ภาษา การสื่อสาร และการประยกุ ต์ใช้ในชีวิตประจำ� วนั 10-51คา่ ตากนั อยทู่ กุ วนั เชน่ ทป่ี รากฏในวถิ สี งั คมของชนพนื้ เมอื งในทวปี อเมรกิ าเหนอื มคี นกลมุ่ เลก็ ๆ อยรู่ วมกนัมสธประมาณ 40-50 คน โดยไม่มีการพูดจามากมาย ไม่มีการโต้เถียง ไม่มีการสั่งการจากหัวหน้าเผ่า แต่ต่างคนต่างรู้หน้าท่ีว่าตนเองต้องท�ำอะไรในแต่ละวัน เช่น ชายหนุ่มรู้หน้าที่เองว่าจะต้องออกไปล่าสัตว์ผหู้ ญงิ จะตอ้ งออกไปหาอาหารใกลบ้ า้ น คนทม่ี หี นา้ ทเี่ หมอื นกนั กช็ วนกนั ไปทำ� หนา้ ทเ่ี หลา่ นนั้ ใหเ้ สรจ็ ลลุ ว่ งไปโดยไม่มใี ครมาคอยติดตาม ตรวจสอบ สำ� นึกในหนา้ ทีข่ องแตล่ ะคน ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจของแต่ละคนมสธ มสธโดยไมม่ ใี ครบอกและไมเ่ คยมกี ารประชมุ ปรกึ ษาหารอื กนั วถิ ดี งั กลา่ ว ยนื ยนั ไดอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ มนษุ ยร์ จู้ กัการทำ� สนุ ทรยี สนทนามาเปน็ เวลานานแลว้ แตเ่ มอ่ื โลกมกี ารเปลย่ี นแปลงใหผ้ คู้ นถกู เชอื่ มโยงเขา้ หากนั ดว้ ยเทคโนโลยกี ารสอ่ื สารคมนาคมทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ การเชอื่ มโยงนกี้ ลบั แยกคนและความสนใจออกเปน็ สว่ นๆความเจรญิ ทางดา้ นเทคโนโลยี ทเี่ ชอ่ื มโยงคนเขา้ หากนั กลบั กลายเปน็ การสนิ้ สดุ ของความสมั พนั ธท์ างสงั คมปัจเจกชนเผชิญกับปัญหาความโดดเดี่ยวท้ังที่เบียดเสียดแออัดท่ามกลางฝูงชน ท�ำให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว วา้ เหว่ ขาดความอบอนุ่ ไมร่ ู้วา่ ตนเองเปน็ ใคร และจะเข้าไปมสี มั พนั ธภาพกบั คนอ่นื ๆ ในโลกน้ีมสธไดอ้ ย่างไร ต�ำแหน่งหน้าท่ี ฐานะทางเศรษฐกจิ สงั คม วยั วฒุ ิ ความเชื่อทางศาสนา และสังกัดทางการเมืองฯลฯ ทำ� ใหค้ วามสมั พนั ธแ์ บบมนุษย์ที่เขา้ ถึงกนั ได้อยา่ งแท้จริงขาดหายไป ตา่ งคนตา่ งมีปฏิสมั พนั ธซ์ ึ่งกันและกันผ่านประเพณีและพิธีการซ่ึงถูกอ�ำนาจก�ำหนดข้ึนภายหลัง ทั้งยังเต็มไปด้วยระบบสัญลักษณ์ท่ีมีความหมายอันสลับซับซ้อน ปิดกั้นไม่ให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างเช่นที่เคยสามารถเกิดขนึ้ ในอดตี อยา่ งไรก็ตาม คนในสังคมก็ตระหนกั ถงึ ปญั หาและพยายามแก้ไขปัญหานี้ดว้ ยการมสธ มสธพยายามพูดคยุ ประชุมปรกึ ษาหารอื กัน มกี ารพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารคมนาคมทม่ี ีประสิทธภิ าพ แต่กม็ กั จะจบลงดว้ ยขอ้ สรปุ และกฎระเบยี บตา่ งๆ ซงึ่ เปน็ การเปดิ ชอ่ งวา่ งใหค้ นใชข้ อ้ สรปุ และกฎระเบยี บแบบบดิ เบอื น เพอ่ื ประโยชนข์ องตนเองและหา่ งไกลออกจากกนั ยง่ิ ขนึ้ ได้ David Bohm ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ปญั หาใดๆกต็ ามจะไมส่ ามารถแกไ้ ขไดโ้ ดยใชฐ้ านคดิ และวธิ กี ารเดมิ กบั ทส่ี รา้ งปญั หาเหลา่ นน้ั ขนึ้ มา ดงั นน้ั การประชมุพดู คยุ ถกเถยี ง และลงมตเิ พอื่ หาขอ้ สรปุ จงึ ไมใ่ ชว่ ธิ กี ารแกป้ ญั หา แตอ่ าจเปน็ การเรมิ่ ตน้ ของปญั หาใหมๆ่โดยเฉพาะสำ� หรับคนท่ีตามไมท่ ัน ดังน้นั การนำ� หลกั การของสนุ ทรียสนทนากลับมาแกไ้ ขท่ี “ตนเอง” ในมสธแต่ละบุคคลจึงเป็นทางออกของปัญหาอันสลับซับซ้อนนี้ เพราะตนเองคือส่วนของปัญหาที่สามารถย่ืนมือเข้าไปจัดการได้ง่ายท่ีสุดส�ำหรับมนุษย์ และการคิดร่วมกันด้วยกระบวนการสุนทรียสนทนาน่าจะเป็นทางออกของการแกไ้ ขปญั หาอนั สลบั ซบั ซอ้ นของโลกยคุ ใหม่ เพราะการคดิ รว่ มกนั การรบั ฟงั ซงึ่ กนั และกนัโดยไมม่ กี ารถอื เขาถอื เรา เปน็ วธิ กี ารจดั การความแตกตา่ งหลากหลาย โดยทำ� ใหท้ กุ ฝา่ ยตา่ งเปน็ ผชู้ นะรว่ มกนั (win-win) พรอ้ มกบั การเกดิ ความร้ทู เ่ี รียกว่า “ความรู้ฝังลกึ ” (tacit knowledge) ในแตล่ ะบุคคลมสธ มสธซ่ึงเปน็ ความรทู้ ่ีสามารถนำ� ไปปฏิบตั ิได้จริง แตอ่ ธบิ ายออกมาเปน็ ค�ำพดู ให้ใครฟงั ไม่ได้ เชน่ เดียวกับคนที่มคี วามสามารถในการขจี่ กั รยาน แตไ่ มส่ ามารถอธบิ ายวธิ กี ารทำ� ใหจ้ กั รยานทรงตวั ได้ นอกจากทำ� ใหด้ แู ลว้น�ำไปฝกึ ฝนด้วยตนเองจนเกดิ ความชำ� นาญ ดงั นนั้ การเขา้ มาอยใู่ นวงสนุ ทรยี สนทนา จงึ เปน็ โอกาสของการเกดิ ความรแู้ ละความคดิ รว่ มกนั เมอ่ืใครคนหนึ่งรับได้ ก็จะเกิดการถ่ายทอดโยงใยไปยังคนอื่นๆ ที่อยู่ในวงสุนทรียสนทนาให้รับรู้ด้วยกันมสธผทู้ สี่ ามารถเขา้ ถงึ คลน่ื พลงั งานความรแู้ ละความคดิ เหลา่ นไ้ี ด้ จะเกดิ ความรสู้ กึ วา่ เสยี งของคนอนื่ กเ็ หมอื น
10-52 จติ วทิ ยาเพ่ือการด�ำรงชีวิตกับเสียงของตนเอง ส่ิงที่ตนเองอยากจะพูดก็มีคนอื่นพูดแทนให้ และเมื่อคนอื่นพูดออกมา บางคร้ังผู้เข้ามสธร่วมอาจรสู้ กึ ได้ว่าค�ำพดู เช่นนคี้ ือสิ่งทตี่ นเองอยากจะพูด 2.4 แนวทางการจัดสุนทรียสนทนา แนวทางกวา้ งๆ สำ� หรบั การจดั สนุ ทรยี สนทนา มดี งั ตอ่ ไปน้ี 2.4.1 ข้ันเตรียมการ - ทำ� ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั ปรชั ญาและแนวคดิ ทอ่ี ยเู่ บอื้ งหลงั ของการทำ� สนุ ทรยี สนทนามสธ มสธ- ปลดปลอ่ ยตนเองจากภารกจิ บทบาท หนา้ ที่ อำ� นาจทเี่ ปน็ กำ� แพงอปุ สรรค (blocking)ตอ่ การเรยี นรู้ เพอื่ การเขา้ ถงึ ความจรงิ ทฝี่ งั ลกึ อยภู่ ายในตวั เอง (tacit knowledge) ดว้ ยความสมคั รใจของตนเอง - ออ่ นนอ้ มถอ่ มตวั มเี มตตากบั ตวั เอง ไมย่ กตนขม่ ทา่ น หรอื ไมก่ ดตนเองลงจนหมดความสำ� คัญ แตค่ วรก�ำหนดบทบาทของตวั เองเปน็ กัลยาณมิตรกับทุกคน - ไม่ก้าวล่วงวิพากษ์วิจารณ์เพื่อเปลี่ยนแปลงคนอื่น โดยถือเป็นส่ิงท่ีพึงละเว้นโดยมสธเด็ดขาด - คน้ หาฐานคติ (assumptions) ในใจ โดยสงั เกตอารมณ์ (emotion) ทเี่ กดิ ขน้ึ เมอ่ืมเี หตกุ ระทบ เชน่ เมื่อได้ยิน ได้เหน็ หรอื ใจนึกขึน้ ได้ และหาทางระงบั มัน (suspension) เพราะถือวา่ มันเป็นตวั ปิดก้นั อสิ รภาพในการรบั รคู้ วามจริงทมี่ อี ยตู่ ามธรรมชาติ - เรียนรกู้ ารฟังใหไ้ ดย้ ิน (deep listening) สงบระงับ การตามความรู้สกึ ใหเ้ ทา่ ทนัมสธ มสธจงึ เป็นการปอ้ งกันอคติ (Bias) และการสงบระงับคือการสร้างปญั ญาทีเ่ กดิ จากการฟงั - เมอ่ื พรอ้ มตอ่ การจดั การกบั ความรสู้ กึ ตวั เองไดด้ แี ลว้ กส็ ามารถเรม่ิ ตน้ ตง้ั วงคยุ แบบสนุ ทรียสนทนาเพอื่ คดิ ร่วมกนั ไดเ้ ลย 2.4.2 ขั้นปฏิบัติ การตง้ั วงสนุ ทรยี สนทนา ประกอบดว้ ยคนสองคนขนึ้ ไปจนถงึ 7-8 คน แต่ถ้าจ�ำเป็นก็อาจมีได้ถึง 20 กว่าคน น่ังล้อมวงเป็นวงกลม ให้ทุกคนสามารถมองเห็นหน้ากันได้ทั้งหมดต้ังกติกาการพูดคุยไว้อย่างหลวมๆ เช่น หลีกเล่ียงการเสนอแนะ การโต้แย้ง การผูกขาดเวที การท�ำให้มสธผู้อื่นเสียหน้า พูดให้ส้ัน หลังจากพูดแล้ว ควรรอให้คนอ่ืนๆ ได้มีโอกาสพูดผ่านไปก่อนสองหรือสามคนคอ่ ยกลบั มาพูดอกี โดยความจริงแลว้ กตกิ าเหล่านเ้ี ปน็ สง่ิ ทที่ กุ คนปฏบิ ัตกิ นั อย่แู ลว้ มากนอ้ ยตามโอกาสแตก่ ารนำ� กตกิ าขน้ึ มาเขยี นใหท้ กุ คนเหน็ จะชว่ ยเตอื นสตไิ ดด้ ขี นึ้ ในตอนแรกอาจตอ้ งมคี นหนงึ่ คนทำ� หนา้ ท่ีจัดการกระบวนการ (facilitator) เพ่ือช่วยลดความขลุกขลัก แต่ถ้าผู้ร่วมวงสามารถน�ำกติกาเข้าไปอยู่ในใจได้แลว้ เขาจะควบคุมการสนทนาไดเ้ อง และไม่จำ� เป็นตอ้ งมใี ครทำ� หน้าทนี่ ้ีอกี ต่อไปมสธ มสธจากขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ สนุ ทรยี สนทนาเปน็ หลกั การสนทนาทเ่ี ปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ในชวี ติ ประจำ� วนัทง้ั ในดา้ นการสอื่ สารดา้ นการงาน อาชพี และในชวี ติ สว่ นตวั และมแี นวโนม้ วา่ จะถกู นำ� ไปใชอ้ ยา่ งกวา้ งขวางในทุกวงการในอนาคต เนื่องจากเป็นเร่ืองใกล้ตัว และสอดคล้องกับวิถีไทยซึ่งเป็นวัฒนธรรมแบบปากต่อปาก (oral tradition) นอกจากนี้ ยงั เหมาะสำ� หรบั ใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื ในการระดมความคดิ เพอื่ คน้ หาวธิ กี ารมสธและความรู้ใหม่ๆ ในการท�ำงาน รวมท้งั สามารถแกไ้ ขปัญหาความขดั แยง้ ในระดับบคุ คลได้ดอี กี ดว้ ย
ภาษา การส่อื สาร และการประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ ประจ�ำวัน 10-53มสธกิจกรรม 10.3.3 1. จงอธิบายความหมายของการให้การปรกึ ษา 2. คณุ สมบัติผูใ้ ห้การปรกึ ษาท่ีดี ควรเป็นอยา่ งไรบ้าง 3. จงอธิบายความหมายของการฟังอยา่ งต้งั ใจ โดยสงั เขป 4. จงอธบิ ายหลักการของสุนทรยี สนทนามสธ มสธแนวตอบกิจกรรม10.3.3 1. การให้การปรึกษาเป็นกระบวนการส่ือสารที่มีคุณค่าในการช่วยเหลือผู้ท่ีประสบปัญหาให้สามารถตดั สนิ ใจเลอื กวธิ กี ารแกป้ ญั หาและผา่ นพน้ อปุ สรรคชว่ งวกิ ฤตของชวี ติ ไปไดด้ ว้ ยตวั เอง การใหก้ ารปรึกษาจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ผู้ให้ค�ำปรึกษา พึงปฏิบัติต่อผู้มาขอรับการปรึกษา (counselee หรือclient) อย่างเอาใจใส่ ผู้ให้การปรึกษาต้องมีความเป็นกันเอง น่านับถือ ไว้ใจได้ รักษาความลับได้ มีมสธทศั นคติทดี่ ี มีทักษะในการใช้ภาษาและการส่ือสารทดี่ ี และมคี วามรเู้ ป็นอย่างดีในเร่ืองทีจ่ ะใหก้ ารปรกึ ษา 2. ผใู้ หก้ ารปรกึ ษา คอื ผทู้ ไี่ ดร้ บั การฝกึ อบรมใหม้ ที กั ษะ เหมาะสมทจ่ี ะเขา้ รบั หนา้ ทใี่ นการใหก้ ารปรกึ ษาแนะน�ำ ผใู้ หก้ ารปรึกษาจำ� เปน็ อยา่ งยิง่ ท่ีจะตอ้ งรูจ้ ักตนเอง รู้วา่ ตวั เองมีความเชือ่ และค่านยิ มเกย่ี วกับพฤติกรรมเส่ียงต่างๆ อย่างไร และรู้จักระวังตนเองในการแสดงออกทางวาจาและท่าทางขณะให้การมสธ มสธปรึกษาแนะน�ำอย่างเหมาะสม รู้จักควบคุมและเผชิญอารมณ์ต่างๆ ได้โดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าท่ี เพ่ือให้เกิดประโยชน์ต่อผู้รับบริการให้มากที่สุด โดยเป็นผู้ท่ีมีความเช่ือมั่น บุคลิกม่ันคง สามารถควบคมุ อารมณ์ รบั ฟังปญั หา และระบายความในใจของผมู้ ารับบริการ มีลักษณะบคุ ลกิ ภาพทีผ่ ูร้ ับบริการยอมรบั และใหค้ วามเชอ่ื ถอื สามารถสรา้ งสมั พนั ธภาพทด่ี กี บั ผรู้ บั บรกิ าร โดยการวางตวั เปน็ กนั เอง มคี วามเสียสละ อดทน ต้ังใจท่ีจะแก้ปัญหาให้ผู้มารับบริการ และเป็นผู้มีความสามารถในการสื่อสารเป็นอย่างดีโดยจะตอ้ งสามารถรกั ษาความลับของผรู้ บั บริการได้ 3. การฟังอย่างตั้งใจ คือ การต้ังใจรับฟังผู้พูด โดยการแสดงออกถึงท่าทีท่ีเป็นมิตร มีการสบมสธสายตา โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ซ่ึงเป็นภาษากายหรืออวัจนภาษาท่ีสะท้อนถึงความใส่ใจ มีการเลือกใช้ค�ำถามที่เหมาะสม สอดคล้องกับบทสนทนา และสามารถจัดการกับความเงียบหรือปัญหาต่างๆ ในระหว่างการให้การปรึกษาไดด้ ี 4. หลักการของสนุ ทรียสนทนา คือ การสร้างพ้ืนทก่ี ารสอ่ื สารทเี่ ออ้ื ต่อการคิดรว่ มกนั อยา่ งเสมอภาค จงึ เปน็ แนวทางทด่ี สี ำ� หรบั การนำ� เอาความคดิ ของแตล่ ะบคุ คลมาเสนอแนะและรบั ฟงั ซง่ึ กนั และกนั โดยมสธ มสธไม่มีการตัดสินด้วยข้อสรุปใดๆ บนหลักการพูดคุยกันโดยไม่มีหัวข้อ หรือวาระที่ตายตัวไว้ล่วงหน้า (Noagenda) และไมม่ ีเปา้ หมายเพ่ือค้นหาขอ้ สรุปรว่ มกนั มกี ารปลดปลอ่ ยจิตใจใหเ้ ปน็ อสิ ระ (deliberation)เพื่อให้สามารถเรียนรู้จากการฟังได้อย่างไม่มีข้อจ�ำกัด เน้น “การฟังให้ได้ยิน” (deep listening) โดยพยายามไม่ใส่ใจวา่ เสยี งทไี่ ดย้ นิ เปน็ เสยี งของใคร เพยี งแคก่ �ำหนดใจใหร้ ู้ได้วา่ เสยี งท่ไี ด้ยิน คอื เสียงของกัลยาณมิตรของเราคนหนึ่ง นอกจากนี้ จะต้องมีการเฝ้าสังเกตอารมณ์และความรู้สึกของตนเอง โดยให้ความเคารพต่อบรรยากาศของความเงียบสงบ และไม่มีการตัดสินโต้แย้งหรือสนับสนุน จนเกิดการปะทะมสธกนั ทางความคดิ ใดๆ (Suspend judgement)
บรรณานุกรมมสธ10-54 จิตวิทยาเพอื่ การดำ� รงชีวิตมหาวิทยาลยั ศรปี ทุม. (2546). การเตรียมตัวและการฝึกฝนการพูดเบ้ืองตน้ . [Online]./Available: url: http:// komut.spu.ac.th/somkiart/talk2.html#มสธ มสธวารสารครุศาสตรอ์ ตุ สาหกรรม. (2552). ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 เมษายน-กันยายน 2552.ส�ำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต. (2546). คู่มือการให้การปรึกษาขั้นพื้นฐาน. ส�ำนักงานกิจการโรงพิมพ์ องคก์ ารทหารผ่านศึก.Bohm, D. (1996). On dialogue. New York, NY: Routledge.Denis Mcquail & Sven Windahl. (1993). Communication Models for the Study of Mass Com- munications. New York, NY: Routledge.Garry Kranz. (2007). Best Practices: Communicating Effectively: Write, Speak, and Present with มสธAuthority. Harper Collins e-book.Greenberg, B. S., Salwen, M. B., Salwen, M. B., & Stacks, D. W., ed. (2008). Mass communica- tion theory and research: Concepts and models. In An integrated approach to communi- cation theory and research. Mahwah: Erlbaum. pp. 61–74 [69].มสธ มสธHenry Gleitman, James Gross, & Daniel Reisberg. (2010). Psychology (8th ed.). W.W Norton & company.Miller, Katherine. (2005). Communication Theories: Perspectives, Processes, and Contexts (2nd ed.). Boston, MA: McGraw-Hill Higher Education.Sergio Verdü. (2000). “Fifty years of Shannon theory”. In Sergio Verdü and Steven W. McLaughlin.มสธ มมสสธธ มสธInformation theory: 50 years of discovery. IEEE Press. pp. 13–34. ISBN 0-7803-5363-3.
Search