Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน-ส่งวังครั้งที่-1

สมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน-ส่งวังครั้งที่-1

Published by kamonorn, 2017-01-27 21:59:26

Description: สมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน-ส่งวังครั้งที่-1

Search

Read the Text Version

กระเทยี มชอ่ื วิทยาศาสตร์ Allium sativum L.ช่อื วงศ์ Alliaceae (Liliaceae)ชอ่ื สามัญ garlicชื่อท้องถิ่น หอมเทียม หรอื เทียมลกั ษณะพฤกษศาสตร์ กระเทยี มเป็นไม้ลม้ ลุก มหี ัวกระเทยี มเปน็ ลาตน้ ใต้ดินขนาดส้ันต้ังตรง โดยมีใบเกล็ด (scale leaf) หรือรจู้ ักกันในนามกลบี กระเทียม ทาหน้าที่สะสมอาหารเรียกลาตน้ ชนิดน้ีว่า bulb ใน 1หวั มปี ระมาณ 6-10 กลบี มีกล่นิ ฉุนเฉพาะตัว ใบเปน็ ใบเด่ียว รปู แบนยาวแปลายใบแหลม ขอบเรียบ โคนก้านใบแผ่ออกเป็นแผน่ (leaf sheath) เช่ือมตดิ กันเปน็ วงหุ้มรอบใบอ่อน ตายอด หรือก้านช่อดอก เป็นลาต้นเทียมดอกออกเป็นช่อซ่ีร่มแท่งขึ้นมาจากดิน (scapose umbel) มีใบประดับ 1 ใบ ขนาดใหญ่หุ้มช่อดอกเม่ือยังตูมดอกยอ่ ยสีขาว หรอขาวอมชมพู ผลมีคอ่ นข้างกลมขนาดเลก็ มี 3 พู เมล็ดมีสดี า ขนาดเล็กส่วนท่ใี ช้ หวั กระเทียม หรือกลีบ (cloves of garlic) แก่ชว่ งเวลาทเี่ ก็บเปน็ ยา หวั แกอ่ ายุมากวา่ 100 วัน เก็บเกยี่ วเมอื่ ลงหวัองคป์ ระกอบทางเคมี มนี า้ มนั ระเหยงา่ ย (volatile oil) รอ้ ยละ 0.6 – 1 ประกอบด้วยสารท่มี ีกามะถันเปน็ องคป์ ระกอบ เช่น อัลลซิ นิ (allicin), อัลลิอนิ (alliin), อะโจอนี (ajoene) เป็นต้น โดยมีเอนไซมอ์ ัลลิเนส (allinase) ซึง่ จะทาหนา้ ท่สี ลาย อลั ลิอิน (alliin) ไดส้ ารช่ืออัลลซิ นิ (allicin) ทนั ทีเม่ือเนื้อเยือ่ของกระเทยี มแตกออก อัลลซิ ิน (allicin) ทถี่ กู เปล่ยี นแปลงตอ่ ไปเปน็ อะโจอนี (ajoene)ขอ้ บง่ ใช้ กลีบปอกเปลือก สามารถแก้กลากเกล้ือนเมื่อทาบริเวณผิวหนัง และหากรับประทานดิบๆ คร้ังละประมาณ 5 – 7 กลีบ หลังอาหารหรือเวลามีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และแน่นจุกเสยี ด ขบั ลมในลาไส้ ชว่ ยลดไขมันในเลือดกรณีใช้ร่วมกับการควบคุมอาหาร และช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดเม่ือมอี ายสุ ูงวัยขึน้ รายงานการวิจัยปจั จุบนั การวิจัยพรีคลินิกพบว่า มีฤทธ์ิยับย้ังเซลล์มะเร็ง ต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด สลายไฟบริน (fibrin) ลดน้าตาลในเลอื ด ลดปรมิ าณไขมนั ในเลือด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา แบคทีเรีย และ มีฤทธิข์ บั พยาธิ การวจิ ยั คลนิ กิ พบวา่ ลดความดันโลหิตสูงเล็กน้อย (mild hypertension) ในผู้ป่วย ป้องกัน การแข็งตัวของหลอดเลือดแดง มีฤทธ์ิลดการจับตัวของเกล็ดเลือด มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการ สลายไฟบริน (fibrin) ช่วยลดการเกิดออกซิเดชันของไลโพโปรตีน จึงสามารถลดความเส่ียงของการ อุดตนั ไขมันในหลอดเลอื ดได้ ข้อควรระวัง ห้ามใชใ้ นผู้ที่มีประวตั ิแพก้ ระทยี ม คาเตือน การรับประทานกระเทียมในปริมาณสูง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออกหลังการผ่าตัดหากผู้ป่วยกินยาไซโคลสปอริน (cyclosporine) หรือยาซาควินาเวียร์ (saquinavir) อยู่ไม่ควรทานร่วมกันเพราะกระเทียม ทาให้ระดับยาในเลือดและประสิทธิผลในการรักษาลดลงจนยาไม่ได้ผลจนอาจใช้ยาไม่ได้ผลเน่ืองจากร่างกายเปล่ียนแปลงยาให้หมดฤทธ์ิได้มาก และเร็วข้ึน และควรหลีกเล่ียงไม่ให้กระเทียมสัมผัสกับผิวหนังของเด็ก และทารก เน่ืองจากอาจทาให้เกิดการระคายเคือง และอาจทาให้เลือดออกได้หากมีความเขม้ ข้นสูง 1

รสและสรรพยาคณุ ยาไทย รสเผด็ รอ้ น เปน็ ยาขับลมในลาไส้ แก้กลากเกล้อื น แกไ้ อ ขบั เสมหะช่วยยอ่ ยอาหาร กระวานชอ่ื วิทยาศาสตร์ Amomum testaceum Ridl.ชอื่ วงศ์ Zingiberaceaeช่ือสามัญ best cardamom และ Siam cardamomชื่อท้องถนิ่ กระวานขาว, กระวานโพธสิ ัตว์ และปล้อก้อลกั ษณะพฤกษศาสตร์ กระวานเป็นไม้ล้มลุก มีลาต้นใต้ดินเป็นเหง้าทอดตามพื้นดิน (rhizome)พบมลี าต้นเทียมเกิดจากกาบหุ้มใบซ้อนกัน สูงประมาณ 1.5-2 เมตร ใบเป็นใบเด่ียวเรียงสลับ (alternate) รูปขนานแกมหอกปลายใบแหลมมีติ่งบริเวณปลายใบขนาดกว้าง 6-12 เซนติเมตร ยาว 15-25 เซนติเมตร ช่อดอกเชิงลด ออกจากเหงา้ ชูข้ึนมาเหนือดนิ มีใบประดับมีขน สีน้าตาลอ่อนเรียงซ้อนกันสลับตลอดช่อ มีดอก 1-3 ดอกอยู่บริเวณในของซอกใบประดับ เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผลอ่อนมีขนผลแก่เกล้ียงแห้งแตกค่อนข้างกลมอาจเป็นเส้นเล็กน้อย ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 -1.5 เซนติเมตร สีนวลมี 3 พู เมล็ดมีขนาดเล็กจานวนมากเมื่ออ่อนสีขาว เมอื่ แกม่ ีสีนา้ ตาลดามเี ย่อื ห้มุสว่ นทใี่ ช้ เมล็ดแก่แห้งช่วงเวลาที่เกบ็ เป็นยา กระวานจะออกดอกตลอดปี ต้ังแต่ออกดอกจนกระท้ังผลแก่ใชร้ ะยะเวลาประมาณ 5 เดือน การปลูกกระวานจะให้ผลผลิตหลังจากเริ่มปลูกอย่างน้อย 2-3 ปี และใหผ้ ลผลิตมากทสี่ ุดในช่วงเดือนกมุ ภาพันธ์ และเดอื นสิงหาคมองคป์ ระกอบทางเคมี กระวานมนี า้ มันระเหยง่าย (volatile oil) ประมาณร้อยละ 5 ประกอบด้วยพิมเสน (borneol) และการบูร (camphor) เป็นส่วนใหญใ่ นปรมิ าณทีใ่ กลเ้ คียงกนั และยงั พบสารกลุ่มเทอร์พีน (terpenes) เชน่ ไพนีน (pinene) แครโิ อฟิลลีน (caryophyllene) และไดเทอร์พีนเพอร์ออกไซด์(diterpene peroxide)ขอ้ บ่งใช้1. ผลแก่จัดตากแห้ง และบดเป็นผงรับประทานครัง้ ละ 1.5 - 3 ชอ้ นชา ชงกับน้าอุ่นรบั ประทานแกอ้ าการท้องอืด ทอ้ งเฟ้อ และแนน่ จกุ เสียด2. ผลกระวานยงั ใชผ้ สมกบั ยาถ่าย เพ่ือบรรเทาอาการไซ้ท้อง เช่น มะขามแขกรายงานการวจิ ัยปจั จุบนัการวิจยั พรคี ลนิ ิกพบวา่ มีฤทธต์ิ า้ นเชือ้ มาลาเรยี จากสารท่ีแยกไดจ้ ากกระวาน คอื สารไดเทอรเ์ พอร์พนี ออกไซด์ (diterpene peroxide) และกระวานสามารถเสริมฤทธขิ์ องยาสเตรปโทมยั ซนิ(streptomycin) ในการรักษาวณั โรคชอ่ื วิทยาศาสตร์ กระเจี๊ยบแดงชอื่ วงศ์ Hibiscus sabdariffa L. Malvaceae 2

ชอ่ื สามัญ Roselleช่ือท้องถ่ิน กระเจีย๊ บเปรี้ยว , ส้มปู, ผกั เก็งเค็ง, สม้ เกง็ เค็ง และส้มตะเรงเครงลักษณะพฤกษศาสตร์ กระเจ๊ียบแดงเป็นพืชปีเดี่ยว (annual plant) เป็นไม้พุ่ม (shrub) สูง 1-2เมตร ใบเดยี่ ว ขอบหยกั เว้าลกึ ประมาณ 3 – 5 แฉก หรอื เรียบ มกี า้ นใบยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ดอกเด่ียวออกบริเวณซอกใบ ก้านดอกสั้น กลีบดอกเป็นสีชมพูเข้มสุดบริเวณตรงกลาง กลีบเล้ียงมีสีแดงเข้มแผ่ขยายติดกนั หมุ้ เมลด็ ไว้ภายใน ผลเป็นรูปรี ยาวประมาณ 2.5 เซนเิ มตร ปลายแหลม หุ้มไว้โดยกลีบเลย้ี งสว่ นท่ีใช้ พนั ธุ์พน้ื เมือง ส่วนกลบี เลี้ยง และริว้ ประดับท่ีเจรญิ ข้ึนพร้อมผลแหง้ ในช่วงทป่ี ลายกลบี เล้ียงทงั้ 5 รวบเขา้ หากนั ยาว 3-4 เซนตเิ มตร มีสีแดงคลา้ ถึงสดี า มกี ลิ่นเฉพาะตวั รสเปรี้ยวช่วงเวลาทเี่ กบ็ เปน็ ยา เรมิ่ เก็บเกยี่ ว ช่วงเดอื นพฤศจิกายน – มีนาคมองค์ประกอบทางเคมี กระเจีย๊ บแดง มีสารไซยานดิ ิน (cyanidin)และเดลฟนิ ดิ ิน (delphinidin)ซึ่งเปน็ สารกลมุ่ แอนโทไซยานิน (antrocyanins) ท่ีทาให้มีสีมว่ งแดง มกี รดแอซตี กิ (acetic acid), กรดมาลกิ(malic acid), กรดโพรโทแคทีซอู ิก (protocatechuic acid) แคลเซยี ม (calcium) และวติ ามนิ บี 3 (vitaminB3) หรอื ไนอะซนิ (niacin)ขอ้ บ่งใช้ กลีบเลยี้ งและกลีบรองดอกตากแห้ง และบดเปน็ ผง รบั ประทานครง้ั ละ 1 ชอ้ นชาชงกับน้าเดอื ด 250 มิลลิลติ ร ดืม่ เฉพาะน้าสีแดงใส ดม่ื วันละ 3 คร้ัง แกข้ ัดเบา หรอื รับประทานติดต่อกนัทุกวนั จนกวา่ อาการขัดเบาจะหายไปรายงานการวิจัยปัจจุบนัการวจิ ยั พรคี ลนิ กิ พบว่า กระเจ๊ียบลดการสรา้ งไขมนั และเซลลไ์ ขมนั ลดการเกิดออกซเิ ดชันของแอลดีแอล และเกดิ โฟมเซลล์ (foam cell) ซึ่งเป็นปัจจัยของการสะสมไขมนั ในผนังหลอดเลือดทาให้ลดการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแขง็ (artherosclerosis) และมฤี ทธ์ิลดความดันโลหติ ลดไขมนัในเลือดดว้ ยคุณสมบตั ขิ องกระเจีย๊ บดังกล่าว นอกจากนี้กระเจยี๊ บแดงยังมฤี ทธติ์ า้ นอนมุ ูลอสิ ระ ตา้ นการกลายพนั ธ์ุ ด้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารการวิจยั คลนิ ิกพบว่า กระเจีย๊ บมีฤทธิล์ ดไขมันในเลือด ฤทธิ์ลดความดนั โลหิต ขับกรดยรู กิ(uric acid) และขับโซเดียม (sodium) ออกทางปัสสาวะ อีกทง้ั มีฤทธิ์ลดการเกิดนว่ิ ทาใหผ้ ปู้ ว่ ยมีปสั สาวะทใี่ สข้ึน เนื่องจากมฤี ทธขิ์ บั ปัสสาวะ กะทือชอ่ื วิทยาศาสตร์ Zingiber zerumbet (Linn.) Smith.ชื่อวงศ์ Zingiberaceaeชอ่ื สามัญ Shampoo gingerชอื่ ท้องถิน่ กะแวน, กะแอน, เปลพอ้ และเฮียวขา่ลกั ษณะพฤกษศาสตร์ กะทือเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีลาต้นติดทาหน้าท่ีสะสมอาหาร(rhizome) ผวิ นอกสนี ้าตาลออ่ น สีด้านในเป็นสเี หลืองอ่อน กล่ินเฉพาะ มลี าต้นเทียมอยูเ่ หนอื ดนิ เกิดจากการท่ีกาบใบ (leaf sheat) น ใบเป็นใบเด่ียวเรียงสลับระนาบเดี่ยวกัน (opposit) รูปร่างหอก กว้าง 5 – 7.5เซนติเมตร ยาว 20 – 30 เซนติเมตร ฐานใบสอบ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบก้านใบยาวประมาณ 5มิลลิเมตร มีช่อดอกเชิงลด ออกจากเหง้าใต้ดินตั้งตรงข้ึนเหนือพ้ืนดินประมาณ 14 – 45 เซนติเมตร รูปไข่ รูปไข่กลับ รูปทรงกระบอก รูปรี หรือรูปหอก มีใบประดับซ้อนกันแน่น สีค่อนข้างเขียวเม่ือแจะเป็นสีแดงหรือ 3

น้าตาล มีดอกสมบูรณ์เพศโดยมีเกสรเพศผู้เกเป็นหมันอยู่ 1 อัน มีกลีบดอกสีเหลือง 3 แฉก 1 ดอก ออกจากซอกของใบประดบั ผลแบบแห้งและแตก มเี มล็ดรูปรแี กมหยดนา้ กว้างประมาณ 4 มลิ ลิเมตร สว่ นท่ใี ช้ เหง้าแก่แห้ง ชว่ งเวลาท่เี กบ็ เป็นยา นิยมเก็บเกย่ี วช่วงลงหวั ในฤดูแล้ง ระหว่างเดอื นธนั วาคม –เมษายน เม่ืออายุ 1 – 2 ปขี ้นึ ไป องค์ประกอบทางเคมี กะทือมีน้ามันหอมระเหย (volatile oil) กลุ่มมอโนเทอร์พีน(monoterpene) รวมราวร้อยละ 13 ดังนี้ แอลฟาไพนีน (α - pinene), แคมฟีน (camphene), ไลโมนีน(limonene), การบูร (camphor), ซินีโอล (รานสา) และกลุ่มไดเทอร์พีน (diterpenes) เช่น ฮูมูลีน ร้อยละ27 และซรี ัมโบน (zerumbone) ร้อยละ 37.5 ขอ้ บ่งใช้ รายงานการวิจัยปจั จุบัน การวจิ ยั พรีคลนิ กิ พบว่า สารซีรัมโบน (zerumbone) ในกระวาน กดกาทางานของโปรตีนที่เกย่ี วข้องกับการอกั เสบ และยบั ยั้งการเพ่ิมจานวนเซลล์มะเร็ง จงึ สามารถยบั ยงั้ การเกิดมะเร็งลาไสใ้ หญ่ และมะเรง็ ปอดได้ วธิ ีใช้ หวั หรือเหง้าสดขนาดเท่า 2 หวั แม่มือ หวั (ประมาณ 20 กรัม) ยา่ งไฟพอสกุ ตากบั น้าปนู ใสคั้นเอาน้าด่ืมเวลามีอาการท้องอืด ทอ้ งเฟ้อ แน่นจุกเสียด และปวดทอ้ ง กระชายบา้ น ชื่อวิทยาศาสตร์ Boesenbergia rotunda (L.) Mansf. ชื่อวงศ์ Zingiberaceae ช่ือสามัญ Fingerroot, Chinese ginger และ Chinese key ช่ือท้องถิ่น กระชาย, ขงิ ทราย, เปา๊ ะซอเร้าะ และว่านพระอาทิตย์ ลกั ษณะพฤกษศาสตร์ กระชายบ้านเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปีมีลาต้นใต้ดิน ทาหน้าท่ีสะสมอาหาร(rhizome) มีระบบรากฝอยสะสมอาหารรูปทรงกระบอกออกเป็นกระจุก (fascicle) ใบเป็นใบเด่ียวเรียงสลับรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนานปลายใบเรียวแหลม ฐานใบมน ดอกออกเป็นช่อดอกเชิงลดอกท่ีอยอดระว่างกาบใบคใู่ นสุด ดอกสีขาวอมชมพอู อ่ น ผลแบบแหง้ แตก เมล็ดสีดาไม่มีเย่ือห้มุ สว่ นทใี่ ช้ เหงา้ แหง้ ช่วงเวลาท่ีเก็บเป็นยา กระชายบ้านจะมหี วั แกจ่ ัดเมื่อปลกู ได้ 11 – 12 เดือน และเกบ็ เกี่ยวชว่ งเวลาลงหัวประมาณเดอื นพฤศจิกายน – มกราคม องคป์ ระกอบทางเคมี กระชายบ้านมีน้ามันหอมระเหย (volatile oil) ในปริมาณเล็กน้อยมีสารโบเซนเบอร์จินเอ (boesenbergin A), สารโบเซนเบอร์จินบี (boesenbergin B), แพนดูราทินเอ(panduratin A),แพนดูราทนิ บี (panduratin B), คารด์ ามอนนิ (volatile oil),สาร 5,7 – ไดเมทอกซีเฟลโวน(5,7 – dimethoxy flavone) ตลอดจนอนุพันธ์ของสารกลุ่มเฟลโวนอยด์ (flavonoids) กลุ่มชาลโคน(chalcones) และเฟลโวน (flavone) และสารอ่นื ๆ ข้อบ่งใช้ เหง้าและรากกระชายบ้านประมาณคร่งึ กามือ (สดหนัก 5 – 10กรัม แห้งหนัก 3 – 5 กรมั ) ตม้ เอานา้ ดื่มรกั ษาอาการท้องอดื ทอ้ งเฟ้อ จุกเสียด รายงานการวิจยั ปัจจุบนั 4

การวิจยั พรคี ลินกิ พบวา่ สาร 5,7 – ไดเมทอกซเี ฟลโวน (5,7 – dimethoxy flavone) มีฤทธิ์ตา้ นการอักเสบ และลดไข้ และสารแพนดรู าทินเอ (panduratin A) มีฤทธ์ิฆา่ เช้ือ Escherichia coli อนั เป็นสาเหตุของการแนน่ จุกเสยี ด กะเพราช่อื วิทยาศาสตร์ Ocimum sanctum L.ชื่อวงศ์ Lamiaceae (Labiatae)ช่อื สามัญ Holy basil และ Sacred Basilชื่อท้องถนิ่ กะเพราขน, กะเพราขาว, กอมก้อ, กอมก้อดง และอตี ู่ไทยลกั ษณะพฤกษศาสตร์ กะเพราเป็นไม้พุ่ม (shrub) มีลักษณะลาต้นและก่ิงก้าน และใบที่มีส่วนสีเขยี ว หรอื มสี แี ดงเลือดนกมีขน และมีกลิ่นเมื่อขยี้ เพราะว่าในขนของกะเพรามีต่อมน้ามัน ใบเป็นใบเด่ียวเรียงตรงข้ามสลับฉาก (opposite decussate) ขอบใบหยัก หรือเป็นคลื่น ดอกออกเป็นช่อดอกพิเศษ เป็นช่อฉัตรกลีบดอกสีขาวรูปปากอ้า 2 กลีบสีขาว กลีบเล้ียงติดทนนาน เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผลเป็นแบบผลแห้งไม่แตกเมล็ดรูปี ยาว 1 – 1.5 มิลลิเมตร เม่อื โดนน้าจะพองเปน็ เมือกส่วนทใ่ี ช้ ใบสดหรือแห้งชว่ งเวลาทเี่ ก็บเป็นยา เกบ็ ใบสมบรู ณเ์ ต็มท่ี ไม่แกห่ รอื ออ่ นจนเกนิ ไปองคป์ ระกอบทางเคมี ใบกะเพรามนี ้ามันหอมระเหย (volatile oil) รอ้ ยละ 2 พบ เชน่ ยูจีนอล(eugenol), เมทลิ ยจู ีนอล (methyl eugenol), แอลฟา – แคริโอฟลิ ลนี (α – caryophyllene), บีตา – แคริโอฟิลลีน (β – caryophyllene), เปน็ สารกลมุ่ เทอร์พนี อยด์ และพบสารกลมุ่ แทนนิน (tannin)ขอ้ บ่งใช้ ใบและยอดกะเพรา 1 กามือ (ถ้าสดหนกั 25 กรมั แหง้ หนัก4 กรมั ) ต้มเอานา้ ดม่ื แก้อาการท้องอดื ทอ้ งเฟ้อ แน่นจกุ เสียดและปวดท้อง เหมาะสาหรบั เดก็ ท้องอดืรายงานการวิจยั ปัจจุบันการวจิ ัยพรคี ลินกิ พบว่า ใบกะเพรามีฤทธิล์ ดการหดเกร็งของลาไส้ ตา้ นการเกดิ แผลเปื่อยในกระเพาะอาหาร ตา้ นการเกิดปฏิกริ ิยาออกซิเดชัน ลดระกบั นา้ ตาลในเลือด ลดระดับไขมัน และคอเลสเตอรอล กลว้ ยนา้ วา้ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Musa sapientum L.ชอ่ื วงศ์ Musaceaeชอ่ื สามัญ Banana และ Cultivated banananลกั ษณะพฤกษศาสตร์ กล้วยน้าว้าเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีลาต้นใต้ดิน (root stock) มีตาแทงหนอ่ ข้นึ ได้เปน็ ลาต้นเทียมใหม่ ท่ีเกิดจาดการอัดกันแน่นของกาบใบ เรียกว่าหยวก มีความสูงไม่เกิน 3.5 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 15 เซนติเมตร ใบเป็นใบเด่ียวรูปร่างขนานค่อนข้างยาว (oblong) กว้างประมาณ50 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5 เมตร ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ออกเป็นช่อดอกสีแดงเลือดหมูท่ีปลายยอดลาต้นเทียม เรียกว่าหัวปลี หรือปลีกล้วย ผลเรียงเป็นระเบียบ 1 – 2 แถว แต่ละผลมีก้าน โคนก้านเชื่อติดกันเป็นหวี เปลือกผลชนั้ นอกเม่อื ดบิ สเี ขยี ว เมื่อสุกสีเหลอื งส่วนทีใ่ ช้ ผลดิบแกจ่ ดัชว่ งเวลาทเ่ี ก็บเปน็ ยา กล้วยน้าวา้ จะเริ่มออดปลตี อนอายรุ าว 5 – 10 เดือน นับจากชว่ งเวลาออกปลีประมาณ 90 – 100 วนั ผลจะแกจ่ ัด สามารถตัดท้ังเครือ และตัดผลออกมาใช้ทายา 5

องค์ประกอบทางเคมี มแี ป้งท่ยี ่อยสลายไดช้ า้ ในระบบทางเดินอาหาร คือ รีซีสแทนต์สตารช์(resistant starch)ขอ้ บ่งใช้ กล้วยนา้ วา้ ดบิ หรือหา่ มรับประทานครั้งละคร่ึงผลถึงหนึง่ ผล หรือใช้กลว้ ยนา้ ว้าดิบฝานเป็นแวน่ ตากแดดให้แหง้ บดเปน็ ผง ชงน้าด่ืมครั้งละ 10 กรัมชงกับน้ารอ้ น 120 – 200มลิ ลิลติ ร วนั ละ 3 คร้ัง ก่อนอาหาร รกั ษาอาการท้องเสียที่ไม่รนุ แรง และแผลในกระเพาะอาหารขอ้ ควรระวัง เมื่อรับประทานแล้วแล้วอาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ ป้องกันได้โดยใช้ร่วมกับยาขบั ลม เชน่ น้าขงิ เปน็ ตน้ ขา่ช่อื วิทยาศาสตร์ Alpinia galanga (Linn.) Swartz.ชอ่ื วงศ์ Zingiberaceaeช่ือสามัญ Galangal, False galangal และ Greater galangaชื่อท้องถนิ่ กฏกุ กโรหณิ ,ี ขา่ หยวก, ข่าหลวง, สะเอเชย และเสะเออเคยลกั ษณะพฤกษศาสตร์ ข่าเป็นพืชล้มลุก มีลาต้นใต้ดินสะสมอาหาร (rhizome) มีข้อปล้องชัดเจนเปลอื กผวิ ชั้นนอกขาวอมเหลอื งนวล เน้ือดา้ นในมีลกั ษณะขาว เหนยี ว มีกลน่ิ หอมร้อน และค่อนข้างแข็ง มีกาบใบหุ้มอัดแน่นเป็นกันสีแดงชมพูอัดกันเป็นลาต้นเทียม ใบเป็นใบเด่ียวเรียงสลับ รูปขอบขนาน ปลาบใบมีต่ิงฐานใบรปู ล่มิ แผ่นใบเกลยี้ ง กวา้ ง 6 - 11 เซนติเมตร ยาว 25 – 60 เซนตเิ มตร ดอกออกเป็นช่อดอกแยกแขนงดอกยอ่ ยดอกสีขาวมรี ว้ิ สแี ดง บานจากล่างขึ้นบน รูปสามเหลี่ยม กล่ินหอมอ่อน เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผลแบบแห้งแตก สสี ม้ แดงคอ่ นข้างกลม ขนาดเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 1 เซนตเิ มตร เมลด็ มี 5 – 9 เมลด็ สีน้าตาลอมดา รูปกึง่ พรี ะมดิ มีเส้นใยและเมือกปกคลุมส่วนทใี่ ช้ เหง้าแก่ช่วงเวลาทเ่ี กบ็ เปน็ ยา เกบ็ เก่ียวได้ทุกฤดูกาล ข่าเกบ็ เก่ียวได้ชว่ งอายุ 1 – 2 ปีองคป์ ระกอบทางเคมี 1'- แอซีทอกซชี าวิคอลแอซีเทต (1'-acetoxychavicol acetate), 1'- แอซีทอกซยี จู นี อลแอซเี ทด (1'-acetoxyeugenol acetate) และ มนี ้ามันระเหยง่าย (volatial oil) ประกอบด้วยยจู ีนอล ( eugenol), เมทิลซินนาเมต (methyl cinncmate), จินีออล (gineol), การบูร (camphor) และสารกลุ่มไพนีน (pinenes) เปน็ ต้น ข้อบ่งใช้ 1. เหง้าข่าแก่สด หรอื แหง้ ขนาดเทา่ หวั แม่มอื (สดหนกั 5 กรมั แหง้ หนัก 2กรัม) ต้มน้าดม่ื แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และแน่นจกุ เสยี ด 2. เหง้าขา่ แก่สด ล้างใหส้ ะอาด ฝานเปน็ แว่นบางๆ หรอื ทบุ ให้แตกนาไปแช่เหล้าขาว ทิ้งไว้1 คนื ทาบรเิ วณท่เี ป็นโรคกลากเกล้อื น วนั ละ 2 ครงั้ เช้า - เย็นทุกวัน จนกวา่ จะหาย คาเตือน ขา่ หากสัมผสั อาจเกิดอาหารผวิ หนงั อักเสบ (allergic contact dermatitis) ได้ รายงานการวจิ ัยปัจจุบนั การวิจยั พรคี ลินกิ พบวา่ นา้ มนั ระเหยง่าย (volatial oil) ของขา่ มฤี ทธ์ิในการขบั ลม และสาร1'- แอซีทอกซีชาวคิ อลแอซีเทต (1'-acetoxychavicol acetate) และ1'- แอซที อกซยี จู ีนอลแอซีเทด (1'-acetoxyeugenol acetate) มีฤทธใ์ิ นการต้านเชือ้ ราทก่ี ่อโรคกลาก ต้านการอักเสบ และชว่ ยยบั ยงั้ แผลในกระเพาะอาหาร 6

การวจิ ัยคลินิกพบว่า พบว่ายาเตรยี มทผ่ี สมจากสารสกัดขิง และข่า มีประสิทธิผลในการบรรเทาอาการปวดเขา่ เมื่อยนื หรือเดนิ ได้ แต่อาจเกิดอาการข้างเคยี งในระบบทางเดินอาหารบ้างเล็กนอ้ ย ขิงชอ่ื วิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe.ชื่อวงศ์ Zingiberaceaeช่อื สามัญ Gingerช่อื ท้องถ่ิน ขิงแกลง, ขงิ แดง, ขงิ เผอื ก และสะเอลกั ษณะพฤกษศาสตร์ เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี มีเหง้าหรือลาต้นใต้ดินทาหน้าที่สะสมอาหารมีกล่ินเฉพาะเปลือกด้านนอกมีสีเหลืองไข่สีนวล มีข้อปล้องชัดเจน เนื้อด้านในมีสีเหลืองเงา ใบเด่ียวเรียงสลับ(alternate) รูปหอก ขอบขนาน ปลาบใบแหลมขนาดกว้าง 1 – 3 เซนติเมตร ยาว 10 – 25 เซนติเมตร มีกาบยาวอัดแน่นทาให้เห็นเป็นลาต้นเทียม โคนลาต้นเทียมท่ีต่อกับลาต้นใต้ดินมีสีขาวนวลอมชมพู ดอกออกเป็นช่อแดกแทงข้ึนโดยตรงจากเหง้า หรือลาต้นใต้ดิน มีใบประดับสีเขียวอ่อน ดอกย่อยมีสีเหลือง ปลายกลีบเปน็ สีม่วงแดง ไมม่ ีก้านดอกผลเปน็ ผลแหง้ มี 3 พูสว่ นท่ีใช้ เหง้าแกส่ ดช่วงเวลาท่เี ก็บเปน็ ยา เกบ็ เกยี่ วในชว่ งอายุ 11 – 12 เดือนองคป์ ระกอบทางเคมี gingerin เปน็ ชอ่ื ทางการค้า ของนา้ มนั ชนั (oleoresin) ทพี่ บในปรมิ าณสูงซงึ่ มลี ักษณะขน้ เหนยี ว สนี า้ ตาลเขม้ กล่นิ ฉนุ เผด็ ร้อน ทีป่ ระกอบไปด้วยสารอนุพันธุข์ อง 4 – hydroxyl – 3 –methoxyphenyl เช่น zingerone, gingerols และ shogaols เป็นหลัก และยังมสี าร gingerdiol และgingerdione ซึ่งชนนม้ นั ทีเ่ ตรียมขึน้ ใหม่จะมี gingerols เป็นหลัก และเมื่อทิ้งไวน้ านจะมี shogaols เป็นหลกัแต่ zingerone และ shogaols ควรมใี นปรมิ าณท่ตี ่าที่สดุ ไม่ใชผ่ ลติ ภณั ฑ์ธรรมชาตทิ ี่พบในขงิ แตเ่ ปน็ สารที่เกิดขึน้ จากปฏกิ ิรยิ าเคมที ี่เกิดจากการสกดั ด้วยตัวทาละลาย ซึง่ มีรสเผ็ดร้อนกวา่ gingerolsขอ้ บ่งใช้ 1. เหง้าขิงแกส่ ดขนาดเทา่ หวั แม่มดื (ประมาณ 5 กรัม) ทุบให้แตก ต้มเอาน้าดื่ม แก้อาการทอ้ งอดื ทอ้ งเฟ้อ แนน่ จุกเสียด และอาการคล่นื ไสอ้ าเจียน เนอ่ื งจากธาตุไม่ปกติ เมารถ เมาเรอื 2. เหง้าขิงแก่สดฝนกับน้ามะนาว หรือตาผสมน้าเล็กน้อย คั้นเอาน้าและแทรกเกลือเล็กนอ้ ย ใช้กวาดคอหรอื จิบบอ่ ยๆ แก้อาการไอ มีเสมหะข้อควรระวงัคาเตอื นรายงานการวจิ ัยปจั จุบนั การวจิ ัยพรคี ลินิกพบว่า มกี ารใชส้ ารสกัดขิง เป็นยาบรรเทาอาการคลน่ื ไส้ อาเจียน และบรรเทาอาการปวดเน่อื งจากข้อเสื่อม และลดการอักเสบบวมตามข้อ ซ่งึ มีองคป์ ระกอบของอนุพันธ์ุของ 4 – hydroxyl – 3 – methoxyphenyl เชน่ zingerone, gingerdiol, gingerdione,gingerols และ shogaols ขลู่ชื่อวิทยาศาสตร์ Pluchea indica (L.) Less. 7

ช่ือวงศ์ Compositae (Asteraceae)ชอ่ื สามัญ ไมม่ ีชื่อท้องถนิ่ ไมม่ ีลักษณะพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม (shrub) สูงได้ถึงประมาณ 2 เมตร ยอดอ่อนมีขน ใบเป็นใบเด่ียวเรียงเวียนรูปไข่กลับ หรือรูปไข่ มี ปลาบใบแหลม ฐานใบสอบ ขอบใบหยักซี่ฟันแกมจักฟันเล่ือยแผ่นใบค่อนข้างหนา กว้าง 1 – 5 เซนติเมตร ยาว 2 – 7 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อแยกแขนง อกปลายก่ิง โคนก้านช่อดอกมีใบประดับขนาดเล็ก ช่อดอกย่อยแบบกระจุกแน่นสีชมพูอมม่วง ดอกมี 2 แบบ ดอกอยู่รอบๆนอกเปน็ ดอกเพศเมีย ดอกตรงกลางเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผลแห้งเมล็ดล่อน รูปทรงกระบอกหรือรี มีขนเป็นพู่สั้นตอนปลายดอกยอ่ ยมี 2 แบบ ตรงกลางเป็นดอกสมบรู ณ์เพศ ดอกทเี่ หลอื อยู่รอบๆ เป็นดอกเพศเมีย กลีบดอกเช่ือมติดกันเปน็ หลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก ผล เป็นส่วนทใี่ ช้ ใบ ก่ิงอ่อน และช่อดอกช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา ช่วงองคป์ ระกอบทางเคมี 3-(2,3-ไดอะเซทอกซ-ี 2-เมทิล บวิ ทวิ ทิริล) - คอเออทีโมน , [3-(2,3-diacetoxy-2-methyl butyryl)- cuauhtemone] ซึ่งเป็นอนุพนั ธขุ์ องสารกลมุ่ คอเออทีโมน (cuauhtemone)ข้อบ่งใช้ ขลู่ 1 กามอื (สดหนัก 40 – 50 กรมั แห้งหนัก 15 – 20 กรมั ) ห่ันเปน็ ชิน้ ๆ ต้มกบั นา้ ดืม่ วันละ 3 ครัง้ กอ่ นอาหารคร้ังละ 1 ถ้วยชา (หรือ 75 มลิ ลิลติ ร) แกอ้ าการขัดเบารายงานการวจิ ัยปัจจุบนั การวจิ ัยพรีคลนิ ิกพบวา่ ชาชงขลคู่ วามเข้มขน้ ร้อยละ 10 เมื่อฉีดเข้าทางหลอดเลือดดาในหนูขาวแสดงฤทธขิ์ ับปัสสาวะ การวิจยั คลินิกพบว่า พบวา่ ชาชงขลู่ความเข้มข้นร้อยละ 5 เม่อื เปรียบเทยี บกบั ไฮโดรคลอไรไทอะไซด์ ขนาด 50 มลิ ลกิ รัม มขี บั เกลืออกทางปัสสาวะได้น้อยกว่า แตส่ ามารถขับปสั สาวะดกี ว่า ขม้นิ ชนัชอ่ื วิทยาศาสตร์ Curcuma longa Linn.ชื่อวงศ์ Zingiberaceaeชื่อสามัญ Turmericชื่อท้องถน่ิ ขม้ินแกง, ขมิ้นหยอก, ขมิน้ หัว, ขีม้ น้ิ , ตายอ, สะยอ และหมน้ิลกั ษณะพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก มีเหง้า (rhizome) เป็นลาต้นใต้ดินทาหน้าท่ีสะสมอาหาร มีอายุหลายปี มีแขนงทรงกระบอกเป็นแขนง เปลือกภายนอกสีน้าตาลมีข้อปล้องชัดเจน เนื้อด้านในมีสีเหลืองส้มมีกลิน่ เฉพาะตวั ใบเป็นใบเดย่ี วอกสลบั มีกาบใบเรยี งซ้อนอัดแน่น กาบใบยาว 40 – 60 เซนติเมตร รูปรีหรือรูปรีแกมรูปขอบขนานกว้าง 10 – 20 เซนติเมตร ยาว 30 – 70 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ฐานใบสอบแคบ หรือมนขอบใบเรียบ ดอกออกเปน็ ชอ่ ดอกเชิงลดรูปทรงกระบอกออกที่ปลายต้น หรือระหว่างกาบใบ มีใบประดับสีเขียวอ่อนหรือสีขาวรูปหอกเรียงซ้อนกัน เพ่ือรองรับดอกย่อยประมาณ 3 – 5 ดอก ในแต่ละใบประดับ จะทยอยกันบาน กลบี ดอกมีสขี าวโคนเชื่อมตดิ กันเปน็ ทอ่ ยาวปลายแยกเปน็ 3 แฉก กลีบเลี้ยงมีสีขาวใส เกสรเพศผ้ลู ักษณะคลา้ ยกลบี ดอกทีเ่ ป็นหมันมี 3 กลบี แต่มเี กสรเพศผ้ทู ส่ี มบรู ณ์ 1 อัน เกสรเพศเมีย รังไข่มี 3 ช่อง ผลมลี ักษณะกลมรี แต่มกั ไมต่ ิดผล เมลด็ มเี ย่ือหุม้ 8

ส่วนที่ใช้ เหงา้ สดและแห้ง ช่วงเวลาทีเ่ กบ็ เปน็ ยา เก็บในชว่ งอายุ 9 – 10 เดือน ชว่ งเดือนธันวาคม – เมษายน องคป์ ระกอบทางเคมี เหง้าขมนิ้ ชันมีส่วนประกอบของสารกลุ่มมอโนเทอร์พีน (monoterpenes)และเซสควิเทอร์พีน (sesquiterpenes) เช่น เทอโมโรน (termorone), เออาร์ – เทอร์เมอโรน (ar -tumerone), ซิงจิเบอรีน (zingiberene) และเคอโรน (curlone) และยังมีสารสีเหลืองในกลุ่มสารเคอร์คูมินอยด์ (curcuminoids) เชน่ เคอร์คมู ิน (curcumin) และเดสเมทอกซีเคอรค์ ูมนิ (desmethoxycurcumin) ข้อบ่งใช้ 1. เหง้าขมิ้นชันแก่ ล้างขมิ้นให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก) หั่นเป็นช้ินบางๆ ตากแดดจัดสัก 1 – 2 วัน บดให้ละเอียดผสมกับน้าผ้ึงปั้นเป็นเมล็ดขนาดปลายนิ้วก้อยรับประทานครั้งละ 2 – 3 เม็ดวันละ 3 – 4 คร้งั หลงั อาหารและกอ่ นนอน แก้อาการทอ้ งอดื ท้องเฟอ้ แนน่ จกุ เสียด และอาหารไมย่ ่อย 2. เหง้าขมิ้นชันแก่ ประมาณ 2 น้ิว ฝนกับน้าต้มสุกทาวันละ 3 ครั้ง บริเวณที่เป็นฝีแผลพุพอง และแก้อาการแพ้อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย หรือใช้ผงขม้ินชันโรยทาบริเวณท่ีมีอาการผื่นคันจากแมลงสตั ว์กดั ตอ่ ย รายงานการวิจยั ปจั จุบัน การวิจัยพรีคลินิกพบว่า เม่ือทาผงขม้ินชันท่ีผสมน้า ลงบนแผลของกระต่ายและหนูแรทสามารถเร่งให้แผลที่ไม่ติดเช้ือหายร้อยละ 23.3 และ 24.2 ตามลาดับ และสามารถเร่งให้แผลติดเช้ือของหนูแรทหายได้ร้อยละ26.2 การวิจัยคลินิกพบว่า ขมิ้นชันมีฤทธ์ิลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง รักษาอาการท้องเสีย และรักษาสิว ขีเ้ หลก็ บา้ น ช่อื วิทยาศาสตร์ Cassia siamea (Lamk.) Irwin et Barneby ชือ่ วงศ์ Leguminosae (Fabaceae) – Caesalpinioideae ชอ่ื สามัญ Cassod tree, Siamese senna และ Thai copperpod ชอ่ื ท้องถิน่ ขี้เหล็ก, ข้ีเหล็กแก่น, ขี้เหลก็ บา้ น และขี้เหล็กหลวง ลักษณะพฤกษศาสตร์ ไม้ต้น (tree) สูงได้ถึง 20 เมตร เปลือกต้นสีน้าตาลดา หรือสีเทาป็นใบประกอบขนนกชั้นเดี่ยวปลายใบคู่ (even unipinnate) เรียงสลับ (arternate) ขี้เหล็กบ้านเป็นไม้ผลัดใบ ผลิใบใหม่เร็ว มีใบย่อย 7—15 คู่ เรียงตัวตรงกันข้าม รูปไข่ ขอบขนาน กว้าง 1-2 เซนติเมตร ยาว 3-7เซนติเมตร ช่อดอกแบบช่อแยกขนงใหญ่ กลีบดอกสีเหลือง 5 กลีบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีเกสรเพศผู้ 10 อันขนาดไมเ่ ทา่ กัน มรี ังไข่ใต้วงกลีบรูปรี มีขนนุ่ม ผลแห้งแตก เป็นฝักแบน เมื่ออ่อนสีเขียว เม่ือแก่สีน้าตาล กว้าง1 – 5 เซนิเมตร อาจยาวได้ถงึ 30 เซนติเมตร เมล็ดรปู ไข่ เรยี งตามขวางมี 20 – 30 เมล็ดแบนสนี า้ ตาลอ่อน สว่ นท่ีใช้ ดอกตูมอ่อน ใบออ่ น ยอดอ่อน ชว่ งเวลาทเ่ี กบ็ เป็นยา เกบ็ ช่วงที่มีดอกตูมอ่อน ใบอ่อน ยอดอ่อน องค์ประกอบทางเคมี กลุ่มสารโครโมน (chromones) ได้แก่ 5- แอซโี ทนลิ – 7 ไฮดรอกซี – 2เมทิลโครโมน (5 – acetonyl – 7 hydroxy – 2 – methyl chromone ), บาราคอล (barakol), และมสี ารกลุ่มแอนทราวโิ นน (anthraquinones) เชน่ คริโซฟานอล (chrysophanol), แคสเซียมินเอ (cassiamin A),สารกลุ่มเซนโนไซด์ (sennosides),เรอิน(rhein),ฟซิ ิออล (physiol) สารกลุ่มแอลคาลอยด์ (alkaloids) เชน่ 9

ไซอะมนิ นี (siaminine),ไซอะมีน (siamine) สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) เช่น แคมปเ์ ฟอรอล(kaempferol),เอพเิ จนนิ (apigenin) สารกล่มสเตอรอล (sterols) เชน่ บีตา – ซิโทสเตอรอล(β -sitosterol), บีตา – ซิโทสเตอรอล ไกล์โคไซด์ (β – sitosterol glycosides) ข้อบ่งใช้ 1. ใบขี้เหลก็ บา้ นสด (ทัง้ ใยอ่อนและใบแก)่ 4 – 5 กามือ ต้มเอาน้าดื่มก่อนอาหาร หรือเวลามอี าการท้องผูก 2. ใบขเี้ หล็กบ้าน (ใบแหง้ หนกั 30 กรมั หรอื ใช้ใบสดหนัก 50 กรัม ตม้ เอานา้ รับประทานกอ่ นนอน ชว่ ยให้นอนหลบั คลายความกังวล และลดการเบื่ออาหาร ขอ้ หา้ มใช้ ห้ามใช้ใบขเ้ี หลก็ บ้านเปน็ สมนุ ไพรเดี่ยว กบั ผปู้ ่วยโรคตับ หรอื ผปู้ ว่ ยที่อยู่ระหว่างการรับยาอ่ืนทีม่ ผี ลต่อการทางานของตบั ขอ้ ควรระวงั ผ้ปู ว่ ยทรี่ บั ประทานยาเตรยี มจากใบขีเ้ หลก็ บ้าน ควรได้รับการตรวจการทางานของตับเป็นระยะๆ หากมีภาวะตาเหลือง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย ควรหยุดยาทันที และพบแพทย์แผนปัจจุบันเพ่ือตรวจการทางานของตับ คาเตอื น 1. การรับประทานยาเตรียมจากใบข้ีเหล็กบ้านอาจทาเพลยี ให้ผู้ป่วยเกิดโรคตบัอักเสบ (drug – hepatitis) 2. ไม่ควรรบั ประทานยาเตรยี มจากใบขเ้ี หล็กบา้ นใหเ้ ดก็ และสตรีระหว่างตัง้ ครรภ์หรือผู้ปว่ ยทมี่ ปี ระวตั โิ รคตบั 3. ไม่ควรรับประทานยาเตรียมจากใบขี้เหลก็ บา้ น ในระยะเวลาท่ีนาน รายงานการวจิ ยั ปจั จุบัน การวจิ ัยพรีคลินิกพบวา่ สารกลมุ่ แอนทราวโิ นน (anthraquinones) มฤี ทธ์ิเป็นยาถา่ ย สารสดั ใบขีเ้ หล็กด้วยแอลกอฮอล์เพิม่ การบบี ตัวลาไสข้ องกบ และสุนัข สารสดั จากใบดว้ ยนา้ รอ้ นมีฤทธ์เิ ป็นยาถา่ ยในหนูและเม่ือนาใบขีเ้ หล็กมาบดเป็นยาเด่ียวในรปู แบบยาเมด็ และแคปซลู โดยไม่ได้ต้มนา้ ทง้ิ พบว่า ใบข้ีเหลก็ มีฤทธ์ิทาให้นอนหลบั จากสารบาราคอล (barakol) ซง่ึ ตอ่ มาพบว่าทาให้ผปู้ ่วยหลายรายเกดิ อาการโรคตับอักเสบปัจจบุ นั คณะกรรมการอาหารและยา ไมร่ บั ข้นึ ทะเบยี นยาตารบั ยาแผนโบราณในรูปแบบยาสมนุ ไพรเดย่ี ว และจดั ใบขี้เหลก็ บา้ นอยใู่ นรายการสมนุ ไพรที่ต้องใชด้ ้วยความระมัดระวงั การวิจยั คลนิ กิ พบว่า มอี าการขา้ งเคียงเล็กนอ้ ย คอื มีการระบายท้อง ในการใช้ยาเม็ด และ ยาน้าเชื่อมใบขเ้ี หลก็ เพื่อช่วยการนอนหลบั คูนชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia fistula L.ชอื่ วงศ์ Leguminosae (Fabaceae) – Caesalpinioideaeชอื่ สามัญ Golden shower, Indian laburnum และ Pudding-pine treeช่ือท้องถน่ิ ลมแล้งลกั ษณะพฤกษศาสตร์ เป็นไม้ต้น (tree) เปลือกต้นสีเทา มีความสูงต้ังแต่ 5 – 15 เมตร ใบเป็นใบประกอบขนนกชั้นเด่ยี วปลายใบออกคู่ (even unipinnate) ใบย่อยรูปไข่ หรอื วงรี ปลายใบแหลม กว้าง 4 – 8เซนตเิ มตร ยาว 7 – 14 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อดอกท่ีปริเวณปลายกิ่ง ห้อยเป็นระย้าเป็นโคม กลีบดอกสี 10

เหลืองกล่ินหอมอ่อนๆ ผลเป็นฝักกลมยาว เมื่อผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่จัดมีสีน้าตาลหรือดา เปลือกแข็งมีผนังกั้น เป็นข้อ แตล่ ะขอ้ มี 1 เมลด็ หุ้มด้วยเน้อื สดี า เหนยี ว มรี สชาติหวานส่วนที่ใช้ เนอ้ื ในฝักแก่ชว่ งเวลาทเ่ี กบ็ เปน็ ยา เกบ็ ชว่ งฝักแก่ เปลอื กเปน็ สีน้าตาลเขม้องค์ประกอบทางเคมี เนอื้ ในฝกั คูนแก่มสี ารอนุพันธ์ของสารกลุ่มแอนทราวิโนน(anthraquinones) มีฤทธ์ิเป็นยาระบาย หลายชนิด คือ เซนโนไซดเ์ อ (sennoside A), เซนโนไซด์บี(sennoside B), เรอิน(rhein), บารบ์ าลนั (barbaloin) และอะโลอินขอ้ บ่งใช้ เน้ือในฝักคูน ประมาณ 4 กรัม ต้มกับน้าใส่เกลือเล็กน้อย ด่ืมก่อนนอนหรือตอนเช้ากอ่ นอาหาร เป็นยาระบายสาหรับคนทท่ี อ้ งผกู เปน็ ประจา และสตรีมีครรภ์ก็ใช้ฝักคูนเป็นยาระบายได้รายงานการวิจัยปจั จุบันการวจิ ัยพรคี ลนิ กิ พบวา่ สารสกดั เนื้อในฝักคูน เมื่อชงให้หนถู ีบจักรขนาด 100 – 500 มิลลิกรมั ตอ่กโิ ลกรัม พบว่าออกฤทธิ์เป็นยาระบาย และมผี ลทาใหก้ ารบีบตวั ของลาไส้ของหนตู ะเภา ดังน้ันจึงไม่ควรรบั ประทานตดิ ต่อกันเป็นเวลานานเพราะจะทาใหร้ า่ งหายเคยชิน ชมุ เห็ดเทศชื่อวิทยาศาสตร์ Senna alata (L.) Roxb.ชื่อวงศ์ Leguminosae (Fabaceae) – Caesalpinioideaeชอื่ สามัญ Acapulo, Candelabra bush และ Candle bushชือ่ ท้องถ่นิ ข้ีคาก, ชมุ เห็ดใหญ่, ตะลพ่ี อ และ ลับมืนหลวงลกั ษณะพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มสูง (shurb) 1-5 เมตร ใบเป็นใบประกอบขนนกชัน้ เด่ียวปลายใบออกคู่ (even unipinnate) ดอกออกเป็นช่ออกกระจะกลีบดอกสเี หลอื งแกรสม้ ที่ปลายกงิ่ เป็นดอกสมบูรณ์เพศผลเป็นฝกั แบบแห้งแตกรูปสี่เหลี่ยมมคี ีบตามยาวของฝัก เม่ืออ่อนมีสีเขียว เมื่อแกม่ สี นี ้าตาลดาภายในมเี มลด็รปู สามเหลี่ยมสีน้าตาลหรือน้าตาลอมดาสว่ นทใ่ี ช้ ใบช่วงเวลาท่เี ก็บเปน็ ยา เกบ็ ใบชุมเห็ดเทศขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนเกนิ ไป ต้องเกบ็ ก่อนออกดอก , เกบ็ ดอกสดเปน็ ยาองคป์ ระกอบทางเคมี ใบชมุ เหด็ เทศมสี ารกลุ่มแอนทราวโิ นน (anthraquinones) ในรูปอะไกรโคนเสรี (free aglyconees) เชน่ เรอนิ (rhein), อโี มดิน (emodin), อะโลอีโมดนี (aloe - emodin),คลโิ ซฟานอล (chrysophanol) และไอโซคริโซฟานอล(isochrysophanol) และฟสิ ซโิ อน (physcione) เซนโนไซด์เอ(sennoside A), เซนโนไซดบ์ ี (sennoside B),เซนโนไซดซ์ ี (sennoside C), เซนโนไซด์ดี (sennoside D)ข้อบ่งใช้ 1. ใบชุมเหด็ เทศสด ขยี้หรือตาในครกให้ละเอียด เติมน้าเล็กน้อย หรือใช้ใบชุมเห็ดเทศกับหวั กระเทยี มเท่าๆ กนั ผสมปนู แดงท่กี ินกับหมากเลก็ นอ้ ย ตาผสมกัน ทาบริเวณท่ีเป็นกลาก จนหายแล้วทาต่ออีก 7 วันรายงานการวิจัยปจั จุบัน 11

การวจิ ยั พรคี ลนิ ิกพบวา่ ใบชุมเหด็ เทศมีฤทธ์เิ ป็นยาระบายต้านเชอ้ื ราอันเปน็ สาเหตุของกลากเกลอ้ื นบรเิ วณผิวหนัง ตา้ นหดิ ต้านเชือ้ แบคทเี รยี ตะไคร้บา้ นชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus Stapfชอ่ื วงศ์ Gramineae (Poaceae)ชอื่ สามัญ Lemon Grass และ Lapineชื่อท้องถ่ิน ตะไคร้แกงลกั ษณะพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม สงู ไดถ้ ึง 2 เมตร มลี าตน้ ใตด้ นิ ออกเป็นเหง้า มีกาบใบ (leaf sheath)ออกมาจากโคนหนามีกลิ่นเฉพาะตัว ออกมาเป็นพุ่มทาให้เป็นลาต้นเทียมหนา กาบใบหุ้มกันทาให้เป็นลาต้นเทียมที่ขาวครีมอมม่วงอ่อน ใบเป็นใบเด่ียวมีขนสาก รูปร่างใบแคบ (linear) ขอบขนาน ปลายใบแหลมมีกล่ินเฉพาะตวั ช่อดอกเป็นแบบชอ่ แยกแขนง แตกกง่ิ กา้ นกระจายโค้งลงสว่ นท่ีใช้ ลาตน้ เทยี ม และเหงา้ แก่ สดหรือแห้งชว่ งเวลาทีเ่ ก็บเป็นยา เกบ็ เหงา้ และลาตน้ เทียแก่องคป์ ระกอบทางเคมี มีน้ามันระเหยง่าย (volatile oil) กลม่ เทอร์พนี อยด์ (terpenoids) เช่น ไลนาโลออล (linalool), ซีทราล (citral), เจอรานอิ อล (geraniol), เมทลิ เฮปทนี อล (methylheptenol), ยูจนี อล(eugenol), และลูทีโอลิน (luteolin)ขอ้ บ่งใช้ 1. ลาต้นเทียมตะไครบ้ า้ นแกส่ ดๆ ทุบพอแหละ ประมาณ 1 กามือ (ราว 40 – 60 กรัม)ต้มเอาน้าดื่ม หรือประกอบเป็นอาหาร แก้อาการทอ้ งอดื ทอ้ งเฟ้อ แนน่ จดุ เสียด 2. ลาต้นเทียมตะไครบ้ า้ นแก่ 1 กามอื (สดหนกั 40 – 60 กรมั แห้งหนกั 20 – 30 กรัม)ตม้ กับนา้ ด่ืมวันละ 3 ครง้ั ๆละ 1 ถ้วยชา (75 มลิ ลิลิตร) ก่อนอาหาร หรือใชเ้ หง้าแก่ท่อี ย่ใู ต้ดิน ฝานเปน็แว่นบางๆ คัว่ ไฟอ่อนๆ พอเหลือง ชงเปน็ ชาด่ืมวนั ละ 3 ครงั้ ๆละ 1 ถว้ ยชา แก้อาการขัดเบา ผู้ท่ีปัสสาวะขัดไมค่ ล่อง (แต่ต้องไม่มีอาการบวม) พอปสั สาวะสะดวกแลว้ จึงหยุดยารายงานการวจิ ัยปัจจุบนั การวจิ ยั พรีคลนิ ิกพบว่า มีฤทธขิ์ ับปสั สาวะเล็กน้อยในหนู แต่ไมม่ ีฤทธขิ ับปัสสาวะมรสนุ ัข มีฤทธิต้านเชื้อแบคทีเรียและรา กระตุ้นภมู ิคมุ้ กนั ต้านอนมุ ูลอิสระ และลดความดนั โลหติ การวจิ ัยคลนิ กิ พบว่า นา้ มนั ตะไคร้บ้านสามารถลดคลอเลสเตอรอลในเลือดไดใ้ นผปู้ ่วยบางราย แต่ชาชงไม่มผี ลต่อการบดระดบั ไขมนั ในเลือด ทบั ทิมชอ่ื วิทยาศาสตร์ Punica granatum L. var. granatumช่อื วงศ์ Punicaaceaeชอ่ื สามัญ Pomegranateชอ่ื ท้องถ่นิ เซ๊ียะลวิ้ , พิลา, พลิ าขาว, มะก่องแกว้ , มะเก๊าะ และหมากจังลกั ษณะพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม (shrub) สูงขนาด 2 – 3 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหอก รูปรี รูปหอกกลับ เรียงตรงข้าม เรียงตรงข้าม หรืออกเป็นกระจุก กว้าง 0.5 – 2.5 เซนติเมตร ยาว 1 – 9 เซนติเมตร มีหนามออกที่ศอกใบ ปลายใบมีติง่ หรือมน ฐานใบสอบ ขอบเรียบ ดอกเป็นดอกเด่ียวสมบูรณ์เพศ กลีบดอกสีส้ม 12

ย่น มีท้ังพันธุ์ดอกลา และดอกซ้อน เกสรเพศผู้จานวนมาก รังไข่อยู่ใต้วงกลีบ ผลเดี่ยวมีเมล็กมาก รูปร่างค่อยค้างกลมแปน้ เปลือกภายนอกมีหลยาสี เชน่ สเี ขียวแกมเหลือง สีแดง หรือสีม่วงเข้ม เส้นผ่านศูนย์กลาง 6 -12เซนตเิ มตร ภายในผลมีผนังสีขาวาง แบ่งเป็นสว่ นๆ มเี มล็ดอดั แนน่ รูปสามเหลี่ยมทู่ มีเน้ือใสฉ่าน้า สีแดงเข้ม สีแดงแกมสชี มพู หรือสีขาวแกมเหลืองสว่ นทีใ่ ช้ เปลอื กผลแห้ช่วงเวลาท่เี ก็บเป็นยา เก็บในชว่ งที่ผลแก่ ใช้เปลือก ผลตากแดดให้แห้งองคป์ ระกอบทางเคมี เปลอื กผลทบั ทิมมสี ารกลุ่มแทนนิน (tanin) เช่นกลมุ่ เอลลาจแิ ทนนนิ(ellagitannins) และกลุม่ แกลโลแทนนนิ (gallotannins) กรดแกลลกิ (gallic acid) กรดเอลลาจิก (ellagicacid) นอกจากนี้ยังมกี ลุ่มสารพอลีฟีนอล (polyphynols) เช่น ลูทีโอลิน (lutiolin) เคอรเ์ ซทนิ (quercetin)แคมปเ์ ฟอรอล (kaempferol) และสารอื่นๆ เชน่ เรซิน (resin), ยาง (gum), อินลู ิน (inulin), เมือก(mucilage), เพกทิน (pectin) และแมนนิทอล (mannitol)ข้อบ่งใช้1. เปลือกผลทับทิมแห้ง ประมาณ 1 ใน 4 ของผล ฝนกับน้าฝน หรือน้าปูนใสให้ข้นๆรับประทานครัง้ ละ 1 – 2 ช้อนแกง หรอื ต้มกบั น้าปนู ใส แล้วดม่ื น้าต้มกไ็ ด้ แก้อาการท้องเดนิ2. เปลือกผลทับทิมแห้ง คร้ังละ 1 กามือ (3 – 5 กรัม) ต้มกับน้าดื่มวันละ 2 คร้ัง อาจใช้กานพลูหรืออบเชย แต่งกลิ่นใหน้ ่าด่มื ก็ได้ แก้บิด (มีอาการปวดเบง่ และมีมูก หรอื อาจมีเลอื ดด้วย)รายงานการวิจยั ปจั จุบนัการวิจัยพรีคลินิกพบว่า สารสกัดเปลือกผลช่วยให้ยับย้ังให้หนูถีบจักรไม่ถ่ายอุจจาระเหลวจากการท่ีรบั ยาถ่ายนา้ มันละหุ่ง (costal oil)หรือยาถ่ายดเี กลอื ฝรั่ง และยังช่วยให้ลาไส้เล็กส่วนปลายหดตัว สาสกัดด้วยเปลือกทับทิมด้วยน้าแ ละแอลกอฮอล์มีผลต้านเชื้อแบคทีเรียท่ีทาให้เกิดอุจจาระร่วง เช่น Shigella boydii,Salmonella london, Vibrio cholera และEscherichia coli อกี ทั้งมฤี ทธ์ติ ้านอนุมลู อิสระ มะพรา้ วชื่อวิทยาศาสตร์ Cocos nucifera L.ชื่อวงศ์ Palmaeชือ่ สามัญ Coco Palm หรือ Coconut Treeชือ่ ท้องถ่ิน หมากอุ๋น และหมากอูนลักษณะพฤกษศาสตร์ มะพร้าวเป็นพืชใบเล้ียงเดี่ยว ที่มีถ่ินกาเนิดทีเกาะโคโคส (Cocos Island)และเกาะคีลลิง (Keeling Island) ในมหาสมุทรอินเดีย ท่ีมีลาต้นสูงถึง 20 – 30 เมตร มีข้อ (node) ปล้อง(inter node) ชัดเจน ใบประกอบขนนก ออกเรียงซ้อนกันเป็นกระจุกอยู่บริเวณปลายยอด ใบย่อยมีรูปร่างใบขนาน และแคบ หนา (linear) มีสีเขียวเข้ม ดอกออกเป็นช่อมีกาบหุ้ม (spathe) บริเวณซอกใบ ผลเป็นผลเดี่ยวมี 1 เมล็ด (drup) รูปร่างกลม หรือรี ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ เรียกว่าทะลาย ติดอยู่บนแกนช่อดอกที่แขง็ แรง ผลออ่ นมีสีเขียว และจะเปล่ียนเป็นสีน้าตาลเข้มเม่ือแก่ เปลือกผลช้ันนอก (exocarp) เรียบ ช้ันกลาง(mesocarp) เป็นเส้นใย เรียกว่า ใยมะพร้าว (coir) ช้ันถัดไป (endocarp) มีลักษณะแข็ง เรียกว่า กะลา(cocout shell) ซ่ึงบริเวณภายในจะมีเนื้อมะพร้าว (solid endosperm) รสมัน สีขาว และน้ามะพร้าว(liquid endosperm) รสหวาน มีรากคา้ จุนบรเิ วณโคนตน้ (prop root)ส่วนที่ใช้ น้ามนั มะพร้าว 13

ช่วงเวลาท่ีเกบ็ เป็นยา เกบ็ ในชว่ งผลแก่ เพื่อให้ได้เน้ือมะพรา้ ว (solid endosperm) ท่ีแก่ และเมอ่ื นามาตากแดดให้แห้ง เรยี กว่า เนอื้ มะพร้าวแหง้ (copra) จากน้นั จึงนามาบีบ หรือเค่ยี วเป็นน้ามันระเหยยาก (fixed oil) ร้อยละ 60-65 เรยี กวา่ น้ามันมะพรา้ ว (coconut oil) องคป์ ระกอบทางเคมี น้ามันมะพรา้ ว (coconut oil) ประกอบด้วยกรดไขมันหลายชนิด เช่น กรดลอรกิ (lauric acid) รอ้ ยละ 45 กรดคาปริก (carpic acid) รอ้ ยละ 10 กรดคาพรัยลกิ (caprylic acid) ร้อยละ9 และกรดปาล์มติ กิ (palmitic acid) รอ้ ยละ 7 เป็นตน้ ข้อบ่งใช้ ใชน้ ้ามันมะพร้าว (coconut oil) ทาตัวแกผ้ ิวหนังแหง้ แตกเปน็ ขุย บารุงเสน้ ผม สรรพคณุ ยาไทย นา้ มันมะพร้าว รสมนั สรรพคุณ แกผ้ วิ หนังแหง้ แตกเป็นขุย ดอก รสฝาดหอม สรรพคุณ บารุงโลหิต แกป้ ากเปื่อย ราก รสหวานฝาดเยน็ สรรพคุณ แกไ้ ข้ แกร้ ้อนในกระหายนา้ แก้ไข้ท้องเสยี นา้ มะพรา้ ว รสหวาน สรรพคณุ บารุงหวั ใจ แก้ออ่ นเพลีย ทาใหจ้ ติ ใจชุม่ ชน้ื บารุงครรภ์ เยือ่ มะพร้าว น้ามะพร้าว รสหวาน กระทาใหช้ ่มุ อก เจรญิ ไฟธาตุ ให้มีกาลัง แก้กาเดา แต่ถ้าใช้เป็นนจิให้เกดิ โทษมากแล รากมะพร้าว ดอกมะพร้าว งวงตาลอันอ่อนมรี สหวาน แก้ลงท้อง แก้โลหิต แก้ริดสดี วงปากเปอ่ื ย ตรกี ฎุกเสมอภาค ทาผง ลาลายน้านมโค แกส้ ะอึก แก้ตรโี ทษ ละลายนมกระบือ แก้กาเดา แก้ดี แก้โลหติ ละลายน้านมแพะ แกเ้ สมหะแล 14


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook