Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 1 คู่มือ ม.ต้น

1 คู่มือ ม.ต้น

Description: 1 คู่มือ ม.ต้น

Search

Read the Text Version

47 - ใช้เสน้ หางมา้ หลาย ๆ เสน้ รวมกันสีไปมาทีล่ าย แล้วเกดิ เสยี งดงั ขึน้ สงิ ทีม่ ีสายแลว้ ใช้ เส้นหางมา้ สีให้เกดิ เสียง เรียกวา่ “เครือ่ งสี” - ใชม้ อื หรือไม้ตีท่ีส่ิงนนั้ แลว้ เกิดเสียงดงั ขนึ้ สง่ิ ท่ีใช้ไม้หรอื มอื ตี เรียกว่า “เครื่องตี” - ใช้ปากเปุาลมเชา้ ไปในสิง่ น้นั แล้วเกิดเสยี งดงั ขึน้ สิ่งที่เปุาลมเช้าไปแล้วเกดิ เสยี ง เรยี กว่า “เครื่องเปาุ ” เครือ่ งดนตรไี ทยจึงลามารถแบง่ ไตเ้ ปน็ 4 ประเภท คือ ดีด สีตี เปุา เคร่ืองดนตรไี ทยทั้ง 4 ประเภท ประกอบดว้ ยอะไร และมีวธิ ีการเล่นอย่างไร 1.เครือ่ งดนตรีไทยประเภท เครอื่ งดดี เคร่อื งดีด คือ เครอ่ื งดนตรไี ทยทเ่ี ลน่ ดว้ ยการใชน้ วิ้ มือ หรือไมด้ ีด ดดี สายใหส้ นั่ สะเทือน จึงเกดิ เสยี งขึ้น เครื่องดนตรี ไทยคอื กระจับ ปี พณิ น้าเต้าา พณิ เปยี ะ จะเข้ ซงึ กระจับปี เปน็ เครอื่ งดนตรีประเภทดีด หรือพิณ 4 สายชนิดหน่ึง ตัวกะโหลกเป็นรูปกลมรีแบน ท้ังหน้าหลัง มีความหนาประมาณ 7 ซม. ด้านหน้ายาวประมาณ 44 ซม. กว้าง ประมาณ 40 ซม. ทาคันทวนเรียวยาวประมาณ 138 ซม. ตอนปลายคันทวนมีลักษณะแบน และบาน ปลายผาย โคง้ ออกไป ถ้าวัดรวมทั้งคันทวนและตวั กะโหลก จะมีความยาวประมาณ 180 ซม. มลี ูกบิดลาหรับขนึ้ ลาย 4 อัน มนี มรับรว้ิ น้ิว 11 นมเทา่ กบั จะเข้ ตรงดา้ นหนา้ กะโหลกมแี ผ่นไม้ บาง ๆ ทาเปน็ หยอ่ ง คา้ ลายใหต้ ุงขนึ้ เวลาบรรเลงใช้นิว้ หัวแมม่ ือกบั นว้ิ ชจี้ บั ไม้ เขยี่ ลายให้ เกดิ เสยี ง พิณน้าเตา้ พณิ โบราณเรียก พณิ นา้ เตา้ ซึง่ มลี ักษณะเปน็ พณิ ลายเดย่ี ว การท่เี รียกวา่ พณิ นวิ้ เต้า เพราะใชเ้ ปลือกผลน้าเต้ามาทา คันพิณทีเ่ รยี กวา่ ทวน ทาด้วยไมเ้ หลา ให้ปลายชา้ งหน่งึ เรยี ว งอนโคง้ ขน้ึ ลาหรับผกู ลาย ท่โี คนทวนเจาะรูแล้วเอาไม้ มาเหลาทาลกู บดิ ลาหรับบดิ ให้ลายตงึ หรือหย่อน เพ่ือใหเ้ สียงสงู ตา่ ลายพิณมลี ายเดียวเดิมทาด้วยเส้นหวาย ต่อมา ใช้เส้นไหม และ ใชล้ วดทองเหลืองในปัจจบุ ัน พิณเปยี ะ

48 พิณเปียะ หรือพณิ เพียะ เปน็ เครื่องดนตรีพ้ืนเมืองลานนาชนิดหน่ึง มีคันทวน ตอนปลาย คันทวนทาด้วยเหล็กรูป หัวช้าง ทองเหลืองลาหรับใช้เป็นทพ่ี าดลาย ใช้ลายทองเหลืองเป็นพ้ืน ลายทองเหลืองนี้จะพาดผ่านสลักตรงกะลา แล้วตอ่ ไปผูกกับสลักตรงดา้ นซ้าย ลายชองพณิ เปียะมีทั้ง 2 ลาย และ 4 ลาย กะโหลกชองพิณเปียะทาด้วยเปลือก น้าเต้าตัดครึ่ง หรือ กะลามะพร้าวก็ได้ เวลาดีดใช้กะโหลกประกบติดกับหน้าอก ขยับเป็ด ปีดให้เกิดเลียงตาม ตอ้ งการ

49 จะเข้ เปน็ เครอ่ื งดนตรีประเภทดีด มี 3 สาย นามาวางดีดกับพน้ื บรรเลงอยู่ในวงมโหรีคกู่ ับ กระจบั ปี ตวั จะเข้ทา เปน็ สองตอน คอื ตอนหัว และตอนหาง ตอนหวั เป็นกระพุ้งใหญ่ ทาด้วย ไม้แก่นขนุน ท่อนหัวและท่อนหางขุดเป็น โพรงตลอด ปดี ใตท้ ้องด้วยแผน่ ไม้ มเี ท้ารองตอนหัว 4 เท้า และตอนปลายอีก 1 เท้า ทาหนังนูนตรงกลาง ให้ลอง ข้างลาดลง โยงลายจากตอนหัวไป ทางตอนหางเป็น 3 ลาย มีลูกบิดประจาลายละ 1 อัน ลาย 1 ไข้ลายลวด ทองเหลือง อีก 2 ลายใชเ้ สน้ เอ็น เวลาบรรเลงใชด้ ีดด้วยไม้ดีดกลมปลายแหลมทาด้วยงาขา้ ง หรือกระดูกสัตว์ เคียน ดว้ ยเส้นด้ายลาหรับพันติดกับปลายนิ้วซ้ีข้างขวาของผู้ดีด และใช้นิ้วหัวแม่มือ กับนิ้วกลาง ช่วยจับให้มีกาลังเวลา แกวง่ มอื ลายไปมา ใหส้ มั พนั ธ์กับมอื ข้างซ้ายขณะกดลายดว้ ย ซึง เป็นเคร่ืองดนตรีชนิดดีด มี 4 ลายเช่นเดียวกับกระจับปี แต่มีฃนาดเล็กกว่า กะโหลกมี รูปร่างกลม ท้ัง กะโหลกและคนั ทวน ใชไ้ มเ้ นอื้ แข็งช้ินเดยี วควา้ น ตอนท่เี ปน็ กะโหลกใหเ้ ป็น โพรง ตดั แผน่ ไม้ใหก้ ลม แล้วเจาะรูตรง กลางทาเปน็ ฝาบิดดา้ นหนา้ เพอื่ อมุ้ เลยี งให้กงั วาน คัน ทวนทาเป็นเหล่ียมแบนตอนหน้าเพ่ือติดตะพาน หรือนมรับ นวิ้ จานวน 9 อัน ตอนปลายคัน ทวนทาเป็นรูปโค้ง และขดให้เป็นร่อง เจาะรูลอดลูกบิดข้างละ 2 อัน รวมเป็น 4 อนั ลอดเขา้ ไปในร่อง ลาหรับช้ินลาย 4 ลาย ลายของซงึ ใช้ลายลวดขนาดเล็ก 2 ลาย และลายใหญ่ 2 ลาย ซึ่งเป็น เครอ่ื งดดี ทซี่ าวไทยทางภาคเหนือนิยมนามาเล่นรว่ มกบั ปีซอ และละล้อ

50 เครื่องดนตรีไทยประเภท เคร่อื งสี เคร่อื งสี เปน็ เครือ่ งลายท่ีทาให้เกดิ เลยี งดว้ ยการใช้คันชักลเี ข้ากบั ลาย โดยมากเรยี กว่า “ซอ” เครื่องลที ่ี นิยมเล่น ไดแ้ ก่ ซอด้วง เป็นซอลองลาย กะโหลกของซอด้วงน้ันเดิมใช้กระบอกไม้ไผ่ ปัจจุบันใช้ไม้จริง หรือ งาช้างทาก็ได้ แต่ท่ี นิยมทาด้วยไม้ลาเจียก ส่วนหน้าซอนิยมใช้หนังงูเหลือมขึง ด้านมือจับมี หมุดลาหรับให้เส้นหางม้าคล้อง อีกด้าน หนึ่งเจาะรูไว้ร้อยเส้นหางม้า ลอดเส้นหางม้าให้อยู่ ภายในระหว่างลายเอกกับลายทุ้มลาหรับลี การเทียบเลียง เทียบเลียงให้ตรงกับเลียงขลุ่ย เพียงออ เหตุที่เรียกว่า ซอด้วงก็เพราะมีรูปร่างคล้ายเครื่องคักสัตว์ กระบอกไม้ไผ่ เหมอื นกนั ซออู้ เป็นซอสองสาย ตัวกะโหลกทาดว้ ยกะลามะพร้าว คนั ทวนทาด้วยไมเ้ น้อื แข็ง ตอนบนมี ลูกบิดสาหรับขงึ สาย สายซอทาดว้ ยไหมฟนื มีคนั ชกั อยู่ระหว่างสาย ซออมู้ เี สียงทุ้มต่า มีรูปร่าง คล้าย ๆ กับซอของจีนท่เี รียกวา่ ฮู- ฮู้ เหตทุ เ่ี รยี กว่าซออู้ ก็เพราะเรียกตามเสียงท่ไี ด้ ยินนน่ั เอง สะลอ้ เปน็ เคร่ืองดนตรพี นื้ เมอื งลา้ นนาชนดิ หนึ่ง เป็นประเภทเคร่อื งสีซ่ึงมที ้ัง 2 สาย และ 3 สาย คนั ชักสาหรบั สี จะอยขู่ า้ งนอกเหมือนคนั ชักซอสามสาย สะลอ้ ใช้บรรเลงประกอบการแสดง หรือบรรเลงรว่ มกับบทรอ้ ง และ ทานองเพลงได้ ทกุ ชนดิ

51 ซอสามสาย ส่วนต่าง ๆ ของซอสามสาย ดงั น้ี 1.ทวนบน เป็นสว่ นบนสดุ ชองคนั ซอ ทาหนา้ ท่ีคล้าย ๆ กับทอ่ อากาศ 2.ทวนลา่ ง ทาเปน็ รปู ทรงกระบอก ทาหน้าที่เปน็ ตาแหนง่ สาหรบั กดนวิ้ ลงบนใน ตาแหนง่ ต่าง ๆ 3.พรมบน คือส่วนทต่ี ่อจากทวนล่างลงมา ส่วนบนกลึงเป็นลูกแกว้ ส่วนตอนลา่ งทา เป็น รูปปากขา้ งเพอ่ื ประกอบกบั กะโหลกซอ 4.พรมลา่ ง ส่วนทป่ี ระกบกับกะโหลกซอ ทาเป็นรปู ปากขา้ ง 5.ถ่วงหนา้ ควบคุมความถ่ีชองเสียง ทาให้มีเสียงน่มุ นวลไพเราะ นา่ ฟังย่งิ ขึ้น 6.หย่อง ทาดว้ ยไม้ไผ่, แกะให้เป็นลักษณะคู้ ปลายทง้ั สองของหยอ่ งคว้านเปน็ เบ้า ขนมครก เพอื่ ทาให้เสียงทีเ่ กดิ ขึ้น ล่งผา่ นไปยงั หน้าซอ มคี วามกงั วานมากยิง่ ข้ึน 7.กันสี (กันชกั ) ประกอบดว้ ย ไม้ และหางมา้ กนั สนี ั้นเหลาเปน็ รปู กันศร โดยมาก นิยมใช้ไม้แก้ว เพราะเปน็ ไมเ้ นอ้ื แข็ง และมีลวดลายงดงาม การสีซอ วางคนั สใี ห้ชดิ ด้านใน ใหอ้ ย่ใู นลกั ษณะเตรยี มซกั ออก แล้วลากคนั สอี อกช้า ๆ ด้วยการ ใชว้ ิธสี ีออก ลากคัน สีใหส้ ดุ แลว้ เปลีย่ นเปน็ สเี ชา้ ในสายเดยี วกนั ทาเรอื่ ยไปจนกว่าจะคล่อง พอคล่องดีแล้ว ให้เปลี่ยนมาเป็นสีสายเอก โดยคนั น้วิ นางกับนว้ิ กอ้ ยออกไปเล็กนอ้ ย ซอจะ เปลยี่ นเป็นเสียง ซอล ทนั ที ดงั น้ี คนั สี ออก เชา้ ออก เชา้ เสียง โด โด ซอล ซอล ฝึกเร่ือยไป จนเกิดความชานาญ ข้อควรระวัง ต้องวางซอให้ตรง โดยใช้มือซ้ายจับซอให้พอเหมาะ อยา่ ให้แน่นเกนิ ไป อยา่ ให้ หลวมจนเกนิ ไป ขอ้ มอื ทจี่ ับซอต้องทอดลงไปให้พอดี ขณะน่ังสียืดอกพอสมควร อย่าให้ หลงั โกงได้ มือท่ีคบี ซอให้ออกกาลงั พอสมควรอยา่ ให้ซอพลกิ ไปมา เคร่ืองดนตรีไทยประเภท เครือ่ งตี เครอ่ื งตีแยกได้เป็น 3 ประเภทตามหน้าทีใ่ นการเล่น คือ 1.เครื่องตีทท่ี าจงั หวะ หมายถึง เครอื่ งตที เ่ี ม่ือตีแล้วจะกลายเปน็ เสียงที่คุมจงั หวะกา เลน่ ของเพลงนั้น ๆ ตลอดท้งั เพลง ได้แก่ ฉ่ิง และฉบั ถอื เป็นหัวใจของการบรรเลง 2.เครือ่ งตที ปี่ ระกอบจงั หวะมหี ลายอย่าง เชน่ กลองแขก กลองทดั ตะโพนไทย ตะโพนมอญฉาบใหญฉ่ าบเลก็ ฯลฯ 3.เครอ่ื งตที ท่ี าใหเ้ กิดทานอง ไดแ้ ก่ ฆอ้ งไทยวงใหญ่ ฆอ้ งไทยวงเล็ก ฆอ้ งมอญวงใหญ่ ฆ้องมอญวงเล็ก ระนาดเอก ระนาดทมุ้ ชิม องั กะลงุ (บรรเลงเป็นวง) ตัวอย่างของเครือ่ งดนตรีไทยประเภทเครอ่ื งตี ได้แก่ กรบั พวง ทาด้วยไม้ หรอื โลหะ ลักษณะเปน็ แผ่นบางหลายแผ่นรอ้ ยเช้าดว้ ยกนั ใชไ้ ม้หนาลองช้นิ ประกับไว้ วิธตี ี ใชม้ อื หนง่ึ ถอื กรับ แล้ว ดกี รับลงไปบนอีกมือหนง่ึ ทร่ี องรบั ทาให้เกดิ เสยี ง กระทบจากแผ่นไม้ หรอื แผน่ โลหะดังกลา่ ว

52 ระนาดเอก ววิ ัฒนาการมาจากกรบั ลกู ระนาดทาดว้ ยไมไ้ ผ่,บง หรอื ไมแ้ ก่น ระนาดเอกในปัจจบุ นั มี จานวน 21 ลูก มคี วามยาว ประมาณ 120 ซม. มีเท้ารอง รางเปน็ เทา้ เดย่ี ว รูปคลา้ ยกับพาน แวน่ ฟูา ระนาดทุ้ม เป็นเครื่องดนตรีท่ีสร้างข้ึนมาในรัชกาลท่ี 3 สร้างเลียนแบบระนาดเอก มีรูปร่างคล้าย หีบไม้ แต่เว้าตรง กลางให้โคง้ รางระนาดทมุ้ จะมีฃนาดยาวประมาณ 124 ซม. ปากรางกวา้ ง ประมาณ 22 ซม. มีเท้าเต้ีย ๆ รองไว้ 4 มุมรางระนาดเอกเหล็ก หรือระนาดทอง ระนาดเอกเหล็ก ประดิษฐ์ข้ึนในรัชกาลที่ 4 แต่เดิมลูกระนาดด้วย ทองเหลือง จึงเรียก กันว่าระนาดทอง ระนาดเอกเหล็กมีชนาด 23.5 ซม. กว้างประมาณ 5 ซม. ลดหล่ันข้ึนไป จนถงึ ลกู ยอดทม่ี ีชนาด 19 ซม. กวา้ งประมาณ 4 ซม. รางชองระนาดเอกเหล็กน้ันทาเป็นรูป ลี่เหลี่ยม มีเท้ารองรับ ไวท้ ง้ั 4 ด้าน ระนาดท้มุ เหล็ก ระนาดท้มุ เหลก็ มีจานวน 16 หรือ 17 ลกู ตวั รางระนาดยาวประมาณ 1 เมตร ปากราง กว้างประมาณ 20 ซม. มีเท้ารองติดลูกล้อ 4 เท้า เพื่อให้เคลื่อนท่ีไปมาได้สะดวก ตัวรางสูง จากพ้ืนถึงชอบบนประมาณ 26 ซม. ระนาดจะใช้ไม้ตี 2 อัน ทาไม้ตีเป็น 2 ชนิด ชนิดหน่ึงทา หัวไม้ตีให้แข็ง เม่ือตีจะมีเลียงตังเกรียวกราว เมื่อนาเช้า

53 ผสมวงจะเรียกว่า “วงปพี าทยไ์ มแ้ ข็ง” อกี ชนิดหน่งึ ทาไม้ตใี ห้อ่อนนุ่มเมอ่ื ตจี ะเกิดเลียงนมุ่ นวล เวลานาระนาดเอกที่ ใชไ้ ม้ตซี นิดน้มี า ผสมวง จะเรยี กว่า “วงปีพาทยไ์ มน้ วม” กลองชนะ รปู รา่ งเหมอื นกลองแขกแต่ส้ันกวา่ หนา้ หน่ึงใหญ่ อีกหน้าหนึ่งเล็ก ใช้ตีด้วย'ใน้งอ ๆ หรือหวาย ทางด้านหน้าใหญ่ เดมิ กลองชนะน่าจะใชใ้ นกองทพั หรือในการสงคราม ต่อมาใช้ เป็นเครื่องประโคมในกระบวนพยุหยาตรา และใช้ ประโคมพระบรมศพ พระศพ และศพ ตาม เกยี รติยศของงาน กลองยาว หุ่นกลองทาดว้ ยไม้ ตอนหน้าใหญ่ ตอนท้ายเรียวแล้วบานปลายเป็นรูปดอกลาโพงมี หลายขนาด ขึ้นหนัง หน้าเดียว ตัวกลางนิยมตบแต่งให้สวยงามด้วยผ้าสี หรือผ้าดอกเย็บจีบย่น ปล่อยเซิงเป็นระบายห้อยมาปกด้วย กลอง มีสายสะพายสาหรบั คล้องสะพายบา่ ใช้ตดี ้วยฝุามือ แต่การเล่นโลดโผน อาจใช้ส่วนอ่ืน ๆ ของร่างกายตีก็มี กลองยาวได้แบบอย่างมาจากพม่า นิยมเล่นในงานพิธีขบวนแห่ กลองชนิดนี้เรียกซ่ือตามเสียงที่ตีได้อีกซ่ือหนึ่ง ว่า “กลองเถิดเทิง”

54 ตะโพน ทาด้วยไม้เนอ้ื แขง็ ขดุ แต่งใหเ้ ปน็ โพรงภายใน ขึน้ หนังสองหนา้ ตรงกลางปอุ ง และ ลอบไปทางหน้าท้ังลอง หน้าหน่ึงใหญ่เรียกว่า “หน้าเทิ่ง” หรือ “หน้าเท่ง” ปกติอยู่ด้าน ขวามือ อีกหน้าหนึ่งเล็ก เรียกว่า “หน้ามัด” ใช้ ลายหนงั เรยี กว่า “หนงั เรียด” โยงเรง่ เสยี ง ระหวา่ งหน้าทงั้ ลอง ตรองรอบขอบหนังขนึ้ หนา้ ทั้งลองช้าง ถักด้วยหนัง ตเี กลยี วเปน็ เส้นเลก็ ๆ เรียกวา่ “ไลล้ ะมาน” ล่าหรับใช้ร้อยหนังเรยี ด โยงไปโดยรอบจนหุ้มไม้หุ่นไวห้ มด ตอนกลาง หุ่นใช้หนงั เรียดพนั โดยรอบเรียกวา่ “รดั อก” หวั ตะโพนวางนอนอยบู่ นเทา้ ที่ทาด้วยไมใ้ ช้ฝุา มือซ้าย - ขวาตีทั้งลอง หนา้ ฆ้อง ทาดว้ ยโลหะแผ่นรูปวงกลม ตรงกลางทาเป็นปมนูน เพื่อใช้รองรับการดีให้เกิดเสียง เรียกว่า ปมฆ้อง ต่อ จากปมเป็นฐานแผ่ออกไป แล้วงองุ้มลงมาโดยรอบเรียกว่า “ฉัตร” ส่วนที่ เป็นพ้ืนราบรอบปมเรียกว่า “หลัง ฉัตร” หรอื “ซานฉัตร” ส่วนทีง่ อเป็นของเรียกว่า “ใบฉัตร” ท่ีใบฉัตรนี้จะมีรูเจาะสาหรับร้อยเชือก หรือหนังเพื่อ แขวนฆ้อง แขวนตีทางต้ังจะเจาะลองรู ล้าแขวนตีทางนอนจะเจาะลี่รู การบรรเลงฆ้องใช้ในการบรรเลงได้ลอง ลักษณะคอื ใช้ตกี ากบั จังหวะ และใช้ตดี าเนนิ ทานอง ฆ้องทใี่ ช้ตีกากบั จงั หวะได้แก่ ฆ้องทุย หรือฆ้องชัย ฆ้องโหม่ง ฆ้องเหม่ง ฆ้องระเบ็ง ฆ้องท่ีใช้ตีดาเนินทานองได้แก่ ฆ้องราง ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ฆ้องมโหรี ฆ้องมอญ ฆ้อง กะแต และฆ้องทยุ หรอื ฆอ้ งชัย ฆ้องกะแต

55 ฉาบ เปนี เคร่อื งตกี ากบั จังหวะ ทาด้วยโลหะ รปู ร่างคลา้ ยฉิง่ แต่มขี นาดใหญ่กว่าและหลอ่ บางกวา่ มีสองขนาด ขนาดใหญ่กวา่ เรียกว่า ฉาบใหญ่ ขนาดเลก็ กวา่ เรียกวา่ ฉาบเล็ก การตี จะตแี บบประกบ และตีแบบเปดิ 'ใหเ้ สยี ง ต่างกนั ฉ่ิง เป็นเครอ่ื งตกี ากับจังหวะ ทาด้วยโลหะ หล่อหนา รูปร่างกลม เว้ากลาง ปากผาย คล้าย ฝาขนมครกไม่มีจุก สารับหน่ึงมีสองฝาเจาะรูตรงกลางท่ีเว้า สาหรับร้อยเชือกโยงฝาทั้งสอง เพื่อสะดวกในการถือตี ฉ่ิงมีสองขนาด ขนาดใหญใ่ ชป้ ระกอบวงปีพาทย์ ขนาดเล็กใช้กับวง เครอ่ื งสายและมโหรี 4.เครอ่ื งดนตรไี ทยประเภท เครื่องเปุา เครอ่ื งเปุา หมายถงึ เครอ่ื งดนตรีประเภททีใ่ ช้ลมเปุาให้เกิดเสียง ซ่งึ แบ่งออกเป็น 2ประเภทคือ 1. ประเภทที่มลี ้ิน ซงึ่ ทาด้วยใบไม้ หรือไมไ้ ผ่ หรือโลหะ สาหรบั เปาุ ลมเขา้ ไปในล้นิ ๆจะเกิดความเคลื่อนไหวทา ให้เกิดเสยี งขนึ้ เรยี กว่า \" ลิ้นป่ี \" และเรยี กเครอ่ื งดนตรปี ระเภทน้วี ่า \" ปี่ \" 2. ประเภทไมม่ ีลน้ิ มีแตร่ ูบงั คับใหล้ มท่ีเปาุ หกั มุมแล้วเกดิ เปน็ เสียง เรียกว่า \" ขลยุ่ \" ท้งั ปี่และขล่ยุ มีลกั ษณะเปน็ นามว่า \" เลา \"มีวิธีเปุาทเี่ ป็นเอกลกั ษณ์ คือ การเปุาดว้ ยการระบายลม ซงึ่ ให้เสียงปี่ดงั ยาวนานติดต่อกนั ตลอด

56 ขลุ่ย ทาด้วยไม้ไผ่,ปล้องยาว ๆ เจาะข้อทะลุ ย่างไฟให้แห้ง ตบแต่งผิวให้ไหม้เกรียมเปีน ลวดลายสวยงาม ดา้ นหนา้ เจาะรกู ลม ๆ เรยี งแถวกนั 7 รู สาหรบั ปิดเปิดเสยี ง ขลุ่ยไม่มีสิ้น เหมือนปี แต่ใช้ไม้อุดเต็มปล้อง แล้วปาด ด้านล่างให้มีซ่องไม้อุดนี้เรียกว่า “ดาก” ด้านหลังใต้ ดากลงมาเจาะรูเปีนรูปสี่เหล่ียมผืนผ้า แต่ปาดตอนล่างเป็น ทางเฉียงไม่เจาะทะลุตรงเหมือนรู ด้านหน้า เรียกว่า “รูปากนกแก้ว” ใต้รูปากนกแก้วลงมาเจาะรูอีก 1 รู เรียกว่า “รูน้ิวค้า” เจาะรูอีกรูหนึ่งเรียกว่า “รูเย่ือ” ขลุ่ย 1 เลา จะมีรู'ทั้งส้ิน 14 รู ขลุ่ยมีทั้งหมด 3 ชนิด คือ 1. ขลุย่ หลีบ มี,ขนาดเลก็ 2. ขลุ่ยเพยี งออ มี,ขนาดกลาง 3. ขลยุ่ อู้ มี,ขนาดใหญ่ ปี เป็นเครือ่ งดนตรไี ทยแท้ ๆ ทาด้วยไมจ้ รงิ กลึงใหเ้ ป็นรปู บนหัวบานทา้ ย ตรงกลางปุอง เจาะภายในใหก้ ลวง ตลอดเวลา ทางหัวของปีเป็นซ่องรูเล็ก ส่วนทางปลายของปีปากรูใหญ่ ส่วนหัวเรียก “ทวนบน” ส่วนท้าย เรียก “ทวนล่าง” ตอนกลางของปีเจาะรูนิ้วสาหรับเปล่ียน เสียงลงมาจานวน 6 รู รูตอนบนเจาะเรียงลงมา 4 รู เจาะรลู ่างอีก 2 รู ตรงทวนบนใสล่ น้ิ ปีที่ ทาดว้ ยใบตาลซ้อนกนั 4 ข้ัน ตัดให้กลมแล้วนาไปผูกติดกับท่อลมเล็ก ๆ ที่ เรียกวา่ “กาพวด” กาพวดน้ทิ าด้วยทองเหลือง เงนิ นาค หรือโลหะ การผูกใช้วธิ ีผกู ท่ีเรยี กวา่ “ผกู ตะกรดุ เบด็ ” ปขี องไทยจดั ได้เป็น 3 ชนดิ ดงั น้ี 1.ปีนอก มี,ขนาดเล็ก เป็นปีทใ่ี ช้กันมาแต่เดิม 2.ปีกลาง มี,ขนาดกลาง สาหรบั เล่นประกอบการแสดงหนังใหญ่ มีสาเนยี งเสยี งอยู่ ระหว่างปนี อกกบั ปใี น 3.ปใี น มีขนาดใหญ่ เปน็ ปีทีพ่ ระอภัยมณีใช้สาหรับเปาุ ให้นางผีเสื้อสมทุ ร วงดนตรไี ทย แบง่ เปน็ กป่ี ระเภท อะไรบ้าง 1.วงเครอ่ื งสาย มี 4 แบบ คือ วงเคร่อื งสายไทยเครอื่ งเด่ยี ว, วงเคร่อื งสายไทยเคร่ือง คู่, วงเคร่อื งสายผสม และวง เครื่องสายปีขวา

57 2.วงมโหรี ประกอบด้วยเครื่องดนตรผี สม ท้งั ดดี สตี ี เปาุ เป็นวงดนตรีท่ใี ช้บรรเลง เพอ่ื ขับกลอ่ ม ไม่นยิ มบรรเลงใน การแสดงใด ๆ วงมโหรีมี 5 แบบ คือ 1) วงมโหรเี ครื่องสี 2) วงมโหรีเครอื่ งหก 3) วงมโหรีเคร่ืองเด่ยี ว หรือวงมโหรีเครื่องเลก็ 4) วงมโหรเี ครอื่ งคู่ และ 5) วงมโหรเี คร่ืองใหญ่ 3.วงปพี าทย์ ประกอบด้วยเครื่องดนตรปี ระเภท ตี เปุา และเครื่องประกอบจงั หวะ ใชบ้ รรเลงในงานพระราชพธิ ี และพธิ ตี ่าง ๆ แบ่งตามขนาดไดด้ งั น้ี 3.1วงปพี าทยเ์ คร่ืองสิบ 3.2วงปพี าทย์เครื่องหา้ แบ่งเปน็ 2 ชนิด คือ ปีพาทยเ์ คร่ืองหา้ อย่างหนัก และปพี าทย์เครื่องห้าอย่างเบา 3.3วงปพี าทยเ์ ครื่องคู่ 3.4วงปพี าทยเ์ ครื่องใหญ่ นอกจากนวิ้ งปพี าทย์ยังมีอกี 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ วงปพี าทย์นางหงส์ วงปพี าทย์ มอญ วงปพี าทย์ดกึ ดาบรรพ์ ประวตั ิคุณคา่ ภูมิปญั ญาทางดนตรไี ทย ภูมปิ ัญญาไทย มคี ณุ ค่า และความสาคัญอยา่ งไร 1.ภมู ปิ ัญญาไทยแสดงใหเ้ หน็ ถงึ การอนุรกั ษท์ ดี่ งี าม ทงั้ จารีตประเพณี วฒั นธรรม และการประดษิ ฐ์คดิ ค้นเพ่ือใช้ ประโยชนอ์ ย่างใดอยา่ งหน่งึ อยา่ งมีคุณคา่ 2.ภมู ปิ ญั ญาไทยกอ่ ให้เกิดการคิดริเรมิ่ สรา้ งสรรคค์ ุณคา่ ทางสังคมใหม่ ทง้ั ในส่ิงทเ่ี ป็น รูปธรรม และนามธรรม 3.ภมู ิปัญญาไทยกอ่ ให้เกิดการผลติ ภัณฑ์ การแปรรปู และการสร้างอาชีพใหม่ ทงั้ ค้านการผลิตสงิ่ ใหม่ และวธิ กี าร ผลติ สง่ิ ใหม่ ๆ 4.ภมู ปิ ญั ญาไทยกอ่ ใหเ้ กดิ เอกลกั ษณ์ของท้องถนิ่ 5.ภมู ปิ ญั ญาไทยก่อให้เกิดศลิ ปะของชาติ เซ่น จิตรกรรมลายไทย การฟอู นรา เครอ่ื ง ดนตรีไทย แสดงถงึ ความเปน็ อารยธรรมของชาติ 6.ภูมิปัญญาไทยไดเ้ สรมิ สร้างความสงบสุขในการดารงชีวติ 7.ภูมิปัญญาไทยสามารถสรา้ งมูลค่าทางเศรษฐกิจ และคณุ คา่ ทางสังคมไค้ 8.ช่วยสรา้ งความสามัคคีในหมคู่ ณะ 9.เสรมิ สรา้ งใหค้ นไทยเกิดความภาคภูมใิ จในศกั ด์ิศรี และเกียรติภมู ิในความเป็นไทย 10.สามารถนาไปลูก่ ารเปลี่ยนแปลง และปรบั ปรุงวถิ ีชีวิตใหเ้ กดิ การเหมาะสมไคต้ ามยคุ ตามสมัย

58 บคุ คลและภูมิปัญญาทางดนตรีไทยทสี่ าคัญ มีใครบา้ ง บุคคล และภูมิปัญญาทางดนตรไี ทย ตงั้ แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จบุ นั มีจานวนมาก อาทิเชน่ - พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั (รชั กาลท่ี 2) ทรงพระราชนิพนธเ์ พลง บุหสันลอยเล่อื น หรือบหุ สันลอย ฟูา - ครมู นตรี ตราโมท เกดิ เมื่อวันที่ 17 มิถนุ ายน พ.ศ. 2443 จงั หวดั สุพรรณบรุ ี ไค้แตง่ เพลงตอ้ ยต่ิง 3 ชนั้ และมี ความสามารถในการตขี มิ อยา่ งยงิ่ - พระยาประสานดุรียศัพท์ (แปลก ประลานศัพท์) เกิดเม่ือวันท่ี 4 กันยายน พ.ศ. 2403 ได้เป็นเจ้ากรมปีพาทย์ หลวงในสมัยรัชกาลที่ 6 และไค้แต่งเพลงเชิดจ่ัน 3 ชั้น พม่าหัว ท่อน เขมรราชบุรี เขมรปากท่อ เขมรใหญ่ ดอน สมอ ทองย่อน ธรณีรอ้ งไห้ มอญร้องไห้ เปน็ ต้น มีความสามารถ ในทางดนตรอี ย่างมากโดยเฉพาะเร่อื งขลุ่ย - ครูบุญยงค์ เกตุคง ได้เป็นหัวหน้าวงดนตรีไทยกรุงเทพมหานครจนเกษียณอายุ เป็น ผู้มีความเชี่ยวชาญในทาง ดนตรีอย่างยงิ่ บรรเลงปพี าทยไดท้ กุ ชนดิ โดยเฉพาะระนาดเอกซ่ึง ได้รบั การยกยอ่ งเปน็ พเิ ศษได้แต่งเพลงไว้จานวน มาก เซ่น โหมโรงแว่นเทียนชัย โหมโรง จฬุ ามณี โหมโรงสามสถาบัน เพลงเทพชาตรี - พระองค์เจา้ เพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไซยมหนิ ทโรดม ประสูติเมื่อวนั ท่ี 13 กนั ยายน พ.ศ. 2425 ได้ทรงแตง่ เพลง “ลาวดวงเดอื น” - ครทู องดี สุจรติ กุล เกิดเมือ่ วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 จงั หวดั ราชบุรี มคี วามสามารถโดดเด่นในการเล่นจะเข้ เคยเล่นจะเข้ถวายหนา้ พระที่นงั่ และเคยอัด แผ่นเลียงพระราชนิพนธใ์ นพระบาทลมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ วั พ.ศ. 2498 เริม่ เปน็ ครู ลอนในวิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศลิ ปากร ทาหนา้ ท่ีเลน่ จะเข้ไดร้ ับการยกยอ่ งเชดิ ชเู กยี รติ เปน็ ผมู้ ีผลงานดีเดน่ ทางวฒั นธรรมลาชาศลิ ปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจาปี พ.ศ. 2538 - หลวงประดิษฐ์ไพเพราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง) ได้แต่งเพลงไวเ้ ป็นจานวนร้อย ๆ เพลง และมชี นิดท่ที าแนวทางบรรเลง เปลยี่ นไปจากของเก่า เรียกวา่ “ทางเปลยี่ น” และเป็นผู้ ประดิษฐเ์ ครื่องดนตรี “อังกะลงุ ” แบบทดสอบก่อนเรียน

59 1.เสน้ ท่ใี ห้ความรู้สึกแข็งแรง สงู เด่น สงา่ งาม นา่ เกรงขาม คอื เส้นใด ก.เสน้ ตรงแนวตั้ง ข.เส้นตรงแนวนอน ค.เส้นตรงแนวเฉียง ง.เส้นโคง้ 2.สนี ้าเงินผสมกบั สแี ดง เกดิ เปน็ สอี ะไร ก.สมี ว่ ง ข.สีเทา ค.สเี ขียว ง.สสี ม้ 3. งานจติ รกรรมไทย มกั นิยมเขียนลงบนวสั ดุอะไรมากท่สี ุด ก.บนกระดาษขอ่ ย ข.บนกระดาษสา ค.บนฝาผนงั ปนู ง.บนแผ่นไม้ 4.งานศลิ ปะประเภทใดท่แี สดงถงึ ความเปน็ รปู ทรง 3 มติ ิ ก.งานจิตรกรรม ข.งานประตมิ ากรรม ค.งานวรรณกรรม ง.งานอุตสาหกรรม 5.สถาปัตยกรรมมคี วามสมั พันธก์ ับข้อใด ก. ผลงานทเ่ี กย่ี วข้องกบั สิ่งกอ่ สรา้ ง ข. ผลงานดา้ นการละคร ค. ผลงานศลิ ปะทีม่ ีรปู ทรง 3 มติ ิ ง. ผลงานที่เกดิ จากการวาดภาพและการระบายสี 6.เคร่อื งดนตรีไทยไดร้ บั วฒั นธรรมจากชาติใด

60 ก.อินเดีย ข.มอญ ค.เขมร ง.ถกู ทุกขอ้ 7.เคร่ืองดนตรไี ทย ประกอบด้วยประเภทใดบา้ ง ก.เคร่อื งสาย เคร่ืองเปุา และเคร่อื งตี ข.เครื่องดีด เครื่องสี เครอื่ งตี และเครือ่ งเขย่า ค.เคร่ืองสาย เครอ่ื งเปาุ และเครอ่ื งสี ง.เครอ่ื งดีด เคร่อื งสี เครอ่ื งตี และเครอ่ื งเปุา 8.เครอื่ งดนตรีประเภทใด “ใชเ้ สน้ หางม้าหลาย ๆ เสน้ รวมกนั สไี ปมาท่สี าย แลว้ เกดิ เสยี งดงั ข้นึ ” ก.เครอื่ งดดี ข.เคร่ืองสี ค.เคร่อื งตี ง.เครือ่ งเปุา 9.ขอ้ ใดกลา่ วไม่ถกู ตอ้ ง ก.ภูมปิ ัญญาไทยกอ่ ให้เกดิ เอกลกั ษณข์ องท้องถ่ิน ข.ภูมปิ ัญญาไทยแสดงให้เห็นถงึ การอนุรักษท์ ีด่ ีงาม ค.ภูมปิ ัญญาไทยชว่ ยสร้างความสามัคคีในหมคู่ ณะ ง.ภูมิปญั ญาไทยเสรมิ สร้างอปุ นสิ ยั รกั การอ่าน 10.ข้อใดไม่ใช่เคร่อื งดนตรไี ทย ก. ปีช่ วา ข. ซอดว้ ง ค. ไวโอลิน ง. กระจบั ปี่ เฉลย

61 1.ก 2.ก 3.ค 4.ข 5.ก 6.ง 7.ง 8.ข 9.ง 10.ค 11.จงอธบิ ายความสาคญั ของเครอ่ื งดนตรไี ทยชนดิ ตา่ งๆ ดงั นี้ 1.เครื่องดดี ตอบ เครอื่ งดีด คอื เครอื่ งดนตรไี ทยทเี่ ลน่ ดว้ ยการใช้นวิ้ มอื หรือไมด้ ีด ดดี สายให้ส่นั สะเทือน จึงเกิดเสียงข้นึ เชน่ พณิ จะเข้ เปน็ ตน้ 2.เครอ่ื งสี ตอบ เครื่องสี เป็นเครอื่ งลายท่ที าให้เกดิ เลยี งด้วยการใช้คันชักลีเข้ากับลาย โดยมากเรยี กว่า “ซอ” เคร่อื งลีท่ีนิยม เลน่ ได้แก่ ซอด้วง ซออู้ สะล้อ เป็นต้น 3.เครื่องตี ตอบ เคร่ืองตีแยกได้เปน็ 3 ประเภทตามหน้าท่ีในการเลน่ คอื 1.เครอื่ งตที ท่ี าจังหวะ หมายถงึ เคร่อื งตีที่เมื่อตีแล้วจะกลายเปน็ เสยี งท่ีคุมจงั หวะการเล่นของเพลงนนั้ ๆ ตลอดทัง้ เพลง ไดแ้ ก่ ฉิง่ และฉับ ถอื เป็นหัวใจของการบรรเลง 2.เครื่องตที ป่ี ระกอบจงั หวะมหี ลายอย่าง เชน่ กลองแขก กลองทดั ตะโพนไทย ตะโพนมอญฉาบใหญฉ่ าบเลก็ ฯลฯ 3.เคร่ืองตีทที่ าใหเ้ กิดทานอง ไดแ้ ก่ ฆ้องไทยวงใหญ่ ฆอ้ งไทยวงเล็ก ฆอ้ งมอญวงใหญ่ ฆ้องมอญวงเล็ก ระนาดเอก ระนาดท้มุ ชมิ อังกะลงุ (บรรเลงเปน็ วง 4.เคร่อื งเป่า ตอบ เคร่อื งเปุา เปน็ เครอื่ งดนตรีประเภททใ่ี ช้ลมเปาุ ให้เกดิ เสียง ซงึ่ แบ่งออกเปน็ 2ประเภทคือ 1. ประเภทท่ีมีล้ิน ซ่งึ ทาดว้ ยใบไม้ หรือไม้ไผ่ หรือโลหะ สาหรบั เปาุ ลมเขา้ ไปในลิ้นๆจะเกดิ ความเคลอื่ นไหวทาให้ เกิดเสียงข้นึ เรียกว่า \" ลน้ิ ป่ี \" และเรียกเครอ่ื งดนตรีประเภทนีว้ ่า \" ป่ี \" 2. ประเภทไม่มีลน้ิ มีแต่รูบงั คับใหล้ มท่ีเปุาหัก มมุ แลว้ เกิดเป็นเสียง เรยี กว่า \" ขลุ่ย \" ทง้ั ปแ่ี ละขลุ่ย มีลักษณะเป็นนามวา่ \" เลา \"มีวธิ เี ปุาที่เปน็ เอกลกั ษณ์ คือ การเปุาดว้ ยการระบายลม ซ่งึ ใหเ้ สยี งปี่ดัง ยาวนานตดิ ต่อกนั ตลอด แบบทดสอบก่อนเรยี น

62 1. ศาสดาผ้คู น้ พบหลกั คาสอนและก่อตั้งศาสนาพุทธ เดิมมชี อ่ื วา่ อะไร ก. มหากัสสปะ ข. สิทธตั ถะ ค. สารบี ตุ ร ง. โมคคลั ลานะ 2. หลักอรยิ สจั 4 เปน็ หลักธรรมเพ่อื ใชใ้ นการดาเนนิ ชีวติ ตามขอ้ ใด ก. แกป้ ญั หาวา่ ดว้ ยทุกข์ ข. แกป้ ญั หาว่าด้วยการครองเรอื น ค. แกป้ ัญหาวา่ ดว้ ยการครองคน ง. แก้ปัญหาวา่ ด้วยการครองตน 3. นายมนตรีปฏบิ ตั ิตามหลกั พรหมวหิ าร 4ทาใหไ้ ดร้ บั ประโยชน์ตามขอ้ ใด ก. มีเพอ่ื นฝูงมาก ข. มีภรรยาและลกู ท่ีดี ค. ครู อาจารย์ใหค้ วามรกั ความเมตตา ง. ถูกทุกขอ้ 4. บุคคลในขอ้ ใด ไม่เปน็ ผู้อนุรกั ษ์วัฒนธรรมและประเพณีไทย ก. ดารง ใช้การสมั ผสั มอื กับคนไทยในตา่ งประเทศแทนการไหว้ ข. สุณี แตง่ กายสุภาพ และมกี ิรยิ าเรยี บร้อย ค. กอ้ งเกยี รติ ให้ผ้ใู หญไ่ ปสขู่ อนฤดตี ามประเพณี ง. เรยา ทกั ทายผโู้ ดยสารคนไทยด้วยการไหว้ 5. คา่ นิยมสาคัญท่ีคนไทยควรนาไปใช้ในการปฏบิ ตั ิงานคือขอ้ ใด ก. ความเอ้ือเฟ้ือเผอื่ แผ่

63 ข. ความซอื่ สัตย์ สุจริต ค. ความกตญั ญู กตเวที ง. การนยิ มของไทย ๖. วนั รฐั ธรรมนญู ของไทยตรงกบั วนั ใด ก. วนั ท่ี 10 ธันวาคม ของทกุ ปี ข. วนั ที่ 10 พฤศจกิ ายน ของทุกปี ค. วนั ที่ 10 ตลุ าคม ของทกุ ปี ง. วันที่ 10 มกราคม ของทุกปี ๗. รฐั ธรรมนญู ของไทยมีกีฉ่ บบั ก. 17 ฉบับ ข. 18 ฉบับ ค. 19 ฉบับ ง. 20 ฉบบั ๘. วถิ ีชวี ิตไทยภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย คือข้อใด ก. วถิ ชี วี ิตแบบชาวบา้ น ข. วิถีชวี ิตที่ทาตามธรรมเนยี ม ค. การดาเนินชีวิตของชนชาวไทยยดึ ถือเสียงข้างมากเป็นส่วนใหญ่ ง. ไม่มีขอ้ ถกู ๙. ข้อใดคือสิทธติ ามหลักพืน้ ฐานของสทิ ธิมนุษยชน ก. เสรีภาพในการแสดงออก ข. เสรีภาพในความเชื่อ ค. เสรีภาพจากความหวาดกลัว ง. ถูกทุกขอ้ ๑๐. ข้อใดไมใ่ ชก่ ารพฒั นาในเรือ่ งสทิ ธมิ นุษยชน ก. ระยะเรมิ่ ตน้

64 ข. ระยะแหง่ การเรียนรู้ ค. ระยะแห่งการเคารพสทิ ธมิ นุษยชน ง. ระยะพัฒนาการ เฉลย 1. ข. สิทธตั ถะ 2. ก. แก้ปญั หาวา่ ดว้ ยทกุ ข์ 3. ง. ถูกทุกขอ้ 4. ก. ดารง ใชก้ ารสมั ผัสมอื กบั คนไทยในตา่ งประเทศแทนการไหว้ 5. ข. ความซื่อสตั ย์ สุจริต 6. ก. วันท่ี 10 ธนั วาคม ของทกุ ปี 7. ง. 20 ฉบบั 8. ก. วถิ ชี ีวติ แบบชาวบา้ น 9. ข. เสรภี าพในความเชื่อ 10 ง. ระยะพัฒนาการ ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี สาระสาคัญ

65 เนอ้ื หาสาระเกย่ี วกับความเปน็ มาของศาสนาต่างๆในประเทศไทย และประเทศในทวปี เอเชีย หลักธรรมสาคัญของศาสนาต่างๆ การอยรู่ ่วมกับคนต่างศาสนาได้อย่างมีความสขุ กรณีตัวอยา่ งของ บุคคลตัวอยา่ งในแต่ละศาสนา ผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวัง 1. ประวตั ิ ความสาคญั หลักคาสอน ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ของประเทศในทวปี เอเชีย 2. ยอมรับและปฏบิ ัติตนเพ่ือการอยู่รว่ มกนั อย่างสนั ตสิ ขุ ในสังคมที่มคี วามหลากหลายทาง ศาสนา ขอบข่ายเนอื้ หา เร่ืองที่ 1 ความเป็นมาของศาสนาในประเทศไทย เรอื่ งท่ี 2 ความเป็นมาของศาสนาในทวปี เอเชีย เร่อื งท่ี 3 หลกั ธรรมของศาสนาต่างๆ ส่ือการเรยี นรู้ 1. ใบงาน 2. หนังสอื เรียน

66 เรื่องที่ 1 ความเป็นมาของศาสนาในประเทศไทย ศาสนาในประเทศไทยท่ีรัฐบาลใหก้ ารอุปถมั ภ์ ดูแลมที ้งั สน้ิ 5 ศาสนา ไดแ้ ก่ ศาสนาพทุ ธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาฮนิ ดู และศาสนาซกิ ซ์ ซง่ึ ทกุ ศาสนาล้วนมอี งคป์ ระกอบหลักท่ี สาคญั ๆ 5 ประการ คือ 1. ศาสดา หมายถึง ผ้ทู ีคน้ พบศาสนาและเผยแผค่ าสั่งสอน หรือหลกั ธรรมของศาสนา 2. ศาสนธรรม หรือหลกั ธรรมของศาสนา เป็นคาสัง่ สอนของแตล่ ะศาสนา 3. ศาสนิกชน หมายถงึ บุคคลและปวงชนทใ่ี หก้ ารยอมรับนบั ถอื ในคาสัง่ สอนของศาสนานั้นๆ 4. ศาสนาสถาน หมายถึง สถานท่อี ยอู่ าศัยของนักบวช ใชเ้ ป็นท่ปี ระกอบพิธีกรรมทางศาสนา รวมถึงการเปน็ ทท่ี ี่ใหศ้ าสนกิ ชนไปปฏบิ ตั กิ ิจกรรมทางศาสนา 5. ศาสนพิธี หมายถึง พิธที างศาสนาต่างๆ ทถี่ ูกกาหนดขึน้ จากศาสดาโดยตรงหรือจากการ คดิ คน้ ของผู้ปฏิบัติ มีเนอื้ หาเกย่ี วกบั ความต้องการขจดั ความไม่รคู้ วามกลวั ความอตั คัด สนองความ ตอ้ งการในสงิ่ ที่ตนขาดแคลน จึงจาเป็นตอ้ งมวี ตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษาค้นคว้า ปฏบิ ัติตามหลักของ ศาสนา ประเทศไทยมศี าสนาพุทธเปน็ ศาสนาประจาชาติ และมีผ้นู ับถอื จานวนมากท่ีสุดในประเทศ รองลงมา คอื ศาสนาอิสลาม คริสต์ และฮนิ ดู การศึกษาความเป็นมาของศาสนาดงั กล่าวในประเทศ ไทย มคี วามสาคญั และจาเป็น เพราะทาให้เกิดความเข้าใจในศาสนาทตี่ นนับถอื และเพ่ือรว่ มศาสนา อืน่ ๆในประเทศ อันจะสง่ ผลให้สามารถอยรู่ ่วมกันไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ 1.1 ศาสนาพุทธในประเทศไทย พทุ ธประวัติ ศาสดาผทู้ ค่ี นพบศาสนาและเผยแผ่คาส่ังสอนหรือหลักธรรมของศาสนาพุทธ คือพระพุทธเจ้า พระพทุ ธเจ้า พระนามเดมิ วา่ \"สทิ ธตั ถะ\" เปน็ พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหา มายาแห่งกรุงกบลิ พสั ดิ์แคว้นสกั กะ พระองค์ทรงถือกาเนิดในศากยวงศส์ กลุ โคตมะ พระองค์ประสูติใน วันศุกร์ ข้ึน 15 ค่า เดือน 6 (เดือนวิสาขะ) ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ ระหวา่ งกรุงกบิลพสั ํด์ แคว้นสกั กะกบั กรงุ เทวทหะ แคว้นโกลิยะ (ปัจจุบันคือ ตาบลรุมมินเด ประเทศ เนปาล) ท้ังน้ี เป็นเพราะธรรมเนียมท่ีสตรีจะต้องไปคลอดบุตรที่บ้านบิดามารดาของตน พระนางสิริ มหามายาจงึ ต้องเดนิ ทางไปกรงุ เทวทหะ

67 หลังจากประสูติได้ 5 วัน พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้ประชุมพระประยูรญาติ และเชิญ พราหมณผ์ เู้ รยี นไตรเพท จานวน 108 คน เพ่ือมาทานายพระลักษณะของพระราชกุมาร พระประยูร ญาติได้พรอ้ มใจกันถวายพระนามว่า \"สิทธัตถะ\" มคี วามหมายว่า \"ผู้มีความสาเร็จสมประสงค์ทุกสิ่งทุก อย่างที่ตนตั้งใจจะทา\" ส่วนพราหมณ์เหล่านั้น คัดเลือกกันเองเฉพาะผู้ท่ีทรงวิทยาคุณประเสริฐกว่า พราหมณ์ท้งั หมดได้ 8 คน เพื่อทานายพระราชกุมาร พราหมณ์7 คนแรก ต่างก็ทานายไว้ 2 ประการ คือ \"ถา้ พระราชกุมารเสดจ็ อยคู่ รองเรือนก็จกั เปน็ พระเจ้าจกั รพรรดิผทู้ รงธรรม หรือถ้าเสด็จออกผนวช เป็นพรรพชิตจักเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก\" ส่วนโกณทัญญะพราหมณ์ ผู้มี อายนุ ้อยกวา่ ทกุ คน ได้ทานายเพียงอย่างเดียววา่ พระราชกุมารจักเสด็จออกจากพระราชวังผนวชเป็น บรรพชติ แล้วตรสั รู้เป็นพระอรหนั ตส์ มั มาสมั พทุ ธเจา้ ผู้ไม่กิเลสในโลก\" เมอ่ื เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติได้ 7 วัน พระราชมารดาก็เสด็จสวรรคต พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึง่ เปน็ พระกนิษฐาของพระนางสิรมิ หามายา เปน็ ผถู้ วายอภิบาลเลี้ยงดเู มื่อพระสิทธัตถะทรงพระเจริญ มีพระชนมายุได้ 8 พรรษา ได้ทรงศึกษาในสานักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งมีเกียรติคุณแผ่ขจรไกลไปยัง แคว้นต่างๆ เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาศิลปวิทยาเหล่านี้ได้อย่างว่องไวและเชี่ยวชาญจนหมด ความสามารถของพระอาจารย์ ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์มั่นคงท่ีจะให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงครองเพศฆราวาสเป็น พระจักรพรรดิผู้ทรงธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสาราญ แวดล้อมด้วยความบันเทิง นานาประการแกพ่ ระราชโอรสเพื่อผูกพระทัยให้ม่ังคงในทางโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชนม์ ได้ 16 พรรษา พระเจา้ สุทโธทนะมพี ระราชดาริว่าพระราชโอรสสมควรจะได้อภิเษกสมรส จึงโปรดให้ สร้างประสาทอันวิจิตรงดงามขึ้น 3 หลัง สาหรับให้พระราชโอรสได้ประทับอย่างเกษมสาราญตาม ฤดูกาลทั้ง 3 คอื ฤดรู อ้ น ฤดฝู นและฤดูหนาว

68 เรอื่ งท่ี 2 หลกั ธรรมของศาสนาต่างๆ 1) หลักธรรมของศาสนาพทุ ธ หลักธรรมของศาสนาพุทธ หรอื อาจกล่าวส้ันๆวา่ ศาสนธรรม ไดจ้ ดั ไวเ้ ปน็ หมวดหมู3่ หมวดดว้ ยกนั เรยี กหมวดหมูท่ ่ีจาแนกจดั ในกระจาดหรอื ตะกรา้ คอื คาว่า “ปิฎก” แปลได้อีกอย่างว่า คัมภรี ์ ดังนนั้ พระไตรปิฎก หมายความว่า เป็นท่รี วบรวมคาส่ังสอนของพระพทุ ธเจ้าไวเ้ ป็นหมวดหมู่ ไมใ่ หก้ ระจดั กระจายคล้ายกระจาดหรอื ตะกร้าเป็นทใ่ี ส่สงิ่ ของและ ไตร แปลว่า 3 ดงั นน้ั ใน 3 ปิฎก ประกอบด้วย 1. พระวนิ ัยปฎิ ก วา่ ด้วยวินยั หรอื ศีลของภกิ ษุ ภิกษณุ ี 2. พระสุตตนั ตปฎิ ก วา่ ดว้ ยพระธรรมเทศนาทว่ั ๆไป 3. พระอภิธรรมปฎิ ก ว่าดว้ ยธรรมะลว้ น หรือธรรมะทส่ี าคญั ในสมัยของพระพุทธเจ้ายังไม่มีพระไตรปิฎก แต่เรียกธรรมท่ีพระองค์ประทานไว้ มากมายต่างกาลเวลา สถานที่ พระสาวกท่องจากันไว้ได้และจัดระเบียบหมวดหมู่เป็นปิฎกต่างๆเมื่อ พระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพานแลว้ จงึ ไดม้ ีการสังคายนาหรือตรวจชาระ จัดระเบียบคาสอนของพระองค์เป็น หมวดหมู่ ด้วยการท่อง การจารึกในตวั หนงั สือ ดว้ ยการพิมพ์เปน็ เลม่ หลักธรรมสาหรับชาวพทุ ธ หลกั ศาสนาพทุ ธ เช่อื เร่ืองการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก ชีวิตเป็นทุกข์เป็นไปตามกฎแห่ง กรรม ทาดีได้ดี ทาชั่วได้ช่ัว ภพภูมิท่ีเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิของสัตว์โลกมี 3 ภูมิคือ มนุษย์โลก เท วโลก และนรกภูมิ จนกว่าสัตว์โลกน้ันจะขจัดกิเลสหมดสิ้น และเข้าสู่โลกพระนิพพาน ไม่มีการเวียน ว่ายตายเกิดอีกการปฏิบตั ิตามหลักธรรมของศาสนาพทุ ธนั้นควรเปน็ ไปตามลาดบั ช้ัน คอื 1. การปฏิญาณตนเปน็ พุทธมามกะ 2. การปฏิบัติตนตามศลี 5 ศลี 5 เป็นพ้ืนฐานของพุทธศาสนิกชน พึงประพฤติปฏิบตั คิ ือ 1. ปาณาตปิ าตา เวระมะณี สกิ ขา ปะทัง สะมาทิยามิ แปลว่า งดเวน้ การฆา่ เบยี ดเบยี นทารา้ ยร่างกายคนและสตั ว์ 2. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขา ปะทัง สะมาทยิ ามิ แปลวา่ งดเวน้ จากการถอื เอา สง่ิ ของทเ่ี ขาไมใ่ ห้ 3. กาเมสมุ จิ ฉา จารา เวระมะณี สิกขา ปะทัง สะมาทยิ าม แปลวา่ งดเว้นจากการ ประพฤติผดิ ในกาม

69 4. มสุ าวาทา เวระมะณี สกิ ขา ปะทัง สะมาทิยามิ แปลวา่ งดเวน้ จากการพดู ปด พูด สอ่ เสียด พดู เพ้อเจอ้ 5. สรุ าเมระยะ มชั ชะปะมาทฏั ฐานะ เวระมะณี สิกขา ปะทงั สะมาทิยามิ แปลว่า งด เว้นจากสรุ า ยาเสพติดท้ังปวง 3. การปฏิบัติตนเพื่อความพน้ ทุกข์ ชาวพทุ ธควรศึกษาธรรมทส่ี าคญั ๆ คอื อริยสจั 4 อทิ ธิบาท 4 ทศิ 6 สัปปุรสิ ธรรม 7 อบายมขุ 6 พรหมวหิ าร 4 สงั คหวตั ถุ4 และชาวพุทธควรบริหารจติ ตามหลักพุทธศาสนา 3.1 อรยิ สัจ 4 คอื ธรรมทพี่ ระพุทธเจ้าทรงตรสั รู้อรยิ สัจ 4 คือ ความจรงิ 4ประการ คอื 1.) ทกุ ข์ คอื ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ อนั เนอ่ื งมาจากสภาพท่ที นไดย้ าก คือ สภาวะทบ่ี ีบคน้ั จิตใจ ความขดั แยง้ ความไม่สมปรารถนา การพลัดพรากจากสิ่งทีร่ ักทชี่ อบใจ 2.) สมุทัย คอื เหตทุ ี่ทาให้เกิดความทุกข์ จากตัณหา หรอื ความอยากความตอ้ งการ มี สาเหตมุ าจากกามตณั หา คอื ความอยากไดใ้ นส่ิงท่ีปรารถนา เชน่ อยากได้บา้ นภวตณั หา คือ ความอยากเปน็ โนน่ อยากเปน็ น่ีวิภวตัณหา คือ ความไม่อยากเปน็ น่ัน ความไม่อยากเปน็ น่ี 3.) นิโรธ หมายถงึ ความดบั ทกุ ข์ คือการดบั ตัณหา ความอยากใหส้ ้ินไปถา้ เราตัดความ อยากไดม้ ากเทา่ ใด ทุกขก์ ม็ นี ้อยลงไปดว้ ย และถา้ เราดบั ไดค้ วามสุขจะเกิดขึ้น 4.) มรรค หมายถึง ขอ้ ปฏิบตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทุกข์ ได้แก่ การเดินทางสายกลางหรือ เรยี กอย่างหน่ึงวา่ มรรค มสี ่วนประกอบ 8 ประการคือ 1.) สมั มาทฎิ ฐิ คือ ความเหน็ ชอบ 2.) สมั มาสงั กปั ปะ คือ ความดาริชอบ 3.) สัมมาวาจา คือ ความเจรจาชอบ 4.) สัมมากัมมนั ตะ คือ การกระทาชอบ 5.) สมั มาอาชวี ะ คอื การเลี้ยงชีพชอบ 6.) สัมมาวายามะ คือ การเพยี รชอบ 7.) สัมมาสติ คอื การระลึกชอบ 8.) สัมมาสมาธิ คือ การตัง้ ใจชอบ 3.2 อทิ ธบิ าท 4 เป็นธรรมะท่ปี ฏิบตั ติ นในสง่ิ ทม่ี ุ่งหมายให้พบความสาเร็จเป็นธรรมะทีใ่ ชก้ ับ การศึกษา เล่าเรียน การทางาน อาชีพต่างๆ อทิ ธิบาทหมายถงึ ธรรมทีใ่ หบ้ รรลุความสาเร็จ มาจากคา

70 ว่า อิทธิ คือความสาเรจ็ บาท คอื ทางวิถนี าไปสู่ ดงั น้ัน อทิ ธบิ าท จึงแปลว่า วิถีแห่งความสาเร็จ ประกอบด้วย 1.) ฉนั ทะ คือ ความพอใจรักใคร่สงิ่ นัน้ เช่น รกั ใครใ่ นการงานทีท่ า ในวชิ าทีเ่ รียน 2.) วิรยิ ะ คอื เพียรหมั่นประกอบในส่ิงน้ัน มีกาลงั ใจ เขม้ แข็ง อดทน หนกั เอาเบาสู้ 3.) จติ ตะ คอื เอาใจใสส่ ิง่ นัน้ ไมว่ างธรุ ะ ต้ังใจ จิตใจจดจ่อกับงาน 4.) วมิ งั สา คือ หม่นั ตริตรองพจิ ารณาเหตผุ ลในสิ่งนั้น ปรบั ปรุงพัฒนา แก้ไข สิ่งนน้ั ได้ 3.3 ทิศ 6 คอื สิ่งที่ทุกคนทอี่ ยู่รวมกนั ในสังคมพงึ ปฏิบัติตอ่ กนั ในทางทดี่ งี ามรายละเอยี ด คอื 1. ทศิ เบอ้ื งหน้า ไดแ้ ก่ บิดา มารดา เปน็ ผู้อุปการะบุตร ธดิ ามากอ่ นนับต้ังแต่ปฏสิ นธิ ในครรภ์มารดา และประคบประหงมเลยี้ งดูบุตรธดิ าควรบารุงบิดา มารดา 2. ทิศเบ้อื งขวา ไดแ้ ก่ อาจารย์เพราะอาจารย์เป็นผ้อู บรมส่ังสอนศิษยใ์ หร้ ้วู ชิ าการ ต่างๆ และบาปบุญคณุ โทษ 3. ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ สามี ภรรยา เพราะสามี ภรรยาเปน็ ผมู้ าทีหลงั จงึ ยกไว้เปน็ ทิศ เบ้ืองหลัง สามีพงึ บารุงภรรยา 4. ทิศเบ้อื งซ้าย ได้แก่ มิตรสหาย เพราะเปน็ ผู้ช่วยเหลอื ในกิจธุระตา่ งๆท่ีเกิดขน้ึ ให้ สาเรจ็ เหมือนกับมอื ซ้าย ช่วยประคองมือขวาใหท้ างาน 5. ทิศเบื้องลา่ ง ไดแ้ ก่ บา่ ว ไพร่ กรรมกร เพราะเปน็ ผทู้ ีต่ า่ กว่า จึงยอมตนเปน็ คนรบั ใช้ 6. ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณพราหมณ์ ผูท้ ่ีเป็นท่ีเคารพสักการะท่วั ไป เป็นผู้ปฏิบัติธรรม เป็นอริยสาวกพระพทุ ธเจา้ 3.4 สปั ปรุ ิสธรรม 7 คอื ธรรมของคนดี 7 อย่าง คือ 1.) ความเปน็ ผรู้ ู้จกั เหตุ (ธัมมญั ญตุ า) 2.) ความเป็นผรู้ ้จู กั ผล (อัตกัญญตุ า) 3.) ความเปน็ ผูร้ ู้จักตน (อัตตัญญุตา) 4.) ความเป็นผรู้ ู้จักประมาณ (มัตตญั ญุตา) 5.) ความเปน็ ผรู้ จู้ ักกาล (กาลญั ญุตา) 6.) ความเป็นผู้ร้จู กั ชมุ ชน (ปริสัญญุตา)

71 7.) ความเปน็ ผูร้ ้จู ักเลือกบคุ คล (ปคุ คลปโรปรัญญตุ า) 3.5 อบายมขุ 6 ละเวน้ จากอบายมขุ 6 คอื 1. การด่มื นา้ เมา 2. เท่ยี วกลางคืน 3. เที่ยวดูการละเลน่ 4. เลน่ การพนัน 5. คบคนช่วั เป็นมติ ร 6. เกยี จคร้านการทางาน 3.6 พรหมวหิ าร 4 คอื ธรรมะของผใู้ หญท่ ี่ควรปฏิบตั ิ คือ 1. เมตตา คอื ความปรารถนาใหผ้ ้อู ่นื มคี วามสุข 2. กรณุ า คอื ความปรารถนาใหผ้ ้อู ืน่ พ้นจากความทุกข์ 3. มทุ ิตา คือ ความยินดีเมอื่ ผ้อู ่ืนไดด้ ี 4. อุเบกขา คือ การวางเฉย ไม่ลาเอียง ทาใหเ้ ปน็ กลาง ใครทาดียอ่ มไดด้ ี 3.7 สังคหวตั ถุ 4 คือ ธรรมที่เปน็ เครอ่ื งยึดเหน่ียวนา้ ใจผอู้ น่ื 1. ทาน การให้ การเสียสละ เอ้ือเฟ้ือเผ่อื แผ่ 2. ปยิ วาจา การพดู ด้วยถ้อยคาทีไ่ พเราะ 3. อตั ถจริยา การสงเคราะห์ทุกชนดิ หรือการประพฤตใิ นส่ิงที่เปน็ ประโยชนต์ อ่ ผู้อนื่ 4. สมานตั ตตา การเป็นผู้สมา่ เสมอ มีความประพฤติเสมอตน้ เสมอปลาย สรปุ หลกั ธรรมที่ชาวพทุ ธพึงปฏบิ ตั ิ คอื การละความช่ัว การทาความดี การทาจิตใจให้ แจม่ ใส และการทาสมาธภิ าวนา การละความชว่ั คอื การไมท่ าบาป อกุศลท้ังมวล การถอื ศีล 5 หรือศลี อ่ืนๆ ตามบทบาทหน้าท่ี ของตนเอง การทาความดี มีความกตัญญูกตเวทตี อ่ ผู้มีคณุ ต่อสังคม สว่ นรวมประเทศชาติ ความ ขยนั หมัน่ เพยี รในการงาน อาชีพ ไม่เอาเปรยี บคดโกงผอู้ นื่ และการทาจติ ใจให้แจ่มใส ไม่คดิ ทกุ ข์ โศกเศรา้ อนั เกดิ จากการเสื่อมของสังขาร โรคภัยไขเ้ จ็บ ความอยากมอี ยากเปน็ อยากได้ต่างๆ รวมทั้ง การสญู เสียสิ่งท่ีรกั ตา่ งๆโดยใชห้ ลักการทาสมาธิภาวนา

72 เรอื่ งท่ี 3 แนวทางการอนุรักษแ์ ละการสืบสานวัฒนธรรม ประเพณี แนวทางการอนรุ กั ษแ์ ละสบื สานวัฒนธรรม ประเพณี 1. การอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณี ควรเริ่มต้นจากการปลูกจิตสานึกให้เยาวชนและ ประชาชน ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าและความสาคัญของวัฒนธรรมที่ถือเป็นหน้าท่ี ของทุกคนท่ี ช่วยกันอนรุ ักษ์ โดยการศึกษาวัฒนธรรมให้เขา้ ใจ จะไดช้ ว่ ยกนั ร่วมมอื รกั ษา 2. ร่วมกันเผยแพร่วัฒนธรรมและประเพณี โดยการศึกษาเรียนรู้และสืบทอดวัฒนธรรม ประเพณีของชาติตนเอง ตวั อยา่ งคือการเรียนรูด้ นตรี การเล่นดนตรีการศึกษาเพลง ฟังเพลง และร้อง เพลงประจาชาติ ประจาทอ้ งถน่ิ เป็นต้น 3. เร่มิ ต้นจากครอบครัว โดยร่วมมือกนั ในครอบครวั ชุมชน สงั คม จดั ตง้ั ชมรมสมาคม สถาบัน เพ่อื จัดกจิ กรรมอนุรกั ษส์ บื ทอดวฒั นธรรม ประเพณใี นทอ้ งถน่ิ และชาติ 4. สอ่ื ตา่ งๆ ในสังคมเหน็ ความสาคัญทีจ่ ะศกึ ษาและถา่ ยทอดวัฒนธรรมเปน็ ประจาสมา่ เสมอ 5. ทุกคนต้องร่วมมือกันหวงแหนรักษาวัฒนธรรมอันดีงามให้คงอยู่ มิให้แปรเปลี่ยน เช่น ประเพณีสงกรานต์ ต้องร่วมมือกันทากิจกรรมอันดีงาม คือสรงน้าพระ รดน้าขอพรผู้สูงอายุ ไม่ควร สาดนา้ ใสก่ ันแบบไม่สุภาพเรียบรอ้ ยและรนุ แรง 6. การร่วมมือรักษา และถ่ายทอดภูมิปัญญา ให้ไปสู่สังคมและรุ่นบุตรหลานภูมิปัญญา หมายถงึ ความรู้ ความสามารถ ความคิด ความเช่ือท่ีกลุ่มคนเรียนรู้จากประสบการณ์ สั่งสมไว้ในการ ดารงชพี มีกรพัฒนา เปลยี่ นแปลง สืบทอดกันมา มกี ารแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มคนอ่ืนที่มีการติดต่อ สัมพันธ์กัน แล้วนามาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์สาหรับตนเอง ตัวอย่างภูมิปัญญา การปลูกพืชพันธุ์ พนื้ เมอื ง การทานา้ ปลา การป้นั ปูน เป็นต้น 7. แนวทางการอนรุ ักษแ์ ละสบื สานวัฒนธรรมของชุมชนและของประเทศต่างๆในทวปี เอเชีย มี หนว่ ยงานทงั้ ภาครัฐและเอกชนที่ทาหน้าท่ีส่งเสริมสนับสนุนการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชุมชน และประเทศต่างๆ ตัวอยา่ งคือ เรามีการ เร่อื งท่ี 4 คา่ นิยมทพี่ งึ ประสงค์ ค่านิยมท่ีดงี ามของชาติต่างๆในเอเชยี คา่ นยิ มท่คี วรสง่ เสรมิ พฒั นาใหเ้ กดิ ข้ึนใน ประเทศต่างๆในเอเชีย คอื 1. ความสภุ าพอ่อนโยน เปน็ นิสัยทดี่ ีของประชาชนในทวีปเอเชีย

73 2. ความสามารถในการสรา้ งสรรค์วัฒนธรรมด้านศิลปะสาขาต่างๆ ซง่ึ มีความสวยงาม มีสุนทรี คงความเป็นวฒั นธรรมเอเชียไว้อย่างโดดเด่น 3. ความสะอาด ความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยของบา้ นเมอื งเพอื่ ให้เปน็ แหล่งทอ่ งเท่ยี ว ทีม่ ี คุณคา่ 4. ความซ่ือสัตย์ ความขยันในการประกอบอาชีพ และตรงต่อเวลาค่านิยมสาคัญท่ีกล่าวมาน้ี ล้วนเป็นพ้นื ฐานใหค้ วามเป็นชาตมิ ัน่ คงและคงเอกลักษณ์วฒั นธรรมประเพณที ่สี ง่ ผลให้เอเชียยังคงเป็น แรงดึงดูดใจที่มีเสน่ห์ในการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมประเพณี และอุตสาหกรรมการท่องเท่ียวสืบต่อไป นานเท่านาน ค่านยิ มในสังคมไทย ค่านยิ ม คือ สง่ิ ทก่ี ลุ่มสังคมหนงึ่ ๆเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่านิยม น่ากระทา น่ายกย่อง เป็นส่ิง ท่ีถูกต้อง ดีงาม เหมาะสมที่จะยึดถือพึงปฏิบัติร่วมกันในสังคมค่านิยมเป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรม เนื่องจากมีการเรียนรู้ปลูกฝังและถ่ายทอดจากสมาชิกรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง สังคมแต่ละสังคมจึงมี ค่านิยมต่างกันไป ค่านิยมช่วยให้การดาเนินชีวิตในสังคมมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน และทาให้การ ดาเนินชวี ติ ของสมาชิกมเี ปูาหมาย ช่วยสร้างความเปน็ ปกึ แผน่ ให้แก่สังคม อย่างไรก็ดี ค่านิยมเป็นสิ่งที่ มีการเปล่ียนแปลงได้ ในปัจจุบันน้ีสังคมไทยมีค่านิยมใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก เช่น ค่านิยมในการอนุรักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติ ค่านิยมในการนาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใชใ้ นชีวติ ประจาวัน เปน็ ต้น คา่ นยิ มท่ีควรปลูกฝังในสังคมไทย ไดแ้ ก่ 1) การรกั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2) ความเอือ้ เฟื้อเผื่อแผ่ 3) ความกตัญญกู ดเวที 4) ความซือ่ สตั ย์ สจุ ริต 5) การเคารพผู้อาวุโส 6) การนยิ มใชข้ องไทย 7) การประหยัด

74 รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย สาระสาคัญ ประเทศไทยมกี ารปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขมีรัฐธรรมนูญ ซ่ึงเป็น กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ที่ประชาชนชาวไทยควรมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมา หลักการ เจตนารมณ์ โครงสร้างและสาระสาคัญของรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย ตลอดจนการศึกษาจุดเด่น ของรฐั ธรรมนญู ในสว่ นทีเ่ กย่ี วกบั สทิ ธิ เสรภี าพ และหน้าท่ีของประชาชน เพื่อการปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง ตามท่ี รัฐธรรมนูญกาหนด ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวงั ๑. อธบิ ายความเปนมา หลักการ เจตนารมณ โครงสราง สาระสาคญั ของรัฐธรรมนูญได ๒. มีความรูความเขาใจในหลกั สาคญั ของประชาธิปไตยและมีคณุ ธรรม จริยธรรมในการ อยรู วมกันอยางสนั ติ สามัคคี ปรองดอง สมานฉันท ๓. อธบิ ายจดุ เดนของรัฐธรรมนญู เกย่ี วกบั สิทธิ เสรภี าพ และหนาท่ีของประชาชนได ๔. อธบิ ายสทิ ธิ เสรีภาพและคุณธรรม จรยิ ธรรม การอยูรวมกนั ตามวถิ ที าง ประชาธิปไตยไดย ๕. อธบิ ายการปฏิรปู การเมือง การปกครอง และมสี วนรวมการเมืองการปกครอง ตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ทรงเปนประมขุ ได ๖. อธิบายหลกั สิทธมิ นษุ ยชน ตระหนักถึงประโยชนและมสี วนรวมตามหลกั สิทธมิ นษุ ยชนได ขอบขายเนอ้ื หา เรอื่ งที่ 3 รฐั ธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย และหลักสาคญั ของประชาธิปไตยและ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรมในการอยรู วมกันอยางสนั ติ สามัคคี ปรองดอง สมานฉนั ท เรือ่ งท่ี 4 พฒั นาการทางการเมอื งและการอยรู วมกันในระบอบประชาธปิ ไตย อันมพี ระมหากษัตริย ทรงเปนประมุข เรอื่ งท่ี 5 สทิ ธิมนุษยชน

75 เรอ่ื งท่ี 1 ความเปนมาหลักการและเจตนารมณของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย 1.1 ความเปนมาของรฐั ธรรมนูญแหงราชอาณาจกั รไทย รัฐธรรมนูญ (Constitution) หมายถึง กฎหมายสูงสุดในการจัดการปกครองรัฐ ถาแปลความตามคา จะหมายถึง การปกครองรัฐอย างถูกตองเปนธรรม (รัฐ + ธรรม + มนูญ) ในความหมายอย่างแคบ “รัฐธรรมนูญ” ตองมีลักษณะเป็นลายลักษณ์อักษร และไมใชสิ่งเดียวกับ กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Constitutional Low) “เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญ” มีความหมายกวาง กวาและจะเปนรูปแบบลายลักษณอักษร หรือจารีตประเพณีก็ได ประเทศไทย เริ่มใชรัฐธรรมนูญ เปนกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ เม่ือเกิดการปฏิวัติโดยคณะราษฎร เพื่อเปลี่ยนแปลงการ ปกครองประเทศ จากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชยมาเปนระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริย ทรงเปนพระประมขุ ท่ที รงอยูใตรฐั ธรรมนูญ เม่ือวันท่ี 24 มิถุนายน 2475 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระปกเกลาเจาอยูหวั รชั กาลท่ี 7 แหงราชวงศจกั รี หลังการเปล่ียนแปลงการปกครองพระบาทสมเด็จพระปกเกล าเจ าอยู หัว ทรง พระราชทาน รฐั ธรรมนูญใหแกปวงชนชาวไทย ตามที่คณะราษฎรไดนาข้ึนทูลเกลาฯ ถวายใหทรงลง พระปรมาภิไธย นอกจากน้ี พระองคก็ทรงมีพระราชประสงคมาแตเดิมแลววา จะพระราชทาน รัฐธรรมนูญใหเปน กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศแกประชาชนอยูแลว จึงสอดคลองกับ แผนการของคณะราษฎร ประกอบกับพระองค ทรงเห็นแกความสงบเรียบรอยของบานเมือง และ ความสุขของประชาชนเปน สาคัญ ยิ่งกวาการดารงไวซ่ึงพระราชอานาจของพระองค รัฐธรรมนูญท่ี คณะราษฎรไดนาข้ึนทูลเกลาฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยมี 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติ ธรรมนูญการปกครองแผนดินสยามช่ัวคราว พ.ศ. 2475 และรัฐธรรมนูญแหง ราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย คือกฏหมายสงู สดุ ของประเทศไทย เร่มิ มีการประกาศใช้ ตง้ั แตป่ ระเทศเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็น ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อปี พ.ศ.2475 โดยท่ีพระบทสมเด็จ พระปกเกล้าเจา้ อย่หู วั รชั กาลที่ 7 ได้ทรงพระราชทานธรรมนูญการปกครอง หรือ รัฐธรรมนูญฉบับ แรก เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เรียกวา่ พระราชบัญญัตธิ รรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม

76 ชั่วคราวนับต้ังแต่หลังการเปล่ียนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ประเทศไทยมีการประกาศใช้ รฐั ธรรมนญู มาแล้วท้งั สิน้ 20 ฉบบั ดังน้ี รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 20 ฉบบั 1. พระราชบัญญัตธิ รรมนญู การปกครองแผน่ ดินสยามชั่วคราว พทุ ธศกั ราช 2475 2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รสยาม 3. รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2489 4. รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ชั่วคราว) พุทธศกั ราช 2490 5. รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2492 6. รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2475 แก้ไขเพ่ิมเตมิ พุทธศักราช 2495 7. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 8. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2511 9. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 10. รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2517 11. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2519 12. ธรรมนญู การปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 13. รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2521 14. ธรรมนญู การปกครองราชอาณาจกั ร พุทธศักราช 2534 15. รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2534 16. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2540 17. รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ชว่ั คราว) พทุ ธศักราช 2549 18. รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2550 19 รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ชั่วคราว) พทุ ธศักราช 2557 20. รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560

77 หลกั การสาคญั ของประชาธิปไตยและคุณธรรม จริยธรรม คานิยม ในการอยูรวมกันอยาง สนั ติ สามคั คี ปรองดอง ความหมายและความสาคัญของประชาธิปไตย ประชาธปิ ไตย เปนรูปไดท้งั แบบการปกครอง และวถิ กี ารดาเนนิ ชวี ติ ซึ่งยดึ หลักของความเสมอ ภาค เสรีภาพและศกั ด์ิศรแี หงความเปนมนุษย การปกครอง ระบอบประชาธปิ ไตยถอื วาทุกคนมีสทิ ธิ เสรีภาพ เทาเทียมกนั และอานาจอธิปไตยตองมาจากปวงชน ระบอบประชาธิปไตย หมายถึง ระบอบการปกครองที่อานาจอธิปไตยเป นของปวงชน ประชาชน มีสิทธิ เสรีภาพ โดยอาศัย หลักการของการแบงแยกอานาจ และหลักการที่วาดวยความ ถกู ตองแหง กฎหมาย ผูปกครองประเทศทม่ี าจากการเลอื กตั้งของประชาชน เปนเพียงตัวแทนท่ีไดรับ มอบอานาจ ใหใชอานาจอธิปไตยแทนประชาชน หลกั การสาคญั ของระบอบประชาธิปไตยที่สาคญั 1. หลักอานาจอธิปไตย เปนของปวงชน ประชาชนแสดงออกซ่ึงการเปนเจาของ โดยใช อานาจที่มีตามกระบวนการเลือกต้ังอยางอิสระและท่ัวถึง ในการใหไดมาซ่ึงตัวผูปกครอง และผแู ทนของตน รวมทัง้ ประชาชนมีอานาจในการคดั คาน และถอดถอนผูปกครอง และผู แทนทป่ี ระชาชนเหน็ วา มไิ ด บริหารประเทศ ในทางท่ีเปนประโยชนตอสังคมสวนรวม เชน มพี ฤติกรรมํร่ารวยผดิ ปกติ อานาจอธิปไตย หมายถึง อานาจสูงสุดในการปกครองรัฐหรือประเทศ ดังน้ัน สิ่งอ่ืน ใดจะมี อานาจยิ่งกวา หรือขัดตออานาจอธปิ ไตยไมได อานาจอธิปไตยยอมมีความแตกตาง กันไปในแตละ ระบอบการปกครอง เชน ในระบอบประชาธิปไตย อานาจอธิปไตยเปนข องประชาชน กลาวคือ ประชาชน คือ ผูมีอานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ในระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราช อานาจ อธิปไตย เปนของพระมหากษัตริย คือ กษัตริย เปนผูมี อานาจสงู สุดในการปกครองประเทศ เปนตน อนึง่ อานาจอธิปไตยนี้ นับเปนองคประกอบ สาคัญท่ีสุดของความเปนรัฐ เพราะการที่จะเปนรัฐไดนั้น นอกจากจะตองประกอบดวย อาณาเขต ประชากร และรัฐบาลแลว ยอมตองมีอานาจอธิปไตยดวย กลาวคือ ประเทศ

78 นน้ั ตองเปนประเทศท่ีสามารถมีอานาจสูงสดุ (อานาจอธิปไตย) ในการปกครอง ตนเอง จึง จะสามารถ เรียกวา “รัฐ” ได้ 2. หลักสิทธเิ สรีภาพ ประชาชนทกุ คน มคี วามสามารถในการกระทา หรืองดเวนการกระทา อยางใดอยางหน่ึงตามท่ีบุคคลตองการ ตราบเทาท่ีการกระทาของเขาน้ัน ไมไปละเมิด ลิดรอนสทิ ธิ เสรีภาพของบคุ คลอื่น หรือละเมดิ ตอความสงบเรยี บรอยของสังคม และความ ม่นั คงของประเทศชาติ 3. หลักความเสมอภาค การเปดโอกาสใหประชาชนทุกคน สามารถเขาถึงทรัพยากรและ คุณคาตาง ๆ ของสังคมท่ีมีอยูจากัดอยางเทาเทียมกัน โดยไมถูกกีดกัน ดวยสาเหตุแหง คววามแตกตาง ทางช้ันวรรณะทางสังคม ชาติพันธุ วัฒนธรรม ความเปนอยู ฐานะทาง เศรษฐกจิ หรอื ดวยสาเหตอุ นื่ 4. หลกั นิตริ ฐั และหลักนิตธิ รรม เปนหลักการของรฐั ท่ีมีการปกครองโดยกฎหมาย หรือ หลัก นิติธรรม การใชหลักกฎหมายเปนกฎเกณฑการอยูรวมกัน เพ่ือความสงบสุขของสังคม การให ความคุมครองสิทธิขั้นพ้ืนฐานของประชาชน ท้ังในเรื่องสิทธิเสรีภาพในทรัพยสิน การแสดงออก การดารงชพี ฯลฯ อยางเสมอหนากัน ผูปกครองไมสามารถใชอานาจใด ๆ ลิดรอนเพิกถอนสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชนได และไมสามารถใชอภิสิทธิอยูเหนือ กฎหมาย หรอื เหนอื กวาประชาชนคนอื่น ๆ ได 5. หลักการเสยี งขางมาก ควบคไู ปกบั การเคารพในสิทธขิ องเสียงขางนอย การตัดสินใจใด ๆ ท่ีสงผลกระทบตอประชาชนหมูมาก ไมวาจะเปนการเลือกต้ังผูแทนของประชาชน เขา สูระบบ การเมอื ง การตัดสนิ ใจของฝายนติ บิ ัญญัติ ฝายบริหาร หรือฝายตุลาการ ยอมตอง ถือเอาเสียงขางมาก ท่ีมีตอเร่ืองน้ัน ๆ เปนเกณฑในการตัดสินทางเลือก โดยถือวาเสียง ขางมาก เปนตัวแทนที่สะทอนความ ตองการ และขอเรียกรองของประชาชนหมูมาก หลักการน้ี ตองควบคูไปกับการเคารพ และคุมครอง สิทธิเสียงขางนอยดวย ทั้งนี้ก็ เพ่ือ เป็นหลักประกันวา ฝายเสียงขางมากจะไมใชวิธีการ พวกมากลากไป ตามผลประโยชน ความเหน็ หรือกระแสความนิยมของพวกตนอยางสุดโตง แตตองดาเนินการ เพ่ือประโยชน ความเห็นของประชาชนท้งั หมด เพื่อสรางสังคมที่ประชาชนเสียงขางนอย รวมท้ังชนกลุม นอย ผูดอยโอกาสตาง ๆ สามารถอยูรวมกันไดอยางสันติสุข โดยไมมีการเอาเปรียบกัน และสรางความ ขัดแยงในสังคม

79 6. หลักเหตุผล เปนหลักการใชเหตุผลท่ีถูกตอง ในการตัดสินหรือยุติปญหาในสังคม ในการ อยูรวมกันอยางสันติ สามคั คี ปรองดอง ผูคนตองรูจักยอมรับฟงความเห็นตาง และรับฟง เหตผุ ลของผอู น่ื ไมดอ้ื ดึงในความคิดเห็นของตนเอง จนคนอ่นื มองเราเปนคนมมี ิจฉาทิฐิ 7. หลักประนปี ระนอม เปนการลดความขดั แยง โดยการผอนหนักผอนเบาใหกัน รวมมือกัน เพื่อเห็นแกประโยชนของสวนรวมเปนสาคัญ เปนทางสายกลาง ซึ่งทั้งสองฝายจะตองได และเสยี ใน บางอยาง ไมไดครบตามทตี่ นปรารถนา จัดเปนวิธีการที่ทาใหทุกฝาย สามารถ อยูรวมกันตอไปไดอยางสันติ วธิ กี ารในการประนปี ระนอม อาจใชเทคนิคการเจรจาตอรอง การไกลเกล่ยี โดยผูบังคับบญั ชา หรอื บคุ คลทส่ี าม เปนตน 8. หลกั การยอมรับความเห็นตาง หลกั การน้ี เพ่ือเปนการอยูรวมกันดวยความสันติ สามัคคี ปรองดอง ไมวาเสยี งขางมากหรอื เสยี งขางนอย ตองทาใจยอมรับความเห็นตางอันเปนการ หลอมรวม หลักความเสมอภาค หลักเสรภี าพ และหลกั ประนีประนอม โดยการเคารพและ คุมครองสิทธขิ องผูอื่นดวย ทั้งน้ีกเ็ พ่ือ เปนหลักประกันวา ไมวาฝายเสียงขางมากหรือฝาย เสียงขางนอย เปนจะสามารถอยูรวมกัน ดวยความสันติสามัคคี ปรองดอง ทุกฝายตอง ยอมรับความเห็นตาง รวมทั้งฝายเสียงขางมากเองก็จะ ไมใชวิธีการ พวกมากลากไป ตามผลประโยชนหรือความเห็น หรือกระแสความนิยมของพวกตนอยาง สุดโตง ดังไดกล าวไวแลว ขางตน แตตองดาเนินการเพื่อประโยชนของประชาชนท้ังหมดหรือทุกฝาย เพื่อ สรางสงั คมทป่ี ระชาชนเสยี งขางนอย หรือประชาชนทม่ี คี วามเห็นตางจากฝายตน สามารถ อยู รวมกันไดอยางสันติ สามัคคี ปรองดอง โดยไมมีการเอาเปรียบกัน และสรางความ ขัดแยง ในสังคมมาก เกินไป

80 กาเนดิ และหลกั สทิ ธิมนษุ ยชน (Human Rights) ความเปนมาของสทิ ธิมนุษยชนสทิ ธมิ นษุ ยชน ไดมีผใู หความหมายของสิทธิมนุษยชนไววา หมายถึง สิทธิตาง ๆ ท่ีแสดงถึงคุณคาแห งความเปนมนุษยหากสทิ ธิมนษุ ยชน หมายถึง สิทธิตาง ๆ ท่ีแสดงถึงคุณคาความเปนมนุษยแลวแตใน สภาพ ขอเท็จจริงทางสังคมมนษุ ยกลบั มไิ ดรับสทิ ธหิ รือการปฏบิ ัตทิ แี่ สดงถงึ คุณคาความเปนมนุษย จึง เกิดพฒั นาการในเรอื่ งสทิ ธมิ นุษยชนขึ้น ลกั ษณะเฉพาะของสทิ ธิมนุษยชนท่ีระบไุ วในปฏญิ ญาสากลวาดวยสิทธิมนษุ ยชน มี ดังตอไปนี้ 1. เปนสิทธิที่ตดิ ตวั มากับมนุษย (Inherent) เมือ่ คนเกดิ มาจะมสี ทิ ธมิ นษุ ยชนติดตัวมาดวย เพราะมีความเปนมนษุ ย ดังนัน้ สทิ ธมิ นุษยชน จงึ เปนสทิ ธทิ ่ตี ดิ ตวั แตละคนมา ไมมกี ารให หรอื ซื้อหรอื สบื ทอดมา 2. เปนสทิ ธิที่เปนสากล (Universal) คอื เปนสิทธขิ องมนษุ ยทกุ คนเหมอื นกนั ไมวาจะมเี ชอ้ื ชาติเพศหรือนับถือศาสนาใด ไมวาจะเปนผูทม่ี าจากพืน้ ฐานทางสังคมหรือการเมอื ง อยางใดมนุษยทกุ คนเกิดมามีอสิ รเสรี มีความเทาเทยี มกันในศกั ด์ศิ รีและสิทธิ 3. เปนสิทธิที่ไมอาจถายโอนใหแกกันได (Inalienable) คือ ไมมีใครจะมาแยงชิงเอา สิทธิ มนุษยชนไปจากบคุ คลใดบคุ คลหน่ึงได ถึงแมวากฎหมายของประเทศจะไมยอม รับรองสิทธิมนุษยชน หรือแมวาจะละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ตาม ประชาชนของประเทศน้ัน ก็ยังมีสิทธิมนุษยชนอยูตัวอยาง เชน ในสมยั คาทาส ทาสทุกคนมีสทิ ธิมนุษยชน ถงึ แมวาสิทธเิ หลาน้ันจะถกู ละเมดิ กต็ าม 4. เปนสิทธิที่ไมถูกแยกออกจากกัน (Indivisible) กลาวคือ เพ่ือที่จะมีชีวิตอยูอยางมีศักด์ิศรี มนุษยทุกคนยอมมีสิทธิท่ีจะมีเสรีภาพ มีความม่ันคง และมีมาตรฐานการ ดารงชีวิตท่ีเหมาะสมกับ ความเปนมนษุ ย์ ดังนั้นสิทธิตาง ๆของมนษุ ยชนจะตองไมถกู แยกออกจากกัน พัฒนาการในเร่อื งสิทธมิ นษุ ยชน ไดเปน 3 ระยะ ไดแก ระยะทห่ี นงึ่ ระยะแหงการเรมิ่ ตน เปนยุคท่สี ภาพทางสงั คม มีการกดข่ีขมเหง ไมเคารพ ตอศักดิ์ศรปี ระจาตวั ของมนุษย มกี ารเอารัดเอาเปรยี บแกงแยง และไมมีกฎหมายหรือกฎเกณฑท่ี ชดั เจนในการใหหลักประกันเรอื่ ง สิทธิแกประชาชน ระยะทส่ี อง ระยะแหงการเรยี นรู เปนชวงทผ่ี ูคนในสงั คมเรยี กรองถามหาสทิ ธแิ ละ เสรภี าพ มีความขัดแยงระหวางผูปกครองกับกลุมคนในประเทศ มกี ารตอสใู นระยะนี้ เรม่ิ มีกฎหมาย

81 หรือกลไกในการคุมครองสทิ ธมิ นุษยชน ผูคนเรม่ิ เรียนรูถงึ สทิ ธขิ องตนเอง โดยชวงทายของระยะนี้ ผูคนใหความสาคญั ของสิทธติ นเอง แตอาจละเลย หรอื มีการละเมิดสทิ ธแิ ละเสรีภาพของผูอืน่ บาง ระยะท่ีสาม ระยะแหงการเคารพสิทธิมนุษยชน เปนชวงทป่ี ระชาชนมกี ารรวมกลุมกนั เพอ่ื เหตุผลในการปกปองและพทิ ักษสิทธิมนุษยชน มกี ารรณรงคใหตระหนักถงึ การเคารพสิทธิของ ผอู น่ื การใชอานาจหรือใชสทิ ธิ มกี ารคานึงถึงสิทธเิ สรีภาพของประชาชน การใชสิทธเิ สรีภาพของ ประชาชนเปนไปอยางกวางขวาง หลักการพื้นฐานในเร่ืองสทิ ธิมนษุ ยชนมีดงั นี้ 1. สทิ ธมิ นษุ ยชนเปนสทิ ธติ ามธรรมชาติทมี่ ีมาต้ังแตเกิด 2. สิทธิมนุษยชนเปนสิทธิซ่งึ เสมอกนั ของมนุษยทกุ คน 3. สิทธมิ นษุ ยชนเปนสิทธขิ ้ันพ้ืนฐานทีไ่ มอาจโอนใหแกกนั ได 4. สทิ ธิมนุษยชนเปนสทิ ธขิ ั้นพ้นื ฐานที่ไมอาจแบงแยกได จากหลักการพ้ืนฐานในเร่ือง สิทธิมนุษยชน เราจึงมองเห็นเป าหมายของการดาเนินการ เร่ือง สิทธิมนุษยชนวา เปาหมายน้ันก็คือ เพ่ือใหมวลมนุษยชาติมีอิสรภาพไดรับความเปนธรรมและ อาศยั อยู รวมกันอยางสันติ หากมนุษยทกุ คนจะไดรับการคุมครองตามสทิ ธิมนุษยชน จะตองมีเสรีภาพ ในชวี ติ เรอ่ื งใดบาง จึงจะไดรับสทิ ธติ าง ๆ ตามหลักการพ้ืนฐานของสิทธิมนุษยชน เสรีภาพท่ีมนุษยทุก คนตองไดรับ เพอ่ื ใหไดรบั สิทธิตาง ๆ

82 แบบทดสอบหลังเรยี น 1. ศาสดาผู้คน้ พบหลกั คาสอนและกอ่ ตง้ั ศาสนาพุทธ เดิมมชี ือ่ วา่ อะไร ก. มหากสั สปะ ข. สิทธตั ถะ ค. สารบี ตุ ร ง. โมคคลั ลานะ 2. หลกั อริยสัจ 4 เป็นหลกั ธรรมเพื่อใชใ้ นการดาเนนิ ชีวติ ตามข้อใด ก. แกป้ ัญหาวา่ ด้วยทกุ ข์ ข. แก้ปญั หาวา่ ดว้ ยการครองเรือน ค. แก้ปญั หาวา่ ดว้ ยการครองคน ง. แก้ปญั หาวา่ ดว้ ยการครองตน 3. นายมนตรปี ฏบิ ัติตามหลัก พรหมวิหาร 4ทาให้ไดร้ ับประโยชน์ตามขอ้ ใด ก. มเี พื่อนฝูงมาก ข. มภี รรยาและลกู ท่ีดี ค. ครู อาจารยใ์ หค้ วามรัก ความเมตตา ง. ถกู ทุกขอ้ 4. บคุ คลในข้อใด ไม่เปน็ ผู้อนรุ กั ษ์วฒั นธรรมและประเพณีไทย ก. ดารง ใชก้ ารสมั ผสั มือกับคนไทยในต่างประเทศแทนการไหว้ ข. สุณี แตง่ กายสุภาพ และมีกิริยาเรียบร้อย ค. กอ้ งเกียรติ ให้ผใู้ หญไ่ ปส่ขู อนฤดตี ามประเพณี ง. เรยา ทกั ทายผู้โดยสารคนไทยดว้ ยการไหว้

83 5. ค่านิยมสาคญั ท่ีคนไทยควรนาไปใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านคอื ข้อใด ก. ความเอ้อื เฟ้ือเผอ่ื แผ่ ข. ความซือ่ สัตย์ สจุ ริต ค. ความกตญั ญู กตเวที ง. การนยิ มของไทย ๖. วนั รัฐธรรมนูญของไทยตรงกับวนั ใด ก. วนั ที่ 10 ธนั วาคม ของทุกปี ข. วนั ท่ี 10 พฤศจกิ ายน ของทุกปี ค. วนั ท่ี 10 ตุลาคม ของทกุ ปี ง. วันที่ 10 มกราคม ของทกุ ปี ๗. รฐั ธรรมนูญของไทยมีก่ฉี บับ ก. 17 ฉบบั ข. 18 ฉบับ ค. 19 ฉบับ ง. 20 ฉบบั ๘. วิถีชีวิตไทยภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย คือข้อใด ก. วิถีชวี ิตแบบชาวบ้าน ข. วิถชี ีวิตทีท่ าตามธรรมเนียม ค. การดาเนนิ ชวี ิตของชนชาวไทยยดึ ถอื เสียงขา้ งมากเป็นสว่ นใหญ่ ง. ไม่มีข้อถูก ๙. ข้อใดคอื สิทธติ ามหลกั พ้ืนฐานของสิทธิมนษุ ยชน ก. เสรภี าพในการแสดงออก ข. เสรีภาพในความเชื่อ ค. เสรีภาพจากความหวาดกลัว ง. ถกู ทกุ ข้อ

84 ๑๐. ข้อใดไมใ่ ชก่ ารพัฒนาในเรอื่ งสิทธิมนุษยชน ก. ระยะเร่ิมตน้ ข. ระยะแหง่ การเรยี นรู้ ค. ระยะแหง่ การเคารพสทิ ธิมนุษยชน ง. ระยะพฒั นาการ เฉลย 1. ข. สทิ ธัตถะ 2. ก. แกป้ ญั หาวา่ ดว้ ยทกุ ข์ 3. ง. ถกู ทุกข้อ 4. ก. ดารง ใช้การสัมผัสมือกบั คนไทยในต่างประเทศแทนการไหว้ 5. ข. ความซ่ือสัตย์ สจุ ริต 6. ก. วันที่ 10 ธนั วาคม ของทกุ ปี 7. ง. 20 ฉบับ 8. ก. วถิ ีชวี ติ แบบชาวบ้าน 9. ข. เสรภี าพในความเชอื่ 10 ง. ระยะพฒั นาการ

85 ทป่ี รึกษา คณะผู้จัดทา นางสาวยี ะ พนั ธ์ุฤทธ์ิ นางบุศรา คมจิตร ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอกดุ ชมุ ครูชานาญการ ผจู้ ัดทา ครผู ้ชู ่วย นายวเิ ชยี ร คาเบา้ เมือง บรรณารกั ษป์ ฏบิ ตั ิการ นางสาวนฐั นาฏ เบญมาตย์ ครอู าสาสมคั ร ฯ กศน. นายบญุ ไตร พนั เพช็ ร ครู กศน.ตาบล นางสาวใกล้รงุ่ บุญภงู า ครู กศน.ตาบล นางสาวชญั ญ์นิตา บญุ อาจ ครู กศน.ตาบล นายนรินทร์ มลุ ะสวี ะ ครู กศน.ตาบล นางสาวบุษบา กองศรมี า ครู กศน.ตาบล นายเมทนี ผลจันทร์ ครู กศน.ตาบล นางสาวสุวลกั ษณ์ ประทุมวนั ครู กศน.ตาบล นางศริ ิพร ชาบุตรชนิ ครู กศน.ตาบล นางสาวปรานอม มาตขาว ครู กศน.ตาบล นางสาวกฤษติกา ศภุ ชาติ ครู กศน.ตาบล นางสาวสิริกร แสงกล้า ครู กศน.ตาบล นายฉันทิตย์ ศรจี นั ทร์ ครู กศน.ตาบล นางสาววลัยพร ภคะวา ครูผูส้ อนคนพิการ นางสาวกติ ติพร แก่นแกว้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook