รายงาน เรื่อง การจัดการความรู้เพอ่ื การพฒั นาสงั คม (219331) เสนอ ผศ. ดร. กนกพร ฉมิ พลี จดั ทำโดย นาย จิรายุ ไม่ย่อท้อ 6140308130 รายงานฉบบั น้เี ป็นส่วนหน่งึ ของรายวิชา การจดั การความรูเ้ พอื่ การพัฒนาสงั คม (219331) สาขาวชิ าการพฒั นาสังคม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครราชสีมา ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
ก คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาสังคม โดยมี จุดประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ที่ได้จากการจัดการความรู้(Knowledge Management) ทั้งนี้รายงานนี้มี เนื้อหาประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับการจัดการความรู้ ตลอดจนการประยุกต์ใช้ในสาขาวิชาการพัฒนา สงั คม ผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อน้ีในการทำรายงาน เนื่องมาจาก ผศ.ดร กนกพร ฉิมพลี ได้ให้นักศึกษาหา ความรเู้ กีย่ วกบั การจดั การความรู้ และเป็นผลคะแนนสอบ หวงั ว่ารายงานเลม่ นจ้ี ะเปน็ ประโยชนแ์ ก่ผู้อ่าน ทุกๆ ทา่ น ไมม่ ากกน็ ้อย หากมขี ้อเสนอแนะประการใดผจู้ ดั ทำขอรบั ไว้ดว้ ยความขอบพระคุณยิ่ง นายจริ ายุ ไมย่ อ่ ท้อ ผู้จัดทำ
ข สารบัญ คำนำ .....................................................................................................................................................ก สารบญั ..................................................................................................................................................ข เน้อื หา.................................................................................................................................................... 1 1. จงอธิบายกระบวนการเกิดความรู้ พรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ เพอ่ื สังเคราะห์กระบวนการเกิด ความรูข้ องตนเอง อยา่ งละเอียด......................................................................................................... 1 2. กระบวนการสรา้ งความรู้ หรือ SECI Model มีลักษณะเป็นอยา่ งไร และทา่ นมีแนวทางการสรา้ ง ความจาก Model ดังกลา่ วได้อย่างไรบ้าง .......................................................................................... 1 3. จงวิเคราะห์กระบวนการจัดการความรู้ โดยอธบิ ายว่า แตกตา่ งระหวา่ งกระบวนการจัดการความรทู้ ี่ ประยุกตใ์ ช้ในภาคองคก์ รและกระบวนการจัดการความรู้ในชมุ ชน อยา่ งละเอียด ............................... 3 4. ในฐานะที่ทา่ นเป็นนักพัฒนาสงั คม จงอธบิ ายแนวทางการจัดการความรู้เพ่อื การพัฒนาบัณฑติ สาขาวชิ าการพัฒนาสังคมในอนาคต วา่ ควรมรี ปู แบบ/แนวทางเป็นอย่างไรท่ีจะสง่ ผลให้บัณฑิต สาขาวชิ าการพฒั นาสงั คม เป็นบณั ฑติ ที่มคี ุณภาพ.............................................................................. 4 อา้ งอิง.................................................................................................................................................... 5
1 เน้อื หา 1. จงอธบิ ายกระบวนการเกิดความรู้ พรอ้ มยกตวั อยา่ งประกอบ เพือ่ สังเคราะห์ กระบวนการเกดิ ความรู้ของตนเอง อยา่ งละเอียด กระบวนการเกดิ ความรู้ มี 3 ขอ้ หลกั ๆคอื 1) ข้อมูล (DATA) เป็นข้อเท็จจริง โดยเป็นข้อมูลดิบหรือตัวเลขที่ไม่ได้ผ่านการแปลความหรือ ตคี วามแตอ่ ยา่ งใด 2) สารสนเทศ (Information) เป็นข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อนำมาใช้ในการ ตัดสินใจโดยมีบริบทที่เกิดจากความเชื่อ ความคิดหรือประสบการณ์ของผู้ใช้สารสนเทศนัน้ โดยอยู่ในรปู ขอ้ มูลทวี่ ดั ได้ จับตอ้ งได้ 3) ความรู้ (Knowledge) เปน็ สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคดิ เปรียบเทยี บ เชอื่ มโยงกบั ความรู้ อน่ื ๆ จนเกดิ ความเขา้ ใจ และนำไปใชใ้ นการตดั สินใจ ยกตวั อยา่ ง หากข้อมูลของเรา คือกะเพราหมู เรารู้แล้วว่านี่คือกะเพราหมู แต่เราไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ต้องใส่ อะไรบ้าง เรารู้เพียงแค่นี่คือกะเพราะหมู สารสนเทศ คือการที่เรานำกะเพราหมูมาวิเคราะห์ว่า ต้องใช้ อะไรบ้าง เช่น ต้องใช้หมู ต้องใช้ใบกะเพรา กะเทียม พริก น้ำมัน น้ำมันหอย เป็นต้น โดยการสอบถาม จากแม่ค้าก็คือ ความรู้ความคิดประสบการณข์ องผู้ใช้สารสนเทศนัน้ แล้วความรูค้ ืออะไร ก็คือการที่เรารู้ แล้วว่าวิธีการทำกะเพราหมูเป็นอย่างไหนและแบบใด หากต้องการทำ กะเพราะเนื้อ หรือกะเพรา ปลาหมึก เราก็นำมาเปรียบเทียบเชื่อมโยงกัน ว่าเราควรปรับในรูปแบบใด จนเราเข้าใจว่า หากเราจะทำ กะเพราเนอ้ื ส่งิ ทเ่ี ราควรเปล่ียนคือ นำเนอ้ื มาใส่ เพอ่ื ใหเ้ กิดเปน็ กะเพราเน้ือ โดยนำความรู้จากสารสนเทศ ทผี่ า่ นการคิดและเปรยี บเทียบมาแลว้ เพือ่ ใหเ้ กดิ ผลลัพธท์ ีต่ ้องการ 2. กระบวนการสร้างความรู้ หรือ SECI Model มีลักษณะเป็นอย่างไร และท่านมีแนว ทางการสรา้ งความจาก Model ดงั กลา่ วได้อยา่ งไรบา้ ง กระบวนการเกดิ ความรู้ SECI Model มลี ักษณะเป็น วัฏจกั รชีวติ โดย มี 4 ข้ันตอน คือ 1) การสร้างปฏสิ มั พนั ธ์ทางสังคม (Socialization)
2 คือ การสร้างความรู้แบบฝังลึก เป็นความรู้แบบฝังลึกโดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อัน เนื่องมาจากส่ิงแวดล้อมเดียวกัน โดยการฝกึ อบรบ หรือการแนะนำ ซง่ึ บคุ คลสมารถสร้างการรับรู้โดยนัย ได้ จากการสงั เกต การลอกเลียนแบบ หรือการลงปฏบิ ตั จิ รงิ (Tacit to Tacit) 2) การปรบั เปล่ียนสภู่ ายนอก (externalization) คือ การพูดหรือบรรยายความรู้แบบฝังลึกให้เป็นความรู้ชัดแจ้ง โดยการใช้อุปมาอุปมัย การ เปรียบเทียบและการใช้ตัวแบบ ซึ่งการเปรียบเทียบจะช่วยให้สามารถมองเห็นภาพได้ง่ายขึ้น รวมไปถึง การนำประสบการณ์มาถ่ายทอดในลักษณะคำอุปมาอุปมัย เป็นการนำประสบการณ์ออกมาสู่ภายนอก ทำใหช้ ดั แจง้ ขึ้น ซง่ึ กระบวนการนนี้ บั ว่าเปน็ หวั ใจสำคญั ของกระบวยการสรา้ งความรู้ (Tacit to Explicit) 3) การผสมผสาน ( Combination ) คือ การรวบรวมความรู้ชัดแจ้งให้เป็นความรู้ที่ขยายวงกว้างออกไป โดยการวบรวมหรือ บูรณาการองค์ความรู้หรือสังเคราะห์ความรู้ที่มีอยู่ให้ใหญ่ขึ้นมาเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดเป็นระบบและ ชัดเจน ซึ่งความรู้ที่นำมารวมกันนี้เกิดจากการแลกเปลี่ยนของบุคคลเป็นหลัก รวมกับความรู้ที่ผ่านสื่อ หรือช่องทางความรู้ เช่นการสนทนา การประชุม เป็นตน้ ( Explicit to Explicit ) 4) การปรบั เปลย่ี นสูภ่ ายใน ( Internalization ) คือ การสร้างความรู้แบบชดั แจ้งให้เป็นความรูแ้ บบฝังลกึ โดยการเรียนรู้จากการปฏบิ ัติ โดย ศกึ ษาความรู้ที่ได้เขียนไว้ในค่มู ือ เอกสาร ซง่ึ เป็นการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลท่ีเกิดจากนำความรู้ไปปฏิบัติ กลบั ไปเป็นความร้โู ดยนยั ที่ฝังอยู่ในบุคคลน้นั ๆ และเป็นทรัพย์สินที่แตะตอ้ งไม่ไดแ้ ละมีคา่ ยิง่ ต่อองค์การ ( Explicit to Tacit ) ยกตัวอย่างการนำ SECI Model มาปรบั ใช้ S หรือการสร้างปฏสิ มั พันธท์ างสงั คม หากผมต้องการที่จะเล่นสเกต็ บอร์ด โดยที่ว่าผมไม่เคยรู้มา กอ่ นเลยวา่ สเกต็ บอร์ดเล่นอย่างไร กต็ ้องไปสรา้ งปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คมทเี่ ขาเล่นสเก็ตบอร์ดดว้ ยกัน โดยให้ ฝั่งนั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่าสเก็ตบอร์ดเล่นอย่างไร แนะนำว่าควรเล่นแบบไหน โดยให้เราสังเกต การเลน่ แลว้ ทำเลียนแบบ แลว้ นำมาปฏบิ ัติจริง
3 E หรือ การปรับเปลี่ยนสู่ภายนอก เช่นเรารู้แล้วแหละว่า การเล่นมันเป็นอย่างไร เช่นการ กระโดดกับแผ่น เรารู้แค่ว่าต้องกระโดดแหละ แต่จะต้องกระโดดอย่างไรให้ถูกต้อง โดยใช้การอุปมาอุป มยั เช่น คิดวา่ เรากระโดดสองขาแลว้ เราบินไปกบั แผ่นทำนองนี้ จะทำใหเ้ รามองเห็นภาพได้ดขี นึ้ C หรือ การผสมผสาน เช่น เรากระโดดเป็นละ แล้วเราจะทำท่าอื่นอย่างไร เช่น กระโดดแล้ว แผ่นหมนุ เรากต็ อ้ งนำความรู้ จาก E มาผสมผสาน อยา่ งการกระโดด เราเขา้ ใจแตก่ ารทำให้แผ่นหมุนละ เรากต็ ้องไป พดู คุยกับบุคคลอื่นวา่ จะทำให้แผ่นหมุนอย่างไร โดยใช้การสนทนา เป็นหลกั เพื่อให้เราเกิด ความรู้วา่ เราจะกระโดดและทำใหแ้ ผน่ หมนุ ได้อย่างไง I หรือ การปรับเปลี่ยนสู่ภายใน เมื่อเรารู้แลว้ ว่าสเก็ตบอร์ดเล่นอย่างไร กระโดดแบบไหน ทำให้ แผ่นหมุนยังไง โดยข้อมูลเหล่านี้เกิดจากเราปฏิบัติ โดยศึกษาจากบุคคลอื่น ซึ่งเป็นการเรียนรู้ของแต่ละ บุคคล 3. จงวิเคราะห์กระบวนการจัดการความรู้ โดยอธิบายว่า แตกต่างระหว่างกระบวนการ จัดการความรู้ที่ประยุกต์ใช้ในภาคองค์กรและกระบวนการจัดการความรู้ในชุมชน อย่าง ละเอยี ด ไม่แตกต่างกัน เพราะทั้งภาคองค์กรหรือชุมชนนั้น ต่างต้องการสิ่งเดียวกันนั้นก็คือ “ความเข้มแข็ง” ไม่ว่าจะเป็นความเข้มแข็งขององค์กรหรือความเข้มแข็งของชุมชน โดยใช้กระบวนการจัดการความรู้ ซึ่ง กระบวนการจัดการความรู้มีอยู่ 7 ขัน้ ตอน 1.การบง่ ช้คี วามรู้ เป็นการวิเคราะห์ความรทู้ ี่มีอยู่ 2.การสร้าง และแสวงหาความรู้ หาความรู้ที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกเพื่อจัดทำเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการ 3. การจดั การความร้ใู ห้เป็นระบบ แบง่ ชนิดประเภทความรู้ เพื่อจัดทำใหเ้ ปน็ ระบบและสะดวกต้อการค้นหา หรือใช้งาน 4. การประมวลและกล่ันกรองความรู้ จัดทำรูปบบและภาษาใหเ้ ข้าใจท่วั ท้ังองค์กรหรือชุมชน และปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยและตรงกับความต้องการ 5.การเข้าถึงความรู้ สามารถเข้าถึงได้สะดวก และรวดเร็วในเวลาทีต้องการ 6.การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ การจัดทำเอกสาร ระบบพี่เลี้ยง การ สับเปลี่ยนงาน 7.การเรียนรู่ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจ เพื่อแก้ไขปัญหาและปรับปรุง องค์กรหรอื ชมุ ชน
4 จากที่เราเห็นทัง้ 7 ขั้นตอนของกระบวนการจัดการความรู้ จะไม่สำเร็จเลย หากขาด “คน” ไป ไม่ว่า จะเป็นท้งั องค์กรหรือชมุ ชนท่ตี ้องการความเขม้ แข็ง โดยการใชค้ น เปน็ แรงขับเคลอ่ื นใหเ้ กดิ ความเข้มแข็ง โดยใช้กระบวนการจัดการความรู้ การจัดการความรู้สำหรับองค์กรหรือชุมชน ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะจดุ ประสงค์ของท้ังองค์กรและชมุ ชนกค็ อื ความเข้มแข็งขององค์กรหรือชมุ ชน 4. ในฐานะท่ที า่ นเป็นนกั พฒั นาสงั คม จงอธบิ ายแนวทางการจัดการความร้เู พือ่ การพัฒนา บัณฑิตสาขาวิชาการพัฒนาสังคมในอนาคต ว่าควรมีรูปแบบ/แนวทางเป็นอย่างไรที่จะ สง่ ผลใหบ้ ัณฑติ สาขาวิชาการพัฒนาสังคม เปน็ บัณฑติ ท่ีมีคณุ ภาพ การเรียนมหาลัย เราเรียนมหาลัยทั้งหมด 4 ปี แบ่งให้ชดั เจนว่า แต่ละปี เราควรที่จะมุ่งไปทางไหน เช่น ปี 1 พฒั นาสังคมคอื อะไร ปี 2 พัฒนาสังคมตอ้ งทำอะไร ปี 3 พฒั นาสงั คมทำอะไรไดบ้ ้าง ปี 4 กเ็ ป็น การสรุปความเป็นพัฒนาสังคม เป็นต้น โดยเราจะใช้ 7ขั้นตอนของกระบวนการจัดการความรู้เข้ามา ช่วยเหลอื ได้ เพราะเราก็ใช้ คน ในการเรียนรเู้ หมือนกนั ตอ้ งทำนักศึกษาน้ัน รสู้ ึกอยากทำ นักศึกษาต้อง มีทรัพยากรที่จำเป็นในการเรียนรู้ นักศึกษาต้องรู้ว่าทำอย่างไรโดยการใช้การฝึกอบรมหรือเรียนรู้ นักศึกษาต้องประเมนิ ได้วา่ ทำไดต้ ามเปา้ หมายหรือทำแลว้ ได้ประโยชนต์ ่อนักศึกษาหรือไม่ และนักศึกษา ตอ้ งอยากทำและปรับปรงุ อยา่ งต่อเน่ืองโดยเน้นการสร้างแรงจูงใจให้นกั ศึกษา เพอื่ ให้เกิดผลต่อนักศึกษา และประโยชนต์ ่อสาขาการพัฒนาสังคม
5 อ้างอิง ผศ.ดร กนกพร ฉิมพล.ี (2564). แนวคดิ เกย่ี วกบั การเรยี นร.ู้
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: