สนั ติ ภัยหลบล้ี การเปลยี่ นรูปหนิ 40. ขอ้ ใดคอื มมุ เอยี งเท (dip angle) ของชนั้ หิน ก. ทิศทางของการตัดกันของชั้น ข. มุมที่เกิดจากบางส่วนของหินที่ หนิ ในแนวระนาบ ถูกกัดกร่อนออกไป ค. มุมของช้ันหินที่เอียงจากแนว ง. ความเอียงของหินก่อนการ ระนาบ เปลยี่ นรูปหนิ 41. ช้นั หนิ คดโคง้ (fold) ท่ีมี แขนการโค้งตวั (limb) หงายขน้ึ เรียกวา่ อะไร ก. anticline ข. fault ค. syncline ง. unconformity 43. รอยเลื่อน (fault) ชนิดใดที่แสดงลักษณะของช้ันหินที่อยู่เหนือระนาบรอย เลอ่ื นเคลื่อนทขี่ ้นึ และช้นั หินทีอ่ ยู่ใตร้ ะนาบรอยเลอ่ื นเคลื่อนทล่ี ง ก. รอยเลอ่ื นปกติ (normal fault) ข. รอยเลอ่ื นตามแนวระดบั (strike-slip fault) ค. รอยเลอื่ นย้อน (reverse fault) ง. ถกู ทุกขอ้ 44. ระนาบรอยเล่ือนมี แนววางตัว (strike) ในแนวเหนือ-ใต้ และมี มุมเอียงเท (dip angle) ไปทางทิศตะวันตก ซ่ึงในการสารวจบ่งช้ีว่ารอยเล่ือนโดยส่วน ใหญ่จะเคลื่อนในแนวด่ิง โดยหินอ่อนพบทางตะวนั ออกของรอยเลื่อนในขณะ หินท่ีมีอายุแก่กว่าพบทางตะวันตกของรอยเลื่อน รอยเล่ือนดังกล่าวเป็นรอย เลื่อนชนดิ ใด ก. รอยเลอ่ื นปกติ (normal fault) ข. รอยเลื่อนตามแนวระดบั (strike-slip fault) ค. รอยเลอื่ นยอ้ น (reverse fault) ง. ถกู ทุกข้อ 50
สันติ ภัยหลบล้ี การเปลย่ี นรูปหนิ 45. รอยเล่ือนชนิดใดมีการเคลื่อนที่ท้ังใน แนวการวางตัว (strike) และ แนว เอียงเท (dip) ในเวลาเดียวกัน ก. รอยเลื่อนเฉยี ง ข. รอยเลอ่ื นตามแนวระดบั (oblique fault) (strike-slip fault) ค. รอยเล่อื นยอ้ น (reverse fault) ง. รอยเลื่อนปกติ (normal fault) 46. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องเก่ียวกับ รอยเลอ่ื นตามแนวระดบั (strike-slip fault) ก. เคลื่อนในแนวระนาบเปน็ หลัก ข. เคล่ือนในแนวด่ิงเป็นหลกั ค. ไม่สามารถประเมินระยะการ ง. โดยส่วนใหญ่เกิดตามเขตมุดตัว เล่ือนตวั ได้ ของแผน่ เปลือกโลก 47. การตรวจวัดในข้อใดช่วยอธิบายการวางตัวของ ระนาบรอยเล่ือน (fault plane) ได้ ก. แ ก น (axis) แ ล ะ ร ะ น า บ ข. แนวการวางตัว (strike) และ (plane) มุมเอียงเท (dip angle) ค. การเล่ือนด้านข้าง (lateral) ง. แนวโน้ม (trend) และ มุมกด และ การเล่อื นย้อน (reverse) (plunge) 48. แนวเทือกเขาในภาคเหนือของประเทศไทย เกิดจากแรงทางธรณีแปรสัณฐาน ชนิดใด ก. แรงบีบอดั (compressive force) ข. แรงดงึ (tensional force) ค. แรงเฉอื น (shearing force) ง. ถกู ทุกข้อ 49. thrust fault เกิดจากชั้นหินไดร้ บั แรงชนดิ ใด ก. แรงเฉือน ข. แรงดึง ค. แรงบีบอดั ง. แรงดงึ และแรงบีบอัด 51
สนั ติ ภยั หลบลี้ การเปลยี่ นรปู หิน 50. แรงเคน้ ชนดิ ใดพบมากในการเคลอ่ื นที่ออกจากกันของแผ่นเปลือกโลก ก. แรงดงึ (tensional force) ข. แรงบีบอดั (compress force) ค. แรงเฉือน (shearing force) ง. ไม่มขี ้อใดถูก 51. ขอ้ ใดคือชั้นหินทม่ี อี ายุแก่เล่อื นไถลไปบนหนิ ท่ีมอี ายุออ่ นกวา่ ก. การแทรกดันของชัน้ หนิ ข. ดินถล่ม (landslide) (bed intrusion) ค. ช้ันหินคดโคง้ ปะทนุ คว่า ง. รอยเลือ่ นย้อนมุมต่า (anticline) (thrust fault) 52. ข้อใดคอื คุณสมบัตทิ ่วี สั ดหุ รือหินเมื่อไม่ไดร้ บั แรงเคน้ จะกลบั ส่สู ภาพเดิม ก. แรงบีบอดั (compression) ข. แรงเฉือน (shear) ค. พลาสตกิ (plastic) ง. ยดื หยนุ่ (elastic) 53. ข้อใดคือการตัดกันระหว่างระนาบการเอียงเทของช้ันหินและระนาบในแนว ระดับ ก. แนวระนาบของช้นั หนิ ข. รอยแตก (joint) ค. แนวการวางตัว (strike) ง. ไมม่ ขี ้อใดถูก 54. ชน้ั หินคดโคง้ ปะทุนหงาย (syncline) ทเ่ี ป็นวงกลม เรยี กอีกอย่างว่าอะไร ก. monocline ข. overturned fault ค. asymmetric syncline ง. basin 55. ข้อใดคือโครงสร้างแบบ ช้นั หินคดโค้ง (fold) ท่ีชัน้ หินท้ังหมดเอยี งเทเขา้ สู่จุด ศูนย์กลาง ก. dome ข. monocline ค. syncline ง. anticline 52
สันติ ภยั หลบลี้ การเปลย่ี นรปู หนิ 56. แรงทางธรณีแปรสัณฐานชนิดใดท่ีมีแนวโน้มที่ผลักให้มวลมีการเคลื่อนท่ีใน แนวราบและมีทศิ ทางตรงกนั ขา้ มกัน ก. tensional force ข. shearing force ค. compressive force ง. ไม่มีขอ้ ใดถูก 57. แรงชนิดใดที่พบมากในสภาพแวดล้อมทางธรณีแปรสัณฐานแบบเคล่ือนท่ีเข้า หากนั ก. tensional force ข. shearing force ค. compressive force ง. ไมม่ ขี ้อใดถูก 58. มุมท่ีซึ่งชนั้ หินน้นั จะเอียงจากแนวระนาบ (horizontal) เรียกว่าอะไร ก. anticline ข. strike ค. syncline ง. dip angle 59. แรงทางธรณีแปรสณั ฐานชนดิ ใดท่ีสมั พันธก์ บั การคดโคง้ (folding) หรอื การ เลื่อนตวั ของรอยเล่อื น (faulting) ก. compressive force ข. tensional force ค. shearing force ง. ถูกทกุ ขอ้ 60. ช้ันหินทง้ั 2 ดา้ นของช้นั หนิ คดโคง้ (fold) เรยี กวา่ อะไร ก. ช้นั หนิ คดโค้งปะทนุ คว่า ข. ชน้ั หนิ คดโคง้ ปะทนุ หงาย (anticline) (syncline) ค. แขนการโคง้ ตัว (limb) ง. ระนาบแกนคดโค้ง (axial plane) 61. แผ่นเปลอื กโลกเคลือ่ นทเ่ี ข้าหากนั มกั จะพบโครงสร้างทางธรณีวทิ ยาชนิดใด ก. ช้ันหินคดโคง้ ข. รอยเล่อื น ค. ชน้ั หนิ คดโค้งและรอยเล่อื น ง. ไมใ่ ช่ท้ังชั้นหินคดโค้งและรอยเลอ่ื น 53
สนั ติ ภยั หลบล้ี การเปลยี่ นรูปหิน 62. ขอบเขตของแผ่นเปลือกโลกเคล่ือนท่ีออกจากกันมีโอกาสที่จะพบโครงสร้าง ทางธรณีวิทยาแบบใด ก. ช้ันหินคดโค้ง ข. รอยเล่ือน ค. ชั้นหนิ คดโค้งและรอยเลอ่ื น ง. ไม่ใชท่ ั้งช้ันหินคดโคง้ และรอยเลอื่ น 63. ขอบเขตของแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนท่ีผ่านกันมีโอกาสที่จะพบโครงสร้างทาง ธรณีวทิ ยาแบบใด ก. ชั้นหินคดโคง้ ข. รอยเลอื่ น ค. ชนั้ หนิ คดโคง้ และรอยเลอื่ น ง. ไม่ใชท่ ้ังช้ันหินคดโคง้ และรอยเลอื่ น 64. ทะเลแดง (Red Sea) คอื ตวั อย่างโครงสร้างทางธรณวี ทิ ยาแบบใด ก. anticline ข. strike-slip fault ค. rift valley ง. horst block 65. สภาพของหินชนิดใดท่ีทาให้เกิดโครงสร้างแบบ การคดโคง้ (folding) มากกว่า การเล่ือนตวั ของรอยเล่ือน (faulting) ก. อุณหภูมิตา่ แรงดนั กักเก็บตา่ ข. อุณหภมู ติ า่ แรงดันกกั เก็บสงู ค. อุณหภูมิสูง แรงดันกักเกบ็ ต่า ง. อุณหภูมิสงู แรงดันกกั เก็บสูง 66. ปจั จยั ใดท่ไี มส่ ง่ ผลต่อระดบั การเกิด การคดโคง้ (folding) ก. ขนาดของแรงที่กระทา ข. ความยาวของเวลาท่ีแรงเข้ามากระทา ค. อายหุ ิน ง. ความสามารถของหินในการต้านทาน การเปลยี่ นรูปหนิ 67. เทอื กเขาแอนดีส (Andes) เกิดจากแรงทางธรณแี ปรสณั ฐานชนิดใด ก. แรงบีบอดั (compressive force) ข. แรงดึง (tensional force) ค. แรงเฉอื น (shearing force) ง. ถูกทุกข้อ 54
สันติ ภัยหลบล้ี การเปลยี่ นรปู หิน 68. รอยเลื่อนตามแนวเอยี งเท (dip-slip fault) สมั พันธ์กบั แรงชนิดใด ก. แรงเฉอื น ข. แรงดงึ ค. แรงบีบอัด ง. แรงดึงและแรงบีบอัด 69. หากต้องการเพ่ิมคุณสมบัติ การเปลี่ยนรูปแบบอ่อนเหนียว (ductile deformation) ใหเ้ พม่ิ มากข้นึ ตอ้ งทาอย่างไรกับตวั อย่างท่พี ิจารณา ก. ลดอณุ หภูมแิ ละแรงดนั กักเก็บ ข. ลดอณุ หภูมิ เพมิ่ แรงดนั กักเก็บ ค. เพิ่มอุณหภูมิ ลดแรงดนั กกั เกบ็ ง. เพิ่มอุณหภูมิและแรงดนั กักเก็บ 70. หากมองชั้นหินไปยังหน้าผาหรือผนังที่ถนนตัดผ่าน ถือเป็นการมองชั้นหินใน แนวใด ก. map ข. cross-sectional ค. lateral ง. horizontal 55
สนั ติ ภัยหลบล้ี การเปลย่ี นรปู หิน เฉลยแบบฝกึ หัด 1) แบบฝกึ หดั จับคู่ 1. ข 2. ฏ 3. ซ 4. ณ 5. จ 8. ถ 9. ง 10. ด 6. บ 7. ฐ 13. ฑ 14. ธ 15. ญ 18. ช 19. ฎ 20. ณ 11. ต 12. ฉ 23. ท 4. T 5. T 16. ฒ 17. ฌ 3. T 9. F 10. F 8. F 14. T 15. F 21. ก 22. ค 13. F 19. T 20. F 18. T 2) แบบฝกึ หดั ถกู -ผดิ 4. ข 5. ง 3. ค 9. ง 10. ง 1. F 2. T 8. ง 14. ง 15. ข 13. ข 19. ค 20. ค 6. T 7. F 18. ค 24. ค 25. ก 23. ข 11. T 12. F 56 16. F 17. F 3) แบบฝกึ หดั ปรนยั 1. ก 2. ค 6. ก 7. ค 11. ข 12. ค 16. ก 17. ข 21. ง 22. ง
สันติ ภยั หลบลี้ การเปลยี่ นรูปหนิ 26. ค 27. ก 28. ค 29. ข 30. ง 31. ค 32. ข 33. ง 34. ง 35. ง 36. ค 37. ก 38. ก 39. ข 40. ค 41. ค 42. ง 43. ค 44. ค 45. ก 46. ก 47. ข 48. ง 49. ค 50. ก 51. ง 52. ง 53. ค 54. ง 55. ค 56. ข 57. ค 58. ง 59. ง 60. ค 61. ค 62. ข 63. ข 64. ค 65. ง 66. ค 67. ง 68. ง 69. ค 70. ข 57
Search