (ref: เด็กไม่เลน่ กฬี า) เดก็ ทางานบ้าน (ref: เด็กไม่ทางานบ้าน) 2.926 1 .473 1 เด็กเล่นกับเพ่อื น (ref: เด็กไมเ่ ลน่ กบั เพือ่ น) 5.641* (0.000) F-Statistics (p-value) 0.209 R2 Observations 426 หมายเหต:ุ *P<0.05 (การแปลผลคะแนนความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมอง T be support)

51 งสมองในเด็กวยั เรยี น (ต่อ) ทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวยั เรียน ) ด้าน Inhibit ด้าน Shift ดา้ น Emotional Control S.E. Coefficient S.E. Coefficient S.E. Coefficient S.E. 1.566 .177 1.450 1.434 1.606 -.496 1.450 1.892 -1.446 1.752 0.124 1.941 -1.229 1.752 1.612 -3.497* 1.493 -2.033 1.654 -3.245* 1.492 1.545 0.942 1.431 2.854 1.585 0.461 1.431 3.054 2.093 2.827 -0.904 3.132 3.461 2.827 1.806 -.897 1.672 -0.790 1.853 -1.376 1.672 1.844 3.204 1.708 0.390 1.892 2.631 1.707 1.519 1.068 1.407 0.198 1.559 0.738 1.407 5.556* (0.000) 5.171* (0.000) 5.002* (0.000) 0.206 0.195 0.190 426 426 426 T< 40= Good Brain Executive Function, 39 <T< 59= Normal, T>60= Should

52 จากตารางท่ี 5 แสดงถึงปัจจัยที่มอี ทิ ธิพลต่อความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวยั เรยี นโดยมรี ายละเอียดดงั ต่อไปนี้ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองแบบองคร์ วม (GEC) ปัจจยั ด้านคณุ ลกั ษณะของเดก็ ปจั จยั ทางชวี ภาพด้านสุขภาพเดก็ และปจั จัยพฤติกรรมการเล้ียงดู เด็ก มอี ทิ ธิพลต่อทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองแบบองค์รวมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P<0.05) โดยปัจจัยทั้ง 3 ปัจจยั สามารถทานายทกั ษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองแบบองค์ รวมไดร้ อ้ ยละ 20.90 ดงั แสดงในตารางท่ี 5 และเม่ือควบคมุ ตัวแปรอน่ื ๆ ใหม้ ีค่าคงที่ การวิจัยพบข้อมูลที่ น่าสนใจดังนี้ 1. ปัจจยั ด้านระดับการศกึ ษา พบว่านักเรยี นทอี่ ยู่ช้นั ประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมองแบบองคร์ วมสงู กว่านักเรียนที่อยู่ช้ันประถมศึกษาตอนต้น (ป.1- 3) โดยมรี ะดับคะแนน T-Score ตา่ งกนั เฉลยี่ ประมาณ 6.901 คะแนน 2. ปจั จัยดา้ นโรคประจาตัว พบว่านกั เรียนท่ไี มม่ ีโรคประจาตวั จะมีทักษะความสามารถการคิดเชิง บริหารของสมองแบบองคร์ วมสูงกวา่ นักเรียนที่มโี รคประจาตวั โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ีย ประมาณ 2.975 คะแนน 3. ปัจจัยด้านภาวะโภชนาการ พบขอ้ มลู ท่ีน่าสนใจดงั น้ี 3.1 เด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง แบบองค์รวมสูงกวา่ เด็กนักเรียนที่เปน็ โรคอ้วน โดยมรี ะดับคะแนน T-Score ตา่ งกนั เฉลีย่ ประมาณ 9.199 คะแนน 3.2 เดก็ นักเรียนที่เปน็ โรคอว้ นจะมที ักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองแบบองค์รวม ต่ากว่า เด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการเกณฑ์ผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 11.688 คะแนน 3.3 เดก็ นกั เรียนที่เปน็ โรคอ้วนจะมที ักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองแบบองค์รวม ต่ากว่า เด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนักเกิน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ย ประมาณ 6.397 คะแนน 4. ปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) พบว่าเด็กนักเรียนที่มีความฉลาดทางสติปัญญาต่า กว่าเกณฑ์ปกติ จะมที กั ษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองแบบองค์รวมต่ากว่าเด็กนักเรียนท่ีมี ระดับความฉลาดทางปัญญาปกติ โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกนั เฉล่ียประมาณ 8.686 คะแนน 5. ปัจจัยด้านความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) พบวา่ เด็กนกั เรยี นที่มคี วามฉลาดทางอารมณ์ต่ากว่า เกณฑป์ กติ จะมีทกั ษะความสามารถการคิดเชงิ บริหารของสมองแบบองค์รวมตา่ กวา่ เดก็ นักเรยี นทีม่ ีความ ฉลาดทางอารมณ์ปกติ โดยมีระดบั คะแนน T-Score ต่างกันเฉลย่ี ประมาณ 3.238 คะแนน

53 ทกั ษะความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมองด้าน Inhibit ปจั จัยด้านคณุ ลักษณะของเดก็ ปจั จัยทางชวี ภาพดา้ นสขุ ภาพเดก็ และปจั จยั พฤติกรรมการเล้ียงดู เด็ก มีอิทธิพลตอ่ ทกั ษะความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของเด็กวยั เรียน ในดา้ น Inhibit อยา่ งมีนัยสาคัญ ทางสถิติ (P<0.05) โดยปจั จัยท้งั 3 ปจั จยั สามารถทานายทกั ษะความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารของเด็ก วยั เรยี น ในภาพรวม ได้รอ้ ยละ 20.60 ดังแสดงในตารางท่ี 5 และเม่ือควบคุมตัวแปรอน่ื ๆ ใหม้ ีค่าคงที่ การวจิ ยั พบข้อมูลที่น่าสนใจดงั น้ี 1. ปัจจยั ดา้ นระดับการศึกษา พบว่านกั เรยี นทอ่ี ย่ชู ั้นประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคดิ เชงิ บริหารของสมองด้าน Inhibit สูงกวา่ นกั เรียนทอ่ี ยู่ช้ันประถมศึกษาตอนต้น (ป.1- 3) โดยมรี ะดบั คะแนน T-Score ตา่ งกนั เฉล่ียประมาณ 5.704 คะแนน 2. ปจั จยั ด้านโรคประจาตวั พบว่านกั เรยี นที่ไม่มีโรคประจาตัวจะมีทกั ษะความสามารถการคิดเชิง บรหิ ารของสมองดา้ น Inhibit สงู กวา่ นักเรียนทม่ี ีโรคประจาตวั โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ย ประมาณ 3.159 คะแนน 3. ปจั จยั ด้านภาวะโภชนาการ พบขอ้ มูลทน่ี า่ สนใจดังนี้ 3.1 เด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ด้าน Inhibit สงู กว่าเด็กนักเรยี นท่เี ป็นโรคอว้ น โดยมีระดบั คะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ยี ประมาณ 8.803 คะแนน 3.2 เด็กนักเรียนท่ีเป็นโรคอว้ นจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Inhibit ต่ากว่า เด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกณฑ์ผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 11.253 คะแนน 3.3 เด็กนักเรยี นที่เปน็ โรคอว้ นจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Inhibit ต่ากว่า เด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนักเกิน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ย ประมาณ 6.455 คะแนน 4. ปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) พบว่าเด็กนักเรียนท่ีมีความฉลาดทางสติปัญญาต่า กวา่ เกณฑ์ปกติ จะมที ักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Inhibit ต่ากว่าเด็กนักเรียนที่มี ระดับความฉลาดทางปัญญาปกติ โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ยประมาณ 7.903 คะแนน 5. ปัจจัยพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็ก พบว่าเด็กนักเรียนท่ีทากิจกรรมวาดภาพระบายสีจะมีทักษะ ความสามารถการคิดเชงิ บริหารดา้ น Inhibit สูงกว่าเดก็ นกั เรยี นที่ไม่ได้ทากิจกรรมวาดภาพระบายสี โดยมี ระดับคะแนน T-Score ต่างกนั เฉล่ียประมาณ 3.497 คะแนน

54 ทักษะความสามารถการคิดเชงิ บริหารของสมองด้าน Shift ปัจจยั ด้านคุณลักษณะของเดก็ ปจั จัยทางชีวภาพดา้ นสุขภาพเด็ก และปจั จยั พฤติกรรมการเลี้ยงดู เด็ก มีอิทธิพลต่อทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของเด็กวัยเรียน ในด้าน Shift อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติ (P<0.05) โดยปัจจัยท้ัง 3 ปัจจัยสามารถทานายทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของเด็ก วัยเรียน ในภาพรวม ได้ร้อยละ 19.50 ดังแสดงในตารางที่ 5 และเม่ือควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ให้มีค่าคงท่ี การวจิ ัยพบขอ้ มูลทนี่ า่ สนใจดังน้ี 1. นักเรียนเพศหญิงจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารด้าน Shift สูงกว่านักเรียนเพศ ชาย โดยมรี ะดับคะแนน T-Score ตา่ งกันเฉล่ยี 4.022 คะแนน 2. ปัจจัยด้านระดบั การศกึ ษา พบว่านักเรยี นทีอ่ ยู่ช้ันประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคดิ เชิงบริหารของสมองด้าน Shift สงู กว่านักเรยี นทีอ่ ยชู่ ้ันประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) โดยมีระดับคะแนน T-Score ตา่ งกนั เฉลีย่ ประมาณ 8.127 คะแนน 3. ปัจจัยด้านโรคประจาตวั พบวา่ นักเรียนทีไ่ มม่ โี รคประจาตัวจะมีทกั ษะความสามารถการคิดเชิง บริหารของสมองด้าน Shift สูงกว่านักเรียนที่มีโรคประจาตัว โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ย ประมาณ 3.468 คะแนน 3. ปจั จยั ดา้ นภาวะโภชนาการ พบข้อมูลทนี่ า่ สนใจดังน้ี 3.1 เด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ด้าน Shift สงู กว่าเดก็ นักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 7.329 คะแนน 3.2 เด็กนกั เรียนที่เป็นโรคอ้วนจะมีทักษะความสามารถการคดิ เชงิ บริหารของสมองด้าน Shift ต่า กว่าเด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกณฑ์ผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 11.505 คะแนน 3.3 เด็กนักเรยี นที่เป็นโรคอว้ นจะมที กั ษะความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมองด้าน Shift ต่า กว่าเด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนักเกิน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ีย ประมาณ 6.148 คะแนน 4. ปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) พบว่าเด็กนักเรียนท่ีมีความฉลาดทางสติปัญญาต่า กว่าเกณฑ์ปกติ จะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Shift ต่ากว่าเด็กนักเรียนที่มี ระดับความฉลาดทางปัญญาปกติ โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ยประมาณ 5.649 คะแนน

55 ทักษะความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมองดา้ น Emotional Control ปัจจยั ด้านคุณลักษณะของเดก็ ปัจจยั ทางชีวภาพดา้ นสขุ ภาพเด็ก และปัจจยั พฤติกรรมการเล้ียงดู เด็ก มีอิทธิพลต่อทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของเด็กวัยเรียน ในด้าน Shift อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติ (P<0.05) โดยปัจจัยท้ัง 3 ปัจจัยสามารถทานายทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของเด็ก วัยเรยี น ในภาพรวม ไดร้ ้อยละ 19.0 ดังแสดงในตารางที่ 5 และเมอ่ื ควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ให้มีค่าคงที่ การ วจิ ัยพบข้อมลู ทีน่ ่าสนใจดงั นี้ 1. นักเรียนเพศหญิงจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารด้าน Emotional control สูง กวา่ นกั เรียนเพศชาย โดยมรี ะดับคะแนน T-Score ตา่ งกันเฉลี่ย 5.041 คะแนน 2. ปจั จยั ด้านระดบั การศกึ ษา พบวา่ นักเรยี นทอ่ี ย่ชู ั้นประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Emotional control สูงกว่านักเรียนที่อยู่ชั้น ประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) โดยมรี ะดับคะแนน T-Score ตา่ งกันเฉลี่ยประมาณ 4.856 คะแนน 3. ปจั จัยด้านภาวะโภชนาการ พบขอ้ มูลท่ีนา่ สนใจดังนี้ 3.1 เด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ด้าน Emotional control สูงกว่าเด็กนักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ย ประมาณ 6.635 คะแนน 3.2 เด็กนักเรียนที่เป็นโรคอ้วนจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Emotional control ต่ากว่าเด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการเกณฑ์ผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกนั เฉลยี่ ประมาณ 9.457 คะแนน 3.3 เด็กนักเรียนที่เป็นโรคอ้วนจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Emotional control ต่ากว่าเด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนักเกิน โดยมีระดับคะแนน T- Score ตา่ งกนั เฉลย่ี ประมาณ 4.107 คะแนน 4. ปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) พบว่าเด็กนักเรียนท่ีมีความฉลาดทางสติปัญญาต่า กว่าเกณฑ์ปกติ จะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Emotional control ต่ากว่า เด็กนักเรียนที่มีระดับความฉลาดทางปัญญาปกติ โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 5.781 คะแนน 5. ปัจจัยพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็ก พบว่าเด็กนักเรียนที่ทากิจกรรมวาดภาพระบายสีจะมีทักษะ ความสามารถการคิดเชงิ บริหารดา้ น Emotional control สูงกวา่ เด็กนกั เรียนที่ไม่ได้ทากิจกรรมวาดภาพ ระบายสี โดยมีระดบั คะแนน T-Score ต่างกนั เฉลี่ยประมาณ 3.245 คะแนน

ตารางที่ 6 ปัจจยั ท่มี อี ิทธพิ ลต่อทกั ษะความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมอง ปจั จัย ตวั แปร ดา้ น Behavior Regulation Ind (BRI) Coefficient Constant เพศชาย (Ref. หญิง) 61.051* 4 2.424 1 ปจั จัยด้านคุณลักษณะ ระดบั การศกึ ษาประถมศกึ ษาตอนต้น 7.269* 1 เด็ก (ref :ประถมศกึ ษาตอนปลาย) มโี รคประจาตัว (ref: ไมม่ โี รคประจาตวั ) 3.618* 1 ปัจจยั างชีวภาพด้าน ภาวะโภชนาการ (Ref: อ้วน) สุขภาพเด็ก ผอม ปกติ -11.273* 3 นา้ หนักเกนิ -8.454* 2 ระดับความฉลาดทางปัญญาปกติ -5.809* 2 (ref: ต่ากวา่ เกณฑป์ กต)ิ -6.984* 2 ระดับความฉลาดทางอารมณป์ กติ -2.468 1 (ref: ตา่ กวา่ เกณฑ์ปกติ ) ปัจจยั พฤติกรรมการ เข้านอนก่อน 22.00 น. 2.366 1 เลยี้ งดูเด็ก (ref: เข้านอนหลัง22.00 น.) ออกกาลังกาย (ref: ไม่ออกกาลงั กาย) -0.532 2 3.644 2 รับประทานอาหารเช้า (ref: ไม่รับประทานอาหารเช้า) หมายเหต:ุ *P<0.05 (การแปลผลคะแนนความสามารถการคิดเชงิ บริหารของสมอง T be support)

56 งในเดก็ วัยเรยี นภาพรวมในแตล่ ะด้าน ทักษะความสามารถการคดิ เชงิ บริหารของสมองในเดก็ วัยเรียน ral ด้าน Initiate ด้าน Working Memory ดา้ น Plan/Organize dex S.E. Coefficient S.E. Coefficient S.E. Coefficient S.E. 4.620 59.286* 3.749 64.832* 4.664 65.524* 4.452 1.434 4.643* 1.163 3.580* 1.447 2.895* 1.381 1.433 4.617* 1.163 6.615* 1.447 4.421* 1.381 1.454 1.740 1.180 2.802 1.468 2.764* 1.401 3.017 -8.787* 2.449 -10.965* 3.046 -11.119* 2.908 2.020 -7.194* 1.639 -8.942* 2.039 -7.539* 1.946 2.551 -6.435* 2.070 -7.044* 2.575 -6.152* 2.458 2.254 -7.058* 1.830 -9.274* 2.276 -8.052* 2.172 1.397 -0.049 1.134 -.967 1.411 -.585 1.346 1.777 1.557 1.442 1.724 1.793 1.319 1.712 2.089 0.439 1.695 -.476 2.109 -.414 2.013 2.383 2.924 1.934 3.395 2.406 2.841 2.296 T< 40= Good Brain Executive Function, 39 <T< 59= Normal, T>60= Should

ตารางท่ี 6 ปัจจัยท่มี ีอทิ ธิพลตอ่ ทกั ษะความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมอง ปจั จยั ตัวแปร ดา้ น Behaviora Regulation Ind (BRI) Coefficient เล่นเกมคอมพวิ เตอร์/ไอแพด/แทบเลต -.452 1 (ref: เดก็ ไมเ่ ลน่ เกมคอมพิวเตอร์/ไอแพด/แทบเลต) ปัจจัย เด็กอา่ นหนังสือ (ref: เด็กไมอ่ ่านหนังสอื ) -1.194 1 พฤติกรรม เดก็ วาดรูป/ระบายสี (ref: เด็กไม่วาดรปู /ระบายสี) การเลย้ี งดู เดก็ ดูโทรทศั น์ (ref: เดก็ ไม่ดูโทรทศั น์) -3.289* 1 เด็ก เดก็ เลน่ ดนตรี (ref: เด็กไมเ่ ลน่ ดนตรี) 1.368 1 เด็กเล่นกฬี า (ref: เด็กไมเ่ ลน่ กฬี า) 2.879 2 เดก็ ทางานบ้าน (ref: เด็กไม่ทางานบ้าน) เด็กเล่นกบั เพ่ือน (ref: เด็กไม่เล่นกับเพอื่ น) -1.167 1 F-Statistics (p-value) 2.604 1 R2 .709 1 5.816* (0.000) 0.214 Observations 426 หมายเหต:ุ *P<0.05 (การแปลผลคะแนนความสามารถการคดิ เชิงบริหารของสมอง T be support)

57 งในเด็กวยั เรียนภาพรวมในแต่ละดา้ น (ตอ่ ) ทกั ษะความสามารถการคดิ เชิงบริหารของสมองในเดก็ วัยเรียน al ดา้ น Initiate ดา้ น Working ด้าน Plan/Organize dex Memory S.E. Coefficient S.E. Coefficient S.E. Coefficient S.E. 1.513 0.043 1.228 .584 1.528 .718 1.458 1.829 0.890 1.484 -.685 1.846 -.872 1.762 1.558 -1.809 1.264 -1.547 1.573 -2.045 1.501 1.493 1.541 1.212 1.848 1.508 1.566 1.439 2.951 0.209 2.395 -.976 2.979 -.853 2.844 1.745 -1.932 1.417 -1.819 1.762 -.304 1.682 1.782 0.732 1.447 1.804 1.799 2.269 1.717 1.468 -.639 1.192 .901 1.482 .722 1.415 ) 5.313* (0.000) 5.558* (0.000) 4.326* (0.000) 0.199 0.206 0.168 426 426 426 T< 40= Good Brain Executive Function, 39 <T< 59= Normal, T>60= Should

58 จากตารางที่ 6 แสดงถึงปัจจยั ทีม่ ีอทิ ธิพลต่อความสามารถการคิดเชงิ บริหารของสมองในเด็กวยั เรียนดังตอ่ ไปนี้ ทักษะความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารดา้ น Behavioral Regulation Index (BRI) ปัจจัยด้านคุณลักษณะของเด็ก ปัจจัยทางชีวภาพดา้ นสุขภาพเดก็ และปัจจัยพฤติกรรมการเลี้ยงดู เดก็ มีอทิ ธิพลต่อทกั ษะความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของเด็กวัยเรียน ในด้าน Behavioral Regulation Index (BRI) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P<0.05) โดยปัจจัยท้ัง 3 ปัจจัยสามารถทานายทักษะ ความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของเด็กวัยเรียน ในภาพรวม ได้ร้อยละ 21.4 ดังแสดงในตารางท่ี 6 และ เม่ือควบคุมตวั แปรอนื่ ๆ ให้มคี ่าคงที่ การวจิ ยั พบข้อมูลท่นี ่าสนใจดังนี้ 1. ปจั จยั ด้านระดบั การศึกษา พบว่านกั เรียนทอ่ี ยู่ชนั้ ประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมองด้าน BRI สูงกว่านักเรียนที่อยู่ช้ันประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) โดยมีระดบั คะแนน T-Score ตา่ งกนั เฉลยี่ ประมาณ 7.269 คะแนน 2. ปจั จัยด้านโรคประจาตัว พบวา่ นักเรยี นทไี่ ม่มโี รคประจาตัวจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิง บริหารของสมองด้าน BRI สูงกว่านักเรียนที่มีโรคประจาตัว โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ย ประมาณ 3.618 คะแนน 3. ปัจจยั ดา้ นภาวะโภชนาการ พบขอ้ มูลทนี่ ่าสนใจดงั น้ี 3.1 เด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ด้าน BRI สูงกว่าเด็กนักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 8.454 คะแนน 3.2 เด็กนักเรียนท่ีเปน็ โรคอว้ นจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน BRI ต่า กว่าเด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ยประมาณ 11.273 คะแนน 3.3 เดก็ นกั เรยี นท่ีเปน็ โรคอว้ นจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน BRI ต่า กว่าเด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนักเกิน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ีย ประมาณ 5.809 คะแนน 4. ปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) พบว่าเด็กนักเรียนที่มีความฉลาดทางสติปัญญาต่า กว่าเกณฑ์ปกติ จะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน BRI ต่ากว่าเด็กนักเรียนท่ีมี ระดับความฉลาดทางปญั ญาปกติ โดยมรี ะดับคะแนน T-Score ตา่ งกันเฉลี่ยประมาณ 6.984 คะแนน 5. ปัจจัยพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็ก พบว่าเด็กนักเรียนท่ีทากิจกรรมวาดภาพระบายสีจะมีทักษะ ความสามารถการคิดเชิงบริหารด้าน BRI สูงกว่าเด็กนักเรียนท่ีไม่ได้ทากิจกรรมวาดภาพระบายสี โดยมี ระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 3.289 คะแนน

59 ทกั ษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Initiate ปจั จัยดา้ นคุณลกั ษณะของเดก็ ปัจจยั ทางชวี ภาพด้านสขุ ภาพเด็ก และปัจจยั พฤติกรรมการเลี้ยงดู เดก็ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ทกั ษะความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของเด็กวัยเรียน ในด้าน Initiate อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติ (P<0.05) โดยปัจจัยท้ัง 3 ปัจจัยสามารถทานายทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของเด็ก วัยเรียน ในภาพรวม ได้ร้อยละ 19.90 ดังแสดงในตารางท่ี 6 และเม่ือควบคุมตัวแปรอ่ืน ๆ ให้มีค่าคงท่ี การวิจัยพบข้อมูลที่นา่ สนใจดังนี้ 1. นกั เรยี นเพศหญงิ จะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารด้าน Initiate สูงกว่านักเรียนเพศ ชาย โดยมีระดับคะแนน T-Score ตา่ งกันเฉลยี่ 4.643 คะแนน 2. ปจั จยั ดา้ นระดับการศึกษา พบว่านกั เรยี นท่ีอยูช่ ้นั ประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมองด้าน Initiate สูงกวา่ นักเรียนทอี่ ยู่ชน้ั ประถมศึกษาตอนต้น (ป.1- 3) โดยมีระดบั คะแนน T-Score ต่างกนั เฉลย่ี ประมาณ 4.617 คะแนน 3. ปจั จยั ดา้ นภาวะโภชนาการ พบขอ้ มูลทนี่ า่ สนใจดังน้ี 3.1 เด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ด้าน Initiate สูงกว่าเด็กนักเรียนที่เป็นโรคอ้วน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ยประมาณ 7.194 คะแนน 3.2 เด็กนกั เรยี นที่เป็นโรคอ้วนจะมที ักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Initiate ต่ากว่าเด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 8.787 คะแนน 3.3 เดก็ นักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วนจะมีทกั ษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Initiate ต่ากว่าเด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนักเกิน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ีย ประมาณ 6.435 คะแนน 4. ปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) พบว่าเด็กนักเรียนที่มีความฉลาดทางสติปัญญาต่า กว่าเกณฑป์ กติ จะมที กั ษะความสามารถการคดิ เชิงบริหารของสมองด้าน Initiate ต่ากว่าเด็กนักเรียนท่ีมี ระดบั ความฉลาดทางปัญญาปกติ โดยมรี ะดบั คะแนน T-Score ต่างกนั เฉลี่ยประมาณ 7.058 คะแนน

60 ทกั ษะความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของสมองดา้ น Working Memory (WM) ปัจจยั ด้านคุณลักษณะของเด็ก ปัจจัยทางชวี ภาพดา้ นสุขภาพเดก็ และปจั จัยพฤติกรรมการเล้ียงดู เดก็ มีอทิ ธิพลต่อทักษะความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของเด็กวัยเรียนในด้าน Working Memory (WM) อย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ิ (P<0.05) โดยปัจจยั ท้งั 3 ปัจจัยสามารถทานายทักษะความสามารถการคิดเชิง บริหารของเด็กวยั เรยี น ในภาพรวม ได้รอ้ ยละ 20.60 ดังแสดงในตารางที่ 6 และเม่ือควบคุมตัวแปรอ่ืน ๆ ให้มคี ่าคงท่ี การวจิ ยั พบขอ้ มูลทีน่ า่ สนใจดังน้ี 1. นกั เรียนเพศหญิงจะมีทักษะความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารดา้ น WM สงู กว่านักเรียนเพศชาย โดยมรี ะดับคะแนน T-Score ตา่ งกันเฉลี่ย 3.580 คะแนน 2. ปัจจยั ด้านระดับการศกึ ษา พบวา่ นกั เรยี นท่ีอย่ชู ัน้ ประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคิดเชงิ บริหารของสมองด้าน WM สูงกวา่ นักเรียนท่ีอยู่ชั้นประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) โดยมีระดบั คะแนน T-Score ตา่ งกันเฉลี่ยประมาณ 6.615 คะแนน 3. ปจั จัยด้านภาวะโภชนาการ พบข้อมูลทีน่ า่ สนใจดงั นี้ 3.1 เด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ด้าน WM สูงกว่าเด็กนักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 8.942 คะแนน 3.2 เด็กนกั เรียนที่เป็นโรคอว้ นจะมที กั ษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน WM ต่า กว่าเด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ยประมาณ 10.965 คะแนน 3.3 เดก็ นกั เรียนที่เปน็ โรคอว้ นจะมที กั ษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน WM ต่า กว่าเด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนักเกิน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ีย ประมาณ 7.044 คะแนน 4. ปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) พบว่าเด็กนักเรียนที่มีความฉลาดทางสติปัญญาต่า กว่าเกณฑ์ปกติ จะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน WM ต่ากว่าเด็กนักเรียนที่มี ระดับความฉลาดทางปญั ญาปกติ โดยมีระดบั คะแนน T-Score ต่างกนั เฉลี่ยประมาณ 9.274 คะแนน

61 ทักษะความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของสมองดา้ น Plan/Organize ปัจจัยดา้ นคุณลกั ษณะของเด็ก ปัจจยั ทางชีวภาพดา้ นสขุ ภาพเดก็ และปจั จัยพฤติกรรมการเลี้ยงดู เด็ก มีอิทธิพลต่อทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของเด็กวัยเรียนในด้าน Plan/Organize อย่างมี นยั สาคัญทางสถติ ิ (P<0.05) โดยปจั จยั ท้งั 3 ปจั จยั สามารถทานายทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหาร ของเด็กวัยเรียน ในภาพรวม ได้ร้อยละ 16.80 ดังแสดงในตารางท่ี 6 และเมื่อควบคุมตัวแปรอ่ืน ๆ ให้มี ค่าคงที่ การวิจยั พบขอ้ มลู ที่น่าสนใจดังน้ี 1. นักเรียนเพศหญิงจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารด้าน Plan/Organize สูงกว่า นกั เรยี นเพศชาย โดยมีระดบั คะแนน T-Score ต่างกนั เฉลยี่ 2.895 คะแนน 2. ปจั จัยดา้ นระดบั การศกึ ษา พบว่านกั เรียนที่อยชู่ นั้ ประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Plan/Organize สูงกว่านักเรียนท่ีอยู่ช้ันประถมศึกษา ตอนต้น (ป.1-3) โดยมรี ะดบั คะแนน T-Score ต่างกันเฉลยี่ ประมาณ 4.421 คะแนน 3. ปัจจยั ดา้ นภาวะโภชนาการ พบขอ้ มลู ท่นี า่ สนใจดังนี้ 3.1 เด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ด้าน Plan/Organize สูงกว่าเด็กนักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ย ประมาณ 7.539 คะแนน 3.2 เด็กนักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วนจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Plan/Organize ต่ากว่าเด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ีย ประมาณ 11.119 คะแนน 3.3 เด็กนักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วนจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Plan/Organize ต่ากวา่ เด็กนกั เรียนที่มีภาวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนักเกิน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 6.1524 คะแนน 4. ปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) พบว่าเด็กนักเรียนท่ีมีความฉลาดทางสติปัญญาต่า กว่าเกณฑ์ปกติ จะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Plan/Organize ต่ากว่าเด็ก นักเรียนที่มรี ะดับความฉลาดทางปัญญาปกติ โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 8.052 คะแนน

ตารางที่ 7 ปจั จยั ทม่ี ีอิทธพิ ลต่อทักษะความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมอง ปัจจัย ตัวแปร Constant ดา้ น Orga Mat เพศชาย (Ref. หญิง) Coefficie ปัจจยั ดา้ นคณุ ลักษณะเด็ก ระดบั การศึกษาประถมศึกษาตอนตน้ 65.11 (ref :ประถมศกึ ษาตอนปลาย) 3.2 6.25 มีโรคประจาตวั (ref: ไม่มโี รคประจาตัว) 3.09 ปจั จัยางชวี ภาพดา้ น ภาวะโภชนาการ (Ref: อว้ น) สขุ ภาพเดก็ ผอม -14.19 -9.23 ปกติ -8.14 -9.21 น้าหนกั เกิน 1.7 ระดบั ความฉลาดทางปญั ญาปกติ -.6 (ref: ต่ากวา่ เกณฑป์ กต)ิ .5 ระดบั ความฉลาดทางอารมณ์ปกติ 2.7 (ref: ตา่ กวา่ เกณฑป์ กติ ) ปัจจยั พฤติกรรมการเลี้ยง เข้านอนกอ่ น 22.00 น. ดเู ดก็ (ref: เข้านอนหลงั 22.00 น.) ออกกาลังกาย (ref: ไม่ออกกาลงั กาย) รบั ประทานอาหารเช้า (ref: ไมร่ ับประทานอาหารเชา้ ) หมายเหต:ุ *P<0.05 (การแปลผลคะแนนความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมอง T be support)

62 งเด็กวัยเรยี นภาพรวมในแตล่ ะด้าน ทักษะความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมองในเดก็ วัยเรียน anization of ด้าน Monitor ด้าน Metacognition terials Index (MI) ent S.E. Coefficient S.E. Coefficient S.E. 10* 6.003 65.395* 4.803 67.893* 4.639 231 1.863 3.466* 1.490 1.520 1.439 58* 1.862 7.011* 1.490 6.520* 1.439 91* 1.890 2.569 1.512 2.341 1.460 99* 3.921 -12.201* 3.137 -12.704* 3.030 34* 2.625 -9.804* 2.100 -9.922* 2.028 45* 3.314 -7.843* 2.652 -8.542* 2.561 19* 2.929 -8.602* 2.344 -8.513 2.264 716 1.816 -2.465 1.453 -2.408 1.403 685 2.308 .099 1.847 1.404 1.784 544 2.714 .168 2.171 -.801 2.097 754 3.097 3.888 2.477 3.665 2.393 T< 40= Good Brain Executive Function, 39 <T< 59= Normal, T>60= Should

ตารางที่ 7 ปจั จัยท่ีมีอทิ ธิพลตอ่ ทักษะความสามารถการคิดเชงิ บริหารของสมอง ปจั จัย ตัวแปร ดา้ น Or M Coeffic เลน่ เกมคอมพิวเตอร์/ไอแพด/แทบเลต (ref: เดก็ ไม่เลน่ เกมคอมพิวเตอร์/ไอแพด/แทบเลต) ปัจจัย เด็กอ่านหนังสือ (ref: เดก็ ไม่อ่านหนงั สอื ) พฤติกรรมการ เดก็ วาดรปู /ระบายสี (ref: เดก็ ไม่วาดรปู /ระบายสี) เลี้ยงดูเด็ก เดก็ ดูโทรทศั น์ (ref: เดก็ ไมด่ โู ทรทศั น์) เด็กเล่นดนตรี (ref: เดก็ ไม่เล่นดนตรี) เด็กเลน่ กฬี า (ref: เด็กไมเ่ ลน่ กีฬา) เดก็ ทางานบา้ น (ref: เดก็ ไมท่ างานบ้าน) เดก็ เล่นกบั เพือ่ น (ref: เด็กไมเ่ ล่นกับเพ่อื น) F-Statistics (p-value) 3.7 R2 Observations หมายเหต:ุ *P<0.05 (การแปลผลคะแนนความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของสมอง T be support)

63 งเดก็ วัยเรียนภาพรวมในแต่ละดา้ น (ต่อ) ทกั ษะความสามารถการคดิ เชิงบริหารของสมองในเด็กวัยเรยี น rganization of ดา้ น Monitor ดา้ น Metacognition Materials Index (MI) cient S.E. Coefficient S.E. Coefficient S.E. 3.040 1.966 .841 1.573 -.442 1.519 .032 2.376 -1.205 1.901 -1.203 1.836 -1.897 2.024 -2.893 1.619 -2.643 1.564 .862 1.940 .530 1.552 1.020 1.500 .353 3.835 3.014 3.068 .886 2.963 -.333 2.268 -.982 1.814 -1.116 1.753 5.028 2.316 4.700 1.853 3.560 1.790 1.099 1.908 .847 1.527 .786 1.475 782* (0.000) 5.940* (0.000) 0.5600* (0.000) 0.150 0.218 0.208 426 426 426 T< 40= Good Brain Executive Function, 39 <T< 59= Normal, T>60= Should

64 จากตารางที่ 7 แสดงถงึ ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเดก็ วัย เรียนดังตอ่ ไปนี้ ทกั ษะความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมองด้าน Organization of Material ปัจจยั ดา้ นคณุ ลกั ษณะของเด็ก ปัจจยั ทางชีวภาพด้านสุขภาพเด็ก และปัจจัยพฤติกรรมการเลี้ยงดู เด็ก มีอิทธิพลต่อทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของเด็กวัยเรียนในด้าน Organization of Material อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติ (P<0.05) โดยปัจจัยทั้ง 3 ปัจจัยสามารถทานายทักษะความสามารถ การคดิ เชิงบรหิ ารของเด็กวัยเรยี น ในภาพรวม ไดร้ อ้ ยละ 15.00 ดังแสดงในตารางท่ี 7 และเมื่อควบคุมตัว แปรอน่ื ๆ ให้มีคา่ คงท่ี การวิจัยพบขอ้ มลู ทีน่ า่ สนใจดงั น้ี 1. ปจั จยั ด้านระดบั การศึกษา พบว่านักเรยี นท่ีอยู่ชั้นประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Organization of Material สูงกว่านักเรียนท่ีอยู่ชั้น ประถมศึกษาตอนตน้ (ป.1-3) โดยมรี ะดบั คะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ยี ประมาณ 6.258 คะแนน 2. ปจั จยั ดา้ นโรคประจาตัว พบวา่ นักเรียนทไ่ี ม่มีโรคประจาตวั จะมีทักษะความสามารถการคิดเชิง บริหารของสมองดา้ น Organization of Material สงู กวา่ นกั เรียนท่ีมีโรคประจาตวั โดยมรี ะดับคะแนน T- Score ต่างกนั เฉลีย่ ประมาณ 3.091 คะแนน 3. ปจั จัยดา้ นภาวะโภชนาการ พบขอ้ มูลที่น่าสนใจดงั นี้ 3.1 เด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ด้าน Organization of Material สูงกวา่ เด็กนักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกัน เฉลยี่ ประมาณ 9.234 คะแนน 3.2 เด็กนักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วนจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Organization of Material ต่ากว่าเด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกนั เฉลยี่ ประมาณ 14.119 คะแนน 3.3 เด็กนักเรียนที่เป็นโรคอ้วนจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Organization of Material ต่ากว่าเด็กนกั เรยี นท่ีมภี าวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนกั เกนิ โดยมีระดับคะแนน T-Score ตา่ งกนั เฉล่ยี ประมาณ 8.145 คะแนน 4. ปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) พบว่าเด็กนักเรียนที่มีความฉลาดทางสติปัญญาต่า กว่าเกณฑป์ กติ จะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Organization of Material ต่า กวา่ เดก็ นกั เรยี นทม่ี รี ะดับความฉลาดทางปัญญาปกติ โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ยประมาณ 9.219 คะแนน

65 ทกั ษะความสามารถการคดิ เชิงบริหารของสมองดา้ น Monitor ปัจจัยด้านคุณลักษณะของเด็ก ปัจจยั ทางชวี ภาพด้านสขุ ภาพเดก็ และปัจจัยพฤติกรรมการเล้ียงดู เดก็ มีอทิ ธิพลต่อทักษะความสามารถการคดิ เชิงบริหารของเด็กวัยเรียนในด้าน Monitor อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถติ ิ (P<0.05) โดยปัจจยั ท้งั 3 ปัจจัยสามารถทานายทกั ษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของเด็กวัย เรยี น ในภาพรวม ได้ร้อยละ 21.80 ดังแสดงในตารางท่ี 7 และเม่ือควบคุมตัวแปรอ่ืน ๆ ให้มีค่าคงที่ การ วิจยั พบข้อมูลที่น่าสนใจดงั น้ี 1. นักเรียนเพศหญงิ จะมีทกั ษะความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารดา้ น Monitor สูงกว่านักเรียนเพศ ชาย โดยมีระดับคะแนน T-Score ตา่ งกันเฉลย่ี 3.466 คะแนน 2. ปัจจัยด้านระดบั การศึกษา พบว่านักเรยี นท่ีอยู่ชั้นประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของสมองด้าน Monitor สูงกว่านักเรียนที่อยู่ช้ันประถมศึกษาตอนต้น (ป. 1-3) โดยมีระดับคะแนน T-Score ตา่ งกันเฉลี่ยประมาณ 7.011 คะแนน 3. ปัจจยั ดา้ นภาวะโภชนาการ พบข้อมูลทน่ี ่าสนใจดงั นี้ 3.1 เด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ด้าน Monitor สูงกว่าเด็กนักเรียนที่เป็นโรคอ้วน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 9.804 คะแนน 3.2 เดก็ นักเรยี นที่เปน็ โรคอ้วนจะมีทกั ษะความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมองด้าน Monitor ต่ากวา่ เดก็ นักเรยี นท่ีมีภาวะโภชนาการผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ยประมาณ 12.201 คะแนน 3.3 เด็กนกั เรยี นที่เปน็ โรคอว้ นจะมที กั ษะความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของสมองด้าน Monitor ต่ากว่าเด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนักเกิน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ีย ประมาณ 7.843 คะแนน 4. ปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) พบว่าเด็กนักเรียนที่มีความฉลาดทางสติปัญญาต่า กว่าเกณฑ์ปกติ จะมที ักษะความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมองด้าน Monitor ต่ากว่าเด็กนักเรียนที่มี ระดับความฉลาดทางปญั ญาปกติ โดยมีระดบั คะแนน T-Score ตา่ งกนั เฉลีย่ ประมาณ 8.602 คะแนน

66 ทักษะความสามารถการคิดเชงิ บริหารของสมองด้าน Metacognition Index (MI) ปจั จัยด้านคณุ ลักษณะของเดก็ ปจั จัยทางชีวภาพด้านสขุ ภาพเด็ก และปัจจัยพฤติกรรมการเล้ียงดู เด็ก มีอิทธิพลต่อทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของเด็กวัยเรียนในด้าน Metacognition Index (MI) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P<0.05) โดยปัจจยั ท้งั 3 ปัจจัยสามารถทานายทกั ษะความสามารถการคิด เชงิ บรหิ ารของเดก็ วยั เรียน ในภาพรวม ไดร้ อ้ ยละ 20.80 ดงั แสดงในตารางท่ี 7 และเม่ือควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ใหม้ ีคา่ คงท่ี การวิจัยพบข้อมูลที่น่าสนใจดงั นี้ 1. ปจั จัยด้านระดับการศึกษา พบวา่ นกั เรียนที่อยู่ช้ันประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Metacognition Index สูงกว่านักเรียนที่อยู่ชั้น ประถมศึกษาตอนตน้ (ป.1-3) โดยมีระดบั คะแนน T-Score ตา่ งกันเฉลี่ยประมาณ 6.520 คะแนน 2. ปัจจยั ด้านภาวะโภชนาการ พบขอ้ มูลทนี่ ่าสนใจดังนี้ 2.1 เด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ดา้ น Metacognition Index สงู กว่าเด็กนักเรียนท่ีเปน็ โรคอ้วน โดยมรี ะดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ีย ประมาณ 9.922 คะแนน 2.2 เด็กนักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วนจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Metacognition Index ต่ากวา่ เดก็ นกั เรียนทีม่ ภี าวะโภชนาการผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกัน เฉล่ียประมาณ 12.704 คะแนน 2.3 เด็กนักเรียนท่ีเป็นโรคอ้วนจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองด้าน Metacognition Index ต่ากว่าเดก็ นกั เรยี นทม่ี ภี าวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนักเกิน โดยมีระดับคะแนน T- Score ตา่ งกันเฉลีย่ ประมาณ 8.542 คะแนน

67 5. ผลการศกึ ษาแนวทางปอ้ งกันภาวะน้าหนกั เกินและโรคอว้ น การวิจัยได้เลือกโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการลดความอ้วน (ดร.สมคิด ปราบภัย คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) เปน็ วิธกี ารส่งเสรมิ การป้องกันภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนใน เด็กวยั เรียนของการวจิ ัยครั้งน้ี ผลการวจิ ัยแสดงดังตารางที่ 8 ตารางที่ 8 การเปรียบเทียบเจตคตติ อ่ พฤติกรรมลดความอ้วน การคลอ้ ยตามกลุ่มอ้างอิง และการรบั รู้ ความสามารถการควบคุมพฤติกรรมในกล่มุ ทดลองและกลุ่มควบคมุ กอ่ นและหลังเขา้ รว่ มโปรแกรม ปัจจัย การเปรียบเทยี บเจตคติต่อพฤตกิ รรมลดความอว้ น การคลอ้ ยตามกลมุ่ อ้างองิ และการรบั รู้ ความสามารถการควบคมุ พฤตกิ รรมในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคมุ กอ่ นและหลงั เข้าร่วม โปรแกรม ก่อนทดลอง หลงั ทดลอง ผลตา่ งคา่ เฉล่ยี p-value (n=30) (n=30) (95%CI) mean SD mean SD เจตคตติ อ่ พฤตกิ รรมการลดความอ้วน กลุ่มทดลอง 25.9 0.87 36.1 1.91 10.2 < 0.001 1.03 0.1 กลุม่ ควบคมุ 24.7 0.67 24.8 ผลตา่ ง 1.2 11.3 คา่ เฉลยี่ (95%CI) p-value 0.005 < 0.001 การคลอ้ ยตามกลมุ่ อา้ งอิงตอ่ พฤตกิ รรมการลดความอว้ น กลมุ่ ทดลอง 33.2 1.81 46.9 1.19 13.7 < 0.001 2.17 1.3 0.122 กลุ่มควบคุม 35.3 1.41 36.6 ผลตา่ ง 2.1 10.3 ค่าเฉลยี่ (95%CI) p-value < 0.001 < 0.001 การรบั รคู้ วามสามารถการควบคุมพฤตกิ รรมลดความอ้วน กลุ่มทดลอง 31.6 1.42 46.8 2.52 15.2 < 0.001 32.2 0.81 31.6 1.42 0.6 กลุ่มควบคมุ 0.6 15.2 ผลตา่ ง 0.26 ค่าเฉลีย่ < 0.001 (95%CI) p-value

68 6. ผลการศึกษาวธิ ีการส่งเสรมิ ความสามารถการคดิ เชงิ บริหารของสมองในเดก็ วยั เรียน การวิจัยเลือกใช้วิธีการประยุกต์แนวใหม่โดยออกแบบให้มีการฝึกฝน ความสามารถการคิดเชิง บริหารของสมอง 5 ด้านสาคัญคือ ความจาขณะทางาน (Working memory) การยับยั้งพฤติกรรม (Inhibit) การเปลี่ยนความคิดเม่ือเงื่อนไขเปล่ียนไป (Shifting) การควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของ ตนเอง (Emotional control) และการวางแผนและการจัดการอย่างเป็นระบบ (Plan/Organize) ผ่าน การทากิจกรรม How to find your Gift? (จะหาของขวัญได้อย่างไร) โดยผลการประเมินความสามารถ การคิดเชิงบริหารกอ่ นและหลังการจัดกจิ กรรมแสดงได้ดังนี้ (การประเมินความสามารถการคิดเชิงบริหาร ของสมองก่อนจดั กจิ กรรมและหลงั จดั กจิ กรรมห่างกนั อย่างน้อย 6 เดอื น) ผลการวิจัยแสดงดังตารางที่ 9 ตารางท่ี 9 การเปรียบเทียบความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในกลุ่มเด็กนักเรียนที่เข้าร่วม กจิ กรรม ความสามาถรถ การเปรยี บเทยี บความสามารถการคดิ เชิงบริหารของสมองในกลุ่มเดก็ นักเรียน การคดิ เชงิ บริหารของ ท่เี ขา้ รว่ มกิจกรรมจานวน 30 ราย (อายรุ ะหว่าง 6-12 ปี) สมอง ในด้านต่างๆ ก่อนทดลอง หลังทดลอง สถติ ทิ ท่ี ดสอบ (n=30) (n=30) T-score (Mean) T-score (Mean) Paired T-test p-value ความจาขณะทางาน Working 63.58 57.44 2.72 < 0.05 memory การยับยั้งพฤตกิ รรม Inhibit 62.87 58.63 2.31 < 0.05 การเปลยี่ นความคดิ เมอ่ื เงือ่ นไขเปลีย่ นไป Shifting 60.85 56.63 2.79 < 0.05 การควบคุมอารมณแ์ ละพฤตกิ รรมของตนเอง Emotional 59.55 54.78 2.15 < 0.05 control การวางแผนและการจัดการอย่างเปน็ ระบบ Plan/Organize 62.95 58.25 2.05 < 0.05 หมายเหตุ คะแนน T-score ตา่ กวา่ 40 หมายถึงความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองดี , คะแนน T- score 40-60 หมายถงึ ปกติ , คะแนน T-score มากกว่า 60 หมายถึง ควรไดร้ บั การส่งเสรมิ

69 บทท่ี 5 อภิปรายและวิจารณ์ผล โครงการวิจัยได้ทาการศึกษาสถานการณ์ภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนใน กลุ่มตัวอย่างเด็กวัย เรียน อายุระหว่าง 6-12 ปี จานวน 428 คน โดยแบ่งกลุ่มเด็กวัยเรียนตามภาวะโภชนาการออกเป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มเด็กผอม จานวน 33 คน (ร้อยละ 7.7 ) กลุ่มเด็กปกติ จานวน 261 คน (ร้อยละ 60.9) กลุ่ม เด็กภาวะน้าหนักเกิน จานวน 60 คน (ร้อยละ 14.1 ) และ กลุ่มเด็กอ้วน จานวน 74 คน (ร้อยละ 17.3 ) ซงี่ ข้อมูลการวิจยั ครี้งน้ีสอดคลอ้ งกบั รายงานสถานการณ์ภาวะโรคอว้ นในเด็กไทยวัยเรียน ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยไดร้ ายงานถงึ แนวโน้มการเป็นโรคอ้วนของเด็กไทยวัยเรียนจะเพ่ิมสูงข้ึนร้อยละ 13.1 ในปี พ.ศ.2560 เม่ือทาการศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อผลภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนกในลุ่มเด็กวัยเรียน การวิจัย ครง้ั นี้พบวา่ เดก็ วัยเรยี นส่วนใหญ่มจี านวนเพศชายและเพศหญงิ ใกล้เคียงกัน โดยเป็นเพศชายร้อยละ 49.5 และเป็นเพศหญิงร้อยละ 50.5 ขอ้ มูลท่นี ่าสนใจคือเด็กชายเป็นโรคอ้วนมากว่าเด็กหญิงประมาณ 1.5 เท่า การวิจัยพบข้อมลู สาคัญด้านพฤติกรรมการบรโิ ภคของกล่มุ ตัวอยา่ งเด็กวยั เรยี น ซ่ึงจะพบว่าพฤติกรรมการ บริโภคขนมหวานและเคร่ืองด่ืมรสหวาน เช่น ขนมเบเกอรี่ เค้ก พาย โดนัท น้าอัดลม โกโก้เย็น ชาเย็น และการทานอาหารว่างวันละ 2 คร้ัง (ช่วงสายและบ่ายทุกวัน) เป็นประจาจะส่งผลต่อภาวะน้าหนักเกิน หรอื โรคอ้วนอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดบั 0.05 โดยเด็กนกั เรียนท่ีอยู่ในกลุ่มภาวะน้าหนักเกินและโรค อ้วนมีพฤตกิ รรมดงั กล่าวสงู ถงึ ร้อยละ 55.3 พฤติกรรมการบริโภคขนมหวานและเครื่องด่ืมรสหวานเป็นสาเหตุสาคัญอย่างหนึ่งอันส่งผลต่อ ภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนในเด็กวัยเรียน โดยจัดเป็นหนึ่งในปัจจัยเส่ียงด้านพฤติกรรมของบุคคลที่ สัมพนั ธ์กับภาวะน้าหนกั เกินและโรคอว้ น ซึง่ ประกอบดว้ ยปจั จยั อ่นื ๆ ที่สาคัญดงั น้ี (23) การมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารท่ีไม่ดี เช่น การไม่รับประทานอาหารม้ือเช้า การ รับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด การรบั ประทานอาหารทม่ี ีส่วนบริโภคของอาหารเพิ่มข้ึนทั้งน้าหนัก ปริมาตร และปริมาณพลงั งานและการรบั ประทานอาหารในขณะที่ยงั ไม่หวิ เปน็ ต้น การมีพฤติกรรมแน่นิ่งหรือพฤติกรรมที่มีการเคล่ือนไหวร่างกายน้อย เช่นการใช้เวลาในการดู โทรทศั น์ หรือเลน่ วดิ ีโอเกมมากกวา่ 2 ชว่ั โมงตอ่ วัน รวมท้งั การลดการเคล่ือนไหวออกแรง มีความสัมพันธ์ กับการเกิดภาวะนา้ หนกั เกินและโรคอว้ นในวยั เรียนและวยั รุ่น การนอนหลับ การมรี ะยะเวลาในการนอนหลบั ส้นั สมั พนั ธก์ บั การเกิดภาวะนหนักเกินและโรคอ้วน ในเด็ก ความเครียดที่เกิดกับวัยเรียนและวัยรุ่น บิดามารดา หรือเกิดข้ึนกับครอบครัวท้ังในระยะส้ันและ ระยะยาว ล้วนมีผลต่อการเกิดภาวะนนักเกินและโรคอ้วนในวัยเรียนและวัยรุ่น โดยปัจจัยเส่ียงด้าน พฤติกรรมท่ีกล่าวมาล้วนส่งผลตอ่ การเกิดภาวะน้าหนกั เกนิ และโรคอ้วนในเดก็ ทัง้ สนิ้ การวิจัยทาการศกึ ษาความสามารถทางสติปญั ญา (IQ) พบว่าเดก็ วัยเรยี นมี IQ ต่ากว่าปกติร้อยละ 10.3 ปกติร้อยละ 72.2 สูงกว่าปกติร้อยละ 12.6 ฉลาดร้อยละ 3 และฉลาดมากร้อยละ 1.9 เมื่อทาการ แบง่ กลมุ่ ตามภาวะโภชนาการพบว่าเด็กวัยเรยี นในกลุม่ ภาวะผอมมรี ะดับ IQ ต่ากว่าปกติร้อยละ 12.1 เด็ก วยั เรียนในกลมุ่ ภาวะปกตมิ รี ะดบั IQ ต่ากว่าปกติร้อยละ 9.2 เด็กวยั เรียนในกลุ่มนา้ หนักเกินมีระดับ IQ ต่า

70 กวา่ ปกตริ ้อยละ 11.6 สว่ นเด็กวยั เรียนกลุ่มโรคอ้วนมีระดับ IQ ต่ากว่าปกติร้อยละ 14.3 และเมื่อทาการ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนกับความสามารถทางสติปัญญา (IQ) พบว่ามี ความสัมพนั ธ์กันทางสถิติท่ี R= -0.068, P=0.165 (Pearson Correlation) ซ่ึงแสดงถึงความสัมพันธ์เชิง ลบระหวา่ งภาวะนา้ หนกั เกินหรอื โรคอว้ นกับความสามารถทางสติปัญญา โดยสามารถอธิบายได้ว่าเด็กวัย เรียนทมี่ ภี าวะน้าหนกั เกนิ หรือโรคอว้ นมีแนวโนม้ จะมคี วามสามารถทางสติปัญญาต่ากว่าปกติ ภาวะน้าหนกั เกนิ และโรคอ้วนมีความสัมพนั ธ์กบั โรคในเด็กและผู้ใหญห่ ลายโรค (24, 25) เช่น โรค ความดันโลหิตสูง โรคเกี่ยวกับการเรียนรู้และความทรงจา (Learning and memory) และเก่ียวข้องกับ โรคสมองบางอยา่ ง เช่น โรคความจาเสื่อม โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และ Alzheimer’s disease นอกจากน้ีโรคอ้วนยังมีความเกี่ยวข้องกับความสามารถการรู้คิดที่ไม่ดี (Poor cognitive function) และการมีปริมาตรท่ีลดลงของสมองในส่วนการเรียนรู้และความทรงจา (26) การค้นพบทาง วิชาการเหลา่ นี้ จึงเปน็ หลกั ฐานทบ่ี ง่ ช้ถี งึ ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนอาจทาให้ความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) ลดลง การศึกษาภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนส่งผลต่อความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) ในปัจจุบันพบ ข้อมูลความสัมพันธ์แบบผกผันหรือความสัมพันธ์เชิงลบทั้งในวัยเด็กและผู้ใหญ่ (27) ถึงแม้ว่าจะยังไม่มี ฉนั ทามติเก่ียวกับภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนส่งผลต่อความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) ที่แน่นอน แต่ผล การศึกษาตา่ งๆ ในปัจจบุ นั บ่งบอกถึงระดับความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) ที่ลดลงมีความสัมพันธ์กับดัชนี มวลกายทสี่ งู ขึ้น (BMI) (27-29) การวิจัยทาการศกึ ษาความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ของเด็กในวัยเรียน พบว่าเด็กวัยเรียนมีความ ฉลาดทางอารมณ์ (EQ) อยู่ในเกณฑ์ควรได้รบั การพัฒนา ร้อยละ 41.4 รองลงมามีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) อยู่ในเกณฑ์ปกติร้อยละ 40.1 และจาเป็นต้องพัฒนาร้อยละ 18.5 ตามลาดับ และเมื่อทาการ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนกับความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) พบว่ามี ความสัมพันธ์กนั ทางสถติ ทิ ี่ R= -0.031, P=0.529 (Pearson Correlation) ซึง่ แสดงถงึ ความสัมพันธ์แบบ ผกผันหรือความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนกับความฉลาดทางอารมณ์ โดย สามารถอธบิ ายไดว้ ่าเด็กวยั เรยี นท่ีมีภาวะนา้ หนักเกนิ หรือโรคอว้ นมีแนวโน้มจะมีความฉลาดทางอารมณ์อยู่ ในเกณฑ์ควรไดร้ บั การพฒั นา เด็กที่เป็นโรคอ้วนอาจประสบกับปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม ซ่ึงจาการรายงานวิจัยของ Puder and Munsch, 2010 (30) ได้ใหข้ อ้ เสนอวา่ แนวทางในการป้องกันโรคอ้วนในวัยเด็กน้ันสิ่งสาคัญ สิ่งหน่ึงที่ไม่อาจละเลยคือ ทัศนคติของผู้ปกครองและครอบครัว โดยเฉพาะการปรับกิจกรรมทาง โภชนาการและการจัดการความเครียดในครอบครัว การขาดการจัดการในเรื่องดังกล่าวส่งผลต่อสุขภาวะ ทางกายและอารมณข์ องเดก็ ได้ โดยจะพบวา่ ครอบครัวที่ขาดการจัดการในเร่ืองดังกล่าว จะส่งผลให้เด็กที่ เป็นโรคอว้ นมีความวิตกกังวล มีความซึมเศร้า มีความกา้ วรา้ ว และมสี มาธิสนั้ (30) การวจิ ยั ทาการศกึ ษาความสามารถการคดิ เชงิ บริหารของสมองแบบองค์รวม (Global Executive Composite: GEC) ผลการวิจัยพบว่าความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองของกลุ่มตัวอย่างเด็กวัย เรียนอยู่ในระดับปกติร้อยละ 51.9 และมีร้อยละ 48.4 ท่ีควรได้รับการส่งเสริม และเม่ือศึกษาปัจจัยท่ี สง่ ผลตอ่ ความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของสมองพบว่ามีขอ้ มลู ทนี่ ่าสนใจดังนี้

71 1. ปัจจัยดา้ นระดบั การศึกษา พบวา่ นักเรียนที่อยู่ช้ันประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6) จะมีทักษะ ความสามารถการคดิ เชงิ บริหารของสมองแบบองคร์ วมสูงกว่านักเรียนที่อยู่ชั้นประถมศึกษาตอนต้น (ป.1- 3) โดยมีระดับคะแนน T-Score ตา่ งกนั เฉลยี่ ประมาณ 6.901 คะแนน 2. ปจั จยั ดา้ นโรคประจาตวั พบวา่ นกั เรยี นท่ีไม่มโี รคประจาตัวจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิง บริหารของสมองแบบองคร์ วมสงู กวา่ นกั เรยี นที่มโี รคประจาตัว โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ีย ประมาณ 2.975 คะแนน 3. ปจั จยั ด้านภาวะโภชนาการ พบข้อมูลทีน่ ่าสนใจดังนี้ 3.1 เด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการปกติจะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง แบบองคร์ วมสงู กวา่ เด็กนักเรยี นทเี่ ปน็ โรคอ้วน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉล่ียประมาณ 9.199 คะแนน 3.2 เด็กนักเรียนที่เปน็ โรคอ้วนจะมที กั ษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองแบบองค์รวม ต่ากว่า เด็กนักเรียนท่ีมีภาวะโภชนาการเกณฑ์ผอม โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ยประมาณ 11.688 คะแนน 3.3 เด็กนกั เรยี นที่เปน็ โรคอ้วนจะมที ักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองแบบองค์รวม ต่ากว่า เด็กนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกณฑ์น้าหนักเกิน โดยมีระดับคะแนน T-Score ต่างกันเฉลี่ย ประมาณ 6.397 คะแนน 4. ปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) พบว่าเด็กนักเรียนที่มีความฉลาดทางสติปัญญาต่า กว่าเกณฑป์ กติ จะมีทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองแบบองค์รวมต่ากว่าเด็กนักเรียนท่ีมี ระดบั ความฉลาดทางปัญญาปกติ โดยมรี ะดับคะแนน T-Score ต่างกนั เฉล่ยี ประมาณ 8.686 คะแนน 5. ปจั จยั ด้านความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) พบวา่ เดก็ นกั เรียนทม่ี ีความฉลาดทางอารมณ์ต่ากวา่ เกณฑป์ กติ จะมที ักษะความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมองแบบองค์รวมตา่ กว่าเด็กนักเรียนทีม่ คี วาม ฉลาดทางอารมณ์ปกติ โดยมรี ะดับคะแนน T-Score ต่างกนั เฉลีย่ ประมาณ 3.238 คะแนน เมื่อทาการศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองรายด้านได้แก่ Working memory, Inhibit, Shift, และ Emotional control พบว่าการทากิจกรรมวาดรูประบายสี กจิ กรรมดนตรี การทากจิ กรรมเล่นกบั เพอื่ น และการเข้านอนอยา่ งเพียงพอ (10-12 ชม.) ส่งผลดีต่อทักษะ ความสามารถการคดิ เชิงบริหารของสมองรายด้านดังกล่าว ส่วนเด็กนักเรียนที่มีโรคประจาตัว และการทา กจิ กรรมเลน่ เกมคอมพวิ เตอร์/ไอแพด/แทบเลตเป็นประจา จะส่งทางลบต่อทักษะความสามารถการคิดเชิง บรหิ ารของสมองเชน่ กัน ข้อมูลทางวิชาการเป็นท่ีทราบกันดีว่า สมองของเด็กได้รับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่าง กวา้ งขวางในชว่ งปีแรกของชีวิตทมี่ กี ารเจรญิ เตบิ โตอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาดังกล่าวดาเนินต่อไปตามช่วง อายุ ทีส่ าคญั ไม่เพยี งแตโ่ ครงสร้างสมองที่มกี ารพมั นาแต่ยังรวมถึงระบบประสาท การจัดระเบียบและการ เชอ่ื มต่อการทางานระหวา่ งสมองแต่ละสว่ น จะมีการเปลยี่ นแปลงและพัฒนาตลอดเวลา (31) ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนมีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อการพัฒนาสมองตั้งแต่ในวัยเด็ก น่ันเป็น เพราะเมื่อพิจารณาถึงการพัฒนาสมองอย่างรวดเร็วที่กาลังเกิดขึ้นในวัยเด็กแล้ว การเปล่ียนแปลงทาง ชีวภาพจากผลกระทบของโรคอ้วนจึงเป็นสิง่ ทค่ี วรเฝ้าระวงั โดยในปัจจุบันมีการศึกษาโรคอ้วนอันส่งผลต่อ

72 กายวิภาคสมอง ความสามารถกระบวนการรู้คิด ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ในประเด็น สาคญั ดังตอ่ ไปน้ี 1. น้าหนักเกินและโรคอ้วนเก่ียวมอี ิทธพิ ลต่อความสามารถการรู้คิด (Cogntive function) ตลอด ทุกช่วงวัย จากขอ้ มูลทางวชิ าการพบว่าบุคคลท่มี นี า้ หนกั เกินหรือเป็นโรคอ้วนจะมรี ะดับความสามารถด้าน กระบวนการรู้คิด (Cogntive function) อยู่ในเกณฑ์ควรได้รับการส่งเสริมหรือตกในควอไทล์ต่าสุดของ แบบทดสอบ อนั ประะกอบไปด้วยด้านสาคัญดังน้ี ความจา ความสามารถทางคณิตศาสตร์ ความสามารถ การคิดเชิงบริหาร การควบคมุ อารมณ์ เป็นตน้ (20) 2. การศึกษาเก่ียวกับ Neuroimaging study แสดงให้เห็นถึง การมีปริมาตรที่เล็กลงของสมอง ส่วน frontal lobes, anterior cingulate gyrus, hippocampus และ thalamus ในกลุ่มคนโรคอ้วน (32) นอกจากนขี้ ้อมูลทางวิชาการพบว่า ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ที่เพ่ิมขึ้นมีความสัมพันธ์กับการทางานท่ี ลดลงของสมองส่วน prefrontal cortex, cingulate gyrus อีกทั้งส่งผลต่อการมีปริมาตรท่ีเล็กลงของ สมองสว่ นหนา้ (prefrontal cortex) (33, 34) 3. กลุ่มเดก็ โรคอ้วนจะมีระดับความสามารถการรู้คิด (Cogntive function) ในด้านต่างๆ ท่ีลดลง ประกอบด้วยดังนี้ ความสามารถการคิดเชิงบริหาร (executive function) ความจดจ่อสนใจ/สมาธิ (attention) การควบคุมอารมณ์ (emotional control) ความสามารถทางคณิตศาสตร์ (mathematics) และความสามารถในการอา่ นจับใจความ (reading achievement) (6, 7, 15, 19) 4. กลุ่มเด็กโรคอ้วนท่ีมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารไขมันสูงจะมีความเสี่ยงของการเกิดภาวะ เครียด (oxidative stress) การอักเสบ (inflammatory) การเกิดสารอนุมูลอิสระ (reactive oxygen species) ของเซลล์สื่อประสาทในสมองเป็นผลให้ศักยภาพสมองด้านกระบวนการรู้คิด (Cogntive function) และความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมอง (executive function) ลดลง (7, 14, 15) 5. กลุม่ เดก็ และผู้ใหญ่โรคจะมีการสะสมของ white adipose tissue จานวนมากและเป็นแหล่ง ผลิตของ proinflammatory cytokines เช่น IL-1, IL-6, IL-12 tumor-necrosis factor-α (TNF) และ c-reactive protein โดยรายการวิจัยพบว่า การเพิ่มขึ้นของระดับ cytokines เหล่าน้ีมีความสัมพันธ์กับ ระดับความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองที่ลดลง (brain executive function decline) และ การ เกิดภาวะสมองเส่ือม (dementia) ในบคุ คลกลุ่มนี้ (14, 15, 35, 36) 6. เด็กท่ีมีภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนจะมีปัญหาทางด้านจิตใจมากกว่าเด็กที่ไม่อ้วน ซึ่ง ผลกระทบดา้ นจติ ใจมีหลายประการ ดงั น้ี 6.1 โรคสมาธิส้ัน (Attention-deficit hyperactivity disorder: ADHD) โรคอ้วนและโรคสมาธิ ส้ันมีความสัมพันธ์อันเป็นผลมาจากพฤติกรรมท่ีไม่สามารถควบคุมตนเองได้ (Inhibitory control) แล้ว ขยายไปสู่พฤติกรรมท่ีไมด่ ใี นการกนิ อาหาร การวินจิ ฉนั โรคสมาธิส้นั พบความชกุ ในเด็กอ้วนมากกว่าเด็กที่มี น้าหนักปกติ (37, 38) 6.2 เด็กท่ีมีภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนจะมีปัญหาด้านจิตใจอ่ืนๆ เช่น ความไม่พึงพอใจใน รูปร่างของตนเอง (Body dissatisfaction) กลุ่มอาการความผิดปกติการกินอาหาร (Eating disorder symptoms) การถูกกล่ันแกล้ง (Bullying) การขาดทักษะทางด้านสังคมและการมีพฤติกรรมการกิน อาหารทไ่ี ม่ดี เปน็ ต้น (39, 40)

73 ผลการวจิ ยั ครั้งนีท้ าให้ทราบถึงสถานการณ์ภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนและความสามารถการ คิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัยเรียน ตลอดจนทราบถึงปัจจัยท่ีส่งผลต่อภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วน และความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองซ่ึงมีความเกี่ยวเนื่องกันและสัมพันธ์กัน ดังน้ันการควบคุม ภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนและการส่งเสริมความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองจึงควรให้ ความสาคัญ โดยที่การวจิ ยั ไดเ้ ลอื กโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการลดความอ้วนของ ดร.สมคิด ปราบ ภยั คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ เปน็ วิธีการสง่ เสรมิ การป้องกันภาวะนา้ หนกั เกินและโรค อว้ นในเดก็ วยั เรยี นของการวิจยั ครง้ั นี้ สว่ นการสง่ เสริมความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัย เรียนนั้น การวิจัยเลือกใช้วิธีการประยุกต์แนวใหม่โดยออกแบบให้มีการฝึกฝนความสามารถการคิดเชิง บริหารของสมองใน 5 ด้านสาคญั โปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการลดความอ้วนในเดก็ วยั เรียนสามารถช่วยลดน้าหนักในเด็กท่ีมี น้าหนักเกินมาตรฐานได้ จากการการวางแผนตามแนวคิดทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนเรื่องเจตคติต่อ พฤติกรรมลดความอ้วน การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงต่อพฤติกรรมลดความอ้วน และการรับรู้ความสามารถ การควบคุมพฤตกิ รรมลดความอ้วน (41 ) โดยพบว่าในกลุ่มเด็กวัยเรียนท่ีมีน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนท่ีเข้า ร่วมโปรแกรมมีคะแนนด้านเจตคติต่อพฤติกรรมการลดความอ้วนสูงข้ึน หลังจากได้ดูสื่อวีดิทัศน์เรื่องการ ตระหนัก การรับรู้ความรุนแรง อุปสรรคในการเกิดโรคอ้วน โทษของพฤติกรรมแน่นิ่ง ประโยชน์ของการ รับประทานอาหารท่ีเหมาะสม และพฤติกรรมการออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ พร้อมทั้งกิจกรรมบุคคล ตน้ แบบในการสรา้ งความสาเร็จในการลดความอว้ น ดว้ ยกิจกรรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออกกาลัง กายและการบรโิ ภคอาหาร เพื่อให้กลุ่มทดลองได้เห็นความสาเร็จในการปฏิบัติและมีความมั่นใจในตนเอง วา่ จะปฏบิ ัตไิ ด้ตามบุคคลต้นแบบได้ ซง่ึ สอดคล้องกับการศึกษาของ ดร.สมคิด ปราบภัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่าโปรแกรมทางพฤติกรรมศาสตร์เพื่อการปรบั เปลีย่ นพฤติกรรมการบริโภค อาหารอยา่ งถกู สขุ ลักษณะ และพฤติกรรการออกกาลังกายที่เหมาะสมสง่ ผลให้เด็กที่เป็นโรคอ้วน มีความรู้ เกยี่ วกบั โรคอว้ น เจตคติตอ่ พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารอย่างถูกสุขลักษณะ และเจตคติต่อพฤติกรรมการ ออกกาลังกาย มากกวา่ เด็กที่ไมไ่ ด้เข้ารว่ มโปรแกรม ในด้านการคล้อยตามกลุ่มอา้ งอิงและการรบั รูค้ วามสามารถในการควบคุมพฤติกรรมลดความอ้วน ของกลุ่มเข้าร่วมโปรแกรมพบว่ามีคะแนนสูงข้ึนทั้งสองด้านภายหลังเข้าร่วมกิจกรรม โดยให้ พ่อ แม่ ครู หรอื เพอื่ นสนิทร่วมการพัฒนากลมุ่ อา้ งองิ โดยการใช้กจิ กรรมแบบบรรยายและการระดมสมองแสดงความ คิดเหน็ เพ่ือช่วยกันเป็นแรงสนบั สนนุ ในการกระต้นุ ให้เดก็ มแี รงบันดาลใจในการปรับเปล่ียนพฤติกรรมการ ลดความอ้วน เพราะผทู้ อี่ ย่รู อบขา้ งเด็ก หมายรวมถึง พอ่ แม่ ผู้ปกครอง ครู และเพ่ือน มีบทบาทสาคัญต่อ การส่งเสริมการออกกาลังกายและการบริโภคอาหาร เน่ืองจากเป็นตัวอย่างที่ปฏิบัติตามได้ ถึงแม้ว่า โปรแกรมนจ้ี ะสามารถช่วยลดน้าหนักในเด็กท่ีมีน้าหนักเกินมาตรฐานได้ แต่ยังไม่สามารถลดลงตามระดับ เกณฑม์ าตรฐาน ซ่ึงมีข้อจากดั ในเวลากจิ กรรม ทาให้ไม่สามารถเหน็ ถงึ ผลลัพธท์ ีช่ ัดเจน ส่วนการส่งเสริมความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองการวิจัยเลือกใช้วิธีการประยุกต์แนว ใหม่โดยออกแบบใหม้ ีการฝึกฝนความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง 5 ด้านสาคัญคือ ความจาขณะ ทางาน การยบั ย้ังพฤตกิ รรม การเปล่ียนความคิดเมื่อเงื่อนไขเปล่ียนไป การควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม ของตนเอง และการวางแผนและการจัดการอย่างเป็นระบบ ผ่านการทากิจกรรม How to find your

74 Gift? (จะหาของขวญั ได้อย่างไร) โดยพบว่าระดับความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองของกลุ่มเด็ก วัยเรยี นทเี่ ข้ารว่ มกจิ กรรมมีค่าดขี นึ้ อย่างเหน็ ได้ชดั การวิจยั คร้ังน้แี สดงถงึ สถานการณ์ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนของเด็กไทยวัยเรียนยังคงเป็นที่ น่าเฝา้ ระวงั และมแี นวโนม้ จะเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สงู ข้ึน และถา้ ไมม่ ีมาตรการควบคมุ ที่เปน็ รปู ธรรม เด็กกลุ่มน้ีจะเติบโตเป็นวัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ที่มีภาวะเสี่ยงทางสุขภาพในอนาคต อีกท้ังเมื่อวิเคราะห์ ความสัมพันธร์ ะหว่างภาวะน้าหนกั เกินและโรคอว้ นกบั ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัย เรียนแล้ว การวิจัยพบความสัมพันธ์แบบผกผันหรือเชิงลบ น่ันแสดงถึงว่า “เด็กท่ีเป็นโรคอ้วนจะมีความ เส่ียงตอ่ ะดบั ความสามารถการคดิ เชงิ บริหารของสมองท่ลี ดลงและสมควรต้องไดร้ ับการส่งเสริม” ข้อมูลการวิจัย แสดงถึงปัจจัยท่ีส่งผลต่อความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กมีท้ัง ทางด้านบวกและด้านลบ ดังนั้นผู้ปกครอง โรงเรียน หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องควรตระหนักถึงปัจจัยท่ีควร สง่ เสรมิ และปัจจัยใดที่ควรควบคุม ซึ่งการวิจัยพบวา่ การสง่ เสริมพฤติกรรมการลดความอ้วนในเดก็ วัยเรียน สามารถช่วยควบคุมพฤติกรรมและเจตคติการลดน้าหนักในเด็กท่ีมีน้าหนักเกินมาตรฐานได้ ส่วนการ สง่ เสริมความสามารถการคดิ เชิงบริหารของสมองผ่านการประยุกต์แนวใหม่ ส่งผลให้ระดับความสามารถ การคดิ เชิงบรหิ ารของสมองของกลมุ่ เดก็ วยั เรยี นทีเ่ ขา้ รว่ มกจิ กรรมมีคา่ ดขี ้นึ อยา่ งเห็นไดช้ ัด

75 บทที่ 6 สรปุ ผลการวิจยั และขอ้ เสนอแนะ โครงการการวิจัยรศึกษาสถานการณ์ภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนใน กลุ่มตัวอย่างเด็กวัยเรียน อายรุ ะหว่าง 6-12 ปี จานวน 428 คน โดยแบ่งกลุ่มเด็กวัยเรียนตามภาวะโภชนาการออกเป็น 4 กลุ่มคือ กลมุ่ เด็กผอม จานวน 33 คน (รอ้ ยละ 7.7 ) กลุ่มเด็กปกติ จานวน 261 คน (ร้อยละ 60.9) กลุ่มเด็กภาวะ นา้ หนกั เกนิ จานวน 60 คน (ร้อยละ 14.1 ) และ กลุ่มเด็กอ้วน จานวน 74 คน (ร้อยละ 17.3 ) ซี่งข้อมูล การวิจัยครี้งนี้สอดคล้องกับรายงานสถานการณ์ภาวะโรคอ้วนในเด็กไทยวัยเรียน ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสขุ โดยไดร้ ายงานถงึ แนวโน้มการเป็นโรคอ้วนของเด็กไทยวัยเรียนจะเพ่ิมสูงขึ้นร้อยละ 13.1 ในปี พ.ศ.2560 การวจิ ัยครัง้ น้ีพบว่าเดก็ วัยเรียนสว่ นใหญ่มจี านวนเพศชายและเพศหญิงใกล้เคียงกัน โดยเป็นเพศ ชายร้อยละ 49.5 และเป็นเพศหญิงร้อยละ 50.5 ข้อมูลท่ีน่าสนใจคือเด็กชายเป็นโรคอ้วนมากว่าเด็กหญิง ประมาณ 1.5 เท่า การวจิ ัยพบข้อมูลสาคัญด้านพฤติกรรมการบริโภคของกลุ่มตัวอย่างเด็กวัยเรียน ซ่ึงจะ พบว่าพฤติกรรมการบริโภคขนมหวานและเคร่ืองดื่มรสหวาน เช่น ขนมเบเกอร่ี เค้ก พาย โดนัท น้าอัดลม โกโก้เย็น ชาเย็น และการทานอาหารว่างวันละ 2 คร้ัง (ช่วงสายและบ่ายทุกวัน) เป็นประจาจะส่งผลต่อ การเกิดภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วน โดยเด็กนักเรียนท่ีอยู่ในกลุ่มภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนมี พฤติกรรมดังกล่าวสูงถงึ รอ้ ยละ 55.3 เมื่อทาการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนกับสามารถทางสติปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ในกลุ่มตัวอย่างเด็กวัยเรียน การวิจัยพบความสัมพันธ์แบบผกผัน หรือเชิงลบระหว่างภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนกับความสามารถทางสติปัญญา และความฉลาดทาง อารมณ์ โดยสามารถอธิบายได้ว่าเด็กวัยเรียนที่มีภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนมีแนวโน้มจะมี ความสามารถทางสตปิ ัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ตา่ กวา่ เกณฑ์ปกติ เมื่อทาการศึกษาความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองแบบองค์รวม (Global Executive Composite: GEC) ในกล่มุ ตวั อย่างเด็กวัยเรียน มีข้อมูลน่าสนใจคือ เด็กวัยเรียนมีความสามารถดังกล่าว อยเู่ กณฑ์ปกติร้อยละ 51.9 และรอ้ ยละ 48.4 อยู่ในเกณฑ์ควรได้รบั การส่งเสริม อกี ทั้งเมื่อทาการวิเคราะห์ ปจั จัยท่ีสง่ ผลต่อความสามารถการคดิ เชิงบรหิ ารของสมองในกล่มุ ตัวอย่างเด็กวยั เรียนมีผลดังนี้ ปัจจยั ด้านภาวะโภชนาการปกติ ปจั จัยระดับการศกึ ษา (ประถมศึกษาตอนปลาย 4-6) ปัจจัยด้าน ความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) ปกติ ปัจจัยด้านความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ปกติ ปัจจัยด้านการไม่มีโรค ประจาตัว การทากิจกรรมวาดรูประบายสี กิจกรรมดนตรี การทากิจกรรมเล่นกับเพื่อน และการเข้านอน อยา่ งเพยี งพอ (10-12 ชม.) ส่งผลดีตอ่ ทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ส่วนภาวะน้าหนัก เกินหรือโรคอ้วน ปัจจัยดา้ นการมีโรคประจาตัว การทากิจกรรมเลน่ เกมคอมพวิ เตอร์/ไอแพด/แทบเลตเป็น ประจา จะสง่ ทางลบต่อตอ่ ความสามารถการคิดเชิงบรหิ ารของสมอง โปรแกรมการสง่ เสริมพฤติกรรมการลดความอว้ นในเดก็ วัยเรียนสามารถช่วยลดน้าหนักในเด็กท่ีมี นา้ หนักเกินมาตรฐานได้ สว่ นการสง่ เสรมิ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองผ่านการประยุกต์แนว ใหม่โดยออกแบบให้มีการฝึกฝนความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง 5 ด้านสาคัญได้แก่ ความจา

76 ขณะทางาน การยับย้ังพฤติกรรม การเปลี่ยนความคิดเม่ือเง่ือนไขเปล่ียนไป การควบคุมอารมณ์และ พฤติกรรมของตนเอง และการวางแผนและการจัดการอย่างเปน็ ระบบ สง่ ผลใหร้ ะดับความสามารถการคิด เชงิ บรหิ ารของสมองของกลุ่มเดก็ วัยเรยี นที่เขา้ ร่วมกิจกรรมมคี ่าดขี ึ้นอยา่ งเหน็ ได้ชัด ผลการวจิ ัยครงั้ นท้ี าให้ทราบถึงสถานการณ์ภาวะน้าหนักเกินหรือโรคอ้วนและความสามารถการ คิดเชิงบริหารของสมอง ตลอดจนทราบถึงปัจจัยท่ีส่งผลซ่ึงมีความเก่ียวเน่ืองกัน ซึ่งแนวทางการควบคุม ภาวะน้าหนกั เกินหรอื โรคอ้วนและการส่งเสรมิ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง ในการวิจัยครั้งน้ี เป็นเพียงตัวอย่างในการวิจัย โดยท่ีแนวทางการควบคุมภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน ตลอดจนการ ส่งเสริมความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมอง คณะวิจยั มีข้อเสนอดงั น้ี แนวทางการควบคุมภาวะน้าหนกั เกนิ หรอื โรคอ้วนในเด็กวัยเรยี น 1. การเปล่ียนแปลงแบบแผนการรับประทานอาหารเพ่ือลดโคเลสเตอรอล โดยลดอาหารท่ีมี คารโ์ บไฮเดรตไขมนั และนา้ ตาล รวมท้ังหลีกเลี่ยงอาหารทอด หรืออาหารผัดที่ใช้น้ามัน แกงหรือขนม ซ่ึง ใสก่ ะทิ เปลี่ยนมาใชว้ ธิ อี บ ตม้ นึ่ง ยา่ ง เพ่อื ลดการใชน้ ้ามนั ปรุงอาหารรับประทานอาหารม้ือหลักให้ครบ 3 มื้อ มีอาหารวา่ งท่ีไม่หวานและไม่มีไขมันมาก หากเป็นผลไม้ ควรเป็นผลไม้ท่ีไม่หวาน เช่น มะละกอ ฝร่ัง ชมพู่ เนน้ การรับประทานอาหารทม่ี กี ากใยใหเ้ พ่มิ ขึ้น เช่น ข้าวกล้องขนมปงั โฮลวตี จากข้าวสาลี หรือธัญพืช ชนดิ อ่นื ทไ่ี ม่ขัดสี ผัก ผลไม้ 2. ควรสง่ เสริมการมีกิจกรรมทางกาย ซ่ึงสามารถทาเป็นส่วนหน่ึงของงาน หรือระหว่างท่ีมีเวลา ว่างได้หลักในการออกกาลังกายจะต้องคานึงถึงระยะเวลา (Duration) ความแรง (Intensity) ความบ่อย (Frequency) รวมทง้ั มีการอบอุ่นร่างกาย (Warm up) และผ่อนคลาย (Cool down) การมีกิจกรรมทาง กายอย่างสม่าเสมอเป็นประจาทาให้ร่างกายมีเน้ือเย่ือกล้ามเน้ือและมีการใช้พลังงานพ้ืนฐานเพ่ิมขึ้น ส่ิง เหล่านีจ้ ะชว่ ยควบคมุ นา้ หนักตัวไมใ่ ห้เพ่ิมขึ้นในระยะยาว ซ่ึงตัวอย่างของกิจกรรมการออกกาลังกาย เช่น การเดนิ หรือการออกกาลงั กายแบบแอโรบิกิชนิดต่างๆ เชน่ ว่ายน้า เตน้ รา เป็นต้น ความสาเรจ็ ในการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมเพอ่ื ควบคุมน้าหนกั ข้นึ อยู่กบั ความร่วมมือของสมาชิกทุก คนในครอบครัวที่ตอ้ งยอมรับการจัดกิจกรรมร่วมกัน เช่น การเล่นกีฬา และการเปลี่ยนแปลงชนิดอาหาร และวิธีการเตรียมอาหาร โดยครอบครัวจะต้องมีส่วนร่วมตั้งแต่การตั้งเป้าหมายและการมีส่วนร่วมใน ภาคปฏิบัติอย่างจริงจัง นอกจากนี้ บุคลากรด้านสุขภาพต้องมีการสนับสนุนในการจัดรายการเฉพาะ สาหรับเด็กแต่ละคนโดยพิจารณาจากอายุ ความรุนแรงของน้าหนักที่มากเกินไป และโรคท่ีมีร่วมด้วย รวมทั้งคานึงถึงความประพฤติ สังคมและจิตใจของเด็กด้วยซึ่งส่ิงเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมการ รบั ประทานอาหารของเด็ก นอกจากน้ี ส่ิงท่ีสาคัญที่สุดคือ บุคลากรด้านาสุขภาพจาเป็นต้องให้คาแนะนา ในการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกาลังกายที่เด็กและครอบครัวสามารถ นาไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจาวัน เป็นผู้ให้คาปรึกษาและให้ความรู้กับบิดามารดาหรือผู้เล้ียงดูเด็ก รวมท้งั ตอ้ งมกี ารประเมินผลการปรบั พฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง เพอ่ื นาข้อมูลมาวางแผนให้ความช่วยเหลือใน การปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรมดงั กล่าวได้อยา่ งเหมาะสม องค์การอนามัยโลก ไดเ้ สนอแนวทางในการปอ้ งกันภาวะนา้ หนกั เกินในเด็กว่าจาเป็นต้องให้ความ ตระหนกั ไมใ่ ชเ่ พยี งแคก่ ารปอ้ งกันภาวะน้าหนกั เกนิ ในบุคคลที่ยังไม่มีภาวะน้าหนักเกินเท่านั้น แต่เป็นการ ป้องกันในวงกว้างในเด็กที่ยังไม่มีภาวะน้าหนักเกินและในกลุ่มเส่ียง เพ่ือลดอุบัติการณ์รายใหม่ และการ

77 ป้องกันในกลุ่มที่มีภาวะน้าหนักเกินเพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ดังน้ันการป้องกันและ จดั การกบั ภาวะน้าหนกั เกินควรมกี ารวางแผนระยะยาวและกระทาอย่างต่อเน่ือง และใช้ความร่วมมือจาก บุคลากรที่เกยี่ วขอ้ ง เช่น ผูป้ กครอง ครู เปน็ ต้น ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ การป้องกนั ระดับ 1: การป้องกนั ในวงกว้าง (Universal precaution) การปอ้ งกันในระดับนมี้ ีเปา้ หมายลดการเกิดภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วนคือ ลดจานวนการเกิด โรคอ้วนรายใหม่ รวมท้ังเพิ่มความตระหนักของประชาชนในเรื่องโภชนาการ และการออกกาลังกาย กล ยุทธ์ท่ีใช้ในการป้องกันในระดับนี้คือ การให้ข้อมูล และส่งเสริมการปรับเปล่ียนพฤติกรรมการบริโภค อาหารและรปู แบบการใชช้ วี ติ ประจาวนั รวมท้งั การปรบั เปลย่ี นสงิ่ แวดลอ้ ม เช่น 1.1 กาหนดนโยบายสง่ เสรมิ การรบั ประทานอาหารสุขภาพ และการออกกาลงั กาย 1.2 เพ่มิ การประชาสมั พนั ธเ์ ก่ียวกบั อาหารสุขภาพและการออกกาลังกาย 1.3 ควบคมุ และตรวจสอบการโฆษณาอาหารและเคร่อื งด่มื ในรายการอาหารเด็ก 1.4 ห้ามการขายเคร่ืองด่มื น้าหวาน น้าอัดลมและฟาสตฟ์ ้ดู ในโรงเรยี น 1.5 ส่งเสริมใหเ้ ดก็ รบั ประทานผลไม้และผักสดเป็นอาหารวา่ งแทนขนมขบเคี้ยว 1.6 กาหนดใหโ้ รงเรียนมีสถานท่ีสาหรับเล่นกีฬาและออกกาลังกาย การป้องกันระดบั 2: การป้องกันในกลุ่มเสยี่ ง (Selective prevention) การปอ้ งกนั ในระดบั นีม้ เี ปา้ หมาย เพอ่ื ลดการเกิดโรคอว้ นในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ในบุคคลที่มีภาวะ น้าหนกั เกนิ หรอื โรคอว้ น บคุ คลทม่ี ีประวตั ิครอบครัวเป็นโรคอ้วน หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมสุขภาพไม่ดี ซ่ึง ลกั ษณะของเด็กทจี่ ดั เปน็ กลุ่มเส่ียง เชน่ น้าหนกั แรกคลอดนอ้ ย มารดาเป็นเบาหวานขณะต้ังครรภ์ สาหรับ กลยุทธ์ที่ใช้ในการป้องกันในระดับนี้คือ การส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเน้นในระดับ โรงพยาบาล (Hospital-based) ครอบครัว (Family-based) โรงเรียน (School-based) และชุมชน (Community-based) เชน่ ส่งเสริมใหม้ ารดาเลีย้ งบุตรด้วยนมตนเองอย่างน้อย 6 เดือน หรือการรณรงค์ ใหโ้ รงเรยี นปลอดน้าอดั ลม เปน็ ตน้ การปอ้ งกนั ระดบั 3: ในกลมุ่ ท่เี ป็นโรคอ้วน หรอื มีภาวะน้าหนกั เกิน (Targeted prevention) การป้องกันในระดับน้มี ีเป้าหมายเพอื่ ลดภาวะน้าหนกั เกนิ หรือโรคอ้วน ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิด โรคสมั พันธ์กบั ภาวะนา้ หนักเกนิ และโรคอ้วน เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น กลยทุ ธ์ที่ใช้ในการป้องกันในระดับน้ีคือ การส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเน้นในระดับ โรงพยาบาล (Hospital-based) และครอบครัว (Family-based) เช่น ผปู้ กครองควรเป็นแบบอย่างที่ดีใน การรับประทานอาหารและการออกกาลงั กายที่เหมาะสมกับเด็ก มีการชักชวนให้เด็กออกกาลังกาย จากัด การดูโทรทัศนแ์ ละการเล่นเกมของเดก็ ไมใ่ หเ้ กนิ 2 ชว่ั โมงต่อวัน เป็นต้น ดังนั้นการสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นในเด็ก ผู้ปกครอง ครู ผู้ผลิต ตลอดจนบุคคลอื่นที่ เก่ยี วขอ้ ง นับเป็นเร่ืองจาเป็นและมีส่วนสาคัญในการให้ความร่วมมือเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภ นอกจากน้ีการปรบั เปล่ยี นทศั นคตแิ ละคา่ นยิ มเรอ่ื งเดก็ อ้วนเป็นเด็กสมบูรณ์ น่ารัก และแสดงถึงฐานะของ ครอบครัว ก็เป็นเร่ืองที่ต้องกระทาอย่างเร่งด่วนภาวะน้าหนักเกินในเด็กเป็นปัญหาสุขภาพท่ีมีความ สลับซับซ้อน การป้องกันและการจัดการที่เน้นเฉพาะบุคคลเพียงอย่างเดียวมักไม่ประสบผลสาเร็จ จึง

78 จาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายหลายองค์กร ต้ังแต่หน่วยพ้ืนฐานของชีวิตคือ ครอบครัวโรงเรยี น ชมุ ชน สงั คม รวมท้ังองคก์ รของรัฐในการวางนโยบายเพื่อผลักดันและขับเคล่ือนให้เกิด มาตรการในการป้องกนั และรักษาอยา่ งเปน็ รูปธรรม ระดมความจากทุกภาค องค์กรระดับชาติ ทั้งรัฐบาล ผู้ผลิต ผู้ประกอบการค้า ส่ือ รวมทั้งผู้บริโภคซ่ึงได้แก่เด็กและครอบครัวให้มีส่วนร่วมในการป้องกันและ จดั การกับปญั หาดงั กล่าว สร้างความตระหนกั ในสงั คมไทยเพื่อผลักดันให้เกิดพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์แบบ ยง่ั ยนื แนวทางการสง่ เสรมิ ความสามารถการคิดเชงิ บรหิ ารของสมองในเด็กวยั เรยี น การส่งเสรมิ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองในเด็กวัยเรียนนั้นถือได้ว่ามีความสาคัญไม่ ย่ิงหย่อนไปกวา่ การจัดการภาวะน้าหนกั เกนิ หรอื โรคอว้ นเพราะวา่ เรือ่ งทัง้ สองมีความเกี่ยวข้องกัน น่ันเป็น เพราะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมอง (Brain executive function: EF) เป็นทักษะจาเพาะท่ี เกิดจากการทางานของสมองส่วนหน้า (Frontal lobe) ท่ีทาหน้าที่เก่ียวข้องกับการควบคุม จัดระเบียบ ตรวจสอบความคิด และการกระทาของบุคคล ซึ่งรวมไปถงึ ความรู้ความเข้าใจ พฤติกรรม และอารมณ์ของ บุคคลอื่นดว้ ย brain executive functions ท่ีเริ่มพฒั นาตั้งแต่ขวบปีแรกจนถึง 3 ปี ประกอบไปด้วยด้วย ทักษะที่สาคัญ 3 ด้าน คือ 1) ทักษะความจาเพื่อนามาใช้งาน (Working memory) คือ ความสามารถในการเก็บข้อมูล และ จดั การกับข้อมลู เพอ่ื นามาใชใ้ นระยะเวลาอนั ส้ัน 2) ทักษะความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive or mental flexibility) คือ ความสามารถใน การคงความสนใจ และเปล่ียนความสนใจให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ท่ีแตกต่างกันและมีการ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 3) ทักษะการยับยั้งชั่งใจและการควบคุมตนเอง (Inhibitory control or self-control) คือ ความสามารถในการควบคุมความคิด และการกระทาของตนเองต่อการตอบสนองต่อส่ิงเร้าท่ีล่อใจ และ ดึงดดู ความสนใจ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองมิใช่ทักษะท่ีมีติดตัวมาแต่กาเนิด แต่สามารถฝึกฝนให้ พัฒนาข้ึนได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น จากงานวิจัยพบว่าในช่วงอายุ 3-5 ปีเป็น “หนา้ ต่างแหง่ โอกาส” น่ันคอื เป็นช่วงท่ที ักษะเหลา่ นสี้ ามารถพัฒนาข้ึนอย่างรวดเร็วท่ีสุด และจะส่งผลต่อ ความสาเร็จในการเรยี น การทางาน และการดารงชีวิต ดงั น้ันการเสรมิ สร้างโอกาสที่เอ้ือต่อการพัฒนาของ ทักษะเหล่านี้ จงึ มคี วามสาคัญต่อตัวเด็กเองและการเข้าสังคม องค์ประกอบที่สาคัญ 3 ประการท่ีส่งเสริม ใหท้ ักษะการบริหารจดั การเกิดการพัฒนาอย่างเตม็ ศักยภาพ ได้แก่ 1) การมีความสัมพนั ธท์ ี่ดี พื้นฐานความสัมพันธ์ท่ีดีเริ่มจากบุคคลใกล้ชิด เช่น พ่อแม่หรือผู้เล้ียงดู ไปจนถึงเพื่อน ครู และบุคคลในสงั คมคนอนื่ ๆ เด็กจะพัฒนาความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองได้ดี โดยมพี ่อแม่เป็นต้นแบบ พ่อแม่ควรมีส่วนร่วมและสนับสนุนในกิจกรรมที่เด็กทา สนับสนุนความพยายาม ของเดก็ รวมถงึ สรา้ งความมน่ั ใจให้แกเ่ ด็ก ชว่ ยเหลือเด็กใหค้ ่อยๆ พ่งึ พาตนเองได้และช่วยป้องกันอันตราย จากภายนอกที่จะขัดขวางการพฒั นาความสามารถของเด็ก 2) ส่งเสริมกิจกรรมท่ีเด็กได้มีส่วนร่วม เด็กเล็กต้องได้รับโอกาสท่ีจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ี ส่งเสริมการพัฒนาท้ังทางรา่ งกาย อารมณ์ สังคม และสตปิ ัญญาควบค่กู ัน โดยหลกั การสาคัญอยู่ท่ีกิจกรรม

79 เหล่านั้น ตอ้ งไม่เพ่มิ ความเครียดใหก้ ับเดก็ มากจนเกินไป แต่ในทางกลับกันต้องช่วยให้เด็กมีความสามารถ ในการจัดการกบั ความเครียดท่ีอาจเกิดขึน้ ได้ ควรสง่ เสริมกจิ กรรมท่ีมีการเคล่ือนไหวทางกาย และส่งเสริม การมีปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม และกิจกรรมนน้ั ๆควรมกี ารเพ่ิมความท้าทายขึ้นทลี ะนอ้ ยตามลาดับ 3) ส่ิงแวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่เด็กจะพัฒนาทักษะต่างๆได้ดี ควรจะมีพ้ืนท่ีที่สามารถทากิจกรรม แล้วเกิดความคิดสร้างสรรค์ การสารวจ และการออกกาลังกาย โดยเน้นท่ีความปลอดภัย และความ เหมาะสมกบั เศรษฐสถานะทางสงั คมของเด็ก กจิ กรรมตามวัยเพอ่ื ส่งเสรมิ ทกั ษะการบรหิ ารจัดการและการควบคมุ ตนเอง 1. สาหรบั เดก็ อายุ 6 – 18 เดือน หวั ใจสาคัญของกิจกรรมสาหรับเด็กวยั นค้ี อื การมีปฏิสมั พันธ์ระหว่างเดก็ และผู้เลย้ี งดู โดยการ เลอื กกจิ กรรมให้เนน้ ที่กิจกรรมทีเ่ ด็กสนใจ และสนุกสนานไปพร้อมๆกับผู้เล้ยี งดู โดยระยะเวลาเลน่ ควรให้ เด็กเป็นผู้กาหนดเอง คอื หากเด็กหมดความสนใจ ควรเปลี่ยนไปทากจิ กรรมอน่ื แทน ตวั อยา่ งกิจกรรม 1.1 การเล่นจะ๊ เอ๋ ตบแผะ หรือรอ้ งเพลงท่มี ีเสียงสัมผัสคลอ้ งจอง การเลน่ ซอ่ นของ อาจเร่มิ ต้นที่ ซอ่ นของใตผ้ า้ 1 ผนื แลว้ เพิม่ ความซับซอ้ นขึน้ เช่น ซอ่ นของไวใ้ นถว้ ย 1 ใน 3 ใบท่ีควา่ ปดิ อยู่ และหมุน ถว้ ยทัง้ 3 สลับท่ไี ปมา แล้วให้เด็กบอกวา่ ของทซี่ อ่ นน้นั อยู่ในถว้ ยใบใด เป็นต้น 1.2 เล่นเลียนแบบ เช่น เลียนแบบสีหน้าทา่ ทางของผูเ้ ล้ียงดู หรอื เลยี นแบบวิธกี ารเล่นของเลน่ เช่น วางกอ้ นไม้ 1 กอ้ นไว้บนก้อนไมท้ ่ีวางอยู่ แกล้งทาล้ม แล้วให้เด็กตอ่ ตาม ในเดก็ ที่โตข้ึน เดก็ จะชอบ เลยี นแบบกิจกรรมในบ้านของผใู้ หญ่ เชน่ เก็บของเล่น ปดั ฝ่นุ หรอื หยบิ ไมก้ วาดแล้วทาท่ากวาดตาม เป็น ตน้ 1.3 การเล่นนวิ้ มอื ประกอบเพลงท่มี ีจังหวะสนกุ สนานแลว้ ใหเ้ ด็กทาตาม เช่น รอ้ งเพลงนว้ิ โป้งอยู่ ไหน 1.4 การพูดคุยกบั เด็ก จัดวา่ เปน็ การส่งเสริมปฏิสัมพนั ธ์ทด่ี อี ยา่ งหนงึ่ โดยในทารกอาจเริ่มจากการ บอกชือ่ ส่งิ ของที่เด็กกาลังสนใจ เมื่อเดก็ โตขึ้นอาจใชก้ ารชีร้ ว่ มกบั พูดคุยในสิ่งท่เี ด็กกาลังสนใจ 2. สาหรบั เด็กอายุ 18 เดอื น – 3 ปี ในวยั นี้ “ภาษา” เปน็ ตวั ช่วยสาคญั ในการฝึกฝน ตัวอย่างกจิ กรรม 2.1 การเล่นท่ีต้องใช้การเคลอ่ื นไหว เช่น การวิง่ กระโดด โยนหรือเตะบอล และการเต้น หากการ เลน่ น้นั มีกฎกตกิ างา่ ยๆ เด็กจะได้ฝึกฝนท้ังความจาระยะสั้น (ในการจดจากฎการเล่น) และมีความยับย้ังชั่ง ใจในการเล่นให้เป็นไปตามกติกาที่ตั้งไว้ (รอคอยคิวของตน) รวมถึงการจัดกิจกรรมท่ีมีการเปล่ียนวิธีการ เล่นอยูเ่ ร่ือยๆ จะสามารถชว่ ยฝึกความยดื หยุน่ ทางความคดิ อกี ด้วย 2.2 การเลน่ เกมส์จับคู่ เช่น จับคสู่ ี รูปทรง เงา หรือขนาด 2.3 การเลา่ นิทาน นทิ านสามารถใช้เป็นสง่ิ ดีงดดู ให้เด็กมีความสนใจร่วมกับผู้เลี้ยงดู และให้ความ เพลดิ เพลนิ สนุกสนาน อาจมีการต่อยอดความคิดเพ่ิมเติมจากนิทาน เช่น การให้เด็กเดาส่ิงที่จะเกิดต่อไป หรือเล่าเรื่องในแบบของเด็กเอง อาจมีการพูดคุยเร่ืองอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในเร่ือง เพ่ือให้เด็ก เรียนรเู้ รอ่ื งอารมณ์ควบคูไ่ ปดว้ ย 2.34 การเล่นสมมติ (Pretend play) และการเล่นเชิงจินตนาการ (Imaginary play) เช่น เล่น ทากบั ขา้ วด้วยอุปกรณค์ รวั ของเล่น เป็นตน้

80 3. สาหรับเดก็ อายุ 3 – 5 ปี ช่วงวัยอนุบาล เป็นช่วงเวลาท่ีพัฒนาทักษะความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองมากที่สุด ดงั นนั้ ส่งิ สาคญั คือการปรับกิจกรรมให้เหมาะสมกบั ความสามารถของเด็กอยู่เสมอ โดยมีเป้าหมายคือ เด็ก สามารถควบคุมตนเองได้ ดังนั้นเมื่อสังเกตว่าเด็กพร้อม คุณครูหรือผู้ปกครองควรค่อยๆ ลดการ ควบคุมดแู ลและช่วยเหลอื ลง ตัวอยา่ งกิจกรรม 3.1 ส่งเสริมการเล่นเชิงจินตนาการ (Imaginary play) ของเด็กให้มีความซับซ้อนขึ้น โดยให้ โอกาสเด็กได้เรียนรู้สถานการณ์รอบตัว ผ่านการอ่านหนังสือ หรือการไปเที่ยวตามที่ต่างๆ เพ่ิมความ หลากหลายของของเล่น ให้โอกาสเด็กได้สร้างสรรของเล่นด้วยตนเอง ส่งเสริมให้เด็กได้มีโอกาสวาง แผนการเล่นตามจนิ ตนาการดว้ ยตนเอง 3.2 การอา่ นหนงั สอื นทิ าน สามารถทาใหซ้ บั ซ้อนขน้ึ ด้วยการสง่ เสรมิ ให้เด็กเป็นผู้เลา่ นทิ านในแบบ ของเด็กเอง โดยนอกจากเด็กจะอ่านนิทานกับผู้เล้ียงดูแล้ว สามารถสร้างกิจกรรมการเล่านิทานกลุ่มหรือ จดั ให้มกี ารแสดงบทบาทตามเนื้อเร่อื ง ซ่ึงเป็นการเปดิ โอกาสให้เดก็ ได้มีปฏสิ ัมพันธ์กับผอู้ น่ื อีกด้วย 3.3 เกมสก์ ารเคลอ่ื นไหวโดยใช้เพลงเป็นสือ่ ในการเล่น เพือ่ ใหเ้ กดิ ความสนุกสนาน การเคลื่อนไหว เร็วและชา้ สลับกัน ช่วยใหเ้ ด็กได้ฝกึ การควบคมุ ตนเองใหท้ าตามคาส่ัง 3.4 เกมส์ท่ีต้องใช้ความเงียบหรือสมาธิ เช่น เกมส์จับคู่/จัดกลุ่ม หรือการต่อจิ๊กซอว์ที่เพิ่มความ ยากข้นึ ตามระดบั ความสามารถของเดก็ 4. สาหรับเดก็ อายุ 5 – 12 ปี เด็กวัยนี้จะสามารถเล่นเกมส์ท่ีมีกฎกติกา หรือเง่ือนไขที่ซับซ้อนมากข้ึน ความท้าทายเป็นส่ิงที่ สาคญั การเพ่ิมความท้าทายทีละเล็กทีละน้อย ไม่ง่ายจนไม่น่าสนใจ และไม่ยากจนทาไม่ได้ จะเป็นบันได สาคญั ในการสร้างนสิ ัยการจดั การกับปญั หาไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตัวอย่างกจิ กรรม 4.1 การเล่นเกมส์ไพ่และเกมส์กระดาน ส่งเสริมทักษะด้านการบริหารจัดการหลายด้าน ทั้งการ การควบคมุ ตนเองใหเ้ ล่นตามกฎ การปรบั เปล่ียนพลิกแพลงตามสถานการณ์ การใช้ความจาระยะส้ันและ การสงั เกต การใช้ความว่องไว ไหวพริบ และการวางแผนการเลน่ เกมส์กระดานท่เี หมาะสาหรบั เด็กโต เช่น โกะ หมากรกุ เป็นต้น 4.2 การเล่นหรือทากิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหว ได้แก่ การเล่นกีฬาทุกชนิด ซ่ึงต้องอาศัยความ สนใจจดจ่อ การตัดสินใจ และการควบคุมร่างกายให้เคลื่อนไหวช้าหรือเร็วตามแต่ละชนิดของกีฬา นอกจากนก้ี จิ กรรมที่ใช้สมาธิควบคู่ไปกับการเคล่ือนไหวร่างกาย เช่น โยคะ เทควันโด เป็นต้น ก็สามารถ สง่ เสริมการควบคมุ ตนเองได้ 4.3 เกมส์การเคลือ่ นไหว เชน่ การรอ้ งเพลงเป็นหมคู่ ณะ โดยมกี ารตบมอื ทาทา่ ทางที่ซับซ้อนมาก ขน้ึ ทตี่ ้องอาศยั ความจา การฝกึ เลน่ เครือ่ งดนตรี ฝึกการเต้น ฝกึ ร้องเพลง เปน็ ตน้ 4.4 เกมส์ที่ส่งเสริมสมาธิ การใช้เหตุผล และการวางแผน เช่น เกมส์เขาวงกต ปริศนาอักษรไขว้ Sudoku เกมส์ 20 คาถาม และเกมสร์ บู คิ เปน็ ต้น 5. สาหรับเดก็ วัยรุ่น วัยน้ีเป็นวัยท่ีความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองยังพัฒนาไม่เท่าผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่มัก คาดหวังว่าเดก็ จะสามารถจดั การงานตา่ งๆ ไดม้ ปี ระสิทธิภาพเทยี บเท่าผใู้ หญ่ การช่วยฝกึ ฝนทาไดโ้ ดย

81 5.1 ช่วยเหลือให้มีการต้ังเป้าหมายท้ังระยะส้ันและระยะยาว รวมถึงการวางแผนท่ีจะไปถึง เป้าหมายโดยผ่านข้ันตอนย่อยๆ และมีการตรวจสอบเป็นระยะ ว่าจะสามารถทาได้ตามแผนท่ีวางไว้ได้ หรอื ไม่ 5.2 วัยรุ่นควรได้รับการส่งเสริมให้มีการตรวจสอบตนเอง (Self-monitoring) อยู่เป็นระยะ โดย การฝึกพูดกับตนเองในเชิงบวก (Positive self-talk) ซ่ึงเป็นการใช้สติ ดึงความคิดขึ้นมาสู่การกระทา แนะนาให้วัยรุ่นเขียนเร่ืองราวของตนเองออกมาในแต่ละวัน เพ่ือเป็นการทบทวนตัวเองอย่างสม่าเสมอ และแนะนาให้วยั ร่นุ แลกเปล่ยี นการเรียนรกู้ บั ผู้อื่น เป็นตน้ 5.3 เม่ือทางานหรือกิจกรรมใดๆเสร็จ วัยรุ่นควรมีโอกาสที่จะพิจารณาความสาเร็จและ ข้อผิดพลาดในการทางานน้ันๆ เพ่ือนาส่วนท่ีดีมาปรับใช้กับการทางานอื่นๆ ในอนาคตและเรียนรู้ที่จะ พฒั นาวธิ กี ารจัดการเดมิ ท่เี คยเกดิ ความผดิ พลาดเพื่อการทางานใหมใ่ หม้ ศี กั ยภาพดียิ่งข้ึน ความสามารถการคดิ เชงิ บรหิ ารของสมองเป็นปัจจัยสาคัญท่ีช่วยส่งเสริมให้ประสบความสาเร็จใน การดาเนินชีวิต กระบวนการพัฒนาทักษะเหล่านี้เริ่มได้ตั้งแต่วัยทารกจนกระทั่งวัยผู้ใหญ่ หากมีส่ิงใด ขัดขวางกระบวนการพัฒนา ไมว่ ่าจะความพร้อมด้านสขุ ภาพรา่ งกาย โรคและการเจ็บป่วย การขาดพื้นฐาน ความสัมพันธ์ที่ดี การขาดโอกาสในการทากิจกรรมต่างๆ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก จะส่งผลให้การ พัฒนาของเด็กไม่เป็นไปตามศักยภาพท่ีเด็กมี ดังนั้นจึงควรเล็งเห็นความสาคัญในการพัฒนาทักษะ ความสามารถการคิดเชิงบริหารของสมองให้เตม็ ศักยภาพตามช่วงวยั เพ่ือใหเ้ ด็กประสบความสาเร็จในการ ดาเนินงานและชีวิตในอนาคต

82 บรรณาณกุ รม 1. Caballero B. The global epidemic of obesity: an overview. Epidemiol Rev. 2007;29:1-5. 2. Harsha DW, Bray GA. Body composition and childhood obesity. Endocrinol Metab Clin North Am. 1996 Dec;25(4):871-85. 3. Wellens RI, Roche AF, Khamis HJ, Jackson AS, Pollock ML, Siervogel RM. Relationships between the Body Mass Index and body composition. Obes Res. 1996 Jan;4(1):35-44. 4. Power C, Lake JK, Cole TJ. Body mass index and height from childhood to adulthood in the 1958 British born cohort. Am J Clin Nutr. 1997 Nov;66(5):1094-101. 5. Karnik S, Kanekar A. Childhood obesity: a global public health crisis. Int J Prev Med. 2012 Jan;3(1):1-7. 6. Best JR, Miller PH, Naglieri JA. Relations between Executive Function and Academic Achievement from Ages 5 to 17 in a Large, Representative National Sample. Learn Individ Differ. 2011 Aug;21(4):327-36. 7. Pizzi MA, Vroman K. Childhood obesity: effects on children's participation, mental health, and psychosocial development. Occup Ther Health Care. 2013 Apr;27(2):99-112. 8. Mangone A, Yates KF, Sweat V, Joseph A, Convit A. Cognitive functions among predominantly minority urban adolescents with metabolic syndrome. Appl Neuropsychol Child. 2018 Apr-Jun;7(2):157-63. 9. Zelazo PD, Muller U, Frye D, Marcovitch S, Argitis G, Boseovski J, et al. The development of executive function in early childhood. Monogr Soc Res Child Dev. 2003;68(3):vii-137. 10. Yuan P, Raz N. Prefrontal cortex and executive functions in healthy adults: a meta-analysis of structural neuroimaging studies. Neurosci Biobehav Rev. 2014 May;42:180-92. 11. Henderson RC. Tibia vara: a complication of adolescent obesity. J Pediatr. 1992 Sep;121(3):482-6. 12. Chu DT, Minh Nguyet NT, Dinh TC, Thai Lien NV, Nguyen KH, Nhu Ngoc VT, et al. An update on physical health and economic consequences of overweight and obesity. Diabetes Metab Syndr. 2018 May 5. 13. Al-Hamad D, Raman V. Metabolic syndrome in children and adolescents. Transl Pediatr. 2017 Oct;6(4):397-407. 14. Miller AL, Lee HJ, Lumeng JC. Obesity-associated biomarkers and executive function in children. Pediatr Res. 2015 Jan;77(1-2):143-7.

83 15. Nguyen JC, Killcross AS, Jenkins TA. Obesity and cognitive decline: role of inflammation and vascular changes. Front Neurosci. 2014;8:375. 16. Prickett C, Brennan L, Stolwyk R. Examining the relationship between obesity and cognitive function: a systematic literature review. Obes Res Clin Pract. 2015 Mar- Apr;9(2):93-113. 17. Gunstad J, Lhotsky A, Wendell CR, Ferrucci L, Zonderman AB. Longitudinal examination of obesity and cognitive function: results from the Baltimore longitudinal study of aging. Neuroepidemiology. 2010;34(4):222-9. 18. Sabia S, Kivimaki M, Shipley MJ, Marmot MG, Singh-Manoux A. Body mass index over the adult life course and cognition in late midlife: the Whitehall II Cohort Study. Am J Clin Nutr. 2009 Feb;89(2):601-7. 19. Aslan AK, Starr JM, Pattie A, Deary I. Cognitive consequences of overweight and obesity in the ninth decade of life? Age Ageing. 2015 Jan;44(1):59-65. 20. Wang C, Chan JS, Ren L, Yan JH. Obesity Reduces Cognitive and Motor Functions across the Lifespan. Neural Plast. 2016;2016:2473081. 21. Martin A, Saunders DH, Shenkin SD, Sproule J. Lifestyle intervention for improving school achievement in overweight or obese children and adolescents. Cochrane Database Syst Rev. 2014 Mar 14(3):CD009728. 22. Patriarca L, Magerowski G, Alonso-Alonso M. Functional neuroimaging in obesity. Curr Opin Endocrinol Diabetes Obes. 2017 Jun;24(3):260-5. 23. Blundell J. Behaviour, energy balance, obesity and capitalism. Eur J Clin Nutr. 2018 Sep;72(9):1305-9. 24. Virdis A, Ghiadoni L, Masi S, Versari D, Daghini E, Giannarelli C, et al. Obesity in the childhood: a link to adult hypertension. Curr Pharm Des. 2009;15(10):1063-71. 25. Lund MT, Holm JC, Jespersen T, Holstein-Rathlou NH. [Cardiovascular changes in childhood obesity]. Ugeskr Laeger. 2017 Nov 6;179(45). 26. Wu N, Chen Y, Yang J, Li F. Childhood Obesity and Academic Performance: The Role of Working Memory. Front Psychol. 2017;8:611. 27. Halkjaer J, Holst C, Sorensen TI. Intelligence test score and educational level in relation to BMI changes and obesity. Obes Res. 2003 Oct;11(10):1238-45. 28. Belsky DW, Caspi A, Goldman-Mellor S, Meier MH, Ramrakha S, Poulton R, et al. Is obesity associated with a decline in intelligence quotient during the first half of the life course? Am J Epidemiol. 2013 Nov 1;178(9):1461-8.

84 29. Lawlor DA, Clark H, Davey Smith G, Leon DA. Childhood intelligence, educational attainment and adult body mass index: findings from a prospective cohort and within sibling-pairs analysis. Int J Obes (Lond). 2006 Dec;30(12):1758-65. 30. Puder JJ, Munsch S. Psychological correlates of childhood obesity. Int J Obes (Lond). 2010 Dec;34 Suppl 2:S37-43. 31. Jancke L. The plastic human brain. Restor Neurol Neurosci. 2009;27(5):521-38. 32. Dekkers IA, Jansen PR, Lamb HJ. Obesity, Brain Volume, and White Matter Microstructure at MRI: A Cross-sectional UK Biobank Study. Radiology. 2019 Jul;292(1):270. 33. Taki Y, Kinomura S, Sato K, Inoue K, Goto R, Okada K, et al. Relationship between body mass index and gray matter volume in 1,428 healthy individuals. Obesity (Silver Spring). 2008 Jan;16(1):119-24. 34. Volkow ND, Wang GJ, Telang F, Fowler JS, Goldstein RZ, Alia-Klein N, et al. Inverse association between BMI and prefrontal metabolic activity in healthy adults. Obesity (Silver Spring). 2009 Jan;17(1):60-5. 35. Kivipelto M, Ngandu T, Fratiglioni L, Viitanen M, Kareholt I, Winblad B, et al. Obesity and vascular risk factors at midlife and the risk of dementia and Alzheimer disease. Arch Neurol. 2005 Oct;62(10):1556-60. 36. Wu D, Dawson NA, Levings MK. Obesity-Associated Adipose Tissue Inflammation and Transplantation. Am J Transplant. 2016 Mar;16(3):743-50. 37. Turkoglu S, Cetin FH. The relationship between chronotype and obesity in children and adolescent with attention deficit hyperactivity disorder. Chronobiol Int. 2019 Aug;36(8):1138-47. 38. Cortese S, Angriman M, Comencini E, Vincenzi B, Maffeis C. Association between inflammatory cytokines and ADHD symptoms in children and adolescents with obesity: A pilot study. Psychiatry Res. 2019 Aug;278:7-11. 39. Puhl RM, King KM. Weight discrimination and bullying. Best Pract Res Clin Endocrinol Metab. 2013 Apr;27(2):117-27. 40. van Geel M, Vedder P, Tanilon J. Are overweight and obese youths more often bullied by their peers? A meta-analysis on the correlation between weight status and bullying. Int J Obes (Lond). 2014 Oct;38(10):1263-7. 41. Ajzen I. The theory of planned behaviour: reactions and reflections. Psychol Health. 2011 Sep;26(9):1113-27.

85 ผรู้ ับผิดชอบประกอบดว้ ย 1.1 หัวหน้าโครงการ อาจารย์ ดร.ศรัล ขุนวทิ ยา (Medical Technology, Ph.D.) สถาบนั แห่งชาตเิ พอ่ื การพัฒนาเดก็ และครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล หมายเลขบัตรประจาตวั ประชาชน 3-5399-00066-90-1 โทร 02-441-0602-8 ตอ่ 1416 โทรสาร 02-441-0167 E-mail: [email protected] 1.2 ผู้ร่วมงานวิจัย อาจารย์ ดร.นชุ นาฎ รกั ษี (Neuroscience, Ph.D.) สถาบันแหง่ ชาติเพอื่ การพฒั นาเด็กและครอบครวั มหาวิทยาลยั มหดิ ล หมายเลขบตั รประจาตวั ประชาชน 3-5507-00182-90-0 โทร 02-441-0602-8 ต่อ 1416 โทรสาร 02-441-0167 E-mail: [email protected] นาง อรพนิ ท์ เลศิ อวสั ดาตระกูล (Special Education, M.S.) สถาบนั แหง่ ชาติเพอ่ื การพัฒนาเดก็ และครอบครวั มหาวิทยาลัยมหดิ ล หมายเลขบตั รประจาตวั ประชาชน 3-1008-00156-43-2 โทร 02-441-0602-8 ตอ่ 1416 โทรสาร 02-441-0167 E-mail: [email protected] 1.3 ที่ปรกึ ษาโครงการวิจยั รองศาสตราจารย์ ดร.นวลจนั ทร์ จุฑาภักดกี ุล (Neuroscience, Ph.D.) สถาบนั ชวี วทิ ยาศาสตรโ์ มเลกุล มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล หมายเลขบัตรประจาตวั ประชาชน 3-1009-00006-51-3 โทร 02-441-9003-7 ตอ่ 1203 โทรสาร 02-441-1013 E-mail address: [email protected] รองศาสตราจารย์ ดร. ชนินทร์ นันทเสนามาตร์ (Medical Technology, Ph.D.) หัวหน้าศูนย์เหมืองข้อมูลและชีวการแพทย์สารสนเทศ คณะเทคนคิ การแพทย์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล หมายเลขบตั รประจาตัวประชาชน 3-1008-00379-92-0 โทร 02-441 4371 ตอ่ 2719 โทรสาร 02-441-4380 E-mail: [email protected]