Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่

กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่

Published by phenix stock, 2021-03-29 11:15:45

Description: กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่

Search

Read the Text Version

๑๔๔ ËÁÒÂàËμØ :- เหตผุ ลในการประกาศใชพ ระราชบญั ญตั ฉิ บบั นี้ คอื โดยทป่ี จ จบุ นั การดาํ เนนิ การบงั คบั คดีปกครองยังมีขอขัดของ เนื่องจากกฎหมายไมไดกาํ หนดรายละเอียดในการดําเนินการบังคับ คดปี กครองใหค รอบคลมุ คดปี กครองทกุ ประเภท ซง่ึ คดปี กครองมลี กั ษณะเฉพาะไมส ามารถนําหลกั การ ของการบังคับคดีแพงมาใชในการดําเนินการบังคับคดีใหมีประสิทธิภาพในทุกกรณีได อีกทั้งไมมี บทบญั ญตั กิ ําหนดอํานาจและหนา ทขี่ องเจา พนกั งานบงั คบั คดี ตลอดจนมาตรการทจ่ี ะบงั คบั ใหห นว ยงาน ทางปกครองหรือเจาหนาที่ของรัฐปฏิบัติตามคาํ บังคับของศาลปกครองใหถูกตองครบถวนภายใน เวลาอันสมควร อีกท้ังสมควรกาํ หนดใหในกรณีที่มีการอุทธรณคาํ พิพากษาของศาลปกครองชั้นตน คูกรณีฝายชนะคดีในคดีที่กําหนดอาจยื่นคาํ ขอตอศาลปกครองชั้นตนหรือศาลปกครองสูงสุด แลวแตกรณี เพ่ือใหมีการปฏิบัติตามคาํ บังคับได ท้ังน้ี เพื่อไมใหประชาชนตองรอการปฏิบัติตาม คาํ พิพากษาในระหวา งการพจิ ารณาคดีชัน้ อทุ ธรณ จึงจําเปน ตองตราพระราชบญั ญัตินี้ ¾ÃÐÃÒªºÑÞÞμÑ ¨Ô Ñ´μé§Ñ ÈÒÅ»¡¤ÃͧáÅÐÇ¸Ô ¾Õ Ô¨ÒóҤ´Õ»¡¤Ãͧ (©ºÑº·èÕ ù) ¾.È. òõöðññù ÁÒμÃÒ ò พระราชบญั ญตั นิ ใ้ี หใ ชบ งั คบั ตงั้ แตว นั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เปน ตนไป ÁÒμÃÒ óö เพอ่ื ประโยชนใ นการนบั จํานวนตลุ าการในศาลปกครองสงู สดุ ตามมาตรา ๑๕ แหงพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงแกไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญตั นิ ี้ ใหถอื วา (๑) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดท่ีดาํ รงตําแหนงอยูในวันกอนวันท่ีพระราชบัญญัติน้ี ใชบ งั คบั และเคยดํารงตําแหนง ตลุ าการศาลปกครองชน้ั ตน มากอ น เปน ตลุ าการศาลปกครองสงู สดุ ตาม มาตรา ๑๕ วรรคหนงึ่ (๑) (๒) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ดํารงตําแหนงอยูในวันกอนวันท่ีพระราชบัญญัตินี้ ใชบังคับและไมเคยดาํ รงตําแหนงตุลาการศาลปกครองชั้นตนมากอน เปนตุลาการศาลปกครองสูงสุด ตามมาตรา ๑๕ วรรคหนงึ่ (๒) ÁÒμÃÒ ó÷ บทบญั ญตั มิ าตรา ๑๕/๒ วรรคหนงึ่ แหง พระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแกไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติน้ี มิใหใชบังคับกับ ตุลาการศาลปกครองซ่ึงดํารงตําแหนงประธานศาลปกครองสูงสุดอยูในวันกอนวันท่ีพระราชบัญญัติน้ี ใชบ งั คบั และใหต ลุ าการศาลปกครองผนู น้ั พน จากตาํ แหนง ดงั กลา วเมอื่ ดํารงตําแหนง ครบสป่ี น บั แตว นั ท่ี พระราชบญั ญัตนิ ีใ้ ชบ ังคบั และใหด ํารงตาํ แหนงไดเพยี งวาระเดยี ว ÁÒμÃÒ óø ผทู ไ่ี ดร บั แตง ตงั้ เปน ตลุ าการศาลปกครองเพราะมคี ณุ สมบตั ติ ามมาตรา ๑๘ วรรคหน่ึง (๔) (ก) แหงพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และยังคงดํารงตําแหนงอยูในวันกอนวันท่ีพระราชบัญญัตินี้ใชบังคับ ใหผูนั้นอยูในตําแหนงตอไป ๑๑๙ ราชกจิ จานเุ บกษา เลม ๑๓๔/ตอนท่ี ๙๘ ก/หนา ๕/๒๖ กันยายน ๒๕๖๐

๑๔๕ โดยไมถ อื วา เปน ผทู ขี่ าดคณุ สมบตั ติ ามมาตรา ๑๘ แหง พระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณา คดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซงึ่ แกไขเพม่ิ เติมโดยพระราชบญั ญตั นิ ้ี บทบัญญัติในมาตรา ๑๘ วรรคหน่ึง (๔) (ค) (จ) และ (ช) แหงพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธพี ิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่งึ แกไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัตนิ ้ีมใิ หนาํ มาใชบ ังคบั กบั ตุลาการศาลปกครองซง่ึ ดํารงตาํ แหนงอยูใ นวันกอ นวนั ทพี่ ระราชบัญญัตนิ ้ใี ชบ ังคบั ÁÒμÃÒ óù การพิจารณาคัดเลือกบุคคลเพื่อแตงตั้งใหดาํ รงตาํ แหนงตุลาการในศาล ปกครองช้ันตนที่ไดดําเนินการตามพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ทใี่ ชบ งั คบั อยใู นวนั กอ นวนั ทพ่ี ระราชบญั ญตั นิ ใ้ี ชบ งั คบั ใหด ําเนนิ การตามพระราชบญั ญตั ิ ดังกลาวตอไปจนกวาจะแลวเสร็จและมิใหนาํ บทบัญญัติมาตรา ๑๙ แหงพระราชบัญญัติจัดต้ัง ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซง่ึ แกไ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั นิ ม้ี าใชบ งั คบั ÁÒμÃÒ ôð ในวาระเรมิ่ แรก ใหป ระธานศาลปกครองสงู สดุ ดําเนนิ การใหม กี ารเลอื กกรรมการ บรหิ ารศาลปกครองผทู รงคุณวฒุ ิตามมาตรา ๔๑/๒ วรรคหน่ึง (๓) (๔) และ (๕) แหง พระราชบัญญัติ จัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงแกไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ และกรรมการขาราชการฝายศาลปกครองผูทรงคุณวุฒิตามมาตรา ๘๑ วรรคหน่ึง (๓) (๔) และ (๕) แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงแกไขเพิ่มเติม โดยพระราชบญั ญัติน้ี ใหแ ลว เสร็จภายในหนง่ึ รอ ยย่สี บิ วันนับแตวนั ทพ่ี ระราชบญั ญัตนิ ใี้ ชบงั คบั ใหค ณะกรรมการขา ราชการฝา ยศาลปกครองซงึ่ ดาํ รงตาํ แหนง อยใู นวนั กอ นวนั ทพ่ี ระราชบญั ญตั นิ ี้ ใชบ งั คบั คงอยใู นตําแหนง ตอ ไปจนกวา จะมกี ารประกาศผลการเลอื กกรรมการขา ราชการฝา ยศาลปกครอง ผทู รงคุณวุฒติ ามมาตรา ๘๑ วรรคหนงึ่ (๓) (๔) และ (๕) แหงพระราชบญั ญตั ิจดั ตั้งศาลปกครองและ วธิ ีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงแกไ ขเพิม่ เติมโดยพระราชบัญญัตินี้ กรรมการขาราชการฝายศาลปกครองซ่ึงพนจากตําแหนงตามวรรคสอง ใหถือวาเปน การพน จากตาํ แหนงตามวาระ ÁÒμÃÒ ôñ บรรดาระเบียบ ขอบังคับ ประกาศ หลักเกณฑ หรือคาํ ส่ังท่ีออกตาม พระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ทใ่ี ชบ งั คบั อยใู นวนั กอ นวนั ทพี่ ระราชบญั ญตั นิ ใี้ ชบ งั คบั ใหย งั คงใชบ งั คบั ไดต อ ไปเพยี งเทา ทไี่ มข ดั หรอื แยง กบั พระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลปกครองและวิธีพจิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงแกไขเพ่ิมเตมิ โดยพระราชบญั ญตั นิ ี้ จนกวา จะมรี ะเบยี บ ขอบังคับ ประกาศ หลกั เกณฑ หรือคาํ สั่งทอ่ี อกตามพระราชบัญญัติจดั ต้ังศาลปกครอง และวธิ ีพิจารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึง่ แกไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญตั ิน้ีใชบ ังคบั ÁÒμÃÒ ôò การสอบสวนตลุ าการศาลปกครองผกู ระทาํ ผดิ วนิ ยั อยกู อ นวนั ทพ่ี ระราชบญั ญตั นิ ี้ ใชบงั คบั ใหดําเนนิ การตอ ไปตามกฎหมายทใ่ี ชบ ังคับอยูใ นขณะท่ีกระทาํ ความผิดนั้นจนแลวเสร็จ ÁÒμÃÒ ôó ใหประธานศาลปกครองสงู สดุ รกั ษาการตามพระราชบัญญัตินี้

๑๔๖ ËÁÒÂàËμØ :- เหตผุ ลในการประกาศใชพ ระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ี คอื โดยทสี่ มควรแกไ ขเพมิ่ เตมิ บทบญั ญตั ิ บางประการในพระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ใหเ หมาะสม ยิ่งข้ึน โดยปรับปรุงบทบัญญัติเก่ียวกับการแตงต้ังตุลาการศาลปกครองชั้นตน การเล่ือนตุลาการ ศาลปกครองชนั้ ตน ซงึ่ ดาํ รงตําแหนง ไมต ่าํ กวา ตลุ าการหวั หนา คณะศาลปกครองชนั้ ตน ไปดํารงตําแหนง ตลุ าการศาลปกครองสงู สดุ ได เพอ่ื คงความตอ เนอ่ื งในการปฏบิ ตั หิ นา ทที่ จี่ าํ เปน ตอ งอาศยั ความเชย่ี วชาญ และความชาํ นาญในการดาํ เนินกระบวนพิจารณาคดีปกครอง วาระการดํารงตําแหนงประธาน ศาลปกครองสงู สดุ โดยใหม วี าระสป่ี  การดาํ เนนิ การทางวนิ ยั แกข า ราชการตลุ าการศาลปกครอง กาํ หนด ใหมีคณะกรรมการบริหารศาลปกครองมีอาํ นาจหนาท่ีกาํ กับดูแลการบริหารราชการของศาลปกครอง โดยเฉพาะอยา งยง่ิ เรอื่ งการบรหิ ารงานทวั่ ไป งบประมาณ การเงนิ ทรพั ยส นิ และการดําเนนิ การอน่ื ของ ศาลปกครอง รวมทัง้ งานธุรการของสาํ นักงานศาลปกครองใหเ ปนไปตามกฎหมาย ระเบียบ แบบแผน และประเพณีปฏิบัติของทางราชการศาลปกครอง เพื่อใหการบริหารราชการศาลปกครองเปนไปดวย ความเรียบรอยย่ิงขึ้น และปรับปรุงองคประกอบและอาํ นาจหนาท่ีของคณะกรรมการขาราชการ ฝายศาลปกครองใหเหมาะสมย่ิงข้ึน ตลอดจนกาํ หนดเร่ืองการดาํ รงตาํ แหนงเลขาธิการสาํ นักงาน ศาลปกครองและการดําเนินการทางวินัยแกเลขาธิการสาํ นักงานศาลปกครอง จึงจาํ เปนตองตรา พระราชบัญญัติน้ี ¾ÃÐÃÒªºÞÑ ÞÑμ¨Ô ´Ñ μé§Ñ ÈÒÅ»¡¤ÃͧáÅÐÇ¸Ô Õ¾Ô¨ÒóҤ´»Õ ¡¤Ãͧ (©ººÑ ·Õè ñð) ¾.È. òõöññòð ÁÒμÃÒ ò พระราชบญั ญตั นิ ใ้ี หใ ชบ งั คบั ตงั้ แตว นั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เปนตนไป ÁÒμÃÒ òó ในวาระเริ่มแรก ใหประธานศาลปกครองสูงสุดดาํ เนินการใหมีการเลือก กรรมการตลุ าการศาลปกครองผทู รงคณุ วฒุ ติ ามมาตรา ๓๕ วรรคหนงึ่ (๒) และ (๓) แหง พระราชบญั ญตั ิ จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงแกไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ใหแ ลว เสรจ็ ภายในหน่งึ รอยยี่สบิ วนั นบั แตวันท่ีพระราชบญั ญัตนิ ี้ใชบ ังคบั ใหก รรมการตลุ าการศาลปกครองผูท รงคุณวฒุ ติ ามมาตรา ๓๕ วรรคหนึ่ง (๒) (ก) และ (ข) แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแกไขเพิ่มเติม โดยพระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง (ฉบบั ที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๕๗ ซง่ึ พน จาก ตําแหนงตามวาระแตตองทําหนาท่ีกรรมการตุลาการศาลปกครองผูทรงคุณวุฒิไปพลางกอนตาม มาตรา ๒๗๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย อยใู นวนั กอนวันทพี่ ระราชบัญญัตินี้ ใชบ งั คบั คงทําหนา ทตี่ อ ไปจนกวา จะมกี ารประกาศผลการเลอื กกรรมการตลุ าการศาลปกครองผทู รงคณุ วฒุ ิ ตามมาตรา ๓๕ วรรคหน่ึง (๒) แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแกไขเพิม่ เติมโดยพระราชบัญญัตนิ ้ี ๑๒๐ ราชกจิ จานุเบกษา เลม ๑๓๕/ตอนที่ ๙๗ ก/หนา ๖/๒๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑

๑๔๗ ใหก รรมการตลุ าการศาลปกครองผูท รงคุณวุฒติ ามมาตรา ๓๕ วรรคหนงึ่ (๓) (ก) และ (ข) แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแกไขเพิ่มเติม โดยพระราชบญั ญัตจิ ัดตัง้ ศาลปกครองและวิธพี จิ ารณาคดีปกครอง (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๕๗ ซ่งึ ดํารง ตาํ แหนง อยใู นวนั กอ นวนั ทพี่ ระราชบญั ญตั นิ ใ้ี ชบ งั คบั พน จากตาํ แหนง แตใ หท ําหนา ทก่ี รรมการตลุ าการ ศาลปกครองผทู รงคณุ วฒุ ไิ ปพลางกอ นจนกวา จะมกี ารประกาศผลการเลอื กกรรมการตลุ าการศาลปกครอง ผูทรงคุณวุฒิตามมาตรา ๓๕ วรรคหนึ่ง (๓) แหงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงแกไ ขเพิม่ เติมโดยพระราชบญั ญัตนิ ้ี กรรมการตลุ าการศาลปกครองผทู รงคณุ วฒุ ซิ งึ่ พน จากตําแหนง ตามวรรคสองและวรรคสาม ใหถอื วาเปนการพน จากตาํ แหนงตามวาระ ÁÒμÃÒ òô ใหประธานศาลปกครองสูงสุดรักษาการตามพระราชบญั ญัตนิ ้ี ËÁÒÂàËμØ :- เหตผุ ลในการประกาศใชพ ระราชบญั ญตั ฉิ บบั นี้ คอื โดยทรี่ ฐั ธรรมนญู แหง ราชอาณาจกั รไทย มาตรา ๑๙๐ บัญญัติใหพระมหากษัตริยทรงแตงตั้งและใหตุลาการพนจากตาํ แหนง แตในกรณี ที่พนจากตําแหนงเพราะความตายหรือเกษียณอายุ พนจากตําแหนงตามวาระ หรือพนจากราชการ เพราะถกู ลงโทษ ใหน ําความกราบบงั คมทลู เพอ่ื ทรงทราบ มาตรา ๑๙๘ บญั ญตั ใิ หก ารบรหิ ารงานบคุ คล เก่ียวกับตุลาการศาลปกครองตองดาํ เนินการโดยคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองซ่ึงประกอบดวย ประธานศาลปกครองสูงสุดเปนประธานและกรรมการผูทรงคุณวุฒิซ่ึงเปนตุลาการในศาลปกครอง และผทู รงคุณวุฒิซงึ่ ไมเ ปนหรอื เคยเปน ตลุ าการในศาลปกครองไมเกินสองคน บรรดาที่ไดร ับเลอื กจาก ขาราชการตลุ าการศาลปกครอง ทงั้ นี้ ตามท่กี ฎหมายบญั ญตั แิ ละมาตรา ๒๓๑ บัญญตั ใิ หผ ูตรวจการ แผนดินอาจเสนอเร่ืองตอศาลปกครองไดเมื่อเห็นวามีกรณีกฎ คําสั่งหรือการกระทําใดของหนวยงาน ของรัฐหรือเจาหนาที่ของรัฐ มีปญหาเก่ียวกับความชอบดวยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย สมควรแกไข เพ่มิ เตมิ พระราชบัญญตั ิจดั ตัง้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ในเรื่องดงั กลาว ใหส อดคลอ งกบั บทบญั ญตั ขิ องรฐั ธรรมนญู แหง ราชอาณาจกั รไทย ประกอบกบั มาตรา ๑๘๘ วรรคสอง บัญญัติใหผูพิพากษาและตุลาการยอมมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีสมควรกาํ หนด ความคุมครองตุลาการในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีซ่ึงไดกระทําโดยสุจริต นอกจากนั้นสมควร ปรบั ปรงุ การพจิ ารณาพพิ ากษาคดแี ละการบรหิ ารจดั การคดขี องศาลปกครองใหม ปี ระสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ขน้ึ โดยกาํ หนดใหสามารถยื่นคําฟองโดยสงทางไปรษณียอิเล็กทรอนิกส สื่อดิจิทัลอ่ืนใด หรือโทรสาร เพ่ือประโยชนในการเขาถึงกระบวนการยุติธรรมทางปกครองไดโดยงาย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง รวมท้ังกาํ หนดกระบวนพิจารณาโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกสหรือระบบการประชุมทางจอภาพ ตลอดจนแกไ ขเพมิ่ เตมิ กระบวนพจิ ารณาในการพจิ ารณาคาํ ขอยกเวน คา ธรรมเนยี มศาล การนงั่ พจิ ารณาคดี ในกรณีท่ีมีความจาํ เปนเรงดวนและการไมจัดใหมีการนั่งพิจารณาคดีสําหรับคดีที่อุทธรณคาํ พิพากษา ของศาลปกครองช้ันตน จงึ จาํ เปน ตองตราพระราชบญั ญัตนิ ี้

๑๔๘ ¾ÃÐÃÒªºÞÑ ÞÑμԨѴμéѧÈÒÅ»¡¤ÃͧáÅÐÇ¸Ô Õ¾¨Ô ÒóҤ´»Õ ¡¤Ãͧ (©ººÑ ·èÕ ññ) ¾.È. òõöññòñ ÁÒμÃÒ ò พระราชบญั ญตั นิ ใี้ หใ ชบ งั คบั ตง้ั แตว นั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เปน ตน ไป ÁÒμÃÒ ô ใหยกเลิกบัญชีอัตราเงินเดือนและเงินประจาํ ตําแหนงตุลาการศาลปกครอง ทายพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงแกไขเพ่ิมเติม โดยพระราชกฤษฎกี าการปรบั อัตราเงนิ เดือนของตลุ าการศาลปกครอง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ใหใ ชบ ญั ชอี ตั ราเงนิ เดอื นและเงนิ ประจาํ ตาํ แหนง ตลุ าการศาลปกครองทา ยพระราชบญั ญตั นิ แ้ี ทน ทงั้ น้ี ตง้ั แตว นั ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เปนตนไป ÁÒμÃÒ õ เงินเพ่ิมคาครองชีพช่ัวคราวตามภาวะเศรษฐกิจตามระเบียบ ก.ศป. วาดวย การจายเงนิ เพ่ิมคา ครองชีพชว่ั คราวตุลาการศาลปกครอง พ.ศ. ๒๕๕๗ ซ่ึงตุลาการศาลปกครองไดร บั ไปแลวตั้งแตวันท่ี ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เปนตนมาจนถึงวันกอนวันที่พระราชบัญญัติน้ีใชบังคับ ใหถ อื วา เปน สว นหนง่ึ ของเงนิ เดอื นและเงนิ ประจาํ ตําแหนง ทไ่ี ดร บั การปรบั เพมิ่ ตามบญั ชอี ตั ราเงนิ เดอื น และเงนิ ประจําตําแหนง ตลุ าการศาลปกครองในมาตรา ๔ และใหก ารไดร บั เงนิ เพม่ิ คา ครองชพี ชวั่ คราว ในกรณีนนั้ สน้ิ สุดลงในวนั ทีพ่ ระราชบัญญัตนิ ใ้ี ชบังคับ ÁÒμÃÒ ö ใหประธานศาลปกครองสงู สุดรักษาการตามพระราชบัญญตั ิน้ี ËÁÒÂàËμØ :- เหตผุ ลในการประกาศใชพ ระราชบญั ญตั ฉิ บบั นี้ คอื โดยทเี่ ปน การสมควรแกไ ขเพม่ิ เตมิ บัญชีอัตราเงินเดือนและเงินประจาํ ตําแหนงตุลาการศาลปกครองเพ่ือใหเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ และคาครองชีพท่ีเพิ่มสูงขึ้น โดยกาํ หนดใหถือวาเงินเพ่ิมคาครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจ ตามระเบียบ ก.ศป. วาดวยการจายเงินเพ่ิมคาครองชีพช่ัวคราวตุลาการศาลปกครอง พ.ศ. ๒๕๕๗ ซงึ่ ตลุ าการศาลปกครองไดรบั ไปแลว ตั้งแตว นั ท่ี ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เปน ตนมาจนถึงวันกอนวันที่ พระราชบัญญัติน้ีใชบังคับเปนสวนหน่ึงของเงินเดือนและเงินประจําตาํ แหนงที่ไดรับการปรับเพ่ิมตาม บญั ชอี ตั ราเงนิ เดอื นและเงนิ ประจําตําแหนง ตลุ าการศาลปกครอง และใหก ารไดร บั เงนิ เพม่ิ คา ครองชพี ช่ัวคราวในกรณีนัน้ ส้นิ สุดลงในวันที่พระราชบัญญัตินใี้ ชบ ังคบั จงึ จําเปน ตองตราพระราชบัญญตั นิ ี้ ๑๒๑ ราชกจิ จานเุ บกษา เลม ๑๓๕/ตอนที่ ๑๑๒ ก/หนา ๘/๒๘ ธนั วาคม ๒๕๖๑

๑๔๙ ¾ÃÐÃÒªºÞÑ ÞμÑ ¨Ô ´Ñ μ§éÑ ÈÒÅ»¡¤ÃͧáÅÐÇ¸Ô ¾Õ ¨Ô ÒóҤ´Õ»¡¤Ãͧ (©ºÑº·Õè ñò) ¾.È. òõöòñòò ÁÒμÃÒ ò พระราชบญั ญตั นิ ใ้ี หใ ชบ งั คบั ตงั้ แตว นั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เปนตน ไป ËÁÒÂàËμØ :- เหตุผลในการประกาศใชพระราชบัญญตั ิฉบับนี้ คือ โดยท่กี ารไกลเ กลยี่ ขอพพิ าทเปน กระบวนการหน่ึงทีช่ ว ยใหการบรหิ ารจดั การคดมี ีประสิทธิภาพมากยิง่ ข้นึ เนื่องจากเปนการเปดโอกาส และสง เสรมิ ใหค กู รณมี ที างเลอื กในการระงบั ขอ พพิ าททางปกครองไดอ กี ทางหนง่ึ สมควรเพมิ่ บทบญั ญตั ิ ใหศาลปกครองมีอํานาจไกลเ กล่ยี ขอ พิพาทในคดีปกครองภายใตห ลักความชอบดวยกฎหมาย เพ่ือให ขอ พพิ าททางปกครองยตุ ลิ งไดอ ยา งรวดเรว็ ยงิ่ ขนึ้ ดว ยความสมคั รใจของคกู รณี และรกั ษาไว ซงึ่ สมั พนั ธ ทดี่ รี ะหวา งกนั ตลอดจนสง เสรมิ ใหก ารบรหิ ารจดั การคดขี องศาลปกครองมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล เพม่ิ ขึน้ จึงจําเปนตองตราพระราชบัญญัตนิ ี้ ๑๒๒ ราชกิจจานุเบกษา เลม ๑๓๖/ตอนที่ ๕๖ ก/หนา ๒๔๗/๓๐ เมษายน ๒๕๖๒

๑๕๐

๑๕๑ º··èÕ ó ¾.Ã.º.¤ÇÒÁÃѺ¼Ô´·Ò§ÅÐàÁÔ´¢Í§à¨ÒŒ ˹ŒÒ·èÕ ¾.È.òõóù ñ. ÇμÑ ¶Ø»ÃÐʧ¤¡ ÒÃàÃÕ¹»ÃÐจําº· ๑.๑ เพ่ือใหนักเรียนนายสิบตํารวจมีความรูและความเขาใจเกี่ยวกับการกระทําท่ีเปน การละเมดิ และรับผดิ ทางละเมิดของเจาหนาที่อนั เน่อื งมาจากการปฏบิ ตั ิหนาท่ี ๑.๒ เพอื่ ใหน กั เรยี นนายสบิ ตาํ รวจมคี วามรแู ละความเขา ใจเกย่ี วกบั การเรยี กรอ งคา เสยี หาย จากการละเมดิ ของเจาหนาท่ีอันเนอื่ งมาจากการปฏบิ ตั หิ นา ท่ี ๑.๓ เพอื่ ใหน กั เรยี นนายสบิ ตาํ รวจมคี วามรแู ละความเขา ใจเกยี่ วกบั การใชส ทิ ธไิ ลเ บย้ี ของ หนว ยงานรัฐเพราะการละเมดิ ของเจาหนา ทอี่ ันเนื่องมาจากการปฏิบัติหนา ที่ ò. ʋǹนํา การท่ีเจาหนาท่ีดําเนินกิจการของหนวยงานของรัฐน้ัน มิไดเปนไปเพ่ือประโยชน อันเปน การเฉพาะตัว การปลอยใหความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจา หนาท่ี ในกรณที ป่ี ฏิบตั ิงานในหนาท่ี และเกดิ ความเสยี หายแกเ อกชนเปน ไปตามหลกั กฎหมายเอกชนตามประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย จึงเปนการไมเหมาะสม จนบางคร้ังกลายเปนปญหาในการบริหารเพราะเจาหนาที่ไมกลาตัดสินใจ ดําเนินงานเทาที่ควรเพราะเกรงความรับผิดชอบท่ีจะเกิดแกตน ดังนั้น พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด ของเจา หนา ที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ กาํ หนดใหเ จา หนา ทต่ี อ งรบั ผดิ ทางละเมดิ ในการปฏบิ ตั งิ านในหนา ทเี่ ฉพาะ เมื่อเปนการจงใจกระทําเพื่อการเฉพาะตัว หรือจงใจใหเกิดความเสียหายหรือประมาทเลินเลอ อยางรายแรงเทานั้น และใหแบงแยกความรับผิดชอบของแตละคนมิใหนําหลักลูกหนี้รวมมาใช ทําใหเ กดิ ความเปนธรรมและเพ่มิ พูนประสทิ ธภิ าพในการปฏิบัตงิ านของรัฐ ó. à¹×éÍËÒμÒÁËÇÑ ¢ŒÍ ๓.๑ ความหมายของคาํ วา ละเมดิ ตามประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย ๓.๒ การปฏบิ ตั หิ นา ท,ี่ เจา หนา ทแ่ี ละหนว ยงานของรฐั ตาม พ.ร.บ.ความรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา หนาท่ี พ.ศ.๒๕๓๙ ๓.๓ การใชสทิ ธิเรียกรอ งคา สินไหมทดแทนของบคุ คลภายนอก ๓.๔ การใชส ทิ ธไิ ลเ บย้ี ของหนว ยงานรฐั เมอ่ื ชดใชใ หแ กบ คุ คลภายนอก หรอื กรณหี นว ยงาน ของรฐั ไดรับความเสียหาย

๑๕๒ ô. ÊÇ‹ ¹ÊÃ»Ø กําหนดหลักเกณฑในการท่ีหนวยงานของรัฐจะเรียกใหเจาหนาที่ผูกระทําละเมิดตอ หนวยงานของรัฐชดใชคาสินไหมทดแทนแกหนวยงานของรัฐขึ้นใหมวาหนวยงานของรัฐจะเรียกให เจาหนาท่ีของรัฐผูกระทําละเมิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกหนวยงานของรัฐไดเฉพาะกรณีที่เจาหนาท่ี ผูนั้นกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเลออยางรายแรงเทาน้ัน สวนวาหนวยงานของรัฐจะใชสิทธิ ไลเบี้ยไดมากนอยเพียงใดนั้นตองคํานึงถึงขอเท็จจริงเปนกรณี ๆ ไป โดยหนวยงานของรัฐไมจําตอง ไดร บั ชดใชจ นเตม็ จาํ นวนความเสยี หาย สว นกรณกี ารกระทาํ ละเมดิ เกดิ ขนึ้ จากการกระทาํ ของเจา หนา ท่ี หลายคนวา เจา หนา ทแ่ี ตล ะคนไมต อ งรว มกนั รบั ผดิ อยา งลกู หนร้ี ว ม แตข น้ึ อยกู บั ขอ เทจ็ จรงิ เปน กรณไี ป วาแตละคนสมควรตองรวมรับผิดมากนอยเพียงใด โดยหนวยงานของรัฐไมจําตองไดรับชดใชจนเต็ม จาํ นวนความเสยี หาย õ. ¡Ô¨¡ÃÃÁá¹Ðนาํ ๕.๑ ผูสอนตั้งปญหาใหนักเรียนวินิจฉัย เพื่อใหรูจักคิด วิเคราะหและวิจารณเนื้อหา ท่ีเรียน ดวยการนําเทคนิค วิธีการตาง ๆ เพื่อใหผูเรียนสนใจและติดตามการสอนตลอดเวลา และเชอื่ มโยงกับวชิ าอน่ื ๆ ที่เก่ยี วขอ งกบั เน้ือหา ซึ่งผูเรยี นตองสามารถบรู ณาการความคิดได ๕.๒ ผสู อนตงั้ คาํ ถามเพอ่ื ประเมนิ ความรู ดว ยการทาํ แบบฝก หดั หลงั เรยี นและสรปุ เนอื้ หา ท่ีเรยี นพรอ มทง้ั สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมทข่ี า ราชการตํารวจควรปฏิบตั ิ ๕.๓ ผูส อนแนะนาํ แหลง ขอ มลู ท่ีจะศกึ ษาคนควาเพิ่มเตมิ ö. ÃÒ¡ÒÃÍŒÒ§Í§Ô ศักด์ิ สนองชาต,ิ คาํ อธิบายโดยยอ ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ยวาดวยละเมิดฯ กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พิมพน ติ ิบรรณการ, ๒๕๔๔ สุษม ศุภนิตย, คาํ อธบิ ายประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยละเมดิ , กรุงเทพฯ : สาํ นกั พมิ พน ิติบรรณการ. ๒๕๔๓. สรุ ิยา ปานแปน และอนวุ ัฒน บุญนันท. ¡®ËÁÒ»¡¤Ãͧ. พิมพค ร้ังท่ี ๕. กรงุ เทพฯ : วญิ ูชน, ๒๕๕๖. อนชุ า ฮุนสวสั ดกิ ลุ . á¹ÇคําÇ¹Ô ¨Ô ©ÂÑ ¢Í§ÈÒÅ»¡¤Ãͧà¡ÕÂè ǡѺ¤ÇÒÁÃºÑ ¼Ô´·Ò§ÅÐàÁ´Ô ¢Í§à¨ÒŒ ˹Ҍ ·Õè : »Þ˜ ËÒã¹·Ò§»¯ÔºÑμÔáÅÐËÅÑ¡»¯ÔºÑμÔÃÒª¡Òèҡคาํ Ç¹Ô ¨Ô ©ÂÑ ¢Í§ÈÒÅ»¡¤Ãͧ.นนทบรุ ี : สถาบนั พระปกเกลา , ๒๕๕๑. อาํ พน เจรญิ ชวี นิ ทร, ความรทู วั่ ไปเกยี่ วกบั ความรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา หนา ทแ่ี ละหนว ยงานของรฐั . กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พิมพนิตธิ รรม. ๒๕๔๖.

๑๕๓ º··èÕ ó ¾.Ã.º.¤ÇÒÁÃºÑ ¼´Ô ·Ò§ÅÐàÁ´Ô ¢Í§à¨ŒÒ˹ŒÒ·èÕ ¾.È.òõóù เดมิ กอ นทจ่ี ะมพี ระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา หนา ที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ใชบ งั คบั นนั้ ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ีในคาสินไหมทดแทนทางแพงท่ีเกิดขึ้นแมวาจะเปนการปฏิบัติ ตามหนา ทก่ี ต็ าม ความรบั ผดิ ดงั กลา วจะเปน ไปตามหลกั กฎหมายวา ดว ยละเมดิ ตามประมวลกฎหมาย แพงและพาณิชย กลาวคือ เมื่อเจาหนาท่ีกระทําละเมิดตอบุคคลภายนอกก็ดี หรือกระทําละเมิดตอ หนว ยงานของรฐั เองกด็ ี เจา หนา ทผี่ นู นั้ ตอ งรบั ผดิ ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนแกผ เู สยี หายหรอื แกห นว ยงาน ของรัฐแลวแตก รณเี สมอ ท้ังนี้เปนผลของหลกั กฎหมายแพง วาดวยละเมิดซ่งึ เปน หลักกฎหมายเอกชน ตามกฎหมายเดมิ กรณที เี่ จา หนา ทก่ี ระทาํ ละเมดิ ตอ บคุ คลภายนอก หนว ยงานของรฐั กอ็ าจ ตอ งรว มรบั ผดิ กบั เจา หนา ทผ่ี นู น้ั ในความเสยี หายทเ่ี จา หนา ทข่ี องตนไดก ระทาํ ไปเชน เดยี วกบั หลกั เรอ่ื ง นายจา งตอ งรว มรบั ผดิ กบั ลกู จา งในความเสยี หายทล่ี กู จา งไดก อ ใหเ กดิ ขน้ึ ในทางการทจี่ า ง และหนว ยงาน ของรัฐซง่ึ ไดช ดใชค า สินไหมทดแทนใหแกผ ูเสียหายเพอื่ การละเมดิ ที่เจาหนา ทขี่ องตนไดกระทําไปแลว ยอมมสี ทิ ธิไลเ บ้ยี เอากับตวั เจา หนา ท่ีผเู ปน ตน เหตุแหงความเสยี หายนน้ั ไดในภายหลัง μÒÁËÅÑ¡¡®ËÁÒÂᾋ§áÅоҳԪNjҴŒÇÂÅÐàÁÔ´ ซ่ึงเปนหลักความรับผิดเดิมของ เจาหนา ที่ อาจแยกพิจารณาลักษณะของการกระทําท่เี ปนละเมดิ และความรบั ผดิ ไดด งั น้ี ñ. ¡Ã³¡Õ ÒÃÅÐàÁ´Ô ¢Í§à¨ŒÒ˹Ҍ ·ÁèÕ Ô㪋¡ÒáÃÐทาํ 㹡Òû¯ÔºÑμËÔ ¹ŒÒ·Õè ความรับผิดตามหลักกฎหมายแพงและพาณิชยวาดวยละเมิดนั้น ไมวาการละเมิด จะเปน การกระทาํ ในการดาํ เนนิ ชวี ติ สว นตวั ของเจา หนา ท่ี หรอื วา จะเปน การกระทาํ ในระหวา งการปฏบิ ตั ิ หนา ที่ หรอื การกระทํานน้ั จะไมเ กย่ี วขอ งกบั การปฏิบตั หิ นา ท่กี ต็ าม เจาหนา ท่ผี ูทําละเมดิ ก็ตอ งรบั ผดิ ชดใชคาทดแทนความเสียหายในผลแหงละเมิดนั้นเปนการเฉพาะตัว ดังนั้นผูเสียหายจึงตองฟองให เจา หนา ทรี่ บั ผดิ ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนโดยตรงเทา นน้ั โดยไมอ าจฟอ งหนว ยงานของรฐั ใหร ว มรบั ผดิ กบั เจา หนา ท่ไี ดต ามนยั แหง คาํ พิพากษาศาลฎกี าที่ ๑๙๓๑/๒๕๑๓ ซึง่ วนิ จิ ฉยั ไวว า จาํ เลยเปนขา ราชการ สงั กดั กรมไปรษณยี  จอดรถเกบ็ ไปรษณยี ภณั ฑต รงตไู ปรษณยี  เจา พนกั งานตาํ รวจบอกใหจ าํ เลยจอดรถ ใหถูกที่ จําเลยดาตํารวจและเม่ือเจาพนักงานตํารวจชะโงกศีรษะเขาไปในรถ จําเลยก็ขับรถออกไป โดยเรว็ และผลกั ตาํ รวจตกจากรถ การดา และการขดั ขวางตาํ รวจเปน เรอื่ งสว นตวั ไมเ กยี่ วกบั กรมไปรษณยี  กรมไปรษณยี ไมต องรว มรับผิดดว ย ò. ¡Ã³Õ¡ÒÃÅÐàÁ´Ô ¢Í§à¨ŒÒ˹ŒÒ·èÕ໚¹¡ÒáÃÐทาํ 㹡Òû¯ºÔ ÑμÔ˹Ҍ ·Õè ตามหลกั กฎหมายแพง วา ดว ยละเมดิ แมเ จา หนา ทจ่ี ะกระทาํ ละเมดิ ในการปฏบิ ตั หิ นา ท่ี กลา วคอื การปฏบิ ตั หิ นา ทขี่ องเจา หนา ทไ่ี ดก อ ใหเ กดิ ความเสยี หายแกเ อกชน เจา หนา ทผ่ี นู น้ั กย็ งั คงตอ ง รับผิดในผลแหงละเมิดน้ันเปนการเฉพาะตัว เพียงแตวา นอกจากผูเสียหายจะฟองใหเจาหนาท่ีผูน้ัน รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนไดโดยตรงแลว ผูเสียหายยังอาจฟองหนวยงานของรัฐใหรวมรับผิดกับ เจา หนา ทไี่ ดด ว ย และเมอ่ื หนว ยงานของรฐั ไดช ดใชค า สนิ ไหมทดแทนใหแ กผ เู สยี หายไปแลว หนว ยงาน ของรัฐยอ มมีสิทธทิ ี่จะไลเ บ้ยี เอาแกเ จาหนา ทไ่ี ด

๑๕๔ ó. ¡Ã³·Õ àÕè ¨ÒŒ ˹Ҍ ·¢èÕ Í§Ë¹Ç‹ §ҹ¢Í§Ã°Ñ ËÅÒ¤¹ÃÇ‹ Á¡¹Ñ ทาํ ÅÐàÁ´Ô 㹡Òû¯ºÔ μÑ ËÔ ¹ÒŒ ·Õè ในกรณเี ชน น้ี แตเ ดมิ เจา หนา ทเ่ี หลา นน้ั จะตอ งรว มกนั รบั ผดิ ในผลแหง ละเมดิ นนั้ ผเู สยี หายจงึ อาจฟอ ง เจาหนาที่เหลานั้นใหรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนในฐานะท่ีเจาหนาที่เหลาน้ันเปน “Å١˹ÕéËÇÁ” ของตน กลา วคือ ผูเสียหายอาจฟองเจา หนาที่คนใดคนหน่งึ ใหรับผิดชดใชคา สนิ ไหมทดแทนใหแกต น โดยสิ้นเชิงหรือแตโดยสวนก็ไดตามแตจะเลือก แตเจาหนาที่เหลานั้นยังคงตองผูกพันอยูทั่วทุกคน จนกวา ผูเสยี หายจะไดร บั ชดใชคา สนิ ไหมทดแทนเสร็จส้ิน นอกจากผูเสียหายจะฟองใหเจาหนาท่ีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนไดโดยตรงในฐานะ ท่ีเปนลูกหนี้รวมของตนดังกลาวแลว ผูเสียหายยังอาจฟองหนวยงานของรัฐใหรวมรับผิดดังกลาวกับ เจาหนาท่ีเหลานั้นไดดวย และเมื่อหนวยงานของรัฐไดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูเสียหายไปแลว หนว ยงานของรฐั ยอ มมสี ทิ ธทิ จ่ี ะไลเ บยี้ เอาแกเ จา หนา ทเี่ หลา นน้ั ไดใ นภายหลงั ในฐานะทเี่ จา หนา ทเี่ หลา นน้ั เปน ลกู หนร้ี ว มของตนเชนกนั การนาํ หลกั กฎหมายเอกชนวา ดว ยละเมดิ มาใชก บั การละเมดิ ของเจา หนา ทข่ี องรฐั ซงึ่ เปน ปญหาทางกฎหมายมหาชน จึงกอใหเ กดิ ปญหาท่ไี มเปน ธรรมหลายประการดวยกนั กลาวคอื »ÃСÒÃáá ¡Ã³·Õ ¡èÕ ÒÃÅÐàÁ´Ô ¢Í§à¨ÒŒ ˹Ҍ ·μèÕ Í‹ º¤Ø ¤ÅÀÒ¹͡໹š ¡ÒáÃÐทาํ 㹡Òû¯ºÔ μÑ Ô Ë¹ÒŒ ·èÕ โดยปกตแิ ลว ผเู สยี หายจะฟอ งใหเ จา หนา ทรี่ บั ผดิ ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนโดยตรง และเพอื่ ใหเ กดิ ความมนั่ ใจวา ตนจะไดร บั ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนเตม็ จาํ นวนทพ่ี งึ จะได ผเู สยี หายยงั อาจจะฟอ งหนว ยงาน ของรัฐใหรวมรับผิดดังกลาวกับเจาหนาที่ดวย เจาหนาที่หรือหนวยงานของรัฐจะชดใชคาสินไหม ทดแทนใหแ กผ เู สยี หายกต็ อ เมอ่ื ศาลมคี าํ พพิ ากษา ผเู สยี หายจงึ ตอ งเสยี คา ใชจ า ยในการดาํ เนนิ คดี เชน คาฤชาธรรมเนียม คาทนาย และเวลา ดังน้ัน หากความเสียหายที่เจาหนาที่กอใหเกิดขึ้นแกตนน้ัน มไี มม ากนกั ผเู สยี หายกอ็ าจละความตงั้ ใจทจี่ ะฟอ งคดี เนอื่ งจากคา สนิ ไหมทดแทนทพ่ี งึ ไดน น้ั อาจไมค มุ กับคาใชจ า ยและเวลาทีต่ องเสยี ไป »ÃСÒ÷ÊèÕ Í§ ¡ÒÃดาํ à¹¹Ô ¡¨Ô ¡ÒÃμÒ‹ § æ ¢Í§Ë¹Ç‹ §ҹ¢Í§Ã°Ñ ¹¹Ñé à¨ÒŒ ˹Ҍ ·ËèÕ Òä´¡Œ ÃÐทาํ ä»à¾×èÍ»ÃÐ⪹Ê‹Ç¹μ¹äÁ‹ หากแตไดกระทาํ ไปเพือ่ ตอบสนองความตอ งการสว นรวมของประชาชน หรือเพื่อประโยชนสาธารณะ การปลอยใหเจาหนาที่ตองรับผิดตอบุคคลภายนอกหรือตอหนวยงาน ของรัฐแลวแตกรณีในผลแหงละเมิดที่ตนไดกระทําไปในการปฏิบัติหนาที่เสมอในทุกกรณี แมวา จะเปนการกระทําท่ีไดกระทําไปดวยความเผลอเรอตามวิสัยปุถุชนก็ตาม ยอมเปนที่เห็นไดชัดวา ไมเ ปนธรรมตอเจา หนาที่ »ÃСÒ÷ÊèÕ ÒÁ ¡Ã³¡Õ ÒÃÅÐàÁ´Ô μÍ‹ º¤Ø ¤ÅÀÒÂ¹Í¡à¡´Ô ¨Ò¡¡ÒáÃÐทาํ 㹡Òû¯ºÔ μÑ ËÔ ¹ÒŒ ·èÕ ¢Í§à¨ŒÒ˹ŒÒ·ÕèËÅÒ¤¹ การท่ีหนวยงานของรัฐซ่ึงไดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกบุคคลภายนอก ผเู สยี หายไปแลว มาไลเ บยี้ เอา ตอ มาเรยี กคา สนิ ไหมทดแทนคนื จากเจา หนา ทเี่ หลา นน้ั อยา งลกู หนร้ี ว ม โดยไมคํานึงวาเจาหนาท่ีแตละคนมีสวนกอใหเกิดความเสียหายมากนอยเพียงไรก็ดี หรือในกรณี ท่ีการละเมิดตอหนวยงานของรัฐเกิดจากการละเมิดของเจาหนาที่หลายคน การที่หนวยงานของรัฐ เรียกรองใหเจาหนาท่ีเหลานั้นรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกตนอยางลูกหนี้รวมโดยไมคํานึงวา เจาหนาท่ีแตละคนมีสวนกอใหเกิดความเสียหายมากนอยเพียงไรก็ดี ยอมไมเปนธรรมแกเจาหนาที่ แตละคนเชนเดียวกัน

๑๕๕ »ÃСÒ÷ÊÕè èÕ การปลอ ยใหเ จา หนา ทตี่ อ งรบั ผดิ ตอ บคุ คลภายนอกหรอื ตอ หนว ยงานของรฐั ในผลแหงละเมิดท่ีตนไดกระทําไปในการปฏิบัติหนาท่ี ในทุกกรณีก็ดี การนําหลักกฎหมายเร่ือง ลกู หนรี้ ว มมาใชบ งั คบั กบั เจา หนา ทใี่ หต อ งรว มรบั ผดิ ในการกระทาํ ของเจา หนา ทค่ี นอน่ื ดว ยกด็ ี เปน เหตใุ ห เจาหนาท่ีสวนใหญไมกลาตัดสินใจดําเนินงานในหนาท่ีของตนเทาท่ีควร เพราะเกรงวาความรับผิด อาจจะเกิดแกต น กจิ การบริการสาธารณะจึงขาดความตอเน่ืองและหยดุ ชะงกั ËÅѡࡳ±¡ÒáÃÐทาํ ·èàÕ »š¹¡ÒÃÅÐàÁÔ´ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี ไมไดบัญญัติเรื่องลักษณะของ การกระทาํ ทเี่ ปน ละเมดิ ไวโ ดยเฉพาะ ดงั นน้ั การพจิ ารณาวา การกระทาํ อยา งไรเปน ละเมดิ จงึ ตอ งพจิ ารณา ตามหลกั กฎหมายท่ัวไป คือ ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยล กั ษณะละเมิด ÁÒμÃÒ ôòð ผูใดจงใจหรือประมาทเลินเลอทําตอบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายใหเขา เสียหายถงึ แกช ีวิตก็ดี แกร า งกายก็ดี อนามยั กด็ ี เสรภี าพกด็ ี ทรัพยสินหรือสิทธอิ ยา งหน่ึงอยางใดกด็ ี ทา นวาผนู ั้นทําละเมิดจาํ ตอ งชดใชค าสนิ ไหมทดแทนเพื่อการน้ัน ¨§ã¨ หมายถงึ จงใจใหเ ขาเสยี หายในเบอ้ื งตน นจี้ าํ เปน ตอ งทาํ ความเขา ใจวา เรอื่ งละเมดิ ตามกฎหมายแพง นนั้ วตั ถปุ ระสงคข องกฎหมายแพง ซงึ่ เปน กฎหมายเอกชนมงุ ทก่ี ารเยยี วยาความเสยี หาย หรือการชดใชคาสินไหมทดแทนความเสียหายใหแกผูเสียหาย ดังนั้น คําวา “¨§ã¨” ในเรื่องละเมิด ซ่ึงเปนหลักกฎหมายแพงจึงมีความหมายที่ตองแยกออกจากคําวา “à¨μ¹Ò” ตามกฎหมายอาญา เพราะวา กฎหมายอาญานั้นมีวัตถุประสงคเพ่ือนําตัวผูกระทําความผิดมาลงโทษ และ “เจตนา” ตามกฎหมายอาญานนั้ เปน องคป ระกอบภายในของความผดิ ทางอาญา ซงึ่ “เจตนา” ในกฎหมายอาญา จะเปนการกระทําโดยผูกระทํารูสํานึกในการกระทําและในขณะเดียวกันผูกระทําก็ประสงคตอผล คือ กระทําโดยมุงรายตอผูเสียหาย หรือกระทําโดยรูสํานึกในการกระทํา และขณะเดียวกันยอมเล็งเห็น ผลรายทจี่ ะเกดิ ข้นึ จากการกระทํานั้น ในความรบั ผดิ ทางแพง อนั เปน ความรบั ผดิ ทเี่ กดิ จากมลู ละเมดิ กฎหมายใชค าํ วา “¨§ã¨” ซึ่งหมายถึง ผูกระทําตั้งใจกระทําอยางใดอยางหนึ่ง ซึ่งอาจจะกระทําโดยมีเจตนารายหรือกระทํา โดยตองการใหผูอ่ืนไดรับความเสียหายโดยตรงอยางหน่ึง และอีกอยางหนึ่ง แมผูกระทําจะมิไดมี เจตนารา ยซึง่ เทา กับขาด “เจตนา” ตามกฎหมายอาญาซง่ึ ทําใหข าดองคประกอบและไมเปนความผิด อาญา แตเมือ่ การกระทาํ ทตี่ ้ังใจทํานนั้ เปน เหตใุ หเ กิดความเสียหายแกบุคคลอืน่ ขึน้ มา ผกู ระทําท่เี ปน เหตุของความเสียหายนั้นก็ตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนความเสียหายแกผูท่ีไดรับความเสียหาย จากการกระทําน้ัน เพราะฉะนั้น หลักกฎหมายเรื่อง “จงใจ” ในกฎหมายแพงจึงมุงพิจารณาท่ี “¤ÇÒÁμéѧã¨ã¹¡ÒáÃÐทํา·Õè໚¹àËμØ¢Í§¤ÇÒÁàÊÕÂËÒ” น้ันเองวา ผูกระทําต้ังใจทําหรือไม มิได พิจารณาวาผูก ระทาํ มีเจตนารายหรอื ไม »ÃÐÁÒ·àÅ¹Ô àÅÍ‹ หมายถงึ กระทาํ โดยปราศจากความระมดั ระวงั ซง่ึ บคุ คลในภาวะเชน นนั้ จักตองมีตามวิสัยและพฤติการณและผูกระทําอาจใชความระมัดระวังเชนวาน้ันได แตหาไดใช เพียงพอไม ซง่ึ ความระมัดระวังของบคุ คลตอ งพจิ ารณาตามวสิ ยั และพฤติการณ

๑๕๖ คําวา “ประมาทเลินเลอ อยา งรายแรง” ศาลปกครองสูงสุดไดต ีความหมายถอ ยคาํ นไ้ี วว า หมายถงึ การกระทาํ โดยมไิ ดเ จตนาแตเ ปน การกระทาํ ซง่ึ บคุ คลคาดหมายไดว า จะกอ ใหเ กดิ ความเสยี หายขนึ้ และหากใชความระมัดระวังเพียงเล็กนอยก็อาจปองกันไมใหเกิดความเสียหายนั้นได แตกลับไมไดใช ความระมัดระวงั น้ันเลย (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๑๐๖/๒๕๕๒) กรณที ีถ่ อื วา “ประมาทเลินเลอ อยา งรายแรง” ๑. ไมไ ดใชความระมัดระวงั เลยสักนิด ๒. ทําผิดซ้าํ ๆ ในเร่ืองแบบเดยี วกนั ๓. ปฏบิ ตั ผิ ิดมาตรฐานวชิ าชพี ๔. ฝา ฝน กฎหมาย หรือระเบยี บ ๕. กฎหมายหรอื ระเบียบกําหนดวิธีปฏิบัตไิ วแตไมไ ดทําหรือปฏิบัติตามน้นั “¤ÇÒÁÃÐÁ´Ñ ÃÐÇ§Ñ μÒÁÇÊÔ ÂÑ ” นน้ั หมายถงึ ความระมดั ระวงั ตามสภาพของตวั ผกู ระทาํ นนั้ เอง เชน เด็กกับผูใหญ หรือผูมีความชํานาญในวิชาชีพเฉพาะดานกับคนทั่วไป เปนเจาหนาท่ีช้ันผูใหญ หรือชนั้ ผนู อ ย เปน เจา หนา ที่ธรรมดาหรือผูเชีย่ วชาญ ดังน้ี ความระมดั ระวงั ยอมแตกตา งกนั สว น “¤ÇÒÁÃÐÁ´Ñ ÃÐÇ§Ñ μÒÁ¾Äμ¡Ô Òó” หมายถงึ ความระมดั ระวงั ตามสภาพของเหตแุ วดลอ ม ซง่ึ เปน เหตภุ ายนอกตวั ผกู ระทาํ เชน สภาพฝนตกถนนลน่ื กบั แดดออกถนนแหง เวลากลางคนื กบั เวลากลางวนั ทางตรงกบั ทางโคง สภาพถนนกวา งมยี านยนตน อ ยกบั ทค่ี บั ขนั หรอื มยี านยนตค บั คง่ั สภาพของสถานทท่ี าํ งาน ของเจา หนา ท่ี จาํ นวนของประชาชนทเ่ี ขา มาตดิ ตอ กบั เจา หนา ท่ี เปน ตน สภาพแวดลอ มเหลา นท้ี าํ ใหต อ งใช ความระมดั ระวังท่แี ตกตางกนั คํา¾Ô¾Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·èÕ Í.òù/òõôö การที่ผูฟองคดีไดรับแจงใหเขารับ การฝกอบรมกอนถึงกําหนดฝกอบรมเพียง ๒ วันแลวผูฟองคดีไมไดตรวจสอบวาตนมีหนาที่ตองอยู เวรยามในวันใด เพราะเปนเวลาท่ีกระชั้นชิดและผูฟองคดีมีราชการที่ตองออกไปปฏิบัตินอกสถานที่ อยางตอเน่ืองและไมรายงานใหหัวหนาฝายทะเบียนการคาทราบเพื่อจะไดออกคําส่ังใหผูอื่นมาอยู เวรยามแทนจงึ มเี หตผุ ลพอท่ีจะรบั ฟงได ประกอบกบั ผูฟอ งคดีมีหนา ทตี่ องไปเขารบั การฝก อบรมตาม คําส่ังของผูบังคับบัญชาซึ่งเปนการกระทําโดยชอบในทางราชการจึงถือไมไดวาผูฟองคดีมีพฤติการณ ละท้ิงหนาท่ีเวรยามและถือไมไดวาผูฟองคดีจงใจหรือประมาทเลินเลอเปนเหตุใหเกิดความเสียหาย แกทางราชการ คําส่ังของกรมทะเบียนการคาท่ีสั่งใหผูฟองคดีชดใชคาเสียหายจึงเปนคําส่ังท่ีไมชอบ ดว ยกฎหมาย คาํ ¾Ô¾Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§Ê´Ø ·Õè Í.òñô/òõõð นายไพศษิ ฐปลดั อําเภอรักษาราชการ แทนนายอําเภอซง่ึ เปน ผูถกู ฟองคดที ี่ ๒ ไดปฏบิ ัตหิ นา ท่โี ดยทําพินัยกรรมแบบเอกสารฝายเมอื งใหกบั นางองึ่ เมือ่ วันที่ ๓๐ มนี าคม ๒๕๔๒ แลวเก็บรกั ษาพนิ ยั กรรมนนั้ ไวทัง้ ที่นางอง่ึ ยงั ไมไดล งลายมือช่อื ในพินัยกรรมโดยไมไดตรวจสอบกอนวานางอึ่งผูทําพินัยกรรมไดลงลายมือชื่อแลวหรือไม เปนผลให พนิ ยั กรรมเปน โมฆะตามมาตรา ๑๗๐๕ แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยก รณจี งึ ถอื ไดว า เปน การ กระทําโดยประมาทเลินเลอในการปฏบิ ตั หิ นา ท่ี

๑๕๗ ¡ÒáÃÐทําâ´Â¼Ô´¡®ËÁÒ หมายความวา ผูกระทํา “äÁ‹ÁÕอํา¹Ò¨” หรือ “äÁ‹ÁÕÊÔ·¸Ô” ที่จะกระทําเชนนั้น ¡ÒÃäÁ‹ÁÕอํา¹Ò¨หมายถึง ไมมีอํานาจตามกฎหมาย สวน “ÊÔ·¸Ô” น้ันเปนสภาพ ทางกฎหมายท่ีกอใหเกิด “ÊÔ·¸Ôอํา¹Ò¨” กลาวคือ ทําใหเกิดสิทธิเรียกรองใหผูอ่ืนมีหนาที่ตองกระทํา เพื่อผูที่มีสิทธินั้น สิทธิอาจเปนสิทธิตามที่กฎหมายกําหนดหรือเปนสิทธิที่เกิดจากเจตนาโดยสมัครใจ ของคกู รณี หรอื เปน สทิ ธอิ นั เกดิ จากสญั ญา ซง่ึ เปน ไปตามหลกั กฎหมายแพง การทผ่ี กู ระทาํ ไดก ระทาํ ไป “â´ÂäÁÁ‹ อÕ ํา¹Ò¨” หรอื “â´ÂäÁ‹ÁÊÕ Ô·¸”Ô การกระทาํ ดังกลาวจึงเปนการกระทําท่ีไมชอบดว ยกฎหมาย หากกระทาํ แลว ทาํ ใหผ อู น่ื ไดร บั ความเสยี หายโดยจงใจหรอื ประมาทเลนิ เลอ แลว การกระทาํ นน้ั ยอ มเปน การละเมิด แตถา ผกู ระทํามอี ํานาจกระทาํ ไดตามกฎหมาย เชน เปน “à¨ÒŒ ¾¹¡Ñ §Ò¹¼ŒÙÁอÕ ํา¹Ò¨Ë¹ŒÒ·”èÕ หรอื “ÁÕÊÔ·¸μÔ ÒÁ¡®ËÁÒ” เชน เปนคูส ญั ญาผูมสี ิทธติ ามสัญญา แมจะเกดิ ความเสยี หายข้ึนจากการ กระทําโดยใชอํานาจหรือกระทําตามสิทธิดังกลาว การกระทําน้ันก็ไมเปนการกระทําโดยผิดกฎหมาย และเม่ือไมเปนการกระทาํ ที่ผดิ กฎหมายกไ็ มเปนการละเมดิ ¡Ã³ÕÈ¡Ö ÉÒ : ¡ÒáÃÐทํา·àÕè »š¹¡ÒÃÅÐàÁ´Ô เมื่อการกระทําใดเขาหลักเกณฑ ๓ ประการขางตนการกระทํานั้นเปนการละเมิด ผูก ระทําจะตองใชค าสินไหมทดแทนเพือ่ การน้ัน เชน คาํ ¾¾Ô Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·Õè Í.ôø/òõô÷ ผฟู อ งคดซี ง่ึ เปน ผูใ หเ ชา ซ้อื รถยนตแ ละ ผคู า้ํ ประกนั ไดม าตดิ ตอ ขอรบั รถยนตท เี่ กดิ อบุ ตั เิ หตคุ นื พนกั งานสอบสวนยอ มทราบดวี า มเี จา ของแนช ดั จงึ ไมม อี ํานาจขายทอดตลาดฯ การนาํ รถยนตขายทอดตลาดจึงเปนการกระทําท่ไี มช อบดว ยขอบงั คับ การเก็บรักษาของกลางกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.๒๔๘๐ ประกอบกับประมวลระเบียบการตํารวจ เกยี่ วกบั คดเี มอ่ื ทาํ ใหผ ฟู อ งคดไี ดร บั ความเสยี หายกรณจี งึ เปน การกระทาํ ละเมดิ ตอ ผฟู อ งคดแี ละเปน การทาํ ละเมดิ ในการปฏบิ ตั หิ นา ทผ่ี ถู กู ฟอ งคดที ี่ ๒ (สาํ นกั งานตาํ รวจแหง ชาต)ิ ซง่ึ เปน หนว ยงานของรฐั ทพ่ี นกั งาน สอบสวนสังกัดอยูตองรับผิดชดใชคาสินเสียหายใหแกผูฟองคดีและกรณีนี้ผูฟองคดีตองฟองผูถูกฟอง คดที ี่ ๒ ซงึ่ เปน หนว ยงานของรฐั โดยตรงจะฟอ งพนกั งานสอบสวนผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๑ ซง่ึ เปน เจา หนา ทไี่ มไ ด ทง้ั น้ี ตามมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แหง พระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผิดทางละเมดิ ของเจา หนาที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ¢Íºà¢μ¡ÒÃ㪺Œ §Ñ ¤ºÑ ¾ÃÐÃÒªºÞÑ ÞμÑ ¤Ô ÇÒÁÃºÑ ¼´Ô ·Ò§ÅÐàÁ´Ô ¢Í§à¨ÒŒ ˹Ҍ ·èÕ ¾.È.òõóù μÍŒ §à»¹š ¡ÒáÃÐทาํ â´Âà¨ÒŒ ˹ŒÒ·Õè¢Í§ÃѰ พระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา หนา ที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เปน กฎหมายทบี่ ญั ญตั ิ เพื่อใชบังคับกับความรับผิดทางละเมิดของ “਌Ò˹ŒÒ·èÕáÅÐ˹‹Ç§ҹ¢Í§ÃѰ” ซึ่งมาตรา ๔ แหง พระราชบัญญัติน้ีไดก าํ หนดบทนิยามของคาํ วา “਌Ò˹Ҍ ·è”Õ และ “˹Nj §ҹ¢Í§ÃѰ” ไว ÁÒμÃÒ ô ในพระราชบญั ญตั ินี้ เจาหนาท่ี หมายความวา ขาราชการ พนักงาน ลูกจาง หรือผูปฏิบัติงานประเภทอ่ืน ไมวา จะเปน การแตง ตง้ั ในฐานะเปนกรรมการหรอื ฐานะอื่นใด หนวยงานของรัฐ หมายความวา กระทรวง ทบวง กรม หรือสวนราชการท่ีเรียกชื่อ อยางอื่นและมีฐานะเปนกรม ราชการสวนภูมิภาค ราชการสวนทองถ่ิน และรัฐวิสาหกิจที่ต้ังข้ึน

๑๕๘ โดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และใหหมายความรวมถึงหนวยงานอื่นของรัฐที่มี พระราชกฤษฎีกากําหนดใหเ ปน หนวยงานของรัฐตามพระราชบัญญตั นิ ้ีดว ย “਌Ò˹ŒÒ·èÕ” หมายความวา ขาราชการ พนักงานลูกจาง หรือผูปฏิบัติงานประเภทอ่ืน ไมวาจะเปนการแตง ตั้งในฐานะเปนกรรมการหรือฐานะอื่นใด นอกจากนนั้ คณะกรรมการกฤษฎกี ายงั ใหค วามเหน็ วา คาํ วา “à¨ÒŒ ˹Ҍ ·”èÕ ตามกฎหมายน้ี ไมรวมถึงเอกชนที่รับทําหรือจัดทํากิจการใหแกรัฐหรือดําเนินการแทนรัฐตามสัญญาจางทําของ เชน กรณีท่ีการไฟฟาสวนภูมิภาคทําสัญญาแตงต้ังใหเอกชนซ่ึงเปนบุคคลภายนอก หรือนิติบุคคล หรือ องคการบริหารสวนตําบล ดําเนินการในหนาท่ีอยางหน่ึงอยางใดแทนการไฟฟาสวนภูมิภาค เชน เปน ตวั แทนเกบ็ คา ไฟฟา จากผใู ชไ ฟฟา แทนพนกั งานเกบ็ เงนิ ของการไฟฟา สว นภมู ภิ าค หรอื แกไ ขกระแส ไฟฟาที่ขัดของใหแกผูใชกระแสไฟฟา หรือกอสรางอาคารใด ๆ ใหแกการไฟฟาสวนภูมิภาคเบ้ืองตน บคุ คลดงั กลา วยอ มไมเ ปน “เจา หนา ท”ี่ ตามกฎหมายนี้ เนอ่ื งจากไมใ ชเ จตนารมณข องกฎหมายทข่ี ยาย ความรับผิดของหนวยงานของรัฐใหตองรับผิดไปถึงกรณีท่ีเอกชนหรือบุคคลภายนอกที่ไมใชเจาหนาที่ ไปทําละเมิดดวย ซ่ึงโดยปกติหนวยงานของรัฐยอมไมตองรับผิดในกรณีที่บุคคลดังกลาวทําละเมิด อยแู ลว เวน แตจ ะเปน กรณที ี่กฎหมายกําหนดไวโ ดยเฉพาะ คําÊÑè§ÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·èÕ öø/òõõð องคการขนสงมวลชนกรุงเทพเปนรัฐวิสาหกิจ ทจ่ี ดั ตง้ั ขน้ึ ตามพระราชกฤษฎกี าจดั ตงั้ องคก ารขนสง มวลชนกรงุ เทพ พ.ศ.๒๕๑๙ มฐี านะเปน หนว ยงาน ทางปกครองและพนักงานขบั รถโดยสารประจาํ ทางมีฐานะเปนเจา หนา ทขี่ องรัฐ “˹‹Ç§ҹ¢Í§ÃѰ” หมายความวา กระทรวง ทบวง กรม หรือสวนราชการท่ีเรียกชื่อ อยางอ่ืนและมีฐานะเปนกรม ราชการสวนภูมิภาค ราชการสวนทองถิ่น และรัฐวิสาหกิจท่ีตั้งขึ้น โดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และใหหมายความรวมถึงหนวยงานอื่นของรัฐท่ีมี พระราชกฤษฎีกากาํ หนดใหเปนหนวยงานของรฐั ตามพระราชบญั ญัติน้ีดว ย ดงั น้ัน จงึ จําแนกประเภทของ “˹‹Ç§ҹ¢Í§Ã°Ñ ” ไดด งั น้ี (๑) กระทรวง ทบวง กรม หรือสวนราชการทเ่ี รยี กชื่ออยา งอื่นและมีฐานะเปน กรม (๒) ราชการสว นภมู ภิ าค ไดแก จังหวดั อาํ เภอ (๓) ราชการสวนทองถ่ิน ไดแก เทศบาล องคการบริหารสวนตําบล องคการบริหาร สวนจงั หวดั เมอื งพทั ยาและกรงุ เทพมหานคร (๔) รฐั วสิ าหกจิ ทต่ี ง้ั ขนึ้ โดยพระราชบญั ญตั หิ รอื พระราชกฤษฎกี า เชน การไฟฟา ฝา ยผลติ แหง ประเทศไทย การไฟฟา สว นภมู ภิ าค การประปานครหลวง องคการขนสง มวลชนกรงุ เทพ องคก าร โทรศัพทแหงประเทศไทย การส่ือสารแหงประเทศไทย ธนาคารออมสิน เปนตน ดังน้ัน หนวยงาน ของรฐั ตามกฎหมายฉบบั นี้ จงึ ไมร วมไปถงึ รฐั วสิ าหกจิ ทจี่ ดั ตงั้ ขน้ึ ตามประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย ในรปู ของบริษทั เชน บรษิ ทั การบนิ ไทย จํากัด (มหาชน) หรือบรษิ ทั ไมอ ดั ไทย เปนตน (๕) ใหห มายความรวมถงึ หนว ยงานอน่ื ของรฐั ทม่ี พี ระราชกฤษฎกี ากาํ หนดใหเ ปน หนว ยงาน ของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ดวย เชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร

๑๕๙ และเทคโนโลยแี หง ชาติ องคก ารสงเคราะหท หารผา นศกึ สาํ นกั งานคณะกรรมการการเลอื กตง้ั สาํ นกั งาน คณะกรรมการกาํ กบั หลกั ทรพั ยแ ละตลาดหลกั ทรพั ย สถาบนั พระปกเกลา สาํ นกั งานผตู รวจการแผน ดนิ ของรัฐสภา สาํ นักงานศาลปกครอง สํานกั งานศาลยตุ ิธรรม สาํ นักงานการปฏิรูปการศกึ ษา (องคก าร มหาชน) สํานักงานสนับสนุนการสรางเสริมสุขภาพ (องคการมหาชน) สถาบันพัฒนาองคกรชุมชน (องคก ารมหาชน) โรงเรยี นมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ (องคก ารมหาชน) โรงพยาบาลบา นแพว (องคก ารมหาชน) ศนู ยม านษุ ยวทิ ยาสริ นิ ธร (องคก ารมหาชน) กองทนุ บาํ เหนจ็ บาํ นาญขา ราชการ สถาบนั มาตรวทิ ยาแหง ชาติ เปน ตน คําÊèѧÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·èÕ ôò/òõõð โรงเรียนสะพือวิทยาคารเปนนิติบุคคลตาม มาตรา ๓๕ แหง พระราชบญั ญตั บิ รหิ ารราชการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร พ.ศ.๒๕๔๖ แตม ไิ ดเ ปน หนว ยงาน ของรฐั ตามมาตรา ๔ แหงพระราชบัญญตั ิความรับผดิ ทางละเมิดของเจาหนา ที่ พ.ศ.๒๕๓๙ คาํ ÊÑè§ÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·èÕ òñ/òõôø สํานกั งานทีด่ นิ จังหวดั ระยองมใิ ชเ ปน หนวยงาน ของรัฐท่อี าจถกู ฟองใหชดใชคาเสยี หายได **กรณีนี้ หากจะฟองหนวยงานของรฐั ตอ งฟอ งกรมทดี่ นิ ¢ÍŒ 椄 à¡μ ในกรณเี จา หนา ทขี่ องรฐั หรอื หนว ยงานของรฐั ทไ่ี มไ ดอ ยใู นความหมายดงั กลา ว ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่และหนวยงานของรัฐก็ยังคงใชบังคับตามประมวลกฎหมายแพง และพาณิชยอยูเชนเดิม เชน รัฐวิสาหกิจที่ไมไดจัดต้ังข้ึนโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา แตจ ดั ตง้ั ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย หรือ มติ ครม. เปน ตน และมไิ ดม ีพระราชกฤษฎกี า กาํ หนดใหเ ปนหนว ยงานของรฐั ตามพระราชบัญญัตนิ ี้ เปน ตน ¢Íºà¢μ¡ÒÃ㪌º§Ñ ¤ºÑ μŒÍ§à»š¹¡ÒáÃÐทาํ 㹡Òû¯ÔºÑμËÔ ¹ŒÒ·Õè ÁÒμÃÒ õ หนวยงานของรัฐตองรับผิดตอผูเสียหายในผลแหงละเมิดที่เจาหนาที่ ของตนไดก ระทาํ ในการปฏิบตั หิ นา ที่ ในกรณนี ีผ้ เู สียหายอาจฟองหนวยงานของรัฐดงั กลา วไดโ ดยตรง แตจะฟองเจาหนาทไี่ มไ ด ถาการละเมิดเกิดจากเจาหนาที่ซ่ึงไมไดสังกัดหนวยงานของรัฐแหงใดใหถือวากระทรวง การคลงั เปน หนว ยงานของรฐั ทตี่ องรับผดิ ตามวรรคหนง่ึ ÁÒμÃÒ ö ถาการกระทําละเมิดของเจาหนาท่ีมิใชการกระทําในการปฏิบัติหนาที่ เจาหนาที่ตองรับผิดในการนั้นเปนการเฉพาะตัว ในกรณีน้ีผูเสียหายอาจฟองเจาหนาที่ไดโดยตรง แตจ ะฟอ งหนว ยงานของรัฐไมได ดังนั้น การจะพิจารณาวาหนวยงานของรัฐตองรับผิดตอผูเสียหายในผลแหงละเมิด ท่เี จาหนา ทีข่ องตนไดกระทํา จงึ ตองพจิ ารณาวา การกระทาํ นัน้ ไดก ระทาํ ในการปฏบิ ัตหิ นา ท่หี รอื ไม การจะพจิ ารณาวา การนนั้ เปน การปฏบิ ตั หิ นา ทห่ี รอื ไม พจิ ารณาจากเจา หนา ทรี่ ฐั มอี าํ นาจ หนาที่ตามท่ีกฎหมายกําหนดตามพระราชบัญญัติของสวนราชการน้ัน ๆ และรวมไปถึงกฎระเบียบ ของทางราชการ มติของคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาลและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทาง

๑๖๐ ราชการสาํ หรบั หนา ทที่ เ่ี ปน การเฉพาะนน้ั หนว ยราชการจะตอ งมกี ารมอบหมายใหก บั ผรู บั ผดิ ชอบเปน ลายลักษณอักษร ซ่ึงอาจจะทําเปน คําส่ังของหนวยงานหรือรปู แบบอืน่ เชน บนั ทกึ ขอ ความ เปน ตน การท่ีเจาหนาท่ีกระทําละเมิดในขณะท่ีปฏิบัติหนาที่ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหนาที่ โดยทั่วไปในลักษณะที่เปนการกระทําทางกายภาพหรือเปนการกระทําละเมิดที่เกิดจากการใชอํานาจ ตามกฎหมายหรือจากการออกกฎคําส่ังทางปกครองหรือคําสั่งอ่ืนหรือจากการละเลยตอหนาท่ีตามท่ี กฎหมายกาํ หนดใหตองปฏบิ ัตหิ รือปฏบิ ตั ิหนา ที่ลา ชาเกนิ สมควรแลว แตกรณี ñ. ¢ŒÍÊѧà¡μà¡ÕèÂǡѺ “¡Òû¯ºÔ ÑμËÔ ¹ŒÒ·èÕ” ปญหาวาการกระทําละเมิดนั้นกระทําในการปฏิบัติหนาท่ีหรือไมเปนประเด็นสําคัญ ที่ตองพิจารณา เพราะกอใหเกิดผลตอความรับผิดของเจาหนาท่ีและหนวยงานของรัฐแตกตางกัน ซ่งึ พอจะมแี นวทางพจิ ารณาไดด ังนี้ ๑.๑ เจาหนาท่ีทุกคนจะตองมีอํานาจหรือหนาที่โดยอํานาจหนาที่ของเจาหนาที่ แตละคนหรือแตละเร่ืองอาจมีแหลงที่มาของอํานาจหนาที่แตกตางกัน เชน บางเรื่องอาจกําหนดให พระราชบัญญัติ บางกรณีอาจกําหนดใหกฎ บางกรณีอาจกําหนดในคําส่ังมอบหมายงานของ ผบู งั คบั บญั ชา เปน ตน การกระทาํ ละเมดิ ในการปฏบิ ตั หิ นา ทจี่ งึ จะตอ งเปน การปฏบิ ตั หิ นา ทต่ี ามอาํ นาจ หรอื หนา ทท่ี เ่ี จา หนา ทผี่ นู นั้ มอี ยดู งั กลา ว ถา การกระทาํ ละเมดิ ของเจา หนา ทผ่ี หู นง่ึ ผใู ดมใิ ชเ ปน การปฏบิ ตั ิ ตามอาํ นาจหนา ทท่ี ต่ี นเองมอี ยแู ลว การกระทาํ นน้ั ยอ มไมอ าจถอื เปน การกระทาํ ในการปฏบิ ตั หิ นา ทไ่ี ด ดังนั้น ในเบ้ืองตนจึงจะตองตรวจสอบถึงอํานาจหรือหนาที่ของเจาหนาที่ผูกระทําละเมิดเสียกอนวา มีอาํ นาจหนาทีใ่ นเร่ืองทกี่ ระทาํ ละเมดิ หรอื ไมอ ยางไร หากการกระทาํ ท่ีเปนเหตลุ ะเมดิ นัน้ มิใชเปน งาน ตามอํานาจหรือหนาท่ี แมจะกระทําในเวลาราชการหรือกระทําในสํานักงานของหนวยงานของรัฐ หรอื ขณะแตง เครอ่ื งแบบของราชการกต็ าม การทําละเมดิ นนั้ ก็มิใชเ ปน การกระทําในการปฏิบัติหนา ที่ ๑.๒ การอาศยั โอกาสในการปฏบิ ตั หิ นา ทแ่ี ลว ทจุ รติ ทาํ ใหท างราชการเสยี หายเปน การ ทําละเมดิ ในการปฏิบัติหนา ทีท่ ่ีเกดิ จากการใชอํานาจตามกฎหมาย μÑÇÍ‹ҧà¡èÂÕ Ç¡Ñº¡ÒáÃзÒí ÅÐàÁ´Ô à¡´Ô ¨Ò¡¡Òû¯ÔºμÑ ËÔ ¹ÒŒ ·Õè คํา¾Ô¾Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·Õè Í.÷ð/òõõò กรมชลประทานรุกล้ําเขามาในท่ีดิน ของผูฟองคดี เพ่ือขุดลอกขยายความกวางของลําหวยพะเนียงและกอสรางคันดินเปนถนนเลียบ ตลอดสองแนวโดยไมไดดําเนินการเวนคืนที่ดินตามกฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพยหรือตกลง ซอ้ื ขายทดี่ ินเปน การกระทาํ ละเมดิ ในการปฏิบตั หิ นา ที่ คําÊѧè ÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§Ê´Ø ·Õè òøö/òõô÷ การที่คณะรฐั มนตรี (ครม.) มีมติใหผ ฟู องคดี พน จากตาํ แหนง ซงึ่ เปน การกระทาํ ตามอาํ นาจหนา ทข่ี อง ครม. ตามทกี่ ฎหมายกาํ หนดจงึ ถอื วา เปน การใช อํานาจตามกฎหมายของเจาหนาท่ีที่มีผลเปนการสรางนิติสัมพันธข้ึนระหวางบุคคลซ่ึงมีผลกระทบ ตอสถานภาพของสิทธิหรือหนา ท่ีของผูฟอ งคดี มติ ครม. ดังกลา วจงึ เปน คําสง่ั ทางปกครองเมื่อ ครม. ซงึ่ อาจเปน ผกู ระทาํ ละเมดิ กอ ใหเ กดิ ความเสยี หายแกผ ฟู อ งคดมี ใิ ชห นว ยงานของรฐั และไมไ ดส งั กดั หนว ยงาน ของรฐั แหง ใดจงึ ใหถ อื วา กระทรวงการคลงั เปน หนว ยงานของรฐั ดงั นน้ั กรณนี กี้ ระทรวงการคลงั จงึ เปน หนว ยงานของรัฐทีต่ อ งรบั ผดิ หากมีการกระทําละเมดิ ของ ครม.

๑๖๑ μÇÑ Í‹ҧà¡ÕèÂǡѺ¡ÒáÃÐทําÅÐàÁ´Ô ·ÕÁè ãÔ ª¨‹ Ò¡¡Òû¯ÔºμÑ ËÔ ¹ŒÒ·èÕ คําÊèѧÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·èÕ õ÷ù/òõô÷ สารวัตรกํานันนํารถขุดดินในทางเกวียน สาธารณประโยชนทําเปนลําเหมืองเพ่ือเอานํ้าเขานาของตนโดยบุกรุกที่นาของผูฟองคดีทําใหไดรับ ความเสยี หายนนั้ เปน การกระทาํ สว นตวั มใิ ชเ กดิ จากการกระทาํ หรอื การดาํ เนนิ การทางปกครองในการ ปฏบิ ตั ิหนาท่ตี ามทกี่ ฎหมายกาํ หนด คาํ ʧèÑ ÈÒÅ»¡¤ÃÍ§Ê§Ù Ê´Ø ·Õè ñõõ/òõõò การทผ่ี ถู กู ฟอ งคดี (ผบู ญั ชาการเรอื นจาํ ) ไดก ลา ว หมนิ่ ประมาทผฟู อ งคดตี อ หนา ผตู อ งขงั ในทปี่ ระชมุ และขม ขใู หผ ฟู อ งคดถี อนฟอ งและหนงั สอื รอ งเรยี น ทไี่ ดย น่ื ไว ทาํ ใหผ ฟู อ งคดเี สยี ชอ่ื เสยี งถกู ดหู มน่ิ เกลยี ดชงั จากผตู อ งขงั คนอนื่ ศาลวนิ จิ ฉยั วา แมผ ถู กู ฟอ งคดี จะเปนผูบังคับบัญชาของเรือนจําก็ตาม แตการกระทําดังกลาวก็เปนการกระทําโดยอาศัยเหตุสวนตัว หาใชการกระทาํ ละเมิดหรอื กจิ การทางปกครองไม คําÊèѧÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·Õè óøô/òõô๖ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองทองที่ พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๗ มไิ ดบัญญัตใิ หผ ูใหญบ านมีอาํ นาจหนา ทใ่ี นการสรา งถนน การท่ีผูถูกฟองคดี ซง่ึ เปน ผใู หญบ า นเขา ดาํ เนนิ การสรา งถนนพพิ าททผี่ ฟู อ งคดแี ละราษฎรยกทด่ี นิ และสละเงนิ ใหส รา งนนั้ จึงมิใชเปนการกระทําในหนาที่หรือใชอํานาจทางปกครองของผูใหญบานแตกระทําในฐานะสวนตัว ทางสังคมแมผูฟองคดีอางวาผูถูกฟองคดีทําถนนรุกลํ้าเขามาในที่ดินของผูฟองคดีผิดจากขอตกลง ก็มใิ ชเ ปน การใชอาํ นาจทางปกครองในอาํ นาจหนาที่ของผใู หญบ า น คาํ Êè§Ñ ÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§Ê´Ø ·èÕ òð/òõôô การท่ผี ูถ กู ฟอ งคดมี ีหนงั สอื ถึงสํานกั งาน ป.ป.ช. ขอทราบขอมูลเก่ียวกับผูฟองคดีเพ่ือนําไปประกอบการตอสูคดีในคดีอาญาท่ีผูถูกฟองคดีถูกฟอง เปนจําเลยนั้น เปนการกระทําเพื่อวัตถุประสงคสวนตัว แมจะเปนหนังสือราชการและลงนามในฐาน อธิการบดกี ม็ ใิ ชเ ปน การใชอาํ นาจตามกฎหมายในฐานะอธิการบดีไมเปนคดพี พิ าทเก่ยี วกบั การกระทํา ละเมดิ ในการปฏิบัตหิ นา ทข่ี องหนว ยงานทางปกครองหรือเจา หนาทข่ี องรฐั Ê·Ô ¸àÔ ÃÂÕ ¡¤Ò‹ àÊÂÕ ËÒ¢ͧº¤Ø ¤ÅÀÒ¹͡àÁÍ×è à¨ÒŒ ˹Ҍ ·¡èÕ ÃÐทาํ ÅÐàÁ´Ô 㹡Òû¯ºÔ μÑ ËÔ ¹ÒŒ ·èÕ Ê·Ô ¸¢Ô ͧºØ¤¤ÅÀÒ¹͡㹡ÒÃàÃÕ¡¤Ò‹ àÊÂÕ ËÒ กรณที บี่ คุ คลภายนอกไดร บั ความเสยี หายจากการกระทาํ ละเมดิ ของเจา หนา ทอี่ นั เกดิ จาก การปฏิบตั ิหนาท่ี บุคคลภายนอกผเู สยี หายสามารถดาํ เนนิ การได ๒ วิธี คอื ๑) รอ งขอตอหนว ยงานของรฐั ใหชดใชคาสนิ ไหมทดแทนแกต น ๒) ฟอ งคดีตอ ศาล ¢Ñé¹μ͹áÅÐÇÔ¸Õ¡ÒÃ㪌ÊÔ·¸ÔàÃÕ¡Ìͧâ´ÂÂè×¹คํา¢Íμ‹Í˹‹Ç§ҹ¢Í§ÃѰãˌ˹‹Ç§ҹÃѰ ª´ãªŒ¤Ò‹ àÊÂÕ ËÒ ÁÒμÃÒ ññ ในกรณีท่ีผูเสียหายเห็นวา หนวยงานของรัฐตองรับผิดตามมาตรา ๕ ผูเสียหายจะย่ืนคําขอตอหนวยงานของรัฐใหพิจารณาชดใชคาสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหาย ทเี่ กดิ แกต นกไ็ ด ในการนหี้ นว ยงานของรฐั ตอ งออกใบรบั คาํ ขอใหไ วเ ปน หลกั ฐานและพจิ ารณาคาํ ขอนน้ั โดยไมชักชา เมื่อหนวยงานของรัฐมีคําสั่งเชนใดแลวหากผูเสียหายยังไมพอใจในผลการวินิจฉัยของ

๑๖๒ หนว ยงานของรฐั กใ็ หม สี ทิ ธริ อ งทกุ ขต อ คณะกรรมการวนิ จิ ฉยั รอ งทกุ ขต ามกฎหมายวา ดว ยคณะกรรมการ กฤษฎกี าไดภายในเกา สิบวันนบั แตว ันทีต่ นไดร บั แจง ผลการวนิ ิจฉัย ใหหนวยงานของรัฐพิจารณาคําขอท่ีไดรับตามวรรคหน่ึงใหแลวเสร็จภายในหนึ่งรอย แปดสิบวัน หากเร่ืองใดไมอาจพิจารณาไดทันในกําหนดน้ันจะตองรายงานปญหาและอุปสรรคให รฐั มนตรเี จา สงั กดั หรอื กาํ กบั หรอื ควบคมุ ดแู ลหนว ยงานของรฐั แหง นน้ั ทราบและขออนมุ ตั ขิ ยายระยะเวลา ออกไปได แตร ฐั มนตรดี งั กลา วจะพจิ ารณาอนมุ ตั ใิ หข ยายระยะเวลาใหอ กี ไดไ มเ กนิ หนงึ่ รอ ยแปดสบิ วนั ดังนั้น ผูเสียหายสามารถรองขอตอหนวยงานของรัฐใหชดใชคาสินไหมทดแทนแกตนได โดยตรง และเม่ือหนวยงานของรัฐมีคําสั่งเชนใดแลว หากผูเสียหายยังไมพอใจการวินิจฉัยก็สามารถ ฟอ งคดตี อ ศาลไดต ามมาตรา ๑๑ แหง พระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา หนา ท่ี พ.ศ.๒๕๓๙ ตามหลักเกณฑ ดังน้ี (๑) ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวาเปนท่ีเห็นไดจากเหตุผลของเร่ืองวา ผูเสียหายจะตอง ยน่ื คําขอตอหนว ยงานของรัฐภายใน ๑ ป นบั แตวนั ทีร่ ถู งึ การละเมิดและรูตัวผจู ะพึงตอ งใชคา สินไหม ทดแทนแตไมเกิน ๑๐ ปนับแตวันทําละเมิด ซึ่งเปนระยะเวลาเดียวกับการยื่นฟองคดีตอศาล ดังนั้น หากผเู สยี หายยนื่ คาํ ขอตอ หนว ยงานของรฐั เมอ่ื พน ระยะเวลาดงั กลา ว แมห นว ยงานของรฐั จะพจิ ารณา คําขอ ผูเสียหายซ่ึงไมพอใจผลการวินิจฉัยก็ไมมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองไดเพราะถือวาฟองคดี เมือ่ พน ระยะเวลาทก่ี ฎหมายกาํ หนด คาํ ÊÑè§ÈÒÅ»¡¤Ãͧ·èÕ õ÷ó/òõôù ในกรณีท่ีเจา หนาท่ีกระทําละเมิดตอบุคคลภายนอก ในการปฏบิ ตั หิ นา ท่ี พระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา หนา ท่ี พ.ศ.๒๕๓๙ บญั ญตั ใิ หผ เู สยี หาย ใชส ทิ ธเิ รยี กรอ งคา สนิ ไหมทดแทนได ๒ ทาง กลา วคอื ผเู สยี หายอาจฟอ งตอ ศาลขอใหพ พิ ากษาใหห นว ยงาน ของรฐั ทเ่ี จา หนา ทผี่ กู ระทาํ ละเมดิ อยใู นสงั กดั ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนภายใน ๑ ปน บั แตว นั ทรี่ หู รอื ควรรถู งึ เหตุแหงการฟอ งคดี แตไมเ กนิ ๑๐ ป นับแตวันทีม่ เี หตุแหง การฟอ งคดี หรอื อีกนัยหนง่ึ ภายใน ๑ ป นับแตวันท่ีผูเสียหายรูถึงการละเมิดและรูตัวผูจะพึงตองชดใชคาสินไหมทดแทน แตไมเกิน ๑๐ ป นบั แตว นั ทาํ ละเมดิ ทางหนงึ่ กบั ผเู สยี หายอาจยนื่ คาํ ขอตอ หนว ยงานของรฐั ทเ่ี จา หนา ทผ่ี กู ระทาํ ละเมดิ อยใู นสงั กดั ใหพ จิ ารณาชดใชค า สนิ ไหมทดแทนใหแ กต นอกี ทางหนงึ่ และแมก ฎหมายจะมไิ ดบ ญั ญตั ไิ ว อยา งชดั แจง วา ผเู สยี หายจะตอ งยนื่ คาํ ขอตอ หนว ยงานของรฐั ใหพ จิ ารณาชดใชค า สนิ ไหมทดแทนสาํ หรบั ความเสียหายท่ีเกิดแกตนภายในระยะเวลาเทาใด แตก็เปนที่เห็นไดจากเหตุผลของเรื่องวาผูเสียหาย จะตองยื่นคําขอตอหนวยงานของรัฐภายใน ๑ ป นับแตวันท่ีรูถึงการละเมิดและรูตัวผูจะพึงตองใช คา สนิ ไหมทดแทน แตไ มเ กนิ ๑๐ ป นบั แตว นั ทาํ ละเมดิ เชน เดยี วกบั การฟอ งคดตี อ ศาล ในกรณที ผ่ี เู สยี หาย ยน่ื คาํ ขอตอ หนว ยงานของรฐั เมอ่ื พน ระยะเวลาดงั กลา วแลว แมห นว ยงานของรฐั จะพจิ ารณาคาํ ขอนน้ั ผูเสียหายซ่ึงไมพอใจผลการวินิจฉัยของหนวยงานของรัฐก็หามีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองตาม มาตรา ๑๑ ประกอบกับมาตรา ๑๔ แหงพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ไดอ กี ไม กรณเี ชน นต้ี อ งถอื วา เปน การใชส ทิ ธฟิ อ งคดเี มอื่ พน ระยะเวลาทกี่ ฎหมายกาํ หนดแลว (๒) หนวยงานของรัฐผูรับคําขอ ตองออกใบรับคําขอไวเปนหลักฐาน ท้ังนี้ ใบรับคําขอ ตอ งเปน เอกสารทห่ี นว ยงานไดจ ดั ทาํ ขน้ึ เพอื่ ใหท ราบวา หนว ยงานของรฐั ไดร บั คาํ ขอของผเู สยี หายแลว ซง่ึ การออกใบรับคําขอนีจ้ ะมีผลตอ การนบั ระยะเวลาการพิจารณาคําขอของหนวยงาน เชน

๑๖๓ คาํ ÊÑè§ÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·Õè ó÷/òõõò ผเู สยี หายมีหนังสอื ลงวันท่ี ๑๗ ตลุ าคม ๒๕๕๐ แจง ใหห นว ยงานรบั ผดิ ในผลแหง ละเมดิ จากกรณที เ่ี จา หนา ทบี่ กุ รกุ และลกั ทรพั ยใ นทด่ี นิ โดยหนว ยงาน ก็ไดอ อกใบรบั คําขอใหเ มื่อวนั ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๐ พรอมกับมีหนงั สือแจง วา ไดรบั เรอื่ งไวแลว ถือวา ผเู สยี หายไดใชสทิ ธิในหนวยงานของรฐั พิจารณาชดใชค า สนิ ไหมทดแทนแลว คาํ ¾Ô¾Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤ÃÍ§Ê§Ù ÊØ´·Õè Í.ùñ/òõô÷ วินิจฉัยวาใบตอบรับของไปรษณีย ทสี่ ง คนื ใหผ ฟู อ งคดมี อิ าจถอื ไดว า เปน ใบรบั คาํ ขออนั เปน หลกั ฐานทผี่ ถู กู ฟอ งคดี (สาํ นกั งานอยั การสงู สดุ ) เปน ผอู อกใหเ ปน เพยี งหลกั ฐานทางไปรษณยี ว า ไดม กี ารสง ซองเอกสารทางไปรษณยี ใ หผ รู บั แลว เทา นน้ั มิไดบงบอกวาเอกสารในซองท่ีถึงผูรับเปนเอกสารอะไร จึงตองมีการออกใบรับคําขอของหนวยงาน เพื่อมิใหเกิดปญหาโตเถียงในภายหลังได เม่ือใบตอบรับของไปรษณียที่สงคืนใหผูฟองคดีมิอาจถือ ไดวาเปนใบรับคําขออันเปนหลักฐานท่ีผูถูกฟองคดีเปนผูออกใหตามมาตรา ๑๑ วรรคหนึ่ง ดังน้ัน การทผ่ี ถู กู ฟอ งคดไี มอ อกใบรบั คาํ ขอใหผ ฟู อ งคดี จงึ เปน การละเลยตอ หนา ทตี่ ามมาตรา ๑๑ วรรคหนงึ่ (๓) การพิจารณาคําขอตองกระทําโดยไมชักชาและหากหนวยงานของรัฐท่ีรับคําขอให ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนนนั้ เหน็ วา เปน เรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั ตนกใ็ หแ ตง ตงั้ คณะกรรมการเพอ่ื ดาํ เนนิ การตอ ไป โดยไมช กั ชา กลา วคอื หนว ยงานของรฐั ตอ งพจิ ารณาคาํ ขอทไี่ ดร บั ใหแ ลว เสรจ็ ภายในหนงึ่ รอ ยแปดสบิ วนั หากเรอ่ื งใดไมอ าจพจิ ารณาไดท นั ภายในกาํ หนด ตอ งรายงานปญ หาและอปุ สรรคใหร ฐั มนตรเี จา สงั กดั หรือกํากับหรือควบคุมดูแลหนวยงานของรัฐน้ันทราบ และหากจําเปนก็สามารถขอขยายระยะเวลา ออกไปได แตร ฐั มนตรจี ะพจิ ารณาอนมุ ัติใหขยายระยะเวลาใหอ ีกไดไ มเกนิ หนง่ึ รอ ยแปดสบิ วัน เชน คําÊÑè§ÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·Õè ó÷/òõõò ผูเสียหายมีหนังสือแจงใหหนวยงานของรัฐ รับผิดในผลแหงละเมิดจากกรณีท่ีเจาหนาท่ีบุกรุกและลักทรัพยในที่ดิน หนวยงานนั้นไดออก ใบรับคําขอใหเม่อื วันที่ ๑๗ ตลุ าคม ๒๕๕๐ พรอมกับมหี นงั สอื ลงวันท่ี ๑๗ ตลุ าคม ๒๕๕๐ แจง วา ไดรับเร่ืองไวแลว ถือวาผูเสียหายไดใชสิทธิใหหนวยงานของรัฐพิจารณาชดใชคาสินไหมทดแทนแลว เมอ่ื ผถู กู ฟอ งคดี (กรมทางหลวง) ไมพ จิ ารณาดาํ เนนิ การใหแ ลว เสรจ็ ภายในหนง่ึ รอ ยแปดสบิ วนั (คอื วนั ท่ี ๑๔ เมษายน ๒๕๕๑) ตามมาตรา ๑๑ วรรคสอง แหง พระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา หนา ท่ี พ.ศ.๒๕๓๙ ผเู สยี หายยอมใชสทิ ธิฟองคดตี อศาลปกครองได (๔) เมอ่ื หนวยงานของรฐั พจิ ารณาคํารองขอของผเู สียหายแลว หนว ยงานของรฐั ตองทาํ คาํ สง่ั เกย่ี วกบั ผลการพจิ ารณาและตอ งแจง คาํ สงั่ ดงั กลา วใหแ กผ เู สยี หายทราบ ซงึ่ การทาํ คาํ สง่ั และการแจง คําส่ังดังกลาวนั้น พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ.๒๕๓๙ มิไดกําหนด วิธีการไวเ ปนการเฉพาะจึงตองปฏิบัตติ ามแบบการจดั ทาํ คาํ สงั่ ในทางปกครอง ตามหมวด ๒ สว นท่ี ๔ รูปแบบและผลของคําสง่ั ทางปกครองตามพระราชบัญญตั ิวธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ ดังนี้ - หนวยงานอาจทําคําส่ังเปนหนังสือ หรือวาจา หรือโดยการสื่อความหมาย ในรูปแบบอนื่ ก็ได แตตอ งมีขอความหรือความหมายทีช่ ดั เจนเพียงพอทจ่ี ะเขา ใจได

๑๖๔ - ถา ทาํ คาํ สงั่ เปน หนงั สอื อยา งนอ ยตอ งระบุ วนั เดอื น ป ทที่ าํ คาํ สง่ั ชอ่ื และตาํ แหนง ของผูทําคําสั่ง และลายมือช่ือของเจาหนาท่ีผูน้ัน โดยตองระบุเหตุผลในการมีคําส่ังเชนน้ันไวดวย ซง่ึ เหตผุ ลในการมคี าํ สง่ั ดงั กลา วประกอบดว ยขอ เทจ็ จรงิ อนั เปน สาระสาํ คญั ของเรอ่ื งนน้ั ขอ กฎหมายท่ี ใชอ า งอิงในการพจิ ารณาและวินจิ ฉยั ตลอดจนประเด็นการพิจารณาและขอสนับสนุนการใชด ลุ ยพนิ ิจ (๕) เมื่อหนวยงานของรัฐไดพิจารณาคําขอและมีคําส่ังเชนใดแลว หากผูเสียหายยังไม พอใจในผลการวนิ จิ ฉยั ของหนว ยงานของรฐั พจิ ารณาคาํ รอ งขอแลว ผเู สยี หายมสี ทิ ธฟิ อ งโตแ ยง ผลการ วนิ จิ ฉยั ตอ ศาลทม่ี เี ขตอาํ นาจ แลว แตก รณี ตามมาตรา ๑๑ แหง พระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจาหนาที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ซ่ึงหากผูเสียหายไมพอใจผลการวินิจฉัยของหนวยงานของรัฐ ผูเสียหาย ตอ งฟอ งคดตี อ ศาลภายในเกา สบิ วนั นบั แตว นั ทไ่ี ดร บั แจง ผลการวนิ จิ ฉยั หรอื หากหนว ยงานของรฐั มไิ ด พจิ ารณาคาํ ขอใหแ ลว เสรจ็ ภายในหนง่ึ รอ ยแปดสบิ วนั นบั แตว นั ทไี่ ดร บั คาํ ขอ (หรอื ภายในระยะเวลาทไี่ ด รบั อนุมัติใหข ยายออกไปอีกไมเกนิ หนึ่งรอยแปดสบิ วัน) ผเู สยี หายตอ งฟอ งคดีภายในเกา สิบวนั นับแต วันที่ครบกําหนดระยะเวลาดังกลาว ท้ังนี้ ตามมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ แหงพระราชบัญญัติ ความรับผิดทางละเมดิ ของเจาหนาที่ พ.ศ.๒๕๓๙ - ÈÒÅÂμØ ¸Ô ÃÃÁ ในกรณที ผี่ เู สยี หายทย่ี น่ื คาํ ขอไมเ หน็ ดว ยกบั คาํ สง่ั ของหนว ยงานของรฐั ไมวาจะเปนเร่ืองของจํานวนเงินคาสินไหมทดแทน หรือการยกคําขอ และเปนคําส่ังของหนวยงาน ของรฐั ทวี่ นิ จิ ฉยั คา สนิ ไหมทดแทนจากการกระทาํ ละเมดิ ทม่ี ใิ ชก ารใชอ าํ นาจตามกฎหมายในทางปกครอง - ÈÒÅ»¡¤Ãͧ ในกรณที ผ่ี เู สยี หายทยี่ นื่ คาํ ขอไมเ หน็ ดว ยกบั คาํ สงั่ ของหนว ยงานของรฐั ไมว า จะเปน เรอื่ งของจาํ นวนเงนิ คา สนิ ไหมทดแทน หรอื การยกคาํ ขอและไดฟ อ งโตแ ยง คาํ สงั่ ของหนว ยงาน ของรฐั ทว่ี นิ จิ ฉยั คา สนิ ไหมทดแทนจากการกระทาํ ละเมดิ อนั เกดิ จากการใชอ าํ นาจตามกฎหมายในทาง ปกครอง º¤Ø ¤ÅÀÒ¹͡¿Í‡ §¤´ÕμÍ‹ ÈÒÅ ผูเสียหายอาจฟองคดีตอศาล เพ่ือขอใหศาลมีคําสั่งหรือคําพิพากษาใหเจาหนาที่หรือ หนว ยงานของรฐั ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนไดโ ดยตรง โดยไมต อ งยนื่ คาํ ขอตอ หนว ยงานของรฐั กอ น ทง้ั นี้ โดยอาจยื่นฟองตอ ศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม แลว แตกรณีกลาวคอื ñ. à¢μอํา¹Ò¨ÈÒÅ ñ.ñ ÈÒÅ»¡¤Ãͧ การกระทําละเมิดที่อยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลปกครองตอ งเปน การกระทาํ ละเมดิ ของหนว ยงานของรฐั หรอื เจา หนา ทขี่ องรฐั อนั เกดิ จากการใชอ าํ นาจ ตามกฎหมาย หรือจากกฎ คําส่ังทางปกครอง หรือคําส่ังอื่นหรือจากการละเลยตอหนาที่ตามท่ี กฎหมายกาํ หนดใหตอ งปฏิบตั ิหรือปฏบิ ตั หิ นาทด่ี ังกลา วลาชา เกนิ สมควรตามมาตรา ๙ วรรคหนง่ึ (๓) แหงพระราชบัญญตั จิ ัดตง้ั ศาลปกครองและวธิ พี ิจารณาคดปี กครอง พ.ศ.๒๕๔๒ เชน คําÊÑè§ÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·Õè õñö/òõôõ การออกโฉนดที่ดินเปนคําสั่งทาง ปกครองตามมาตรา ๕ แหง พระราชบญั ญัตวิ ธิ ีปฏิบตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ การฟองคดี ขอใหศาลกําหนดคําบังคับใหกรมที่ดินชดใชคาเสียหายจากการออกโฉนดท่ีดินท่ีมิชอบดวยกฎหมาย

๑๖๕ เน่ืองจากไดรุกลํ้าเขาไปในที่ดินของผูอื่น จึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดหรือความรับผิด อยางอื่นของหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐอันเกิดจากการออกคําส่ังทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แหงพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ñ.ò ÈÒÅÂμØ ¸Ô ÃÃÁ กรณเี ปน การกระทาํ ละเมดิ ทมี่ ใิ ชจ ากการปฏบิ ตั หิ นา ที่ หรอื กรณี เปนการกระทําละเมิดท่ีเกิดจากการปฏิบัติหนาที่ แตมิใชจากการใชอํานาจตามกฎหมายหรือจากการ ออกกฎ คาํ ส่งั ทางปกครอง หรือคาํ ส่ังอน่ื หรือจากการละเลยตอหนา ทต่ี ามท่กี ฎหมายกาํ หนดใหตอง ปฏบิ ตั หิ รอื จากการปฏบิ ตั หิ นา ทด่ี งั กลา วลา ชา เกนิ สมควร การฟอ งคดเี พอ่ื เรยี กคา เสยี หายตอ งฟอ งตอ ศาลยตุ ธิ รรม เชน คําÊÑè§ÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·Õè õ÷÷/òõô÷ พนักงานขับรถของผูถูกฟองคดี ที่ ๑ (กรมสงเสริมคุณภาพส่ิงแวดลอม) ไดขับรถยนตของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไปสํารวจตนไมดวย ความประมาทเลนิ เลอ ทาํ ใหร ถยนตข องผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๑ ชนกบั รถยนตข องผฟู อ งคดเี ปน เหตใุ หผ ฟู อ งคดไี ดร บั ความเสยี หาย จงึ เปน กรณกี ารกระทาํ ละเมดิ ทเ่ี กดิ จากการปฏบิ ตั หิ นา ทท่ี ว่ั ไปของพนกั งานขบั รถ มไิ ดม ี ลกั ษณะเปน การใชอ าํ นาจตามกฎหมายหรอื จากกฎคาํ สง่ั ทางปกครอง หรอื คาํ สง่ั อน่ื จงึ มใิ ชค ดพี พิ าทตาม มาตรา ๙ วรรค ๑ (๓) แหง พระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ.๒๕๔๒ คาํ ʧèÑ ÈÒÅ»¡¤ÃÍ§Ê§Ù Ê´Ø ·Õè óöô/òõôõ การฟอ งเรยี กคา เสยี หายอนั เนอื่ งมาจาก การที่ถูกเจาหนาท่ีของรัฐจับกุมและดําเนินคดีอาญาเปนการฟองเพื่อเรียกคาเสียหายในเรื่องของ การดาํ เนนิ งานตามกระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญา และศาลยตุ ธิ รรมมอี าํ นาจทจี่ ะเยยี วยาความเสยี หาย ดงั กลา วได จงึ อยใู นอาํ นาจพจิ ารณาพพิ ากษาของศาลยตุ ธิ รรม การกระทาํ ดงั กลา วมใิ ชก ารกระทาํ ทาง ปกครองท่ีอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ แหงพระราชบัญญัติจัดต้ัง ศาลปกครองและวธิ ีพิจารณาคดปี กครอง พ.ศ.๒๕๔๒ คาํ ÊèѧÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§Ê´Ø ·èÕ ôò÷/òõôõ(») เจาพนกั งานตํารวจออกตรวจ พนื้ ทพี่ บคนรา ยซงึ่ กระทาํ ผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาและพระราชบญั ญตั อิ าวธุ ปน ฯ กาํ ลงั วง่ิ หลบหนี การท่ีเจาพนักงานตํารวจว่ิงไลและใชอาวุธปนยิงคนราย แตกระสุนพลาดไปถูกบุตรชายผูฟองคดี ถงึ แกค วามตาย ถอื วา เปน ขนั้ ตอนการดาํ เนนิ การใชอ าํ นาจจบั กมุ ของเจา พนกั งานตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาซ่ึงกําหนดใหอํานาจไวเปนการเฉพาะ และศาลยุติธรรมมีอํานาจที่จะเยียวยา ความเสียหายดังกลาวได จึงไมเขาหลักเกณฑเปนกรณีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง แหงพระราช บัญญัติจดั ต้ังศาลปกครองฯ การเรียกคา เสยี หายอันเกดิ จากการกระทาํ ละเมิดของพนักงานเจา หนาที่ ซึ่ีงดําเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลยุติธรรม คดนี ี้จงึ ไมอ ยใู นอํานาจพิจารณาพพิ ากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) แหงพระราชบัญญตั จิ ัดตั้งศาลปกครองและวิธพี ิจารณาคดปี กครอง พ.ศ.๒๕๔๒

๑๖๖ à¢μอาํ ¹Ò¨ÈÒÅ㹡Òÿ͇ §¤´Õ ÈÒÅ»¡¤Ãͧ ¿Í‡ § ÈÒÅÂμØ ¸Ô ÃÃÁ - ละเมิดที่เกดิ จากการปฏบิ ตั หิ นาที่ ละเมิดท่ไี มไดเ กดิ จากการปฏบิ ตั ิหนา ท่ี (ละเมิดทางแพง) (เจา หนาทีต่ อ งรบั ผิดเปน สวนตัว) ละเมิด เกิดจาก ๔ กรณี (ละเมดิ ทางปกครอง) ละเมดิ ทเ่ี ปน การปฏบิ ตั หิ นา ท่ี แตม ใิ ชเ กดิ จากกรณี ๑. การใชอ าํ นาจตามกฎหมาย ดังตอ ไปน้ี (เฉพาะกฎหมายปกครอง) ๒. - กฎ - การใชอ าํ นาจตามกฎหมาย - คาํ สง่ั ทางปกครอง - การออกกฎ คําสั่งทางปกครอง - สญั ญาทางปกครอง - การละเลยตอหนา ท่ี หรอื ๓. ละเลยตอหนาทที่ ่ีกฎหมายกําหนด - การปฏบิ ตั หิ นา ทลี่ า ชา หรอื ลา ชา เกนิ สมควร ๔. ปฏิบตั หิ นา ทลี่ า ชา หรือลา ชา เกนิ สมควร (อยูในอํานาจพิจารณาพิพาทฯ ของ ศาลยตุ ิธรรม) ò. ¼ÙŒ·¨èÕ ÐÍ‹Ùã¹°Ò¹Ð໚¹¼Œ¶Ù Ù¡¿‡Í§¤´Õ มาตรา ๕ กําหนดวา กรณีเจาหนาที่กระทําละเมิดในการปฏิบัติหนาที่ ผูเสียหาย ท่ีเปนบุคคลภายนอกอาจฟองหนวยงานของรัฐดังกลาวไดโดยตรง แตจะฟองเจาหนาท่ีไมได และถา การละเมดิ เกดิ จากเจา หนา ทซี่ งี่ึ ไมไ ดส งั กดั หนว ยงานของรฐั แหง ใดใหถ อื วา กระทรวงการคลงั เปน หนว ยงาน ของรัฐท่ีตองรับผิดตามวรรคหนึ่ง และมาตรา ๖ กําหนดวา ถาการกระทําละเมิดของเจาหนาท่ีมิใช การกระทาํ ในการปฏบิ ตั หิ นา ท่ี ผเู สยี หายอาจฟอ งเจา หนา ทไ่ี ดโ ดยตรง แตจ ะฟอ งหนว ยงานของรฐั ไมไ ด คาํ ʧÑè ÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§Ê´Ø ·èÕ øó/òõôø มาตรา ๕ แหงพระราชบญั ญตั ิความรับผดิ ทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ผูเสียหายอาจฟองหนวยงานของรัฐใหรับผิดในผลแหงละเมิด ท่ีเจาหนาท่ีในสังกัดหนวยงานของรัฐนั้นไดกระทําไปในการปฏิบัติหนาท่ี แตจะฟองเจาหนาท่ีไมได ผูฟ อ งคดีจงึ ไมอาจฟองผูถูกฟอ งคดีที่ ๒ ถงึ ที่ ๕ ซงึ่ เปนเจาหนา ท่ใี นสงั กดั ผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๖ (สาํ นักงาน ปอ งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ ) ใหรวมรับผดิ กับผูถ ูกฟอ งคดีที่ ๖ ในผลแหง ละเมดิ ท่ีผูถูกฟอ งคดี ที่ ๒ ถงึ ที่ ๕ ไดกระทาํ ตอ ผฟู อ งคดีในการปฏบิ ตั หิ นา ที่ ¡Ã³ÁÕ ¡Õ Òÿ͇ §¼´Ô μÇÑ ÁÒμÃÒ ÷ ÇÃä˹§èÖ กาํ หนดวา ในคดที ผี่ เู สยี หายฟอ งหนว ยงาน ของรฐั ถา หนว ยงานของรฐั เหน็ วา เปน เรอื่ งทเี่ จา หนา ทต่ี อ งรบั ผดิ หรอื ตอ งรว มรบั ผดิ หรอื ในคดที ผี่ เู สยี หาย

๑๖๗ ฟอ งเจา หนา ท่ี ถา เจา หนา ทเ่ี หน็ วา เปน เรอ่ื งทหี่ นว ยงานของรฐั ตอ งรบั ผดิ หรอื ตอ งรว มรบั ผดิ หนว ยงาน ของรฐั หรอื เจา หนา ทด่ี งั กลา วมสี ทิ ธขิ อใหศ าลทพี่ จิ ารณาคดนี น้ั อยเู รยี กเจา หนา ทห่ี รอื หนว ยงานของรฐั แลว แตก รณี เขา มาเปน คคู วามในคดี ดงั นนั้ ในกรณที ผ่ี ฟู อ งคดฟี อ งผดิ ตวั ผถู กู ฟอ งคดมี สี ทิ ธขิ อใหศ าล เรียกเจาหนาทีห่ รือหนว ยงานของรัฐ แลวแตก รณี เขามาเปน คูค วามในคดีแทนไดหรอื ศาลอาจกาํ หนด ตวั ผถู ูกฟองคดีใหมใหถูกตอ งได ó. ÃÐÂÐàÇÅÒ¡Òÿ͇ §¤´Õ ๓.๑ ผเู สยี หายจะตอ งฟอ งตอ ศาลภายใน ๑ ป นบั แตว นั ทร่ี หู รอื ควรรถู งึ เหตแุ หง การ ฟองคดีหรือนับแตวันที่รูถึงการละเมิด แตไมเกิน ๑๐ ป นับแตวันท่ีมีเหตุแหงการฟองคดีหรือนับแต เกิดเหตลุ ะเมดิ คําÊèѧÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·èÕ óóô/òõõñ แมนํ้าเจาพระยาไดเออลนตลิ่ง เขา ทว มโรงสแี ละโกดงั เกบ็ ขา วของผฟู อ งคดชี ว งระหวา งวนั ท่ี ๑ กนั ยายน ๒๕๔๕ ถงึ ปลายเดอื นตลุ าคม ๒๕๔๕ เมื่อผูฟองคดีอางวาทรัพยสินของผูฟองคดีไดรับความเสียหายจากการกระทําละเมิดของ ผูถกู ฟอ งคดที ง้ั หก (กระทรวงคมนาคม กรมทางหลวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ กรมชลประทาน กระทรวงมหาดไทย และกรมปองกันและบรรเทาสาธารณภัย) อันเกิดจากการละเลยตอหนาที่ตามท่ี กฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) แหงพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ถือวาผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีอยางชา ท่ีสุดในปลายเดือนตุลาคม ๒๕๔๕ ซึ่งจะตองยื่นฟองคดีดังกลาวภายในเดือนตุลาคม ๒๕๔๖ การท่ี ผูฟองคดีย่ืนฟองคดีตอศาลเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๐ จึงลวงพนระยะเวลาการฟองคดีตาม มาตรา ๕๑ แหง พระราชบญั ญัติเดียวกัน ๓.๒ นอกจากน้ัน มาตรา ๗ วรรคสอง ยังกําหนดอีกวาถาศาลพิพากษายกฟอง เพราะเหตุท่ีหนวยงานของรัฐหรือเจาหนาที่ที่ถูกฟองมิใชผูตองรับผิด ใหขยายอายุความฟองรองผูที่ ตอ งรับผิดซ่ึงมิไดถ กู เรียกเขามาในคดอี อกไปถึงหกเดอื นนบั แตว นั ที่คําพิพากษานั้นถึงทสี่ ุด คําÊèѧÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·Õè øôù/òõôø คดีเดิม ศาลปกครองช้ันตนไดมี คําพิพากษาเพิกถอนประกาศสํานักงานเขตพื้นที่ฯ สวนกรณีคําขอใหชดใชคาเสียหายจากการกระทํา ของผถู กู ฟองคดนี น้ั มาตรา ๕ แหงพระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมิดของเจา หนา ท่ี พ.ศ.๒๕๓๙ จะตองฟองหนวยงานของรัฐ จะฟองเจาหนาที่ไมได ศาลจึงไมอาจบังคับใหตามคําขอไดจึงพิพากษา ยกฟอ งในสว นน้ี เปน กรณที ศี่ าลปกครองชนั้ ตน ไดพ พิ ากษายกฟอ งเพราะเหตทุ เ่ี จา หนา ทท่ี ถ่ี กู ฟอ งมใิ ช ผตู อ งรบั ผดิ การฟอ งผทู ต่ี อ งรบั ผดิ ซง่ึ มไิ ดถ กู เรยี กเขา มาในคดเี ดมิ จงึ ตอ งขยายอายคุ วามฟอ งรอ งออกไป ถงึ ๖ เดอื นนบั แตวนั ทีค่ ําพิพากษาในคดีเดมิ ถงึ ทสี่ ุดตามมาตรา ๗ วรรคสอง เมือ่ คดีเดิมศาลปกครอง ชั้นตนมีคําพิพากษาเม่ือวันท่ี ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๘ และมิไดมีการอุทธรณคําขอในสวนน้ี ประเด็นนี้ จึงถึงที่สุดวันท่ี ๒๑ เมษายน ๒๕๔๘ การที่ผูฟองคดีนําคดีนี้มาฟองตอศาลเพื่อเรียกให สํานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ซ่ึงตองรับผิดตอผูฟองคดีในผลแหงละเมิดท่ีเจาหนาท่ีของตน ไดก ระทาํ ในการปฏบิ ตั หิ นา ที่ รบั ผดิ ชดใชค า เสยี หายเมอื่ วนั ที่ ๒๒ กนั ยายน ๒๕๔๘ จงึ เปน การยน่ื ฟอ ง ภายในกาํ หนด ๖ เดือน นับแตว นั ที่ไดม คี าํ พพิ ากษาถงึ ที่สดุ

๑๖๘ ¡ÒÃãªÊŒ Ô·¸äÔ Å‹àºÂéÕ ¢Í§Ë¹‹Ç§ҹÃѰ กรณีที่เจาหนาท่ีกระทําละเมิดตอบุคคลภายนอกจากการปฏิบัติหนาท่ีและหนวยงาน ของรัฐไดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกบุคคลภายนอกไปแลว (จากการท่ีผูเสียหายย่ืนคําขอหรือตาม คาํ พพิ ากษา) หนว ยงานของรฐั มสี ทิ ธทิ จี่ ะออกคาํ สงั่ เรยี กใหเ จา หนา ทผี่ ทู าํ ละเมดิ ชดใชค า สนิ ไหมทดแทน ไดตามมาตรา ๘ แหงพระราชบัญญัตคิ วามรับผิดทางละเมดิ ของเจาหนาที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ดงั นี้ (๑) เฉพาะกรณที เี่ ปน การกระทาํ ละเมดิ โดยจงใจหรอื ประมาทเลนิ เลอ อยา งรา ยแรงเทา นนั้ แตถ า เปน การกระทาํ โดยประมาทเลนิ เลอ เลก็ นอ ยหรอื ประมาทเลนิ เลอ ธรรมดาไมถ งึ ขนาดเปน ประมาท เลินเลออยางรายแรงหนวยงานของรัฐไมอาจใชสิทธิเรียกคาสินไหมทดแทนเอากับเจาหนาที่ ดังนั้น คาสินไหมทดแทนท่ีหนวยงานของรัฐไดชดใชใหแกบุคคลภายนอกที่เสียหายหรือความเสียหายที่เกิด กับหนว ยงานของรฐั แลว แตก รณกี ็ตกเปนพบั กบั หนวยงานของรฐั ไป (๒) ตองคํานึงถึงความรายแรงแหงการกระทําและความเปนธรรมในแตละกรณี การใช สิทธิเรียกใหชดใชคาสินไหมทดแทนจากเจาหนาท่ีตามขอ (๑) จะมีไดเพียงใดหนวยงานของรัฐ ตองคํานึงถึงระดับความรายแรงแหงการกระทําและความเปนธรรมในแตละกรณีเปนเกณฑโดยมิตอง ใหใชเ ต็มจาํ นวนของความเสียหายกไ็ ด (๓) ตอ งคาํ นงึ ถงึ ความผดิ หรอื ความบกพรอ งของหนว ยงานของรฐั หรอื ระบบการดาํ เนนิ งาน สวนรวม ถาการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพรองของหนวยงานของรัฐหรือระบบการ ดาํ เนินงานสวนรวมใหหักสวนแหงความรบั ผิดดงั กลาวออกดวย (๔) ไมน ําหลักเรื่องลูกหนรี้ ว มมาใชบ ังคบั (๕) คําส่ังเรียกใหชดใชคาสินไหมทดแทนเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ ดังน้ัน หากเจาหนาที่ผูถูกเรียกใหชดใช คา สนิ ไหมทดแทนไมเ ห็นดว ยกบั คําสงั่ ดังกลาวจะตอ งอุทธรณคาํ สง่ั กอนฟองคดีตอไป ¤ÇÒÁÃѺ¼´Ô ¢Í§à¨ŒÒ˹Ҍ ·Õè การทเ่ี จา หนา ทผี่ ทู าํ ละเมดิ จะตอ งรบั ผดิ ในความเสยี หายทต่ี นไดก ระทาํ ในการปฏบิ ตั หิ นา ท่ี หรือไมก ็คอื (๑) ถา เปน การกระทาํ ละเมดิ โดยประมาทเลนิ เลอ ธรรมดาเจา หนา ทผี่ ทู าํ ละเมดิ ไมต อ งรบั ผดิ ในความเสียหายน้นั เลย ความเสียหายท้ังหมดตกเปนพับกบั หนว ยงานของรฐั (๒) แตถ า เปน การกระทาํ โดยจงใจหรอื ประมาทเลนิ เลอ อยา งรา ยแรงเจา หนา ทผ่ี ทู าํ ละเมดิ กจ็ ะตอ งรบั ผิดในความเสยี หายทเ่ี กดิ จากการกระทําของตนน้ัน คํา¾Ô¾Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·Õè Í.óóø-óóù/òõôù ผูบญั ชาการเรอื นจําจงั หวดั ต. มีหนาท่ีรับผิดชอบตามปกติมากมายคงไมสามารถตรวจนับจํานวนเงินกับคูปองท่ีจําหนายใหกับญาติ ของผตู อ งขงั ดว ยตนเอง การทเ่ี จา หนา ทก่ี ารเงนิ ทจุ รติ ลงบญั ชรี บั เงนิ นอ ยกวา ความเปน จรงิ ผบู ญั ชาการ เรอื นจาํ ต. จงึ มไิ ดก ระทําโดยจงใจหรือประมาทเลนิ เลอ อยา งรายแรงใหท างราชการเสยี หายจงึ ไมต อง รบั ผดิ ชดใชคา สินไหมทดแทน

๑๖๙ คาํ ¾¾Ô Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤ÃÍ§Ê§Ù Ê´Ø ·èÕ Í.óöò/òõôù ประชาสงเคราะหจ งั หวดั ส. นาํ รถยนต ของทางราชการไปเก็บรักษาท่ีบานพักอันเปนการฝาฝนตอระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวย รถราชการ พ.ศ.๒๕๒๓ ประกอบกับบานพักไมมีรั้วรอบขอบชิดเปนเสนทางสาธารณะบุคคลท่ัวไป สามารถใชป ระโยชนร ว มกนั ไดไ มไ ดเ ปน ทรี่ โหฐานสว นตวั และไมไ ดม กี ารจดั เวรยามรกั ษาซง่ึ นา จะคาดเหน็ ความไมป ลอดภยั ในการเกบ็ รกั ษารถยนตจ งึ ถอื ไดว า เปน การกระทาํ โดยประมาทเลนิ เลอ อยา งรา ยแรง จงึ ตอ งรบั ผิดชดใชคา สนิ ไหมทดแทนตอกรมประชาสมั พันธ คํา¾Ô¾Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·Õè Í.óóø-óóù/òõôù นาย ก. เปนกรรมการตรวจ การจา งไดล งชอ่ื ตรวจรบั สนิ คา โดยไมไ ดต รวจสนิ คา จรงิ จงึ เปน การกระทาํ โดยประมาทเลนิ เลอ อยา งรา ยแรง คาํ ¾¾Ô Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤ÃÍ§Ê§Ù ÊØ´·èÕ Í.òö÷/òõõð หวั หนาสว นโยธาซึง่ ไดรบั แตง ตงั้ เปน ผคู วบคมุ งานโครงการกอ สรา งถนนลกู รงั ไมไ ดป ฏบิ ตั หิ นา ทผี่ คู วบคมุ งานตามทร่ี ะเบยี บกาํ หนดไวถ อื วา เปน การกระทาํ โดยประมาทเลนิ เลอ อยา งรา ยแรงจงึ ตอ งรบั ผดิ ตอ ทางราชการในความเสยี หายทเ่ี กดิ ขนึ้ ตามมาตรา ๑๐ วรรคหน่ึง ประกอบกับมาตรา ๘ แหงพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ เจาหนา ท่ี พ.ศ.๒๕๓๙ (ó)¡ÒÃãªÊŒ ·Ô ¸äÔ Åà‹ ºÂéÕ μÍŒ §คาํ ¹§Ö ¶§Ö ÃдºÑ ¤ÇÒÁÃÒŒ ÂáçËÃÍ× ¤ÇÒÁº¡¾ÃÍ‹ §¢Í§Ë¹Ç‹ §ҹ ¢Í§ÃѰËÃ×ÍÃкº¡ÒÃดําà¹Ô¹§Ò¹Ê‹Ç¹ÃÇÁ ถาการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพรองของ หนวยงานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานสวนรวมใหหักสวนแหงความรับผิดดังกลาวออกดวย และ กรณลี ะเมดิ เกิดจากเจาหนาทห่ี ลายคนมใิ หนาํ หลักเรอื่ งลูกหนรี้ ว มมาใชบงั คบั คํา¾Ô¾Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤ÃͧÊÙ§ÊØ´·Õè Í.÷ó/òõõð การท่ีหนวยงานของรัฐจะใชสิทธิ เรยี กใหเ จา หนา ท่ีผทู ําละเมดิ ชดใชคาสินไหมทดแทนจงึ ตอ งคาํ นึงถงึ หลักเกณฑสําคญั ๓ ประการ คือ (๑) ตอ งคาํ นงึ ถงึ ระดบั ความรา ยแรงแหง การกระทาํ และความเปน ธรรมในแตล ะกรณี (๒) หากการละเมดิ เกิดจากความผิดหรือบกพรองของหนวยงานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานสวนรวมตองหักสวน ความรับผิดดังกลาวออกดวย และ (๓) กรณีละเมิดเกิดจากเจาหนาท่ีหลายคนมิใหนําหลักเรื่อง ลกู หน้รี วมมาใชบังคบั คํา¾Ô¾Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤Ãͧ¡ÅÒ§·èÕ ñô÷/òõõð การท่ีนักการภารโรงอยูเวรเฝาอาคาร โดยไมใ ชค วามระมดั ระวงั ในการดแู ลรกั ษาทรพั ยส นิ ของทางราชการดงั เชน วญิ ชู นพงึ กระทาํ จนเปน เหตุ ใหคนรา ยลักเอาเครื่องคอมพิวเตอรไ ปจาํ นวน ๒๙ ตัว อนั เปนการปฏิบตั ิหนา ทโ่ี ดยประมาทเลนิ เลอ อยางรายแรงเปนเหตุใหทางราชการเสียหาย แตโดยท่ีนักการภารโรงมิไดมีหนาท่ีโดยตรงในการรักษา ความปลอดภยั และมหาวทิ ยาลยั ท. กม็ ไิ ดจ ดั ใหม เี จา หนา ทมี่ หี นา ทโ่ี ดยตรงในการรกั ษาความปลอดภยั ทง้ั ทมี่ ที รพั ยส นิ มลู คา สงู แตไ ดใ หเ จา หนา ทป่ี ฏบิ ตั ริ าชการตามปกตมิ าอยเู วรโดยไมม ผี ตู รวจเวรและไมม ี ระเบียบขอบังคับหรือขอปฏิบัติเก่ียวกับการรักษาเวรยาม ดังน้ันเมื่อพิจารณาถึงระดับความรายแรง แหงการกระทําและความเปนธรรมในกรณีน้ี รวมทั้งความบกพรองของหนวยงานของรัฐแลว การที่ มหาวทิ ยาลยั ท. ใหน กั การภารโรงรบั ผดิ ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนในอตั รารอ ยละ ๒๐ ของความเสยี หาย หลังจากหักคา เสื่อมแลว จึงเปน การเหมาะสมและชอบดวยกฎหมาย

๑๗๐ ¡ÒÃàÃÂÕ ¡¤Ò‹ Ê¹Ô äËÁ·´á·¹¡Ã³ËÕ ¹Ç‹ §ҹ¢Í§Ã°Ñ àÊÂÕ ËÒ¨ҡ¡ÒáÃÐทาํ ÅÐàÁ´Ô ¢Í§ ਌Ò˹Ҍ ·Õè ในการปฏิบัติหนาที่ของเจาหนาท่ีอาจกระทําละเมิดตอหนวยงานของรัฐใหไดรับ ความเสียหายโดยอาจเปนกรณีเจาหนาท่ีของรัฐคนหน่ึงทําละเมิดตอหนวยงานของรัฐแหงเดียว หรอื หลายแหง กไ็ ดแ ละอาจเปน หนว ยงานของรฐั ทตี่ นเองสงั กดั อยหู รอื หนว ยงานแหง รฐั อน่ื กไ็ ดห รอื อาจเปน เจา หนา ทข่ี องรัฐหลายหนวยงานทาํ ละเมดิ ตอหนว ยงานของรฐั หน่ึงหรอื หลายแหง ก็ได โดยเมอ่ื มกี ารกระทาํ ละเมดิ เกดิ ขน้ึ เจา หนา ทยี่ อ มตอ งรบั ผดิ ตอ หนว ยงานของรฐั ทเ่ี สยี หาย ซ่ึงมาตรา ๑๐ แหงพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ไดกําหนด หลกั เกณฑใ นการเรียกรองคา สนิ ไหมทดแทนจากเจา หนาทอ่ี ันเนือ่ งจากการกระทําละเมิดไว ๒ กรณี ¡Ã³Õáá การกระทําละเมิดตอหนวยงานของรัฐจากการปฏิบัติหนาท่ีใหนําบทบัญญัติ มาตรา ๘ แหงพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ.๒๕๓๙ มาใชบังคับ โดยอนุโลม ¡Ã³·Õ ÕÊè ͧ การกระทําละเมิดตอหนวยงานของรัฐที่มิใชจากการปฏิบัติหนาท่ีใหบังคับ ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ËÅѡࡳ±¡ ÒÃàÃÕ¡¤Ò‹ Ê¹Ô äËÁ·´á·¹¡Ã³Õ¡ÒáÃÐทาํ ÅÐàÁ´Ô ¨Ò¡¡Òû¯ºÔ μÑ ËÔ ¹ÒŒ ·Õè ใชห ลกั เกณฑเ ดยี วกนั กบั การใชส ทิ ธไิ ลเ บย้ี ของหนว ยงานของรฐั ทไ่ี ดช ดใชค า สนิ ไหมทดแทน ใหกับบคุ คลภายนอก ดงั ตอ ไปน้ี (๑) หนวยงานของรัฐที่ไดรับความเสียหายมีอํานาจออกคําสั่งเรียกใหเจาหนาที่ผูทํา ละเมิดรับผิดในความเสียหายของการกระทําละเมิดได (มาตรา ๑๒) เม่ือเปนการกระทําโดยจงใจ หรอื ประมาทเลนิ เลอ อยา งรา ยแรง ดงั นน้ั กรณที เ่ี จา หนา ทก่ี ระทาํ ละเมดิ โดยความประมาทเลนิ เลอ ธรรมดา หนว ยงานของรฐั ทไ่ี ดร บั ความเสยี หายยอ มไมอ าจเรยี กใหเ จา หนา ทร่ี บั ผดิ ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนไดเ ลย หากหนว ยงานของรัฐออกคําสั่งเชน วา น้ียอมมผี ลทําใหเ ปน คาํ สั่งทไ่ี มช อบดวยกฎหมาย (๒) หนว ยงานของรฐั จะตอ งคาํ นงึ ถงึ ระดบั ความรา ยแรงแหง การกระทาํ และความเปน ธรรม ในแตล ะกรณีเปนเกณฑโ ดยไมตองใหใ ชเต็มจาํ นวนความเสยี หายก็ได (๓) หากความเสยี หายเกดิ จากความผดิ หรอื ความบกพรอ งของหนว ยงานของรฐั หรอื ระบบ การดําเนินการสว นรวมแลว ตอ งหกั สว นความรับผดิ ดังกลาวออกดวย (๔) หากการทาํ ละเมดิ เกดิ จากเจา หนาท่ีหลายคนรวมกันกระทํา หนว ยงานของรัฐมสี ิทธิ เรยี กใหเ จา หนา ทแ่ี ตล ะคนรบั ผดิ ชดใชค า สนิ ไหมทดแทนเฉพาะสว นทเ่ี จา หนา ทแี่ ตล ะคนไดก ระทาํ เทา นน้ั ไมอ าจเรยี กใหเจาหนา ทร่ี วมกนั รับผิดในฐานะเปนลกู หนร้ี ว มได คาํ Ç¹Ô ¨Ô ©ÂÑ ª¢Õé Ò´ÍÒí ¹Ò¨ÃÐËÇÒ‹ §ÈÒÅ·Õè ñð/òõó÷ ขณะเกดิ เหตโุ จทก (สาํ นกั งานตาํ รวจแหง ชาต)ิ เปน หนว ยงานของรฐั จาํ เลยที่ ๑ รบั ราชการในสงั กดั ของโจทกไ ดร บั มอบหมายใหป ฏบิ ตั หิ นา ทใี่ นตาํ แหนง ผชู ว ยเจา หนา ทกี่ ารเงนิ ไดอ าศยั โอกาสในการปฏบิ ตั หิ นา ทเี่ ปรยี บเทยี บปรบั จราจรทางบก เงนิ ประกนั ตวั ผตู อ งหา ฯลฯ และไดเ บยี ดบงั ยกั ยอกเอาเงนิ ดงั กลา วทต่ี นเองมหี นา ทดี่ แู ลจดั การไปโดยทจุ รติ เปน เหตุ ใหโจทกไดรับความเสียหายเปนคดีละเมิดอันเกิดจากการใชอํานาจหนาท่ีตามกฎหมายตามมาตรา ๙

๑๗๑ วรรคหนึ่ง (๓) แหงพระราชบญั ญัติจัดตัง้ ศาลปกครองและวธิ ีพจิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ.๒๕๔๒ อนั อยู ในอาํ นาจพิจารณาพพิ ากษาของศาลปกครอง ๒.๓ การปฏิบัติตามคําส่ังของผูบังคับบัญชาแมคําส่ังน้ันจะไมชอบดวยกฎหมาย ก็ไมม ผี ลทาํ ใหเ ปน การกระทําทไ่ี มใ ชก ารปฏบิ ตั ิหนาที่ (ถอื เปนการกระทาํ ในการปฏิบตั หิ นา ท)่ี ๒.๔ การปฏิบัติงานใหกับหนวยงานของรัฐอ่ืนโดยไมไดรับคําส่ังจากหนวยงาน ของรฐั ตน สงั กดั ไมเ ปน การปฏบิ ตั ิหนาท่ี Ç¸Ô ¡Õ ÒÃáÅТ¹éÑ μ͹¡Ò÷ËèÕ ¹Ç‹ §ҹ¢Í§Ã°Ñ àÃÂÕ ¡ãËàŒ ¨ÒŒ ˹Ҍ ·ªÕè ´ãª¤Œ Ò‹ Ê¹Ô äËÁ·´á·¹ จากท่ีไดกลาวมาการทําละเมิดของเจาหนา ที่แบงเปน ๒ สว นคือ ÊÇ‹ ¹·èÕ ñ เจาหนาที่ทําละเมิดตอบุคคลภายนอกในการปฏิบัติหนาท่ีและหนวยงาน ของรฐั ไดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแ กบุคคลภายนอกที่ไดร บั ความเสยี หาย เม่อื ปรากฏวา การกระทํา ละเมดิ ของเจาหนา ทด่ี งั กลาวเปนการกระทําโดยจงใจหรอื ประมาทเลินเลออยา งรายแรง ซ่ึงหนวยงาน ของรัฐสามารถใชส ิทธิไลเบ้ยี เรยี กใหเจาหนา ทีช่ ดใชคาสินไหมทดแทนใหแ กหนว ยงานของรัฐได ÊÇ‹ ¹·èÕ ò เจาหนาที่ทําละเมิดตอหนวยงานของรัฐโดยจงใจหรือประมาทเลินเลอ อยางรายแรง ซ่ึงหนวยงานของรัฐสามารถเรียกใหเจาหนาท่ีชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกหนวยงาน ของรฐั ไดท ง้ั สองกรณขี า งตน หนว ยงานของรฐั สามารถใชส ทิ ธเิ รยี กใหเ จา หนา ทช่ี ดใชค า สนิ ไหมทดแทน ใหแ กห นว ยงานของรฐั ได ๒ ทางดังนี้ (๑) การออกคําสัง่ ทางปกครองเรยี กใหเ จา หนาทช่ี ดใชค าสินไหมทดแทนตามมาตรา ๑๒ แหง พระราชบญั ญตั ิความรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจาหนาที่ พ.ศ.๒๕๓๙ กรณเี จา หนา ทท่ี าํ ละเมดิ ตอ หนว ยงานของรฐั อายคุ วาม ๒ ปน บั แตว นั ทหี่ นว ยงานของรฐั รถู งึ การละเมดิ และรตู วั เจา หนา ทตี่ ามมาตรา ๑๐ วรรคสอง แหง พระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา หนา ท่ี พ.ศ.๒๕๓๙ คาํ ¾¾Ô Ò¡ÉÒÈÒÅ»¡¤ÃÍ§Ê§Ù Ê´Ø ·Õè Í.òøø/òõôù เมอื่ ผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๑ ออกคาํ สง่ั เรยี กรอ ง คาสินไหมทดแทนเม่อื พนกําหนดอายุความ ๒ ปน ับแตว ันที่ผูถกู ฟอ งคดีที่ ๑ รถู งึ การละเมดิ และรูตัว เจาหนาท่ีผูจะพึงตองชดใชคาสินไหมทดแทน สิทธิเรียกรองคาสินไหมทดแทนของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จงึ สน้ิ สดุ ลงเมอ่ื ผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๑ ออกคาํ สง่ั ใหผ ฟู อ งคดชี ดใชค า สนิ ไหมทดแทนเมอื่ พน อายคุ วามใชส ทิ ธิ เรียกรอ งดงั กลา วแลวจงึ เปน การออกคําสง่ั โดยไมม ีอํานาจจงึ เปน คาํ ส่งั ทไ่ี มช อบดวยกฎหมาย (๒) กรณีที่หนวยงานของรัฐเห็นวาเจาหนาท่ีผูนั้นไมตองรับผิด แตกระทรวงการคลัง ตรวจสอบแลวเห็นวาตองรับผิดใหสิทธิเรียกรองคาสินไหมทดแทนนั้นมีกําหนดอายุความ ๑ ป นับแตวันที่หนวยงานของรัฐมีคําส่ังตามความเห็นของกระทรวงการคลังตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง แหง พระราชบัญญตั ิความรบั ผิดทางละเมดิ ของเจาหนาที่ พ.ศ.๒๕๓๙

๑๗๒

๑๗๓ º··Õè ô ¡®ËÁÒÂàÅ×Í¡μѧé à¡èÕÂǡѺอํา¹Ò¨Ë¹ÒŒ ·Õè¢Í§¢ŒÒÃÒª¡ÒÃตําÃǨ ñ. ÇÑμ¶Ø»ÃÐʧ¤¡ ÒÃàÃÂÕ ¹»ÃÐจําº· ๑.๑ เพ่ือใหนักเรียนนายสิบตํารวจมีความรูและความเขาใจวาอํานาจอธิปไตยมีความ เก่ยี วพนั กบั กฎหมายเลอื กต้ังอยางไร และการเลือกต้ังมีความสาํ คัญอยา งไร ๑.๒ เพื่อใหนักเรียนนายสิบตํารวจมีความรูและความเขาใจเกี่ยวกับการปฏิบัติหนาท่ี ในการดูแลความสงบเรยี บรอยในการเลือกต้ังและการวางตัวเปน กลางในการเลอื กตงั้ ò. ʋǹนาํ สํานกั งานตํารวจแหง ชาตเิ ปน หนวยงานหลัก รบั ผดิ ชอบในการรกั ษาความสงบเรยี บรอย และใหการสนับสนุน คณะกรรมการการเลือกตั้ง ในการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาผูแทนราษฎร ใหเปน ไปโดยเรียบรอย สุจรติ และเที่ยงธรรม ขา ราชการตํารวจจะตองวางตวั เปน กลางทางการเมอื ง โดยไมปฏิบตั ิการใด ๆ ทัง้ ในทางสวนตวั และราชการโดยมชิ อบดวยกฎหมายใหเปน คณุ หรือเปนโทษ แกผสู มัคร หรือพรรคการเมอื ง ó. à¹Íé× ËÒμÒÁËÇÑ ¢ŒÍ ๓.๑ ความสาํ คญั ของการเลือกต้ังกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ๓.๒ การปฏบิ ตั ิในการวางตัวเปนกลางของขา ราชการตํารวจในการเลอื กตัง้ ô. ʋǹÊÃØ» มาตรการในการทําหนาท่ีของตํารวจ ทางสํานักงานตํารวจแหงชาติ ไดมีนโยบายให ตํารวจท่ีปฏิบัติหนาท่ีดูแลความสงบเรียบรอยทุกคนวางตัวเปนกลาง หากตํารวจที่วางตัวไมเปนกลาง ก็จะถูกพิจารณาโทษท้ังทางการปกครอง ทางวินัย และทางอาญา ดังนั้น ตํารวจที่เขามาทําหนาท่ี ตองระมัดระวังตวั สํานกั งานตาํ รวจแหงชาตจิ งึ กําชบั ใหว างตัวเปนกลางและมอบมาตรการ ๔ ไม คอื ไมส นบั สนนุ ผสู มคั รหรอื พรรคการเมอื ง ไมใ ชอ าํ นาจหนา ทก่ี ลนั่ แกลง กดี กนั ผสู มคั รหรอื พรรคการเมอื ง ไมน อนหลับทบั สทิ ธ์ิ ไมป ฏิบัติหนาท่ีนอกจากทไ่ี ดร ับมอบหมาย õ. ¡¨Ô ¡ÃÃÁá¹Ðนาํ ๕.๑ ผูสอนต้ังปญหาใหนักเรียนวินิจฉัย เพ่ือใหรูจักคิด วิเคราะหและวิจารณเน้ือหา ท่ีเรียน ดวยการนําเทคนิค วิธีการตาง ๆ เพ่ือใหผูเรียนสนใจและติดตามการสอนตลอดเวลา และ เชื่อมโยงกบั วิชาอนื่ ๆ ทีเ่ กย่ี วของกบั เนือ้ หา ซึง่ ผูเ รียนตอ งสามารถบูรณาการความคิดได

๑๗๔ ๕.๒ ผสู อนตง้ั คาํ ถามเพอื่ ประเมนิ ความรู ดว ยการทาํ แบบฝก หดั หลงั เรยี นและสรปุ เนอ้ื หา ที่เรียนพรอมทัง้ สอดแทรกคณุ ธรรมจริยธรรมที่ขาราชการตํารวจควรปฏิบตั ิ ๕.๓ ผูสอนแนะนาํ แหลง ขอมลู ทีจ่ ะศึกษาคน ควาเพิ่มเติม ö. ÃÒ¡ÒÃÍÒŒ §Í§Ô เวบ็ ไซตคณะกรรมการการเลอื กตงั้ https://www.ect.go.th/ect_th/

๑๗๕ º··Õè ô ¡®ËÁÒÂàÅÍ× ¡μ§Ñé à¡ÂÕè Ç¡ºÑ อาํ ¹Ò¨Ë¹ŒÒ·èբͧ¢ÒŒ ÃÒª¡ÒÃตาํ ÃǨ หลกั การของระบอบประชาธปิ ไตยถอื วา ประชาชนทกุ คนมคี วามเทา เทยี มกนั เสมอภาคกนั และเพื่อท่ีจะอยูรวมกันไดอยางปกติสุข จึงไดเกิดหลักการตาง ๆ เพ่ือนําเอาอํานาจของประชาชน ทุกคนน้ันมารวมกันและมี “รัฐธรรมนูญ” เปนกฎหมายสูงสุดของประเทศ อํานาจของประชาชน ที่ไปรวมกันและเรียกวารัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุดน้ัน ไดถูกแบงออกเปนสามอํานาจตามแนว ความคดิ ของ John Lock และ Montesquieu คอื อาํ นาจนติ บิ ญั ญตั ิ อาํ นาจบรหิ าร และอาํ นาจตลุ าการ ในสมยั กอ นนน้ั อาํ นาจในการปกครองอยทู ผ่ี นู าํ เพยี งผเู ดยี ว หากผนู าํ มคี ณุ ธรรมประชาชน ก็อยดู มี สี ขุ หากผูใชอ าํ นาจกดขี่เอาเปรยี บประชาชนกเ็ ดือดรอ น ตอมาในยคุ กลางของยโุ รปประชาชน ถกู กดขจี่ ากผใู ชอ าํ นาจปกครอง ซง่ึ ในสมยั นนั้ การใชอ าํ นาจปกครองเปน ไปตามอาํ เภอใจของผมู อี าํ นาจ เพราะอาํ นาจปกครองอยทู ผ่ี ปู กครอง ประชาชนไมม สี ว นรว มในการปกครอง และการใชอ าํ นาจปกครอง กต็ รวจสอบไมไ ด ดงั นนั้ ผลพวงของการปกครองในยคุ นนั้ ทาํ ใหป ระชาชนเดอื ดรอ นไมไ ดร บั ความเปน ธรรม และถูกกดข่ีจากผูปกครอง จากปญ หาทป่ี ระชาชนถกู กดขจี่ ากการใชอ าํ นาจของผปู กครองนท้ี าํ ใหเ กดิ หลกั การแบง แยก อํานาจปกครองเปนสามอํานาจตามแนวความคิดของ John Lock และ Montesquieu ในชวง ครสิ ตศ ตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘ คอื อํานาจนติ ิบญั ญัติ อํานาจบริหาร และอาํ นาจตลุ าการ จุดประสงคของ การแบงแยกอํานาจเพ่ือใหเกิดการถวงดุลและตรวจสอบระหวางอํานาจทั้งสาม ทั้งน้ีเพ่ือรักษาสิทธิ เสรีภาพและประโยชนข องประชาชนจากการใชอ ํานาจปกครอง ทฤษฎีการแบงอํานาจอธิปไตยออกเปนสามสวนคือ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอาํ นาจตลุ าการ มคี วามเชอื่ มโยงกบั ปรชั ญาการเลอื กตงั้ กลา วคอื การเลอื กตงั้ จะเปน ทมี่ าของกลไก ผูใชอํานาจอธิปไตยในประเทศประชาธิปไตย ในความหมายนี้ การเลือกตั้งจึงมีความสําคัญในฐานะ ทเี่ ปน การยอมรบั ในอาํ นาจของประชาชนในการเปน เจา ของอาํ นาจอธปิ ไตย ในสงั คมสมยั ใหมป ระชาชน ทุกคนไมอาจสามารถเขาไปมีสวนในการปกครองตนเองไดทั้งหมด ทั้งยังเปนการยากลําบากในทาง ปฏิบัติท่ีจะสรางกลไกรองรับการแสดงสวนรวมทางการเมืองโดยตรงของประชาชนทั้งหมดในสังคมได จึงไดเกิดรูปแบบของประชาธปิ ไตยอีกประเภทหนง่ึ คือ ประชาธปิ ไตยโดยการใชอาํ นาจทางออมของ ประชาชนผานผูแทน (Representative Democracy) เพ่ือใชอํานาจทางการบริหารปกครองไมวา จะผา นระบบรฐั สภาหรอื ไมก ต็ าม ในบรรดากระบวนการเพอื่ ใหไ ดม าซง่ึ ตวั แทนในการใชอ าํ นาจทางการเมอื ง แทนประชาชน เปนท่ียอมรับวาการเลือกต้ัง (election) เปนรูปแบบพ้ืนฐานที่เหมาะสมท่ีสุด ภายใตร ปู แบบอนั หลากหลายของการใหไ ดม าซง่ึ ผแู ทนของประชาชน การเลอื กตง้ั ถอื ไดว า เปน กจิ กรรม ท่ีสะทอนแสดงออกซึ่งเจตจํานง และการมีสวนรวมทางการเมืองของประชาชน การเลือกต้ังจึงเปน การเปดโอกาสใหประชาชนผูลงคะแนนเสียงไดมีสวนรวมทางการเมืองในการเปนผูใชอํานาจอธิปไตย ดว ยการเลอื กตวั แทนเขาไปทาํ หนาทใ่ี นทางนติ บิ ญั ญตั ิ และมคี วามสมั พนั ธกับอํานาจทางฝายบรหิ าร

๑๗๖ ÁÒμÃÒ øó สภาผแู ทนราษฎรประกอบดว ยสมาชกิ จํานวนหา รอยคน ดังน้ี (๑) สมาชกิ ซง่ึ มาจากการเลอื กตัง้ แบบแบงเขตเลือกตงั้ จาํ นวนสามรอยหา สบิ คน (๒) สมาชกิ ซงึ่ มาจากบญั ชีรายช่อื ของพรรคการเมอื งจํานวนหน่งึ รอยหาสบิ คน ในกรณที ต่ี าํ แหนง สมาชกิ สภาผแู ทนราษฎรวา งลงไมว า ดว ยเหตใุ ด และยงั ไมม กี ารเลอื กตงั้ หรือประกาศชื่อสมาชิกสภาผูแทนราษฎรข้ึนแทนตําแหนงที่วาง ใหสภาผูแทนราษฎรประกอบดวย สมาชกิ สภาผแู ทนราษฎรเทา ที่มอี ยู ในกรณีมีเหตุใด ๆ ที่ทําใหสมาชิกสภาผูแทนราษฎรแบบบัญชีรายช่ือมีจํานวนไมถึง หนึง่ รอยหา สบิ คน ใหส มาชกิ สภาผูแทนราษฎรแบบบัญชรี ายชอ่ื ประกอบดวยสมาชกิ เทาท่มี ีอยู ÁÒμÃÒ øø ในการเลือกตั้งทั่วไป ใหพรรคการเมืองที่สงผูสมัครรับเลือกตั้งแจงรายชื่อ บุคคลซึ่งพรรคการเมืองนั้นมีมติวาจะเสนอใหสภาผูแทนราษฎรเพื่อพิจารณาใหความเห็นชอบแตงตั้ง เปนนายกรัฐมนตรีไมเกินสามรายชื่อตอคณะกรรมการการเลือกต้ังกอนปดการรับสมัครรับเลือกต้ัง และใหค ณะกรรมการการเลอื กตงั้ ประกาศรายชอ่ื บคุ คลดงั กลา วใหป ระชาชนทราบ และใหน าํ ความใน มาตรา ๘๗ วรรคสอง มาใชบ งั คับโดยอนโุ ลม พรรคการเมอื งจะไมเ สนอรายชื่อบคุ คลตามวรรคหนง่ึ ก็ได ÁÒμÃÒ ñõø พระมหากษัตริยทรงแตงตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอ่ืนอีกไมเกิน สามสบิ หา คนประกอบเปน คณะรฐั มนตรี มหี นา ทบี่ รหิ ารราชการแผน ดนิ ตามหลกั ความรบั ผดิ ชอบรว มกนั นายกรัฐมนตรีตองแตงต้ังจากบุคคลซึ่งสภาผูแทนราษฎรใหความเห็นชอบตาม มาตรา ๑๕๙ ใหประธานสภาผูแทนราษฎรเปนผูลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแตงตั้งนายก รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีจะดํารงตําแหนงรวมกันแลวเกินแปดปมิได ท้ังนี้ ไมวาจะเปนการดํารง ตําแหนงติดตอกันหรือไม แตมิใหนับรวมระยะเวลาในระหวางที่อยูปฏิบัติหนาที่ตอไปหลังพนจาก ตาํ แหนง ÁÒμÃÒ ñõù ใหส ภาผแู ทนราษฎรพจิ ารณาใหค วามเหน็ ชอบบคุ คลซงึ่ สมควรไดร บั แตง ตง้ั เปน นายกรฐั มนตรจี ากบคุ คลซง่ึ มคี ณุ สมบตั แิ ละไมม ลี กั ษณะตอ งหา มตามมาตรา ๑๖๐ และเปน ผมู ชี อื่ อยใู นบญั ชีรายชอื่ ที่พรรคการเมืองแจง ไวต ามมาตรา ๘๘ เฉพาะจากบญั ชีรายชอื่ ของพรรคการเมอื ง ที่มีสมาชิกไดรับเลือกเปนสมาชิกสภาผูแทนราษฎรไมนอยกวารอยละหาของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เทา ท่มี ีอยขู องสภาผูแทนราษฎร การเสนอชื่อตามวรรคหน่ึงตองมีสมาชิกรับรองไมนอยกวาหนึ่งในสิบของจํานวนสมาชิก ท้ังหมดเทา ที่มีอยูของสภาผูแทนราษฎร มตขิ องสภาผแู ทนราษฎรทเ่ี หน็ ชอบการแตง ตงั้ บคุ คลใดใหเ ปน นายกรฐั มนตรี ตอ งกระทาํ โดยการลงคะแนนโดยเปด เผย และมคี ะแนนเสยี งมากกวา กงึ่ หนงึ่ ของจาํ นวนสมาชกิ ทงั้ หมดเทา ทม่ี อี ยู ของสภาผแู ทนราษฎร

๑๗๗ ¡ÒÃàÅ×Í¡μé§Ñ ¢Í§»ÃÐà·Èä·Â ตามรฐั ธรรมนญู แหง ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ ไดก าํ หนดใหก ารเลอื กตง้ั เปน หนา ที่ของพลเมอื งชาวไทย และอาํ นวยการเลอื กตง้ั โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลอื กตงั้ เปน องคก รอสิ ระตามรฐั ธรรมนญู ประกอบดว ยกรรมการจาํ นวน เจด็ คน ตามรัฐธรรมนูญแหง ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๒๒ และมาตรา ๒๒๔ กําหนดอาํ นาจหนา ทข่ี องคณะกรรมการการเลือกตง้ั ไว ดังนี้ ÁÒμÃÒ òòô ใหคณะกรรมการการเลอื กตงั้ มหี นา ทีแ่ ละอํานาจ ดงั ตอไปนี้ (๑) จดั หรอื ดาํ เนนิ การใหม กี ารจดั การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู ทนราษฎร การเลอื กสมาชกิ วุฒสิ ภา การเลอื กตัง้ สมาชิกสภาทองถ่นิ และผบู รหิ ารทองถ่ิน และการออกเสยี งประชามติ (๒) ควบคุมดูแลการเลอื กตง้ั และการเลอื กตาม (๑) ใหเ ปน ไปโดยสุจรติ และเท่ียงธรรม และควบคมุ ดูแลการออกเสยี งประชามตใิ หเปนไปโดยชอบดวยกฎหมาย เพอ่ื การนี้ ใหมี อาํ นาจสืบสวน หรอื ไตส วนไดต ามที่จําเปน หรอื ทีเ่ ห็นสมควร (๓) เม่ือผลการสืบสวนหรือไตสวนตาม (๒) หรือเมื่อพบเห็นการกระทําที่มีเหตุอันควร สงสัยวาการเลือกต้ังหรือการเลือกตาม (๑) มิไดเปนไปโดยสุจริตหรือเท่ียงธรรม หรือการออกเสียง ประชามติเปนไปโดยมิชอบดวยกฎหมาย ใหมีอํานาจสั่งระงับ ยับยั้ง แกไขเปล่ียนแปลงหรือยกเลิก การเลอื กตง้ั หรอื การเลือก หรือการออกเสยี งประชามติ และสั่งใหด ําเนินการเลือกตัง้ เลือก หรือออก เสยี งประชามตใิ หมในหนว ยเลือกตง้ั บางหนว ย หรือทุกหนว ย (๔) ส่ังระงับการใชสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผูสมัครรับเลือกตั้งหรือผูสมัครรับเลือกตาม (๑) ไวเปนการชั่วคราวเปนระยะเวลาไมเกินหน่ึงป เม่ือมีหลักฐานอันควรเชื่อไดวาผูน้ันกระทําการ หรือรเู ห็นกับการกระทาํ ของบคุ คลอ่ืน ทีม่ ีลกั ษณะเปน การทุจริต หรอื ทําใหการเลอื กตัง้ หรือการเลอื ก มิไดเปน ไปโดยสุจริตหรอื เท่ยี งธรรม (๕) ดูแลการดาํ เนินงานของพรรคการเมอื งใหเปนไปตามกฎหมาย (๖) หนาทแี่ ละอํานาจอืน่ ตามรัฐธรรมนูญหรอื กฎหมาย ในการสืบสวนหรือไตส วนตาม (๒) คณะกรรมการการเลอื กตัง้ จะมอบหมายใหกรรมการ การเลอื กตงั้ แตล ะคนดาํ เนนิ การ หรอื มอบหมายใหค ณะบคุ คลดาํ เนนิ การภายใตก ารกาํ กบั ของกรรมการ การเลอื กตงั้ ตามหลกั เกณฑและวธิ ีการทีค่ ณะกรรมการการเลือกต้งั กําหนดก็ได

๑๗๘ º·ºÒ·Ë¹ÒŒ ·èբͧ¢ÒŒ ÃÒª¡ÒÃตาํ ÃǨ㹡ÒÃàÅ×Í¡μѧé ÀÒáԨ¢Í§สาํ ¹Ñ¡§Ò¹ตาํ ÃǨá˧‹ ªÒμÔ - เปนหนวยงานหลักรับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบรอย และใหการสนับสนุน กกต. ในการจดั การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู ทนราษฎร ใหเ ปน ไปดว ยความเรยี บรอ ย สจุ รติ และเทย่ี งธรรม - การรักษาความสงบเรียบรอยในการเลือกต้ัง ถือเปนภารกิจท่ีสําคัญและมีเกียรติของ สํานกั งานตาํ รวจแหง ชาติ โดยจะตอ งแสวงหาความรว มมอื กับองคก รตาง ๆ ท่ีเกีย่ วของ และใหการ สนับสนุนการปองกันการทุจริตการเลือกต้ัง ตามที่กฎหมายกําหนดหรือท่ีไดรับการรองขอจาก กกต. ในทกุ ระดบั อยา งจรงิ ใจ - ขา ราชการตาํ รวจจะตอ งวางตวั เปน กลางทางการเมอื ง โดยไมป ฏบิ ตั กิ ารใด ๆ ทงั้ ในทาง สว นตวั และราชการโดยมชิ อบดวยกฎหมายใหเปน คุณ หรือเปน โทษแกผ สู มคั ร หรือพรรคการเมือง ¢Ñ¹é μ͹¡Òû¯ºÔ μÑ Ô˹ŒÒ·Õè¢Í§¢ÒŒ ÃÒª¡ÒÃตําÃǨ·ทÕè าํ ˹ŒÒ·ÕèÃ¡Ñ ÉÒ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÂÑ Ë¹Ç‹ ÂàÅ×Í¡μѧé กอ นวนั เลือกต้ัง ๑) ใหเจาหนาที่รักษาความปลอดภัยตองเขารับการอบรมเพื่อเขาใจบทบาทและหนาท่ี ตามกฎหมายประกาศระเบยี บขอ กําหนดและคําสัง่ ของคณะกรรมการการเลอื กตงั้ ๒) รวมกับคณะกรรมการประจําหนวยเลือกตั้งไปรับหีบบัตร บัตรเลือกต้ัง แบบพิมพ และอุปกรณตา ง ๆ ที่ตอ งใชในการเลือกตงั้ นาํ ไปเกบ็ รกั ษาไวใ นสถานท่ที ีป่ ลอดภยั (ซง่ึ คณะกรรมการ ประจําหนวยจะเปนผูกําหนดสถานที่และนัดหมายวันเวลากับคณะกรรมการประจําหนวยเลือกต้ัง เพ่อื มารับพิมพบ ตั รในวันเลอื กต้ัง) เสร็จแลวใหร ายงานผบู งั คับบญั ชาทราบทางวิทยุ ในวันเลอื กต้งั ๑) รวมกับคณะกรรมการประจําหนวยเลือกต้ังไปรับหีบบัตร ณ สถานที่เก็บรักษา ตามวันและเวลาที่ไดนัดหมายไว โดยใหไปถึงหนวยเลือกตั้งเวลา ๐๖.๐๐ น. รวมกับคณะกรรมการ ประจําหนวยเลือกตั้งพรอมดวยหีบบัตรเลือกต้ัง บัตรเลือกต้ัง แบบพิมพและอุปกรณตาง ๆ ที่ใช ในการเลือกตั้ง เสร็จแลวใหรายงานผูบงั คับบญั ชาทราบทางวิทยุ ๒) ใหปฏิบัติหนาท่ีรักษาความปลอดภัยและรักษาความสงบเรียบรอยบริเวณท่ีเลือกต้ัง หรอื สถานท่นี ับคะแนน ทั้งนี้ ตองตรวจตราความเรยี บรอ ยบรเิ วณหนว ยเลือกตงั้ โดยละเอยี ด ๓) เมื่อถึงเวลา ๐๗.๓๐ น. รวมกับคณะกรรมการประจําหนวยเลือกต้ังเปดหีบ บตั รเลือกตง้ั เพอ่ื ตรวจสอบและนับจาํ นวนบัตรเลือกต้ัง ๔) เม่ือถึงเวลา ๐๘.๐๐ น. เปดการลงคะแนนเลือกตั้งใหรายงานเหตุการณเบ้ืองตน ตอ ผบู ังคับบญั ชาทางวิทยุ

๑๗๙ ๕) ขณะปฏิบัติหนาท่ีหากพบเหตุการณกระทําความผิดเก่ียวกับกฎหมายเลือกต้ังหรือ กฎหมายอนื่ ภายในหนว ยเลอื กตงั้ ใหจ บั กมุ และแจง ผบู งั คบั บญั ชาทราบ ทางวทิ ยโุ ดยดว น และรอจนกวา มผี ูบังคับบญั ชาหรือพนักงานสอบสวนหรอื เจาหนา ท่ีตาํ รวจผูใดผูรับมอบหมายมารับตัวไป ๖) ขณะปฏิบัติหนาที่หากพบเหตุการณกระทําความผิดเก่ียวกับกฎหมายเลือกตั้ง หรอื กฎหมายอืน่ ภายนอกหนวยเลอื กตัง้ (หา มออกไปนอกหนวยเลือกตง้ั ) ใหแจง ผูบ งั คบั บัญชาทราบ ทางวิทยโุ ดยดวน ๗) เม่ือสิ้นสุดเวลาลงคะแนน (๑๕.๐๐ นาฬกา) เมื่อประธานกรรมการประจําหนวย เลอื กตง้ั ปด ประกาศการลงคะแนนและผมู สี ทิ ธเิ์ ลอื กตง้ั ทอ่ี ยใู นบรเิ วณทลี่ งคะแนนไดล งคะแนนเลอื กตงั้ จนเสรจ็ สิ้นแลว ใหรายงานเหตกุ ารณต อ ผูบังคบั บัญชาทางวทิ ยุ ๘) กรณีเลือกตั้งสมาชิกสภาผูแทนราษฎรหรือวุฒิสภา ตองรอคณะกรรมการ การเลอื กต้ังนบั คะแนนเลอื กต้งั จนเสรจ็ ส้นิ และรว มกบั คณะกรรมการประจําหนว ยเลือกตัง้ สง หบี บัตร เลอื กตง้ั และเมือ่ สง หีบบตั รเลือกตง้ั เสร็จสนิ้ แลว ใหรายงานเหตุการณใหผ บู ังคับบัญชาทราบทางวิทยุ á¹Ç·Ò§¡Òû¯ÔºÑμÔ㹡ÒÃÇÒ§μÇÑ à»š¹¡ÅÒ§¢Í§¢ÒŒ ÃÒª¡ÒÃตํารวจ สาํ นกั งานตาํ รวจแหง ชาตไิ ดก าํ ชบั และใหแ นวทางในการวางตวั เปน กลางทางการเมอื งดงั นี้ ๑) ใหขาราชการตํารวจทุกระดับวางตัวเปนกลางในการเลือกตั้งอยางเครงครัด ไมป ฏบิ ตั กิ ารใด ๆ ทง้ั ในทางสว นตวั และราชการ โดยมชิ อบดว ยกฎหมาย ใหเ ปน คณุ หรอื โทษแกผ สู มคั ร หรือพรรคการเมืองใดโดยเดด็ ขาด ๒) การวางตัวเปน กลางน้ัน มไิ ดหมายความวา ขา ราชการตํารวจจะเพิกเฉยไมไปใชสิทธิ ออกเสียงเลือกต้ังหรือลงประชามติ แตหมายถึง การไมใชอํานาจในตําแหนงหนาท่ีหรือมีพฤติการณ ในทางสว นตวั เพอื่ สนบั สนนุ ชว ยเหลอื ผสู มคั รคนใดหรอื พรรคการเมอื งใด โดยเฉพาะเจาะจงทงั้ ทางตรง และทางออม ซึ่งอาจเสียความเท่ียงธรรมได นอกจากการไมสนับสนุนผูสมัครหรือพรรคการเมืองใด ดังกลาวขางตน ในทางกลับกันจะตองไมกีดกันหรือกลั่นแกลงใสรายปายสี ตําหนิติเตียน ทับถม หรอื ใหร า ยผูสมคั รหรือพรรคการเมอื งใดใหไ ดรบั ความเสียหายอีกดวย ๓) ขาราชการตาํ รวจผูท าํ หนาทีร่ กั ษาความปลอดภัยบุคคลสําคัญทางการเมอื ง จะตอง แยกแยะระหวา งหนา ทกี่ ารรกั ษาความปลอดภยั ซง่ึ เปน หนา ทโ่ี ดยตรงของตาํ รวจ ไมใ ชห นา ทใ่ี นการชว ย บุคคลดังกลาวหาเสียง ซ่ึงจะเสียความเปนกลางทางการเมือง และสําหรับผูท่ีมีญาติหรือบุคคล ใกลชิดเปนผูสมัครหรือผูสนับสนุนผูสมัคร ขอใหแบงแยกระหวางความเปนญาติกับความเปนกลาง ทางการเมอื งใหถกู ตอง ๔) ใหข า ราชการตาํ รวจทกุ ระดบั ใหค วามรว มมอื ชว ยเหลอื และสนบั สนนุ ในการดาํ เนนิ การ เลอื กตง้ั และไปใชส ทิ ธเิ ลอื กตงั้ และลงประชามตใิ หเ ปน ตวั อยา งแกป ระชาชนทวั่ ไป รวมทง้ั ใหค าํ แนะนาํ ชกั ชวนบคุ คลผมู สี ทิ ธอิ อกเสยี งเลอื กตง้ั ในครอบครวั ญาติ มติ รสหาย ไปใชส ทิ ธเิ ลอื กตงั้ โดยพรอ มเพรยี งกนั

๑๘๐ ๕) ใหผ บู งั คับบัญชาทกุ ระดับสอดสอ ง ดูแล ใหผ ูใตบ ังคบั บัญชาวางตวั เปน กลางในการ เลือกตง้ั และการแสดงประชามตอิ ยา งเครง ครดั ผใู ดละเลยใหถ อื วา กระทาํ ผดิ วนิ ัย ๖) สําหรับมาตรการในการดําเนินการ สําหรับขาราชการตํารวจที่วางตัวไมเปนกลาง ใหดําเนินการดังน้ี ๖.๑) การดาํ เนนิ การทางปกครอง เมอ่ื ไดร บั ขอ มลู ขา วสารทพ่ี จิ ารณาไดว า ขา ราชการ ตํารวจผูใดมพี ฤติการณว างตัวไมเปน กลางในการเลือกตงั้ ๖.๑.๑) สง่ั ใหเ ดนิ ทางไปปฏบิ ตั ริ าชการในหนว ยอนื่ โดยใหพ น จากตาํ แหนง หนา ทเี่ ดมิ หรอื พน จากเขตพืน้ ที่เดมิ ๖.๑.๒) ส่งั ใหประจาํ หรอื สาํ รองราชการ ๖.๑.๓) แตงตั้งโยกยายใหพ น จากตําแหนง เดมิ ๖.๑.๔) ตงั้ คณะกรรมการสอบสวน ฐานประพฤตไิ มเ หมาะสมกบั ตาํ แหนง หนา ที่ ราชการหรอื บกพรอ งในหนาท่อี ันจะเปน การเสียหายแกร าชการ ตามมาตรา ๑๐๑ แหง พ.ร.บ.ตํารวจ แหง ชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ ๖.๒) การดําเนินการทางวินัย เมื่อปรากฏผลการสืบสวนขอเท็จจริงชัดเจนวา มพี ฤตกิ ารณว างตวั ไมเ ปน กลางในการเลอื กตงั้ หรอื เกดิ ความเสยี หายตอ การปฏบิ ตั ริ าชการ ใหพ จิ ารณา ลงโทษวินัยอยางไมรายแรง หรือตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัยอยางรายแรง แลวแตก รณี ๖.๓) การดําเนินการทางกฎหมาย เมื่อพบวามีการกระทําผิดกฎหมายวาดวย การเลือกต้ังหรือกฎหมายอาญา อันเกี่ยวเนื่องกับการเลือกตั้ง ใหดําเนินคดีอาญาโดยเฉียบขาด และเรงรัดใหพ นกั งานสอบสวนรีบดําเนินการสอบสวนอยางรวดเร็ว

๑๘๑ ¡®ËÁÒ·èàÕ ¡èÂÕ Ç¢ŒÍ§ã¹¡Ã³Õ¢ÒŒ ÃÒª¡ÒÃตําÃǨÇÒ§μÑÇäÁà‹ »š¹¡ÅÒ§ ● ¾.Ã.º.ตําÃǨá˧‹ ªÒμÔ ¾.È.òõô÷ ËÁÇ´ ö ¡ÒÃดาํ à¹Ô¹¡Ò÷ҧÇԹѠÁÒμÃÒ øô เม่ือมีการกลาวหาหรือมีกรณีเปนท่ีสงสัยวา ขาราชการตํารวจผูใดกระทําผิดวินัย ใหผูบังคับบัญชา รีบดําเนินการสืบสวนขอเท็จจริงหรือพิจารณาในเบ้ืองตนวากรณีมีมูลที่ควรกลาวหาวาผูน้ันกระทําผิด วินัยหรือไม ในการสืบสวนขอเท็จจริงใหแจงเรื่องท่ีถูกกลาวหาหรือถูกรองเรียนใหผูถูกกลาวหาทราบ และใหผูถูกกลาวหาชี้แจงขอเท็จจริงภายในเวลาที่กําหนด ถาเห็นวากรณีไมมีมูลที่ควรกลาวหาวา กระทาํ ผดิ วนิ ยั ใหส งั่ ยตุ เิ รอื่ งได ถา เหน็ วา กรณมี มี ลู ทคี่ วรกลา วหาวา กระทาํ ผดิ วนิ ยั ใหด าํ เนนิ การตอ ไป ตามมาตรา ๘๕ หรือมาตรา ๘๖ แลว แตก รณีทันที ● »ÃÐÁÇŨÃÔ¸ÃÃÁáÅШÃÃÂÒºÃó¢Í§ตําÃǨ ¾.È.òõõó (Ṻ·ŒÒ ¡® ¡.μÃ. ÇÒ‹ ´ŒÇ»ÃÐÁÇŨÃÔ¸ÃÃÁáÅШÃÃÂÒºÃó¢Í§ตําÃǨ (©ººÑ ·èÕ ò) ¾.È.òõõó) ÊÇ‹ ¹·Õè ò ÁÒμðҹ·Ò§¨ÃÂÔ ¸ÃÃÁáÅШÃÃÂÒºÃó¢Í§ตาํ ÃǨ (๑) มาตรฐานทางจริยธรรมของตาํ รวจ ขอ ๗ ขาราชการตํารวจตองเคารพ ศรัทธา และยึดม่ันการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ท รงเปน ประมุข ซ่งึ ตองประพฤตปิ ฏิบตั ิ ดงั นี้ (๒) สนับสนุนการเมืองประชาธิปไตยดวยศรัทธา มีความเปนกลางทางการเมือง ไมเปนผูบริหาร หรือกรรมการพรรคการเมือง และไมกระทําการใด ๆ อันเปนคุณหรือเปนโทษ แกพ รรคการเมือง หรอื ผสู มคั รรบั เลือกตั้ง ทง้ั ในระดับชาตแิ ละทอ งถ่ิน μÇÑ Í‹ҧ ¾Äμ¡Ô ÒóËÃ×Í¡ÒáÃÐทาํ ·èÍÕ Ò¨¶¡Ù ÌͧàÃÂÕ ¹¡ÒÃÇÒ§μÇÑ äÁà‹ »¹š ¡ÅÒ§ การกระทําที่เขาขา ยอันเปนคณุ ■ แสดงตัวเปน ผูมีอิทธพิ ลมคี วามสนิทสนมกบั นกั การเมอื ง ■ ชวยหาเสียงใหพ รรคการเมอื งใด ๆ ■ ตดิ ตามนกั การเมืองไปหาเสยี งเลอื กต้งั ■ ใหความชวยเหลือผูสมัครรับเลือกต้ัง หรือหัวคะแนนหรือฐานเสียงของผูสมัคร รบั เลือกตัง้ หรือพรรคการเมืองใด ๆ ■ ขึ้นพดู สนับสนนุ ผสู มคั รรับเลอื กตงั้ นกั การเมอื งหรือพรรคการเมืองบนเวทีงานเลี้ยง ■ ชวยหาเสียงระหวางการมีหนาที่รักษาความปลอดภัยนักการเมืองหรือผูสมัคร รับเลอื กตั้ง ■ ใชต าํ แหนง หนา ทเ่ี ออ้ื ประโยชนใ หก บั ผสู มคั รรบั เลอื กตงั้ หรอื พรรคการเมอื งหนงึ่ และ ใหค อยจับตาความเคลื่อนไหวการหาเสียงหรอื จอ งจบั ผิดผูสมัครรับเลอื กตัง้ หรือพรรคการเมืองอนื่ ๆ

๑๘๒ ■ ใหผูสมัครรับเลือกตั้งเขารวมประชุมท่ีหนวยงาน และแสดงบทบาทสนับสนุน พรรคการเมอื งของผูส มคั รรบั เลือกตัง้ นั้น ■ ทาํ ตวั สนิทสนมกบั ผูสมัครรับเลือกตั้งพรรคหนึง่ และขมขูฝ า ยตรงขาม ■ ชว ยหาเสียงใหนกั การเมอื ง เพ่ือหวังเลอื่ นยศเลือ่ นตําแหนง ■ ขม ขูประชาชนใหสนับสนุนผูสมคั รรบั เลือกตงั้ หรอื พรรคการเมอื งท่ตี นชอบ ■ ชว ยผสู มัครรับเลือกตั้งหาเสยี ง ■ ชวยตดิ ปา ยหาเสยี งใหผสู มัครรบั เลอื กตง้ั หรอื พรรคการเมอื งใด ๆ ■ ชวยขับรถหรือพาหนะอื่น ๆ ในกิจกรรมหรือธุระของผูสมัครรับเลือกต้ัง หรือ พรรคการเมอื งใด ๆ ■ ไปติดตามรักษาความปลอดภัยผูสมัครรับเลือกตั้ง หรือผูเกี่ยวของกับการเลือกต้ัง โดยไมไ ดร ับมอบหมายจากผูบงั คับบญั ชา หรอื ไมใ ชพ น้ื ที่รับผดิ ชอบตามหนา ที่ ■ ใสเส้ือสัญลักษณผ สู มคั รรับเลอื กตั้ง หรือพรรคการเมืองใด ๆ ■ ติดสต๊กิ เกอรผสู มคั รรับเลอื กต้งั หรือพรรคการเมืองใด ๆ ทบ่ี า นพักหรอื ยานพาหนะ ทั้งของทางราชการและสว นตัว ■ พดู จาชกั จงู ใหผ ูอื่นเลือกผสู มคั รรบั เลอื กตัง้ หรือพรรคการเมอื งใด ๆ ■ แสดงพฤตกิ รรม หรอื กระทาํ การใด ๆ อนั เปน การสอ แสดงนยั ใหก ารสนบั สนนุ ผสู มคั ร รับเลือกตงั้ หรือพรรคการเมืองใด ๆ การกระทําท่ีเขา ขา ยอนั เปนโทษ ■ พดู จาหวา นลอ มชกั จงู ใหผ อู น่ื เกลยี ดผสู มคั รรบั เลอื กตง้ั หรอื พรรคการเมอื งทต่ี นไมช อบ ■ พูดจาใสรา ยผูสมัครรับเลอื กตง้ั หรือพรรคการเมอื งใด ๆ ■ ตรวจคนตัวผูส มัครรบั เลือกต้ัง/บรวิ าร หรอื ยานพาหนะของผูสมคั รรบั เลือกต้งั หรือ ของพรรคการเมอื งหนงึ่ พรรคการเมอื งใด โดยไมม เี หตอุ นั สมควรตามกฎหมาย หรอื มเี จตนากลน่ั แกลง ■ ไมอ นญุ าตใหผ ูส มัครรับเลือกตงั้ หรอื พรรคการเมือง ใชพื้นทรี่ าชการในการหาเสียง โดยไมมีเหตผุ ลอนั สมควรหรอื เลอื กปฏบิ ัติ ■ กระทําการใด ๆ อันเปนการขัดขวางการหาเสียงของผูสมัครรับเลือกตั้ง หรือ พรรคการเมืองใด ๆ

๑๘๓

๑๘๔ จัดพมิ พโ ดย โรงพิมพตํารวจ ถ.เศรษฐศิริ ดุสติ กรงุ เทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศัพท ๐-๒๖๖๘-๒๘๑๑-๓ โทรสาร ๐-๒๒๔๑-๔๖๕๘

“เปนองคกรบังคับใชกฎหมายที่นําสมัย ในระดับมาตรฐานสากล เพ�อใหประชาชนเช�อมั่นศรัทธา” พลตํารวจเอก สุวัฒน แจงยอดสุข ผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook