ส รุ ป เ นื้ อ ห า ห น่ ว ย ที่ 1-9 วิ ช า เ ท ค โ น โ ล ยี แ ล ะ สื่ อ ดิ จิ ทั ล เ พื่ อ ก า ร จั ด ก า ร อ า ชี พ รหัสวิชา 3001-2003
หน่วยที่ 1 BIG DATA
Big Data บิ๊กดาต้า (Big Data) คือคำนิยามของข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ทุก ชนิดที่อยู่ในองค์กรของเราไม่ว่าจะเป็ นข้อมูล บริษัท ข้อมูล ลูกค้า Suppliers พฤติกรรมผู้บริโภค Transaction ไฟล์เอกสาร ต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวมไปจนถึงรูปภาพ URLs สิงค์ต่างๆที่ คุณเก็บไว้ ฯลฯ ที่มีปริมาณมากจนกระทั่งซอฟต์แวร์ปกติทั่วไป ไม่สามารถรองรับการเก็บข้อมูลหรือประมวลผลได้อย่างเต็ม ประสิทธิภาพซึ่ง อีกนัยนึง Big Data คือข้อมูลจํานวนมากมหา ศาลของ บริษัท ทุกเรื่องทุกแง่มุมทุกรูปแบบที่คุณพอจะ นึกออกซึ่งอาจเป็ นข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจน (Structured Data) เช่นข้อมูลที่เก็บอยู่ในตารางข้อมูลต่างๆหรืออาจเป็ น ข้อมูลกึ่งมีโครงสร้าง (Semi-Structured Data) เช่นล็อกไฟล์ (Log files) หรือแม้กระทั่งข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Data) เช่นข้อมูลการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ผ่านสังคมเครือข่าย (Social Network) เช่น Facebook, twitter หรือไฟล์จําพวกมีเดีย เป็ นต้นโดยอาจจะเป็ นข้อมูลที่มาจากภายในองค์กรและ ภายนอกที่มาจากการติดต่อกับ Supplier หรือจากทุกช่อง ทางการติดต่อกับลูกค้า แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังคงเป็ นเพียงข้อมูลดิบ ที่รอการนำมาประมวลและวิเคราะห์เพื่อนำผลที่ได้มาสร้าง มูลค่าทางธุรกิจข้อมูลเหล่านี้อาจจะไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่องค์กร สามารถนำไปใช้ได้ทันที แต่อาจมีข้อมูลที่เป็ นประโยชน์ต่อ องค์กรบางอย่างแฝงอยู่
1.มีปริมาณมาก (Volume) ปัจจัยข้อแรกแน่นอนว่าคำว่า Big Data มีคำว่า \"Big\" นั่นก็คือ ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งรูปแบบ Online และ Offline ซึ่งส่วนมากแล้วจะมี ปริมาณมากกว่าหน่วย TB (Terabyte) ขึ้นไปหรือปริมาณของข้อมูลที่ต้องมีคุณค่าและมี มากพอ 2. มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Velocity) ส่งผ่านข้อมูล Update กันอย่างต่อเนื่อง (Real-time) จนทำให้การวิเคราะห์ง่ายๆแบบ Manual เกิดข้อ จำกัด หรือไม่สามารถจับรูป แบบหรือทิศทางของข้อมูลได้หรือความเร็วของข้อมูลที่เข้ามาและการค้นหาข้อมูล แต่ถ้าเข้ามา แล้วค้นหาไม่เร็วไม่ถือว่าเร็ว 3. หลากหลายประเภทหรือแหล่งที่มา (Variety) หมายถึงรูปแบบของข้อมูลที่แตกต่างกัน ออกไปทั้งในรูปแบบตัวอักษรวิดีโอรูปภาพไฟล์ต่างๆ ฯลฯ และหลากหลายแหล่งที่มาเช่น Social Network หรือ Platform E-Commerce ต่างๆ 4.ยังไม่ผ่านการประมวลผล (Veracity) ยังไม่ผ่านการ Process ให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูล ดิบ (Raw Data) ที่สามารถใช้สร้างประโยชน์ต่อองค์กรได้หรือคุณภาพของข้อมูลต้องเชื่อถือ ได้
ทำไมต้อง BIG DATA? ทำไมต้อง Big Data คุณเป็ นลูกค้าของธุรกิจเหล่านี้หรือไม่ Netflix, Youtube, Facebook, Twitter, Google, Walmart, Starbucks หนึ่งในเทคโนโลยีที่ทำให้ บริษัท เหล่านี้ประสบ ความสําเร็จคือ Big Data พวกเขามีข้อมูลในมือจํานวนหาศาล สามารถนำมาใช้วิเคราะห์เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจและตัดสิน ใจในเรื่องสำคัญ ๆ จากผลประมวลจากข้อมูลเหล่านั้นไม่ใช่ แค่ต่างชาติเท่านั้นที่กระโจนเข้าสู่เรื่องราวของ Big Data ใน ประเทศไทยก็เช่นกันการตื่นตัวในการนำข้อมูลไปใช้ของภาค ธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้นเป็ นหนึ่งสิ่งที่สะท้อนความสำคัญและการ เติบโตของ Big Data ในประเทศไทยได้เป็ นอย่างดีข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (Economic Intelligence Center) เมื่อเดือนกันยายน 2017 ที่ผ่านมาพบว่า บริษัท ชั้น นำของไทยจากหลากหลายอุตสาหกรรมรวม 62 แห่งกว่า 56% เริ่มใช้ Big Data เพื่อพัฒนาการขายและการตลาดเป็ น หลักและใช้ประโยชน์จากการปรับปรุงสินค้า / บริการให้ตอบ โจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วในขณะที่ภาคการผลิตสนใจนำข้อมูล Big Data ไปใช้ ในการวิเคราะห์เพื่อเพิ่ม Productivity ในกระบวนการผลิต และการดำเนิ นงาน
กระบวนการจาก Big Data สู่ความสัมพันธ์ของข้อมูล 1 Storage: การรวบรวมข้อมูลมาจัดเก็บการรวบรวมข้อมูล จากแหล่งต่างๆทั้งข้อมูลที่มีคุณภาพข้อมูลที่คาดว่าจะมี ประโยชน์ / ไม่ครบถ้วนข้อมูลรูปภาพวิดีโอไฟล์เสียงทั้งหลาย ถูกส่งมาจัดเก็บที่ถังข้อมูล 2 Processing: การประมวลผลเมื่อข้อมูลต่างๆถูกนำมารวม กันไว้ในที่เดียวแล้วจะถูกนำไปจัดหมวดหมู่ข้อมูลที่มีความ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันให้ผลคล้ายคลึงกันแล้วนำมาเปลี่ยนเป็น รูปแบบข้อมูลเพื่อเอาเข้าระบบคลังข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล แล้ว 3 Analyst: การวิเคราะห์และนำเสนอจากนั้นข้อมูลมากมาย ทั้งหมดที่ถูกจัดเรียงแล้วในหลายมิติจะถูกนำมาวิเคราะห์หา Pattern ของข้อมูลที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเช่นหารูปแบบ ความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่หาแนวโน้มการตลาดเทรนด์ความชอบ ของลูกค้าและข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ทางธุรกิจและถูกนำ เสนอออกมาในรูปแบบที่เข้าใจง่ายผ่านทางสถิติกราฟหรือ รูปภาพนั่นเอง
ขั้นตอนในการสร้าง Big Data 1 . P R O B L E M A N A L Y S I S วิ เ ค ร า ะ ห์ แ ล ะ ร ะ บุ โ จ ท ย์ สิ่ ง ที่ เ ร า อ ย า ก รู้ ปั ญ ห า ที่ เ ร า ต้ อ ง ก า ร แ ก้ 2. DATA PREPARATION 3. MODELING ออกแบบ เ ต รี ย ม ข้ อ มู ล ใ ห้ พ ร้ อ ม ป รั บ โ ค ร ง ส ร้ า ง ข้ อ มู ล ใ ห้ ต อ บ โ จ ท ย์ ใ น เ ป ลี่ ย น ข้ อ มู ล ใ ห้ อ ยู่ ใ น รู ป แ บ บ ที่ สิ่ ง ที่ เ ร า อ ย า ก รู้ ห รื อ ปั ญ ห า ที่ เ ร า เ ห ม า ะ ส ม ค ร บ ถ้ ว น ถู ก ต้ อ ง ต้ อ ง ก า ร แ ก้ 4 . D A T A A N A L Y T I C S นำ ข้ อ มู ล ที่ เ ต รี ย ม ไ ว้ ม า วิ เ ค ร า ะ ห์ เ พื่ อ ห า ค ว า ม สั ม พั น ธ์ เ พื่ อ เ ข้ า ใ จ ส า เ ห ตุ ข อ ง ปั ญ ห า เ พื่ อ ค า ด ก า ร ณ์ สิ่ ง ที่ จ ะ เ กิ ด ขึ้ น ใ น อ น า ค ต แ ล ะ นำ ไ ป สู่ แ น ว ท า ง แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า ที่ เ ร า ตั้ ง เ อ า ไ ว้ 5 . D E P L O Y M E N T นำ ผ ล ที่ ไ ด้ จ า ก ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ไ ป แ ส ด ง ผ ล แ ล ะ ใ ช้ ง า น ต่ อ เ ช่ น อ อ ก R E P O R T , D A S H B O R D แ ล ะ นำ แ น ว ท า ง ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า จ า ก ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ไ ป ป ฏิ บั ติ จ ริ ง 6 . E V A L U A T I O N / M O N I T O R I N G ป ร ะ เ มิ น ว่ า ผ ล ที่ ไ ด้ จ า ก ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ มี ค ว า ม ถู ก ต้ อ ง แ ม่ น ยำ เ ป็ น ป ร ะ โ ย ช น์ ห รื อ ไ ม่ ห รื อ แ น ว ท า ง ก า ร แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า ที่ ไ ด้ จ า ก ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ มี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ต่ อ โ จ ท ย์ ที่ ตั้ ง ไ ว้ ห รื อ ไ ม่
ประโยชน์ที่จะนำ Big Data ไปใช้มี 3 เรื่องใหญ่ 1. ลดค่าใช้จ่ายช่วยตัดสินใจ 2. การออกโปรดักส์หรือ สร้างโอกาสให้ธุรกิจ บริการใหม่ก็ตามซึ่งองค์กร ขนาดใหญ่จะใช้ big ดู พฤติกรรมลูกค้าสนใจอะไรใช้ วัดเสียงสะท้อนผู้บริโภค 3. การมีข้อมูลทำให้ออกผลิตภัณฑ์ได้รวดเร็วกว่าและถูกใจลูกค้า กว่าแม้อาจไม่ได้ดีที่สุดก็ตาม \"หลาย ๆ ผู้ประกอบการนำ Big data มาวิเคราะห์ตลาดและดูข้อมูลคู่แข่งว่าทำอะไรบ้างไปถึงไหนแล้ว และดูพฤติกรรมลูกค้าว่าสนใจอะไรชอบอะไรโดยดูจาก consumer voice ดู keyword อะไรที่จะโดนใจผู้บริโภคทำให้ปีเดียวอาหาร เสริมยี่ห้อหนึ่งทำยอดขายได้ 600 ล้านบาทมีข้อมูลทำให้ออก ผลิตภัณฑ์ได้ถูกใจลูกค้าแม้อาจไม่ได้ดีที่สุดมาวิเคราะห์ตลาด แม้แต่วิเคราะห์คู่แข่งและ data
หน่วยที่2 IOT INTERNET OF THINGS
INTERNET OF THINGS (IOT) INTERNET OF THINGS (IOT) คือการที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ต่างๆสามารถเชื่อมโยงหรือส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ตโดยไม่ ต้องป้อนข้อมูลการเชื่อมโยงนี้ง่ายจนทำให้เราสามารถสั่งการควบคุมการ ใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ไป จนถึงการเชื่อมโยงการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆผ่านทางเครือ ข่ายอินเตอร์เน็ตเข้ากับการใช้งานอื่น ๆ จนเกิดเป็นบรรดา SMART ต่างๆ laun SMART DEVICE, SMART GRID, SMART HOME, SMART NETWORK, SMART INTELLIGENT TRANSPORTATION \"อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง\" หรือ \"อินเทอร์เน็ตของ สรรพสิ่ง\" คือการที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆสามารถเชื่อมโยงหรือส่ง ข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ตการเชื่อมโยงนี้ง่ายจนทำให้เราสามารถสั่ง การควบคุมการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆผ่านทางเครือข่าย อินเทอร์เน็ตได้ซึ่งคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยี INTERNET OF THINGS นี้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในปัจจุบันได้เป็น อย่างดีมีประสิทธิภาพที่ตรงใจผู้ใช้ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ยิ่งไปกว่า นั้น INTERNET OF THINGS มีการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ สามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆได้ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางธุรกิจทางสังคมหรือ แม้แต่ช่วยแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันได้
ประโยชน์และความเสี่ยงของ IOT เทคโนโลยี INTERNET OF THINGS มีประโยชน์ในหลายด้านทั้ง เรื่องการเก็บข้อมูลที่แม่นยำและเป็นปัจจุบันช่วยลดต้นทุนแถมยังช่วย เพิ่มผลผลิตของพนักงานหรือผู้ใช้งานได้แม้ว่าแนวโน้มของ IOT มี แต่จะเพิ่มขึ้นด้วยคุณาประโยชน์ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ประโยชน์ใด ๆ นั้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงเพราะความท้าทายในการรักษาความ ปลอดภัยของเครือข่ายใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นจะผลักดันให้ผู้เชี่ยวชาญมีการ รับมือทางด้านความปลอดภัยมากขึ้นในทางตรงกันข้ามแฮกเกอร์หรือผู้ ไม่หวังดีก็ทำงานหนักเพื่อที่จะเข้าควบคุมโจมตีเครือข่ายหรือเรียกค่าไถ่ ในช่องโหว่ที่ IOT มีอยู่ฉะนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทาง IOT จึงจำเป็นต้องพัฒนามาตรการและระบบรักษาความปลอดภัยไอทีควบคู่ กันไปเพื่อให้ธุรกิจและการใช้งาน IOT
วิวัฒนาการยุค 5G ระบบ 5G เป็นพื้นฐานของแนวคิด INTERNET OF THING และ MACHINE TO MACHINE ซึ่งเป็นการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือยานพาหนะหรืออาคารสิ่งก่อสร้างที่มีการติดตั้งวง จรอิเลคทรอนิกส์ซอฟแวร์เซ็นเซอร์และเครือข่ายการเชื่อมต่อต่างๆที่ ทำให้อุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งผ่านข้อมูลถึงกันโดยมีความล่าช้าของ เวลา (TIME LAG) น้อยมากทำให้สามารถใช้เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี ต่างๆที่เคยทำไม่ได้ในอดีตเช่นการผ่าตัดทางไกลที่แพทย์สามารถทำการ ผ่าตัดให้คนไข้ที่อยู่ในอีกซีกโลกได้ดังนั้นหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและ เอกชนจึงต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีให้รองรับกับระบบนี้ซึ่งการพัฒนา เหล่านี้จะเปลี่ยนวิถีชีวิตในอนาคตของผู้คนโดยสิ้นเชิงเครือข่ายแบบไร้ สายในยุค 5G ซึ่งมีความสามารถในการส่งข้อมูลในปริมาณที่มากกว่า ระบบ 4G ถึง 1,000 เท่าโดยผิวเผินระบบ 5G ถูกมองว่าเป็นเพียง ระบบใหม่ที่ถูกนำมาใช้ทดแทนระบบเดิมด้วยประสิทธิภาพที่สูงกว่าดังเช่น ที่ระบบ 4G มาทดแทนระบบ 3G แต่ในความจริงแล้ว 5G เป็น เทคโนโลยีที่มีความเร็วสูงและความสามารถในการส่งข้อมูลปริมาณมาก จึงทำให้อุปกรณ์ที่รองรับระบบนี้จะไม่ จำกัด เพียงแค่โทรศัพท์อีกต่อไป แต่จะรวมไปถึงเครื่องมือเครื่องใช้และระบบสาธารณูปโภคทั้งหมด
ข้อดี-ข้อเสีย INTERNET OF THINGS ข้อดี INTERNET OF THINGS ข้อเสีย INTERNET OF THINGS -เพิ่มความสะดวกสบายในการ -เพิ่งพาระบบอินเทอร์เน็ตหากไม่ ทำงานและการดำเนินชีวิตเช่น สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อาจ หลอดไฟที่เปิดหรือปิดเองได้ตาม เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาเช่นไม่ เวลาที่ตั้งไว้ผ่านมือถือเป็นต้น สามารถสั่งงานอุปกรณ์ได้เป็นต้น -ความปลอดภัยของข้อมูลเนื่องจาก -เพิ่มความรวดเร็วและ อุปกรณ์ถูกเชื่อมโยงกันด้วยเครือข่าย ประสิทธิภาพในการทำงานทำให้ เดียวกันทำให้ต้องการบำรุงและรักษา สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วถูก ความปลอดภัยของข้อมูลกับซอฟต์แวร์ ต้องและแม่นยำขึ้นได้ ของอุปกรณ์อยู่เสมอ -ความผิดพลาดที่เกิดจากการประมวล -ช่วยลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ ลงได้ ผลผิดพลาดอุปกรณ์ IOT อาจเกิด จากการใช้ IOT เช่นแผง ปัญหาประมวลผลผิดพลาดได้ เกษตรกรรมที่มีการใช้ ICT ให้ เนื่องจากการเขียนโปรแกรมที่ไม่รัดกุม รดน้ำตามเวลาและระดับความชื้น และพอมีอุปกรณ์ตัวไหนตัวหนึ่ง ที่กำหนดเป็นต้น ประมวลผลผิดพลาดจะส่งผลทำให้ อุปกรณ์อื่น ๆ ที่เชื่อมต่ออยู่ด้วย ประมวลผลผิดพลาดไปตาม
หน่วยที่3 Blockchain เทคโนโลยีที่ใช้ในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องผ่านบุคคลที่สาม
BLOCKCHAIN เป็ นนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่ อความปลอดภัยสำหรับ ข้อมูลที่เปิ ดเผยได้โดยมีแนวคิดว่าการสร้างข้อมูลที่ทุกฝ่ ายยอมรับซึ่ง กันและกันจากนั้นน่าข้อมูลบันทึกลงในกล่องสี่เหลี่ยมโดยมีข้อมูล เหมือนกันทุกกล่อง (Block) และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันแบบห่วงโซ่ (Chain) ทำให้บล็อกเชนไม่ต้องผ่านตัวกลางในการส่งข้อมูลอีกต่อไปยก ตัวอย่างเช่นปั จจุบันเครื่ องมือสื่ อสารต้องเดินทางผ่านโอเปอเรเตอร์เพื่ อ เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างกันตอนนี้ก็เริ่มมีการพัฒนาการส่งข้อความตัว อักษรระหว่างเครื่องต่อเครื่อง (P2P: Peer to Peer) ซึ่งอาจจะทำให้เกิด เครือข่ายใหม่ขึ้นในอนาคตแม้ว่าตอนนี้ยังทําได้แค่ตัวอักษรเท่านั้นก็ตาม ความท้าทายของการน่าบล็อกเชนไปใช้ยังไม่ได้ จำกัด อยู่เพียง แต่โลก การเงินเท่านั้นการสร้างเอกสารเพื่อการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินอย่าง ในประเทศฮอนดูรัสก็เป็นตัวอย่างที่ดีซึ่งผู้ที่ครอบครองที่ดินกว่า 70% เข้าใจว่าที่ดินเป็นของตนเองและมีกรรมสิทธิ์อย่างแน่นอน แต่แล้วการ ถือครองที่ดินกลับมีการเปลี่ยนเจ้าของโดยที่ไม่รู้ตัวทำให้ต้องถูกบังคับ ออกจากที่ดินอย่างไร้ข้อต่อสู้ซึ่งแน่นอนว่าบล็อกเชนจะเข้าไปช่วยให้เกิด การเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ดินให้มีความถูกต้องมากขึ้น ซึ่งก็เป็ นไปตามแนวคิดของบล็อกเช่นที่ว่าข้อมูลจะต้องมีความปลอดภัย มีการเผยแพร่และบันทึกไว้ในทุกอย่างเป็นธรรมเพื่อป้ องกันการปลอม แปลงโดยมิชอบนั่นเอง
ที่มาที่ไปของการมาเป็น Blockchain ก่อนอื่นเราต้องขอย้อนกลับไปทำความรู้จักกับ Bitcoin กันก่อนซึ่งเชื่อ ว่าหลายท่านพอทราบกันแล้วว่าเป็นระบบสกุลเงินใหม่ A Peer-to-Peer Electronic Cash System หรือทุกวันนี้ก็เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า“ Cryptocurrency (or crypto Currency)” หรือสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์เป็น ผลงานการออกแบบของบุรุษที่ไม่เปิดเผยตัวตนชื่อ Satoshi Nakamoto ที่ เผยแพร่เอกสารการทำงานของ Bitcoin ออกมาในเดือนพฤศจิกายนปี 2008 และเอกสารอันลึกลับว่าเป็นของใครนั้นเองก็ได้เปลี่ยนโลก เทคโนโลยีครั้งใหญ่เลยทีเดียวในเอาสารฉบับนั้นของ Satoshi มีการพูดถึง หลักการของส่งเงินระหว่างกันเอาไว้โดยอาศัยการทำงานของ Blockchain อยู่ด้วยนั่นจึงเป็นที่มาของการเกิดเทคโนโลยี Blockchain ขึ้นมาในเดือน มกราคมในปี 2009 ซึ่งขณะนั้นทำขึ้นมาเพื่อใช้งานกับการส่งเงินสกุล Bitcoin นั่นเอง
ลักษณะเด่น ๆ ของ Blockchain 1ทุกๆข้อมูลที่มีการบันทึกลงไปในบันBทlึoกcข้kอcมูhลaย้iอnนหนั้ลนังจทะั้ไงมห่สมาดมไาด้รอถย่ถาูกงโลปบร่องอใสกไปได้และสามารถติดตามลำดับการ 2. ข้อมูลภายใน Blockchain นี้จะถูกกระจายไปจัดเก็บบน Hardware หลาย ๆ เครื่องซึ่งเราจะเรียก Hardware แนีต้จ่ละะเกช็ุบดนเีอ้ว่าาไว้Nในoอdงeค์กโดรยเดจียะวมีกกันาหรรรัืบอปกรระะกจัานยว่ชา่วข้ยอกมัูนลเเกห็บล่าในนั้หนลจาะยเหอมงือค์นกกรันก็ทไั้ดง้เหช่มนดกัซนึ่ง Node เหล่า 3. การบันทึกข้อมูลใด ๆ ลงไปใน Blockchain นั้นจะต้องได้รับการตรวจสอบและยืนยันจาก Node อื่น ๆ ตามเงื่อนไขการตรวจสอบที่กําหนดก่อนที่จะมีการบันทึกข้อมูลเหล่านั้นเข้าระบบและกระจายให้ Node ต่างๆ บันทึกข้อมูลชุดเดียวกันลงไปเพื่อให้สามารถปรับใช้งานได้ตามความต้องการ 4.รองรับการเข้ารหัสสําหรับข้อมูลแต่ละชุดได้ดังนั้นถึงแม้ข้อมูลของเราจะถูกกระจายไปยัง Node อื่น ๆ และ อาจถูกบางคนมองเห็น แต่คนอื่น ๆ ก็จะไม่สามารถถอดรหัสข้อความของเราได้นอกจากตัวเราเองและผู้ที่ เกี่ยวข้องกับข้อมูลเหล่านี้ที่เราอนุญาตให้เข้าถึงได้เท่านั้น
ประเภท Blockchain 1.Public Blockchain Blockchain ประเภทนี้เรามักรู้จักกันดีในชื่อ Bitcoin กับ Ethereum ซึ่งเป็น Blockchain ที่ใช้งานจริงกับคนทั่วโลกข้อดีของ Public Blockchain ประเภทนี้คือทางองค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนตอนเริ่มต้นในราคาสูงเช่นการน่าเอา Ethereum มาใช้เป็น แพลตฟอร์มสําหรับการรับและส่งข้อมูลท่านสามารถใช้เพื่อเก็บข้อมูลและเรียกขึ้นมาดูได้แบบออนไลน์โดยที่ท่านไม่ต้อง ลงทุนซื้อเครื่อง Server มาติดตั้งระบบเองท่านเพียงแค่จ่ายค่าการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลตามการใช้งานจริงเท่านั้น คล้าย ๆ จ่ายค่าบริการแบบค่ามือถือชนิดเติมเงินใช้เท่าไรก็จ่ายเท่านั้นข้อดีของ Public Blockchain ยังมีอีกมากมายเช่น การส่งข้อมูลไปให้หน่วยงานผู้รับสายทางเราก็ไม่ต้องมาสร้างช่องทางส่งข้อมูลกันหรือที่นิยมท่า Web Service API เพื่อให้ App คุยกันองค์กรผู้ส่งข้อมูลเพียงแค่ใส่ข้อมูลลงไปใน Blockchain และจ่าหน้ าซองถึงองค์กรผู้รับเท่านั้นผู้รับก็ได้รับข้อมูล ไปโดยทันที-ข้อเสียของ Public Blockchain ก็มีเช่นกันข้อมูลที่เราใส่เข้าไปใน Public Blockchain นั้นจะกลายเป็นว่า ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกเปิ ดเผยแก่ทุกคนแบบสาธารณะแปลว่าไม่มีอะไรเป็ นความลับหากต้องการความเป็ นส่วนตัวองค์กรก็ ต้องหาวิธีการในการเข้ารหัสข้อมูลก่อนที่จะส่งซึ่งเป็ นขั้นตอนที่ทำให้เกิดความยุ่งยากในการใช้งาน 2.Private Blockchain Blockchain ประเภทนี้เป็นการสร้างระบบ Blockchain เพื่อมาใช้กันภายในองค์กรหรือเป็นระบบปิดบล็อกเชนประเภทนี้จะมีการจํากัดการเข้าถึงข้อมูลทํา ให้จะมีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นซึ่งเป็ นคนที่ได้ยืนยันตัวตนและตรวจสอบข้อมูลในระบบบล็อกเชนแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งานระบบได้ สำหรับองค์กรที่ต้องการรักษาความปลอดภัยข้อมูลในระดับสูงอาจจะเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง บริษัท ในเครือด้วยกันเองหรือระหว่าง สำนักงานใหญ่กับสาขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลในระบบ Blockchain แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่องค์กรต้องลงทุนในการสร้างระบบ Infrastructure เพื่อรองรับการใช้งานภายในองค์กรเองซึ่งก็มีความท้าทายในการดูแลรักษาและจํานวนเงินไม่น้ อยที่องค์กรจะต้องลงทุนอีก เช่นกัน-ข้อดีอีกข้อของ Private Blockchain คือการที่เราสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆภายใน Blockchain Network ของเราให้ทํางานได้ ตามที่เราต้องการนั่นเองเราไม่จําเป็นต้องออกแบบระบบให้เป็นไปตามกฎของโลกเหมือน Public Blockchain เช่นถ้าออกแบบระบบโดย อ้างอิงอยู่บน Public Blockchain-Bitcoin เวลามีการส่งเงินนั้นเราก็ต้องออกแบบระบบให้มีการรอ Confirm ธุรกรรม 10-15 นาทีตามกฎของ Bitcoin แต่ในทางกลับกันหากองค์กรใช้ระบบประเภท Private Blockchain เราจะสามารถออกแบบให้การ Confirm ธุรกรรมแล้วเสร็จภายใน 1-2 วินาทีก็เป็นไปได้หรือสามารถสร้างเงื่อนไขของสัญญาอัจฉริยะ (Smart contract) เพื่อการกําหนดกฎการทําธุรกรรมของกลุ่มกันเองและ ดำเนินการด้วยความเป็นอิสระในรูปแบบธุรกรรมอัตโนมัติซึ่งถือเป็นการเปิดประตูไปสู่การเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่น ๆ อีกมากมาย-ข้อเสียของ Private Blockchain ต้องมีการสร้างระบบ Infrastructure ทำให้อาจจะเสียเงินในการดูแลเพิ่มขึ้น 3.Consortium Blockchain Blockchain ประเภทคือการรวมเอา 2 แนวคิดแรกเข้าด้วยกันเป็นการผสมผสานระหว่างข้อดีของ Public Blockchain และ Private Blockchain เข้าด้วยกันซึ่งแนวคิด Consortium Blockchain กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงสําหรับการนำมาประยุกต์ใช้กับ องค์กรด้านการเงินในปั จจุบันเนื่ องจากองค์กรเหล่านี้มีการทําธุรกิจที่เหมือนกันโดยปกติจะต้องเชื่ อมโยงเพื่ อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอยู่แล้วจึงสร้างเป็นเครือข่ายความร่วมมือและพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อใช้งานร่วมกันเช่น Consortium Blockchain สําหรับธนาคารใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลการโอนเงินระหว่างกันภายในสมาคมธนาคารด้วยกันเองและ ธนาคารที่จะเข้ามาร่วมในเครือข่ายได้จะต้องได้รับอนุญาตจากตัวแทนของสมาคมเสียก่อนจึงจะมีสิทธิ์ใช้งานระบบร่วมกับ ธนาคารอื่น ๆ ได้-ข้อดีของ Blockchain ประเภทคือธนาคารไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลสำคัญขององค์กรและลูกค้าจะรั่วไหลกลาย เป็นข้อมูล Public และในเรื่องการลงทุนระบบ Infrastructure ก็ลดลงไม่เหมือนการสร้าง Private Blockchain ขึ้นมาใช้ เฉพาะภายในองค์กรของตนเองซึ่งจะไม่ต่างอะไรกับการลงทุนทำระบบใหญ่ ๆ ที่ต้องใช้งบประมาณสูงและเสียเวลามาก แต่ก็จําเป็ นต้องแลกด้วยความไม่คล่องตัวในการปรับเปลี่ยนแก้ไขเงื่ อนไขการใช้งานต่างๆเพราะอาจจะต้องรอให้ผ่านมติ ความเห็นชอบจากสมาชิกส่วนใหญ่ในสมาคมเสียก่อน
หน่วยที่ 4 ธุรกรรมในธุรกิจดิจิทัล
1. ความหมายของธุรกรรมในธุรกิจดิจิทัลธุรกรรมตรง กับคําภาษาอังกฤษว่า transaction (อ่านว่าแทรน-แซก- ชั่น)หมายถึงการประกอบกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ งโดย เฉพาะด้านธุรกิจและการเงินธุรกิจดิจิทัลหมายถึงการนำ เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาธุรกิจที่ทำอยู่เพื่อเพิ่ม ความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคใน การเลือกซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ 2. การทำธุรกิจแบบแพลตฟอร์ม (Platform Business) การทําธุรกิจแบบแพลตฟอร์ม (Platform Business) ได้ Geoffrey Parker, Marshall Van Alstyne wa: Sanged Choudary ซึ่งเป็นผู้แต่งหนังสือที่มีชื่อว่า Platform Revolution ได้นิยามคำว่า Platform Business คือ โมเดลทางธุรกิจที่สร้าคุณค่าจากการอำนวยความสะดวก ให้เกิดการแลกเปลี่ยระหว่างกลุ่มคนหรือผู้ใช้งานตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไปโดยทั่วไปก็คืกลุ่มหนึ่ งเป็ นผู้บริโภคและอีก กลุ่มเป็ นผู้ผลิต
3. นวัตกรรมกับธุรกิจดิจิทัลเป็นการสร้าง ผลิตภัณฑ์การให้บริการหรือกระบวนการรูป แบบใหม่อาศัยข้อมูลข่าวสารและการดำเนิน การทางด้านเทคโนโลยีโดยมีเครื่องมือ (Tools) หรือแอปพลิเคชันโปรแกรม (Application Program) เข้ามาช่วยในการ บริหารจัดการจัดเก็บรวบรวมวิเคราะห์ พยากรณ์ข้อมูลเพื่อช่วยให้การดำเนินธุรกิจ หรือการค้าของตนเองได้เปรียบเชิงการ แข่งขันสร้างผลกำไรและสนองตอบต่อความ ต้องการให้กับลูกค้าเป็ นหลัก 4. การเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจแบบดั้งเดิม กับธุรกิจแบบแพลตฟอร์มธุรกิจดั้งเดิมในกลุ่ม ผู้ผลิตจะดำเนินการการจัดหาวัตถุดิบการ ประกอบการผลิตการจัดจำหน่ายทำการส่งต่อ กลุ่มผู้บริโภคซึ่งธุรกิจแบบดั้งเดิมจะมีลักษณะ เป็นเจ้าของสินทรัพย์และทรัพยากรเน้ น กระบวนการทางอุปทาน (Supply) การผลิต สินค้าและบริการซึ่งเป็ นกระบวนการภายใน ของห่วงโซ่อุปทานส่วนแพลตฟอร์มจะเน้ น กระบวนการภายนอกของห่วงโซ่อุปทานการ สร้างและครอบครองกระบวนการในทาง อุปสงค์ (Demand)
5. แพลตฟอร์มโมเดลธุรกิจ Social ระบบนิเวศใหม่ ของธุรกิจแบบแพลตฟอร์มรูปแบบในการหารายได้มี หลากหลายรูปแบบส่วนมากจะเป็ นการเก็บเกี่ยวผล ประโยชน์จากคุณค่าที่เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ของ กลุ่มลูกค้าหรือผู้ใช้งานตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไปรูปแบบ การหารายได้จะไม่มีผลต่อการลดจํานวนของการ ปฏิสัมพันธ์และจำนวนกลุ่มลูกค้าหรือผู้ใช้งานโดยมี รูปแบบของแพลตฟอร์ม 6. โมเดลธุรกิจ (Business Model Canvas) การที่ จะทราบรายละเอียดของกิจการว่าประกอบกิจการ อะไรขายอะไรกลุ่มลูกค้าคือใครค่าใช้จ่ายอะไรและ อื่น ๆ ที่ดูแล้วทราบรายละเอียดของกิจการว่ามีการ เชื่อมอะไรบ้างก็จะเป็นโมเดลทางธุรกิจ (Business Model Canvas) จะเป็นลักษณะของเทมเพลต (Template) โมเดลธุรกิจที่มีส่วนประกอบกัน 9 ด้าน ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้งานในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ และ ได้รับความนิยมจากนักการตลาดและ SMEs ใช้เป็น เครื่องมือพื้นฐานแสดงแผนภูมิภาพ Business Model Canvas
7. ธุรกรรมการซื้อขายสินค้าและบริการในธุรกิจดิจิทัลการ ซื้ อขายสินค้าและบริการเป็ นสิ่งที่มีความสำคัญของธุรกิจ และเป็ นธุรกรรมในธุรกิจดิจิทัลด้วยซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้ เข้าธุรกิจโดยทําการแยกธุรกิจดิจิทัลตามแพลตฟอร์ม เป็ นกลุ่มดังต่อไปนี้กลุ่มโมเดลการแลกเปลี่ยนหรือ Marketplace เช่น Grab Airbnb เป็นต้นกลุ่มโฆษณาเช่น YouTube Instagram Facebook กลุ่มค่าธรรมเนียมจาก การใช้บริการเช่น PayPal Alipay กลุ่มระบบเก็บค่า สมาชิก (Subscription) เช่น Netflix iflix HOOQ VIU กลุ่มฟรีเมียม (Freemium) เช่น Spotify Joox กลุ่ม โมเดลทางระบบนิเวศเช่นแพลตฟอร์มของ iOS และ Android 8. การชำระเงินออนไลน์ •การโอนเงิน •กระเป๋ าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Wallet) •พร้อมเพย์ •บริการชำระบิลข้ามธนาคาร •(Cross-bank Bill Payment) •Mobile Payment
หน่วยที่5 สื่อสังคมออนไลน์กับธรุกิจดิจิทัล
1. ความหมายของสื่อสังคมออนไลน์กับธุรกิจดิจิทัลธุรกิจดิจิทัลหมายถึงการนำ เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาธุรกิจที่ทำอยู่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ ประกอบการและผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ \"สำนักงานราช บัณฑิตยสภา (Office of the Royal Society) ให้ความหมายสื่อสังคมหมายถึงการ สื่ อสารของมนุษย์ได้รับการพัฒนาให้สื่ อสารถึงกันอย่างรวดเร็วอันเป็ นผลมาจาก ความก้าวหน้ าด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของ มนุษย์มากขึ้ นสื่ อชนิดหนึ่ งที่ผู้ใช้สามารถมีส่วนร่วมสร้างและแลกเปลี่ยนความคิด เห็นต่าง ๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ 2. คุณลักษณะของสื่อสังคมออนไลน์ -สื่ อสังคมออนไลน์เป็ นอินเทอร์เน็ตแอปพลิเคชัน -เนื้ อหาในสื่ อสังคมออนไลน์ถูกสร้างโดยผู้ใช้งาน สื่อสังคม -ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์สามารถสร้างข้อมูลส่วนตัว ที่เป็ นตัวแทนของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ -สื่อสังคมออนไลน์ช่วยในการสร้างกลุ่มสังคม ออนไลน์
3. ความแตกต่างของสื่อสังคมออนไลน์กับสื่อ ประเภทอื่นการกระจายตัวของเนื้อหาบนสื่อ สังคมออนไลน์ซึ่งเป็นแบบไวรัล (Viral) การที่ เนื้อหาบนสื่อสังคมออนไลน์สามารถถูกเข้าถึงได้ ทุกที่ทุกเวลาปริมาณเนื้อหาบนสื่อสังคมออนไลน์ มีจำนวนมากการที่เนื้อหาบนสื่อสังคมออนไลน์ สามารถถูกดัดแปลงแก้ไขได้ตลอดเวลา 4. ประเภทของสื่อสังคมออนไลน์สื่อสังคมออนไลน์ได้มีความก้าวหน้าอย่างมากมีการสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร ต่าง ๆ อาทิการ live รายการต่าง ๆ มีการปรับปรุงด้านความปลอดภัยโดยการใช้โพรโตคอล https แทน http เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ประเภทของสื่อสังคมออนไลน์สามารถแบ่งออกได้ดังนี้ •เครือข่ายสังคม (Social networking site) เช่น Facebook Badoo Google+ LinkedIn และ Orkut เป็นต้น •ไมโครบล็อก (Mico-blog) เช่น Twitter แสดง Blauk Weibo Tout และ Tumble เป็นต้น •เว็บไซต์ที่ให้บริการแบ่งปันสื่อออนไลน์ (Video and photo Sharing website) ได้แก่ Flicker Vimero YouTube Instagram และ Pinterest เป็นต้น •บล็อกส่วนบุคคลและองค์กร (Personal and corporate blogs) ตัวอย่าง ได้แก่ Blogger WordPress Blogging และ Extern เป็นต้น •บล็อกที่มีสื่อสิ่งพิมพ์เป็นเจ้าของเว็บไซต์ (Blogs hosted by media outlet) ตัวอย่างคือ theguardian.com เจ้าของคือ หนังสือพิมพ์ The Guardian •วิกิและพื้นที่สาธารณะของกลุ่ม (Wikis and online collaborative space) ตัวอย่าง ได้แก่ WikipediaWikia เป็นต้น •กลุ่มหรือพื้นที่แสดงความคิดเห็น(Forums, discussion board and group) เช่น Google groups Yahoo groups และPantipเป็นต้น •เกมออนไลน์ที่มีผู้เล่นหลายคน (Online multiplayer gaming platform) ตัวอย่าง ได้แก่ Second life และ World of Warcraft เป็นต้น •ข้อความสั้น (Instant messaging) เป็นการส่งข้อความสั้นจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ •การแสดงตนว่าอยู่ ณ สถานที่ใด (Geo-Spatial tagging) ตัวอย่าง ได้แก่ Facebook เป็นต้น
5. หน้ าที่ของสื่อสังคมออนไลน์ การระบุตัวตน (Identity) การสนทนา(Conversations) การแบ่งปันข้อมูล (Sharing) การมีตัวตน(presence) ความสัมพันธ์ (Relationships) ชื่อเสียง (Reputation) การสร้างกลุ่มใน Facebook 6. ผลกระทบของสื่อสังคมออนไลน์ในธุรกิจดิจิทัล 6.1การเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรการบริโภคในยุคดิจิทัล ผลิตภัณฑ์ที่ผู้ผลิตสร้างขึ้นมามีความจำเป็ นที่จะต้องทําการ ตอบโจทย์ของผู้ใช้สินค้าและผู้ใช้มีผลย้อนกลับที่ดีก็จะทำให้มี คนมาซื้ อสินค้าอีกก็จะกลายเป็ นวัฏจักรการบริโภค
6.2 การเปลี่ยนแปลงของประเภทข้อมูลที่ผู้ใช้เข้าถึงได้ในปัจจุบันลูกค้าจะรับรู้ ข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ทําให้ผู้เคยซื้อหรือผู้ใช้บริการกลับมารีวิวทําให้ผู้บริโภค เป็ นคนให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้ประกอบการทําให้สินค้านั้นออกมาจําหน่ายเป็ นส่วน ร่วมของผู้บริโภคด้วยตัวอย่างเพจที่มีการนำสินค้าที่เป็นกระเป๋ า Coach ส่งตรงจาก อเมริกาและมีการรีวิวของสินค้าอยู่มาก 6.3 การมีส่วนร่วมของผู้บริโภค Facebook จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของผู้ ประกอบการกับลูกค้าผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างเช่นผู้บริการด้านพลังงาน บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่นจํากัด (มหาชน) มีการร่วมกิจกรรมกับลูกค้าท่าเกิด ความสัมพันธ์อันดีต่อกัน 6.4 บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคธุรกิจดิจิทัลบุคคลที่มี อิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ได้แก่ Social Influencer คือกลุ่ม คนที่มีอิทธิพลในสื่อสังคมออนไลน์พูดอะไรแนะนำสินค้าใดมักจะส่งผลก ระทบถึงสินค้านั้นทั้งด้านดีและด้านไม่ดีซึ่งบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการ ตัดสินใจของผู้บริโภคมักจะมีผู้ติดตาม
หน่วยที่ 6 ธุรกิจดิจิทัลโมไบล์
1. ความหมายของธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ธุรกิจ ดิจิทัลโมไบล์ (Digital Mobile Business) เป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ และ อุปกรณ์สื่อสารที่ใช้ในการพกพาเข้ามาพัฒนา ธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบ การและผู้บริโภค 2. คุณลักษณะและความสำคัญของแพลตฟอร์มระบบธุรกิจดิจิทัล โมไบล์สามารถสร้างสินค้าหรือบริการใหม่ที่เรียกว่าการบูรณาการใน แนวตั้ง (Vertical integration) สามารถสร้างตลาดหลายด้าน (Multi- sided markets) สามารถสร้างการผูกขาดของธุรกิจสามารถสนับสนุน ให้ผู้ใช้งานทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ง่ายสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันระบบ การให้บริการได้ตามความต้องการของผู้ใช้งานสามารถรองรับโมไบล์ แอปพลิเคชันสำหรับบริการธุรกิจดิจิทัลจากหลากหลายผู้ให้บริการหรือ นักพัฒนาแอปพลิเคชันทั่วไปได้สามารถรองรับเทคโนโลยีหรือเทคนิค ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาสามารถคงรักษาข้อมูลธุรกรรมสำคัญ ต่าง ๆ ไว้ได้
3. โครงสร้างของระบบธุรกิจดิจิทัลโมไบล์กลุ่มผู้ใช้งานมีรายละเอียดดังนี้ 01 โครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อเครือข่ายเคลื่อนที่ไร้สาย 02 มิดเดิลแวร์ของระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ไร้สายโมบายมีดเดิลแวร์เป็นซอฟต์แวร์ ที่ทำการเชื่ อมต่อการใช้งานระหว่างระบบปฏิบัติการหรือเชื่ อมแอปพลิเคชั่นที่แตกต่างกันคือเป็ น ซอฟต์แวร์ที่ทำงานคั่นระหว่างระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ไร้สายประเภท ต่าง ๆ และแอปพลิเคชันหรือโมบายแอปพลิเคชั่นที่ติดตั้งอยู่บนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ได้ สายเหล่านั้นสามารถเชื่อมต่อประสาน (Interface) เข้ากับอุปกรณ์ที่มีระบบปฏิบัติการหรือแอปพลิ เคชั่นที่ต่างกันได้เพื่อให้การใช้งานสามารถใช้งานต่อไปได้อย่างอัตโนมัติ 03 โครงสร้างพื้นฐานระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ไร้สาย 04. แอปพลิเคชั่นธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ กลุ่มนักพัฒนาระบบและองค์กรธุรกิจมีรายละเอียดดังนี้ 05 การให้บริการธุรกรรมต่าง ๆ 06การให้ข้อมูลและเนื้อหาต่าง ๆ 07 การพัฒนาแอปพลิเคชัน 4. แอปพลิเคชันของกลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ 4.1 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ด้านการค้าขายจะมีกลุ่มของผู้ใช้งานจะเป็นลูกค้า ห้างร้านและองค์กรธุรกิจต่าง ๆ เช่นเดอะพิซซ่าคอมปะนี (The Pizza Company) ซีพีออล์ (CP ALL) หรือเซเว่นอีเลฟเว่น (7-Eleven TH) เป็นต้น
4.2 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ด้านการศึกษา 4.3 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ด้านการประกันจะมีกลุ่มผู้ใช้งานจะเป็น อุตสาหกรรมประกันแอปพลิเคชั่นที่ให้บริการจะเป็ นสิทธิประโยชน์ของ ลูกค้าและกรมธรรม์ที่เป็นส่วนที่สรุปข้อมูลสำคัญของกรมธรรม์เช่น บริษัท กรุงเทพประกันชีวิตจํากัดมหาชน) บริษัท อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต จำกัด มหาชน) เป็นต้นเป็นกลุ่มผู้ใช้งานจะเป็นทุกกลุ่มองค์กรแอปพลิเคชันที่ให้ บริการจะเป็ นการบริหารจัดการทรัพยากรเช่นจะมีกลุ่มผู้ใช้งานเป็ นสถาบัน การศึกษาสถาบันกวดวิชาและศูนย์ฝึกอบรมต่าง ๆ เช่นคอร์สเรียนออนไลน์ ของจุฬา (CHULA MOOC) หรือสกิลแลนด์ (SkillLane) 4.4 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กรแอปพลิเคชัน EasyWork-Company & HR system app เป็นต้น
4.5 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ด้านความบันเทิงกลุ่มผู้ใช้งานคืออุตสาหกรรม ความบันเทิงแอปพลิเคชั่นที่ให้บริการคือการดาวน์โหลดการรับชมดนตรีวิดีโอ เกมออนไลน์เช่นยูทูบ (Youtube) เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) อาร์โอวี (ROV) หรือไอ ฟลิกซ์ (iflix) เป็นต้น 4.6 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ด้านสุขภาพกลุ่มผู้ใช้งานจะเป็นโรงพยาบาลและ ศูนย์รับดูแลผู้สูงอายุป่ วยเป็ นต้นแอปพลิเคชันที่ให้บริการจะเป็ นการเข้าถึง ประวัติการรักษาของคนไข้การติดตามเฝ้ าระวังเช่น Samsung Health ของ Samsung Electronic Co. , LTD และ MorChana หมอชนะของ Digital Government Development Agency Thailand เป็นต้นเป็นกลุ่มผู้ใช้งาน ได้แก่ ศูนย์บริการขนส่งสินค้าและผลิตภัณฑ์งานคมนาคมแอปพลิเคชันที่ให้ บริการจะเป็นการติดตามการนำส่งของสินค้าและผลิตภัณฑ์เช่น Track & Trace Thailand Post ของไปรษณีย์ไทยและ Kerry Express ของ Kerry Express (Thailand) Public Company Limited เป็นต้น 4.7 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ด้านสินค้าคงคลังและการขนส่ง
4.8 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ด้านการจราจรกลุ่มผู้ใช้งานจะเป็นการ คมนาคมขนส่งเพื่อเผยแพร่ข้อมูลการจราจรแอปพลิเคชันที่ให้ บริการจะเป็ นการระบุตำแหน่งที่อยู่การให้คำแนะนำเส้นทางและการ จราจรเช่น EXAT Portal ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (EXAT) สำหรับเผยแพร่ข้อมูลตรวจสอบการใช้ Easy Pass และ เป็ นศูนย์รวมแอปพลิเคชันของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย Google Maps Go เป็นแอปพลิเคชันเกี่ยวกับเส้นทางจราจรรถ สาธารณะของ Google LLC ซึ่งจะแนะนำการนำทางและการขนส่ง เป็ นต้น 4.9 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ด้านการท่องเที่ยวจะมีกลุ่มผู้ใช้งานเป็น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแอปพลิเคชันที่ให้บริการจะเป็ นการ บริหารจัดการท่องเที่ยวและการซื้อตัวต่าง ๆ เช่นแอปพลิเคชันการ ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและกินทั่วไทยไปทั่วถึงเป็ นต้น
5. การประยุกต์เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ ช่องทางการทําธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ผ่านอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ไร้สายการตลาดเคลื่อนที่ (Mobile Marketing) การใช้โมไบล์คูปองการชาระเงิน เคลื่อนทีผู้ช่วยส่วนบุคคลดิจิทัล (Digital Personal Assistant) การสร้างความภักดีในตัวสินค้าและการ บริการเคลื่อนที่ (Mobile Loyalty การให้บริการของ ธุรกิจแบบเคลื่อนที่
หน่วยที่7 ความมั่นคงปลอดภัยใน การทำธุรกรรมดิจิทัล
1. ความเสี่ยงและภัยคุกคามต่อธุรกรรมดิจิทัลจากผลการสํารวจของ เวิลด์อีโคโนมิกฟอรัม (World Economic Forum: WEF) ใน ค.ศ. 2019 เรื่องความเสี่ยงจากการรับรู้ทั่วโลกซึ่งพิจารณาจากความเสี่ยงที่ผู้ มีอำนาจตัดสินใจจากทั่วโลกมองและคิดว่าเป็ นความเสี่ยงที่คาดการณ์ จะมีโอกาสเกิดเพิ่มมากขึ้นใน ค.ศ. 2020 โดยสามารถสรุปแบ่ง ประเด็นที่เกี่ยวข้องออกเป็น 5 ความเสี่ยงที่สำคัญคือความเสี่ยงด้าน สภาพแวดล้อมความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ความเสี่ยงด้านสังคมความ เสี่ยงด้านเทคโนโลยีและความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจความเสี่ยงและภัย คุกคามธุรกรรมดิจิทัลดังกล่าวมักจะเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ 01 ความเสี่ยงและภัยคุกคามธุรกรรมดิจิทัลทางระบบฮาร์ดแวร์ 02 ความเสี่ยงและภัยคุกคามธุรกรรมดิจิทัลทางซอฟต์แวร์ 03 ความเสี่ยงและภัยคุกคามธุรกรรมดิจิทัลที่มีต่อระบบข้อมูล
2. ประเภทเหตุการณ์ของภัยคุกคามต่อธุรกรรมดิจิทัลจากการสำรวจของศูนย์ปฏิบัติการ Security Operation Center (SOC) ของ บริษัท CAT cyfence ผู้ให้บริการดูแลความปลอดภัยเทคโนโลยี สารสนเทศของประเทศไทยได้รวบรวมข้อมูลสถิติภัยคุกคามบนโลกไซเบอร์ไม่ว่าจะเป็ นการยืนยัน ตัวตนล้มเหลวโปรแกรมประสงค์ร้ายต่าง ๆ การค้นหาช่องโหว่บนเว็บไซต์จากผู้ไม่ประสงค์ดีการ โจมตีไปยังเป้ าหมายโดยตรงการปลอมแปลงเว็บไซต์ในการทำธุรกรรมดิจิทัลและโปรแกรมที่ไม่พึง ประสงค์เพื่อกระทำการบางสิ่งซึ่งล้วน แต่เป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานหรือองค์กรที่มี ผลกระทบชนิดเบาไปจนถึงชนิดรุนแรงในรูปแบบที่แตกต่างกันไปพอสรุปประเภทเหตุการณ์ของภัย คุกคามต่อธุรกิจดิจิทัลได้ 6 เหตุการณ์ 2.1 การยืนยันตัวตนล้มเหลว (Authentication Failed) การยืนยันตัวตนล้มเหลวส่วนใหญ่สาเหตุ มักเกิดจากปัญหาของผู้ใช้งานเช่นการกดแป้ นพิมพ์ Caps Lock ค้างการพิมพ์รหัสผิดการลืมรหัส ผ่านการใช้บราว์เซอร์การจดจำรหัสอัตโนมัติ แต่มีการแก้ไขรหัสใหม่ไปแล้วทำให้การยืนยันตัวตนก็ ยังคงล้มเหลวเป็ นต้นจากสาเหตุดังกล่าวอาจเป็ นสาเหตุที่เกิดมาจากการโจมตีจากแฮกเกอร์เพื่ อ เป็นการป้ องกันการผิดพลาด 2.2 โปรแกรมประสงค์ร้าย (Malicious Software) โปรแกรมที่ถูกติดตั้งลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ของผู้ใช้งานโดยไม่รู้ตัวเช่นการเปิดอ่านอีเมลที่ไม่ปลอดภัย (Spam Mail) การดาวน์โหลด โปรแกรมจากเว็บไซต์หรือการเสียบใช้งานอุปกรณ์บันทึกข้อมูล (Flash Drive) กับคอมพิวเตอร์ สาธารณะ 2.3 การค้นหาช่องโหว่บนเว็บไซต์จากผู้ไม่ประสงค์ดี (Reconnaissance) วิธีการค้นหาช่องโหว่บน เว็บไซต์เป้ าหมายเช่นการค้นหาเลขที่อยู่ไอพี (IP address) เลขที่ช่องทางเข้า-ออก (Port Number) เว็บไซต์เป็นต้นโดยข้อมูลที่ต้องการค้นหาผู้ไม่ประสงค์ที่จะวิธีการโดยใช้โปรแกรม อัตโนมัติ (Bot) เพื่อคาดเดาชนิดของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการหรือแม้กระทั่ง แอปพลิเคชันที่ติดตั้งไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์เป้ าหมาย 2.4 การโจมตีไปยังเป้ าหมายโดยตรง (Intrusion or Attempted Exploit) พฤติกรรมของผู้ไม่ ประสงค์ดีพยายามโจมตีมายังเป้ าหมายโดยตรงหลักการค้นหาช่องโหว่บนเว็บไซต์ (Reconnaissance) แล้วก็จะดำเนินการต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการเช่นขโมยแก้ไขลบเพิ่มเติมหรือ เปลี่ยนแปลงข้อมูลเป็ นต้น 2.5 การปลอมแปลงเว็บไซต์ในการทำธุรกรรมดิจิทัล (Phishing Website) พฤติกรรมที่ผู้ไม่หวังดี พยายามสร้างหน้ าเว็บไซต์ปลอมให้มีลักษณะเหมือนกับเว็บไซต์จริงเพื่อหลอกให้ผู้ใช้งานกรอก ข้อมูลส่วนตัวเช่นชื่ อผู้ใช้งานรหัสผ่านเลขบัญชีธนาคารรหัสบัตรเครดิตเป็ นต้นซึ่งหากผู้ใช้งานเข้าใจ ผิดก็อาจตกเป็ นเหยื่ อโดไม่รู้ตัวเมื่ อผู้ไม่หวังดีได้ข้อมูลดังกล่าวแล้วนาไปทาธุรกรรมดิจิทัลในรูป แบบต่าง ๆ อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับผู้เสียหายได้
2.6 โปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์เพื่อกระทำการบางสิ่ง (Potentially Unwanted Program) 1) โทรจัน (Trojans) คือโปรแกรมที่แอบแฝงตัวมากับอีเมลหรือ โปรแกรมฟรีต่าง ๆ ที่มีให้ดาวน์โหลดตามอินเทอร์เน็ตทั่วไปเมื่อใด ก็ตามผู้ใช้ไปคลิกหรือเปิ ดอ่านไฟล์โปรแกรมก็จะทำการคัดลอกข้อมูล ของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเช่นข้อมูลชื่อผู้ใช้งานรหัสผ่านเลขที่บัญชี ธนาคารหมายเลขบัตรเครดิตหรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ที่สำคัญนำไป ใช้ในการเจาะเข้าระบบเพื่อโจมตีระบบคอมพิวเตอร์โจมตีเครื่องบริการ แม่ข่ายหรือระบบเครือข่ายทาให้ปรากฏข้อความแสดงขึ้นมาว่า \"ปฏิเสธ การให้บริการ\" (Derial of Services) เป็นต้น 2.6 โปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์เพื่อกระทำการบางสิ่ง (Potentially Unwanted Program) 2 )แอดแวร์ (Adware) คือโปรแกรมสนับสนุนการโฆษณาที่สามารถ ทำงานแสดงหรือดาวน์โหลดสื่อโฆษณาโดยอัตโนมัติไปแสดงยัง คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนบางที่อาจเรียกโปรแกรมรุกราน ความเป็ นส่วนตัวหรือหลอกลวงผู้ใช้งานได้อีกด้วย 3)สปายแวร์ (Spyware) คือโปรแกรมที่ใช้สอดส่องหรือดักจับข้อมูลกรณี ที่มีการใช้งานคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 2.6 โปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์เพื่อกระทำการบางสิ่ง (Potentially Unwanted Program) 4) มัลแวร์ (Malware) คือโปรแกรมบนอินเทอร์เน็ตที่ใช้เพื่อทำลาย โปรแกรมที่มีอยู่บนระบบเครือข่ายหรือขโมยข้อมูลบางอย่างที่สำคัญ ออกไป
3. การจัดการความเสี่ยงและภัยคุกคามธุรกรรมดิจิทัลความเสี่ยง (Risk Definition) หมายถึง ผลของความไม่แน่นอนที่ส่งผลต่อองค์กรหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและก่อให้เกิดผลเชิงลบต่อ เป้ าหมายขององค์การการจัดการความเสี่ยงและภัยคุกคามธรกรรมดิจิทัลเป็นองค์ประกอบ สําคัญในการทำธุรกรรมดิจิทัลทั้งกับตนเองหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ เป็นอย่างมากโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศทุกคนมีความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึง ความเสี่ยงและภัยคุกคามธุรกรรมดิจิทัล 3.1 ความเสี่ยงด้านข้อมูลสารสนเทศ (Information Risk ความเสี่ยงที่เกิดจากข้อมูลต่าง ๆ ในการทำธุรกรรมดิจิทัลทางดิจิทัลจากผู้ไม่ประสงค์ดีไม่ว่าจะเป็ นข้อมูลส่วนตัวข้อมูลหน่วย งานข้อมูลองค์กรโดยขณะที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อทําธุรกรรมก็จะมีการดัดแปลง แก้ไขลบคัดลอกหรือหาการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเช่นการเปลี่ยนแปลงรายชื่อและรหัสผู้ใช้งาน ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเชื่อมต่อเข้าระบบได้ภายหลังบางครั้งอาจคัดลอกข้อมูลที่ต้องการไป กระทำการบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์ 3.2 ความเสี่ยงด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (Hardware Risk ความเสี่ยงที่เกิดจากเคลื่อนย้ายการ ติดตั้งการจัดหาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมกับลักษณะของงานทำให้เมื่อมีการใช้งานจริงอาจ เกิดข้อผิดพลาดต่าง ๆ ตามมาทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มีผลกับการทำธุรกรรมดิจิทัลได้ดัง นั้นเพื่อป้ องกันความเสี่ยงดังกล่าว 3.3 ความเสี่ยงด้านซอฟต์แวร์ (Software Risk) ความเสี่ยงที่เกิดจากการเลือกใช้ซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่มีถูกลิขสิทธิ์ทั้งซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ช่วย 3.4 ความเสี่ยงด้านผู้ใช้งาน (Users Risk) ความเสี่ยงที่เกิดจากผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับการ ธุรกรรมดิจิทัลเริ่มตั้งแต่ก่อนการลงชื่อเข้าใช้งานขณะที่มีการใช้งานและหลังจากออกจากการ ใช้งานระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปแล้วซึ่งในแต่ละขั้นตอนวนมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้น 3.5 ความเสี่ยงด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม (Physical and Environment Risk) ความเสี่ยง ที่เกิดจากภัยคุกคามจากธรรมชาติหรือภัยที่มีผลเกี่ยวข้องกับการกระทําของมนุษย์เช่นไฟ ไหม้ฟ้ าผ่านํ้าท่วมกระแสไฟฟ้ าขัดข้องเพลิงไหม้ 3.6 ความเสี่ยงด้านเครือข่ายสื่อสาร (Network Communication Risk) เพื่อป้ องกันความ เสี่ยงหน่วยงานหรือองค์กรควรดำเนินการดังนี้ กำหนดให้มีระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสำรอง กำหนดคุณสมบัติทางด้านความมั่นคงปลอดภัยกำหนดระดับการให้บริการหรือแก้ปั ญหาหาก เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างเป็ นขั้นตอน กำหนดการบริหารจัดการสำหรับบริหารเครือข่ายทั้งหมดที่องค์กรใช้บริการอยู่ กำหนดข้อตกลงกับผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหากเกิดเหตุการณ์เครือข่ายขัดข้องขึ้น กำหนดมาตรการและวิธีการบำรุงรักษาอุปกรณ์เครือข่ายสื่อสารให้สม่ำเสมอ
4. ความมั่นคงปลอดภัยในการทำธุรกรรมดิจิทัลปัจจุบันผู้ใช้งาน อินเทอร์เน็ตทั่วโลกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะจำนวนผู้ใช้งาน อินเทอร์เน็ตในภูมิภาคเอเชียมีจำนวนถึง 2,300 ล้านคนเมื่อเปรียบ เทียบกับจำนวนภูมิภาคที่เหลือจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมดรวม กันเพียง 2,233 ล้านคนคิดเป็น 50.3% ของประชากรที่ใช้อินเทอร์เน็ต ทั่วโลกรองลงมาเป็นภูมิภาคยุโรปมีจำนวนถึง 727 ล้านคนคิดเป็น 15.9% และน้ อยที่สุดคือภูมิภาคโอเชียเนียออสเตรเลียมีจำนวน 20 ล้านคนคิดเป็น 0.6% ของประชากรที่ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก จะเห็นได้ว่านอกจากจานวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกใน แต่ปีจะมีจํานวน เพิ่มขึ้นมากแล้วผู้ใช้งานก็ยังสามารถเข้าถึงและใช้บริการธุรกรรมดิจิทัลต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็วไม่มีข้อสถานที่และเวลามาเป็นตัวกำหนด แต่ในขณะ เดียวกันข้อมูลธุรกรรมดิจิทัลที่เกิดขึ้นในระหว่างการใช้งานก็ยังคงมีความเสี่ยง ต่อการถูกโจมตีขโมยหรือถูกทําลายได้โดยเฉพาะการถูกขโมยข้อมูลธุรกรรม ทางการเงินหรือการปล่อยไวรัสโจมตีระบบปฏิบัติการก็มีให้พบได้อยู่ตลอดเวลา หากไม่มีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่ดีเพียงพอซึ่งภัยคุกคามทาง ไซเบอร์เหล่านี้สามารถสร้างความเสียหายแก่ผู้ใช้หน่วยงานหรือองค์กรได้ดังนั้น แนวคิดเรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) จึง ต้องถูกพัฒนาไปพร้อมกับความก้าวหน้ าทางด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ของควบคู่ไปด้วย
หน่วยที่8 กฎหมายและจริยธรรมและการ ทำธุรกรรมดิจิทัล
1. กฎหมายและจริยธรรมกฎหมายคือข้อบังคับที่เป็น มาตรฐานที่ใช้วัดและใช้กำหนดความประพฤติของประชากรใน สังคมได้ว่าสิ่งที่กระทำลงไปนั้นถูกหรือผิดสามารถกระทำได้ หรือกระทำไม่ได้จริยธรรม (Ethics) มาจากคำว่าจริย + ธรรม ซึ่งคำว่าจริยหมายถึงความประพฤติหรือกิริยาที่ควรประพฤติ ส่วนคำว่าธรรมหมายถึงคุณความดีหรือหลักปฏิบัติเมื่อนำคำทั้ง สองมารวมกันเป็น“ จริยธรรม” จึงมีความหมายว่า“ คุณความ ดีที่ควรประพฤติหรือ“ หลักปฏิบัติหรือกิริยาที่ควรประพฤติ 2. จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศเข้า มามีบทบาทและความเกี่ยวข้องกับชุมชนและสังคมในทุกระดับชั้นดังนั้นการ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะการใช้งานกับชุมชนและสังคมออนไลน์ จำเป็นจะต้องคำนึงถึงจริยธรรมใน 4 ประเด็นประกอบด้วย 1. ความเป็นส่วนตัวความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศโดยทั่วไป หมายถึงสิทธิที่จะอยู่ตามลำพังและเป็ นสิทธิที่เจ้าของสามารถที่จะควบคุม ข้อมูลของตนเองในการเปิ ดเผยให้กับผู้อื่ นสิทธินี้ใช้ได้ครอบคลุมทั้ง ปั จเจกบุคคลกลุ่มบุคคลและองค์กรและหน่วยงานต่างๆ 2. ความถูกต้องข้อมูลควรได้รับการตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จะบันทึก ข้อมูลเก็บไว้รวมถึงการปรับปรุงข้อมูลให้มีความทันสมัยอยู่เสมอนอกจากนี้ ควรให้สิทธิแก่บุคคลในการเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลตนเองได้ 3. ความเป็นเจ้าของเป็นกรรมสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สินซึ่งอาจเป็น ทรัพย์สินทั่วไปที่จับต้องได้เช่นคอมพิวเตอร์รถยนต์หรืออาจเป็ นทรัพย์สินทาง ปัญญาที่จับต้องไม่ได้เช่นบทเพลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่สามารถถ่ายทอด และบันทึกลงในสื่ อต่างๆได้เช่นสิ่งพิมพ์เทปซีดีรอมเป็ นต้น 4. การเข้าถึงข้อมูลการเข้าใช้งานโปรแกรมหรือระบบคอมพิวเตอร์มักจะมีการ กำหนดสิทธิตามระดับของผู้ใช้งานทั้งนี้เพื่อเป็นการป้ องกันการเข้าไปดำเนิน การต่างๆกับข้อมูลของผู้ใช้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและเป็ นการรักษาความลับของ ข้อมูล
3. ความหมายของธุรกรรมดิจิทัลธุรกรรมดิจิทัล (digital transaction) หมายถึงธุรกรรมที่กระทำขึ้นโดยใช้วิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์เป็ นเครื่ องมือดำเนินการเป็ นหลัก 4. กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทยกฎหมาย เทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทยได้ทําการศึกษาและยก ร่างกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2541 โดยคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (กทสช.) (National Information Technology Committee) และมอบหมายให้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และ คอมพิวเตอร์แห่งชาติ (National Electronics and Computer Technology Center) ร่วมกับสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Science and Technology Development Agency) lu ฐานะสํานักงานเลขานุการคณะ กรรมการไอทีแห่งชาติทำหน้ าที่เป็นเลขานุการประกอบด้วย กฎหมายที่ดำเนินการศึกษาและยกร่างทั้งหมด 6 ฉบับ
•กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transactions Law) เพื่อรับรองสถานะ ทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้เสมอด้วยกระดาษอันเป็นการรองรับนิติสัมพันธ์ต่าง ๆ ซึ่ง แต่เดิมอาจจะจัดทำขึ้นในรูปแบบของหนังสือให้เท่าเทียมกับนิติสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่จัดทำขึ้นให้อยู่ ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รวมตลอดทั้งการลงลายมือชื่อในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และการรับ ฟั งพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ •กฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signatures Law) เพื่อรับรองการใช้ ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยกระบวนการใด ๆ ทางเทคโนโลยีให้เสมอด้วยการลงลายมือชื่อธรรมดา อันส่งผลต่อความเชื่อมั่นมากขึ้นในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกำหนดให้มีการกำกับดูแล การให้บริการเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ตลอดจนการให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับลายมือชื่อ อิเล็กทรอนิกส์ •กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน (National Information Infrastructure Law) เพื่อก่อให้เกิดการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สารสนเทศอัน ได้แก่ โครงข่ายโทรคมนาคมเทคโนโลยีสารสนเทศสารสนเทศทรัพยากรมนุษย์และ โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศสำคัญอื่น ๆ อันเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาสังคมและชุมชน โดยอาศัยกลไกของรัฐซึ่ งรองรับเจตนารมณ์สำคัญประการหนึ่ งของแนวนโยบายพื้ นฐานแห่งรัฐตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 78 ในการกระจายสารสนเทศให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันและนับเป็นกลไกสำคัญ ในการช่วยลดความเหลื่ อมล้ำของสังคมอย่างค่อยเป็ นค่อยไปเพื่ อสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีศักยภาพใน การปกครองตนเองพัฒนาเศรษฐกิจภายในชุมชนและนํ าไปสู่สังคมแห่งปั ญญาและการเรียนรู้ •กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) เพื่อก่อให้เกิดการรับรอง สิทธิและให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งอาจถูกประมวลผลเปิ ดเผยหรือเผยแพร่ถึงบุคคล จำนวนมากได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วโดยอาศัยพัฒนาการทางเทคโนโลยีจนอาจก่อให้เกิดการนำ ข้อมูลนั้นไปใช้ในทางมิชอบอันเป็ นการละเมิดต่อเจ้าของข้อมูลทั้งนี้โดยคำนึงถึงการรักษาดุลยภาพ ระหว่างสิทธิขั้นพื้ นฐานในความเป็ นส่วนตัวเสรีภาพในการติดต่อสื่ อสารและความมั่นคงของรัฐ •กฎหมายเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law) เพื่อกำหนด มาตรการทางอาญาในการลงโทษผู้กระทำผิดต่อระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ระบบข้อมูลและ ระบบเครือข่ายทั้งนี้เพื่ อเป็ นหลักประกันสิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองการอยู่ร่วมกันของสังคม •กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Funds Transfer Law) เพื่อกำหนด กลไกสำคัญทางกฎหมายในการรองรับระบบการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งที่เป็ นการโอนเงิน ระหว่างสถาบันการเงินและระบบการและการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มากชำระเงินรูปแบบใหม่ ในรูปของเงินอิเล็กทรอนิกส์ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อระบบการทำธุรกรรมทางการเงินยิ่งขึ้น
5. กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทยที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 3 ฉบับคือ กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์กฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและ กฎหมายการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ) •พ.ศ. 2544 พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 •พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรม ทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2552 •พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 • พระราชบัญญัติสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2562 •พระราชกฤษฎีกากำหนดประเภทธุรกรรมในทางแพ่งและพาณิชย์ที่ยกเว้นมิให้นำ กฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มาใช้บังคับ พ.ศ. 2549 •พระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการทำธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ พ.ศ. 2549 •พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยวิธีการแบบปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิ กส์พ. ศ. 2553 (กฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล) •พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (กฎหมายการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์) •พระราชบัญญัติการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 •พระราชบัญญัติการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560
(สรุป 13 ข้อสาระสำคัญจําง่าย ๆ พ. ร. บ. คอมพิวเตอร์ 60) เพื่อการใช้ออนไลน์อย่างถูกกฎหมายสำหรับสาระสำคัญที่หลายคนควรพึงระวังในพ. ร. บ. ว่าด้วยกระทำ ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 หรือพ. ร. บ. คอมพิวเตอร์ฉบับมีสาระสำคัญจําง่ายๆดังนี้ 1. การฝากร้านใน Facebook, IG ถือเป็นสแปมปรับ 200,000 บาท 2. ส่ง SMS โฆษณาโดยไม่รับความยินยอมให้ผู้รับสามารถปฏิเสธข้อมูลนั้นได้ไม่เช่นนั้นถือเป็นสแปมปรับ 200,000 บาท 3. ส่ง Email ขายของถือเป็นสแปมปรับ 200,000 บาท 4. กด Like ได้ไม่ผิดพ. ร. บ. คอมพ์ฯ ยกเว้นการกดไลค์เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบันเสี่ยงเข้าข่ายความผิด มาตรา 112 หรือมีความผิดร่วม 5. กด Share ถือเป็นการเผยแพร่หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่นอาจเข้าข่ายความผิดตามพ. ร. บ. คอมพ์ฯ โดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3 6. พบข้อมูลผิดกฎหมายอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของคอมพิวเตอร์กระทำเอง สามารถแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้หากแจ้งแล้วลบข้อมูลออกเจ้าของก็จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่นความเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊กที่ให้แสดงความคิดเห็นหากพบว่าการแสดงความเห็นผิด กฎหมายเมื่อแจ้งไปที่หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อลบได้ทันทีเจ้าของระบบเว็บไซต์จะไม่มีความผิด 7. สำหรับแอดมินเพจที่เปิดให้มีการแสดงความเห็นเมื่อพบข้อความที่ผิดพ. ร. บ. คอมพ์ฯ เมื่อลบออกจาก พื้ นที่ที่ตนดูแลแล้วจะถือเป็ นผู้พ้นผิด 8. ไม่โพสด่งลามกอนาจารที่ทำให้เกิดการเผยแพร่สู่ประชาชนได้ 9. การไหลเกี่ยวกับเด็กเยาวชนต้องปิดบังใบหน้ ายกเว้นเมื่อเป็นการเชิดชูชื่นชมอย่างให้เกียรติ 10. การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตต้องไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือถูกดูหมิ่นเกลียดชังญาติ สามารถฟ้ องร้องได้ตามกฎหมาย 11. การโพสต์ด่าว่าผู้อื่นมีกฎหมายอาญาอยู่แล้วไม่มีข้อมูลจริงหรือถูกตัดต่อผู้ถูกกล่าวหาเอาผิดผู้โพสต์ได้ และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 200,000 บาท 12. ไม่ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้ใดไม่ว่าข้อความเพลงรูปภาพหรือวิดีโอ 13.ส่งรูปภาพแชร์ของผู้อื่นเช่นสวัสดีอวยพรไม่ผิดถ้าไม่เอาภาพไปใช้ในเชิงพาณิชย์หารายได้ (กฎหมายเศรษฐกิจดิจิทัล) •พระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562
6. การทําธุรกรรมดิจิทัลจากความหมายของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronic transaction) คือธุรกรรมที่กระทำขึ้นโดยใช้วิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดหรือ แต่บางส่วนนั้นปัจจุบันประเทศไทยมีหลายหน่วย งานทั้งในส่วนภาครัฐและภาคธุรกิจมีการปรับเปลี่ยนการทำธุรกรรมด้านต่าง ๆ จากเดิมที่ใช้เอกสารเป็ นหลักโดยเฉพาะภาคการเงินและการธนาคารมีการปรับ รูปแบบการทำธุรกรรมการเงินที่สะดวกรวดเร็วขึ้นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์คือ การใช้เทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาระบบการเงิน (financial technology) นอกจาก นี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้ บริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุน digital banking (Information Technology related services) มีทั้งหมด 8 ประเภทดังนี้ 1. นอกจากนี้ธนาคารระบบการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) 2. บริการเครือข่ายบัตรเครดิต (Credit Card Network) 3. บริการเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้า (Electronic Data Capture) 4. บริการจุดเชื่อมโยง (Switching Center) 5. บริการหักบัญชี (Clearing) 6. บริการชำระดุล (Settlement) 7. บริการชำระเงินแทน 8. บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
หน่วยที่9 กรณีศึกษาธุรกิจดิจิทัล และการทำ E-book
1. ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Banking) ซึ่งในปัจจุบันแต่ละธนาคารได้มีการพัฒนา ธุรกรรมดิจิทัลเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าหลากหลายรูปแบบทั้งบริการบนเว็บไซต์หรือ แอปพลิเคชั่นที่สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งเพื่อใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี โน้ ตบุ๊กแท็บเล็ตโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนหรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ เช่นกดเงินโดย ไม่ใช้บัตรสแกนบิล / QR ชำระเงินเติมเงินโอนเงินจ่ายบิลการลงทุนการแจ้งเตือน การบริการพิเศษหรือบริการผ่านแบงกิ้งเอเยนต์เป็นต้น SCB Inowrubu ya แค่มี แอป SCB E tom ก Welcom mes 2. การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Marketing) ซึ่งในปัจจุบันแต่ละธุรกิจได้มีการพัฒนา ธุรกรรมดิจิทัลเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าหลากหลายรูปแบบทั้งบริการบนเว็บไซต์หรือ แอปพลิเคชันที่สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งเพื่อใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีโน้ ต บุ๊กแท็บเล็ตโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนหรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ ซึ่งมีให้บริการหลาก หลายรูปแบบเช่นการไลฟ์ สดขายสินค้าการสั่งซื้ อสินค้าออนไลน์การโฆษณาผ่านเว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์เป็นต้น Kai Siri SDU 101 Babycloset STORE 1
Search