Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 1 ธันวาคม วันดำรงราชานุภาพ

1 ธันวาคม วันดำรงราชานุภาพ

Published by nubluebery10, 2021-12-03 07:41:06

Description: 1 ธันวาคม วันดำรงราชานุภาพ

Search

Read the Text Version

ONLY THIS WEEK ข่าวประชาสัมพันธ์ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตา สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบแ อัธยาศัยจั สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบแ 1 ธันวาคม ของทุกปีสำนักงานปลัดกระ วปัรนะจำดเดำือนรพงฤรศจาิกชDายIาSนCนO2ุ5Uภ6N4าT พ UP TO 50%

วันดำรงราชานุภาพ ตรงกับวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เพื่อรำลึก ถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บุคคลไทยพระองค์แรกที่ยูเนสโก ยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของ โลก ในฐานะพระบิดาแห่ง ประวัติศาสตร์ไทย

คนไทยหลายคนรู้จักพระนามของสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง ราชานุภาพ แต่อาจยังไม่ทราบว่าพระองค์ มีคุณูปการต่อประเทศไทยมากมายเพียง ใด กระทั่งได้รับการยกย่องจากองค์การ ศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นบุคคล สำคัญของโลก เมื่อปี พ.ศ. 2505 ซึ่งนับ เป็นบุคคลไทยพระองค์แรก และทรงได้รับ การถวายพระนามเป็น \"พระบิดาแห่ง ประวัติศาสตร์ไทย\" โดยกำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็น \"วันดำรงราชา นุภาพ\"

ประวัติความเป็นมา เดิม วันดำรงราชานุภาพ กำหนดให้ตรงกับวันที่ 21 มิถุนายน ของทุกปี เพื่อระลึกถึงวันคล้ายวัน ประสูติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม พระยาดำรงราชานุภาพ พระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งทรงเป็นกำลังสำคัญของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในการ พัฒนาประเทศให้ได้รับความเจริญก้าวหน้า โดย เฉพาะด้านวงการการศึกษาของไทยที่ทรงเป็นผู้ ริเริ่มก่อตั้งกรมศิลปากร ราชบัณฑิตยสภา พิพิธภัณฑสถาน หอสมุดพระนคร อีกทั้งได้ทรง นิพนธ์หนังสือที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไว้ มากกว่า 650 เรื่อง จึงทรงได้รับการถวาย พระนามว่า \"พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย\"

ภายหลังได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ โดย กำหนดให้วันดำรงราชานุภาพ ตรงกับวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปีแทน เพื่อระลึกถึงวัน คล้ายวันสิ้นพระชนม์

พระประวัติสมเด็จ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศว รกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประสูติ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 เป็นพระ ราชโอรสพระองค์ที่ 57 ในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอม มารดาชุ่ม โดยมีพระอิสริยยศคือ \"พระเจ้า ลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร\"

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ ทรงศึกษาภาษาไทยชั้น ต้นจากสำนักคุณแสง และคุณปาน ภายใน พระบรมมหาราชวัง ทรงศึกษาภาษาบาลี จากสำนักพระยาปริยัติธรรมธาดา (เปี่ ยม) และหลวงธรรมนุวัติจำนง (จุ้ย) และทรง ศึกษาภาษาอังกฤษจากสำนักโรงเรียน หลวง ซึ่งมีนายฟรานซิส ยอร์ซ แปทเตอร์ สัน เป็นอาจารย์ จากนั้นทรงศึกษาวิชา ทหารในสำนักหลวงรัฐรณยุทธ์และเข้ารับ การศึกษาที่โรงเรียนนายร้อย กรม มหาดเล็ก จนสำเร็จการศึกษาเมื่อพระ ชนมายุ 15 พรรษา และได้รับพระราชทาน ยศเป็นนายร้อยตรีทหารมหาดเล็ก บังคับ กองแตรวง

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ ทรงได้รับพระราชทาน ยศเลื่อนขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่นายร้อยโท ผู้บังคับการทหารม้า, นายร้อยเอก ราช องค์รักษ์ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, นายพันตรี ผู้ สนองพระบรมราชโองการ ว่าการกรม ทหารมหาดเล็ก, นายพันโท ผู้บังคับการ ทหารมหาดเล็ก กระทั่งปี พ.ศ. 2429 ได้ รับการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระ สุพรรณบัฏ และทรงประกาศแต่งตั้งให้ ดำรงพระอิสริยยศ เป็น \"กรมหมื่นดำรง ราชานุภาพ\" จากนั้นในปีถัดมา ได้รับการ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้บัญชาการทหารบก ก่อนจะได้รับพระราชทานยศเป็นนายพล

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่ หัว ทรงจัดตั้งกระทรวงธรรมการ สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชา นุภาพ ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิบดี กระทรวงธรรมการ ต่อมาจึงโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย และ ได้รับการเลื่อนพระอิสริยยศเป็น \"กรม หลวงดำรงราชานุภาพ\" ในปี พ.ศ. 2442 จากนั้นในปี พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศ เป็น \"กรมพระดำรงราชานุภาพ\"

กรมพระดำรงราชานุภาพ ทรงดำรง ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็น เวลานานถึง 23 ปี กระทั่งประชวรจึงได้ ทรงลาออกจากตำแหน่ง พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีที่ ปรึกษากระทรวงมหาดไทย เมื่อทรงรักษา อาการจนพระวรกายเป็นปกติแล้วจึงทรง เข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่งในตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร และได้รับ พระราชทานยศเป็นพลเอก

ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชา นุภาพ ทูลเสนอพระบาทสมเด็จพระ ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ทรงก่อตั้งราชบัณฑิต ยสภาขึ้น จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชา นุภาพ ดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตย สภาพระองค์แรก ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับหอ สมุดพระนคร และพิพิธภัณฑสถาน กระทั่ง ในปี พ.ศ. 2472 ทรงได้รับพระราชทาน พระอิสริยยศพระบรมวงศ์ต่างกรมเป็น \"สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ\" ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่ง สูงที่สุดสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์

ภายหลังเมื่อเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง การปกครองขึ้นในปี พ.ศ. 2475 สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชา นุภาพ เสด็จไปประทับที่เกาะปีนัง เพื่อ หลีกเลี่ยงความวุ่นวายทางการเมือง ต่อมา เสด็จกลับประเทศไทยมาประทับที่วังวรดิศ พระองค์ประชวรด้วยพระโรคพระหทัย พิการ และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2486 รวมพระชนมายุได้ 81 พรรษา

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิ ศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นต้นราชสกุลดิศกุล มีหม่อม 11 ท่าน มีพระโอรสและพระธิดา รวม 37 พระองค์ พระองค์ยังทรงเป็นต้น ราชสกุลดิศกุล

พระกรณียกิจ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม พระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็น กำลังสำคัญของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในการพัฒนาประเทศให้ได้รับความ เจริญก้าวหน้าในหลาย ๆ ด้าน อาทิ..

ด้านการเมืองการปกครอง ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเป็นพระองค์ แรก อีกทั้งทรงริเริ่มก่อตั้งกระทรวงมหาดไทยและดำรง ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นพระองค์แรก และทรงดำรงตำแหน่งเป็นเวลานานถึง 23 ปี โดยพระกรณียกิจสำคัญคือการปฏิรูปการ ปกครอง ซึ่งในสมัยนั้นประเทศไทยยังปกครองแบบมีหัว เมืองประเทศราช ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงมองเห็นจุดอ่อนว่าอาจทำให้ประเทศไทยสูญ เสียเอกราชได้อย่างง่ายดาย จึงมอบนโยบายให้สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รับมา ปฏิบัติ โดยแก้ลักษณะการปกครองแบบประเทศราช มา เป็นพระราชอาณาจักรของประเทศไทยรวมกัน กระทั่งทรง ริเริ่มการปกครองในแบบมณฑลเทศาภิบาลปกครองท้อง ที่ คือ ยกเลิกหัวเมืองประเทศราชทั้งหมด มาจัดตั้ง หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เมือง และมณฑล เพื่อให้เกิด เอกภาพในการบริหารประเทศ ได้ทรงริเริ่มจัดตั้ง \"การ สุขาภิบาลหัวเมือง\" โดยเริ่มที่ตำบลท่าฉลอม จังหวัด สมุทรสาคร เป็นแห่งแรก และนับเป็นการปูพื้นฐานการ ปกครองส่วนท้องถิ่น

นอกจากนี้ยังทรงก่อตั้งโรงเรียนข้าราชการฝ่าย ปกครองของมณฑลเทศาภิบาล เพื่อผลิต บุคลากรในการปกครอง ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ต่อ มาได้พัฒนาเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก โรงเรียน ข้าราชการพลเรือน และเป็นจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย นอกจากพระกรณียกิจด้านการปฏิรูป การปกครองในประเทศแล้ว ยังทรงเป็นที่ ปรึกษาสำคัญของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการทำให้ประเทศ รอดพ้นจากการเป็นประเทศราชของต่างชาติใน ยุคแห่งการล่าอาณานิคม พระองค์ทรงได้รับ ความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างมาก ถึง ขนาดตรัสชมว่า ทรงเป็นเสมือน \"เพชรประดับพระมหาพิชัยมงกุฎ\"

ด้านการสาธารณสุข ทรงรับภาระในการจัดการโรงเรียนแพทย์ต่อ จากพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาว ภางค์ ทรงมีพระดำริริเริ่มให้มีโอสถศาลา สำหรับรับหน้าที่ผลิตยาแจกจ่ายให้ราษฎรใน ตำบลห่างไกล ซึ่งปัจจุบันคือ สถานีอนามัย และทรงจัดตั้งปาสตุรสภา สถานที่ป้องกันโรค พิษสุนัขบ้า ซึ่งในปัจจุบันโอนไปอยู่ในสังกัดของ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย อีกทั้งยังทรงก่อ ตั้งโรงพยาบาลในท้องถิ่นทุรกันดาร และทรง ริเริ่มก่อตั้งกรมพยาบาลขึ้น ซึ่งปัจจุบันคือ กระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้พระองค์ยังทรงรับพระราช กิจด้านงานสรรพากร และงานอุตสาหกรรม โลหกิจ ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนางานมาจนถึง ปัจจุบันด้วย

ด้านการศึกษา ประวัติศาสตร์ และศิลป วัฒนธรรม ทรงเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบพระองค์ แรก ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ตั้งขึ้นเพื่อฝึกสอนทหารภายในกรม ทหารมหาดเล็ก ภายหลังมีผู้คนสนใจมาสมัครเรียนเป็นจำนวน มาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนสำหรับประชาชนโดยทั่วไป สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำเนิน การด้วยพระองค์เองทุกอย่าง ตั้งแต่ทรงร่างหลักสูตร เป็นครู ผู้สอน ร่างข้อสอบ ดำเนินการสอบ ตรวจข้อสอบ และเมื่อ นักเรียนศึกษาสำเร็จ พระองค์ก็ทรงจัดทำประกาศนียบัตรด้วย พระองค์เอง พระองค์ยังทรงริเริ่มก่อตั้งกรมธรรมการขึ้นมาเพื่อดูแลการศึกษา โดยตรง และทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมธรรมการพระองค์แรก (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) ซึ่งได้พัฒนางานทางด้านการ ศึกษาให้ก้าวหน้า อีกทั้งยังทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับการศึกษาหลายแห่ง เช่น กรมศิลปากร พิพิธภัณฑสถาน หอสมุด พระนคร ราชบัณฑิตยสภา

ระหว่างที่ทรงดำรงตำแหน่งนายกบัณฑิตยสภา ทรงอนุรักษ์ และชำระหนังสือสำคัญทางประวัติศาสตร์ไว้เป็นจำนวนมากเพื่อ ให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งทรงอุทิศเวลานิพนธ์ หนังสือที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไว้มากกว่า 650 เรื่อง ได้แก่ ประวัติบุคคลสำคัญมากที่สุดถึง 180 เรื่อง รองลงมา ได้แก่ การศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณี 146 เรื่อง ศิลปะ วรรณคดี 111 เรื่อง ประวัติศาสตร์โบราณคดี 103 เรื่อง ภูมิศาสตร์การท่องเที่ยว 74 เรื่อง นอกจากนี้ยังมีกวีนิพนธ์ วรรณคดีอีกจำนวนหนึ่ง อันเป็นมรดกทางปัญญาของชาวโลก มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ด้วยพระปรีชาสามารถดังที่ได้กล่าวมาล้วนเป็นที่ ประจักษ์ในในพระอัจฉริยภาพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระ องค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงเป็นบุคคล ไทยพระองค์แรกที่ได้รับการยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยา ศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็น บุคคลสำคัญของโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 และทรงได้รับการถวาย พระนามว่า \"พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย\" ภายหลัง กระทรวงมหาดไทยได้จัดสร้างพระราชานุสาวรีย์ ในลักษณะ ประทับนั่งบริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ถนน อัษฎางค์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

ขณะที่ \"วังวรดิศ\" พระตำหนักที่ประทับของสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่ง สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2454 ในรูปแบบ สถาปัตยกรรมเรเนสซองส์ ปัจจุบันได้เปิดบางส่วน เป็นพิพิธภัณฑ์วรดิศ เพื่อแสดงให้เห็นการดำเนินชีวิต ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง ราชานุภาพ ภายในที่พักของพระองค์ และยังมีการ จัดสร้าง \"หอสมุดดำรงราชานุภาพ\" ขึ้น เพื่อเป็นห้อง สมุดที่เก็บรวบรวมหนังสือหายาก ซึ่งพระองค์ทรง สะสมไว้ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ประมาณ 7,000 เล่ม เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ หม่อมเจ้าหญิง พูนพิศมัย ดิศกุล ซึ่งเป็นทายาทองค์หนึ่ง ได้รับ มรดกส่วนที่เป็นหนังสือทั้งหมด รวมทั้งสิ่งของมีค่า ต่าง ๆ ตลอดจนภาพถ่ายส่วนพระองค์ และได้ ประทานให้เป็นสมบัติของชาติ โดยขอให้กรม ศิลปากรจัดตั้งเป็นห้องสมุด เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระ บิดาให้คงอยู่คู่ประเทศชาติต่อไป

เมื่อปี พ.ศ. 2527 วังวรดิศ ได้รับรางวัล อาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิก สยาม และได้รับการเสนอโดยองค์การยู เนสโก ประจำภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ให้ ร่วมอนุรักษ์เป็นอาคารประวัติศาสตร์โลก ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของหม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล ปนัดดา (เหลน) ในสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชา นุภาพ

กิจกรรมในวันดำรงราชานุภาพ ทุกปีหน่วยงานต่าง ๆ ที่สังกัดกระทรวงมหาดไทย จะ จัดงานในจังหวัดของตนเอง เพื่อน้อมรำลึกถึงองค์ ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ผู้ทรงบำเพ็ญ ประโยชน์ต่อประเทศชาตินานัปการ โดยที่กระทรวงมหาดไทย จะมีพิธีวางพวง มาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรม วงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประกอบพิธีสงฆ์ เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลถวายแด่สมเด็จพระเจ้าบรม วงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตลอดจนผู้มี พระคุณและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวง มหาดไทยที่ล่วงลับไป นอกจากนี้ยังมีการมอบรางวัล และประกาศเกียรติคุณแก่ข้าราชการกระทรวง มหาดไทยที่ทำความดี พร้อมกับพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook