วิชา EGS304 การจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ระดับ มัธยมศึกษา จัดทำโดย นางสาวจิราภรณ์ นันทสินธ์ รหัสนักศึกษา 62003161011 นักศึกษาปีที่ 3
หลักการการจัดการเรียนรู้ที่เน้ น ผู้เรียนเป็นสำคัญ บทบาทผู้เรียน ออกแบบกิจกรรม ปฎิสัมพันธ์ของ ผู้เรียน ผู้เรียนมีส่วนร่วม ครูพี่เลี้ ยง สื่อ/เทคโนโลยีที่ พัฒนาผู้เรียน หลากหลาย หลายด้าน
กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้ น ผู้เรียนเป็นสำคัญ การทดลอง สำรวจธรรมชาติ การแก้ปั ญหา การทำโครงงาน ศึกษานอกสถานที่ สร้างแบบจำลอง
พัฒนาการ (DEVELOPMENT) ความหมาย ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ พัฒนาการของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้าง ของร่างกาย จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ - Growth (การเจริญเติบโต) เป็นขั้นตอน จากระยะหนึ่งไปอีกระยะ - Maturation (ความพร้อม/วุฒิภาวะ) หนึ่ง ทำให้เด็กมีลักษณะและความสา - Learning (การเรียนรู้) มารถใหม่ๆ เกิดขึ้น ทำให้เจริญก้าวหน้า ตามลำดับทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา หลักการพัฒนาการในมนุษย์ - พัฒนาการแบบมีทิศทาง / มีความต่อเนื่อง / เป็นไปตามลำดับขั้น / มีวุฒิภาวะ /ความแตกต่างระหว่างบุคคล - ประเภทการพัฒนาการ ได้แก่ ร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจ SOMETHING YOU THINK I'D LOVE:
ทฤษฎีพัฒนาการ แนวคิดทฤษฎีพัฒนาการมี กลุ่มที่ 1 ทฤษฎีของ กลุ่มที่ 2 ทฤษฎีของ ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการ ซิกมันด์ ฟรอยด์ อีริก เอช อีริกสัน ศึกษามนุษย์ในลักษณะองค์ รวม เนื่องจากทฤษฎีจะช่วย ฟรอยด์อธิบายเกี่ยวกับ ขั้นที่ 1 ความไว้วางใจ - ความไม่ไว้วางใจ อธิบายและวิเคราะห์ สัญชาตญาณ เพื่อการดํารงชีวิต ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของ ไว้อย่างละเอียด ได้ตั้งสมมติฐาน ขั้นที่ 3 การเป็นผู้คิดริเริ่ม -การรู้สึกผิด มนุษย์ ทั้งด้าน ว่า มนุษย์เรามีพลังงานอยู่ในตัว ขั้นท 4่ี ความต้องการที่ จะทํากิจกรรมอยู่ ความคิด ลักษณะอารมณ์ และ ตั้งแต่เกิด เรียกว่า “Libido” เสมอ - ความรู้สึกด้อย พฤติกรรม ขั้นที่ 5 การรู้จักตนเอง - การไม่รู้จักตนเอง ขั้นที่ 1 ขั้นปาก ขั้นที่ 6 ความใกล้ชิดผูกพัน - ความอ้างว้าง เป็นพื้นฐานที่บ่งบอก ขั้นที่ 2 ขั้นทวารหนัก ตัวคนเดียว ลักษณะปกติและผิดปกติที่พบ ขั้นที่ 3 ขั้นอวัยวะเพศ ขั้นที่ 7 ความเป็นห่วงคนรุ่นหลัง - ความ ในพัฒนาการแต่ละขั้นแต่ละวัย ขั้นที่ 4 ขั้นแฝง คิดถึงแต่ตนเอง ช่วยให้เกิดความเข้าใจชัดเจน ขั้นที่ 5 ขั้นสนใจเพศตรงข้าม ขั้นที่ 8 ความพอใจในตนเอง – ความ ในการศึกษา สิ้นหวังและ ความไม่พอใจตนเอง กลุ่มที่ 3 ทฤษฎีของ กลุ่มที่ 4 ทฤษฎีของ สำ ห รั บ แ น ว คิ ด ท ฤ ษ ฎี ฌอง เพียร์เจย์ ลอเรนซ์ โคลเบิร์ก พั ฒ น า ก า ร ข อ ง ม นุ ษ ย์ มี แ น ว คิ ด ที่ ห ล า ก ห ล า ย ทฤษฎีพัฒนาการทางสติ ทฤษฎีของโคลเบิรก์ ได้ชื่อ แ ต ก ต่ า ง กั น ไ ป ต า ม ค ว า ม ปัญญาของเพียเจต์ตามวัย ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม เ ชื่ อ พื้ น ฐ า น เ ดิ ม แ ล ะ ต่างๆ เป็นลําดับขั้น 4 ขั้นดังนี้ ก า ร ม อ ง ม นุ ษ ย์ ใ น แ ง่ มุ ม ขั้ น ที่ 1 ก า ร เ ชื่ อ ฟั ง แ ล ะ ก า ร ต่ า ง ๆ ซึ่ ง แ ต่ ล ะ ท ฤ ษ ฎี ขั้นที่ 1 ขั้นการใช้ประสาท ถู ก ล ง โ ท ษ ก็ จ ะ มี จุ ด เ ด่ น แ ล ะ มุ ม ม อ ง สัมผัสและกล้ามเนื้อ ขั้ น ที่ 2 ก ฎ เ ก ณ ฑ์ เ ป็ น เ ค รื่ อ ง ที่ แ ต ก ต่ า ง กั น ส า ม า ร ถ มื อ เ พื่ อ ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง ต น เ ลื อ ก ใ ช้ ต า ม ค ว า ม เ ห ม า ะ ขั้นที่ 2 ขั้นเตรียมความคิด ขั้ น ที่ 3 ค ว า ม ค า ด ห วั ง แ ล ะ สม ที่มีเหตุผลหรือการคิดก่อน ก า ร ย อ ม รั บ ใ น สั ง ค ม สํ า ห รั บ ปฏิบัติการ ‘ เ ด็ ก ดี ’ ขั้ น ที่ 4 ก ฎ แ ล ะ ร ะ เ บี ย บ ขั้นที่ 3 ขั้นคิดอย่างมีเหตุ ขั้ น ที่ 5 สั ญ ญ า สั ง ค ม ห รื อ ผลและปฎิบัติการด้วย ห ลั ก ก า ร ทํ า ต า ม คํ า มั่ น รูปธรรม สั ญ ญ า ขั้นที่ 4 ขั้นของการคิด อย่างมีเหตุผลและเป็น นามธรรม
พัฒนาการของเด็กมัธยมศึกษาตอนต้น ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ เพศหญิง - อารมณ์แปรปรวนง่าย จะมีสะโพกผาย หน้าอกขยาย - ต้องการคำยอมรับและคำชมเชย - ต้องการความรักความเข้าใจ ใหญ่ขึ้น มีขนขึ้นที่อวัยวะเพศ มี ประจำเดือน เพศชาย ด้านสังคม กล้ามเนื้อใหญ่กว้างและแข็งแรง ขึ้น มีขนตามแขน หน้าแข้ง เสียง - ต้องการเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม จะห้าวแตก จะมีน้ำอสุจิ - สนใจการเล่นรวมกันเป็นกลุ่ม - จะเลียนแบบสมาชิกภายในกลุ่ม ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงมี ทั้งด้านการแต่งกาย การพูดจา ภาวะพร้อมที่จะเป็นพ่อคนและแม่ หรือกิริยาท่าทาง คนได้ ด้านสติปัญญา เด็กเปิดกว้างทางความคิดรับฟังผู้อื่น ชอบแสวงหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ชอบคิดวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อมูลคำตอบ อย่างมีเหตุผล แนวทางการส่งเสริมพัฒนาการ ด้านสติปัญญา - สนับสนุนให้เด็กเรียนหรือทำ กิจกรรมที่เหมาะสมกับความสามารถ และความสนใจและลักษณะการเรียนรู้ ของเด็ก - จัดเวลาให้เด็กได้เรียนรู้จากสิ่ง แวดล้อมรอบตัว นอกเหนือจากการเรียน ในชั้นเรียน
รายงานการวิจัย ความหมาย การเรียบเรียงเอกสารขึ้นมาเพื่อนำเสนอเรื่องราวที่ เป็นผลการศึกษาค้นคว้าและดำเนินการอย่างมีระบบ แบบแผน ด้วยกระบวนการที่เป็นวิทยาศาสตร์และเป็น ระบบ แสดงให้เรื่องราวที่นำมาเขียนรายงานต้องเป็น ข้อเท็จจริงหรือความรู้อันเกิดจากการรวบรวมข้อมูล ด้วยวิธีการค้นคว้าตามกระบวนการวิจัยที่จะเป็น วิทยาศาสตร์และเป็นระบบ ความสำคัญ ประเภท การเขียนรายงานการวิจัย เป็นขั้นตอนสุดท้ายของ รายงานการวิจัยโดยทั่วไปจำแนกได้เป็นการ กระบวนการวิจัย ซึ่งผู้วิจัยจะต้องนำเสนอข้อมูลราย เขียนรายงานวิจัยมี 3 รูปแบบดังนี้ ละเอียดทั้งหมดของการดำเนินการวิจัยไว้เป็นหลักฐาน โดย บอกเล่าถึงสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้ผู้สนใจได้ทราบถึง 1. การเขียนรายงานการวิจัยแบบย่อหรือ เหตุผลในการศึกษาค้นคว้า ที่มาของปัญหา กรอบแนวคิด บทคัดย่อ ในการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย และผลลัพธ์หรือข้อค้นพบที่ ได้จากการวิจัย 2. การเขียนรายงานแบบวิจัยแบบสรุป 3. การเขียนรายงานวิจัยแบบฉบับสมบูรณ์ หลักการเขียน รายงานการวิจัยประกอบด้วยส่วนสำคัญ ดังนี้ 1. ความเป็นระบบ ส่วนหน้า ประกอบด้วย ปกหน้า ปกใน บทคัดย่อ 2. ความถูกต้อง กิตติกรรมประกาศ สารบัญ สารบัญ ตาราง สารบัญภาพ 3. ความครบถ้วนสมบูรณ์ ประกอบ 4. ความเป็นเอกภาพ ส่วนเนื้อ เรื่องประกอบด้วยเนื้อหา 5 บท 5. ความคงเส้นคงวาหรือ ความสม่ำเสมอ บทที่ 1 บทนำ ประกอบด้วย ความเป็นมาและความ 6. ความกระจ่างชัด สำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัย สมมุติฐานของ 7. ความตรงประเด็น การวิจัย ขอบเขตของการวิจัย ข้อตกลงเบื้องต้น ข้อจำกัด 8. ความมีเหตุผล ของการวิจัย คำนิยามโดยเฉพาะ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 9. ความมีจรรยาบรรณ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ ส่วนอ้างอิง ประกอบด้วย บรรณานุกรม ภาคผนวก ตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูล รายนามผู้ทรงคุณวุฒิที่ตรวจ สอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ แ บ บ สื บ เ ส า ะ ห า ค ว า ม รู้ 5 ขั้ น ต อ น ก า ร เ รี ย น แ บ บ สื บ เ ส า ะ ห า ค ว า ม รู้ 5 ขั้ น ต อ น เ ป็ น รู ป แ บ บ ข อ ง ก า ร เ รี ย น รู้ รู ป แ บ บ ห นึ่ ง ที่ เ น้ น ใ ห้ นั ก เ รี ย น มี ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ต ร ง ใ น ก า ร เ รี ย น รู้ โ ด ย ก า ร แ ส ว ง ห า แ ล ะ ศึ ก ษ า ค้ น ค ว้ า เ พื่ อ ส ร้ า ง อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ข อ ง ต น เ อ ง โ ด ย ใ ช้ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ทำ ใ ห้ ก า ร เ รี ย น แ บ บ สื บ เ ส า ะ ห า ค ว า ม รู้ 5 ขั้ น ต อ น นี้ เ ป็ น รู ป แ บ บ ข อ ง ก า ร เ รี ย น รู้ ที่ เ น้ น ผู้ เ รี ย น เ ป็ น สำ คั ญ ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ แ บ บ สื บ เ ส า ะ ห า ค ว า ม รู้ 5 ขั้ น ต อ น 1.การสร้างความสนใจ (Engagement) ขั้นนี้เป็นของการนำเข้าสู่บทเรียนหรือนำเข้าสู่เรื่องที่อยู่ใน ความสนใจที่เกิดจากข้อสงสัย โดยครูผู้สอนจะต้องกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจใคร่รู้ เพื่อนำเข้าสู่บท เรียนหรือเนื้อหาใหม่ๆ 2.การสํารวจและค้นหา (Exploration) เมื่อทําความเข้าใจในประเด็นหรือคําถามที่สนใจศึกษา อย่างถ่องแท้แล้ว ครูผู้สอนจะเปิดโอกาสให้นักเรียนดำเนินการศึกษาค้นคว้า โดยการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธี การต่าง ๆ เช่น การสำรวจ การสืบค้นจากเอกสารต่าง ๆ การทดลอง และการจำลองสถานการณ์ 3.การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอแล้ว ครูผู้สอนจะต้องให้ นักเรียนนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และแปลผล เพื่อสรุปผลและนําเสนอผลที่ได้ในรูปต่าง ๆ เช่น การบรรยาย สรุป การสร้างแบบจําลอง 4.การขยายความรู้ (Elaboration) เป็นขั้นของการนําความรู้ที่ได้จากขั้นก่อนหน้านี้ มาเชื่อมโยงกับ ความรู้เดิมหรือใช้อธิบายถึงสถานการณ์หรือเหตุการณ์เกี่ยวข้อง โดยครูผู้สอนอาจจัดกิจกรรมและให้ นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น ๆ เช่น ตั้งคำถามจากการศึกษาเพื่อให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย 5.การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นของการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ เช่น การทำข้อสอบ การทำรายงานสรุป หรือการให้นักเรียนประเมินตัวเอง
รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน Problem–based Learning : PBL การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยเริ่มต้นจากปัญหาที่ เกิดขึ้น ซึ่งต้องเป็นปัญหาที่ใกล้ตัวและพบเจอในชีวิตประจำวัน เพราะผู้เรียนจะรับทราบและเข้าถึงผู้ เรียนได้ง่าย และสร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้นโดยใช้กระบวนการทำงานแบบกลุ่ม เพื่อให้เกิดการแก้ ปัญหาดังกล่าว ทำให้ตัวของปัญหานั้นคือจุดสำคัญของการจัดการเรียนรู้รูปแบบนี้ โดยลักษณะสำคัญ ของการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานนั้น ประกอบด้วย 1. ต้องมีสถานการณ์ที่เป็นปัญหาและใช้ปัญหานั้นมาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ 2. ปัญหาที่นำมาใช้ ต้องมาจากสิ่งใกล้ตัวผู้เรียน และผู้เรียนมีโอกาสพบเจอ 3. ผู้เรียนเรียนรู้และเลือกเฟ้นวิธีการและประเมินผลด้วยตัวเอง 4. เน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อย เพื่อประโยชน์ในการค้นหาความรู้ และรับส่งข้อมูลร่วมกัน 5. เป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการความรู้และทักษะกระบวนการต่างๆเข้าด้วยกัน 6. ความรู้ที่จะเกิดขึ้น เมื่อจัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐานแล้วเท่านั้น 7. ใช้การประเมินผลตามสภาพจริง โดยพิจารณาความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานของผู้เรียน .
แ ผ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ รายละเอียดแผนการเรียนรู้ แผนการเรียนรู้ (Lesson Plan) ประกอบด้วย 9 หัวข้อ 1. สาระสำคัญ (Concept) เป็นความคิดรวบยอดหรือหลักการของเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้เกิดกับ นักเรียน เมื่อเรียนตามแผนการสอนแล้ว 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objective) เป็นการกำหนดจุดประสงค์ที่ต้องการให้เกิดกับ ผู้เรียน เมื่อเรียนจบตามแผนการสอนแล้ว 3. เนื้อหา (Content) เป็นเนื้อหาที่จัดกิจกรรมและต้องการให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ 4. กิจกรรมการเรียนการสอน (Instructional Activities) เป็นการสอนขั้นตอนหรือกระบวนการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งนำไปสู่จุดประสงค์ที่กำหนด 5. สื่อและอุปกรณ์ (Instructional Media) เป็นสื่อ และอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน ที่กำหนดไว้ในแผนการสอน 6. การวัดผลและประเมินผล (Measurement and Evaluation) เป็นการกำหนดขั้นตอนหรือวิธี การวัดและประเมินผล ว่านักเรียนบรรลุจุดประสงค์ตามที่ระบุไว้ในกิจกรรมการเรียนการสอน แยก เป็นก่อนสอน ระหว่างสอน และหลังสอน 7. กิจกรรมเสนอแนะ เป็นกิจกรรมที่บันทึกการตรวจแผนการสอน 8. ข้อเสนอแนะ เป็นการบันทึกตรวจแผนการสอนเพื่อเสนอแนะหลังจากได้ตรวจสอบความถูก ต้อง การกำหนดรายละเอียดในหัวข้อต่างๆ ในแผนการสอน 9. บันทึกการสอน เป็นการบันทึกของผู้สอน หลังจากนำแผนการสอนไปใช้แล้วเพื่อเป็นการ ปรับปรุงและใช้ในคราวต่อไป มี 3 หัวข้อ คือ 9.1 ผลการเรียน เป็นการบันทึกผลการเรียนด้านสุขภาพและปริมาณทั้ง 3 ด้าน คือด้านพุทธิ พิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งกำหนดในขั้นกิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมิน 9.2 ปัญหาและอุปสรรค เป็นการบันทึก ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในขณะสอน ก่อนสอน และหลังทำการสอน 9.3 ข้อเสนอแนะ / แนวทางแก้ไข เป็นการบันทึกข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปรับปรุงการเรียนการ สอน ให้เกิดการเรียนรู้ บรรลุจุดประสงค์ของบทเรียนที่หลักสูตรกำหนดรูปแบบของแผนการเรียนรู้ แหล่งข้อมูล : https://sites.google.com/site/prapasara/5-4
TThyhyoaoauunn!!kk
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: