บุญคูณลาน (กุม้ ขา้ วใหญ่) \" ฮีตหน่ึงนัน้ พอแตเ่ ดือนยไ่ี ดล้ ้ำล่วงมำเถงิ ใหพ้ ำกันหำฟืนสู่คนโฮมไว้ อย่ำไดไ้ ลคองน้ี มนั สสิ ญู เสยี เปลำ่ ขำ้ วและของหมนู่ ั้นสิหำยเส่ียงบย่ งั จงให้ฟงั คองนแ้ี นวกลอนเฮำบอก อยำ่ เอำใด ดอกแทเ้ ข็นฮำ้ ยแล่นเถงิ เจ้ำเอย \" บุญคูนลาน เป็นการทาบุญเพ่ือรับขวัญข้าว เม่ือถึงเดือนย่ี หรือเดือนท่ี ๑ คือเดือน มกราคม (สปั ดาห์ที่ ๒ ของเดือนมกราคมของทุกปี) จุดมุ่งหมายของการทาบุญประเพณี \"บุญคูนลาน\" ก็เพ่ือความเป็นสิริมงคลแก่ข้าวในลานของตน และเพื่อเป็นการขออานิสงส์ต่างๆ การสู่ขวัญข้าว จะกระทาทลี่ านนา หรอื ทีล่ านบ้านกต็ ามแต่จะสะดวก หลงั การส่ขู วญั ข้าวเสร็จก็จะเป็นการขนข้าว ขึ้นเล้า (ยุ้ง/ฉาง) ก่อนการขนข้าวขึ้นเล้า เจ้าของข้าวจะต้องไปเก็บเอาใบคูนและใบยอเสียบไว้ท่ี เสาเล้าทุกเสา ซ่งึ ถอื เปน็ เคล็ดลับว่า ขอให้ค้าคูณ ยอๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป และเชิญขวัญข้าวพร้อมทั้งแม่โพสพ ขนึ้ ไปยังเลา้ ดว้ ย ตามธรรมเนียมประเพณีของอีสานบ้านเฮาหรือ \"ฮีตสิบสอง คองสิบส่ี\" เม่ือถึงเวลา เดือนย่ี หรือเดือนสอง จะมีพิธีหรือมีบุญประเพณี เพ่ือเป็นสิริมงคลแก่ชาวนา คือ \"บุญคูณ ลาน\" ความหมายของคาว่า \"คูณ\" หมายความว่าเพิ่มเข้าให้เป็นทวีคูณ หรือทาให้มากข้ึนนั่นเอง สว่ นคาวา่ \"ลาน\" คอื สถานท่ีลานกว้างสาหรบั นวดข้าว (ด้ังเดิมจะเลือกทาเลเนินดินสูงใกล้เถียงนา
ถากดินให้เรียบ แล้วนามูลข้ีควายมาเทผสมน้า กวาดให้เรียบสาหรับกองฟ่อนข้าว และมีบริเวณ สาหรับการนวดข้าวด้านหน้า) การนาข้าวท่ีนวดแล้วกองขึ้นให้สูง เรียกว่า \"คูณลาน\" การทา ประเพณีบุญคณู ลาน กาหนดเอาเดอื นย่ีเปน็ เวลาทา เพราะกาหนดเอาเดอื นยีน่ ีเ่ องจึงเรียกอีกอย่าง หนง่ึ ว่า \"บญุ เดอื นยี\"่ ดงั บรรพบรุ ุษไดผ้ ูกกลอนผญาอสี านสอนให้ชาวบ้านเตรียมการกอ่ นทาบญุ ไว้ว่า \" เถิงฤดเู ดือนยม่ี ำฮอดแลว้ ให้นมิ นต์พระสงฆอ์ งค์เจ้ำมำต้ังสวดมงคล เอำบญุ คณู ข้ำวเข้ำปำ่ หำไมเ้ หด็ หลวั อย่ำได้หลงลมื ท่ิมฮตี เก่ำคองเดิมเฮำเด้อ \" หมายความว่า เม่ือถงึ ฤดเู ดือนยี่มาถึงแล้ว ให้นิมนต์พระสงฆ์มาสวดมงคลทาบุญคูณข้าว ให้เข้าป่า จดั หาไมม้ าไว้ทาฟนื สาหรับใช้ในการหุงต้มประกอบอาหาร อย่าได้หลงลืมประเพณีเก่าแก่แต่เดิม มาของพวกเฮา การทาบุญคูณลานนี้ หลายๆ หมู่บ้านอาจจะทาในเวลาที่ไม่ตรงกัน เพราะว่าการเก็บ เก่ยี วข้าวอาจจะใช้เวลามากน้อยต่างกัน ตามพ้ืนที่การทานาและแรงงานท่ีมี แต่จะทาในช่วงเดือนสอง หรอื ตรงกับชว่ งเดือนมกราคม มูลเหตุท่ีจะมีการทาบุญชนิดน้ีน้ันเนื่องจาก ผู้ใดทานาได้ข้าวมากๆ ก่อนหาบหรือขนข้าวมาใส่ยุ้งฉาง ก็อยากจะทาบุญกุศล เพ่ือเป็นสิริมงคลให้เพิ่มความมั่งมีศรีสุข แกต่ นและครอบครวั สบื ไป
ก่อนทาบุญคูณลาน มีประเพณีของชาวอีสานบางแห่ง ปฏิบัติการบางอย่างที่เรียกว่า ไปเอาหลัวเอาฟนื โดยชาวบ้านจะกาหนดเอาวันใดวันหนึ่งในช่วงเดือนย่ี ภายหลังเก็บเกี่ยวข้าวนา เสรจ็ แลว้ กจ็ ะพากนั ไปเอาหลัวเอาฟืนมาเตรียมไว้ สาหรับก่อไฟหุงต้มอาหารบ้าง ใช้สาหรับก่อไฟ ผงิ หนาวบา้ ง สาหรับให้สาวๆ กอ่ ไฟปั่นฝ้ายตามลานบ้าน (ลงข่วง) (คาว่า \"หลัว\" หมายถึง ไม้ไผ่ท่ี ตายแล้ว เอามาใช้เป็นฟืน และอาจหมายถึงไม้แห้งท่ีมีแก่นแข็งทุกชนิด เพ่ือใช้ทาฟืนก่อไฟ โดยทว่ั ไป) ในการทาบุญคูณลาน จะต้องจัดเตรียมสถานท่ีทาบุญที่ลานนวดข้าวของตน จากน้ัน นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ จัดน้าอบ น้าหอม ไว้ประพรมขึงด้ายสายสิญจน์รอบ กองข้าว เม่ือพระภิกษุสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว ถวายภัตตาหารเพลแก่พระภิกษุสงฆ์ จากนนั้ กจ็ ะนาขา้ วปลาอาหาร มาเล้ียงดูญาติพี่นอ้ งลกู หลาน และผู้มารว่ มทาบุญ พระสงฆ์ฉันเสร็จ ก็จะประพรมน้าพุทธมนต์ให้กองข้าว ให้เจ้าภาพและทุกคนท่ีมาร่วมในงาน เสร็จแล้วก็จะให้พร และกลับวัด เจ้าภาพกจ็ ะนานา้ พระพุทธมนตท์ ีเ่ หลอื ไปประพรมให้แก่วัว ควาย ตลอดจนเครื่องมือ ในการทานา เพื่อความเป็นสริ ิมงคลตอ่ ไป
ในปัจจุบันนี้ \"บุญคูณลาน\" ค่อยๆ จางเลือนหายไป เนื่องจากไม่ค่อยมีผู้สนใจ ประพฤติปฏบิ ัติกนั กอรป์ กบั ในทุกวันนี้ ชาวนาไมม่ ลี านนวดข้าวเหมอื นเกา่ กอ่ น เมือ่ เกยี่ วข้าวเสร็จ และมัดข้าวเป็นฟ่อนๆ แล้วจะขนมารวมกันไว้ ณ ที่ที่หน่ึงของนา โดยไม่มีลานนวดข้าว หลังจาก นั้นก็ใช้เคร่ืองสีข้าวมาสีเมล็ดข้าวเปลือกออกจากฟางลงใส่ในกระสอบ และในปัจจุบันย่ิงมีการใช้ รถไถนา เครอ่ื งเกี่ยวข้าว เครอ่ื งสขี ้าว เปน็ ส่วนมาก จึงทาให้ประเพณีคณู ลานน้เี ลอื นหายไป (ขืนรอ ช้ากองข้าวไว้ล่อตาโจร ข้าวหายไปกับสายลมอีก) แต่ก็มีบางหมู่บ้านบางแห่งท่ียังรวมกันทาบุญ โดยนาข้าวเปลือกมากองรวมกันในสถานที่ส่วนรวม (ลานกลางหมู่บ้าน หรือลานวัด) เรียก “กุ้ม ข้าวใหญ่” ซึ่งจะเรียกว่า \"บุญกุ้มข้าวใหญ่\" แทน \"บุญคูณลาน\" ซ่ึงนับว่าเป็นการประยุกต์ใช้ “ฮีตสิบสอง คองสิบสี่” ให้เหมาะกับกาลสมยั อปุ กรณ์ทจี่ ะตอ้ งเตรียมสาหรบั พิธีกรรม มดี ังน้ี ๑. ใบคูณ ใบยอ อยา่ งละ ๗ ใบ, ยาสูบ ๔ มวน, หมาก ๔ คา ๒. ไข่ ๑ ฟอง, ขา้ วตม้ ๑ มัด, มนั ๑ หัว, นา้ ๑ ขนั , เผอื ก ๑ หัว ๓. ขัน ๕ ดอกไม้ ธูปเทียน ๔. เขาควายหรือเขาวัว ๑ คู่
เมื่อพร้อมแล้วก็บรรจุอุปกรณ์ (ข้อ ๑-๓) ลงในก่องข้าว (หรือกระต๊ิบข้าว) ยกเว้นน้า และเขาควาย ซ่ึงเรียกว่า “ขวัญข้าว” เพ่ือเตรียมเชิญแม่ธรณีออกจากลาน และบอกกล่าวแม่ โพสพ นาก่องข้าว เขาควาย ไม้นวดข้าว ๑ คู่ ไม้สน ๑ อัน คันหลาว ๑ อัน มัดข้าว ๑ มัด ขัดตา แหลว ๑ อัน (ตำแหลว เปน็ อุปกรณ์ใชเ้ พ่อื ป้องกันไม่ให้คาถากุ้มข้าวใหญ่ของลานอื่นดูดไป) นาไป วางไวท้ ี่หนา้ ลอมข้าว (กองขา้ ว) เสร็จแล้วเจ้าของนาก็ต้ังอธิษฐานว่า “ขอเชิญแม่ธรณีได้ย้ายออก จากลานขา้ ว และแม่โพสพอย่าตกอกตกใจไป ลูกหลานจะนวดข้าว จะเหยียบย่า อย่าได้โกรธ เคืองหรืออย่าให้บาป” อธิษฐานแล้วก็ดึงเอามัดข้าวที่ฐานลอม (กองข้าว) ออกมานวดก่อน แล้ว เอาฟ่อนฟางข้าวท่นี วดแล้วหอ่ ห้มุ ก่องข้าวมดั ให้ตดิ กัน เอาไมค้ นั หลาวเสียบฟาง เอาตาแหลวผูกติด มัดข้าวทีเ่ ก่ียวมาจากนาตาแฮกเขา้ ไปด้วย แลว้ นาไปปกั ไว้ทีล่ อมขา้ วเปน็ อนั ว่าเสร็จพิธี ต่อไปก็ลงมือนวดข้าวทั้งลอมได้เลย เมื่อนวดเสร็จก็ทากองข้าวให้เป็นกองสูงสวยงาม เพื่อจะประกอบพิธีบายศรีสูตรขวัญให้แก่ข้าว โดยเอาต้นกล้วย ต้นอ้อย และตาแหลวไปปักไว้ ข้างกองข้าวทั้ง ๔ มุม นาตาแหลวและขวัญข้าวไปวางไว้ยอดกองข้าว พันด้วยด้ายสายสิญจน์ รอบกองขา้ ว แล้วโยงมายังพระพทุ ธรปู ถึงวันงานก็บอกกล่าวญาติพ่ีน้องให้มาร่วมทาบุญ นิมนต์พระสงฆ์ มาเจรญิ พระพุทธมนต์ เสรจ็ แล้วก็ถวายภตั ตาหารแกพ่ ระสงฆ์ พระสงฆ์อนุโมทนาประพรมน้ามนต์ นาพระพุทธมนต์ไปรดกองข้าว วัว ควาย เมื่อเสร็จพิธีทางพระสงฆ์แล้วก็จะเป็นการประกอบพิธี บายศรีสตู รขวญั ให้แกข่ ้าว ท่มี า : https://www.isangate.com/new/tradition/316-heet-m2.html
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: