ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ตามวัฏจกั รการเรียนรแู้ บบ 7 E ชุดที่ โครงงาน วิทยาศาสตร์
ใบความรู้หน่วยท่ี 2 โครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ (Scientific Project) หมายถงึ กิจกรรมที่ศึกษาเก่ียวกับวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ทผ่ี ู้เรียนศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเองตามความถนัดและความสนใจ โดยนาเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษา เพ่ือแก้ปัญหาภายใต้การแนะนา ของครูหรือผู้เช่ียวชาญ โครงงานวิทยาศาสตร์จัดเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ๆ ของผู้เรียน สามารถทาเป็น รายบุคคลหรอื ทาเปน็ กล่มุ โดยสามารถทาในเวลาเรยี น นอกเวลาเรียน หรือจดั เป็นกิจกรรมเสรมิ หลกั สตู รได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้กาหนดจุดมุ่งหมายของการทา โครงงานวิทยาศาสตรไ์ ว้ดังน้ี 1. เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รยี นใช้ความร้แู ละประสบการณ์เลือกทาโครงงานตามท่ตี นสนใจ 2. เพ่ือใหผ้ เู้ รียนได้ศกึ ษาคน้ คว้าหาความรู้ หาขอ้ มูลจากแหล่งความรตู้ ่าง ๆ ได้ดว้ ยตนเอง 3. เพอ่ื ให้ผเู้ รียนไดแ้ สดงออกซึ่งความคิดรเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ 4. เพ่ือให้ผู้เรียนมีจิตวิทยาศาสตร์ เห็นคุณค่าของการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการ แก้ปญั หา 5. เพื่อให้ผู้เรียนมองเหน็ แนวทาง ในการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีในแต่ละทอ้ งถิน่ ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้แบ่งโครงงานวิทยาศาสตร์ ออกเปน็ 4 ประเภท คือ 1. โครงงานประเภทสารวจ เป็นโครงงานท่ีเป็นการสารวจขอ้ มูลทม่ี อี ยู่ในธรรมชาตติ ามความสนใจของผู้เรียน แล้วนามาจาแนก ออกเป็นหมวดหมู่ และจดั ทาให้เป็นระบบระเบียบ นาเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ลักษณะโครงงานประเภทนี้ไม่มี การควบคมุ ตัวแปรต่าง ๆ เป็นโครงงานที่ง่าย เหมาะสาหรับการเร่ิมต้นในการทาโครงงานของผู้เรียน ในการ สารวจและรวบรวมข้อมูลอาจทาไดห้ ลายรปู แบบ ดังนี้ 1) เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ภาคสนาม หรือขอ้ มูลท่ีมอี ย่ใู นธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้โดยทันทีโดยไม่ ตอ้ งนามาศกึ ษาวิเคราะห์ในหอ้ งปฏิบตั ิการ เชน่ การศึกษาพฤตกิ รรมของสัตว์บางชนิดในธรรมชาติ การสารวจ พืชพันธไ์ุ มใ้ นโรงเรยี น การศึกษามลพิษในโรงเรียน เปน็ ต้น 2) การเก็บรวบรวมวสั ดตุ วั อย่างมาวเิ คราะหใ์ นหอ้ งปฏิบัติการ ในบางคร้ังการออกภาคสนามไม่ สามารถจะวเิ คราะห์และรวบรวมข้อมูลได้ทันที ในขณะที่ออกไปปฏิบัติการ ต้องมีการวิเคราะห์จากเคร่ืองมือ
หรอื สารเคมีบางอยา่ งในห้องปฏิบัติการ เช่น การสารวจคุณภาพน้าในด้าน ต่าง ๆ การสารวจคุณภาพของ ดนิ เป็นตน้ 3) การจาลองธรรมชาติขึ้นในหอ้ งปฏิบัติการ อาจมกี ารจาลองธรรมชาติข้ึนในห้องปฏิบัติแล้วจึง สังเกต และศึกษารวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ในธรรมชาติจาลองนั้น เพื่อเป็นการสะดวกต่อการปฏิบัติงาน ไม่ เสียเวลา และประหยัดงบประมาณในการท่ีจะออกไปสารวจท้องถ่ินธรรมชาติ ตัวอย่างโครงงาน เช่น การศึกษาวงจรชวี ติ ของหนอนไหม การศึกษาพฤตกิ รรมของปลากัด เปน็ ต้น 2. โครงงานประเภททดลอง เป็นโครงงานที่เป็นการหาคาตอบของปัญหาใดปญั หาหนึ่ง โดยออกแบบและดาเนนิ การทดลอง เพื่อ หาคาตอบหรือตรวจสอบสมมตฐิ าน การออกแบบการทดลองมีการกาหนดตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ เพื่อดู ผลที่เกิดขึ้นกับตัวแปรตาม และมีการควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ท่ีอาจมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษา ตัวอย่าง โครงงาน เช่น การศกึ ษาอัตราส่วนท่ีเหมาะสมในการผลิตถ่านเชื้อเพลิงอัดแท่งจากวัสดุเหลือใช้ของยางพารา การทาเตา้ หจู้ ากเมลด็ กระถนิ ยักษ์ สเปรยข์ จัดคราบน้ามันจากน้ามันเปลือกสม้ โอ เป็นต้น ในการทาโครงงานประเภททดลอง ผู้เรียนต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวแปร เพ่ือประโยชน์ในการ ออกแบบการทดลอง ตัวอยา่ งดังแสดงในตารางท่ี 1.4 ตารางท่ี 1 ตัวอย่างชือ่ โครงงานประเภททดลอง ตัวแปรตน้ และตัวแปรตาม ชื่อโครงงาน ตวั แปรต้น ต้นแปรตาม การชะลอการสุกของผลไม้ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซดจ์ าก ปรมิ าณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ผลการกาจัดลกู นา้ เปลือกไขช่ ะลอการสุกของผลไม้ จากเปลือกไข่ ประสทิ ธภิ าพของวสั ดดุ ูด สมนุ ไพรกาจัดลกู น้า ชนดิ ของสมุนไพร ความชนื้ ขนาดของสบั ปะรด การศกึ ษาประสทิ ธภิ าพของวัสดุ วัสดุดดู ความช้นื จาก ดดู ความช้ืนจากไสม้ ันสาปะหลงั ไสม้ นั สาปะหลัง ผลการกาจัดหนอนแมลงวัน การเพิ่มขนาดสับปะรดโดยการ การตดั จกุ สบั ปะรด ตดั จกุ การศึกษาประสทิ ธภิ าพของ ปริมาณของน้าสม้ ควนั ไม้ น้าสม้ ควนั ไมท้ ่ีมตี ่อการกาจดั หนอนแมลงวนั ท่ีมา : สุปราการ ภักดงี าม, 2559 การทาโครงงานประเภททดลอง ผเู้ รยี นต้องเรยี นร้เู ก่ียวกับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดย กลมุ่ ทดลอง (Experimental Group) คอื กลุม่ ทกี่ าหนดตัวแปรตน้ ทต่ี ้องการศกึ ษา กลุ่มควบคุม (Control Group) คอื กลุม่ ที่ไมไ่ ดก้ าหนดตัวแปรต้น โดยการทดลองบางเร่ืองอาจมีกลุ่มควบคุมหรือไม่มีกลุ่มควบคุมก็ได้ ข้ึนอยู่กับจุดประสงค์ของการ ทดลอง
ตวั อย่างท่ี 1 การทดลองท่มี ีกลมุ่ ควบคมุ โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง “น้าแป้งมันเร่งการเจริญเติบโตและเพ่ิมผลผลิตของเห็ดฟาง” โดยมี จุดประสงค์เพื่อศึกษาสารชนิดต่าง ๆ ท่ีช่วยเร่งการเจริญเติบโตและเพิ่มผลิตของเห็ดฟาง ผู้ทดลอง กาหนดตัวแปรต้น คือ สารท่ีช่วยเร่งการเจริญเติบโตและเพิ่มผลผลิตของเห็ดฟาง 3 ชนิด คือ น้าแป้งมัน น้า แปง้ ขา้ วเหนียว และนา้ แป้งข้าวเจา้ ดังนัน้ ผูท้ ดลองจงึ เพาะเห็ดฟางและโดยใช้น้า 3 ชนิด รดลงบนแปลงเพาะ เหด็ ฟางในปรมิ าณที่เท่า ๆ กัน โดยแบง่ เป็น 4 กลุ่ม ดังน้ี กลมุ่ ท่ี 1 รดดว้ ยน้าธรรมดา กลุ่มที่ 2 รดด้วยน้าแปง้ มัน กลุ่มที่ 3 รดด้วยน้าแป้งขา้ วเหนียว กล่มุ ที 4 รดด้วยนา้ แปง้ ข้าวเจา้ ภาพที่ 1.9 การเพาะเหด็ ฟาง ท่มี า : เห็ดฟาง : การเพาะเหด็ ฟางแบบกองเต้ีย, 8 ธันวาคม 2554, จาก http://www.thaikasetsart.com/ เห็ดฟางการเพาะเหด็ ฟาง/ ในการทดลองคร้งั น้ี กลุ่มควบคมุ คือ กลมุ่ ที่ 1 และกลุ่มทดลอง คอื กลมุ่ ท่ี 2 – 4 เหตผุ ลทีต่ ้องมกี ลุ่มควบคมุ คือต้องการใช้เปน็ เกณฑ์ในการเปรียบเทียบ เพราะถ้าไม่มีกลุ่มควบคุม ก็ ไม่สามารถบอกได้ว่าน้าแป้งมัน น้าแป้งข้าวเหนียว และน้าแป้งข้าวเจ้า สามารถช่วยเร่งการเจริญเติบโตและ เพม่ิ ผลผลิตของเห็ดได้ดีกวา่ การรดด้วยนา้ ธรรมดาหรอื ไม่ ซ่งึ จะทาไม่ให้สามารถสรุปผลการทดลองได้ ตัวอยา่ งที่ 2 การทดลองทไี่ มม่ ีกล่มุ ควบคุม โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง “สมนุ ไพรกาจัดปลวก” ผู้ทดลองต้องการเปรียบเทียบการกาจัดปลวก ด้วยน้าค้ันจากสมุนไพร 4 ชนิด ได้แก่ ใบสัก ใบน้อยหน่า ใบข้ีเหล็กและใบเสลดพังพอน จึงออกแบบการ ทดลองเพอ่ื นาน้าคัน้ จากสมุนไพรไปฉีดพ่นและราดบริเวณรงั ของปลวก โดยแบ่งการทดลองเปน็ 4 กลมุ่ ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ใชน้ ้าคัน้ จากใบสกั กลุ่มที่ 2 ใชน้ า้ คน้ั จากใบนอ้ ยหนา่ กลมุ่ ที่ 3 ใชน้ ้าคนั้ จากใบขีเ้ หล็ก กลมุ่ ที 4 ใชน้ า้ ค้นั จากใบเสลดพงั พอน
ทงั้ 4 กลุ่ม เป็นกลุ่มทดลอง ซึ่งการทดลองนี้ไม่จาเป็นต้องมีกลุ่มควบคุม ถ้าจะมีกลุ่มควบคุม ก็คือ กลุ่มที่ไม่ได้ใช้สมุนไพร ซึ่งปลวกคงไม่ตาย จึงไม่จาเป็นต้องมีกลุ่มควบคุมเพื่อเปรียบเทียบ ก็สามารถสรุปผล การทดลองได้ ภาพที่ 2 การทดลองการใชส้ มุนไพรกาจัดปลวก ที่มา : วิธกี าจดั ปลวกจากของธรรมชาติไรส้ ารเคมี ปลอดภัยดว้ ยใบขเ้ี หลก็ , 28 เมษายน 2559, จาก https://www.sanook.com/home/12817/ 3. โครงงานประเภทสง่ิ ประดษิ ฐ์ โครงงานประเภทนี้เป็นการพัฒนาหรือการประดิษฐ์เครื่อง เคร่ืองใช้ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อ ประโยชน์ในการทางาน การใช้สอยอื่น ๆ ให้ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ โดยอาศัยความรู้หรือหลักการทาง วิทยาศาสตรม์ าประยกุ ต์ใชใ้ นการพัฒนา อาจเปน็ การประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ หรืออาจดัดแปลงปรับปรุงของเดิมท่ี อยู่แล้วให้ใช้งานได้ดีมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งอาจเป็นการเสนอหรือสร้างแบบจาลองต่าง ๆ เพื่อ ประกอบการอธิบายแนวคิดในเร่ืองต่าง ๆ ด้วย ตัวอย่างโครงงานประเภทนี้ เช่น เคร่ืองสูบน้าพลังงานลม เครื่องหยอดปยุ๋ เพ่อื สุขภาพ เครือ่ งหอ่ ผลไม้ เป็นต้น 4. โครงงานประเภททฤษฎี โครงงานประเภทนี้เป็นการสร้างทฤษฎี หลักการแนวคิดใหม่ ๆ ท่ีไม่มีใครคิดมาก่อน หรือขัดแย้ง หรอื ขยายจากของเดมิ ท่ีมีอยู่ โครงงานประเภทนเี้ ป็นโครงงานที่ยาก ผู้ทาจะต้องมีความรู้พ้ืนฐานในเรื่องน้ัน ๆ เป็นอยา่ งดี มีการศึกษาคน้ ควา้ ขอ้ มูลอยา่ งลึกซ้งึ จึงจะสามารถกาหนดความรู้ หลักการ ทฤษฎี แนวคิดใหม่ ๆ ได้ ซ่ึงแนวคิด หลักการ ความรู้ ทฤษฎีน้ันต้องผ่านการพิสูจน์ มีหลักการทางวิทยาศาสตร์ มีทฤษฎีสนับสนุน
อาจเสนอในรปู ของคาอธบิ าย สตู ร หรอื สมการ เช่น ทฤษฎีสมั พนั ธภาพของไอนส์ ไตน์ การกาเนิดของทวีปและ มหาสมทุ ร เป็นตน้ ขนั้ ตอนการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นกิจกรรมท่ีมีการดาเนินการหลายขั้นตอน และเป็นกิจกรรมที่ ต่อเน่ืองตัง้ แต่เริ่มตน้ จนถึงข้นั สุดท้าย ซึ่งการจะทาโครงงานวิทยาศาสตร์ให้ประสบผลสาเร็จน้ัน จะต้องมีการ ทาอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนกาหนดกิจกรรม โดยจะนาเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เป็นไป ตามลาดับขัน้ ข้นั ตอนในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตรม์ ีดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การคิดและเลอื กหัวขอ้ เร่ืองที่จะทาโครงงาน การคิดหัวขอ้ หรอื ปญั หาท่ีจะศกึ ษาเป็นข้นั ตอนที่สาคัญและยากที่สดุ ซึ่งผู้เรยี นตอ้ งคิดและเลือกด้วย ตนเอง หัวข้อเรื่องควรมีความเฉพาะเจาะจงและชดั เจน บง่ ชดั วา่ จะศกึ ษาเรอ่ื งใด และควรเป็นเร่อื งท่ีแปลกใหม่ ซ่ึงแสดงถึงความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ หัวข้อเร่ืองควรมีท่ีมาจากความสนใจ ความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และควรคานึงถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ จะทาให้การทาโครงงาน วทิ ยาศาสตร์มคี ุณค่ามากย่งิ ขนึ้ ในการคดั เลอื กหวั ข้อเรอื่ งทจ่ี ะทาโครงงานน้ัน มีหลักสาคัญคือผู้เรียนควรเลือก หรอื คิดหวั ขอ้ เร่ืองทจี่ ะทาโครงงานไวห้ ลาย ๆ หวั ขอ้ แล้วจึงพิจารณาคัดหรือตัดเรื่องท่ีเห็นว่ามีความเป็นไปได้ น้อย ไม่ค่อยมีคุณค่าหรือได้ประโยชน์น้อย ตลอดจนเร่ืองท่ีคิดว่าเมื่อทาไปแล้วน่าจะมีปัญหา หรือเกิดความ ยุ่งยาก จนเหลือเรื่องท่ีคิดว่าจะทามากท่ีสุดเพียงเร่ืองเดียว โดยพิจารณาความพร้อมในด้านต่าง ๆ เพ่ือ ประกอบการตดั สนิ ใจ เช่น มีความเหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ งบประมาณเพียงพอ มีความปลอดภัย เป็นต้น 2. ศึกษาเอกสารทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั เรอ่ื งทีจ่ ะทาโครงงาน หลงั จากท่ีผเู้ รียนไดห้ ัวขอ้ ทีส่ นใจแล้ว ขนั้ ตอ่ มาคอื การศึกษาเอกสารทีเ่ ก่ียวข้อง ซ่ึงในที่นี้รวมถึงการ ขอคาปรกึ ษาจากครทู ปี่ รึกษาและผทู้ รงคุณวฒุ ิ รวมถงึ การสารวจอุปกรณต์ ่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง การศึกษาเอกสาร หรือแหล่งขอ้ มลู อ่ืน ๆ ที่เกย่ี วข้องกับการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ จะช่วยให้ผู้เรียนได้แนวความคิด หลักการ ทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับเร่ืองที่ศึกษา ได้ความรู้ในเร่ืองที่จะทาการศึกษาเพ่ิมเติมมากขึ้น ช่วยให้ผู้เรียนกาหนด ขอบเขตของเร่ืองที่จะศึกษาค้นคว้าให้มีความเฉพาะเจาะจงมากข้ึน และสามารถออกแบบ วางแผนการ ดาเนินการทาโครงงานน้ันได้อย่างเหมาะสมโดยผา่ นความเหน็ ชอบของครูทป่ี รกึ ษา 3. การจดั ทาเคา้ โครงย่อของโครงงาน หลงั จากท่ีผ้เู รยี นศกึ ษาข้อมลู จากแหล่งต่าง ๆ จนเห็นแนวทางในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์แล้ว ขนั้ ตอนตอ่ ไปจะต้องเขียนเค้าโครงย่อของโครงงานเสนอครูท่ีปรึกษาเพ่ือขอความเห็นชอบก่อนดาเนินการขั้น ต่อไป เค้าโครงย่อของโครงงานวิทยาศาสตร์เขียนขึ้นเพื่อแสดงแนวคิด สมมติฐาน การวางแผนงาน และ ขัน้ ตอนการทาโครงงาน ซ่งึ ควรประกอบด้วยหัวขอ้ ต่าง ๆ ดงั ต่อไปน้ี 1) ชอ่ื โครงงาน ควรเป็นหวั ข้อที่กะทัดรดั ชดั เจน สื่อความหมายตรง และมีความเฉพาะเจาะจง วา่ จะศึกษาอะไร 2) ช่ือผ้ทู าโครงงาน 3) ช่อื ครทู ป่ี รึกษาโครงงาน
4) ที่มาและความสาคัญของโครงงาน ควรอธิบายเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงเลือกทาโครงงานน้ี โครงงานนี้มีความสาคัญอยา่ งไร ถ้าเร่ืองทีท่ าเปน็ เรอื่ งใหม่ หรือมีผอู้ ่นื เคยศึกษาไวแ้ ล้วแลว้ ผลเปน็ อย่างไร เรื่อง ท่ที านี้มีการพฒั นาจากงานเดิมอย่างไร 5) จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นควา้ ควรบอกจุดมุ่งหมายของการทาโครงงานให้เฉพาะเจาะจง และสามารถทาได้ เป็นการบอกขอบเขตและความชดั เจนของงานท่จี ะทา 6) สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า เป็นคาตอบของการศึกษาท่ีคาดเดาไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจ ถกู ตอ้ งหรอื ไมก่ ็ได้ การตั้งสมมตฐิ านควรมเี หตผุ ล มีทฤษฎีรองรับ ทาใหม้ องเหน็ แนวทางในการทดลอง 7) แนวทางในการปฏิบัติ หรือวิธีการดาเนินการ ประกอบด้วยวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้แนวทาง การศกึ ษาคน้ คว้า ควรอธบิ ายว่าจะดาเนนิ งานอย่างไร มกี ารเกบ็ ข้อมูลอยา่ งไร 8) แผนการปฏิบัติงาน ควรอธิบายกาหนดเวลาการปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอน ต้ังแต่เริ่มต้น จนกระทั่งเสร็จการดาเนนิ งานว่ามรี ะยะเวลาเท่าใด 9) ผลทคี่ าดว่าจะได้รับ ควรเขียนผลท่ีคาดหวังในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์วา่ มีอะไรบ้าง 10) เอกสารอา้ งอิง/แหล่งศกึ ษาค้นคว้า ควรระบุช่อื หรอื หนงั สือ วารสาร และแหล่งข้อมูลที่ใช้ ประกอบการทางานตามหลักเกณฑก์ ารเขียนเอกสารอ้างองิ 4. ทาโครงงานตามแผนท่กี าหนดไว้ การลงมือทาโครงงาน เป็นการปฏบิ ตั ติ ามขั้นตอนที่ระบุไวใ้ นเค้าโครงย่อท่ีเสนอครูที่ปรึกษา จะต้อง มีการเก็บข้อมูลให้ละเอียด ครอบคลุมวัตถุประสงค์ของโครงงานเพื่อแปลผลและสรุปอภิปรายผลได้ต่อไปใน ขนั้ ตอนการเขียนรายงาน ความสาคัญของการทาโครงงานไม่ได้ขนึ้ อยู่กับผลการทดลองที่ได้ตรงกับสมมติฐานทต่ี ั้งไว้หรือความ คาดหวังท่ีคิดไว้หรือไม่ แม้ผลการทดลองที่ได้จะไม่เป็นไปตามสมมติฐานก็ถือว่ามีความสาเร็จในการทา โครงงาน สามารถแนะนาเกี่ยวกับการศึกษาทดลองในครั้งต่อไปว่าจะต้องทาอย่างไร จึงจะทาให้งานสมบูรณ์ ย่ิงข้ึน จะเห็นได้ว่าการทาโครงงานไม่ว่าจะเป็นไปตามท่ีคาดหวังหรือไม่ก็มีคุณค่าทั้งนั้น ข้อสาคัญคือผู้เรียน จะต้องทาโครงงานเสรจ็ ครบทุกขั้นตอนตามท่ีได้วางแผนไวอ้ ย่าท้อถอยหรอื เลิกกลางคัน 5. การเขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เม่ือดาเนนิ การทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ครบทุกขัน้ ตอน ได้นาข้อมูลมาทาการวิเคราะห์ข้อมูลพร้อม ทั้งแปลผลและสรุปผลแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเขียนรายงาน การเขียนรายงานที่เก่ียวกับโครงงานเป็นวิธีส่ือ ความหมายที่มปี ระสทิ ธภิ าพวิธหี น่งึ เพื่อใหค้ นอนื่ ๆ ได้เข้าใจถงึ แนวคดิ วธิ กี ารดาเนินการศึกษาค้นคว้า ข้อมูลที่ ได้จากการศึกษาตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงงานน้ัน รูปแบบการเขียนรายงาน โครงงานวทิ ยาศาสตร์ มดี ังนี้ 5.1 ส่วนตอนตน้ ประกอบด้วย 1) ปกนอก มชี ื่อเร่ือง ชอ่ื คณะผจู้ ดั ทา ช่ือครปู รึกษาและช่ือโรงเรียน 2) ปกรอง มขี อ้ มลู เหมือนปกนอก 3) คาขอบคุณหรือกิตติกรรมประกาศ เป็นการเขียนขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ให้การ สนับสนนุ ที่ทาให้ไดร้ บั ความสาเร็จจากการทาโครงงาน 4) บทคัดยอ่ เป็นการสรุปย่อ ๆ ของโครงงานท่ีทา โดยมีข้อความประมาณ 300 – 500 คา เน้ือความของบทคัดย่อควรประกอบด้วย ที่มาและความสาคัญของปัญหา จุดมุ่งหมาย วิธีการทดลอง ผลการ ทดลองและสรุปผลการทดลองอยา่ งย่อ ๆ 5) สารบญั เรื่อง
6) สารบญั ตาราง 7) สารบัญรปู ภาพหรอื กราฟ (ถ้ามีในผลการทดลอง) 5.2 สว่ นเน้ือหา ประกอบดว้ ย 1) บทท่ี 1 บทนา ประกอบดว้ ยแนวคดิ ที่มาและความสาคัญของโครงงาน และมุ่งหมายของ การทาโครงงาน 2) บทที่ 2 เอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เป็นบททผี่ ้ทู าโครงงานต้องไปศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลจาก แหล่งเรยี นรตู้ า่ ง ๆ โดยอาจจะเปน็ หลกั การหรอื ทฤษฎีหรือรายงานการทดลองในส่วนท่ีผู้อ่ืนได้ทดลองคล้าย ๆ กับเรื่องที่ศึกษา หากไปศึกษาหรือคัดลอกข้อความจากหนังสือเล่มใด จะต้องระบุช่ือหนังสือไว้ในส่วนของ หนังสอื อา้ งองิ หรือบรรณานุกรมท้ายเล่มของรายงานโครงงาน เพ่ือเปน็ การให้เกียรตแิ ก่ผนู้ ามาอ้างองิ 3) บทท่ี 3 วัสดุอุปกรณ์และวิธีการทดลอง เป็นการระบุรายละเอียดของวัสดุอุปกรณ์และ วิธกี ารทดลอง 4) บทที่ 4 ผลการทดลอง โดยจะต้องกาหนดตารางบันทึกผลการทดลองหรืออาจทาเป็น กราฟ 5) บทท่ี 5 สรุปผลการทดลอง เป็นการเขียนสรุปผลที่ได้จากการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ เรียงตามม่งุ หมายและการดาเนนิ การ ในกรณที ี่มสี มมตฐิ าน ต้องสรุปผลว่าเป็นไปตามสมมติฐานหรือไม่เป็นไป ตามสมมตฐิ าน 5.3 ส่วนอ้างอิง เป็นส่วนท่ีเขียนอ้างอิงเก่ียวกับเอกสาร ทฤษฎี หลักการงานวิจัย เอกสารรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ ตาราต่าง ๆ ที่ศึกษาค้นคว้าประกอบในการทาโครงงาน ซึ่งควร สอดคล้องกับบทที่ 2 การเขยี นต้องใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั การเขยี นอ้างองิ 5.4 ส่วนภาคผนวก เป็นส่วนสุดท้ายของรายงาน เป็นส่วนท่ีใส่เน้ือหาหรือข้อมูล เพื่อ ประกอบความเข้าใจ เช่น ภาพประกอบในการทาโครงงาน ตารางผนวก แบบสอบถาม และวิธีการคานวณ เปน็ ตน้ การเขยี นรายงานโครงงานอาจปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับประเภทของโครงงาน แต่อยา่ งไรก็ตามไม่ วา่ จะเป็นโครงงานประเภทใด สง่ิ ทส่ี าคญั ทส่ี ดุ ที่ผู้เขียนรายงานควรตระหนักคือควรเขียนรายงานให้ชัดเจน ใช้ ศัพทเ์ ทคนิคที่ถกู ต้อง ใชภ้ าษาทเี่ ข้าใจง่าย และครอบคลุมประเดน็ ที่ สาคัญ ๆ ท้งั หมดของโครงงาน 6. การแสดงผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การแสดงผลงานจัดได้ว่าเป็นขั้นตอนสาคัญอีกประการหน่ึงของการทาโครงงาน และเป็นขั้นตอน สดุ ท้ายของการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ เปน็ การแสดงผลิตผลของงานให้คนอนื่ ไดร้ บั รแู้ ละเข้าใจในผลงานและ ความคดิ ซง่ึ ในการแสดงผลงานนัน้ อาจทาได้หลายรปู แบบ เช่น การจัดนิทรรศการ ซ่ึงมีท้ังการจัดแสดงอธิบาย ด้วยคาพูด หรือในรูปแบบของการจดั แสดงโดยไม่มีการอธิบาย หรือเป็นรูปแบบการรายงานปากเปล่า ในการ จดั แสดงผลงานนนั้ ทาไดห้ ลายระดบั ไดแ้ ก่ การจดั เสนอผลงานในห้องเรียน การจดั นทิ รรศการในโรงเรยี น และ การส่งผลงานเข้าร่วมแสดงประกวดภายนอก แต่ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลงานในรูปแบบใดควรจะจัดให้ ครอบคลุมประเดน็ สาคัญ ดังตอ่ ไปนี้ 6.1 ชอื่ โครงงาน ช่อื ผู้ทาโครงงาน 6.2 ท่มี าและความสาคญั ของโครงงานแบบย่อ ๆ 6.3 วธิ ีการดาเนนิ การ โดยเลอื กเฉพาะขัน้ ตอนทเ่ี ดน่ และสาคญั 6.4 การสาธิตหรอื แสดงผลทีไ่ ด้จากการทดลอง 6.5 ผลการศกึ ษา และข้อมลู ต่าง ๆ ท่ีได้จากการทาโครงงาน
การทาแผงสาหรับแสดงโครงงานวิทยาศาสตร์ในการประกวดแข่งขัน มีการกาหนดขนาดของแผง สาหรบั แสดงโครงงานท่ีจะนาไปแสดง ดังภาพที่ 3 60 cm 120 cm 60 cm 60 cm 60 cm ภาพท่ี 3 ขนาดของแผงสาหรับแสดงโครงงาน ท่ีมา : สุปราการ ภักดงี าม, 2559 แผงส่วนใหญ่ทาด้วยไม้อัด ติดบานพับมีห่วงรับและขอสับทามุมฉากกับตัวแผ่นกลาง ในการ เขยี นรายละเอยี ดบนแผงโครงงานตอ้ งประกอบดว้ ย ชือ่ โครงงาน ชอ่ื ผ้ทู าโครงงาน ช่ือครู ท่ีปรึกษา ที่มา และความสาคญั ของโครงงาน จุดมงุ่ หมายของโครงงาน วิธีดาเนนิ การ ผลท่ไี ด้จากการทดลองซึ่งอาจแสดงเป็น ตาราง กราฟ หรือรูปภาพก็ได้ ประโยชน์ของโครงงาน และสรุปผล โดยจัดเนื้อท่ีให้เหมาะสม ไม่แน่นเกินไป หรือไม่น้อยเกินไป คาอธิบายมีความกะทัดรัด ชัดเจน เข้าใจง่าย และใช้สีสดใส เน้นจุดสาคัญ เป็นการดึงดูด ความสนใจ ภาพที่ 4 การแสดงผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ ทม่ี า : สปุ ราการ ภักดงี าม, 2559
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: