บทท่ี 1 ความพอเพยี ง เรอื่ งที่ 1 ความเปน็ มา ความหมายหลกั แนวคดิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้พัฒนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพอื่ ท่ีจะให้ พสกนิกรชาวไทยได้เข้าถึงทางสายกลางของชีวิตและเพื่อคงไว้ซึ่งทฤษฎีของการพัฒนาที่ ย่ังยืนทฤษฎีน้ีเป็นพ้ืนฐานของการดารงชีวิตซ่ึงอยู่ระหว่างสังคมระดับท้องถ่ินและตลาดระดับสากล จุดเด่นของแนวปรัชญาน้ีคือ แนวทาง ท่ีสมดุล โดยชาติสามารถทันสมัยและก้าวสู่ความเป็นสากลได้ โดยปราศจากการต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีความสาคัญในช่วงปี พ.ศ. 2540 เมือ่ ปีทีป่ ระเทศไทยต้องการรักษาความมนั่ คงและ เสถียรภาพเพื่อท่ีจะยืนหยัดในการพึ่งตนเอง และพัฒนานโยบายที่สาคัญเพ่ือการฟ้ืนฟูเศรษฐกิจ ของประเทศโดย การสร้างแนวคิดเศรษฐกิจท่ี พึ่งตนเองได้ซึ่งคนไทยจะสามารถเลี้ยงชีพโดยอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียงพระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยู่หวั มีพระราชดารวิ ่า “มันไม่ไดม้ ีความจา เป็นทเ่ี ราจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม ใหม่(NIC) “ พระองค์ได้ทรงอธิบายว่า ความพอเพียงและการพึ่งตนเอง คือ ทางสายกลางท่ีจะป้องกันการ เปลยี่ นแปลงความไม่มัน่ คงของประเทศได้ เศรษฐกจิ พอเพียง เป็นปรัชญาช้ีถงึ แนวการดารงอยู่ และปฏบิ ัติตนของประชาชนใน ทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนา และบริหาร ประเทศใหด้ าเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพ่ือให้ก้าวทันต่อโลก ยคุ โลกาภวิ ตั น์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นที่ จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการ เปลี่ยนแปลงทั้งภายนอก และภายใน ท้ังน้ีจะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และ ความระมดั ระวังอย่างย่ิง ในการนาวชิ าการต่าง ๆ มาใชใ้ นการวางแผน และการดาเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพ้ืนฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะ เจ้าหน้าทีข่ องรัฐ นักทฤษฎี และนักธรุ กิจในทกุ ระดับใหม้ ีสานกึ ในคณุ ธรรม ความซ่ือสตั ย์
สจุ ริต และให้มคี วามรอบรู้ท่ีเหมาะสม ดาเนนิ ชีวติ ดว้ ยความอดทน ความเพยี ร มสี ติ ปัญญา และความรอบคอบ เพ่ือให้สมดุล และพร้อมต่อการรองรับการเปล่ียนแปลงอย่าง รวดเร็ว และกวา้ งขวางท้งั ดา้ นวตั ถุ สิ่งแวดลอ้ ม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ป็นอยา่ งดี การนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งไปใช้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงน้ี เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบ เศรษฐกจิ มหภาคของไทย ซ่ึงบรรจุอยใู่ นแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554)เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาท่ีสมดุล ย่ังยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคมท่ีมีความสุขอย่างยั่งยืน หรือท่ีเรียกว่า สังคมสีเขียว (Green Society) ด้วย หลักการดังกล่าว แผนพัฒนาฯฉบับที่ 10 น้ีจะไม่เน้นเรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจ แต่ยังคงใหค้ วามสาคัญตอ่ ระบบเศรษฐกิจแบบทวลิ กั ษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มี ความแตกต่างกนั ระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมอื งและชนบท ดร.สมเกียรติ ออ่ นวิมล เรยี กสง่ิ นี้ว่า วิกฤตเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความไม่รู้ว่าจะนา ปรัชญาน้ีไปใช้ทาอะไร กลายเป็นว่าผู้นาสังคมทุกคน ท้ังนักการเมืองและรัฐบาลใช้คาว่า เศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นข้ออ้างในการทากิจกรรมใด ๆ เพื่อให้รู้สึกว่าได้สนองพระราชดารัส และให้เกิดภาพลักษณ์ท่ีดี หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เศรษฐกิจพอเพียง ถูกใช้เพ่ือเป็นเคร่ืองมือ เพือ่ ตัวเอง ซ่งึ ความไม่เข้าใจนีอ้ าจเกิดจากการสับสนว่าเศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่นั้น เป็นเรื่องเดยี วกัน ทาให้มคี วามเข้าใจว่า เศรษฐกจิ พอเพยี งหมายถึงการปฏิเสธอุตสาหกรรม แลว้ กลับไปส่เู กษตรกรรม ซึง่ เปน็ ความเข้าใจทผ่ี ดิ ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งนี้ ไดร้ ับการเชิดชูสูงสุด จาก สหประชาชาติ (UN)โดยนาย โคฟี อันนัน ในฐานะเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัล The Human Development Lifetime Achievement Award แก่พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว เมื่อ 26 พฤษภาคม 2549 และได้มีปาฐกถาถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น ปรัชญาที่สามารถเริ่มได้จากการสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง สู่หมู่บ้าน และสู่เศรษฐกิจในวง กว้างขนึ้ ในทส่ี ุด เปน็ ปรชั ญาท่ีมปี ระโยชนต์ ่อประเทศไทยและนานาประเทศ โดยท่ีองค์การ สหประชาชาตไิ ด้สนบั สนนุ ใหป้ ระเทศตา่ งๆที่เปน็ สมาชกิ 166 ประเทศยดึ เปน็ แนวทางสกู่ าร พัฒนาประเทศแบบย่ังยืน
หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง คอื การพัฒนาท่ตี ้งั อยบู่ นพื้นฐานของทางสาย กลาง และความไม่ประมาท โดยคานึงถงึ ความพอประมาณ ความมเี หตุผล การสร้าง ภูมคิ ุ้มกันที่ดใี นตวั ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคณุ ธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทา
คานยิ าม ความพอเพยี งจะตอ้ งประกอบด้วย 3 คณุ ลกั ษณะ พร้อม ๆ กันดงั น้ี ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดที ่ีไม่น้อยเกนิ ไป และไมม่ ากเกินไปโดยไม่ เบียดเบียนตนเอง และผอู้ ่นื เช่นการผลติ และการบริโภคทอ่ี ยใู่ นระดบั พอประมาณ ความมเี หตผุ ล หมายถงึ การตดั สินใจเกยี่ วกบั ระดบั ของความพอเพยี งนั้น จะตอ้ ง เป็นไปอย่างมเี หตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจยั ท่เี กยี่ วขอ้ งตลอดจนคานึงถึงผลทีค่ าดว่าจะ เกดิ ขน้ึ จากการกระทานนั้ ๆ อย่างรอบคอบ การมภี มู คิ มุ้ กนั ทด่ี ใี นตัว หมายถึง การเตรยี มตัวใหพ้ ร้อมรับผลกระทบ และการ เปลย่ี นแปลงด้านต่าง ๆ ทจ่ี ะเกดิ ขึ้นโดยคานงึ ถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่ คาดว่าจะเกดิ ขึน้ ในอนาคตทงั้ ใกล้ และไกล เงอ่ื นไข การตัดสินใจและการดาเนินกจิ กรรมต่าง ๆ ใหอ้ ย่ใู นระดบั พอเพยี งนั้น ต้องอาศยั ทงั้ ความรู้ และคณุ ธรรมเป็นพ้นื ฐาน กล่าวคอื เงอ่ื นไขความรู้ ประกอบดว้ ย ความรอบรู้เกยี่ วกบั วชิ าการตา่ ง ๆ ท่ีเกีย่ วข้องอย่าง รอบด้าน ความรอบคอบท่จี ะนาความรูเ้ หล่านนั้ มาพจิ ารณาใหเ้ ช่ือมโยงกนั เพอ่ื ประกอบการวางแผน และความระมัดระวงั ในขั้นปฏบิ ัติ เงอื่ นไขคณุ ธรรม ที่จะต้องเสรมิ สร้างประกอบดว้ ย มคี วามตระหนกั ในคณุ ธรรม มี ความซอื่ สัตย์สจุ ริต และมคี วามอดทน มคี วามเพยี ร ใชส้ ตปิ ญั ญาในการดาเนนิ ชวี ิต แนวทางปฏบิ ตั ิ / ผลทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ จากการนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมา ประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาท่ีสมดลุ และยงั่ ยนื พรอ้ มรับตอ่ การเปลยี่ นแปลงในทกุ ดา้ น ทง้ั ดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม ส่งิ แวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยี เศรษฐกจิ พอเพยี งกับทฤษฎใี หมต่ ามแนวพระราชดาริ เศรษฐกิจพอเพียง และแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการพัฒนาท่ี นาไปสู่ความสามารถในการพ่งึ ตนเอง ในระดับต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน โดยลดความเสียง เกย่ี วกับความผนั แปรของธรรมชาติ หรือการเปลย่ี นแปลงจากปจั จัยตา่ ง ๆ โดยอาศัยความ พอประมาณ และความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี มีความรู้ ความเพียร และความ อดทน สติ และปัญญา การชว่ ยเหลอื ซึ่งกันและกัน และความสามคั คี
เศรษฐกจิ พอเพยี งความหมายกวา้ งกวา่ ทฤษฎใี หม่ โดยท่เี ศรษฐกิจพอเพียงเปน็ กรอบ แนวคดิ ทช่ี ี้บอกหลักการ และแนวทางปฏิบตั ิของทฤษฎีใหม่ ในขณะที่ แนวพระราชดาริ เกีย่ วกบั ทฤษฎใี หม่ หรอื เกษตรทฤษฎใี หม่ ซึง่ เปน็ แนวทางการพัฒนาการเกษตรอย่างเป็น ข้นั ตอนนั้น เป็นตัวอยา่ งการใชห้ ลักเศรษฐกิจพอเพยี งในทางปฏิบัติ ท่เี ป็นรูปธรรม เฉพาะ ในพน้ื ทที่ เ่ี หมาะสม ทฤษฎีใหมต่ ามแนวพระราชดาริ อาจเปรียบเทยี บกบั หลักเศรษฐกิจ พอเพยี ง ซง่ึ มอี ยู่ 2 แบบ คือ แบบพ้นื ฐาน กับ แบบกา้ วหน้า ขนั้ ที่ 1 ทม่ี ุ่งแกป้ ัญหาของเกษตรกรที่อยหู่ า่ งไกลแหล่งน้า ต้องพึ่งน้าฝน และประสบความ เสี่ยงจากการทน่ี ้าไม่พอเพยี ง แมก้ ระทั่งสาหรับการปลกู ขา้ วเพ่อื บรโิ ภค และมีขอ้ สมมตวิ ่า มี ทีด่ ินพอเพียงในการขุดบอ่ เพ่ือแก้ปญั หาในเรื่องดงั กลา่ ว จากการแก้ปญั หาความเสย่ี งเรือ่ ง นา้ จะทาให้เกษตรกรสามารถมีขา้ วเพือ่ การบรโิ ภคยงั ชพี ในระดับหนึง่ และใช้ทด่ี นิ ส่วนอื่น ๆ สนองความต้องการพน้ื ฐานของครอบครัว รวมทัง้ ขายในสว่ นทเี่ หลอื เพื่อมีรายได้ที่จะใช้ เปน็ ค่าใชจ้ า่ ยอื่น ๆ ทีไ่ ม่สามารถผลติ เองได้ ท้ังหมดนเ้ี ปน็ การสรา้ งภมู คิ ้มุ กนั ในตวั ใหเ้ กิดขน้ึ ในระดับครอบครัว อยา่ งไรกต็ าม แม้กระท่งั ในทฤษฎีใหมข่ ั้นที่ 1 กจ็ าเปน็ ท่ีเกษตรกร จะตอ้ งไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื จากชุมชนราชการ มูลนธิ ิ และภาคเอกชน ตามความเหมาะสม ความพอเพยี งในระดับชมุ ชน และระดับองค์กรเป็นเศรษฐกจิ พอเพยี งแบบกา้ วหน้า ซึ่ง ครอบคลมุ ทฤษฎีใหม่ ขน้ั ท่ี 2 เปน็ เร่อื งของการสนบั สนุนให้เกษตรกรรวมพลงั กันในรูปกลุ่มหรอื สหกรณ์ หรอื การ ทีธ่ ุรกิจตา่ ง ๆ รวมตวั กันในลักษณะเครือข่ายวสิ าหกิจ กลา่ วคือ เมอ่ื สมาชิกในแตล่ ะ ครอบครัว หรือองค์กรต่าง ๆ มีความพอเพยี งขั้นพ้ืนฐานเปน็ เบือ้ งตน้ แล้วกจ็ ะรวมกลมุ่ กนั เพอื่ ร่วมมือกนั สร้างประโยชนใ์ หแ้ ก่กล่มุ และสว่ นรวมบนพ้นื ฐานของการไม่เบียดเบยี นกัน การแบง่ ปนั ชว่ ยเหลอื ซึ่งกันและกัน ตามกาลงั และความสามารถของตน ซง่ึ จะสามารถทาให้ ชมุ ชนโดยรวม หรือเครอื ขา่ ยวิสาหกจิ นน้ั ๆ เกิดความพอเพยี งในวิถีปฏบิ ัติอยา่ งแท้จรงิ ความพอเพยี งในระดับประเทศ เป็นเศรษฐกจิ พอเพยี งแบบกา้ วหน้า ซึ่งครอบคลุมทฤษฎี ใหม่
ขนั้ ที่ 3 ซึง่ ส่งเสรมิ ใหช้ ุมชน หรอื เครอื ขา่ ยวสิ าหกจิ สรา้ งความรว่ มมือกบั องค์กรอื่น ๆ ใน ประเทศ เชน่ บรษิ ัทขนาดใหญ่ ธนาคาร สถาบันวจิ ยั เปน็ ต้น การสร้างเครอื ข่ายความร่วมมอื ในลกั ษณะเช่นนี้ จะเป็นประโยชนใ์ นการสบื ทอดภูมิ ปัญญา แลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี และบทเรียนจากการพฒั นา หรือ ร่วมมอื กันพัฒนา ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพยี งทาใหป้ ระเทศอันเปน็ สังคมใหญ่อนั ประกอบด้วยชุมชน องคก์ ร และธรุ กจิ ตา่ ง ๆ ทด่ี าเนินชวี ิตอย่างพอเพยี งกลายเปน็ เครือขา่ ยชุมชนพอเพยี งที่ เชื่อมโยงกันดว้ ยหลักไม่เบยี ดเบยี น แบ่งปนั และชว่ ยเหลือซง่ึ กนั และกนั ได้ในท่ีสุด ประการทสี่ าคญั ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง พอมพี อกนิ ปลูกพชื สวนครัวไวก้ ินเองบา้ ง ปลกู ไม้ผลไวห้ ลังบ้าน 2-3 ต้น พอทจ่ี ะมี ไว้กินเองในครวั เรือน เหลอื จงึ ขายไป พออยพู่ อใช้ ทาใหบ้ า้ นน่าอยู่ ปราศจากสารเคมี กลน่ิ เหมน็ ใชแ้ ต่ของทีเ่ ปน็ ธรรมชาติ (ใช้จุลนิ ทรยี ์ผสมน้าถพู ื้นบา้ น จะสะอาดกวา่ ใชน้ า้ ยาเคม)ี รายจา่ ยลดลง สขุ ภาพจะดีข้นึ (ประหยัดคา่ รกั ษาพยาบาล) พออกพอใจ เราตอ้ งรูจ้ กั พอ รจู้ ักประมาณตน ไมใ่ คร่อยากใคร่มีเช่นผู้อน่ื เพราะเรา จะหลงตดิ กับวตั ถุ ปัญญาจะไมเ่ กดิ \"การจะเป็นเสอื นั้นมนั ไมส่ าคัญ สาคัญอยทู่ เี่ ราพออยูพ่ อกนิ และมีเศรษฐกิจการ เป็นอยแู่ บบพอมพี อกิน แบบพอมพี อกนิ หมายความว่า อมุ้ ชตู ัวเองได้ ให้มพี อเพียงกับ ตวั เอง\" พระราชดารัสในพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ฯ ในหลวงรชั กาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษตั รยิ ์ทนี่ อกจากจะทรงดว้ ยทศพธิ ราชธรรม แล้ว ทรงยังเปน็ พระราชาท่เี ป็นแบบอยา่ งในการดาเนินชวี ติ และการทางานแกพ่ สกนิกร ของพระองค์และนานาประเทศอกี ด้วย ผู้คนต่างประจักษถ์ ึงพระอจั ฉริยภาพของพระองค์ และมีความสานกึ ในพระมหากรุณาธิคุณเปน็ ล้นพน้ อนั หาทส่ี ดุ มิได้ ซง่ึ แนวคิดหรอื หลกั การ ทรงงานของในหลวงรชั กาลท่ี 9 มีความน่าสนใจที่สมควรนามาประยุกตใ์ ชก้ บั ชวี ิตการ
ทางานเปน็ อยา่ งยิง่ หากท่านใดต้องการปฏิบัติตามรอยเบอื้ งพระยุคลบาท ท่าน สามารถนาหลกั การทรงงานของพระองคไ์ ปปรบั ใช้ให้เกดิ ประโยชน์ได้ ดงั น้ี หลกั การทรงงาน ในหลวงรชั กาลที่ 9 1. จะทาอะไรตอ้ งศกึ ษาขอ้ มูลให้เปน็ ระบบ ทรงศกึ ษาข้อมูลรายละเอยี ดอยา่ งเป็นระบบจากขอ้ มลู เบื้องต้น ทัง้ เอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจา้ หนา้ ท่ี นักวชิ าการ และราษฎรในพนื้ ทใ่ี หไ้ ด้รายละเอยี ดที่ถกู ตอ้ ง เพือ่ นา ขอ้ มูลเหลา่ นัน้ ไปใชป้ ระโยชน์ไดจ้ รงิ อยา่ งถกู ตอ้ ง รวดเร็ว และตรงตามเปา้ หมาย 2. ระเบดิ จากภายใน จะทาการใดๆ ตอ้ งเรมิ่ จากคนทเ่ี กย่ี วขอ้ งเสียก่อน ต้องสร้างความเขม้ แข็งจากภายใน ใหเ้ กดิ ความเข้าใจและอยากทา ไมใ่ ช่การส่ังใหท้ า คนไมเ่ ข้าใจก็อาจจะไมท่ าก็เปน็ ได้ ในการ ทางานนั้นอาจจะต้องคยุ หรือประชมุ กับลูกน้อง เพ่ือนร่วมงาน หรือคนในทมี เสียก่อน เพอ่ื ให้ทราบถึงเปา้ หมายและวธิ ีการตอ่ ไป 3. แก้ปญั หาจากจุดเลก็ ควรมองปัญหาภาพรวมก่อนเสมอ แตเ่ ม่อื จะลงมือแกป้ ัญหานน้ั ควรมองในส่ิงท่ีคน มกั จะมองขา้ ม แลว้ เร่มิ แก้ปญั หาจากจุดเล็กๆ เสยี ก่อน เมื่อสาเรจ็ แลว้ จึงคอ่ ยๆ ขยบั ขยาย แก้ไปเร่ือยๆ ทีละจดุ เราสามารถเอามาประยุกต์ใช้กบั การทางานได้ โดยมองไปทเ่ี ป้าหมาย ใหญข่ องงานแตล่ ะช้นิ แลว้ เรม่ิ ลงมอื ทาจากจุดเล็กๆ กอ่ น คอ่ ยๆ ทา คอ่ ยๆ แกไ้ ปทีละจุด งานแตล่ ะช้ินกจ็ ะลลุ วงไปไดต้ ามเป้าหมายทีว่ างไว้ “ถ้าปวดหัวคิดอะไรไม่ออก กต็ ้องแกไ้ ข การปวดหัวน้ีกอ่ น มนั ไมไ่ ด้แกอ้ าการจริง แต่ตอ้ งแก้ปญั หาที่ทาให้เราปวดหัวใหไ้ ด้เสียก่อน เพอ่ื จะให้อยใู่ นสภาพที่ดีได้…” 4. ทาตามลาดบั ขน้ั เรม่ิ ต้นจากการลงมือทาในสิ่งที่จาเป็นกอ่ น เมือ่ สาเรจ็ แลว้ กเ็ ริม่ ลงมือสิง่ ทจ่ี าเป็น ลาดบั ต่อไป ดว้ ยความรอบคอบและระมดั ระวงั ถ้าทาตามหลักนีไ้ ด้ งานทกุ สิ่งกจ็ ะสาเรจ็ ได้ โดยงา่ ย… ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงเริ่มต้นจากสิง่ ทีจ่ าเป็นที่สุดของประชาชนเสียก่อน ไดแ้ ก่ สขุ ภาพสาธารณสุข จากนนั้ จึงเปน็ เร่อื งสาธารณปู โภคข้ันพ้ืนฐาน และสงิ่ จาเป็นในการ
ประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหลง่ นา้ เพ่อื การเกษตร การอุปโภคบริโภค เนน้ การปรบั ใชภ้ มู ิ ปญั ญาท้องถน่ิ ทีร่ าษฎรสามารถนาไปปฏิบัตไิ ด้ และเกดิ ประโยชนส์ งู สดุ “การพฒั นา ประเทศจาเป็นต้องทาตามลาดับข้ัน ตอ้ งสรา้ งพ้นื ฐาน คอื ความพอมี พอกิน พอใช้ของ ประชาชนสว่ นใหญเ่ ปน็ เบอื้ งต้นกอ่ น ใชว้ ธิ กี ารและอปุ กรณท์ ่ีประหยัด แต่ถกู ต้องตามหลัก วชิ า เมอ่ื ได้พน้ื ฐานที่ม่ันคงพรอ้ มพอสมควร สามารถปฏิบัติได้แลว้ จึงค่อยสรา้ งเสรมิ ความ เจรญิ และฐานะเศรษฐกจิ ข้ันทส่ี ูงขึน้ โดยลาดับต่อไป…” พระบรมราโชวาทของในหลวง รัชกาลท่ี 9 เมอื่ วันท่ี 18 กรกฎาคม 2517 5. ภูมิสังคม ภมู ิศาสตร์ สังคมศาสตร์ การพฒั นาใดๆ ตอ้ งคานึงถึงสภาพภูมปิ ระเทศของบรเิ วณน้ันว่าเปน็ อยา่ งไร และ สงั คมวทิ ยาเก่ียวกบั ลกั ษณะนิสยั ใจคอคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณใี นแต่ละท้องถิน่ ที่มี ความแตกตา่ งกนั “การพัฒนาจะต้องเปน็ ไปตามภูมิประเทศทางภมู ิศาสตร์และภมู ปิ ระเทศ ทางสงั คมศาสตร์ ในสงั คมวทิ ยา คอื นสิ ยั ใจคอของคนเรา จะไปบงั คับใหค้ นอนื่ คดิ อย่างอ่ืน ไม่ได้ เราตอ้ งแนะนา เขา้ ไปดวู า่ เขาต้องการอะไรจริงๆ แลว้ กอ็ ธิบายใหเ้ ขาเขา้ ใจหลักการ ของการพฒั นานก้ี จ็ ะเกดิ ประโยชนอ์ ยา่ งยิง่ ” 6. ทางานแบบองคร์ วม ใช้วธิ ีคิดเพื่อการทางาน โดยวธิ ีคิดอยา่ งองคร์ วม คือการมองสิ่งต่างๆ ทเี่ กิดอยา่ งเปน็ ระบบครบวงจร ทุกส่ิงทุกอย่างมมี ติ ิเชอ่ื มตอ่ กนั มองสิ่งที่เกิดข้นึ และแนวทางแกไ้ ขอย่าง เชอื่ มโยง 7. ไมต่ ดิ ตารา เม่อื เราจะทาการใดน้นั ควรทางานอยา่ งยดื หย่นุ กบั สภาพและสถานการณ์น้นั ๆ ไม่ใช่ การยึดติดอยกู่ บั แค่ในตาราวิชาการ เพราะบางทค่ี วามรทู้ ่วมหวั เอาตวั ไม่รอด บางครั้งเรา ยดึ ติดทฤษฎีมากจนเกินไปจนทาอะไรไมไ่ ด้เลย สิง่ ท่เี ราทาบางคร้ังต้องโอบออ้ มต่อสภาพ ธรรมชาติ สิง่ แวดล้อม สงั คม และจติ วทิ ยาด้วย
8. รจู้ ักประหยัด เรยี บงา่ ย ได้ประโยชนส์ ูงสุด ในการพฒั นาและชว่ ยเหลอื ราษฎร ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงใชห้ ลักในการแก้ปญั หา ด้วยความเรียบงา่ ยและประหยดั ราษฎรสามารถทาได้เอง หาได้ในทอ้ งถิ่นและประยกุ ตใ์ ช้ ส่ิงทม่ี ีอยใู่ นภูมิภาคน้นั มาแก้ไข ปรบั ปรงุ โดยไมต่ ้องลงทุนสงู หรือใช้เทคโนโลยที ีย่ งุ่ ยากมาก นกั ดังพระราชดารสั ตอนหน่งึ ว่า “…ใหป้ ลูกป่าโดยไม่ตอ้ งปลกู โดยปล่อยใหข้ ึน้ เองตาม ธรรมชาตจิ ะได้ประหยัดงบประมาณ…” 9. ทาใหง้ ่าย ทรงคิดคน้ ดดั แปลง ปรบั ปรุงและแก้ไขงาน การพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดาริ ไปไดโ้ ดยง่าย ไม่ย่งุ ยากซบั ซอ้ นและทส่ี าคัญอยา่ งยิ่งคอื สอดคลอ้ งกับสภาพความเป็นอยู่ ของประชาชนและระบบนิเวศโดยรวม “ทาใหง้ ่าย” 10. การมีสว่ นรว่ ม ทรงเป็นนกั ประชาธปิ ไตย ทรงเปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชนหรอื เจา้ หนา้ ที่ทุก ระดับไดม้ าร่วมแสดงความคดิ เหน็ “สาคัญท่สี ดุ จะต้องหัดทาใจใหก้ ว้างขวาง หนกั แนน่ รูจ้ กั รบั ฟงั ความคิดเหน็ แม้กระทั่งความวิพากษว์ ิจารณจ์ ากผอู้ นื่ อยา่ งฉลาดนนั้ แทจ้ รงิ คือ การ ระดมสติปัญญาละประสบการณอ์ ันหลากหลายมาอานวยการปฏิบตั บิ รหิ ารงานใหป้ ระสบ ผลสาเรจ็ ที่สมบูรณ์น่นั เอง” 11. ตอ้ งยดึ ประโยชน์สว่ นรวม ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงระลกึ ถึงประโยชนข์ องสว่ นรวมเปน็ สาคัญ ดงั พระราชดารสั ตอนหนึง่ ว่า “…ใครตอ่ ใครบอกวา่ ขอใหเ้ สียสละส่วนตัวเพอื่ ส่วนรวม อนั นีฟ้ ังจนเบ่อื อาจ ราคาญด้วยซ้าวา่ ใครตอ่ ใครมากบ็ อกวา่ ขอใหค้ ดิ ถึงประโยชนส์ ว่ นรวม อาจมานกึ ในใจวา่ ใหๆ้ อยู่เรอ่ื ยแล้วสว่ นตัวจะได้อะไร ขอใหค้ ิดว่าคนที่ใหเ้ ปน็ เพื่อสว่ นรวมนน้ั มิไดใ้ หส้ ว่ นรวม แต่อย่างเดยี ว เปน็ การใหเ้ พือ่ ตัวเองสามารถที่จะมีสว่ นรวมท่ีจะอาศยั ได้…” 12. บริการทจ่ี ุดเดยี ว ทรงมพี ระราชดารมิ ากวา่ 20 ปีแลว้ ใหบ้ ริหารศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาหลายแห่งทั่ว ประเทศโดยใชห้ ลกั การ “การบริการรวมทีจ่ ดุ เดียว : One Stop Service” โดยทรงเน้น
เร่ืองร้รู กั สามัคคีและการรว่ มมือรว่ มแรงร่วมใจกันด้วยการปรบั ลดชอ่ งวา่ งระหวา่ งหน่วยงาน ที่เกีย่ วขอ้ ง 13. ใช้ธรรมชาตชิ ่วยธรรมชาติ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลที่ 9 ทรงเขา้ ใจถงึ ธรรมชาติและตอ้ งการให้ ประชาชนใกล้ชิดกับทรัพยากรธรรมชาติ ทรงมองปญั หาธรรมชาติอย่างละเอยี ด โดยหาก เราตอ้ งการแกไ้ ขธรรมชาตจิ ะต้องใชธ้ รรมชาตเิ ข้าชว่ ยเหลอื เราดว้ ย 14. ใชอ้ ธรรมปราบอธรรม ทรงนาความจรงิ ในเรื่องธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของธรรมชาตมิ าเป็นหลกั การ แนวทางปฏิบัตใิ นการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงสภาวะท่ไี มป่ กตเิ ขา้ สูร่ ะบบที่ปกติ เช่น การ บาบัดน้าเน่าเสยี โดยให้ผกั ตบชวา ซง่ึ มตี ามธรรมชาตใิ ห้ดดู ซึมสง่ิ สกปรกปนเป้ือนในนา้ 15. ปลกู ปา่ ในใจคน การจะทาการใดสาเร็จตอ้ งปลูกจติ สานกึ ของคนเสียกอ่ น ตอ้ งใหเ้ ห็นคุณค่า เห็น ประโยชนก์ ับส่งิ ทจี่ ะทา…. “เจ้าหน้าท่ีปา่ ไม้ควรจะปลกู ตน้ ไมล้ งในใจคนเสียก่อน แล้วคน เหลา่ นั้นก็จะพากันปลูกตน้ ไม้ลงบนแผ่นดินและจะรักษาตน้ ไม้ด้วยตนเอง” 16. ขาดทุนคอื กาไร หลักการในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 9 ที่มีต่อพสกนิกรไทย “การให้” และ “การเสียสละ” เป็นการกระทาอนั มผี ลเป็นกาไร คือความอยู่ดมี สี ขุ ของราษฎร 17. การพึง่ พาตนเอง การพฒั นาตามแนวพระราชดาริ เพอื่ การแกไ้ ขปญั หาในเบอื้ งตน้ ดว้ ยการแกไ้ ขปญั หา เฉพาะหนา้ เพอ่ื ใหม้ คี วามแขง็ แรงพอทจี่ ะดารงชวี ิตไดต้ ่อไป แลว้ ข้ันตอ่ ไปกค็ อื การพฒั นา ให้ประชาชนสามารถอยใู่ นสงั คมไดต้ ามสภาพแวดลอ้ มและสามารถ พ่งึ ตนเองไดใ้ นทสี่ ุด 18. พออยพู่ อกิน ใหป้ ระชาชนสามารถอยอู่ ยา่ ง “พออยู่พอกนิ ” ใหไ้ ด้เสียก่อน แลว้ จงึ ค่อยขยับขยาย ให้มขี ดี สมรรถนะท่กี า้ วหนา้ ต่อไป
19. เศรษฐกจิ พอเพยี ง เป็นปรชั ญาทใ่ี นหลวงรชั กาลที่ 9 พระราชทานพระราชดารัสช้แี นะแนวทางการ ดาเนนิ ชวี ิต ใหด้ าเนินไปบน “ทางสายกลาง” เพ่ือใหร้ อดพน้ และสามารถดารงอย่ไู ด้อยา่ ง มนั่ คงและย่งั ยนื ภายใตก้ ระแสโลกาภิวัตนแ์ ละการเปลี่ยนแปลงตา่ งๆ ซึ่งปรชั ญานส้ี ามารถ นาไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ดท้ ัง้ ระดับบคุ คล องคก์ ร และชมุ ชน 20. ความซ่อื สัตยส์ ุจรติ จริงใจตอ่ กนั ผู้ทมี่ ีความสุจรติ และบริสทุ ธิ์ใจ แม้จะมคี วามรู้นอ้ ย กย็ ่อมทาประโยชนใ์ หแ้ ก่สว่ นรวม ได้มากกวา่ ผูท้ ่มี ีความรูม้ าก แตไ่ ม่มีความสจุ รติ ไม่มคี วามบรสิ ทุ ธิ์ใจ 21. ทางานอย่างมคี วามสุข ทางานตอ้ งมีความสขุ ด้วย ถา้ เราทาอย่างไมม่ ีความสขุ เราจะแพ้ แต่ถ้าเรามคี วามสุข เราจะชนะ สนกุ กับการทางานเพยี งเทา่ นน้ั ถอื วา่ เราชนะแลว้ หรอื จะทางานโดยคานึงถงึ ความสขุ ทเ่ี กิดจากการได้ทาประโยชนใ์ ห้กับผอู้ ่ืนกส็ ามารถทาได้ “…ทางานกับฉัน ฉันไมม่ ี อะไรจะให้ นอกจากการมคี วามสุขรว่ มกัน ในการทาประโยชน์ให้กบั ผอู้ ่นื …” 22. ความเพยี ร การเร่ิมตน้ ทางานหรอื ทาส่ิงใดนน้ั อาจจะไม่ไดม้ คี วามพรอ้ ม ต้องอาศยั ความอดทน และความมุ่งมัน่ ดังเช่นพระราชนพิ นธ์ “พระมหาชนก” กษตั รยิ ์ผู้เพียรพยายามแม้จะไม่ เห็นฝง่ั ก็จะวา่ ยนา้ ตอ่ ไป เพราะถา้ ไม่เพยี รวา่ ยกจ็ ะตกเปน็ อาหารปู ปลาและไม่ได้พบกับ เทวดาท่ีช่วยเหลือมใิ ห้จมนา้ 23. รู้ รัก สามัคคี รู้ คือ รปู้ ญั หาและรวู้ ธิ แี กป้ ัญหานั้น รกั คือ เม่อื เรารถู้ ึงปัญหาและวิธีแกแ้ ล้ว เราตอ้ งมคี วามรัก ทจี่ ะลงมือทา ลงมือแกไ้ ข ปัญหาน้ัน สามัคคี คอื การแก้ไขปญั หาตา่ งๆ ไม่สามารถลงมือทาคนเดยี วได้ ต้องอาศยั ความ รว่ มมอื รว่ มใจกัน
การปฏบิ ตั ติ นตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. ยดึ ความประหยัด ตดั ทอนค่าใชจ้ า่ ยในทุกดา้ น ลดละความฟุ่มเฟือยในการดารงชีพ อยา่ งจรงิ จัง ดงั พระราชดารสั วา่ . . . ความเป็นอยูท่ ี่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ ต้องประหยดั ไปในทางทถี่ ูกตอ้ ง. . . 2. ยึดถือการประกอบอาชีพดว้ ยความถูกต้อง สุจริต แมจ้ ะตกอยูใ่ นภาวะขาดแคลนใน การดารงชีพก็ตาม ดังพระราชดารัสทว่ี า่ . . ความเจรญิ ของคนทงั้ หลายยอ่ มเกดิ มาจาก การ ประพฤติชอบและการหาเลยี้ งชีพ ของตนเป็นหลกั สาคญั . . 3. ละเลิกการแกง่ แย่งผลประโยชน์และแขง่ ขันกนั ในทางการคา้ ขายประกอบอาชพี แบบ ตอ่ สกู้ ันอยา่ งรนุ แรงดังอดีต ซ่ึงมีพระราชดารสั เร่อื งนีว้ า่ . . . ความสขุ ความเจรญิ อันแทจ้ รงิ น้นั หมายถึงความสุขความเจรญิ ที่บุคคลแสวงหามาได้ ด้วยความเป็นธรรมทั้งในเจตนา และการกระทา ไม่ใช่ได้มาด้วยความบงั เอิญ หรือด้วยการ แกง่ แย่งเบียดบงั มาจากผอู้ ่นื . . . 4. ไม่หยุดนิ่งทีจ่ ะหาทางในชวี ิตหลดุ พ้นจากความทุกข์ยากครง้ั นี้ โดยต้องขวนขวายใฝ่หา ความรูใ้ ห้เกดิ มีรายไดเ้ พิม่ พูนขึน้ จนถึงขนั้ พอเพียงเป็นเปา้ หมายสาคัญ พระราชดารสั ตอน หน่งึ ทีใ่ หค้ วามชดั เจนว่า . . การทตี่ ้องการให้ทุกคนพยายามท่ี จะหาความรู้ และสร้างตนเองให้มัน่ คงนี้เพอ่ื ตนเอง เพื่อทจี่ ะใหต้ วั เองมคี วามเปน็ อย่ทู กี่ า้ วหน้า ทมี่ คี วามสขุ พอมีพอกนิ เป็นขั้นหน่งึ และขนั้ ตอ่ ไป ก็คอื ให้มีเกยี รติว่ายืนได้ดว้ ยตัวเอง. . . 5. ปฏิบตั ติ นในแนวทางท่ีดีลดละสง่ิ ย่วั กิเลสให้หมดสน้ิ ไป ท้งั น้ดี ้วยสงั คมไทยท่ลี ม่ สลาย ลงในครั้งนี้ เพราะยังมบี ุคคลจานวนมิใชน่ ้อยทด่ี าเนินการโดยปราศจากละอายตอ่ แผ่นดิน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ไดพ้ ระราชทานพระราโชวาทวา่ . . . พยายามไมก่ อ่ ความชวั่ ใหเ้ ปน็ เครือ่ งทาลายตัว ทาลายผอู้ นื่ พยายามลด พยายามละความชวั่ ทตี่ วั เองมอี ยู่ พยายาม กอ่ ความดใี หแ้ ก่ตัวอยู่เสมอ พยายามรกั ษา และเพ่มิ พูนความดที มี่ อี ยนู่ ั้น ให้งอกงามสมบรู ณ์ ขึ้น. . . ทรงย้าเน้นวา่ คาสาคัญทีส่ ดุ คือ คาวา่ \"พอ\" ต้องสร้างความพอท่ีสมเหตุสมผลใหก้ บั ตัวเองใหไ้ ด้และเรากจ็ ะพบกบั ความสขุ
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: