บทละครดาหลัง
คำว่า “ดาหลัง” ในเมืองไทย นอกจากหมายถึง “หนัง”(หนังตะลุง)แล้วยัง เป็นชื่อวรรณคดีที่สยามรับมาจากชวาด้วย วรรณคดี “ดาหลัง” นี้ เรียกกันอีก ชื่อหนึ่งว่า “อิเหนาใหญ่” ดาหลัง เป็นวรรณคดีสำคัญเรื่องหนึ่งของไทยจัดอยู่ใน ประเภทบทละครใน เป็นกลอนบทละคร ที่ฝีปากปานกลาง ท้องเรื่องสับสนกว่า เรื่องอื่น ๆ แม้ว่าสำนวนกลอนใน “ดาหลัง” จะไม่ไพเราะเท่า “อิเหนา” แต่ก็ควร ศึกษาอย่างยิ่งในแง่ของความเป็น “ทางกลอนสมัยอยุธยา”
ผู้แต่ง ดาหลัง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อิเหนาใหญ่ เป็นกลอนบทละครพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬโลก มีเค้าเดิมมาจากนิทานชวา เชื่อกันว่าเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปลายสมัยกรุง ศรีอยุธยา หญิงเชลยชาวชวาปัตตานี ซึ่ งเป็นข้าหลวงรับใช้เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้า มงกุฎพระธิดาในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้เล่าถวายเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์นั้น ทั้ง สองพระองค์จึงทรงแต่งเรื่องขึ้นคนละเรื่องคือ อิเหนาใหญ่ และ อิเหนาเล็ก แต่ เรื่องทั้งสองสูญหายไป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงพระราช นิพนธ์ขึ้นใหม่ทั้งอิเหนาใหญ่และอิเหนาเล็ก โดยอาศัยเค้าเรื่องเดิมสมัยอยุธยา
คำประพันธ์ บทละคร (ตัวอย่างบทประพันธ์) ๐ เมื่อนั้น ฝ่ายระเด่นมนตรีเรืองศรี พระเนาในแพศพเทวี โศกีครวญคร่ำร่ำไร บุษบาส่ าหรีเจ้าพี่ อา แต่เราลอยคงคาอันหลั่งไหล ได้ห้าวันแล้วเจ้าดวงใจ เจ้าไม่พาทีด้วยพี่ ชาย
เนื้ อเรื่องย่อ
เรื่องดาหลังเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ชวา พระราชนิพนธ์นี้ เป็นกลอนบท ละครมีหน้าพาทย์กำหนดดนตรีประจำบทไว้เสร็จ เนื้อเรื่องดังกล่าวถึงกาลก่อนใน ชวาประเทศ มีราชธานีอยู่สี่ นคร คือกุเรปัน ดาหา กาหลัง สิงหัดส่าหรี กษัตริย์ วงศ์เทวดาสี่ พี่น้องครองนครละองค์ วงศ์เทวดานี้ มีพระอัยกาธิราชเป็นต้นสกุล แต่สิ้นพระชนม์ไปแล้วจนมีฐานะเป็นเทวดา เรียกว่า ปะตาระกาหลา (ภัตตรกาล) และยังเวียนมาคุ้มครองโลก โดยเฉพาะวงศ์วานของท่าน เรื่องดำเนินไปว่าใน จำพวกกษัตริย์ทั้งสี่ นี้ ท้าวกุเรปันผู้พี่ใหญ่มีพระโอรสด้วยประไหมสุหรี (ปรไมย สวรียา) ซึ่ งเป็นตำแหน่งพระอัครมเหสีนั้นก่อน ได้นามว่าอิเหนา ท้าวดาหาผู้รอง ลงมาในพระวงศ์ก็มีธิดาด้วยประไหมสุหรีดุจกันทรงพระนามว่า บุษบาก้าโละ
(ต่อ) ท้าวกุเรปันทรงตุนาหงัน (หมั้น) พระธิดากรุงดาหาประทานแก่อิเหนาผู้ เป็นโอรสแต่แรกประสูติมาแต่อิเหนาเมื่อเจริญพระชันษาขึ้น ได้ไปพบหญิงงาม ชาวไร่ชื่อ เกนบุษบา และหลงรักนางจนไม่ใยดีต่อคู่หมั่น พระบิดาพากเพียรจะให้ อิเหนาไปอภิเษกสมรส แต่อิเหนาบิดพริ้วจนพระบิดากริ้วแสนสาหัส ถึงให้ไปลอบ ฆ่านางเกนบุษบาเสีย อิเหนาเสียพระทัยอย่างที่สุดจนหลบหนีไปจากพระนคร พร้อมด้วยรี้พล เดินทางไปโดยไม่มีจุดหมาย และปลอมพระองค์เป็นชาวป่าเรียก นามว่าปันหยี ในการที่ออกเดินทางไปโดยอาการอย่างนี้ เรียกว่า มะงุมมะงาหรา และได้ไปประสบเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งทุกข์ทั้งสุข ผ่านบ้านเมืองใดก็ท้าเขารบ รบ แล้วก็ชนะ บ้างก็ยอมแพ้ แก่ปันหยียกบุตรธิดาถวายทั้งทรัพย์สมบัติ ไป
(ต่อ) ก็ไปหลงกลของเจ้าเมืองมะงาดา ซึ่ งพาไปเที่ยวเกาะแล้วให้ล่มเรือปันหยี ปันหยีถูกคลื่นซัดไปขึ้นฝั่ งด้วยกันกับประสันตา ต้องอยู่อย่างยากจนลำบากโดย การหากินเป็นดาหลัง คือผู้เชิดหนัง ระหว่างนี้ พระญาติวงศ์รวมทั้งพระธิดาบุษบา ก้าโละก็ออกติดตามหา โดยต่างก็ปลอมองค์เป็นปันจุเหร็จ คือชาวป่าเที่ยวรบรา ฆ่าฟันไปทุกเมือง จนท้ายสุดเหล่าเจ้านายซึ่ งปลอมพระองค์เป็นชาวป่าออกหาซึ่ ง กันและกันนั้น เผอิญไปพร้อมกันอยู่ที่กรุงกาหลัง และไปได้ความว่าใครเป็นใครที่ กรุงนั้น ในที่สุดบรรดาคู่ตุนาหงัน (คู่หมั่น) ก็ได้อภิเษกซึ่ งกันและกันโดยแนวที่ถูก ต้องทุกประการ
ตัวอย่างบทประพันธ์ จะขอยกสำนวนในตอน ระเด่นมนตรี(อิเหนา หรือ ดาหลัง) ครวญถึงนาง เกนบุษบาเมียคนแรกของระเด่นมนตรี ที่ถูกท้าวกุเรปัน บิดาของระเด่นมนตรี สั่ งฆ่าเพราะโกรธที่ระเด่นมนตรีไปลุ่มหลงจนไม่ยอมไปแต่งงานกับธิดาท้าว ดาหาที่ท้าวกุเรปันสู่ขอไว้ ระเด่นมนตรีพบศพของนางเกนบุษบาในป่าจึงนำ ศพลงแพหนีหายไป ระหว่างที่อยู่ในแพกับศพนางเกนบุษบา ระเด่นมนตรี คร่ำครวญว่า
๐ เมื่อนั้น ฝ่ายระเด่นมนตรีเรืองศรี พระเนาในแพศพเทวี โศกีครวญคร่ำร่ำไร บุษบาส่ าหรีเจ้าพี่ อา แต่เราลอยคงคาอันหลั่งไหล ได้ห้าวันแล้วเจ้าดวงใจ เจ้าไม่พาทีด้วยพี่ ชาย เจ้าเคยเชยชวนให้ชูชื่ น ครั้นรื้อฟื้ นคืนคิดก็ใจหาย พี่ สู้ เสี ยสมบัติอันเพริศพราย พี่ มาเอกากายอยู่กลางชล เห็นวารีรี่เรื่อยหลั่งไหล เหมือนดวงชลนัยน์ให้โหยหน แต่พี่ เดียวมาเปลี่ ยวทุกข์ทน จงลุกขึ้ นชมชลด้วยพี่ ชาย แม้นเจ้าไม่ม้วยมรณา จะชี้ ชมมัจฉาอันหลากหลาย เจ้ามานอนแน่นิ่งไม่ติงกาย สายสวาทผินหน้ามาพาที เห็นลมพาคงคาเป็นคลื่นซัด เหมือนเราพลัดมาจากสวนศรี เห็นฟองชลลอยล่องชลธี เหมือนเจ้ากับพี่ ลอยแพมา โอ้ว่าแต่นี้ นะอกเอ๋ย จะชวดชมชวดเชยเสน่หา จะชวดสุขเกษมศรีปีดา จะเปล่าใจเปลี่ยวตาทุกราตรี ๐
พระราชนิพนธ์ ดาหลัง นี้ มีเขียนไว้เป็นสมุดไทยในหอพระสมุดสำหรับ พระนคร ๒ ฉบับแต่ไม่บริบูรณ์ ฉบับหนึ่งมี ๓๒ เล่ม อีกฉบับหนึ่งมี ๓๙ เล่ม ไม่ บริบูรณ์เรื่องทั้งคู่ เมื่อ ร.ศ. ๑๐๙ (พ.ศ. ๒๔๓๓) ได้พิมพ์ไว้โรงพิมพ์นายเทพซึ่ งอยู่ ในแพ หน้าสกูลสุนันทาลัย ถ้อยคำตรงกันกับฉบับที่เขียนไว้ ๓๒ เล่มสมุดไทย และ ความก็ขาดอยู่กลางเรื่องเช่นเดียวกัน แม้แต่ที่พิมพ์ไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ นี้ ก็หาอ่าน ยากแล้ว ทางกองวรรณคดีแห่งกรมศิลปากรได้ค้นมาดู และเมื่อเตรียมจะเอาไป พิมพ์ปรากฏว่าหน้ากระดาษเปราะ พอพลิกเข้าก็แตกเป็นชิ้น ๆ ไปเสียมาก
คุณค่าด้านเนื้ อหาและวรรณศิ ลป์
- โครงเรื่องใหญ่ที่ใช้ความรัก ศักดิ์ศรีสร้างความขัดแย้งได้อย่างมีเอกภาพและ น่าติดตาม โครงเรื่องรองช่วยพัฒนาเหตุการณ์ คลี่คลายปมปัญหาได้คล่องตัว และเสริมรสชาติให้สนุกสนาน - แก่นเรื่องสะท้อนความเป็นจริงของมนุษย์ต่อเรื่องความรักไว้อย่างน่าสนใจ กล่าวคือความรักมีอิทธิพลผลักดันให้มนุษย์ทำทุกสิ่ งได้เพื่ อตอบสนองความ ปรารถนาของตน
- ให้ความสำเริงอารมณ์ด้วยการสร้างเรื่องและผูกปมปัญหา สร้างตัวละคร และ ใช้แนวอิทธิปาฎิหาริย์ให้ข้อคิดที่ สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริงสะท้อนสั งคม วัฒนธรรมไทยในด้านสภาพความเป็นอยู่ การทำศึกสงครามครั้งโบราณโบราณ ราชประเพณี ความเชื่อ และค่านิยม ตลอดจนวัฒนธรรมของต่างชาติด้านต่าง ๆ - คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ด้วยการใช้คำที่ให้เสียงสัมผัสไพเราะ การเล่นคำ และการใช้โวหารต่าง ๆ เพื่อสร้างภาพ อารมณ์ความรู้สึก และให้ความหมายลึก ซึ้ ง
จัดทำโดย นางสาวดิยานา สันหรน รหัสนักศึกษา 644301040 นางสาวพิชญา สว่างจันทร์ รหัสนักศึกษา 644301046
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: