กลวธิ ีการประพนั ธ์กวีนพิ นธ์ สถาพร ศรีสัจจัง
การวิเคราะหก์ วนี พิ นธข์ อง สถาพร ศรสี จั จงั มี 2 ดา้ น 1 รูปแบบฉันทลกั ษณ์ รูปแบบฉนั ทลกั ษณ์ หมายถึง กฎเกณฑ์หรือแบบแผนในการเรยี บเรียงถ้อยคาํ ใหเ้ กิดเปน็ รูปแบบต่าง ๆ สถาพร ศรีสัจจัง ใช้รูปแบบในการประพันธ์กวนี ิพนธ์หลายชนดิ ทง้ั รปู แบบฉันทลกั ษณเ์ ดิมทีม่ าแตโ่ บราณ อันไดแ้ ก่ กลอน กาพย์ โคลง ฉนั ท์ รา่ ย ลิลิต และกวีนพิ นธ์อิสระ กลอน เนือ่ งจากกลอนมีหลายชนิด แต่ละชนิดมลี กั ษณะบังคับเฉพาะแตกตา่ งกนั ออกไป เชน่ จาํ นวนคํา สมั ผัส คําขน้ึ ตน้ คําลงทา้ ย เปน็ ตน้ ดังท่ี กําชยั ทองหล่อ (2543:415) แบ่งกลอนออกเป็น 3 ชนดิ คอื กลอนสภุ าพ กลอนลาํ นํา และกลอนตลาด
สถาพร ศรีสัจจงั ได้ใชแ้ บบคาํ ประพนั ธ์เป็นกลอนตลาดมากทสี่ ดุ กลอนตลาด คือ กลอนผสมหรือกลอนคละ ไม่กําหนดคาํ ตายตัวเหมอื นกลอนสุภาพ ในกลอนบทหน่งึ อาจมวี รรคละ 7 คําบา้ ง 8 คาํ บา้ ง 9 คําบ้าง คอื นํากลอนสุภาพ หลายชนดิ มาผสมกัน อนารยะประเทศนอ้ ยนิดหนง่ึ น้ี แมเ้ วลานาทบี ่สงวน ไร้แบบไร้วิธีไรก้ ระบวน ปัน่ ป่วนหฤหรรษแ์ ต่บรรพม์ า อนาถแผน่ ดินเหลือเพียงซาก เศษกากกระดกู ลว้ นไรค้ ่า บรรพบุรุษตายเปลา่ เล่ากนั มา สงวนเพยี งปา่ ชา้ ไวค้ ู่ไทย (ก่อนไปสู่ภเู ขา.2518: 150)
กาพยย์ านี 11 กาพยย์ านี 11 วรรคหนา้ มี 5 คํา วรรคหลังมี 6 คาํ รวม 2 วรรคเปน็ หน่งึ บาท นับ 2 บาท เปน็ หนึ่งบท ให้คําสดุ ท้ายของวรรคที่ 1 สัมผสั กบั คาํ ท่ี 3 ของวรรคที่ 2 และให้คาํ สดุ ทา้ ยของวรรคท่ี 2 สมั ผสั กับคําที่ 5 ของวรรคท่ี 3 ถ้าแต่งบทตอ่ ไปอีก ตอ้ งให้คําสุดทา้ ยของบทตน้ สัมผัสกบั คาํ สุดท้ายของวรรคท่ี 2 ของบทต่อไป (กาํ ชัย ทองหลอ่ .2545: 442) สถาพร ศรีสจั จงั พบว่า กาพยย์ านี 11 สว่ นใหญม่ ลี ักษณะการประพนั ธ์ ท่เี คร่งครดั ฉนั ทลักษณ์ ดังนี้ ๏ วันแลว้ และวนั เลา่ สองตนี ก้าวกลางแดดฝน เหงอ่ื เลือดลงแปมปน เพียงยังชพี บ่ให้ตาย โงเ่ งา่ มริ เู้ หตุ ดวงตากพ็ ร่าพราย อ่มิ อาเพศมหิ ่างหาย เพราะขาดธาตุอาหารดี (ก่อนไปสภู่ ูเขา.2518: 142)
กาพยฉ์ บัง 16 กาพย์ฉบังหนง่ึ บทมี 3 วรรค วรรคท่ี 1 กับวรรคที่ 3 มีวรรคละ 6 คาํ วรรคที่ 2 มี 4 คาํ ให้คํา สดุ ท้ายของวรรคแรกสัมผสั กับคาํ สุดทา้ ยของวรรคท่ี 2 ถ้าจะแตง่ บทต่อ ๆ ไปอกี ตอ้ งให้คาํ สุดท้ายของบทต้นสมั ผัสกบั คําสดุ ท้ายของวรรคท่ี 1 ของบทต่อไป สถาพร ศรีสจั จงั มีรูปแบบการประพันธ์ ที่เป็นไปตามขอ้ บังคบั ของการแต่งคาํ ประพันธ์ประเภทกาพย์ ฉบัง 16 ดงั ตัวอยา่ ง ๏ ในเกาะนอ้ ยหนึ่งซ่ึงมี- ตาํ นานยาวรี ลบิ งปูเตะ๊ – ตํานาน ๏ เรือ่ งเกา่ เลา่ กันในกาล ครง้ั หนงึ่ ชายชาญ ออกทอ่ งทะเลเวลา (ทะเล ปา่ ภู และเพงิ พัก.2541: 60-61)
กาพย์สรุ างคนางค์ 28 กาพย์สุรางคนางค์ 28 ในบทหน่ึงมี 7 วรรค วรรคหน่ึงมี 4 คํา รวมเป็น 28 คํา คําสุดท้ายของวรรค ท่ี 1 สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคที่ 2 คําสุดท้ายของวรรคท่ี3 สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคท่ี 5 และ คําสุดท้ายของวรรคท่ี 5 สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคที่ 6 ถ้าจะแต่งบทต่อ ๆ ไปอีก ต้องให้คําสุดท้ายของ บทตน้ สมั ผสั กบั คําสุดทา้ ยของวรรคที่ 3 ตอ่ ไป สถาพร ศรีสจั จงั พบวา่ กาพย์สุรางคนางค์ 28 มลี ักษณะการประพันธ์ที่เคร่งครัดฉนั ทลกั ษณ์ ดังตวั อยา่ ง ๏ การศึกปฏวิ ตั ิ ต้องต้ังต้องจัด เป็นแกนเปน็ กลาง ศตั รชู ว่ั ชาติ มันอาจอําพราง เลห่ ก์ ลหนทาง เรื่องรา้ ยลายลาญ (กอ่ นไปสภู่ ูเขา.2518: 186 – 187)
กาพยห์ อ่ โคลง กาพย์หอ่ โคลงเป็นช่ือของบทประพันธ์ทีแ่ ตง่ ข้นึ โดยใชก้ าพยย์ านสี ลับกับโคลงสส่ี ุภาพ โดยจะตอ้ งมีความอย่าง เดยี วกัน คอื ใหว้ รรคทห่ี นงึ่ ของกาพยย์ านกี บั บาทที่หนึ่งของโคลงบรรยายขอ้ ความอย่างเดยี วกนั หรอื บางทกี ็ให้คาํ ต้นวรรคของ กาพย์กับคําต้นบทของโคลงเปน็ คําเหมือนกนั สว่ นบญั ญัตหิ รือกฎข้อบังคับต่าง ๆ เหมือนกับกฎของกาพยย์ านีและโคลงสส่ี ุภาพ ทงั้ ส้ิน ลักษณะการแต่งกาพย์ห่อโคลงแบ่งออกไดเ้ ปน็ 3 ชนิด คือ 1 แตง่ กาพย์ยานีหน่งึ บท แลว้ แตง่ โคลงสีส่ ภุ าพ ซึ่งมเี น้อื ความเชน่ เดยี วกับกาพย์ยานหี นึ่งบทสลับกนั ไป 2. เหมอื นชนิดที่ แตก่ ลับกนั คอื เอาโคลงไวห้ นา้ เอากาพยไ์ วห้ ลงั 3. แต่งโคลงบทหนง่ึ แล้วแตง่ กาพยพ์ รรณนาข้อความจนสดุ กระแสตามความพอใจ
สถาพร ศรีสัจจงั มลี กั ษณะการประพันธท์ ่ีตา่ งไปจากเดมิ คอื แตง่ กาพย์ยานี 11 รว่ มกบั โคลงห้าพัฒนา และนาํ กาพย์ฉบัง 16 มาแต่งรว่ มกับโคลงดน้ั บาทกุญชร ดังตัวอยา่ ง แต่งโคลงด้นั บาทกุญชรร่วมกับกาพยฉ์ บงั 16 ดังน้ี ด่งั ใด โคลงดั้นบาทกญุ ชร ด่ังน้นั ใจสด ๏ ใจ – จกั รวาลวาดไว้ ก่องใจ ฯ กว–ี กว็ าดใจวาง คอื – ใจว่างใจใส ธรรม – จงึ่ แต่งคน้ คัน้ กาพยฉ์ บัง 16 มาก่อในกานท์ ๏ คือใจผนกึ ภาพจักรพาล ไรห้ ว่ งทาํ งน อนั ก่อมงุ่ เก้ือเอือ้ คน (ทะเล ปา่ ภู และเพงิ พัก.2541: 40 – 47) ๏ คือใจใสผอ่ งส่องผล จงึ ไป่สงู –ต่ํา, ลาํ เอยี ง ๚๛
โคลง โคลงเปน็ คาํ ประพันธ์ชนิดหนงึ่ ซึ่งมีวธิ เี รียบเรียงถอ้ ยคาํ เข้าคณะ มีกาํ หนดเอกโทและสมั ผัส แต่มิได้บัญญัติ บงั คับครฃุ ลหุ 3 ชนดิ แบ่งออกเปน็ คอื โคลงสภุ าพ โคลงด้ัน และโคลงโบราณ (กาํ ชัย ทองหลอ่ .2545: 396) บท ประพนั ธ์ประเภทโคลงท่ปี รากฏในงานประพนั ธข์ อง สถาพร ศรีสัจจงั มที ้ังโคลงสุภาพ และโคลงด้ัน ดังตอ่ ไปน้ี โคลงสภุ าพ โคลงสุภาพ แบ่งออกเป็น 7 ชนดิ คอื โคลงสองสุภาพ โคลงสามสภุ าพ โคลงสสี่ ภุ าพ โคลงห้าหรอื มณฑก คติ โคลงตรีพธิ พรรณ โคลงจัตวาทัณฑี โคลงกระทู้ (กาํ ชยั ทองหล่อ. 2545: 396) บทประพนั ธร์ ูปแบบโคลงสภุ าพพบ ในงานประพนั ธ์ของ สถาพร ศรีสัจจงั 4 ชนิด คือ โคลงสองสุภาพ โคลงสี่สภุ าพ โคลงหา้ หรือมณฑกคติ และโคลง กระทู้ ดงั นี้
โคลงสองสุภาพ โคลงสองสุภาพบทหน่ึงมี 3 วรรค วรรคที่ 1 และที่ 2 มีวรรคละ 5 คํา วรรคท่ี 3 มี 4 คํา รวม 3 วรรค เปน็ 14 คํา ส่วนสัมผัสให้คําท่ี 5 วรรคท่ี 1 สัมผัสกับคําท่ี 5 วรรคท่ี 2 ถ้าแต่งเป็นเร่ืองยาวต้องให้คําสุดท้ายของ บทสัมผสั กบั คําท่ี 1 ที่ 2 หรอื ที่ 3 ในวรรคที่ 1 ของบทต่อไปทุก ๆ บท บังคบั ใหม้ ีเอก 3 แห่ง และโท 3 แหง่ สถาพร ศรสี จั จัง เปน็ โคลงทีไ่ ม่เครง่ ครัดฉนั ทลกั ษณ์ เพราะมีคาํ เอก คําโทไม่เปน็ ไปตามขอ้ บงั คบั ดังนี้ ๏ ฯอาฯ ลกุ ข้นึ แสนล้าน ถว้ นทงุ่ ทว่ั บา้ น ไล่ล้าง กาลี คลคี่ ลืน่ อยผู่ ะผา้ ย ๏ มีใดจักตอ่ ได้ น่ันแล้ ทัพธรรม (กอ่ นไปสภู่ ูเขา.2518: 180)
โคลงส่ีสภุ าพ โคลงสีส่ ภุ าพ โคลงหน่งึ มี 4 บรรทดั บรรทัดหนึง่ เรียกวา่ “บาทหนึ่ง” รวม 4 บาท นับเป็นหน่ึง บท หรือหนงึ่ โคลง บาทหน่ึงมี 2 วรรค วรรคหน้ามีวรรคละ 5 คํา วรรคหลังของบาทท่ี 1, 2, 3 มีวรรค ละ 2 คํา วรรคหลังของบาทท่ี 4 มี 4 คํา รวมเป็น 30 คํา การส่งสัมผัสจากคําสุดท้ายบาทท่ี 1 สัมผัสกับคําสุดท้ายวรรคหน้าบาท 2 และคําสุดท้ายวรรคหน้าบาท 3 และคําสุดท้ายบาท 2 สัมผัสกับคํา สุดทา้ ยวรคหนา้ บาท 4 บังคบั ให้มเี อก 7 แหง่ โท 4 แหง่ โคลงสี่สุภาพของ สถาพร ศรีสจั จงั มีคําเอก คําโทไมเ่ ป็นไปตามขอ้ บงั คบั ดังน้ี ๏ จุ่งพ่ีน้องจงุ่ สร้าง สามผสาน ให้แผ่นพืน้ จดจาร ชอื่ บ้าง ชาวนาหนึง่ ,ก่อการ ถ้วนท่งุ นักศึกษา,กรรมกรสร้าง- ศกึ ได้ในเมือง ฯ (กอ่ นไปส่ภู ูเขา.2518: 190 - 191)
โคลงหา้ หรอื โคลงมณฑกคติ กําชัย ทองหล่อ ไม่ได้อธิบายฉันทลักษณ์ของโคลงห้าไว้ เพราะไม่นิยมแต่งกันแล้ว ผู้วิจัยจึงใช้คําอธิบายของ พระยาอุปกิตศิลปะสาร (2548: 412 - 413) ซ่ึงกล่าวว่า โคลงห้า บทหนึ่งมี 4 บาท บาทหนึ่ง ๆ มี 5 คํา และเติม สรอ้ ยได้ 2 คํา ทงั้ 4 บาท สัมผัสส่งอยู่ท้ายบาท ถ้ามีสร้อยก็อยู่ท้ายสร้อย สัมผัสกับคําใดคําหนึ่งในสี่คําต้นบาทท่ี 2 ถ้ามี สร้อยคาํ ท่ี 5 ก็รบั ได้ และรับกันเหมือนร่าย ส่วนเอกโทน้นั บังคับแต่โทอย่ทู า้ ยบาท 2 ถ้ามีสรอ้ ยก็อยู่ท้ายสร้อย และสัมผัสโท รับทีต่ น้ บาท 4 ไดท้ ง้ั ๔ คาํ ถา้ มีสรอ้ ยรับโทคําท่ี 5 กไ็ ด้ โคลงห้า หรอื โคลงมณฑกคติ สถาพร ศรีสจั จัง เรียก“โคลงหา้ พฒั นา” ได้แตง่ ไว้ ดังน้ี ๏ ไกลแตน่ ี้ ต่อนาน ชื่อซรอ้ ง ชนจักจาร กูถ้ ่นิ วีรกาล ตอ่ มาร ฯ กู้ต่อตอ้ ง (ยนื ต้านพาย.ุ 2524:13 - 14)
โคลงกระทู้ โคลงกระทู้ คอื โคลงสส่ี ภุ าพ แต่ตั้งข้อความเป็นกระทู้ไว้ข้างหน้าของบาททั้ง 4 แล้วแต่งถ้อยคํา ตอ่ ไปให้มเี นอ้ื ความอธบิ ายหรือขยายความของกระทู้ให้ชดั เจนยิ่งขน้ึ หรอื ถ้าเป็นกระทู้ท่ีไม่มีความหมายในตัวเอง ก็แต่งเสริมพยางค์ หรือคาํ ใหก้ ระทนู้ น้ั มคี วามหมายขึน้ ดังนี้ ๏ เย็น ๆ สุรยิ ะโอ้ อสั ดง ลม ล่องจะล่องลา ลับแลว้ ปาก กาดัง่ ยงั คง เปลา่ ว่าง นา กระดาษจึง่ คล้ายแหว้ อกั ษรา ฯ (ฟ้องนายหวั .2543: 191)
โคลงดนั้ โคลงดั้นแบ่งออกเป็น 6 ชนิด คือ โคลงสองด้ัน โคลงสามดันโคลงด้ันวิวิธมาลี โคลงดั้นบาทกุญชร โคลงด้ันตรีพิพิธพรรณ และโคลงด้ันจัตวาทัณฑี (กําชัยทองหล่อ.2545: 396) บทประพันธ์รูปแบบโคลงด้ันในงาน ประพนั ธ์ของ สถาพรศรี สัจจัง 2 ชนิด ไดแ้ ก่ โคลงด้ันวิวธิ มาลี และโคลงด้ันบาทกญุ ชร ดังต่อไปน้ี โคลงดั้นววิ ิธมาลี บทหนึ่งมี 4 บาท บาทหนงึ่ มี 2 วรรค วรรคหน้ามีวรรคละ 5 คํา วรรคหลังของ ทกุ บาทมีวรรคละ 2 คาํ รวมเป็น 28 คาํ การสง่ สัมผัสจากคําสดุ ทา้ ยบาทที่ 1 สัมผสั กับคําสดุ ทา้ ยวรรคหนา้ บาท 3 และคําสุดทา้ ยบาท 2 สัมผัสกบั คําท่ี 4,5 วรรคหน้าบาท 4 ถา้ จะแตง่ บทอน่ื ตดิ ่อไป ต้องให้คําสุดท้ายของบทตน้ สัมผสั กับคาํ ที่ 5 บาทที่ 2 ของบทตอ่ ๆ ไป บงั คบั ให้มเี อก 7 แหง่ โท 4 แห่งเช่นเดยี วกบั โคลงสส่ี ุภาพแต่ โทในบาท 4 อยตู่ ิดกนั ที่คาํ ที่ 4, 5 สถาพร ศรสี ัจจงั เปน็ โคลงไมเ่ ครง่ ครดั ฉันทลักษณ์ เพราะมีคําเอก คาํ โทไม่เปน็ ไปตามขอ้ บังคบั ดงั น้ี ๏ เป็นเถดิ ดงั่ แท่งไต้ สอ่ งทาง ไรค้ ่าเมอ่ื ตาวนั ส่องสรา้ น เมื่อมืดจึ่งรางชาง เปลวเด่น สาดส่องแสงจ้าจา้ น แก่คน ฯ (ทะเล ปา่ ภู และเพิงพัก.2541: 34)
โคลงดั้นบาทกญุ ชร โคลงดั้นบาทกุญชร มีลักษณะเหมือนกับโคลงสี่ดั้นวิวิธมาลี แต่เพิ่มสัมผัสระหว่างบทเข้าอีกคู่หนึ่ง คอื คาํ สุดทา้ ยบาทท่ี 3 ในบทตน้ สัมผัสกบั คาํ ที่ 4 ในบาทที่ 1 ของ บทตอ่ มา สถาพร ศรีสัจจัง แต่งโคลงดั้นบาทกุญชรโดยไม่เคร่งครัดฉันทลักษณ์ มีการละสัมผัสระหว่างบท ดงั ตวั อย่าง ๏ กรุ่นสมุ าลยน์ ้ันกรนุ่ ด้วย เรณู กรุ่นเพราะธรรมชาตเิ ติม แต่งสร้าง คา่ ใดสง่ มนุษยด์ ู เห็นเดน่ ผิล่มจิตแลง้ รา้ ง แง่งาม ฯ (ณ เพงิ พกั ริมหว้ ย.2531: 43)
ฉนั ท์ ฉันท์ คือ ลกั ษณะถ้อยคําท่ีกวีไดร้ ้อยกรองขึ้นให้เกิดความไพเราะซาบซ้ึง โดยกําหนดคณะ คําครุ ลหุและ สัมผัสไว้ เป็นมาตรฐาน (กาํ ชยั ทองหลอ่ .2545: 451) สถาพร ศรีสจั จัง แตง่ ฉันท์ไว้ 3 ชนิด คอื สาลินีฉันท์ 11 ภุชงคประยาตฉันท์ 12 และอีทิสฉนั ท์ 20 ดังนี้ สาลนิ ีฉันท์11 สาลินีฉันท์ 11 หมายความว่า ฉันท์ท่ีมากไปด้วยครุ ซึ่งเปรียบเทียบเหมือนแก่น หรือหลัก บาทหนึ่งมี11 คํา วรรคหน้ามี 5คํา วรรคหลังมี 6 คํา รวม 2 วรรคเปน็ บาทหน่ึง นับ 2 บาทเป็นหน่ึงบท วรรคหน้าทุกวรรคเป็นครุล้วน คําที่ 1 และที่ 4 ของวรรคหลังเป็นลหุ นอกน้ัน เป็นครุ ส่วนสัมผัสให้คําสุดท้ายของวรรคท่ี1 สัมผัสกับคําที่ 3 ของวรรคที่ 2 และ คําสุดท้ายของ วรรคที่ 2 สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคที่ 3 ถ้าจะแต่งบทอื่นต่อไป ให้คําสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคําสุดท้าย ของวรรคที่ 2 ของบทต่อไป สาลินีฉนั ท์ 11 ของ สถาพร ศรสี ัจจัง มลี ักษณะการแตง่ ตรงตามฉนั ทลักษณ์ดงั นี้ เปลง่ เสียงให้ก้องฟา้ ประกาศทา้ และหา้ วหาญ นายทุนยอ่ มเกินทาน และนามไทจะเปิดทาง (กอ่ นไปสภู่ เู ขา.2518: 185-186)
ภุชงคประยาตฉันท์ 12 ภุชงคประยาตหรือภุชงคปยาต หมายความว่า ฉันท์ที่มีลีลาประดุจงู บาทหนึ่งมี 12 คํา แบ่งเป็น วรรคละ 6 คํา รวม 2 วรรคเป็นบาทหนึ่ง นับ 2 บาท เป็นหนึ่งบท คําที่ 1 และท่ี4 ของทุกวรรคเป็นลหุ นอกน้นั เป็นครุ สว่ นสัมผัสให้คําสุดท้ายของวรรคท่ี 1 สัมผัสกับคําที่ 3 ของ วรรคที่ 2 และคําสุดท้ายของวรรค ท่ี 2 สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคท่ี 3 ถ้าจะแต่งบทอ่ืนต่อไป ให้คําสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคําสุดท้ายของ วรรคที่ 2 ของบทต่อไป สถาพร ศรสี จั จงั แตง่ ภชุ งคประยาตฉันท์ 12 โดยไม่เคร่งครัดครุ ลหุ มากนกั ดังนี้ แหละสงครามกบ็ ่กฎ ประวตั ิบท ณ บรรพบรรพ์ ประชาชนสลิ า้ นพัน บเ่ คยพา่ ยบพ่ งั ภนิ ท์ (ก่อนไปสู่ภเู ขา.2518: 191 - 192)
อที ิสฉันท์ 20 อีทิสฉันท์ หรืออีทิสังฉันท์ 20บทหนึ่งมี 20 คํา แบ่งออกเป็น 3 วรรค วรรคที่ 1 มี9 คํา วรรคท่ี2 มี 8 คาํ วรรคท่ี 3 มี 3 คาํ รวมเปน็ 20 คํา รวม 3 วรรคเป็นบาทหนึ่ง นับบาทหน่ึงเป็นหนึ่งบท ใช้ครุสลับกับลหุ เรื่อยไปต้ังแต่ต้นจนจบบท เว้นไว้แต่สองคําสุดท้ายของบทซ่ึงใช้ครุคู่กัน สัมผัสให้คําสุดท้ายของวรรคท่ี 1สัมผัสกับ คําสุดทา้ ยของวรรคที่ 2 ถา้ จะแต่งบทตอ่ ไปอกี ตอ้ งให้คาํ สุดทา้ ยของบทตน้ สมั ผัสกับคําสุดท้ายวรรคท่ี 1 ของบทตอ่ ไป รูปแบบฉันทลกั ษณ์อที สิ ฉันท์ 20ของ สถาพร ศรสี ัจจงั มีลกั ษณะไมเ่ คร่งครดั ครุ ลหุ ดังนี้ ๏ กรรมกรจะรวมพลงั บ่แช- ก็ลนลาน -บ่เชอื นให้โลกตะลึงและแล (ก่อนไปสู่ภเู ขา.2518: 175 - 176)
ร่าย ร่าย เปน็ ช่ือของคําประพันธ์ชนิดหน่ึง ซ่ึงไม่กําหนดว่าจะต้องมีบทหรือบาทเท่านั้นเท่านี้ จะแต่งให้ยาวเท่าไหร่ก็ได้ เป็นแต่ต้องเรียงคําให้คล้องจองกันตามข้อบังคับเท่านั้น แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ ร่ายสุภาพ ร่ายด้ัน ร่ายโบราณ และร่ายยาว รูปแบบรา่ ยท่ปี รากฏ ในงานประพนั ธ์ของ สถาพร ศรสี จั จัง พบ 1 ชนดิ คือ รา่ ยสุภาพ ดังน้ี รา่ ยสภุ าพ จดั เป็นวรรคละ 5 คํา หรือจะเกนิ กว่า 5 คํา บา้ งก็ได้ แต่ไม่ควรเกิน 5 จังหวะในการอ่าน จะแต่งยาวสักก่ีวรรคก็ได้ แต่อกี สามวรรคกอ่ นจบ จะต้องเป็นโคลงสองสุภาพเสมอ สถาพร ศรสี จั จัง ได้แตง่ ร่ายสภุ าพ ดังนี้ o อา – โองการประกาศฟ้า ทั่วหล้าท่ัวแหล่งเล่า กระจายข่าวการขบถ เพ่ือการปลดแอกอาน ของชาวงานผู้กระอัก ผู้ทุกข์หนัก แปรเ้ พียบ ลกุ ขึ้นเหยยี บยํา่ มาร ผู้กอ่ การกดขี่ – นบั ตอ่ แตน่ ี้ แสงทองจะส่องชี้ ทั่วดา้ วแดนคน นัน่ ฮา ฯ (ก่อนไปสภู่ ูเขา.2518: 193)
กวพี จนอ์ ิสระ เป็นรูปแบบการแต่งท่ี สถาพร ศรีสัจจัง คิดประดิษฐ์สร้างใหม่ แม้จะยังไม่กลมกลืน สละสลวยดีนัก แต่ก็นับว่า สถาพร ศรีสัจจัง มีความคิดเร่ิมสร้างรูปแบบใหม่ ๆ ข้ึน เพื่อใช้ในการประพันธ์ ของเขา กวพี จน์อิสระของ สถาพร ศรสี จั จงั เป็นอสิ ระจากข้อบังคับทางฉนั ทลกั ษณเ์ ดิม ๆ ดงั น้ี บทกวี “ลิลติ พฒั นาโองการประกาศฟา้ ” ของ สถาพร ศรสี จั จงั ใชค้ ําประพันธ์มากกว่ากฎเกณฑ์เดิมของลิลิต คือมี ร่าย โคลงส่ีสุภาพ โคลงห้าพัฒนา กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง 16 กาพย์สุรางคนางค์28 สาลินีฉันท์ 11 และภุชงคประยาตฉันท์ 12 จึงเป็นลิลิตชนิดใหม่ ซึ่ง สถาพร ศรีสัจจัง เรียกว่า “ลิลติ พัฒนา”
กวพี จน์อสิ ระของ สถาพร ศรสี จั จัง รปู แบบรอ้ ยแกว้ มีลกั ษณะไม่บงั คบั จํานวนคาํ และ สัมผสั ดงั ตัวอย่าง ในกรุง, แมม้ นี ํา้ อาหารสมบูรณค์ อยยื่นปอ้ น แตน่ ก, นอกจากมีปากไวจ้ ิบน้ําและจิกกนิ อาหารแล้ว ยงั มีปีก, ไวโ้ ผบนิ ลอ่ งเวิ้งฟ้าเสพย์กนิ ทพิ ยธ์ รรมชาติด้วย. แมใ้ นโลกกว้างธรรมชาติจักยากลาํ บากในการดาํ รงชีวติ , แตม่ นี กตวั ใดหรอื ที่ตอ้ งการความสมบรู ณใ์ นกรงขัง. เช่นนนั้ , รกั แห่งเธอก็ต้องการอสิ รภาพเชน่ นั้น. (ทว่ี า่ รัก–รักนั้น…..2529: 62)
กวีนิพจน์อิสระอีกรูปแบบหนึ่ง สถาพร ศรีสัจจัง เขียนในรูปแบบนวนิยายเชิงกวีนิพนธ์ คือ เป็นการเขียนนวนิยายร้อยแก้วที่เลือกสรรคํามาเรียบเรียง แล้วประดับประดาด้วยกาพย์และกลอน โดยนํามา จากกวนี ิพนธ์ของตนในเรื่องตา่ ง ๆ ทมี่ ีขอ้ คิดสัมพนั ธก์ ับเน้ือหาในนวนยิ าย ดงั ตวั อย่าง พลนั ชายพเนจรก็หวนย้อนราํ ลกึ ถึงเรอื่ งราวเก่าก่อน คร้งั เม่อื ตวั เองได้เดนิ ทางทอ่ งภเู ขาและได้เขา้ รว่ มอยู่อาศยั กับชนเผ่ายาง ซึ่งดํารงร่างชีวิตอยู่กับปา่ ภตู น้ หว้ ย แลว้ เพลงรอ้ งบางเพลงในฤดูเก็บเกี่ยวของเผ่าชนน้นั ก็วาบเขา้ มาก้องเสยี งชดั เจนอยใู่ นสํานึก: “ ๏ เฌอ โปร เถาะ แล เตอ เปาะ คี, ซ่าเลอ บเ่ี บ ก่า อะซยุ -- ๏ ตน้ เฌอเติบตัวแตกกง่ิ อยู่ ณ ต้นหว้ ยโนน้ , วา่ กันวา่ -นกพญาไฟทํารังทนี่ ัน่ --”
2. กลวธิ กี ารประพนั ธก์ วีนพิ นธข์ อง สถาพร ศรสี จั จงั กลวธิ ีการประพันธ์ เป็นวิธีการต่าง ๆ ที่ผู้ประพนั ธ์นํามาใช้ในการสรา้ งสรรคบ์ ทกวีเพอ่ื ให้เกดิ ความ เข้าใจ ความไพเราะ ความซาบซึง้ ตรึงใจ ตลอดจนจินตนาการใหแ้ กผ่ อู้ ่าน กวนี ิพนธข์ อง สถาพร ศรีสัจจัง มกี ลวธิ กี ารประพันธท์ ่ีน่าสนใจการใช้คาํ ในเร่อื งภาพพจน์ ดังนี้ 2.1 การใชค้ าํ 2.1.1 การเลอื กใชเ้ สยี งของคํา เสียงเป็นปัจจยั สําคญั ท่จี ะสง่ ผลใหบ้ ทกวีมีความไพเราะงดงาม กอ่ ใหเ้ กิดความ ซาบซึ้งสะเทือนใจแกผ่ ูอ้ ่าน 2.1.1.1 การเล่นเสยี งสมั ผัส การเล่นเสียงสัมผัส คือเสียงคล้องจองในบทกวี อันได้แก่สัมผัสบังคับและสัมผัสไม่บังคับ ซ่ึงท้ัง 2 ประเภทนอ้ี าจเป็นสัมผัสสระหรือสมั ผัสอักษรกนั
2.1.1.1.1 สัมผสั สระ สัมผัสสระ คอื “การวางเสยี งของคาํ ให้กลมกลนื กันดว้ ยเสียงสระ” ดังตัวอยา่ งต่อไปนี ้ 1) สระเดยี วเรียง 2 คาํ เรียกวา่ เคยี ง ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ และวันน้ี,ท่นี ิยายไดเ้ ลา่ ต่อ ผลทพ่ี อไดร้ บั กบั ผลิตผล ของการได้ทาํ งาน–การด้ินรน คือ โกมล คมี ทอง ตอ้ งตายไป ตายไปโดยเหลา่ สตั ว์เดรจั ฉาน อาจไมใ่ ช่ชาวบ้านตีนกร้านใหญ่ ผรู้ อคนเช็ดคราบสาบเหงอ่ื ไคล แตต่ ายเพราะคนหวั ใจไมใ่ ชค่ น ฯ (กอ่ นไปสู่ภเู ขา.2518: 145)
2) สระเดียวเรยี ง 3 คาํ เรยี กว่า เทยี บเคียง ท่ีปรากฏในงานของ สถาพร ศรีสัจจัง ดังน้ี ต้องเริ่มงานปฏิวัตโิ ดยจดั ต้ัง ให้ทว่ั ท้ังแว่นแควน้ แผน่ ดนิ ใหญ่ (กอ่ นไปสู่ภเู ขา.2518: 163) 3) สองสระเรียงกันสระละ 2 คู่ เรยี กว่า ทบเคียง ทป่ี รากฏในงาน ของ สถาพร ศรสี จั จงั ดังตวั อยา่ ง อสี านรอ้ นดอนแล้งแห้งอย่างน้ี หากแผน่ ดนิ มนั จะปหี้ รอื จะป่น (ก่อนไปสภู่ ูเขา.2518: 170)
4) สระอื่นแทรกกลาง 1 คํา ถ้าอยู่ตน้ วรรคหรอื กลางวรรค เรยี กว่า แทรกเคยี ง อย่ปู ลายวรรค เรียกวา่ เทียบแอก ทป่ี รากฏในงานของ สถาพร ศรีสจั จัง มดี งั นี้ คอื นกวา่ ยเวย่ี ฟา้ ขาว ตะกายจกิ ดวงดาวอยไู่ หวไหว ไป่ รคู้ ่าเวลานาทใี ด ลอยมาลอยไปไร้วารวัน เสพยก์ นิ เพียงทพิ ยธ์ รรมชาติ บริสุทธ์ิพลิ าส-สูงคา่ นั่น แมเ้ พียงเศษหัวใจก็ไป่ ปนั ให้ความไหวหว่นั ทัง้ ถว้ นมวล ฯ (คอื นกว่ายเว้งิ ฟา้ .2529: 13)
5) สระอ่นื ค่นั กลาง 2 คาํ เรยี กว่า แทรกแอก ท่ปี รากฏในงานของ สถาพร ศรสี ัจจัง ดงั น้ี จงึ วนั นี้กบั คาํ ยอมจาํ นน จักไม่มสี ักคนทพี่ ูดกนั และสําหรับโจรรา้ ยทร่ี กุ ถนิ่ เลือดยังนองแผ่นดินฟอ้ งอยู่นน่ั (ยืนต้านพาย.ุ 2524: 21)
2.1.1.1.2 สมั ผสั อกั ษร สมั ผสั อกั ษร คือ“การใชเ้ สียงของคําในลักษณะประเภทเดียวกัน ซึ่งมีทั้งคําสัมผัสอักษรท่ีพยัญชนะต้น เป็นตวั เดียวกนั และพยัญชนะต้นเป็นเสียงเดียวกัน” (วันเนาว์ยูเด็น.2532: 92) สัมผัสอักษรท่ีปรากฏ ในกวีนิพนธข์ อง สถาพรมี ศรสี จั จัง ดังน้ี 1) อักษรเดียวเรียง 2 คํา เรียกว่า คู่ ปรากฏในงานของ สถาพร ศรีสัจจัง ดงั ตวั อย่างต่อไปนี้ เศรษฐกจิ เคยกัดกรอ่ น ท่ีซกุ ซ่อนกเ็ ผน่ ผลงุ ค่าขา้ วบ่พยงุ ไผจักชว่ ยผู้นาชน อรุ ะรา้ วก็ไร้ผล อะหา! ชาวนาข้าว จะเรยี กร้องผใู้ ดฤๅ โง่เง่าไร้สทิ ธิตน (ก่อนไปสูภ่ เู ขา.2518: 148)
2) อกั ษรเดียวเรียง 3 คํา เรยี กวา่ เทียบคู่ สถาพร ศรสี จั จัง แตง่ ไว้ดังนี้ ๏ กู่ฟา้ ก้องขวัญบรรสาน ชนชาติจุง่ จาร ชาวนาจกั เชดิ ชูชยั (กอ่ นไปสู่ภูเขา.2518: 184) 3) อกั ษรเดยี วเรียง 4 คํา เรียกว่า เทียมรถ ปรากฏในงานของ สถาพร ศรสี จั จัง ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี ท่ีทําเนยี บไอ้พวกสมชั ชา ก็ถกู ตาํ รวจหมาลุยอีกหน คยุ ให้เละ–เสือกซ่าเกดิ มาจน แล้วยังเสอื กดิน้ รนเรียกรอ้ งระงม (ฟ้องนายหวั .2543: 180)
4) อักษรเดียวเรียง 5 คาํ เรยี กวา่ เทียบรถ ท่ีปรากฏในงานของสถาพร ศรสี จั จงั ดังน้ี ในท่ามกลางขบวนการงานตอ่ สู้ คนกลา้ ยนื หยัดอย่ทู ุกแห่งหน หวงั –คือลา้ งขอ่ื คาคืนคา่ คน ของคนจนท่ัวแคว้นในแผ่นดิน (ก่อนไปสภู่ ูเขา.2518: 196) 5) สองอกั ษรเรยี งกนั อักษรละ 2 คู่ เรียกวา่ ทบคู่ ปรากฏในงานของ สถาพร ศรสี ัจจัง ดงั ตัวอยา่ ง คาํ ประพนั ธต์ ่อไปนี้ ลุงเจา้ กับพ่อ-เพยี งสองคน ทอดเท้าดน้ั ดน้ บนป่าภู (ณ เพงิ พกั ริมหว้ ย.2531: 13)
6) อกั ษรอ่นื คั่นกลาง 1 คาํ เรียกว่า แทรกคู่ ปรากฏในงานของ สถาพร ศรีสัจจัง มีลักษณะดังนี้ เหนอื คุง้ ฟา้ คงุ้ โคง้ -เป็นวงฟา้ ขาวเมฆฝอยจับฝา้ -เป็นกล่มุ กลมุ่ เรยี่ เร่ยี รายรายระบายรมุ แต่งแต้มสมุ ทุมข้นึ ทาบทา หัวคลืน่ นัน้ เคล่ือนอย่คู รกึ ครกึ แรงหวนลมดึก- ลมเดอื นห้า กาํ หนดท่วงทแี ห่งลีลา ให้น้ํา ให้ฟา้ ให้ทะเล ฯ (ณ เพงิ พักริมห้วย.2531: 15)
7) สัมผัสอักษรท่ีมีคาํ อืน่ แทรกอยู่ 2 เรยี กว่า แทรกรถ ปรากฏ ในงานของ สถาพร ศรีสจั จัง ดงั น้ี หนึง่ นนั้ -ประมงชรามาก หน้ากรา้ น,มอื สาก- เสอ้ื เก่าใส่ เบ็ดราวสาวโยนเปน็ สายใย โยนพรอ้ มคล่ืนใหญ่คล่ตี ัวโยน หัวเดง่ิ โดง่ ตัวขนึ้ เหมอื นตกึ พายคุ รึกครกึ ข้นึ เผ่นโผน เกิดหุบม้วนตวั เป็นนํา้ โตน กลนื เรือทง้ั โกลน-เขา้ สเู่ กลียว ฯ (ณ เพงิ พักริมห้วย.2531: 15) จากการวิเคราะห์กลวิธีการแต่งคําประพันธ์ในเรื่องสัมผัสสระ และสัมผัสอักษรนี้ พบว่า สถาพร ศรีสัจจัง มีความเช่ียวชาญในการใช้คําที่ส่งสัมผัสได้หลากหลายทุกรูปแบบตามกฎของการเล่นสัมผัสแต่ โบราณสมัย อีกทั้งมีการส่งสัมผัสได้เกินกว่านั้น จนอาจกล่าวได้ว่า การเล่น เสียงคําสัมผัสนั้น เป็นความสามารถ พเิ ศษ
2.1.1.2 การเลน่ เสยี งวรรณยุกต์ สมเกียรติ รักษ์มณี (2551: 32) อธิบายการเล่นเสียงวรรณยุกต์ว่า“การใช้คําท่ีมีเสียงวรรณยุกต์ตามลําดับ กนั นํามาเรียบเรียงไว้ในตาํ แหนง่ ใกล้เคียงกัน” ธเนศ เวศร์ภาดา (2549: 19) อธิบายเพ่ิมเติมว่า“การเล่นเสียงสูง ๆ ตํ่า ๆ คล้ายผันเสียงวรรณยุกต์ คําท่ีเล่นเสียงวรรณยุกต์จะต้องมีเสียงสระและพยัญชนะท้ายมาตราสะกดเดียวกันและเป็นคําที่มี สัมผัสกัน การเล่นเสียงวรรณยุกต์มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความหลากหลายของระดับเสียงสูงต่ํา ซ่ึงจะทําให้เกิดไพเราะ ดา้ นเสยี งโดยตรง” การเล่นเสียงวรรณยุกต์ เป็นวิธีการเพิ่มความไพเราะอีกวิธีหนึ่ง จากการศึกษา กวีนิพนธ์ของ สถาพร ศรีสจั จงั พบการเล่นเสยี งวรรณยกุ ตท์ น่ี า่ สนใจ ดังตัวอยา่ งต่อไปนี้ กระแทกปลดแอกอาน ล้างขอื่ คาคืนคา่ คน (กอ่ นไปสู่ภูเขา.2518: 160)
2.1.2 ความหมายของคาํ ความหมายเป็นส่วนประกอบสําคญั ของคาํ บทกวจี ะมคี วามหมายลึกซ้งึ กนิ ใจ กวี จะต้องสรรหากลวธิ ี สื่อความหมายของคาํ ในบทกวใี หช้ ัดเจน จากการศึกษากวนี พิ นธข์ อง สถาพร ศรีสจั จัง พบว่ามกี ารใชก้ ลวิธีในการสร้าง ความหมาย ดงั น้ี 2.1.2.1 การเลน่ คาํ การเล่นคํา นอกจากเป็นกลวธิ ีทกี่ ่อใหเ้ กิดความไพเราะทางเสยี งแล้ว ยังเป็นศลิ ปะในการเสรมิ ความและเน้นความให้ เดน่ ชัด ช่วยใหบ้ ทกวีนน้ั ๆ มคี วามหมายชัดเจนขึ้น ดงั ท่ี สจุ ิตรา จงสถิตวัฒนา (2549: 22) อธิบายว่า“การนาํ คําท่ี มเี สียงหรอื รูปพ้องกัน หรอื ใกลเ้ คียงกนั มาเลน่ ในเชงิ เสียงและความหมาย เพื่อสรา้ งให้เกิดความเสนาะไพเราะ ความ ลกึ ซ้ึงของความหมาย และความเปรยี บท่ีกระทบอารมณ์ผู้อา่ น” การเล่นคาํ ที่ปรากฏในกวนี ิพนธข์ อง สถาพร ศรีสัจจัง ส่วนใหญเ่ ปน็ การเล่น คาํ พอ้ ง คือ“คาํ ทม่ี รี ปู หรือเสยี งเหมอื นกนั แตค่ วามหมายตา่ งกนั หรือตา่ งกัน”
การเลน่ คาํ พอ้ งรปู พอ้ งเสียง คาํ พอ้ งรูปพ้องเสยี ง คือ“คาํ ทีอ่ อกเสยี งเหมือนกนั และเขียนเหมอื นกัน แตค่ วามหมายต่างกนั ”(นววรรณ พันธเุ มธา.2549: 272) เชน่ นํา้ แรงแห่งชาวนา คอื มหาชลาสนิ ธุ์ ไหลเชย่ี วเป็นเกลียวรนิ พรอ้ มชะลา้ งกาลีลาญ ………………………………………………………….. ลา้ นแสนมาประสาน อดุ มการณ์ร่วมยดึ ถือ คมเคียวก็จะคือ คมกคู้ า่ สงั คมคน (ก่อนไปสภู่ ูเขา.2518: 183)
2.1.2.2 การซ้าํ คาํ สุจิตรา จงสถิตวัฒนา (2549: 61) อธิบายว่า การซ้ําคํา ซํ้าความ“ถือเป็นการกล่าวซํ้าโดยใช้คําเดียวกันหรือ หลากคาํ กนั หรือใชค้ ําที่มคี วามหมายกลมกลืนสอดคล้องกัน จงึ เป็นการสรา้ งความชดั เจนหนักแนน่ ของสาร และอารมณ์ที่กวีต้องการ จะสื่อ”ธเนศ เวศร์ภาดา (2549: 38) อธิบายสอดคล้องกับสุจิตรา จงสถิตวัฒนา “การใช้คําเดียวกันกล่าวซ้ําหลายแห่งในบท ประพันธห์ นึ่งบท เพื่อยํ้าความใหห้ นกั แน่นข้ึน การซ้ําคําในแงว่ รรณศลิ ป์มกั จะซา้ํ คําท่ีสําคญั ซง่ึ จะช่วยสรา้ งซ้ํา ความชัดเจนหนักแน่น ของสารท่ีกวตี ้องการสื่อ” ส่วนกุหลาบ มัลลิกะมาส (2517: 172) เรยี ก การซํ้าคาํ ว่า“การกลา่ วซ้ํา” อธบิ ายเพิ่มเติมว่า“ได้ผลเป็น 2 ประการ คอื ได้ผลในการเล่นคาํ ให้มเี สยี งไพเราะ และยงั ได้ผลในดา้ นการเน้น หรอื ยํา้ ความน้ันให้ชัดเจนตระหนักยิ่งขึ้นเป็นการสร้าง เอกภาพเนน้ ความนัน้ ” )
2.1.2.2.2 การซํ้าข้อความ การซ้ําขอ้ ความ ปรากฏในกวนี พิ นธ์ของ สถาพร ศรสี จั จงั ดังน้ี สงครามประชาชน ดจุ ดาลดลชนถวิล ลา้ งพาลใหพ้ งั ภินท์ พนิ าศพ่ายไร้ตอซัง ……………………………………………… สงครามประชาชน คอื ผลิตผลมวลชนหาญ ชนชาตจิ ่งึ จักจาร จารึกไว้ในแดนดนิ ฯ (กอ่ นไปสู่ภเู ขา.2518: 155)
2.1.3 การสรรคํา การสรรคาํ เป็นกลวธิ กี ารเลือกสรรใชถ้ อ้ ยคํา ในงานประพันธข์ องกวี เพอ่ื ทําให้บทกวีมคี วามหมายทลี่ ึกซ้งึ สะเทือนอารมณ์ และมเี สยี งไพเราะงดงาม อันก่อให้เกิดความซาบซงึ้ สะเทือนใจแกผ่ ู้อา่ น ดังท่ี ธเนศ เวศรภ์ าดา (2549: 24) อธบิ ายว่า“การเลอื กใช้ถอ้ ยคําให้เหมาะแก่เนือ้ ความ บรบิ ท ตัวละคร เชน่ เลือกสรรคําทีม่ ศี ักดส์ิ งู สร้างลีลาทง่ี ามตระการ เลอื กสรรคาํ ทเ่ี รียบบง่ายแตล่ ึกซ้ึง” ในการวิเคราะหก์ วีนิพนธข์ อง สถาพร ศรสี จั จงั ปรากฏวา่ มีการสรรคาํ มาใชท้ ่ีน่าสนใจ ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี 2.1.3.1 การใชค้ าํ เหมาะสมกับเหตุการณ์ และตัวละคร สถาพร ศรสี จั จัง เลือกใช้คําท่เี หมาะสมกับเหตกุ ารณ์ทาํ ให้เกิดและตัวละคร อารมณ์สะเทือนใจ ดงั นี้ ๏ เราแพ้เขาแล้วแกว้ เอย๋ อยา่ เผยความแพ้แกเ่ ขา เจ็บปวดทกุ ข์ท้นทนเอา อยู่กับหมูเ่ ราร่าเริง อมทุกขอ์ มโรคโศกไว้ อยา่ ให้เขาปรุงยุ่งเหยงิ สรา้ งไฟอย่าใหม้ เี พลิง รู้เชิงเก็บจํากับใจ (ณ เพงิ พักรมิ ห้วย.2531: 13-14)
2.1.3.2 การใชค้ าํ ให้จนิ ตภาพ ภาพในจิต หรือจนิ ตภาพ (Image)“หมายถึง ภาพที่ปรากฏในจินตนาการ ตามที่เคยประสบผ่านพบมา ภาพ ในจิต หรือจินตภาพนี้ เป็นภาพท่ีเห็นด้วยใจคิด ด้วยความรู้สึก (mental pictures) ในทางวรรณคดีถือว่า วิธีสร้างภาพใน จิตหรือสร้างจินตภาพ มีคุณค่าอย่างย่ิง ในด้านสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และด้านความรู้สึกร่วมในวรรณคดีนั้น ๆ” (กหุ ลาบ มลั ลิกะมาส.2548: 125) ในการวิเคราะห์กวีนิพนธ์ ผู้วิจัยพบว่า สถาพร ศรีสัจจัง มีการใช้คําที่ก่อให้เกิด จินตภาพในการสื่อ ความหมายเพือ่ ความรสู้ กึ และความเข้าใจ ดังนี้ แล้วแดดสายจงึ สาดเปน็ ลาํ แสง ทอทาบสอ่ งแทงมา่ นไทรหนา กาํ แพงอิฐ-แดดแสด เมื่อสาดทา วบิ ประกายพรายพรา่ ก็เลอ่ื มพลนั (คือนกวา่ ยเว้งิ ฟา้ .2529: 47)
2.1.3.3 การใชค้ ําภาษาถน่ิ คําภาษาถิ่น“อาจนํามาใช้ในกรณีท่ีต้องการความสมจริงและใกล้ ชิดกับสภาพ ความเป็นจริงตามสถานการณ์ในเรื่องมาก ข้ึน” (กุหลาบ มัลลิกะมาส.2548: 124) ดังตัวอยา่ ง ๏ ยามมีศกั ดสิ ูงเด่นเปน็ หวั หน้า คนปักษใ์ ตเ้ ขาว่า“ตอ้ งรู้หวัน” ใช่คิดแบบม่ัว ๆ –ช่งั หวั มัน เลน่ ลิ้นไปวัน ๆ พอพน้ ภัย (ฟอ้ งนายหัว.2543: 141-143) จากบทกวี มกี ารใช้ภาษาถิ่นใต้ คือคําว่า“ตอ้ งรหู้ วนั ”หมายถึง รู้ดีรชู้ ่วั รวู้ ่า อะไรควรทํา อะไรไม่ควรทาํ
2.2 การใช้ภาพพจน์ ภาพพจน์(Figure of speech) “เป็นวิธีใช้ภาษา ซึ่งคําหรือสํานวนท่ีใช้มีความหมาย ไม่ตรงตามตัวหนังสือ การใช้ถ้อยคําในลักษณะดังกล่าว ทําให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพ หรืออารมณ์ บางอยา่ งซึ่งยากแก่การบรรยายด้วยการใชภ้ าษาอยา่ งตรงไปตรงมา”(ปรีชา ช้างขวัญยืน.2525: 215) และนอกจากนี้การใช้ภาพพจน์มิได้มีแต่เฉพาะบทร้อยกรอง ในร้อยแก้วนักเขียนก็นิยมใช้วิธีการสร ภาพพจน์เช่นเดียวกัน การใช้ภาพพจน์ในการแต่งทําให้ผู้อ่านได้ร่วมเข้าใจคิด และรู้สึกอย่างอารมณ์ ยง่ิ ข้ึน ตามที่ผ้แู ต่งตัง้ ใจเสนอ ในการศึกษางานกวีนพิ นธ์ของ สถาพร ศรีสัจจัง ผวู้ จิ ยั พบว่า มกี ารใช้ภาพพจน์ดงั ต่อไปน้ี 2.2.1 (อปุ มา Simile) อุปมา คือ“ความเปรียบซึ่งเกิดจากการบอกความเหมือนกันของส่ิงสองสิ่งด้วยคําท่ีแสดงการ เปรียบเทียบ เช่น ราวกบั เหมือน ประหนง่ึ ดุจ เพอ่ื ให้เขา้ ใจสิง่ ทีอ่ ธบิ ายดีย่ิงข้ึน” (ปรีชาช้างขวัญยืน. 2525: 216) เชน่ ดังเม็ดนา้ํ คา้ งอันพรมเมอ่ื คืนคํา่ -ใครหรือ,ท่หี าญกลา้ ยนื ยันว่ารู้จาํ นวนนบั . ดง่ั การโอบอุ้มทารกไวใ้ นครรภข์ องมารดา-ใครหรอื , จักบอกได้ถึงทุกข์สขุ แห่ง อารมณ์ ด่ังรสหอมหวานแหง่ ผลมะม่วง-ใครหรือ, ทีบ่ อกไดว้ า่ ธาตุอาหารใดปรุงแตง่ ให้โดยจาํ เพาะ. (ที่ว่ารกั -รกั นั้น. 2529: 12)
2.2.2 อุปลักษณ์(Metaphor) ปรีชาชา้ งขวญั ยนื (2525: 217) อธิบายอุปลักษณว์ ่า“เป็นการเปรยี บเทียบลักษณะท่ีเหมือนกบั ของสิง่ สองส่ิงโดยพดู เหมอื นกับว่าสองสง่ิ นัน้ เปน็ สงิ่ เดยี วกนั ” “ซงึ่ เป็นการเปรียบเทียบของ สองส่ิงที่ไม่จําเป็นตอ้ งนาํ มา เปรียบเทยี บกนั ว่าเป็นส่ิงเดยี วกันหรือเท่ากนั ทกุ ประการ โดยใช้คาํ ว่า “เป็น” “เทา่ ” “คือ” ฯลฯ ในการเปรยี บเทยี บ” (วิภา กงกะนันทน์.2533: 39) ในการศกึ ษางานกวนี พิ นธข์ อง สถาพร ศรีสัจจงั ผูว้ จิ ัย พบการใช้ภาพพจน์อปุ ลกั ษณ์ ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ นา้ํ แรงแห่งชาวนา คือมหาชลาสนิ ธุ์ ไหลเชี่ยวเปน็ เกลียวรนิ พรอ้ มชะล้างกาลีลาญ คลื่นคนยอ่ มคลนื่ คน คือมวลชนอันไพศาล เพรียกพรอ้ งเม่อื พอ้ งพาน จักพบั พา่ ยได้ดังฤๅ (กอ่ นไปสูภ่ ูเขา.2518: 183)
2.2.3 ปฏิภาคพจน์(Paradox) ปฏภิ าคพจน์ คอื “ข้อความท่มี ีความหมายขดั กนั ไมว่ ่าผใู้ ช้จะจงใจหรือไม่ก็ตาม เปน็ ขอ้ ความที่ กล่าวถึงสง่ิ ที่แปลกแตจ่ รงิ หรอื ไม่น่าเป็นไดแ้ ต่เป็นไปแล้ว” (วภิ ากงกะนนั ไปแลว้ ทน์.2533: 45) เชน่ ๏ เราแพเ้ ขาแล้วแกว้ เอย๋ อย่าเผยความแพ้แกเ่ ขา (กอ่ นไปสภู่ ูเขา.2518: 152) เจบ็ ปวดทุกข์ทน้ ทนเอา อยกู่ ับหม่เู รารา่ เรงิ อมทุกขอ์ มโรคโศกไว้ อย่าใหเ้ ขาปรงุ ยงุ่ เหยงิ สร้างไฟอยา่ ให้มีเพลิง รเู้ ชงิ เก็บจํากบั ใจ
2.2.4 อาวัตพากย์ (Synesthesia) อาวัตพากย์ คอื “การใชค้ าํ แทนผลของสัมผสั ทผ่ี ดิ ไปจากธรรมดา เช่น รส เปน็ ผลสมั ผัส ด้วยลนิ้ กลน่ิ เปน็ ผลของสัมผสั จากจมูก การใช้โวหารแบบนี้จะใช้ข้อความ เช่น รสของความสขุ โดย ปกตคิ วามสขุ เปน็ ผลของสมั ผัสดว้ ยใจ”(วิภายใจ กงกะนันทน์.2533: 47) ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี ถึงเมอื่ แดดจืดหมอกจาง คลายเวย่ี คลมุ วาง เพอื่ เปิดฉายภาพแนวภู (คือนกวา่ ยเว้ิงฟ้า.2529:68) จากบทกวีมีการใชค้ ําแทนผลของสัมผัสทผ่ี ิดไปจากธรรมดาคือคาํ วา่ “แดดจดื ”ซง่ึ คําว่า“จืด” เป็นรสทส่ี ัมผสั ดว้ ยล้นิ สถาพร ศรสี จั จงั สือ่ ถึงแสงแดดออ่ น ๆ ในยามเช้าที่มหี มอกปกคลมุ ตามแนวภเู ขา
2.2.5 อติพจน์(Hyperbole) อติพจน์“เป็นการใชค้ ําพดู เกนิ จริง คอื เกินกวา่ ความหมายท่ผี พู้ ูดต้องการ จะเปน็ มากเกินไป นอ้ ยเกินไป ใหญเ่ กินไป เลก็ เกินไป ดีเกินไป เลวเกนิ ไปก็ได้ การพูดเกินจริงนีต้ อ้ งเกนิ จนกระทัง่ เป็นจริงตามคาํ พดู ไม่ได”้ (ปรีชาช้างขวญั ยนื .2525: 224) เชน่ ๏ อสี านร้อนดอนแล้งแห้งอย่างนี้ หากแผ่นดินมนั จะป้หี รือจะปน่ ก็ยอ่ มจะได้ลือซง่ึ ช่อื คน ท่ีอยู่บนซับนํา้ นาม“ซบั แดง” แดงจะเดือดเลือดแดงดว้ ยแรงเดอื ด และดนิ จะอาบเลือดทุกหนแห่ง ไฟท่ีคมุ สุมขอนจะรอ้ นแรง เมือ่ คนแซงขึน้ ซดั รัฐการ (ณ เพิงพักรมิ หว้ ย.2531: 16)
2.2.6 บุคคลวตั ิ(Personification) บุคคลวัติ คือ“การสมมุติส่ิงไม่มีชีวิต ความคิดนามธรรม หรือสัตว์ให้มีสติปัญญา อารมณ์ หรือ กิริยาอาการเย่ียงมนุษย์”(ราชบัณฑิตยสถาน.2546: 324) นอกจากน้ี กุหลาบ มัลลิกะมาส (2548: 128) เรียกภาพพจน์ชนิดน้ีว่า“บุคลาธิษฐาน”และได้อธิบายว่า“เป็นการสมมุติข้ึน ให้มีกิริยาอาการเหมือนมนุษย์ เป็นคํามีความหมายรวม แต่อาจแยกย่อยได้เป็น สิ่งต่าง ๆ ท่ีมิใช่คน แต่ทํากิริยาอาการเสมือนหน่ึง เปน็ คน (Personification) ส่ิงตา่ งท่ีไมใ่ ช่คนหรือไม่ (นามธรรมีตัวตน) สมมุติขึ้นเป็นคน ทํากิริยาอาการอย่าง คนและยงั มเี น้อื เรอ่ื งเล่าประกอบอีกดว้ ย (Allegory)และสัตว์ ทม่ี เี ร่ืองเลา่ ประกอบเปน็ นิทานเทียบกับมนุษย์ในเชิง สอนใจตา่ ง ๆ (Fable)”เชน่ น่งั ลงรมิ วหิ ารโบราณสมัย ฟงั เพลงกลอ่ มเทวาลัยในหนา้ หนาว ในยามท่ีขอบฟ้าระย้าดาว สายลมเลา่ นยิ ายใต้แสงจนั ทร์ (คอื นกว่ายเวงิ้ ฟา้ .2529: 44)
2.2.7 ปจุ ฉา(Interrogation) ปจุ ฉา “เปน็ การใช้ขอ้ ความซึ่งเป็นคําถามแตค่ าํ ถามนั้นบอกคาํ ตอบอยใู่ นตัว ไม่ต้องการคาํ ตอบ คอื คาํ ถามนน้ั ทําหน้าท่บี อกเล่า”(ปรชี าช้างขวัญยืน.2525: 228) ดังตัวอยา่ ง ต่อไปนี้ ๏ ว่า–หากโจรร้ายบุกเข้ารกุ ถ่นิ แยง่ ยดึ เอาแผ่นดนิ อย่างหน้าดา้ น กรฑี าทัพโหมบกุ เข้ารกุ ราน ถา้ เป็นท่าน–ท่านจักเปน็ เชน่ ดังใด? จะออ่ นข้องอเข้าให้เขาขี่ เป็นข้ีข้าโดยด,ี ฤๅสวนใส่ (ยนื ต้านพาย.ุ 2524: 20-21)
2.2.8 สทั พจน์(Onomatopoeia) สุจิตรา จงสถิตย์วฒั นา.(2549: 39) อธิบายสัทพจน์วา่ “คอื ภาพพจนเ์ ปรียบเทียบโดยใชค้ าํ เลียนเสยี ง”ซ่ึงเปน็ การ“สรา้ งประสิทธภิ าพแห่งเสียง ที่นาํ ใหผ้ ู้อา่ นเข้าถงึ หรอื ใกลช้ ิดกบั การพรรณนาตาม บทร้อยกรอง ถ้ากวสี อดใส่เสยี งธรรมชาตเิ อาไวไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม นนั่ ก็คือเปน็ เคร่ืองใหเ้ กดิ จนิ ตนาการได้ ยิ่งขน้ึ ”(กหุ ลาบ มัลลิกะมาส.2517: 166) เช่น 2.2.8.1 การเลยี นเสยี งปรากฏการณธ์ รรมชาติเชน่ O วาตะวูบก็โถมถะถั่ง ณ ไทย คะโครมครืนฯ วะหววู ะหววิ กค็ รากไ็ คล (ยนื ต้านพาย.ุ 2524: 14-15)
2.3 การใชส้ ัญลักษณ์ สญั ลักษณ์เปน็ กลวธิ ที างวรรณศลิ ป์ที่อาจจะมคี วามสมั พนั ธ์เชื่อมโยงกับภาพพจน์ แต่มิใช่ประเภท 1 ของภาพพจน์ สญั ลักษณ์หลายอย่างอาจจะพฒั นามาจากการใช้ภาพพจน์เปรียบเทียบว่ามีการเปรียบเทียบจน เกิดเป็นความเขา้ ใจรว่ มกันใน \"ขนบ\" วรรณศิลป์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือของชาติใดชาติหน่ึงหรือวัฒนธรรมใด วฒั นธรรมหน่งึ ภาพพจน์เหลา่ นั้นกจ็ ะกลายเปน็ สญั ลกั ษณ์ คือ เป็นสิ่งทใี่ ช้แทนอกี สิ่งหน่ึงโดยมิต้องใช้กลวิธีการ เปรียบเทียบอีกสัญลักษณ์มีลักษณะท่ีเป็นท้ังลักษณะเฉพาะและลักษณะสากล (สุจิตรา จงสถิตวัฒนา. 2549: 47-47) บทกวี \"ดาวศรัทธายังคงโชนจ้าแสง\" สถาพร ศรีสัจจัง ใช้ \"ดวงดาว\" เป็นสัญลักษณ์แทน นสิ ิต จริ ะโสภณ วา่ มีอุดมการณ์ที่ย่งิ ใหญ่เพื่อมวลชน แม่เสยี ชีวิตลงแลว้ แตอ่ ดุ มการณเ์ พ่อื มวลชนยังดํารงอยู่และ มีแต่จะขยายกวา้ งออกไป โดยไม่มสี ง่ิ ใดทาํ ลายได้ ดังบทกวี ๏ - - ท่ขี อบฟา้ ไกลลบิ ละลว่ิ โน่น ดาวหน่งึ โชนฉายแสงข้ึนเจิดจ้า ทอวาวพราวพรายแสงศรัทธา เปดิ แผ่นฟา้ มืดมดิ สนทิ นั้น
Search