Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Stratigraphy and Chronology

Stratigraphy and Chronology

Published by Sakdanai Sawatpon, 2021-09-29 14:55:37

Description: ลำดับชั้นหิน

Search

Read the Text Version

สรุปเนื้อหา . แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์โลก 15 ลาดบั ช้นั หิน STRATIGRAPHY สันติ ภัยหลบล้ี

สันติ ภัยหลบลี้ ลำดบั ช้นั หิน วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ 1. เพอื่ ทรำบกำรแบ่งชว่ งอำยุและลำดับเวลำทำงธรณวี ิทยำ 2. เพื่อเขำ้ ใจหลกั กำรลำดับชั้นหนิ และกำรกำหนดอำยสุ ัมพัทธ์ 3. เพ่ือเข้ำใจหลักกำรกำหนดอำยสุ ัมบูรณ์ สารบญั หน้า 1 สำรบัญ 2 1. ธรณีกำล (Geological Time Scale) 6 2. ลำดับช้นั หนิ (Stratigraphy) 14 3. ฟอสซลิ (Fossil) 20 4. กำรกำหนดอำยสุ มั บรู ณ์ (Absolute-age Dating) 24 5. กำรกำหนดอำยุด้วยวธิ กี ัมมนั ตรงั สี (Radiometric Dating) 29 6. กำรกำหนดอำยดุ ว้ ยวธิ เี รอื งแสง (Luminescence Dating) 34 7. กำรกำหนดอำยุดว้ ยวธิ ีเทยี บเคยี ง (Relative Dating) 41 58 แบบฝกึ หดั เฉลยแบบฝึกหดั 1

สนั ติ ภยั หลบล้ี ลำดับชนั้ หนิ 1 ธรณกี าล Geological Time Scale ธรณีกาล (geological time scale) คือ กำรแบ่งย่อยเหตุกำรณ์หรือ อำยุทำงธรณีวิทยำตำมช่วงเวลำต่ำงๆ โดยนักวิทยำศำสตร์ได้จำแนกและจัด หมวดหมขู่ องหนว่ ยเวลำในทำงธรณวี ทิ ยำ ดังนี้ (รูป 1) 1) บรมยุค (eon) เป็นหน่วยเวลำที่ใหญ่ท่ีสุดในทำงธรณีกำล โดยตลอด ช่วงอำยุของโลกประกอบด้วย 4 บรมยุค ได้แก่ 1) บรมยุคฮาเดียน (Hadean Eon) ซง่ึ เปน็ บรมยุคท่เี กำ่ แกท่ ส่ี ุด มีอำยุอยใู่ นช่วง 4,600 ล้ำนปี ท่ีผ่ำนมำ (โลกยุค แรกเริ่ม) 2) บรมยุคอาร์เคียน (Archean Eon) มีอำยุอยู่ในช่วง 3,800 ล้ำนปี ท่ี ผ่ำนมำ 3) บรมยุคโพรเทอโรโซอิก (Proterozoic Eon) มีอำยุอยู่ในช่วง 2,500 2

สนั ติ ภัยหลบล้ี ลำดับชั้นหนิ ล้ำนปี ที่ผ่ำนมำ และ 4) บรมยุคฟาเนอโรโซอิก (Phanerozoic Eon) ซ่ึงเป็น บรมยคุ ล่ำสุด โดยเริม่ เม่ือประมำณ 545 ลำ้ นปี ที่ผำ่ นมำ จนถงึ ปจั จบุ นั (รูป 1) รปู 1. ตำรำงเวลำทำงธรณีวิทยำ หรือ ธรณีกำล (geological time scale) 3

สนั ติ ภยั หลบล้ี ลำดับช้ันหิน 2) มหายุค (era) เป็นหน่วยท่ีแยกย่อยมำจำกบรมยุค ซ่ึงแบ่ง รำยละเอียดอย่ำงชัดเจนเฉพำะบรมยุคล่ำสุด คือ บรมยุคฟำเนอโรโซอิก โดย แบ่งย่อยเป็น 3 มหำยุค คือ 1) มหายุคพาลีโอโซอิก (Paleozoic Era) เป็น มหำยุคท่ีเก่ำแก่ท่ีสุดในบรมยุคฟำเนอโรโซอิก อยู่ในช่วงเวลำประมำณ 251-542 ล้ำนปี ที่ผ่ำนมำ 2) มหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic Era) เป็นมหำยุคในช่วงกลำง ของบรมยุคฟำเนอโรโซอิก อยู่ในช่วงเวลำประมำณ 65-251 ล้ำนปี ท่ีผ่ำนมำ และ 3) มหายุคซีโนโซอิก (Cenozoic Era) ซึ่งเป็นมหำยุคปัจจุบัน เริ่มต้นเมื่อ ประมำณ 65 ลำ้ นปี ที่ผำ่ นมำ จนถงึ ปัจจบุ นั (รปู 1) 3) ยุค (period) เป็นหน่วยย่อยท่ีแยกออกมำจำกมหำยุค ซ่ึงแบ่ง รำยละเอยี ดต้ังแต่บรมยุคโพรเทอโรโซอิกจนถึงบรมยุคฟำเนอโรโซอิก แต่ท่ีนิยมใช้ มำกท่ีสุดคือยุคในช่วงบรมยุคฟำเนอโรโซอิก ซ่ึงประกอบด้วย 12 ยุค คือ 1) แคม เบรียน (Cambrian) 2) ออร์โดวิเชียน (Ordovician) 3) ไซลูเรียน (Silurian) 4) ดีโวเนียน (Devonian) 5) คาร์บอนิเฟอรัส (Carboniferous) 6) เพอร์ เมียน (Permian) 7) ไทรแอสซิก (Triassic) 8) จูแรสซิก (Jurassic) 9) ครีเท เชียส (Cretaceous) 10) พาลีโอจีน (Paleogene) 11) นีโอจีน (Neogene) และ 12) ควอเทอรน์ ารี (Quaternary) (รูป 1) 4) สมัย (epoch) เปน็ หน่วยทีแ่ ยกย่อยมำจำกยคุ ซ่ึงมีกำรกำหนดเฉพำะ ในมหำยุคยุคซีโนโซอิก (พำลีโอจีน นีโอจีน และควอเทอร์นำรี) เท่ำน้ัน โดย แบ่งย่อยเปน็ 7 สมัย คือ 1) พาลีโอซีน (Paleocene) 2) อีโอซีน (Eocene) 3) โอลิโกซนี (Oligocene) 4) ไมโอซนี (Miocene) 5) ไพลโอซีน (Pliocene) 6) ไพลสโตซีน (Pleistocene) และ 7) โฮโลซนี (Holocene) (รูป 1) 4

สันติ ภยั หลบลี้ ลำดบั ชนั้ หิน นอกจำกน้ี นักวิทยำศำสตรย์ งั สำมำรถแบง่ ย่อยสมยั ลงไปอีกเปน็ หน่วย 5) อายุ (stage) และ 6) อายุ (age) โดยในกำรแบ่งมหำยุค ยุค และสมัยออกจำก กนั นั้น นักวิทยำศำสตร์ใชก้ ำรเปลี่ยนแปลงเหตกุ ำรณ์ทำงธรณีวทิ ยำทสี่ ำคญั ในอดีต เปน็ ตัวแบง่ เชน่ กำรเปลยี่ นแปลงชนดิ ของพชื หรือสตั ว์และกำรเกดิ เทอื กเขำ ตัวอย่ำงเช่น เหตุกำรณ์กำรสูญพันธุ์ของไดโนเสำร์ถูกใช้เป็นตัวแบ่ง มหำยคุ มโี ซโซอิกออกจำกมหำยุคซีโนโซอิก หรือยุคควอเทอร์นำรแี บ่งย่อยเปน็ สมัย ไพลส์โตซีนและสมัยโฮโลซีน โดยสมัยไพลส์โตซีนเร่ิมต้นเมื่อธำรน้ำแข็งขนำดใหญ่ เคลื่อนตัวลงมำจำกขั้วโลกเหนือลงมำปกคลุมทวีปอเมริกำ เหนือและทวีปยุโรป กลำยเป็น ยุคน้ำแข็ง (ice age) ส่วนสมัยโฮโลซีนเริ่มต้นเม่ือธำรน้ำแข็งดังกล่ำว ถดถอยไปจำกทวีปอเมริกำเหนือและทวีปยุโรป ซ่ึงเริ่มถดถอยเม่ือ 10,000 ปี ที่ ผำ่ นมำ เป็นตน้ 1) บรมยคุ ฮาเดยี น 2) บรมยคุ อาร์เคียน และ 3) บรมยุคโพ รเทอโรโซอกิ รวมเรยี กว่า บรมยุคพรีแคมเบยี น (Precambrian) 5

สันติ ภยั หลบล้ี ลำดับช้ันหนิ 2 ลาดับชัน้ หนิ Stratigraphy เนื่องจำกมีเหตุกำรณ์ทำงธรณีวิทยำมำกมำยท่ีเกิดขึ้นตลอดช่วงอำยุของ โลก จึงทำให้นักวิทยำศำสตร์ไม่สำมำรถกำหนดอำยุของทุกเหตุกำรณ์เป็นตัวเลขท่ี แน่นอนได้ ดังนั้น การกาหนดอายุสัมพัทธ์ (relative-age dating) หรือ กำร ลำดับเหตุกำรณ์ก่อนหลัง จึงเป็นข้อมูลสำคัญในกำรศึกษำวิวัฒนำกำรและลำดับ เหตุกำรณ์ต่ำงๆ ท่เี กดิ ขึ้นบนโลก โดยนกั วิทยำศำสตร์ได้นำเสนอแนวคิด การลาดับ ชัน้ หิน (stratigraphy) เพอื่ ใชเ้ ป็นหลกั กำรเรยี งลำดับเหตกุ ำรณก์ อ่ นหลัง ดงั น้ี 1) กฏความเป็นเอกภาพ (law of uniformitarianism) นำเสนอโดย เจมส์ ฮตั ตัน (Hutton J.) โดยใหห้ ลักคิดว่ำ ปัจจบุ ัน เป็นกญุ แจสาคญั ไปสู่ อดีต (the present is the key to the past) ซ่ึงหมำยถึงเรำสำมำรถอธิบำยกำร 6

สันติ ภยั หลบลี้ ลำดับชั้นหิน เกิดส่ิงต่ำงๆ ในอดีต ได้เช่นเดียวกับเหตุกำรณ์หรือกระบวนกำรต่ำงๆ ท่ีกำลังเกิด ขน้ึ อยู่ในปจั จบุ นั ได้ 2) กฏการลาดับชน้ั หิน (law of superposition) นำเสนอโดย นโิ คลัส สเตโน (Steno N.) โดยอธิบำยว่ำชั้นหินตะกอนใดๆ ท่ีไม่ถูกรบกวนจำก กระบวนกำรต่ำงๆ ที่เกิดภำยหลังน้ัน ชั้นหินท่ีวำงตัวอยู่บนจะมีอำยุอ่อนกว่ำ และ ชน้ั หินท่ีวำงตัวอยลู่ ่ำงจะมอี ำยแุ กก่ วำ่ (รูป 2 ระยะที่ 1-2 และรปู 3) 3) กฏการวางตัวตามแนวนอน (law of original horizontality) อธบิ ำยว่ำตะกอนจะสะสมตวั ในแนวระนำบ ซง่ึ หำกมกี ำรเอยี งเทหรือคดโคง้ ของช้ัน หนิ แสดงว่ำชน้ั หินนน้ั ถูกรบกวนจำกกระบวนกำรอื่นๆ ในภำยหลงั กำรสะสมตัว (รูป 2 ระยะที่ 2-3) รูป 2. ตัวอยำ่ งววิ ฒั นำกำรกำรลำดบั ช้นั หนิ 7

สนั ติ ภยั หลบลี้ ลำดบั ชัน้ หิน รูป 3. กำรลำดบั ชน้ั หินตะกอนในแกรนด์ แคนยอน ประเทศสหรฐั อเมริกำ 4) กฏของลักษณะปรากฏ (law of lateral continuity) นำเสนอโดย โจฮานเนส วอลเตอร์ (Walther J.) อธิบำยว่ำตะกอนสำมำรถสะสมตัวเป็นชั้น อย่ำงต่อเน่ืองไปตลอดแอ่งสะสมตัว และอำจถูกเทียบเคียงสัมพันธ์กันได้ ถึงแม้ว่ำ จะอยู่ห่ำงกนั กต็ ำม (รปู 4) 5) กฏความสัมพันธ์กันของการตัดขวาง (law of cross-cutting relationship) โดยมีหลักกำรว่ำรอยเล่ือนหรือหินอัคนีท่ีตัดผ่ำนชั้นหิน จะมีอำยุ น้อยกว่ำหินที่รอยเลื่อนตัดผ่ำนหรือหินท่ีถูกหินอัคนีแทรกตัวเข้ำไป (รูป 2 ระยะท่ี 2-3 และรปู 4) 8

สนั ติ ภัยหลบลี้ ลำดบั ชน้ั หนิ รปู 4. กำรเปรียบเทียบชน้ั หนิ จำกหลำกหลำยพนื้ ท่ี โดยกำรจำแนกฟอสซลิ รูป 5. ตวั อยำ่ งกำรตัดผำ่ นกนั ของเหตุกำรณ์ทำงธรณีวิทยำ 9

สนั ติ ภัยหลบลี้ ลำดับช้นั หนิ 6) กฏของสิ่งปะปนกันเข้าไป (law of inclusion) โดยอธิบำยว่ำเศษ หินที่อยู่ภำยในมวลหินจะมีอำยุแก่กว่ำมวลหินท่ีอมหรือครอบคลุมเศษหินนั้น เช่น กรณีของหินอัคนีโดยส่วนใหญ่มีเศษหินจำกบริเวณข้ำงเคียงท่ีแมกมำเคล่ือนที่ผ่ำน หลุดเขำ้ ไปอย่ใู นแมกมำดว้ ย บ่งชี้วำ่ เศษหินเหลำ่ นนั้ มีอำยแุ กก่ ว่ำหินอคั นี (รูป 6) รปู 6. (ก) แบบจำลองกำรเกิดหนิ แปลกปลอม (xenolith) (ข) เศษหินแปลกปลอม สีเขม้ ปนมำกบั ผนังแทรกชัน้ ของแมกมำสีจำง (felsic dike) [Miller M.] 7) กฏความไมต่ ่อเนอื่ งของการลาดบั ชัน้ หิน (law of unconformity) หมำยถึง กำรขำดหำยไปของลำดับชั้นหิน เนื่องจำกบำงชว่ งเวลำ บำงพ้ืนที่อำจถูก กดั กร่อนและกลบั มำสะสมตัวอีกคร้ัง (รปู 2 ระยะที่ 4-6) โดยรอยต่อระหวำ่ งหิน 2 ช่วงเวลำ เรียกว่ำ รอยชั้นไม่ต่อเน่ือง (unconformity) และระยะเวลำที่หินขำด หำยไป เรียกว่ำ เวลาความไม่ต่อเนื่อง (hiatus) ซ่ึงอำจอย่ใู นช่วงหลำยพัน-หลำย ล้ำนปี นักวทิ ยำศำสตร์จำแนกรอยช้นั ไม่ตอ่ เน่อื งออกเปน็ 4 รูปแบบ คือ (รูป 7) 10

สนั ติ ภยั หลบล้ี ลำดบั ชั้นหนิ รปู 7. รอยช้นั ไม่ต่อเน่ือง (unconformity) 11

สันติ ภยั หลบลี้ ลำดับช้ันหนิ ▪ รอยชนั้ ไม่ต่อเน่ืองคงระดับ (disconformity) (รปู 7ก) เกิดจำกหินท่ีมี อำยุแก่สะสมตัวและยกตัวข้ึน แต่ไม่เกิดกำรโค้งงอ เมื่อหินอำยุอ่อน มำ สะสมตัวภำยหลัง ทำให้หินท้ังสองอำยุมีกำรเรียงตัวอย่ำงต่อเน่ืองกันไป สังเกตไดย้ ำกแตอ่ ำจตรวจสอบได้จำกกำรขำดหำยไปของฟอสซิล ▪ รอยชั้นไม่ต่อเน่ืองเชิงมุม (angular unconformity) (รูป 7ข) เกิด จำกหินท่ีมีอำยุแก่ ถูกยกตัว เกิดกำรเอียงตัวและกัดกร่อน ต่อมำหิน เหล่ำน้ี จมตัวลงอีกคร้ัง ทำให้หินอำยุอ่อนกว่ำ เร่ิมสะสมตัวอยู่บนหินท่ีมี อำยุแกก่ วำ่ ซ่งึ เอยี งทำมมุ เอียงเท (dip angle) แตกตำ่ งกัน ▪ รอยช้ันไมต่ ่อเนื่องบนหินอัคนี (nonconformity) (รูป 7ค) เปน็ รอยช้ัน ไม่ต่อเน่อื ง ท่ีเกิดจำกหินอัคนี หรือหินแปรยกตัวขึ้น และถูกกำรกัดกร่อน ผพุ งั ตอ่ มำมกี ำรจมตวั ลง และปิดทับดว้ ยหนิ ตะกอน ▪ รอยช้ันไม่ต่อเนื่องขนาน (paraconformity) (รูป 7ง) แนวควำมไม่ ต่อเนื่องใช้แนวรอยต่อระหว่ำงชั้นหิน เป็นตัวแบ่งแยกชั้นหินที่มีอำยุแก่ กว่ำออกจำกช้ันหิน ทม่ี อี ำยุออ่ นกวำ่ 8) กฏการต่อเนื่องของบรรพชีวิน (law of faunal succession) สืบเนื่องจำกนักวิทยำศำสตร์สังเกตและพบว่ำฟอสซิลท่ีเกิดในช้ันหินต่ำงๆ นั้น มี รปู ร่ำงและสำยพันธ์ุแตกต่ำงกนั ไป ถึงแม้วำ่ ช้ันหนิ ดังกลำ่ วจะวำงซ้อนกันอยู่ ดังนั้น วิลเลียม สมิธ (Smith W.) จึงนำเสนอว่ำ ชั้นตะกอนที่มีฟอสซิลชนิดเดียวกัน สำมำรถเทียบเคยี งไดว้ ำ่ เป็นช้นั ตะกอนทม่ี ีอำยใุ นชว่ งเดยี วกัน (รูป 8) นอกจำกน้ี วิลเลียม สมิธ ยังได้จำแนกช้ันหินท่ีมีอำยุใกล้เคียงกัน โดย อำศยั หลักกำรของ กำรพบฟอสซลิ เป็นคร้ังแรกและกำรหำยไปของฟอสซลิ ในแตล่ ะ 12

สันติ ภัยหลบลี้ ลำดบั ชัน้ หิน ชนิด เป็นตัวแบ่งช้ันหิน (รูป 8) ซ่ึงเป็นแนวทำงให้นักวิทยำศำสตร์ท่ัวโลกสำมำรถ ลำดบั ชัน้ ตะกอนแลชน้ั หินจำกควำมแตกต่ำงของกล่มุ ฟอสซิลได้ รปู 8. ลำดบั กำรพบและหำยไปของฟอสซิล 13

สนั ติ ภัยหลบลี้ ลำดบั ชั้นหนิ 3 ฟอสซิล Fossil 3.1. ฟอสซลิ และฟอสซลิ ดัชนี (Fossil and Fossil Index) ฟอสซิล (fossil) หรือ บรรพชีวิน หรือ ซากดึกดาบรรพ์ คือ ซำกและ ร่องรอยของส่ิงมีชีวิตท้ังพืชและสัตว์ท่ีเคยอำศัยอยู่ในพื้นท่ีต่ำงๆ ซ่ึงเมื่อสิ่งมีชีวิต ตำยลง ในบำงสภำพแวดล้อมท่ีเหมำะสม ซำกสิ่งมีชีวิตดังกล่ำวอำจไม่ย่อยสลำย แต่จะถูกทับถมและฝังตัวอยู่ในชั้นตะกอน กลำยเป็นฟอสซิล ปัจจุบัน นักวิทยำศำสตร์ใช้ฟอสซิลในกำรศึกษำประวัติควำมเป็นมำของพื้นท่ีต่ำงๆ ซ่ึง สำมำรถบอกได้ทั้งอำยุหรือช่วงเวลำของเหตุกำรณ์ หรือบำงคร้ังอำจจะบอกถึง สภำพแวดล้อมในแต่ละช่วงเวลำน้ันด้วย ซึ่งกำรศึกษำฟอสซิลจะสำมำรถอธิบำย รำยละเอียดของสภำพแวดล้อมในอดตี ได้มำกกวำ่ กำรศกึ ษำเฉพำะช้นั หิน 14

สนั ติ ภยั หลบลี้ ลำดับชน้ั หนิ ฟอสซิลดัชนี (fossil index) คอื ซำกของสิ่งมชี วี ิตทีเ่ คยแพร่กระจำยอยู่ โดยท่ัวไปหรอื ท่วั โลก แตม่ ีชีวติ อยู่ในช่วงส้ันๆ และสูญพนั ธ์ุไป ไดแ้ ก่ ไทรโลไบต์ แก รพโตไลต์ ฟิวซูลินิด เป็นต้น (รูป 9) ซึ่งกำรที่พบฟอสซิลดัชนีในชั้นหินท่ีอยู่ต่ำง พื้นท่ีกัน นักวิทยำศำสตรส์ ำมำรถกำหนดได้ว่ำหินท่ีพบฟอสซิลดัชนีดังกล่ำวมีอำยุ ในชว่ งเดียวกนั รปู 9. ตัวอย่ำงฟอสซิลดัชนี (ก) ไทรโลไบต์ ฟอสซิลดัชนียุคแคมเบรียน (ข) ฟิวซูลิ นดิ ฟอสซิลดัชนียคุ เพอร์เมยี น 3.2. กระบวนการเกิดฟอสซิล (Fossilization) 1) ส่วนท่ีแข็งของส่ิงมีชีวิต (hard part) เมื่อส่ิงมีชีวิตล้มตำยลงโครง ร่ำงส่วนที่เป็นของแข็ง เช่น กระดูก ฟัน กะดอง กะโหลก (รูป 10) จะถูกทับถม 15

สันติ ภยั หลบลี้ ลำดับชนั้ หิน อย่ำงรวดเร็ว ทำให้แบคทเี รียไม่สำมำรถเจริญเตบิ โตได้ ซ่ึงเมอ่ื เวลำผำ่ นไป ตะกอน กลำยเป็นหิน ซำกสิ่งมีชีวิตเหล่ำน้ันจะกลำยเป็นฟอสซิล นอกจำกน้ีในกรณีของ พ้ืนท่ีซ่ึงหนำวเย็น ควำมเย็นยังสำมำรถช่วยเก็บรักษำซำกพืชซำกสัตว์เอำไว้ได้ เชน่ กนั เช่น ซำกชำ้ งแมมมอธท่ีถูกฝังอยูใ่ ต้ธำรน้ำแข็งแถบไซบเี รีย เป็นตน้ รปู 10. ฟอสซลิ สว่ นทีแ่ ข็งของสงิ่ มชี วี ิต 16

สนั ติ ภยั หลบล้ี ลำดบั ชัน้ หิน 2) การกลายเป็นหิน (petrification) โดยเม่ือส่ิงมีชีวิตตำยลง ช่องว่ำง ในโครงสร้ำงของสิ่งมีชีวิตอำจมีแร่เข้ำไปตกผลึกทำให้แข็งขึ้น ซ่ึงในกรณีน้ีฟอสซิล โดยส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้ เรียกว่ำ ไม้กลายเป็นหิน (petrified wood) (รูป 11) ซง่ึ เกิดจำกกำรท่ีสำรละลำยซิลิกำไหลแซกซึมและตกผลึกใหม่แข็งตัวอย่ใู นช่องว่ำง ภำยในต้นไม้ หรือบำงคร้ังเน้ือเยื้อ ผนังเซลล์ และส่วนแข็งอื่นๆ อำจถูกแทนท่ีด้วย แรไ่ ดเ้ ช่นกัน เรยี กวำ่ กระบวนการแทนที่ (replacement) รูป 11. ฟอสซิลไม้กลำยเป็นหนิ 3) รอยพิมพ์ (mold) และรูปหล่อ (cast) ในกรณีของส่วนท่ีแข็งของ สิ่งมีชีวิต เชน่ เปลือกแข็งของไทรโลไบต์ที่ถูกทับถมอยู่ในช้ันตะกอน เม่ือเวลำผ่ำน ไปเปลือกหอยดังกล่ำวอำจถกู ละลำยไปกับน้ำใต้ดิน เกิดเป็นรอยประทับอยู่บนชั้น ตะกอน เรียกว่ำ รอยพิมพ์ (mold) และหำกช่องว่ำงน้ีมีแร่เข้ำไปตกผลึกใหม่ จะ เกดิ เปน็ ฟอสซิลในลกั ษณะท่ีเรยี กวำ่ รปู หล่อ (cast) (รูป 12) 17

สันติ ภัยหลบลี้ ลำดบั ช้นั หนิ รปู 12. (ก) รอยพมิ พ์ (ข) รูปหล่อ 4) การเพิ่มคาร์บอน (carbonization) เกิดจำกซำกสิ่งมีชีวิตพวกใบไม้ หรอื สัตว์ขนำดเล็กที่ถกู ทับถมดว้ ยตะกอนเนอ้ื ละเอยี ด ซึง่ เม่ือเวลำผ่ำนไป ควำมดัน ที่เพ่ิมขึ้นทำให้ส่วนประกอบที่เป็นของเหลวและก๊ำซในซำกส่ิงมีชีวิตถูกขับออก เหลือเพียงแต่แผ่นฟิล์มบำงของธำตุคำร์บอน (รูป 13ก) แต่หำกแผ่นฟิล์มคำร์บอน ดังกล่ำวหลุดหำยไป ร่องรอยที่ยังหลงเหลืออยู่ในชั้นตะกอนเนื้อละเอียดน้ีจะ เรยี กว่ำ รอยประทบั (impression) 5) อาพัน (amber) ในกรณีของส่ิงมีชีวิตขนำดเล็กที่มีลักษณะบอบบำง เชน่ แมลง กำรเก็บรักษำให้กลำยเป็นฟอสซลิ ในสภำพแวดล้อมแบบปกติน้นั เปน็ ไป ไดย้ ำก วิธกี ำรทเ่ี หมำะสมสำหรบั ส่ิงมชี ีวติ เหลำ่ น้ี คือ กำรเก็บไวใ้ นยำงไม้ ซ่ึงยำงไม้ น้ีจะป้องกันส่ิงมชี ีวติ ขนำดเล็กดงั กล่ำว จำกกำรทำลำยโดยธรรมชำติ (รปู 13ข) 18

สันติ ภยั หลบลี้ ลำดบั ชั้นหิน 6) ร่องรอยของส่งิ มีชีวติ (track) นอกจำกนีฟ้ อสซิลอำจรวมถึงร่องรอย ที่เกิดจำกสิ่งมีชีวิต เช่น รอยตีน รอยคืบคลำน รู โพรง ก้อนหินที่สัตว์กินเข้ำไป (gastrolith) เพ่ือช่วยในกำรย่อยอำหำรหรือแม้แต่ มูลสัตว์หรือเศษอำหำรท่ีอยู่ใน กระเพำะ (coprolite) (รปู 13ค-ฉ) ก็ถือเปน็ ฟอสซิลไดเ้ ช่นกนั รปู 13. ฟอสซิลรปู แบบอน่ื ๆ 19

สนั ติ ภัยหลบลี้ ลำดับชนั้ หิน 4 การกาหนดอายสุ ัมบูรณ์ Absolute-age Dating นอกจำก การกาหนดอายุสัมพัทธ์ (relative-age dating) ที่ศึกษำได้ จำกกำรลำดับช้ันหินและฟอสซิลดังที่อธิบำยในข้ำงต้น กำรกำหนดอำยุสัมบูรณ์ เป็นอีกหนึ่งวิธีกำรที่สำคัญในกำรศึกษำประวัติศำสตร์และลำดับเหตุกำรณ์ต่ำงๆ ที่ เกิดขึ้นบนโลก โดย การกาหนดอายุสัมบูรณ์ (absolute-age dating) หมำยถึง กำรกำหนดอำยวุ ัสดทุ ำงวิทยำศำสตร์ ท่สี ำมำรถแสดงผลในหน่วยเวลำเป็นตัวเลขท่ี แน่นอน ซ่ึงหน่วยที่นิยมใช้ในกำรกำหนดอำยุสัมบูรณ์ คือ ปี (year หรือ yr) ซึ่ง หมำยถึง คำบของกำรโคจรของโลกรอบดวงอำทิตย์ ใช้สัญลักษณ์ตำมมำตรฐำน International System of Units (SI) เช่น y yr kyr myr และ byr เป็นต้น หรือ 20

สันติ ภัยหลบลี้ ลำดบั ชนั้ หนิ ในกรณีของกำรกำหนดอำยุทำงธรณีวิทยำอำจใช้ตัวอักษรย่อ a (ภำษำละติน annum = ปี) เช่น ka (kiloannum) = 103 ปี Ma (megaannum) = 106 ปี Ga (gigaannum) = 109 ปี Ta (teraannum) = 1012 ปี Pa (petaannum) = 1015 ปี Ea (exaannum) = 1018 ปี เป็นต้น ด้วยทฤษฏี เทคโนโลยีและเคร่ืองมือท่ีถูกพัฒนำขึ้นอย่ำงต่อเนื่องใน ปัจจุบัน ทำให้กำรกำหนดอำยุสัมบูรณ์นั้นมีหลำกหลำยวิธีตำมทฤษฏีท่ีใช้กำหนด อำยุ ซึ่งในกำรเลือกใช้วิธีกำหนดอำยุกับวัสดุที่ต้องกำรศึกษำนั้น ควรพิจำรณำ ข้อจำกดั และปจั จัยสำคัญ 3 ปจั จัย คอื 1) วัสดุหรือตัวอย่าง (material) ควรพิจำรณำว่ำตัวอย่ำงท่ีต้องกำร กำหนดอำยุนน้ั เป็นวัสดุชนิดใดและเหมำะสมกับวิธกี ำรกำหนดอำยุแบบใด (ตำรำง 1) เช่น กำรกำหนดอำยุด้วยวิธีคำร์บอน-14 มีประสิทธิภำพสูงในกำรกำหนดอำยุ ตัวอย่ำงอนิ ทรียวตั ถุ ส่วนกำรกำหนดอำยุด้วยวิธีเรอื งแสงควำมรอ้ นหรือวิธีกระตุ้น ดว้ ยแสงเหมำะกบั กำรกำหนดอำยวุ สั ดุทีม่ อี งคป์ ระกอบเปน็ แรค่ วอตซ์ เป็นตน้ 2) ช่วงอายุที่เหมาะสม (expected date) สืบเน่ืองจำกข้อจำกัดทำง ทฤษฏี ทำให้วิธีกำรกำหนดอำยุในแต่ละวิธีมีประสิทธิภำพกับเฉพำะบำงช่วงเวลำ เท่ำน้นั (รูป 14ก) ดงั นั้นหำกนำตวั อยำ่ งทป่ี ระเมนิ ในเบ้อื งต้นว่ำมีอำยุเกนิ ชว่ งอำยทุ ่ี จำกดั ไว้ จะทำใหผ้ ลกำรกำหนดอำยทุ ไ่ี ดน้ ้ันไม่แม่นยำและไมน่ ำ่ เชือ่ ถอื 3) คา่ ความผิดพลาด (Error) นอกจากน้ีวธิ ีการกาหนดอายุในแต่ละวธิ ี จะมีควำมผิดพลำดท่ีแตกต่ำงกัน อันเน่ืองมำจำกข้อจำกัดทำงทฤษฏี (รูป 14ข) ขึ้นอยู่กับผู้วิจัยว่ำสำมำรถยอมรับค่ำควำมผิดพลำดที่จะเกิดข้ึนในวิธีกำรกำหนด อำยุท่เี ลอื กใช้ได้มำกนอ้ ยเท่ำใด 21

สนั ติ ภัยหลบลี้ ลำดบั ช้นั หิน ตาราง 1. ประสทิ ธิภำพของวิธีกำรกำหนดอำยุกบั วสั ดชุ นดิ ตำ่ งๆ [Aitken, 1985] วธิ กี าร วสั ดุ กระดกู หอย ปะการ ตะกอน หินอัคนี ดินเผา Amino Acid * ** ESR ** *** ** TL/OSL *** * *** U-Pb ** * *** * *** K-Ar *** C-14 *** *** ** ** ** หมำยเหตุ : *** คือ วัสดุสำมำรถกำหนดอำยุได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ ** คือ ผล กำรกำหนดอำยุมคี วำมถกู ต้องปำนกลำง * คือ วัสดไุ ม่เหมำะสมกบั กำรกำหนดอำยุ 22

สันติ ภยั หลบลี้ ลำดบั ชัน้ หนิ รูป 14. (ก) ช่วงอำยุโดยประมำณในแต่ละวิธกี ำรกำหนดอำยุ ทสี่ ำมำรถทำได้อยำ่ ง มีประสิทธิภำพ [Colman และ Pierce, 2000] (ข) ค่ำควำมผิดพลำด โดยประมำณในแต่ละวธิ กี ำรกำหนดอำยุ [www.rses.anu.edu.au] 23

สันติ ภยั หลบลี้ ลำดบั ช้ันหนิ 5 การกาหนดอายดุ ว้ ยวธิ ี กัมมนั ตรังสี Radiometric Dating หลังจำกกำรค้นพบ ธาตุกัมมันตรังสี (radioactive element) โดย อองตวน อองรี เบ็กเคอเรล (Becquerel H.) ในปี พ.ศ. 2438 ต่อมำในปี พ.ศ. 2449 เออเนสต์ รัทเธอร์ฟอร์ด (Rutherford E.) ได้ค้นพบว่ำธำตุกัมมันตรังสี สำมำรถสลำยตัวจำก ไอโซโทปคู่ตัวแม่ (parent) เป็น ไอโซโทปคู่ลูก (daughter) ชนดิ ใหม่ พรอ้ มทง้ั แผร่ งั สีออกมำในรปู ของรังสแี อลฟำ เบตำหรือรงั สี แกมมำ ซึ่งกำรสลำยตัวและกำรแผ่รังสีของธำตุกัมมันตรังสีดังกล่ำวมีคุณสมบัติ 24

สันติ ภยั หลบล้ี ลำดับชน้ั หนิ พเิ ศษ คอื ธำตุกมั มนั ตรังสีจะใชเ้ วลำคงท่ีในกำรสลำยตัวจนมีปริมำณธำตุเหลือ 0.5 เทำ่ ของปริมำณธำตเุ ดิม ซึ่งเรียกวำ่ ค่าคร่งึ ชวี ิต (half-life) (รูป 15) รปู 15. กำรสลำยตวั ของธำตกุ มั มันตรังสี (radioactive element) ตวั อย่ำงเช่น ธำตุอิรเิ ดียม-131 มคี ่ำคร่ึงชวี ติ 8 วนั หมำยถงึ เมอื่ เวลำผ่ำน ไป 8 วัน ธำตุอิริเดียม-131 จำนวน 1 กรัม จะสลำยตัวเหลือเพียง 0.5 กรัม และ อกี 8 วันต่อมำ จะเหลือธำตุอิริเดยี ม-131 จำนวน 0.25 กรมั และสลำยตัวไปอยำ่ ง ต่อเนื่องจนหมดไป โดยกำรสลำยตัวของธำตุกัมมันตรังสีสำมำรถแสดงได้ตำม สมกำร (1) dN = −N หรือ N = N0e−t สมการ (1) dt 25

สันติ ภยั หลบล้ี ลำดบั ช้ันหนิ กำหนดให้ N0 คอื ปรมิ ำณต้ังต้นของธำตกุ ัมมนั ตรังสี  คือ ค่ำครงึ่ ชีวิต (half-life) ซึง่ แตกต่ำงกนั ในแตล่ ะธำตุ เช่น ยเู รเนยี ม-238 มคี ่ำครึ่งชวี ิต 4,500 ล้ำนปี ในขณะ ที่ธำตุอิริเดียม-131 มีค่ำคร่ึงชีวิต 8 วัน เป็นต้น ซึ่งจำกหลักกำรดังกล่ำว นักวิทยำศำสตร์จึงประยกุ ตธ์ ำตกุ ัมมันตรังสตี ่ำงๆ เพื่อกำหนดอำยสุ ัมบรู ณ์ ไดแ้ ก่ 1) วิธีคาร์บอน-14 (C-14 หรือ Radiocarbon Dating) นำเสนอโดย วิลเล่ียม ลิบบ้ี (Libby W.F.) ในปี พ.ศ. 2492 ซ่ึงมีหลักกำรว่ำ (รูป 16) รังสี คอสมิก (cosmic ray) จำกดวงอำทิตย์ท่ีส่งมำยังโลกตกกระทบกับอะตอม ไนโตรเจน (N) ในชั้นบรรยำกำศ นิวตรอนของรังสีคอสมิกจะรวมกับนิวตรอนของ ไนโตรเจน กลำยเป็นคำร์บอน-14 ซึ่งเป็นธำตุกัมมันตรังสี และเม่ือรวมตัวกับ อะตอมของออกซิเจนในอำกำศจะเป็นก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ที่มีองค์ประกอบ เป็ น ค ำ ร์ บ อ น -14 (14CO2 ห รื อ C-14) ป ะ ป น กั น อ ยู่ กั บ โม เล กุ ล ข อ ง คำร์บอนไดออกไซด์ธรรมดำ (12CO2 หรือ C-12) ที่มีอยู่โดยทั่วไปในอำกำศ หลังจำกนั้นท้ัง C-14 และ C-12 จะเข้ำสู่ห่วงโซ่อำหำรโดยกำรสังเครำะห์แสงของ พืช สัตว์กินพืช คนกินท้ังสัตว์และพืช ดังนั้นอินทรียวัตถุท้ังหมดในโลก จึง ประกอบดว้ ยท้ัง C-14 และ C-12 ในสดั สว่ นโดยประมำณทคี่ งที่ คอื 1:1 ลำ้ นล้ำน เมื่อส่ิงมีชีวิตตำยลง หยุดกำรรับเข้ำของ C-14 และ C-12 จำกน้ัน คำร์บอน-14 เริ่มสลำยตัวไปเป็นไนโตรเจนตำมค่ำครึ่งชีวิต (รูป 16) จำกหลักกำร ดังกล่ำวและจำกสมกำร (1) จึงสำมำรถกำหนดอำยุกำรตำยของสิ่งมีชีวิตได้ โดย กำรตรวจวดั ปริมำณค่ำ C-14 ที่เหลอื อยู่ (N) ส่วนค่ำปริมำณเริ่มต้นของ C-14 (N0) ประเมนิ จำกปริมำณ C-12 และหำรดว้ ย 1 ลำ้ นลำ้ น ซ่ึงจำกคำ่ คร่งึ ชีวติ ()ของ C- 14 = 5,570 ดังน้ันเวลำที่ใชใ้ นกำรสลำยตวั (t) หรอื อำยุของตวั อยำ่ งตง้ั แต่สง่ิ มชี วี ิต น้ันตำยลงได้ ประเมินได้จำกสมกำร (1) 26

สนั ติ ภัยหลบล้ี ลำดับชน้ั หนิ รูป 16. แบบจำลองกำรเกดิ และกำรสง่ ผำ่ นธำตุคำรบ์ อน-14 ในพชื และสตั ว์ 27

สนั ติ ภัยหลบลี้ ลำดับชั้นหิน ขอ้ จำกัดของกำรกำหนดอำยุด้วยวิธีคำร์บอน-14 คือ 1) ใช้ได้กับตัวอย่ำง ทเ่ี ป็นอินทรียวัตถุเท่ำนั้น 2) ไม่สำมำรถใช้เทคนิคน้ีตรวจวดั อำยุตัวอย่ำงที่มีอำยุ > 54,000 ปี ได้อย่ำงถูกต้อง เน่ืองจำก C-14 ที่มีอยู่ในตัวอย่ำงอำจจะหลงเหลืออยู่ น้อยมำกหรอื อำจสลำยตัวไปหมด และ 3) ไม่สำมำรถตรวจวัดอำยุตัวอย่ำงที่มีอำยุ < ค.ศ. 1950 (พ.ศ. 2492) ได้เนื่องจำก ในช่วงเวลำดังกล่ำวเป็นช่วงเร่ิมต้นกำร ปฏิวัติอุตสำหกรรมและมีกำรปลดปล่อยก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ (C-12) ออกสู่ บรรยำกำศ ส่งผลให้อัตรำส่วนระหว่ำง C-14 และ C-12 เปล่ียนแปลงไปอย่ำงมำก จึงไมส่ ำมำรถเทียบสดั ส่วนเพ่อื ประเมิน C-14 เรมิ่ ตน้ (N0) ได้ นอกจำกน้ีนักวิทยำศำสตร์ยังใช้ธำตุกัมมันตรังสีอ่ืนๆ มำกำหนดอำยุวัสดุ อีกหลำกหลำยวิธี เช่น วิธีอำร์กอน-อำร์กอน (40Ar-39Ar dating) วิธีโปแตสเซียม- อำร์ก อน (K-Ar dating) วิธียูเรเนี ย ม -ต ะก่ั ว (U-Pb dating) วิธีรูบิ เดี ย ม - สตรอนเทียม (Rb-Sr dating) และวิธีซัมมำเรียม-นีโอดีเมียม (Sm-Nd dating) เป็นต้น ซึ่งวิธีกำรเหล่ำน้ีเหมำะกับวัสดุและช่วงอำยุแตกต่ำงกัน สัมพันธ์กับค่ำครึ่ง ชีวิตของธำตกุ มั มนั ตรงั สใี นแตล่ ะธำตุท่ถี ูกนำมำใชก้ ำหนดอำยุ การกาหนดอายดุ ว้ ยวธิ คี ารบ์ อน-14 ไมส่ ามารถกาหนดอายุ วสั ดุที่เกิดหลงั จากปี พ.ศ. 2492 ได้เน่ืองจาก ในชว่ งนน้ั เรม่ิ ตน้ การปฏิวัติอตุ สาหกรรมทาใหอ้ ตั ราสว่ น 1: 1 ล้าน ลา้ น ในธรรมชาตินนั้ เปล่ียนแปลงไปอย่างมาก 28

สันติ ภัยหลบลี้ ลำดบั ชัน้ หิน 6 การกาหนดอายดุ ว้ ยวธิ ีเรืองแสง Luminescence Dating 6.1. หลกั การเรืองแสงของแร่ (Luminescence of Mineral) กำรเรืองแสงของแร่ซึ่งมีสถำนะเป็นของแข็ง อธิบำยได้ในรูปของระดับ พลังงำนของอิเล็กตรอนและกำรกักเก็บอิเล็กตรอน ซึ่งในทำงทฤษฎี ผลึกแร่ท่ี สมบูรณ์จะประกอบด้วยโครงข่ำยผลึกของประจุลบและประจุบวกที่ยึดเหนี่ยวกัน อยอู่ ยำ่ งสมดุล (รปู 17ก) อยำ่ งไรกต็ ำม ผลกึ แร่ในธรรมชำติ โดยเฉพำะแรป่ ระกอบ หิน โดยส่วนใหญ่มีควำมบกพร่องเนื่องจำกหลำยกรณี (รูป 17ข) เช่น กำรแทนท่ี โดยประจุของธำตุมลทินหรือกำรเย็นตัวอย่ำงรวดเร็วของลำวำกลำยเป็นหิน ซ่ึง ควำมบกพร่องดังกล่ำว ได้แก่ ประจุลบหำยไปจำกตำแหน่งท่ีควรอยู่หรือประจุลบ แทรกอยู่ระหว่ำงกลำงโครงข่ำยผลึก เป็นต้น ทำให้โครงข่ำยผลึกของแร่มีตำแหน่ง 29

สนั ติ ภัยหลบลี้ ลำดับชนั้ หิน ของประจุลบบำงตำแหนง่ ไมพ่ บประจลุ บ ซ่ึงในตำแหนง่ ดงั กลำ่ วจะประพฤตติ วั เป็น หลุมกักเก็บอิเล็กตรอน (electron trap) และเป็นจุดดึงดูดอิเล็กตรอนอื่นๆ ที่ กระจำยตัวอย่บู รเิ วณรอบข้ำงให้เขำ้ มำฝังตวั (รปู 17ค) รูป 17. แบบจำลองกลไกกำรเรอื งแสงของแร่ จำกนั้นเมื่อแรไ่ ด้รบั กำรกระตุ้นจำกพลังงำนจำกสงิ่ แวดลอ้ มโดยรอบ เช่น พลังงำนจำกกำรแผ่รังสีของธำตุกัมมันตรังสีท่ีมีอยู่ในธรรมชำติ เช่น ธำตุยูเรเนียม ทอเรียม และธำตุโปแตสเซียม อิเลก็ ตรอนจะถูกกระตุ้นและเข้ำไปฝังอยู่ในหลมุ กัก เก็บอิเล็กตรอน ซ่ึงเม่ือแร่ถูกกระตุ้นอีกครั้งด้วยพลังงำนรูปแบบต่ำงๆ เช่น ควำม ร้อนหรือแสง (รูป 17ง) อิเล็กตรอนท่ีอยู่ในหลุมกักเก็บอิเล็กตรอนสำมำรถหลุด ออกมำจำกหลุมกกั เก็บอเิ ลก็ ตรอนและเรืองแสง 30

สันติ ภยั หลบล้ี ลำดบั ช้นั หนิ 6.2. การกาหนดอายดุ ว้ ยวิธเี รอื งแสง (Luminescence Dating) กำรประยกุ ตห์ ลักกำรเรอื งแสงกบั กำรกำหนดอำยแุ ร่ประกอบหนิ เช่น หนิ อัคนีหรือหินแปร (รูป 18) เริ่มต้นจำกแร่เดิมนั้นมีกำรสะสมอิเล็กตรอนอยู่ ตลอดเวลำด้วยอัตรำทีค่ งที่ ตำมอตั รำกำรสลำยตวั ของธำตุกัมมนั ตรงั สีในธรรมชำติ ซึ่งหำกแร่ได้รับควำมร้อนประมำณ 300-500 องศำเซลเซียส [Feathers, 2002] เช่น ลำวำที่กลำยเป็นหินอคั นี หินเดิมที่ถูกแปรสภำพด้วยควำมดันและอุณหภูมิสูง แร่เดมิ ซ่ึงเคยมีอิเล็กตรอนสะสมตัวอยู่จะถูกขับออกจำกหลุมกักเก็บอิเล็กตรอนจน หมด จำกน้ัน แร่จึงเร่ิมต้นสะสมอิเล็กตรอนใหม่อีกคร้ัง จนถึงวันที่นำตัวอย่ำงมำ ตรวจวัดปริมำณอิเล็กตรอนด้วยกำรตรวจวัดกำรเรืองแสง ปริมำณอิเล็กตรอนท่ีได้ จึงเทียบเคียงได้กับปริมำณอิเล็กตรอนท่ีสะสมตัวต้ังแต่แร่น้ันได้รับควำมร้อนคร้ัง สดุ ทำ้ ยจนถงึ วนั ทีน่ ำตวั อย่ำงแร่มำตรวจวดั (รปู 18) รปู 18. กำรประยกุ ต์หลักกำรเรอื งแสงกับกำรกำหนดอำยุแร่ประกอบหิน 31

สันติ ภัยหลบล้ี ลำดับช้นั หนิ ส่วนในกรณีกำรกำหนดอำยุกำรสะสมตัวของตะกอน จะมีข้อแตกต่ำง เล็กน้อยเม่ือเปรียบเทียบกับกำรกำหนดอำยุแร่หรือวัสดุที่ได้รับควำมร้อน โดย กระบวนกำรเร่ิมต้นจำกหินหรือตะกอนเดิมมีกำรสะสมตัวของอิเล็กตรอน จนกระท่ังหินหรือตะกอนเหล่ำนั้นถูกปัจจัยทำงธรณีวิทยำต่ำงๆ เช่น น้ำ ลม ฯลฯ กัดกร่อนและเกิดกำรผุพังเป็นเม็ดตะกอน จำกน้ันตะกอนเกิดกำรพัดพำจำก แหล่งกำเนิดตะกอนลงสู่แหล่งสะสมตะกอน ซ่ึงในระหว่ำงช่วงเวลำของกำรพัดพำ อิ เล็ ก ต รอ น จ ะ ถู ก ผ ลั ก อ อ ก จ ำ ก ห ลุ ม กั ก เก็ บ เน่ื อ งจ ำ ก เม็ ด ต ะ ก อ น สั ม ผั ส กั บ แสงอำทิตย์ และเร่ิมต้นสะสมปริมำณอิเล็กตรอนใหม่อีกคร้ัง โดยมีเม็ดตะกอนชั้น บนท่ีปิดทับเป็นตัวป้องกันแสงอำทิตย์ ดังน้ันเม่ือนำตัวอย่ำงตะกอนมำวิเครำะห์ กำรเรืองแสง ปริมำณอิเล็กตรอนที่มีอยู่ในผลึกแร่ของตะกอนจึงเทียบเคียงได้กับ ปริมำณอิเล็กตรอนที่สะสมตัวต้ังแต่แร่หรือตะกอนเม็ดนั้นสะสมตัวในครั้งสุดท้ำย จนถงึ วันท่นี ำตวั อยำ่ งแร่มำตรวจวัด (รปู 19) รปู 19. กำรประยกุ ตห์ ลักกำรเรืองแสงกบั กำรกำหนดอำยุกำรสะสมตัวของตะกอน 32

สันติ ภัยหลบล้ี ลำดบั ช้นั หิน ดังนั้น เม่ือสำมำรถตรวจวัดปริมำณอิเล็กตรอนที่ฝังตัวอยู่ในหลุมกักเก็บ อิเล็กตรอนได้ (ซ่ึงสัมพันธ์กับปรมิ ำณกำรเรืองแสงของแรเ่ มื่อได้รับกำรกระตุ้นจำก แสงหรือควำมรอ้ น) และสำมรถประเมินอตั รำกำรแผ่รังสีของธำตุกัมมันตรังสที ่ีมอี ยู่ ในส่ิงแวดล้อมรอบขำ้ ง ทเ่ี ปน็ ตัวกระตุ้นใหอ้ ิเลก็ ตรอนเข้ำไปฝังตัวอยู่ในหลุมกักเก็บ อิเล็กตรอนได้ นักวิทยำศำสตร์สำมำรถกำหนดอำยุกำรเกิดหิน เช่น หินอัคนีและ หินแปร กำรสมตัวของตะกอน รวมถึงอำยุของวัสดุต่ำงๆ ที่ผ่ำนกำรเผำ เช่น โบรำณวตั ถุ ได้ตำมสมกำร (2) Date = ED สมการ (2) AD กำหนดให้ Date คือ อำยุที่ได้จำกกำรกำหนดอำยุด้วยวิธีเรืองแสง (หน่วย ปี) ED หมำยถึง ปริมำณอิเล็กตรอนที่ฝังตัวอยู่ในหลุมกักเก็บอิเล็กตรอน (หน่วย เกรย์) และ AD คอื อตั รำกำรแผ่รงั สีของธำตกุ ัมมันตรงั สี (หนว่ ย เกรย/์ ป)ี ปัจจุบันมีเทคนิคในกำรกำหนดอำยุและตรวจวัดกำรเรืองแสง 2 รูปแบบ ได้แก่ กำรกระตนุ้ ตวั อย่ำงแร่ด้วยควำมร้อนและตรวจวดั กำรเรืองแสง เรียกวำ่ การ กาหนดอายุด้วยวิธีการเรืองแสง (Thermoluminescence, TL dating) และ กำรกระตุ้นกำรเรืองแสงด้วยแสงช่วงควำมถ่ีเฉพำะ เรียกว่ำ การกาหนดอายุด้วย วิธกี ระตนุ้ ด้วยแสง (Optically Stimulated Luminescence, OSL dating) 33

สันติ ภยั หลบลี้ ลำดบั ช้นั หนิ 7 การกาหนดอายดุ ้วยวิธี เทียบเคียง Relative Dating การกาหนดอายสุ ัมบูรณ์ดว้ ยวิธีเทยี บเคยี ง (relative dating) เป็นกำร กำหนดอำยุสัมบูรณท์ ่ีใชห้ ลักกำรเทียบเคยี งคล้ำยกบั กำรกำหนดอำยุสัมพัทธ์ แตไ่ ด้ อำยุเป็นตัวเลขท่ีแน่นอน ซึ่งปัจจุบันนักวิทยำศำสตร์มีกำรเทียบเคียงจำกหลักฐำน หลำยรูปแบบ ไดแ้ ก่ 7.1. การกาหนดอายุจากวงปงี ต้นไม้ (Tree-ring Dating) ก า ร ก า ห น ด อ า ยุ จ า ก ว ง ปี ง ต้ น ไ ม้ (tree-ring dating ห รื อ dendrochronology) ใช้หลักกำรเติบโตของต้นไม้ซึ่งเวลำ 1 ปี จะพัฒนำวงปี 1 วง (รปู 20ก) และอำยหุ รอื จำนวนปปี ระเมนิ ได้จำกกำรนบั จำนวนวงปขี องต้นไม้ 34

สันติ ภัยหลบลี้ ลำดับชัน้ หนิ รูป 20. (ก) ลำดับอำยุจำกวงปีของต้นไม้ (ข) หลักกำรสร้ำงตำรำงเวลำมำตรฐำน กำรกำหนดอำยดุ ้วยวธิ วี งปตี ้นไม้ 35

สนั ติ ภยั หลบลี้ ลำดบั ชัน้ หนิ โดยหำกพบหลักฐำนกำรต่อเนื่องหรือเหล่อื มกันของวงปยี อ้ นกลบั ไปอย่ำง ต่อเน่ือง จะขยำยตำรำงเวลำของกำรกำหนดอำยุได้ (รูป 20ข) โดยปัจจุบัน นักวิทยำศำสตร์สำมำรถเทียบเคียงควำมสัมพันธ์ของวงปีต้นไม้จำกไม้ ในสถำนท่ี ต่ำงๆ ย้อนกลับไปได้ประมำณ 2,000 ปี โดยเฉพำะในทวีปอเมริกำเหนือและทวีป ยุโรป ซึ่งหำกต้องกำรกำหนดอำยุตัวอย่ำงไม้ ก็สำมำรถเทียบเคียงรูปแบบวงปีกับ ตำรำงเวลำมำตรฐำนวงปี ในแตล่ ะพ้นื ท่ี และไดอ้ ำยุเปน็ ตัวเลขท่แี น่นอน 7.2 การกาหนดอายจุ ากแมเ่ หล็กโลกบรรพกาล (Paleomagnetic Dating) สืบเนื่องจำกสนำมแม่เหล็กโลกน้ันมีกำรกลับขั้วไป-มำอยู่ตลอดเวลำทำง ธรณีกำล [Cox และคณะ, 1967] นักวิทยำศำสตร์ทั่วโลก จึงได้ร่วมกันศึกษำวิจัย และสร้ำง ตำรำงมำตรฐำนกำรกลับขั้วของสนำมแม่เหล็กข้ึน และกำหนดอำยุ ตวั อย่ำงดังกล่ำวด้วยวิธกี ำรกำหนดอำยุแบบอื่นๆ ทำให้ปัจจุบัน มีตำรำงมำตรฐำน สภำวะแม่เหล็กโลก ที่คล้ำยกับแถบบำร์โคดของสินค้ำ ซึ่งในแต่ละช่วงของตำรำง จะมีอำยกุ ำกับอยู่ (รูป 21) ดังน้ันเม่ือสำมำรถตรวจวัดค่ำสนำมแม่เหล็กของตัวอย่ำงได้ เช่น เม่ือนำ ตัวอย่ำงหินจำกชั้นต่ำงๆ ของลำวำท่ีไหลหลำกในภูเขำไฟ ไปประเมินสภำวะ แม่เหล็กโลกบรรพกำลและปรับเทียบกับตำรำงมำตรฐำนดังกล่ำว จะสำมำรถ กำหนดอำยุของกำรไหลหลำกของลำวำในแต่ละเหตุกำรณ์ได้ (รูป 22ก) หรือ ในทำงโบรำณคดี หำกนักวิทยำศำสตร์ประเมินสภำวะแม่เหล็กโลกบรรพกำลกับ ตวั อยำ่ งภำชนะดินเผำ หรือวัสดุต่ำงๆ ทำงโบรำณคดีที่เคยได้รับควำมร้อน (รูป 22 ข) ผลของสภำวะแม่เหล็กโลกแสดงถึงสภำวะแม่เหล็กโลกเม่ือภำชนะดังกล่ำวถูก เผำครงั้ สดุ ท้ำย ซ่งึ เทียบเคียงไดก้ บั อำยขุ องแหลง่ โบรำณคดี 36

สนั ติ ภยั หลบล้ี ลำดับชั้นหนิ รูป 21 . ตั วอ ย่ ำงต ำรำง มำตรฐำนสภำวะ แม่เหล็กโลกในช่วง สมัยไมโอซีน-สมัย ไ พ ล ส โ ต ซี น [Cande แ ล ะ Kent, 1995] 37

สันติ ภัยหลบล้ี ลำดับช้นั หิน รูป 22. หลกั กำรกำหนดอำยุจำกสภำวะแม่เหล็กโลกบรรพกำล (ก) กำรศึกษำทำง ธรณีวทิ ยำ (ข) กำรศกึ ษำทำงโบรำณคดี อณุ หภูมทิ ่ีสภาวะแม่เหลก็ โลกเปลี่ยนแปลงได้ เรียกว่า อุณหภมู ิครู ี่ (ประมาณ 500 องศาเซลเซยี ส) 38

สนั ติ ภัยหลบลี้ ลำดับชน้ั หนิ 7.3. การกาหนดอายดุ ้วยวธิ ีลาดบั ชน้ั ดินเลน (Varve Dating) ช้ันดินเลน (varve) พบโดยส่วนใหญใ่ นสภำพแวดล้อมกำรสะสมตัวแบบ ทะเลสำบ โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงทะเลสำบในพื้นท่ีที่หนำวเย็น ซ่ึงกำรสะสมตัว ประกอบด้วยตะกอน 2 ชนิด คือ ตะกอนหยำบและละเอียด ตกทับทถมสลับกัน ไป-มำ โดยปกตติ ะกอนหยำบจะเกดิ ในฤดูร้อนระหวำ่ งทนี่ ำ้ แข็งละลำย สว่ นตะกอน ละเอียดจะเกิดในฤดูหนำวในขณะที่น้ำในทะเลสำบแข็งตัว ตะกอนละเอียดซ่ึง แขวนลอยอยู่จึงตกสะสม (รูป 23) ซึ่งกระบวนกำรดังกล่ำวเกิดข้ึนติดต่อกันเป็น หลกั พันปี จึงสำมำรถนับและกำหนดอำยุสัมบูรณ์ได้ เหมือน การกาหนดอายุจาก วงปตี น้ ไม้ (tree-ring dating) รปู 23. สภำพแวดลอ้ มกำรสะสมตวั แบบทะเลสำบและกำรเกิดชัน้ ดนิ เลน นอกจำกน้ีกำรเกิดขึ้นสลับกันเป็น คาบอุบัติซ้า (return period) ของ วัสดอุ ่ืนๆ ก็สำมำรถนับและกำหนดอำยุสัมบูรณ์ไดเ้ ชน่ กนั (รูป 24) เชน่ ตะกอนถ้ำ (speleothem) ปะกำรงั (coral) และแทง่ ตัวอย่ำงน้ำแขง็ (ice core) เป็นตน้ 39

สนั ติ ภยั หลบล้ี ลำดบั ชั้นหนิ รูป 24. ตัวอย่ำงกำรสลบั กันเปน็ คำบอบุ ตั ซิ ้ำของวัสดตุ ำ่ งๆ ทน่ี ยิ มใชก้ ำหนดอำยุ อยำ่ งไรก็ตำม กำรกำหนดอำยดุ ว้ ยวิธีกำรนบั ลำดบั กำรเกิดขึ้นสลับกันเป็น คาบอุบัติซ้า (return period) มีข้อจำกัดและข้อควรระวัง คือ ในบำงกรณีกำร สลับกันของวัสดุดังกล่ำวอำจไม่ใช่ระยะเวลำ 1 ปี เหมือนกับวงปีต้นไม้เสมอไป ดังนั้นก่อนท่ีจะกำหนดอำยุด้วยวิธีดังกล่ำว นักวิทยำศำสตร์ต้องวิเครำะห์ใน รำยละเอยี ดในช่วงของกำรสลบั ชน้ั วำ่ เกิดจำกปรำกฏกำรณอ์ ะไรและมีระยะเวลำใน กำรสลบั กันของลักษณะปำกฏดังกลำ่ วกปี่ ี เพ่อื ใชใ้ นกำรกำหนดอำยตุ ่อไป 40

สันติ ภัยหลบล้ี ลำดบั ชัน้ หนิ แบบฝึกหดั วัตถุประสงค์ของแบบฝกึ หดั แบบฝึกหัดน้ี มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ผู้อ่ำนมีโอกำส 1) ทบทวนเนื้อหำ และ 2) ค้นควำ้ ควำมรูเ้ พมิ่ เติม โดยผำ่ นกระบวนกำรส่ือสำรแบบถำม-ตอบ ระหว่ำงผู้เขยี น- ผู้อ่ำน เทำ่ นั้น โดยไม่มีเจตนำวเิ ครำะห์ข้อสอบเกำ่ หรือแนวขอ้ สอบแตอ่ ย่ำงใด 1) แบบฝกึ หัดจับคู่ คาอธิบาย : เลือก ตัวอักษร หน้ำคำบรรยำยด้ำนขวำ และเติมในชอ่ งว่ำงด้ำนซ้ำย ของแตล่ ะขอ้ ที่มีควำมสมั พนั ธก์ นั 1. ____ half-life ก. กำรสะสมตัวของตะกอนในทะเลสำบ ในสภำวะอุณหภมู ิที่แตกต่ำงกนั 2. ____ fossil index ข. แนวคิดกำรกำหนดอำยุสัมพทั ธ์ 3. ____ absolute date ค. อำยุอ่อนกว่ำกำรสะสมตัวของตะกอน ท่ีถกู ตดั ผ่ำน 4. ____ superposition ง. ควำมไม่ต่อเน่ืองของช้ันหินในเชิงของ เวลำ 5. ____ turbidity จ. ซำกฟอสซลิ ทเ่ี ป็นตัวบ่งบอกชว่ งอำยุ 6. ____ Steno ฉ. กำรเปรียบเทยี บลำดับกำรเกดิ หิน 7. ____ dike cross cut ช. ชน้ั ตะกอนเรียงขนำด (graded bed) 41

สนั ติ ภัยหลบล้ี ลำดับช้นั หิน 8. ____ unconformity ซ. กำหนดอำยุจำกกำรสลำยตัวของธำตุ กมั มนั ตรงั สี 9. ____ correlation ฌ. เวลำท่ีธำตุกัมมันตรังสีใช้สลำยตัวให้ เหลอื 1/2 เทำ่ ของปริมำณตัง้ ต้น 10. ____ varve ญ. หินด้ำนบนมอี ำยุออ่ นที่สุด 2) แบบฝึกหัดถกู -ผดิ คาอธิบาย : เติมเคร่ืองหมำย T หน้ำข้อควำมท่ีกล่ำวถูก หรือเติมเครื่องหมำย F หน้ำข้อควำมท่ีกล่ำวผิด 1. ____ การกาหนดอายุหินด้วยวิธีกัมมันตรังสี (radiometric dating) อ้ำงอิงจำกสมมุตฐิ ำนและกำรประยกุ ตท์ ห่ี ลำกหลำย 2. ____ ชารล์ ส์ ไลแอล (Lyell C.) เชอื่ ว่ำโลกนั้นมอี ำยุแก่มำก 3. ____ การกาหนดอายุสัมพัทธ์ (relative-age dating) มีประโยชน์ สำหรบั กำรกำหนดอำยุสัมบรู ณ์เหตกุ ำรณ์ทำงธรณีวทิ ยำ 4. ____ กฏความเป็นเอกภาพ (law of uniformitarianism) ยอมรับ อยำ่ งแพร่หลำยในศตวรรษที่ 18 5. ____ กฏการวางตัวตามแนวนอน (law of original horizontality) อธิบำยว่ำหินท้งั หมดเกดิ จำกกำรสะสมตัวในแนวนอนเสมอ 6. ____ กฏความสัมพันธ์กันของการตัดขวาง (law of cross-cutting relationship) ไม่ค่อยได้รับกำรยอมรับในกำรกำหนดอำยุ สัมพัทธ์ 42

สนั ติ ภัยหลบลี้ ลำดบั ชั้นหนิ 7. ____ กำรเปรียบเทียบฟอสซิลในหินเป็นส่วนหนึ่งของกำรกำหนดอำยุ 8. ____ สมั พทั ธแ์ ละกำรเทียบเคยี ง 9. ____ การกาหนดอายุหินด้วยวิธีกัมมันตรังสี (radiometric dating) 10. ____ คอื การกาหนดอายสุ มั บรู ณ์ (absolute-age dating) ตะกอนมแี นวโน้มท่ีจะสะสมตวั ในแนวระนำบ 11. ____ ตำม กฏความสัมพันธ์กันของการตัดขวาง (law of cross- 12. ____ cutting relationship) หำกรอยเล่ือนตัดผ่ำนชน้ั ตะกอน สรุปว่ำ 13. ____ รอยเลือ่ นน้นั เกดิ ก่อนกำรสะสมตวั ของตะกอน 14. ____ ฟอสซิลเป็นเคร่ืองมือสำคัญ ใน การกาหนดอายุสัมพัทธ์ 15. ____ (relative-age dating) 16. ____ พนังแทรกชั้นตามขวาง (dike) มีอำยุอ่อนกว่ำชั้นตะกอนที่ถูก 17. ____ ตดั ขวำง เจมส์ ฮทั ตนั (Hutton J.) คือ คนนำเสนอ กฏความเปน็ เอกภาพ (law of uniformitarianism) กำรกำหนดอำยุดว้ ยวิธีคำร์บอน-14 ไม่สำมำรถกำหนดอำยวุ ัสดทุ ี่มี อำยุ > 50,000 ปี ได้ ตะกอนโดยส่วนใหญส่ ะสมตวั ในแนวระนำบ กฏการลาดับชั้นหิน (law of superposition) กล่ำวว่ำเม็ด ตะกอนทีอ่ ยบู่ นสุดของชนั้ ตะกอนมอี ำยุแกท่ ส่ี ุด ตำม กฏความสัมพันธ์กันของการตัดขวาง (law of cross- cutting relationship) หินปูนฝังอยู่ในหินแกรนิต แสดงว่ำ หินปูนแก่กวำ่ หนิ แกรนิต 43

สันติ ภยั หลบลี้ ลำดบั ชนั้ หนิ 18. ____ หนิ ตะกอนมโี อกำสพบฟอสซิลมำกกว่ำหินแปร 19. ____ การกาหนดอายุหินด้วยวิธีกัมมันตรังสี (radiometric dating) โดยส่วนใหญ่พบควำมคลำดเคล่ือนสูงเสมอ ซ่ึงโดยส่วนใหญ่สร้ำง 20. ____ ปญั หำในกำรแปลควำมหมำยทำงธรณีวิทยำ ธรณีกาล (geological time scale) โดยส่วนใหญ่จัดต้ังขึ้น ก่อนทจ่ี ะมีกำรพัฒนำกำรกำหนดอำยุด้วยวธิ ีกัมมนั ตรงั สี 3) แบบฝึกหดั ปรนยั คาอธิบาย : ทำเครื่องหมำย X หน้ำคำตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว จำก ตัวเลือกท่ีกำหนดให้ 1. มหำยุค (era) มไี ดโนเสำร์อย่เู ปน็ จำนวนมำก ก. มหำยคุ พรีแคมเบรยี น ข. มหำยคุ พำลโี อโซอกิ (Precambrian era) (Paleozoic era) ค. มหำยุคมีโซโซอิก ง. มหำยคุ ซีโนโซอิก (Mesozoic era) (Cenozoic era) 2. มหำยุคใดทม่ี ีชว่ งเวลำยำวนำนทสี่ ดุ ก. ม ห ำ ยุ ค พ รี แ ค ม เบ รี ย น ข. ม ห ำ ยุ ค พ ำ ลี โ อ โ ซ อิ ก (Precambrian era) (Paleozoic era) ค. มหำยุคมโี ซโซอกิ ง. มหำยุคซโี นโซอิก (Mesozoic era) (Cenozoic era) 44

สนั ติ ภยั หลบลี้ ลำดบั ช้ันหนิ 3. ข้อใด ไม่ อยู่ใน มหายคุ พาลีโอโซอกิ (Paleozoic era) ก. ยุคออรโ์ ดวิเชียน ข. ยคุ จูแรสซิก (Ordovician period) (Jurassic period) ค. ยคุ คำรบ์ อนนเิ ฟอรสั ง. ยคุ เพอรเ์ มยี น (Carboniferous period) (Permian period) 4. ในอดีตปริมำณแร่ยูเรเนียมโดยรวมของโลกเป็นอย่ำงไรเมื่อเปรียบเทียบกับ ปัจจุบนั ก. เทำ่ กบั ปจั จุบนั ข. มำกกว่ำปัจจบุ นั ค. นอ้ ยกว่ำปัจจุบนั ง. ไม่สำมำรถบอกได้ 5. การกาหนดอายุด้วยวธิ กี ัมมนั ตรังสี (radiometric dating) ไมน่ ิยมใช้กำหนด อำยตุ ัวอยำ่ งชนิดใด ก. หินแกรนติ ข. หินบะซอลต์ ค. หินแปร ง. หินตะกอน 6. อำยุที่ได้จำก การกาหนดอายุด้วยวิธีกัมมันตรังสี (radiometric dating) เรียกว่ำอะไร ก. อำยโุ ดยรวม (total age) ข. อำยสุ มั บรู ณ์ (absolute age) ค. อำยุทำงประวัตศิ ำสตร์ ง. อำยุทำงธรณีวทิ ยำ (historical age) (geological age) 7. ธาตุกัมมันตรังสี (radioactive element) ชนิดใดท่ีสำมำรถกำหนดอำยุ ตัวอยำ่ งไม้อำยุอ่อน (< 20,000 ปี) ก. รูบเิ ดยี ม-87 ข. ยูเรเนยี ม-238 ค. คำรบ์ อน-14 ง. โปแตสเซียม-40 45

สันติ ภยั หลบลี้ ลำดบั ชั้นหนิ 8. ข้อใด ไม่ เกดิ ฟอสซิล ก. อินทรยี วตั ถุทเี่ นำ่ เปื่อย ข. รอยพมิ พ์ของพชื ในดิน ค. รอยเท้ำสตั ว์ ง. กระดูกสตั ว์ 9. ธาตุกมั มนั ตรังสี (radioactive element) ชนดิ ใดมคี ่ำครึ่งชีวิตยำวนำนที่สุด ก. รบู เิ ดยี ม-87 ข. โปแตสเซียม-40 ค. คำรบ์ อน-14 ง. ยเู รเนยี ม-238 10. มนษุ ย์อยูใ่ น มหายุค (era) ใด ก. มหำยุคซโี นโซอิก ข. มหำยุคมีโซโซอิก (Cenozoic era) (Mesozoic era) ค. มหำยุคพำลีโอโซอกิ ง. มหำยุคพรแี คมเบรยี น (Paleozoic era) (Precambrian era) 11. สัตว์เลยี้ งลูกดว้ ยนมขยำยพันธ์อุ ย่ำงมำกในชว่ ง มหายุค (era) ใด ก. มหำยุคซีโนโซอิก ข. มหำยคุ มีโซโซอิก (Cenozoic era) (Mesozoic era) ค. มหำยุคพำลโี อโซอิก ง. มหำยุคพรแี คมเบรยี น (Paleozoic era) (Precambrian era) 12. สัตว์เลือ้ ยคลำนขนำดใหญข่ ยำยพันธุ์อยำ่ งมำกในชว่ ง มหายคุ (era) ใด ก. มหำยุคซโี นโซอกิ ข. มหำยคุ มีโซโซอกิ (Cenozoic era) (Mesozoic era) ค. มหำยุคพำลโี อโซอิก ง. มหำยคุ พรแี คมเบรยี น (Paleozoic era) (Precambrian era) 46

สนั ติ ภัยหลบลี้ ลำดบั ช้ันหนิ 13. พชื บกเริ่มปรำกฏอยบู่ นโลกใน มหายคุ (era) ใด ก. มหำยคุ ซโี นโซอกิ ข. มหำยุคมีโซโซอิก (Mesozoic (Cenozoic era) era) ค. มหำยคุ พำลโี อโซอิก ง. มหำยุคพรีแคมเบรียน (Paleozoic era) (Precambrian era) 14. ขอ้ ใดเรยี งลำดบั ยคุ (period) จำกแกไ่ ปออ่ นได้ถูกต้อง ก. ยุคออร์โดวิเชียน ไทรแอสซิก ข. ยุคไทรแอสซิก วอเทอนำรีและ และยุคควอเทอร์นำรี ยุคออร์โดวเิ ชียน ค. ยุคออร์โดวิเชียน ควอเทอร์นำรี ง. ยุคควอเทอร์นำรี ออร์โดวิเชียน และยุคไทรแอสซกิ และยคุ ไทรแอสซกิ 15. ยุค (period) ใดไมไ่ ดอ้ ย่ใู น มหายุคพาลีโอโซอกิ (Paleozoic era) ก. ยคุ เพอรเ์ มียน ข. ยคุ ดโี วเนียน (Permian period) (Devonian period) ค. ยคุ ครเี ทเชียส ง. ยคุ แคมเบรียน (Cretaceous period) (Cambrian period) 16. ขอ้ ใดคอื ผลผลติ จำกกำรสลำยตัวของ ยูเรเนยี ม-238 ก. รูบิเดยี ม-87 ข. ยเู รเนียม-235 ค. ตะก่วั -206 ง. ไนโตรเจน-14 17. นักวทิ ยำศำสตรก์ ำหนดอำยุของโลกดว้ ยวธิ ีใด ก. fossil dating ข. archaeological dating ค. radiometric dating ง. carbon-14 dating 47

สันติ ภยั หลบลี้ ลำดบั ช้นั หิน 18. กฏการต่อเน่ืองของบรรพชีวิน (law of faunal succession) มีประโยชน์ อย่ำงไร ก. ลำดบั ช้ันหนิ ท่มี ีอำยุใกล้เคียงกัน ข. แปลควำมหมำยถึงสำเหตุกำร แต่อยู่ตำ่ งพืน้ ที่กัน สญู พนั ธข์ องสิง่ มีชวี ิตในอดตี ค. กำหนดอำยฟุ อสซลิ ทอ่ี ยใู่ นหนิ ง. ถูกทุกข้อ 19. ขอ้ ใดคือฟอสซลิ ที่พบไดโ้ ดยทั่วไปในหินทม่ี อี ำยุ 500 ลำ้ นปี ก. กระดกู ของสัตวม์ กี ระดูกสนั หลงั ข. ฟันของสตั ว์มกี ระดูกสันหลัง ค. เปลือกหอย ง. ใบไม้ 20. ขอ้ ใดคือ มหายคุ (era) ซึ่งครอบคลมุ ช่วงเวลำยำวนำนทส่ี ดุ ก. มหำยคุ พำลโี อโซอิก ข. มหำยุคซโี นโซอกิ (Paleozoic era) (Cenozoic era) ค. มหำยคุ พรีแคมเบรยี น ง. มหำยคุ มีโซโซอกิ (Precambrian era) (Mesozoic era) 21. วัสดชุ นิดใดมีโอกำสเกิดเป็นฟอสซลิ ได้น้อยทีส่ ุด ก. ขนนก ข. เปลอื กหอย ค. กระดูก ง. เศษไม้ 22. ไม้กลายเป็นหนิ (petrified wood) เกิดจำกกระบวนกำรใด ก. กระบวนกำรรกั ษำสภำพ ข. กระบวนกำรแทนที่ (preservation) (replacement) ค. กระบวนกำรเกดิ ถำ่ นหิน ง. รปู หล่อและรอยพิมพ์ (coalification) (cast and mold) 48

สนั ติ ภัยหลบลี้ ลำดับช้นั หิน 23. อายุสัมบูรณ์ (absolute age) ของฟอสซิลในชั้นตะกอนใต้ทะเลสำมำรถ กำหนดได้แมน่ ยำที่สุดดว้ ยหลักกำรใด ก. กำหนดอำยุหินอัคนีข้ำงเคียงที่ ข. กำหนดอำยุช้ันเถ้ำภูเขำไฟ แทรกดันข้นึ มำ ข้ำงเคียงชนั้ ฟอสซลิ ค. ก ำ ห น ด อ ำ ยุ หิ น แ ป ร ที่ อ ยู่ ง. ไมม่ ีข้อใดถกู ใกลเ้ คยี ง 24. สภำวะแบบใดทีม่ ีโอกำสเกดิ ฟอสซลิ ได้ ก. ถู ก ฝั งอ ย่ ำงทั น ที ห ลั งจ ำก ข. มนี ำ้ เปน็ สว่ นประกอบ เสียชวี ิต ค. รักษำสภำพในส่วนท่ีเหลือจำก ง. ไมม่ ีส่วนแขง็ เชน่ กระดกู กำรสลำยตวั 25. ทฤษฎีใดท่ีอธบิ ำยวำ่ กระบวนกำรทำงธรณีวิทยำท่ีเกิดข้นึ ในปัจจุบันเหมือนกับ ทเ่ี คยเกดิ ขึ้นในอดตี ก. law of faunal succession ข. law of original horizontality ค. law of cross-cutting ง. ไมม่ ขี ้อใดถูก 26. หิน ก ตัดผำ่ นหิน ข ข้อใดแปลควำมหมำยได้ถูกต้อง ก. หนิ ก เปน็ หนิ อัคนี ข. หนิ ข เป็นหนิ อคั นี ค. หิน ก เปน็ หินแปร ง. หิน ข เป็นหนิ ตะกอน 27. ขอ้ ใดคอื วิธี การเทยี บเคียง (correlation) ก. ควำมคล้ำยกบั กนั ของชนิดหิน ข. ชนิดของฟอสซิล ค. ควำมต่อเนือ่ งกันทำงกำยภำพ ง. ถกู ทกุ ข้อ 49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook