Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ผญา-แปลง5

ผญา-แปลง5

Published by v10paranya, 2021-03-05 11:22:28

Description: ผญา-แปลง5

Search

Read the Text Version

กลุ่มท่ี ๔ เรอ่ื ง คำผวน ผญา และปริศนาคำทาย จดั ทำโดย นาย ธนพฒั น์ สันติวฒั นานนท์ ม.๕/๘ เลขท่ี ๙ นาย ปรัชญา โสมสงู เนนิ ม.๕/๘ เลขที่ ๒๗ นาย นิจชยากรณ์ ชำนาญสงิ ห์ ม.๕/๘ เลขท่ี ๓๐ นาย กรี ตพิ ทั ธ์ ไพศาลธนภัทร ม.๕/๘ เลขท่ี ๔๒ เสนอ คณุ ครู สภุ ลักษณ์ พลเรอื ง รายงานน้เี ป็นส่วนหน่งึ ของรายวชิ าภาษาไทย (ท ๓๒๑๐๒) โรงเรียนราชสมี าวทิ ยาลัย ภาคเรยี นที่ ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓

คำนำ คำผวน ผญา และปรศิ นาคำทาย เป็นวฒั นธรรมทม่ี มี าอย่างชา้ นานของตนไทยโดยแตล่ ะอย่างกม็ ลี ักษณะทไ่ี ม่เหมอื นกนั ไมว่ า่ จะเปน็ การเขยี น ความหมาย และการนำเอาไปใช้ ซ่ึงแต่ละอย่างลว้ นมเี สน่หท์ น่ี า่ ศกึ ษาและทำความเข้าใจเพือ่ เป็นการอนรุ กั ษ์วฒั นธรรมของไทยเพอื่ ใหค้ นรนุ่ หลังสบื ไป รายงานเล่มนี้จัดทำขนึ้ เพื่อเปน็ สว่ นหนึ่งของรายวิชา ภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๕/๘ เพอ่ื ให้ไดค้ วามรูใ้ นการสบื คน้ เรอื่ ง คำผวน ผญา และปริศนาคำทาย โดยทางผจู้ ัดทำไดต้ งั้ ขอบเขตของการศกึ ษาเรื่องนค้ี อื “ความเปน็ มา ความหมาย ลกั ษณะ” โดยสุดทา้ ยนที้ างผู้จดั ทำหวงั ว่าจะเปน็ ประโยชน์แกผ่ ู้ท่ีไดเ้ ข้ามาอา่ นหรือตอ้ งการท่ีจะศึกษาเร่อื งน้ี และทางผู้จัดทำไดใ้ หท้ ่มี าไวท้ บ่ี รรณานุกรมเพื่อท่ผี ู้ใดอยากท่ีจะทราบแหล่งทมี่ าของขอ้ มลู ถา้ มขี อ้ ผดิ พลาดประการใดผูจ้ ัดทำต้องขออภัยมา ณ ท่ีนีด้ ว้ ย คณะผ้จู ัดทำ วนั ท่ี ๔/มีนาคม/๒๕๖๔

ปริศนาคำทาย ๑.ความหมายของปริศนาคาทาย ปรศิ นาคาทาย หมายถงึ ปัญหาหรอื คาถามซง่ึ ผถู้ ามอาจจะถามตรง ๆ หรอื ถามทางออ้ มกต็ าม คาถามอาจจะใชถ้ อ้ ยคาธรรมดาเป็นภาษารอ้ ยแกว้ หรอื จะมสี มั ผสั แบบภาษารอ้ ยกรองกไ็ ด้ ภาษาทใ่ี ชน้ นั้ เป็นภาษาสนั้ ๆ งา่ ย ๆ กระชบั ความ แตย่ ากแกก่ ารตคี วามในตวั ปรศิ นาอยบู่ า้ ง ส่วนคาตอบ มกั จะเป็นสง่ิ ทพ่ี บเหน็ ในชวี ติ ประจาวนั ในสมยั นนั้ ๆ และในบางคาถามมกั จะมเี คา้ หรอื แนวทางสาหรบั คาตอบ ซง่ึ ผตู้ อบจะตอ้ งใชค้ วามสงั เกต ความคดิ และไหวพรบิ ในการคดิ หาคาตอบ ๒. ที่มาของปริศนาคาทาย ปรศิ นาคาทาย เกดิ จากความตอ้ งการลองภูมปิ ัญญากนั จงึ มกี ารทายปรศิ นา ในสมยั กอ่ นนิยมเล่นกนั ทงั้ เดก็ และผใู้ หญ่ มกั จะเล่นกนั ในยามว่างจากการทางาน ๓. ลกั ษณะของปริศนาคาทาย ๓.๑ นยิ มใชค้ าคลอ้ งจองกนั โดยไม่กาหนดจานวนคาในแตล่ ะวรรค เป็นขอ้ ความสนั้ ๆ กะทดั รดั หรอื อาจผกู เป็นปรศิ นากลอน ซง่ึ บ่งบอกถงึ ความเป็นคนเจา้ บทเจา้ กลอนทาใหจ้ าไดง้ า่ ย ๓.๒ เน้อื หานนั้ มกั จะนามาจากสง่ิ ตา่ งๆทอ่ี ยรู่ อบตวั เรา เชน่ ของใช้ คน สตั ว์ ผกั พชื เวลา สถานท่ี เครอ่ื งใช้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เชาวป์ ัญญา ฯลฯ ซง่ึ ผผู้ กู ปรศิ นาจะตอ้ งเป็นคนช่างสงั เกต แลว้ นาเอาสง่ิ ทส่ี งั เกตเหน็ มาผกู ปรศิ นาใหผ้ อู้ น่ื ใชป้ ัญญาเพอ่ื แกห้ รอื ทาย ๓.๓ จานวนขอ้ ความคาถามจะมคี วามสนั้ ยาวไมเ่ ทา่ กนั คอื อาจจะมเี พยี งตอนเดยี ว สองตอน สามตอน หรอื มากกวา่ น้ี แต่ขอ้ ความทุกตอนจะเป็นการบอกคาตอบอย่ใู นตวั เป็นนยั ๆ ซง่ึ เมอ่ื นาคาตอบมารวมกนั จะเป็นลกั ษณะของสงิ่ ทท่ี ายนนั ่ เอง ๓.๔ ไม่นิยมถามตรง ๆ แตจ่ ะใชส้ งิ่ เปรยี บเทยี บ ๓.๕ มกี ารทา้ ทายใหผ้ ไู้ ขปรศิ นาพยายามคดิ ๔. ประเภทของปริศนาคาทาย(การจดั หมวดหมู่ตามเนื้อหา) ๔.๑ ปรศิ นาคาทายเกย่ี วกบั ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น อะไรเอย่ เขยี วชอ่มุ พมุ่ ไสวไมม่ ใี บมแี ต่เมด็ =ฝน ๔.๒ ปรศิ นาคาทายเกย่ี วกบั พชื เชน่ อะไรเอ่ยตน้ เท่าครกใบปรกดนิ = ตะไคร้ ๔.๓ ปรศิ นาคาทายเกย่ี วกบั สตั ว์ อะไรเอย่ สเ่ี ทา้ เดนิ มาหลงั คามุงสงั กะสี = เตา่ ๔.๔ ปรศิ นาคาทายเกย่ี วกบั อาชพี

อะไรเอย่ ขา้ งโน้นกเ็ ขาขา้ งน้กี เ็ ขาเรอื สาเภาแลน่ ตรงกลาง = กท่ี อผา้ ๔.๕ ปรศิ นาคาทายเกย่ี วกบั อวยั วะ อะไรเอ่ยไมใ่ กลไ้ มไ่ กลมองเหน็ ราไร = จมกู ๔.๖ ปรศิ นาคาทายเกย่ี วกบั ศาสนา-ประเพณี อะไรเอ่ย หวั เป็นหนามถามไม่พดู = พระพทุ ธรปู ๔.๗ ปรศิ นาคาทายเกย่ี วกบั วรรณกรรม พระรามชอบสอี ะไร = สดี า ๔.๘ปรศิ นาคาทายเกย่ี วกบั เชาวป์ ัญญา อะไรอยบู่ นฟ้า = วรรณยกุ ตโ์ ท ๕.ประเภทของปริศนาคาทาย(การจดั หมวดหมู่ตามรปู แบบ) นอกเหนือจากการจดั หมวดหมู่ของปริศนาคาทายตามเนื้อหาแลว้ ปริศนาคาทายสามารถจดั กลมุ่ ได้โดยอาศยั รปู แบบเป็นเกณฑ์ หากพิจารณาตามรปู แบบจะพบวา่ ปริศนาคาทายสามารถจดั แบง่ ได้เป็นกลุ่มใหญๆ่ ๒ กลมุ่ โดยพิจารณาจากลกั ษณะตวั ปริศนา คอื ปริศนาที่สอ่ื ดว้ ยถอ้ ยคา และปริศนาที่ไมไ่ ดส้ ่ือดว้ ยถอ้ ยคา ปริศนาท่ีส่ือดว้ ยถอ้ ยคาสามารถแยกย่อยไดเ้ ป็น ปริศนาร้อยแกว้ หรอื ท่ีมกั เรียกกนั วา่ \"ปริศนาอะไรเอ่ย\" และปริศนารอ้ ยกรอง เช่น โคลงทาย ผะหมี ส่วนปริศนาที่ไมไ่ ดส้ ือ่ ดว้ ยถ้อยคานัน้ ไดแ้ ก่ ปริศนารปู ภาพ ปริศนาที่ส่ือดว้ ยถอ้ ยคา ปริศนาท่ีสื่อด้วยถอ้ ยคานัน้ สามารถแยกยอ่ ยไดเ้ ป็น ๒ ประเภท ตามลกั ษณะของถ้อยคาที่ผกู เป็นปริศนา คอื ปริศนาร้อยแกว้ และปริศนารอ้ ยกรอง ๑) ปริศนาร้อยแก้ว ปริศนารอ้ ยแกว้ หมายถงึ ปริศนาท่ีผกู ขน้ึ ด้วยภาษารอ้ ยแก้วธรรมดา ในบางครงั้ อาจมเี สียงสมั ผสั คล้องจองกนั บ้าง แต่กไ็ มไ่ ด้เป็นไปตามแบบแผนขอ้ บงั คบั ของการแต่งคาประพนั ธอ์ ย่างปริศนาร้อยกรอง ปริศนารอ้ ยแก้วโดยทวั ่ ไปมกั มคี าขึน้ ต้นว่า \"อะไรเอ่ย\" ต่อมา จงึ มผี เู้ รียกปริศนาร้อยแก้วที่มคี าขน้ึ ต้นนี้ว่า \"ปริศนาอะไรเอ่ย\" ตวั อยา่ งเช่น อะไรเอ่ย ส่ีตีนเดินมา หลงั คามงุ กระเบอื้ ง (เฉลย : เต่า) อะไรเอ่ย ต้นเท่าลาเรอื ใบห่อเกลือไมม่ ิด (เฉลย : ต้นมะขาม)

จะเหน็ วา่ มสี ่วนที่บรรยายปริศนานัน้ เป็นภาษาร้อยแก้วธรรมดา เข้าใจง่าย แต่มเี สยี งสมั ผสั สระระหวา่ งคาวา่ \"มา\" กบั \"คา\" และ \"เรอื \" กบั \"เกลือ\" ตามลาดบั นอกจากปริศนาอะไรเอ่ยแลว้ ปริศนาอกั ษรไขวก้ ส็ ามารถจดั อยูใ่ นกลมุ่ ปริศนาร้อยแก้วไดด้ ว้ ยเช่นกนั ทงั้ นี้ เพราะคาบอกใบใ้ นปริศนาอกั ษรไขว้ มกั เป็นภาษาร้อยแก้ว ๒) ปริศนาร้อยกรอง ปริศนาร้อยกรอง หมายถึง ปริศนาที่ตวั ปริศนาเขียนดว้ ยคาประพนั ธไ์ ทยรปู แบบต่างๆ ไดแ้ ก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ปริศนาร้อยกรองที่จะกล่าวถึงในท่ีนี้มี ๓ กลมุ่ ดว้ ยกนั คอื ผะหมี โคลงทาย และโจก๊ ๖. วิธีการเล่นปริศนาคาทาย บรรดาสมาชกิ ในครอบครวั หรอื อาจจะมเี พ่อื นบา้ นใกลเ้ รอื นเคยี งมาร่วมดว้ ยกไ็ ด้ จะนงั่ ลอ้ มวงกนั หรอื นงั ่ ตามสบาย ผทู้ ายจะผลดั กนั ทายแลว้ แต่ใครจะคดิ ปัญหาได้ ถา้ มผี ตู้ อบถูกผตู้ อบมสี ทิ ธลิ งโทษผทู้ ายตามแตจ่ ะตกลงกนั และเชน่ เดยี วกนั หากผตู้ อบตอบผดิ ผทู้ ายกม็ สี ทิ ธลิ งโทษผตู้ อบ เมอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามกฎ กเ็ รม่ิ ตน้ ทายปรศิ นาใหมต่ อ่ ไป ๗. ประโยชน์ท่ีไดร้ บั ๑) ผเู้ ลน่ ไดร้ บั ความสนุกสนาน เพลดิ เพลนิ ขบขนั เป็นการพฒั นาจติ ใจใหแ้ จม่ ใส ๒) ฝึกใหผ้ เู้ ลน่ เป็นผมู้ นี สิ ยั ชา่ งสงั เกต ช่างคดิ ฉลาดเฉลยี วในการฝึกปัญญาของผเู้ ลน่ ๓) ผเู้ ลน่ จะไดร้ บั ความรดู้ า้ นต่าง ๆ เช่น สานวนภาษา สงั คมวทิ ยา และธรรมชาตวิ ทิ ยา ๔) เป็นการใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ ๕) เป็นการสรา้ งความสามคั คสี รา้ งมนุษยสมั พนั ธใ์ นหมผู่ เู้ ล่นอกี ดว้ ย ๖) เป็นการพฒั นาการใชภ้ าษา ๗) เป็นการฝึกใหม้ ไี หวพรบิ เชาวน์ ปัญญาดี

๘. คณุ คา่ ของปรศิ นาคาทาย ปรศิ นาคาทายมคี ุณค่ามากมาย มรี ายละเอยี ดดงั น้ี ๑) คุณค่าในดา้ นความบนั เทงิ ปรศิ นาคาทายเป็นการเล่นเพ่อื การพกั ผอ่ นในยามว่าง ผทู้ ายจะรสู้ กึ สนุกสนานตรงทไ่ี ดค้ ดิ ตปี รศิ นาคาทายทม่ี ผี ผู้ กู ไว้ ความตน่ื เตน้ อย่ทู ก่ี ารไดร้ บั คาตอบว่าผดิ หรอื ถูก ตลอดจนการเล่นคา เล่นอกั ษรของคาทายปรศิ นาดว้ ยตวั อย่างเช่น สุกคมุ้ สุกเคลอื สุกยอด สุกเซน สกุ ตน้ เตน้ สกุ ไกล สกุ ขอ้ สุกหนาม สขุ กน้ ขนั (หมากเขอื หมากหลอด หมากเป็น หมากสา้ น หมากไฟ หมากคอ้ หมากขาม หมากม้ี หมากพรกิ ) ๒) คุณค่าในดา้ นวฒั นธรรมและประเพณี คอื ชว่ ยสะทอ้ นสภาพความเป็นอยเู่ กย่ี วกบั สงั คม เชน่ อาหารการกนิ สงิ่ ของเคร่อื งใช้ ศาสนาและประเพณี ตลอดจนการละเล่นตา่ ง ๆ ซง่ึ สบื ทอดกนั มา ตวั อย่าง เชน่ เขา้ แปดออกสบิ เอด็ แม่นหยงั (เขา้ พรรษา ออกพรรษา) คนเฮด็ บไ่ ดใ้ ช้ คนใชบ้ ่ไดเ้ ฮด็ แม่นหยงั (โลงศพ) คุกลุกเขา้ เลา้ แมน่ หยงั (ครกมอง, ครกตาขา้ ว) บกั ขค้ี รา้ นนงั ่ ทา่ อยเู่ ฮอื น แมน่ หยงั (โอง่ , ตมุ่ น้า) อหี ยงั หอู ย่เู ทงิ หวั มตี าเตม็ โต (แห) ๓) คณุ ค่าดา้ นภาษา ปรศิ นาแสดงออกถงึ ลกั ษณะการใชภ้ าษาในหลายรปู แบบ เชน่ เป็นรอ้ ยกรอง คาผวน คาสองแงส่ องงา่ ม และคาเปรยี บเทยี บ ตวั อย่าง เชน่ มา้ อขี าวหางยาวตว้ ยกน้ แมน่ หยงั (ตน้ กลว้ ย) ขหู่ ลู่อย่ไู หฮวั่ คอื อหี ยงั (หวั ไฮ, หวั ไร)่ ไผมากะยอก ๆ เขา่ บ่เขา่ ใหค้ ลาเบง่ิ แมน่ หยงั (ลบั มดี ) จบั ขาหงา่ ง เอาบกั๊ แดงยดั ใส่ (มดี สะนากหนบี หมาก)

๔) คณุ ค่าดา้ นการศกึ ษาอบรม ปรศิ นาช่วยฝึกใหค้ นคดิ เป็น และแกป้ ัญหาเป็น เป็นการฝึกสตปิ ัญญาใหแ้ กเ่ ดก็ อบรมใหเ้ ดก็ รจู้ กั สงั เกตและสนใจสงิ่ แวดลอ้ ม ตวั อยา่ งเชน่ ผอู้ ยฮู่ มิ หว้ ยสานมอง ผอู้ ย่หู นองกองกน้ (แมงมมุ , หอย) สุกบห่ วาน บานบห่ อม (พรกิ , ดอกฝ้าย) บม่ ตี นี ขน้ึ ผา บม่ ตี าขน้ึ ไม้ บม่ ไี สก้ นิ คน บม่ ขี นเกอื กม่อง (งู, เครอื วลั ย,์ มดี , จอง (กระจ่า) ) ๕) คุณคา่ สะทอ้ นใหเ้ หน็ สภาพสงั คมสงิ่ แวดลอ้ ม ดงั รายละเอยี ด ๕.๑ การสรา้ งบา้ นเรอื นทอ่ี ย่อู าศยั ในชนบทอสี านจะมกี ารสรา้ งเรอื นเป็นเรอื นไมม้ เี สาสงู มุงดว้ ยแฝกหรอื หญา้ คา ตวั อยา่ งเชน่ จบั หลดิ ตดิ ปัก (ไมข้ ดั ตาหนู) มกี กบม่ ใี บ มใี บบม่ ตี า (ตน้ เสา ใบพาย) ๕.๒ สะทอ้ นใหเ้ หน็ เคร่อื งใชท้ ส่ี าคญั ไดน้ ามาผกู เป็นปรศิ นา ดงั ตวั อย่าง มหี สู องหู หมอ่ งกลางเป็นหลมุ (หมอ้ ) ซา้ งสามขา พญาดาขน้ึ ข่ี ป่ีน้อยเสพนา (ก่อนเสา้ หมอ้ น่งึ ) หน่าสนั ่ ฟันขาว มกั กนิ นายอดภเู ขา (ขวาน) ๕.๓ สะทอ้ นใหเ้ หน็ เครอ่ื งมอื การประกอบอาชพี เพอ่ื ใหค้ รอบครวั มคี วามสขุ ดงั ตวั อย่าง ใบอยใู่ ตฮ้ าก หมากอยใู่ ตด้ นิ (ไถ) เถา้ แกห่ ลงั โกง ลงน้าบข่ นุ่ (เบด็ ) แมฮ่ อ้ ง ลกู ออกหากนิ (ปืน) บกั น้อย ๆ แกไ่ สล้ อดขอน (กระสวย) ๕.๔ ปรศิ นาคาทายบอกถงึ สภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ บอกถงึ สตปิ ัญญาความเป็นคนชา่ งสงั เกตของคนอสี าน สามารถนาเอาธรรมชาตทิ ม่ี มี าผกู เป็นปรศิ นา ทงั้ ทเ่ี ป็นธรรมชาตขิ องมนุษยอ์ วยั วะส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ลกั ษณะของพชื สตั ว์ ตวั อยา่ งเชน่

สุกเตม็ ดนิ เกบ็ กนิ บห่ มด (แสงแดด) เหน็ บเ่ อา เอาบก่ นิ กนิ บข่ ่ี ขบ่ี เ่ หมน็ (ตา มอื ปาก กน้ ) หบี น้อย ๆ ใสผ่ า่ เหลอื ง คนหมดเมอื งไขบ่ออก (ไข)่ บม่ ขี า มแี ตห่ วั กะหยา่ งได้ (หอย) ตน้ ทอ่ เขม็ ใบเตม็ น้า (ผกั แวน่ ) ๕.๕ ปรศิ นาคาทายทบ่ี อกถงึ วฒั นธรรมความเช่อื ปรศิ นาคาทายประเภทน้เี กดิ ขน้ึ ได้ เพราะคนในทอ้ งถนิ่ มคี วามเช่อื ถอื ศรทั ธาในลทั ธศิ าสนาเดยี วกนั จะเหน็ วา่ คนในภาคอสี านนบั ถอื พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาภาค ตวั อย่างเช่น คนสามบา้ นกนิ น่าส่างเดยี ว บเ่ หยยี บฮอยกนั (พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ)์ แดง ๆ อย่ใู นถ้า ฝนบ่ฮาจกั๊ เทอื แดดกลา้ ๆ เดอื นหา่ จงั คอยฮา (พระพุทธรปู ) ๕.๖ ปรศิ นาคาทายบอกความสามารถทางภาษา การส่อื ความหมายในดา้ นภาษานามาผกู เป็นปรศิ นาเลน่ กนั ทาใหม้ ชี วี ติ ชวี า ดงั ตวั อยา่ ง ฮ่องแฮงฮงั นกเขา เฮอื นสเ่ี สาห่าหอ่ ง ไมป่ ลอ้ งเดยี วพนั งา หมาโตเดยี วพนั แขว่ แกว้ หน่วยเดยี วพนั แสง แกงต่อนเดยี วพนั ถว่ ย กลว้ ยหน่วยเดยี วพนั หวี ปลฮี วงเดยี วพนั กาบ (สวงิ กต่ี าหกู รงุ้ กนิ น้า ฟืม ดวงอาทติ ย์ ปนู (กนิ หมาก) ปลกี ลว้ ย พลบั พลงึ ) สุกแคะ สกุ ขา สุกคาฮงั สกุ คาฮู หย่างตบั้ ๆ ป้ินโต แม่นหยงั (โป้ตนี ) มา้ อขี าวหางยาวตว้ ยกน้ แมน่ หยงั (ตน้ กลว้ ย) ตกป๊ กุ ขา่ งซ้ี (ขซ้ี า้ ง) (ขนมครก ขา้ วเกรยี บวา่ ว ขนมรงั ผง้ึ ขา้ วหลาม) หอ่ นึงพนั หวั หวั หน่งึ พนั ปาก หน่าผากพนั ฮอย แมน่ หยงั

คาผวน คาผวนเป็นวธิ กี ารสลบั คาโดยใชส้ ระและตวั สะกดของพยางคห์ นา้ และพยางคส์ ดุ ทา้ ยมาสลบั กนั ทาใหเ้ กดิ คาใหม่ทอ่ี าจไมม่ คี วามหมาย แตก่ ารออกเสยี งจะคลอ้ งจองกบั รปู เดมิ ทาใหส้ อ่ื ความหมายกนั ไดค้ าผวนนนั้ นิยมใชก้ บั คาสองหรอื สามพยางคเ์ ป็นสว่ นใหญ่เ พราะสามารถสลบั ตาแหน่งไดง้ า่ ยคาพยางคเ์ ดยี วนนั้ ไมส่ ามารถผวนไดค้ าพยญั ชนะพยางคห์ น้าและพยางคส์ ุดทา้ ยเหมอื นกั นหรอื เสยี งเดยี วกนั นนั้ ไมส่ ามารถผวนไดค้ าทส่ี ระและตวั สะกดพยางคห์ น้าและพยางคส์ ุดทา้ ยเหมอื นกนั หรอื ตวั สะกดมาตรา เดยี วกนั นนั้ ไม่สามารถผวนไดส้ ว่ นคาหลายพยางคอ์ าจตอ้ งแยกเป็นสว่ น ๆ ไมส่ ามารถสลบั ตาแหน่งอยา่ งคาน้อยพยางคว์ ธิ กี ารสรา้ งคาผวนเรยี กว่า \"ผวน\" หรอื \"การผวนคา 1. คาผวนเป็นการเล่นทางภาษาอยา่ งหน่งึ ในภาษาไทยทใ่ี ชว้ ธิ กี ารผวนคาหรอื สลบั ตาแหน่งเสยี งสระและพยญั ชนะทา้ ย 2. การสลบั ตาแหน่งทส่ี มบูรณ์จะเกดิ ขน้ึ กบั คาสองพยางคเ์ ชน่ ดาเนิน- เดนิ นาในทน่ี ้พี ยญั ชนะตน้ ของทงั้ สองพยางคย์ งั คงตาแหน่งเดมิ แตส่ ลบั เสยี งสระ (พรอ้ มตวั สะกด) คอื สลบั ระหว่างสระ \"อา\" กบั สระ \"เอนิ \" 3. ในคา 3 พยางคก์ ารผวนจะยงุ่ ยากจงึ อาจเลอื กทจ่ี ะผวนเฉพาะบางค่ขู องพยางคเ์ ชน่ สวสั ดี (สะ-หวดั -ด)ี มกั เลอื กผวนเฉพาะพยางคท์ ส่ี องและสามคอื หวดั (สระ \"อะ\" เสยี งเอก + ตวั สะกด \"กด\")-ดี (สระ \"อ\"ี เสยี งสามญั ตวั สะกดไมม่ )ี -> วี (สระ \"อ\"ี เสยี งสามญั ตวั สะกดไมม่ )ี -ดดั (สระ \"อะ\" เสยี งเอก + ตวั สะกด \"กด\") 4. คา 4 พยางคข์ น้ึ ไปถงึ แมไ้ มน่ ิยมกนั มากนัก แตก่ ย็ งั มคี าทใ่ี ชผ้ วนไดโ้ ดยนาพยางคแ์ รกกบั พยางคส์ ดุ ทา้ ยมาผวนกนั สว่ น 2 พยางคต์ รงกลางยงั อย่คู งเดมิ เชน่ หมายเลขไอพ-ี หมเี ลขไอพาย คาผวนเป็นการเล่นเสยี งเพอ่ื ความสนุกสนานบางคนนิยมใชผ้ วนคาหยาบเร่อื งเพศเป็นการเลย่ี งทจ่ี ะเอ่ยถงึ คาหยาบนัน้ ตรง ๆ หรอื ผวนคาเป็นปรศิ นาซง่ึ นยิ มกนั มากในปรศิ นาคากลอนทเ่ี รยี กว่าผะหมนี อกจากน้ยี งั มนี กั เขยี นจานวนไมน่ ้อยใชก้ ารผวนช่ื อจรงิ เพ่อื นามาใชเ้ ป็นนามปากกา ตวั อย่างคาผวน คาทใ่ี ชท้ วั่ ไป อะหรด่ี อย = อร่อยดี (คา 3 พยางค,์ ผวนเฉพาะสองพยางคห์ ลงั ) สวดี ดั = สวสั ดี (คา 3 พยางค,์ ผวนเฉพาะสองพยางคห์ ลงั ) ไขเ้ จา = เขา้ ใจ ขงึ เถา้ = เขา้ ถงึ กา้ งใหญ่ = ไกย่ า่ ง จอเขบ็ = เจบ็ คอ หน้ที า่ = หน้าท่ี อา้ ดนา = อานาจ สมคงั = สงั คม อฐิ กรงั = องั กฤษ ซานผะ = สะพาน ไสเฟา = เสาไฟ นามปากกาหรอื ช่อื คน จกั ร ภูมสิ ทิ ธิ์ (นามปากกาของ จติ ร ภูมศิ กั ด)ิ ์ ธนา วงศญ์ าณณาเวช (นามปากกาของ ธเนศ วงศย์ านนาวา) โต้ ชรี กิ (ตกิ๊ ชโี ร)่ คดิ ลกึ (คกึ ฤทธิ์ ปราโมช) นมอุโดต้ (โน้ต อุดม) วริ วิ ทองโชติ (วโิ รจน์ ทองชวิ ) ซา่ อมรมณ์ (สม้ อมรา) ตูน บรบิ กั๊ (ตกั ๊ บรบิ รู ณ์) จวู นิ ยอน (จอหน์ วญิ ญ)ู

วรรณกรรมท่ีแต่งด้วยคาผวน -สรรพลห้ี วน -ซนั เกก๊ สรรพลห้ี วน (อ่านวา่ สบั -พะ-ล-้ี หวน) เป็นวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ ทางภาคใต้ (จงั หวดั นครศรธี รรมราช) ไม่ปรากฏหลกั ฐานแน่ชดั วา่ ใครเป็นผปู้ ระพนั ธ์ สนั นษิ ฐานกนั วา่ คงจะเป็นปลายสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ลกั ษณะการประพนั ธ์ เป็นแบบ นิทานคากลอน หรอื กลอนสภุ าพหรอื กลอนแปดตามขนบนยิ ม เน้อื หาเป็นคาผวนเกย่ี วกบั เร่อื งเพศและอวยั วะเพศ มเี น้อื หาชวนใหข้ บขนั มากกวา่ ก่อใหเ้ กดิ อารมณ์ทางเพศ มคี วามยาว 197 บท เน้อื หายงั ไมจ่ บสมบูรณ์ สรรพลห้ี วนสานวนเก่าพมิ พเ์ ผยแพรค่ รงั้ แรกเมอ่ื 15 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2516 โดยขนุ พรหมโลก (นามแฝง) ซง่ึ ผพู้ มิ พใ์ หค้ วามเหน็ ไวว้ ่า ผู้แต่งอาจเป็นชาวนครศรธี รรมราช แต่งขน้ึ ประมาณ พ.ศ. 2425 - 2439 ต่อมามผี แู้ ตง่ เลยี นแบบขน้ึ อกี หลายสานวน ในหอพระสมดุ เองมหี นงั สอื เร่อื งหนง่ึ ชอ่ื \"ศพั ทล์ ห้ี วน\" ซง่ึ มลี กั ษณะใกลเ้ คยี งกนั

ความหมายของผญา มนี ักวชิ าการ ผเู้ ช่ยี วชาญทางด้านวฒั นธรรม และนักมานษุ ยวทิ ยาหลายท่าน ได้กลา่ วถึงความหมายของผญา พอสรปุ ไดด้ งั นี้ จารุบุตร เรืองสุวรรณ (๒๕๒๐ : ๕๘) ไดใ้ หค้ วามหมายของผญาไวว้ า่ ผญา (ผะหญา) เปน็ คำนาม แปลวา่ ปัญญา ปรชั ญา ความฉลาด ความรอบรู้ คำพูดที่เป็นภาษิตท่มี ีความหมายอยใู่ นเชิงเปรยี บเทยี บ ประกอบดว้ ยถอ้ ยคำอันหลกั แหลมลึกซึง้ คำกลอนผญา อาจจะเป็นกลอนพน้ื บ้านที่บ่าวสาวผกู ข้ึนมาโตต้ อบกันเปน็ การเก้ยี วพาราสี แสดงความรกั ตอ่ กนั หรือประชดประชัน เสยี ดสี โดยไมพ่ ดู กันตรง ๆ อาจเปน็ คำพดู เลียบเคียงกระทบกระเทยี บเปรยี บเปรยกนั และอาจวา่ กันเป็นกลอนสดกม็ มี าก จารุวรรณ ธรรมวัตร (๒๕๒๖ : ๑) ไดอ้ ธิบายความหมายของผญาว่า ผญาตามนยั แหง่ นริ กุ ตศิ าสตร์ ผญา ตรงกบั คำวา่ \"ปัญญา\" ในภาษาบาลแี ละ \"ปรชั ญา\" ในภาษาสนั สกฤต ทั้งนเี้ น่ืองจาก ภาษาอสี านใช้ \"ผ\" แทน \"ปร\" และ \"ปล\" ในภาษากลาง เชน่ เปรต อีสานใช้ เผต ปราบ อสี านใช้ ผาบ ประโยชน์ \" ผะโยชน์ ประเทศ \" ผะเทศ แปลก \" แผก เปลี่ยน \" เผีย่ น ดังน้นั ผญา จึงแปลว่า ปญั ญา หรอื ความรู้ ซง่ึ ในทัศนะของชาวอีสาน ถือวา่ ผญา เปน็ แนวทางนำไปสคู่ วามสำเร็จ ประเทอื ง คลา้ ยสบุ รรณ์ (๒๕๒๘ : ๓) ได้อธบิ ายความหมายของผญาพอสรปุ ไดว้ ่า ผญา คอื สำนวนการพูดอยา่ งหน่ึงของชาวอีสานท่ีเป็นคำคมใหแ้ ง่คิด เป็นคตสิ อนใจคนใหป้ ระพฤตดิ เี ป็นทย่ี อมรบั ของสังคม ผญา เปน็ คำพดู ท่ีมีความหมายเชงิ เปรียบเทยี บใชค้ ำอุปมาอปุ ไมย มคี วามหมายชดั เจน หลกั แหลมลึกซึง้ คำผญาใช้พดู ในโอกาสตา่ ง ๆ กัน เชน่ หนุ่ม - สาว ผ้ใู หญ่ - ผูน้ อ้ ย เปน็ ตน้ ปรีชา พิณทอง (๒๕๓๒ : ๕๒๘) ไดใ้ หค้ วามหมายของผญาว่า ผญา เป็นคำนาม หมายถงึ ปญั ญา ปรชั ญา ความฉลาด คำภาษิตทมี่ คี วามหมายลกึ ซง้ึ เชน่ เงนิ เต็มพาบ่ทอ่ ผญาเตม็ ปูม (ทอ้ ง) หมายความว่ามีเงนิ มากมายกส็ ้มู ีผญาอยเู่ ตม็ ทอ้ งไมไ่ ด้ จะเห็นได้วา่ ความหมายของผญา ที่กลา่ วมาแลว้ ท้งั หมด จะแตกตา่ งกนั ออกไปบา้ งเฉพาะในเร่อื งการใชถ้ อ้ ยคำภาษา แต่โดยความหมายจะเปน็ ไปในทำนองเดยี วกัน ซงึ่ สรปุ ได้ว่า ผญา หมายถงึ ถ้อยคำหรือข้อความทแ่ี สดงภูมปิ ัญญาของผู้พดู ที่ฉลาดหลกั แหลม คมคาย มปี ฏภิ าณไหวพรบิ โดยใชถ้ ้อยคำภาษาท่ีมีความหมายลกึ ซึ้งกินใจ เปน็ คตเิ ตอื นใจ คำคม คำพังเพย คำอวยพร และคำเกยี้ วพาราสีของหนมุ่ สาว ผญาตรงกบั ภาษากลางวา่ ปญั ญา ซ่งึ แสดงถงึ ความเปน็ ผทู้ รงความรู้ของผู้พูด ตามผญาบทหนึ่งทีก่ ล่าววา่ \"มเี งนิ เตม็ พา บ่ท่อมผี ญาเตม็ ปูม\" และในสมัยโบราณชาวอสี านเรียกคนทมี่ ปี ญั ญาว่า \"คนมผี ญา\"

ความเป็นมาของผญา ภาษาเป็นมรดกทางวฒั นธรรมของสงั คมฉนั ใด ผญาก็จดั เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมดา้ นการใช้ภาษาของชาวอีสานฉันนัน้ ชาวอีสานไดส้ บื สานวฒั นธรรมดา้ นผญาจากบรรพบรุ ุษมาจนถึงปัจจบุ นั ส่วนสาเหตคุ วามเปน็ มาของผญานนั้ ไมม่ หี ลกั ฐานชัดเจนนกั แตม่ ผี ูท้ รงความรทู้ างวัฒนธรรมอสี านบางทา่ น ตงั้ ขอ้ สนั นิษฐานวา่ ความเปน็ มาของผญา นา่ จะมาจากสาเหตุ ๓ ประการ พอสรุปไดด้ งั น้ี ๑. เนื่องมาจากศาสนา ชาวอสี านส่วนใหญน่ ับถือศาสนามาช้านาน คำสงั่ สอนของพระพุทธเจ้า สอนให้คนประพฤติชอบใหป้ ระกอบกรรมในสิง่ ทดี่ ีงาม ซึ่งเป็นความตอ้ งการของสังคม นอกจากชาวอีสานจะมีคำสัง่ สอนของพระพทุ ธเจา้ เปน็ หลกั แล้ว ผ้ใู หญใ่ นฐานะผมู้ ีประสบการณแ์ ละใกลช้ ดิ กับสมาชิกของสงั คมก็ย่อมต้องการใหส้ มาชิกของสงั คมเปน็ คนดี จงึ มกี ารสง่ั สอนตอ่ กนั ต่าง ๆ มาโดยคำสอนนน้ั ได้รบั อทิ ธิพลจากศาสนา คำสงั่ สอนอาจจะเร่มิ ตน้ ดว้ ยคำกล่าวร้อยแก้วท่ัว ๆ ไป ตอ่ มาอาจจะกลายเป็นคำคล้องจอง เช่น \"เดก็ นอ้ ยบฟ่ ังความพ่อความแม่ ผีแกเ่ ขา้ หม้อนฮก\" ลักษณะเชน่ น้ี เปน็ ผญาประเภทหน่งึ เรียกผญาภาษิต ๒. เน่อื งมาจากขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชอื่ ถือ และระบบสงั คมของชาวอีสานมาแตโ่ บราณกาล ชาวอีสานมีขนบธรรมเนยี มประเพณีของตนเอง เชน่ ฮีตสบิ สอง คองสบิ ส่ี การประกอบประเพณใี นแต่ละเดอื น เชน่ บุญมหาชาติ บุญสงกรานต์ บญุ บ้ังไฟ บุญเข้าพรรษา ฯลฯ หน่มุ สาวไดม้ ีโอกาสพบปะพูดคุยกัน แสดงออกซงึ่ ความพออกพอใจซึ่งกันและกัน หรืออาจเป็นการพดู กันเล่น ๆ หรอื พูดหยอกล้อกนั เพือ่ ความสนุกสนาน และบางทพี ูดเพื่อประชันกนั เปน็ การอวดความสามารถแตล่ ะฝา่ ย ลักษณะการพดู เช่นนี้อาจจะทำใหเ้ กิดผญาเกี้ยวสาวได้ ซึง่ จะไดก้ ลา่ วตอ่ ไป ๓. เนือ่ งมาจากความเป็นคนเจ้าบทเจา้ กลอน ตามประวตั ิศาสตรแ์ ละตามประวตั วิ รรณคดไี ทย ย่อมแสดงให้เห็นว่าคนไทยเปน็ คนเจา้ บทเจา้ กลอนมาแตโ่ บราณ สังเกตได้จากวรรณคดไี ทยลายลกั ษณใ์ นสมยั สุโขทยั เช่น ศิลาจารกึ พ่อขนุ รามคำแหง แมจ้ ะเปน็ วรรณคดีร้อยแกว้ แต่ก็ยงั ใชค้ ำสมั ผสั คลอ้ งจองกนั เช่น ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ไพรฟ่ ้าหนา้ ใส เปน็ ต้น ชาวอีสานโบราณกเ็ ป็นคนเจ้าบทเจา้ กลอนเช่นเดยี วกนั จะเห็นไดจ้ ากคนโบราณเม่ือพดู กัน บางคร้งั จะพูดคำคลอ้ งจองกนั คนเฒา่ คนชราเมอ่ื จะสง่ั สอนลูกหลานหรือการให้ศลี ให้พรกนั ก็มกั จะพูดเป็นคำกลอน เชน่ นาดีถามหาข้าวปลกู ลูกดีถามหาพอ่ แม่ หรือ ขอให้เจ้ายนื ยาวมัน่ พนั ปอี ย่าฮูป้ ว่ ย ไปทางใดขอให้รวยแกว้ คำล้านค่าแสน อยา่ ได้ทกุ ข์ยากแคน้ สรรพสิง่ แนวใด ให้มชี ยั หม่มู ารอยา่ ไดเ้ วยี นมาใกล้ นอกจากนนั้ วรรณคดขี องชาวอีสานจะมีรูปแบบคำประพนั ธเ์ ป็นรอ้ ยกรองเปน็ ส่วนมาก เชน่ ท้าวก่ำกาดำ สังข์ศลิ ปไ์ ชย จำปาส่ตี น้ ขูลูนางอ้ัว เป็น เมื่อชาวอสี านมีลกั ษณะเชน่ นี้แล้ว อาจเปน็ สาเหตหุ นึง่ ให้เกดิ คำผญาขน้ึ ได้ ดงั ตัวอย่าง

- เฮด็ ดีผปี นั นาใหก้ นิ ความหมาย คนทำความดี จะไดร้ ับผลตอบแทนทด่ี ี - อยากฮสู้ าวงามใหถ้ ามพระในวัด อยากฮพู้ ระเครง่ ครดั ใหถ้ ามญาติถามโยม ความหมาย อยากได้ขอ้ มูลทถี่ ูกต้องใหถ้ ามผูใ้ กลช้ ดิ - บุญใหห้ าบ บาปให้หิ้ว ความหมาย ทำบุญตอ้ งทำมาก ๆ ทำบาปทำแต่เพยี งน้อย ๆ ๔. เนอื่ งมาจากวรรณกรรม ชาวอีสานมีประเพณอี ่านหนงั สอื ผกู ในโอกาสงานบญุ ตา่ ง ๆ เชน่ เข้าพรรษา ออกพรรษา เป็นต้น หนังสอื ทนี่ ำมาอา่ นจะเปน็ วรรณกรรมท้องถ่ินทม่ี ผี ้จู ารไว้ในใบลาน สำนวนภาษาคล้องจองกัน เน้อื หาในวรรณกรรมนอกจากจะทำใหผ้ ฟู้ งั ไดร้ ับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ยังไดร้ บั คตสิ อนใจ เพือ่ เปน็ แนวทางปฏิบตั ดิ ว้ ย ดงั น้นั ผญาสว่ นหน่ึงจึงไดม้ าจากวรรณกรรมทอ้ งถิ่น ดังตวั อย่าง - เปด็ ไกย่ ังฮู้หาเหย่อื ปอ้ นคาบชีวงั โต สว่ นวา่ เฮาเป็นคนอยา่ สิดดู ายดู้ (กาพย์ยา่ สอนหลาน) ความหมาย เปด็ ไกย่ งั มีความสามารถหาอาหารเลยี้ งตนได้ เพราะฉะนนั้ คนอยา่ นง่ิ ดดู าย - เพ่ินบเ่ อน้ิ อย่าขาน เพนิ่ บ่วานอยา่ ซอ่ ย มักซ่อยแทใ้ หพ้ จิ ารณา (เสียวสวาสดิ์) ความหมาย ถา้ เขาไมว่ านอยา่ ทำ ถ้าอยากทำใหพ้ จิ ารณาใหด้ ี - ไม้ลำเดยี วยังตา่ งปล้อง พนี่ อ้ งยงั ต่างใจ (กาพย์ปูส่ อนหลาน) ความหมาย พน่ี อ้ งกันกม็ จี ติ ใจไม่เหมือนกัน

การจำแนกประเภทของผญา การแบง่ ประเภทของผญาในท่นี ้ี จะแบ่งตามลกั ษณะเน้อื หาและโอกาสทใ่ี ช้ ซงึ่ มผี ้รู ูห้ ลายท่าน ไดแ้ บ่งประเภทของผญาออกเป็นประเภทตา่ ง ๆ หลายประเภท แต่สว่ นใหญจ่ ะมลี กั ษณะคล้ายคลึงกนั เชน่ ประเทือง คลา้ ยสบุ รรณ (๒๕๒๘ : ๗๖-๘๓) ไดแ้ บง่ ออกเปน็ ๕ ประเภทดงั น้ี ๑. ผญาภาษิต หรือ ผญาก้อม ทำนองเดยี วกนั กบั สภุ าษติ ของภาคกลาง ๒. โตงโตยหรือยาบสรอ้ ย บางถ่นิ เรียกตาบต้วย หรอื ยาบส้วง เทียบได้กับคำพงั เพยภาคกลาง ๓. ผญาย่อย เทียบได้กบั สำนวนหรือคำคมของภาคกลาง ๔. ผญาเครือ หรือ ผญาเก้ยี วสาวหรือคำหยอกสาว ๕. ผญาอวยพร ใช้อวยพรในโอกาสตา่ ง ๆ เช่น อวยพรในวนั แตง่ งาน วนั ข้นึ ปีใหม่ หรอื อวยพรทัว่ ๆ ไป จารุวรรณ ธรรมวตั ร (ม.ป.ป. : ๔๒) ไดแ้ บง่ ผญาสำนวนพดู ออกเปน็ ๓ ประเภท คอื ๑. ผญาภาษติ เรยี ก ผญาก้อม ๒. ผญาเกยี้ ว เรยี ก ผญาเครอื ๓. ผญาอวยพร เรียก ผญาใหพ้ ร จารบุ ตุ ร เรืองสวุ รรณ (๒๕๒๐ : ๑๗๙) ได้แบ่งผญาออกเป็น ๒ ประเภท คอื ๑. ผญาภาษติ เป็นถ้อยคำแบบฉนั ทลักษณ์ มคี ตเิ ตือนใจลึกซง้ึ แฝงดว้ ยคตธิ รรม ๒. ผญาหย่อย เปน็ คำพูดเปรียบเปรย เยา้ แหย่ ขำขัน สนกุ สนาน แต่แฝงคำคมเป็นคตอิ ยู่บ้าง จะเห็นได้ว่า การแบ่งประเภทของผญาตามเน้ือหาและโอกาสท่ใี ช้ดงั กล่าว มีลักษณะคลา้ ยคลงึ และใกลเ้ คียงกนั มาก โดยสรปุ แล้วผญาแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ ๑. ผญาภาษิต ๒. ผญาเกย้ี ว ๓. ผญาอวยพร ๔. ผญาโตงโตย

๑. ผญาภาษิต คอื คำกล่าวเพื่อสั่งสอน แนะนำ ให้ผไู้ ดย้ นิ ได้ฟงั ไดจ้ ดจำ และนำไปปฏบิ ตั ใิ นทางที่ถกู ที่ควร เป็นคตเิ ตอื นใจ ใช้เปน็ เครือ่ งมือเหนี่ยวให้คนประพฤตดิ ี ประพฤตชิ อบ ไมล่ มื ตน สว่ นมากเปน็ คำกล่าวอิงหลักธรรมทางศาสนา แฝงไปดว้ ยคตธิ รรมและจารีตประเพณี โดยใชถ้ ้อยคำไพเราะ สละสลวย รดั กุม บางบทสนั้ ๆ จึงเรยี กผญากอ้ ม บางบทอาจจะยาว ผญาภาษิตมคี วามหมายโดยตรงบา้ ง และเป็นความเปรียบอุปมาอปุ ไมยให้ผฟู้ งั ตคี วาม ใช้ความหมายแฝงบา้ ง ทำนองเดยี วกันกบั สุภาษติ ภาคกลาง (ปรีชา พิณทอง ๒๕๓๗) ดังตวั อยา่ ง - แหวนดยี ้อนหวั ผวั ดยี ้อนเมยี ความหมาย แหวนมคี า่ เพราะหวั สามไี ดด้ ีเพราะภรรยาเสริมสง่ - ตกหมขู่ ุนซอ่ ยขนุ เกอื มา้ ตกหมู่ข้าซ่อยข้าพายโซน ตกหมโู่ จรซอ่ ยโจรหามไหเหลา้ ความหมาย ไปอยู่กับใครเจ้าของบา้ นทำอะไรกต็ อ้ งชว่ ยทำในสิ่งนั้น ตอ้ งรจู้ กั ปรับตัว - หมูเ่ ฮามาเพราะเหลา้ ยามี หมเู่ ฮาหนเี พราะเหลา้ ยาเหมดิ ความหมาย เพอื่ นกินหาง่าย เพ่ือนตายหายาก ๒. ผญาเกีย้ ว คอื คำกลา่ วของหนุ่มสาว ทีใ่ ชพ้ ดู จาเก้ียวพาราสี โตต้ อบกันในโอกาสต่าง ๆ เช่น ในงานเทศกาล หรือการทำงาน ลงข่วงปั่นฝ้าย เกี่ยวข้าวหรอื ตำข้าวด้วยครกกระเดอื่ ง มีลกั ษณะคลา้ ยเพลงยาวแต่เป็นเพลงยาวทโี่ ต้ตอบสลบั กนั ในทันทที นั ใด ผญาเกยี้ วสาวเปน็ ร้อยกรองที่ใชป้ ฏภิ าณโตต้ อบกันด้วยถอ้ ยคำออ่ นหวานละเมียดละไมไพเราะเปรยี บเปรยได้ซาบซง้ึ กินใจ การพดู โตต้ อบกนั เชน่ นขี้ องหนมุ่ สาว เรยี กวา่ จ่ายผญา เปน็ ลกั ษณะเดียวกันกบั การแอว่ สาวหรืออสู้ าวของชาวลา้ นนา ซงึ่ ชาวลา้ นนาเรียกบทสนทนานี้วา่ \"คำอบู้ ่าวอู้สาว\" หรอื คำเครือ หรือ \"คำค่าวคำเครือ\" (ทรงศกั ด์ิ ปรางค์วัฒนากลุ ๒๕๓๒ : ๑๘๗) ดังตัวอยา่ ง

หนุม่ อ้ายอยากถามขา่ วอ้อยปลอ้ งถ่ลี ำงาม วา่ มีเครอื หนามเกยี่ วพันหรือยงั น้อง ความหมาย พ่ีอยากถามขา่ วคราววา่ นอ้ งมีคนรกั หรอื ยัง สาว นอ้ งนปี้ ลอดออ้ ยซอ้ ย เสมออ้อยกลางกอ กาบบ่หอ่ หน่อนอ้ ยบ่แซม ชู้บแ่ อม้ ผวั น้องบ่มี อา้ ยเอย ย้านแตอ่ า้ ยน่นั แหล่ว คือสิมเี ครือฝน้ั พนั ธนงั นา้ วจ่อง ความหมาย นอ้ งนบ้ี ริสทุ ธผ์ิ ดุ ผ่อง เหมือนตน้ อ้อยอยกู่ ลางกออ้อย สามีกไ็ ม่มคี นรัก ก็ไมม่ ี กลัวแต่พี่นัน่ แหละคงจะมีพันธะแลว้ หนมุ่ บม่ ดี อกน้องเอย ปลอดอ้อยซอ้ ย เสมอดง่ั ตองตาย นบั แตเ่ ปน็ ชายมาบม่ ีหญิงซ้อนพอสองจกั เทอ่ื นอ้ งบซ่ อ้ นเครืออ้ายบ่มี ความหมาย พก่ี ็ไม่มี ยังไมเ่ คยมีภรรยาเลย ถ้าน้องไม่เปน็ ภรรยาพ่ี พี่ก็ไม่มใี คร สาว นอ้ งนี้ปลอดออ้ ยซอ้ ยเสมอด่งั ตองจรงิ ผัดแตเ่ ปน็ หญงิ มาบม่ ีชายซอ้ น ความหมาย น้องนีบ้ ริสุทธ์จิ รงิ ๆ ต้งั แตเ่ ปน็ หญงิ มาไม่เคยมสี ามีเลย ๓. ผญาอวยพร คอื คำกล่าวใหพ้ รในโอกาสต่าง ๆ เพ่ือแสดงความปรารถนาดตี อ่ กนั เป็นการพูดท่ีมจี ดุ มงุ่ หมายเพือ่ ใหเ้ กิดสิรมิ งคล ให้กำลงั ใจ ให้ความสบายใจ และความช่นื ใจ แก่ผฟู้ งั หรือผ้รู บั พร ถ้อยคำทใ่ี ชอ้ าจจะเป็นผญาบทส้นั ๆ กะทดั รดั หรอื อาจเปน็ ผญาบทยาว ๆ กไ็ ด้ ดงั ตวั อย่าง - ให้เจ้าโย ๆ ยิง่ มที กุ สิง่ ในเฮอื นซาน สุขสำราญบม่ โี ศก โรคฮ้ายอยา่ มาพาโล อายุ วรรณโณ สุขัง พลงั ความหมาย ขอใหเ้ จรญิ ย่งิ ๆ ขนึ้ มแี ต่ความสุขปราศจากความทุกข์ ใหม้ ีอายุวรรณะ สุขะ พละ - ให้เจ้าพน้ โศกโศกา ใหเ้ จ้ามสี ขุ าอย่าเดือดรอ้ น ความสุขมีเพยี งพอบ่นอ้ ย

๔. ผญาโตงโตยหรือยาบสรอ้ ย บางถ่นิ เรยี กตวบต้อยหรือยาบส้วงคือคำกลา่ วเพอื่ ใหเ้ ข้ากบั เหตุการณห์ รอื สถานการณเ์ ปน็ ข้อความเชิงอุปมาอปุ ไมยที่คมคาย ลกึ ซ้ึง ชวนให้คิด มลี กั ษณะทำนองเดยี วกันกับผญาภาษติ ตา่ งกนั ทผ่ี ญาโตงโตยไมไ่ ดเ้ ปน็ คำสอนโดยตรง เพยี งแต่เปน็ คำเปรย ๆ เตือนสตหิ รือใหข้ ้อคิดเท่าน้นั คำผญาประเภทน้อี าจเป็นคำกลอนคลอ้ งจองกนั อาจเปน็ วลีหรือเป็นประโยคก็ได้ คำโตงโตย เป็นกลุ่มคำทม่ี คี วามหมายพเิ ศษ หรือพดู ใหต้ คี วาม บางครั้งอาจจะใชค้ วามหมายโดยนยั ของคำ คำโตงโตยอาจจะเปรยี บไดก้ บั \"คำพงั เพย\" ของภาคกลาง ตัวอยา่ ง - จ้ำแจ่วเกา่ - กินนำ้ พรกิ ถว้ ยเก่า ใช้ในความหมายวา่ \"กลับมานยิ มของเก่า\" - ขี้บ่แกง้ ก้น - ขีไ้ ม่เช็ดกน้ ใช้ในความหมายว่า \"ทำอะไรไม่เรยี บร้อย\" (แก้ง - เช็ด ชำระ) - เว้ากอ่ นคดิ - พูดก่อนคดิ ใช้ในความหมายว่า \"พดู จาไม่คดิ กอ่ น\" (เว้า - พูด) - แข้เหลอื หนอง - จระเข้ใหญเ่ กนิ หนอง ใชใ้ นความหมายวา่ \"วางโตเกนิ ความ เปน็ จริง\" - เจา้ บ่หล่นขวั้น - พดู ไมข่ าดจากข้วั ใชใ้ นความหมายวา่ \"พดู ไม่พ้นตัว\" (เว้า - พดู , ขว้ัน - ขัว้ ผลไม้ท่ีตดิ กบั กิง่ ) - ขม่ เพน่ิ ยอโต - ขม่ เขา แต่ยกตนเอง ใช้ในความหมายวา่ \"พูดจาข่มผอู้ น่ื แต่ยกยอตนเอง\" (เพ่นิ - เขา คนอนื่ , ยอ - เยนิ ยอ, โต - ตนเอง) - ผีปน้ั หลุดมอื - ผปี ้ันคนก่อนเกดิ แตท่ ำหลน่ ใช้ในความหมายว่า \"รูปรา่ งไม่ สวยงาม\" - อยดู่ กี ินแซบ - อยูด่ กี นิ อร่อย ใช้ในความหมายว่า \"รา่ งกายแข็งแรงมีความสุข\" (แซบ - อร่อย) - อยู่ดมี ีเฮง - อย่ดู ีรา่ งกายแขง็ แรง ใช้ในความหมายว่า \"มีความสุขสบายดี\"

(แฮง-แรง, มีแฮง-แข็งแรง สุขสบาย) ผญา จดั เป็นวฒั นธรรมทางการใชภ้ าษาที่เป็นลกั ษณะเฉพาะของภาคอีสานทน่ี า่ สนใจยง่ิ อย่างหน่งึ และเมือ่ พจิ ารณาถงึ ผญาโดยทวั่ ๆ ไปแลว้ พอจะแบง่ ออกไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คอื ๑. ผญาท่ีแบ่งตามรปู ลกั ษณ์ จะแยกย่อยได้ ๒ ชนดิ กวา้ ง ๆ คือ ก. ผญาประเภททไี่ รส้ มั ผสั ตอ่ เน่อื งกนั ผญาชนิดนจี้ งึ ถือเอาความและจงั หวะของถอ้ ยคำท่ไี ม่เก่ียวขอ้ งกบั สัมผสั เป็นหลัก ดงั ตัวอย่าง เชน่ ไผสิมาสร้างแปงฮางฮังให้หนูอยู่ คันปากบ่กัดตนี บ่ถบี สังสิไดอ้ ยฮู่ งั (คือ เป็นท่ีพ่ึงแห่งตน) ข. ผญาประเภทท่อี ยใู่ นรปู ของรอ้ ยกรอง มีสัมผสั ระหว่างวรรคติดตอ่ กันโดยตลอดเชน่ เดียวกบั สัมผสั ของร้าย ดงั ตัวอยา่ ง เช่น ตกหมขู่ ุนซอ่ ยขุนเกือน้า ตกหมขู่ า้ ซอ่ มข้าพายโซน ตกหมโู่ จรซ่อยหามไหเหลา้ (ไปอยใู่ นหมูข่ นุ นางตอ้ งชว่ ยเขาเลย้ี งม้า ไปอย่ใู นหมขู่ า้ ต้องชว่ ยเขาสะพายสิง่ ของ ไปอยูใ่ นหมูโ่ จรต้องช่วยเขาหามไหเหล้า อยบู่ ้านท่านอยา่ นง่ั ดดู าย ปน้ั วัวปน้ั ควายให้ลกู ท่านเลน่ ) ๒. ผญาทแ่ี บ่งตามเนื้อหา จะแยกยอ่ ยไดเ้ ปน็ ๒ ชนดิ กว้าง ๆ คือ ก. ผญาภาษิต ข. ผญาเกยี้ ว อน่งึ สำหรบั การศึกษาวิเคราะหผ์ ญาในบทความน้ผี วู้ จิ ยั จะศึกษาเฉพาะผญาภาษิต และผญาเกยี้ วท่อี ยู่ในรูปของรอ้ ยกรองเทา่ นนั้ คำผญา (สำนวนภาษติ ) คำผญา คอื สำนวนภาษิตทช่ี าวอีสานนิยมใชพ้ ูดจากนั สว่ นใหญ่หน่มุ สาวเกย้ี วพาราสกี ัน มกั จะใช้คำพดู ทม่ี ีความหมายโดยนยั เพราะเห็นวา่ เปน็ คำพดู ท่ีมีความหมายดี คารมคมคาย และยังมคี วามหมายหลายแงม่ มุ อกี ดว้ ย คำผญาทห่ี นมุ่ สาวใช้โตต้ อบกนั นัน้ เรียกว่า \"ผญาเครือ\" สว่ นคำผญาทใี่ ช้พูดเชงิ สง่ั สอนว่ากลา่ วบตุ รหลานนั้นตา่ งกบั ผญาเครือ เพราะใจความมุ่งทีจ่ ะให้สติเตอื นใจ ซ่งึ คำผญาเหล่านเี้ ปน็ คำสำนวนทจ่ี ดจำสืบต่อกนั มา หรือจดจำมาจากหมดลำบา้ ง คำเทศน์ของพระภกิ ษุบ้าง สำนวนในวรรณกรรมอีสานบา้ ง แตก่ ระน้นั กต็ าม คำผญาเหลา่ นมี้ จี ำนวนมากและมวี ธิ สี ร้างคำผญาหลายแบบดังนี้

๑. คำผญาบาทเดยี ว คำผญาบาทหนง่ึ ๆ มี ๖-๘ คำ ซึ่งเวลาพดู จะแบ่งเปน็ ๒ จังหวะ หรอื ๒ วรรคละ ๓-๔ คำ ซง่ึ จะส่งสมั ผสั กนั ตัวอยา่ ง - หมาหลายเจา้ กนิ ข้าวหลายเรอื น (หมาหลายเจา้ ของกินข้าวได้หลายบ้าน) - กนิ ขา้ วโต อย่าโสความเพ่ิน (กนิ ข้าวของตนเองอยา่ ไปพูดขอ้ งแวะเร่ืองคนอ่ืน) - เฒ่าเสียดาย ตายเสยี ซ่อื (แกเ่ สยี เปล่า ๆ ตายเสียเฉย ๆ คือไม่ทำประโยชน์อะไรเลย) - ควยต้มู ักชน คนจนมักเวา้ (ควายเขาตู้ชอบชน คนจนชอบคยุ โว) - แหวนดยี อ้ นหัว ผัวดยี ้อนเมีย (ย้อน-เพราะ เพราะว่า) ๒. คำผญาซำ้ คำหนา้ คอื คำผญาทจ่ี ะขน้ึ ตน้ คำหนกั วรรคตรงกนั เป็นการซำ้ คำ เล่นคำมีความหมายเดน่ ขนึ้ อีกดว้ ย เช่น - เจา้ เฮอื นพาเว้าเจา้ เหลา้ พากิน (เจ้าบ้านชวนแขกคุย เจา้ ของเหลา้ ตอ้ งเชิญแขกกิน) - เอนิ้ กนิ แลน่ ใส่ เอิน้ ใซแ้ ลน่ หนี (เอิ้น-เรยี ก / ใซ้-ใช้ รับใช)้ - อยากจนใหข้ ถ้ี ี่ อยากมีใหเ้ ฮด็ ทาน (ข้ถี ี่ - ตระหน่ี / เฮด็ ทาน - ทำบุญ ทำทาน) - บ่อนต่ำให้คณู บอ่ นนนู ใหถ้ าก (คณู -เพมิ่ พูน เจริญ / บ่อน-ท่ี สถานท่)ี - มีเฮือนบ่มีฝา มีนาบม่ ฮี ่อง (เฮือน - เรือน / ฮอ่ ง - ร่องนำ้ ) - มีเงนิ ใหเ้ พมิ่ กู้ มีซ้ใู ห้เพนิ่ เลน่ (เพ่ิน - เขา / ชู้-ชเู้ มยี ) ๓. คำผญาลอ้ คำ คอื คำผญาทส่ี รา้ งขึ้นโดยนำคำที่มคี วามหมายใกลเ้ คยี งกันนำหน้าวรรค หรอื คำตรงกนั ข้ามให้มคี วามหมายโดดเด่นขึน้ และสมั ผัสกนั ด้วย ดังตัวอย่าง - สิถ้มิ กเ็ สยี ดาย สิบายก็ขเี้ ดยี ด (จะทิง้ ก็เสียดาย จะลบู คลำกร็ งั เกยี จ) - หวั ดำไปกอ่ น หวั ด่อนนำกัน (คนหนุ่ม (หัวดำ) ไปกอ่ น คนหัวขาว (ด่อน) ไปตามหลงั ) - คนหลักคา้ ใกล้ คนใบค้ ำไกล (คนฉลาดค้าใกล้คนใบโ้ งค่ ้าไกล) - น่งั ให้เบิง่ ที่ หนีใหเ้ บิ่งบอ่ น (นั่งใหด้ สู ถานท่หี นกี ็ใหด้ สู ถานท)่ี - เฮ็ดนาอยา่ แพงกลา้ ไดค้ ้าอย่าแพงทนึ (ทำนาอย่าเสยี ดายลา้ ไปคา้ อย่าเสยี ดายทุน)

ผญาภาษิต คือ ผญาที่เป็นคำเตือน คำแนะนำสงั่ สอน ใหป้ ระชาชนโดยท่ัวไป ประพฤตปิ ฏบิ ัติตนไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสม ผญาชนดิ น้ี บางทเี รียกกันว่า ผญากอ้ ม (ผญาสนั้ )หรือโตงโตย เนอ้ื หาอาจจะแบ่งออกไดเ้ ป็น ๔ ประการใหญ่ ๆ คอื ๑. เนอ้ื หาของผญาภาษติ ท่ีไดแ้ นวความคดิ มาจากพุทธศาสนา ศาสนามีความสมั พนั ธ์กบั ชาวพ้นื ถิน่ อสี านเปน็ อย่างมากในฐานะทเี่ ป็นหลกั ยดึ ถือทางจิตใจ ทำใหผ้ ู้คนในสังคมมคี วามเปน็ อนั หนึง่ อันเดยี วกนั อยูร่ ่วมกนั ได้อยา่ งปกติสขุ เมอื่ พิจารณาถงึ กรณีน้ีก็อาจประเมนิ ไดว้ ่า ศาสนา คือ ขอ้ กำหนดอย่างหนึง่ ซง่ึ สามารถใชค้ วบคุมสงั คมให้อยู่ในภาวะสงบสขุ ได้ แต่ศาสนามิไดม้ ผี ลบังคบั ใช้กับผคู้ นในสงั คมอยา่ งตรงรูปเพียงอย่างเดียว ชาวพืน้ ถ่นิ ยงั ฉลาดท่ีจะประยกุ ตศ์ าสนาไปบังคับใช้กับผู้คนรว่ มสังคมในรปู อืน่ ทเี่ หน็ ได้ชดั เจนกค็ อื ในรูปของผญาภาษติ ดงั นนั้ เนอ้ื หาของผญาภาษติ ท่ีได้แนวความคดิ มาจากพทุ ธศาสนาจึงมีอยู่มากหลาย ดงั ตัวอยา่ ง เชน่ บญุ มแี ล้วแนวดปี ้องใส่ บุญบไ่ ด้แนวขอ้ี า้ ยแลน่ โฮม (เมอ่ื มบี ญุ จะประสบแตค่ วามงดงาม ครัง้ หมดบุญกจ็ ะประสบแตค่ วามเลวรา้ ย) บุญบาปน้ีเปน็ คคู่ ือเงา เงานนั้ ไปตามเฮาซวู นั บ่มเี ว้น (บุญบาปน้ีเปรียบเสมอื นเงาท่ีตดิ ตามตวั เราไปไม่มเี ว้น) หรอื ยามยากคิดเถิงนาย ยามตายคิดเถิงพระ (คดิ เถิง = คิดถงึ ) ๒. เนือ้ หาของผญาภาษิตทีก่ ลา่ วถึงวัตรปฏบิ ัตทิ ่ีเหมาะสม ลกั ษณะของผญาภาษติ แบบน้ี มักเป็นการหา้ มประพฤตใิ นส่ิงทไ่ี มด่ ีงาม ไมถ่ ูกครรลองคลองธรรม หรอื ไมก่ เ็ ป็นการยใุ หป้ ระพฤตใิ นสงิ่ ท่ดี ีงามทจ่ี ะเกิดคณุ ประโยชน์ ทัง้ กบั ตนเองและบุคคลร่วมสงั คม ขอ้ ห้ามมิใหก้ ระทำและข้อสนบั สนุนให้กระทำพฤตกิ รรมต่าง ๆ ดงั ทีป่ รากฎในบท ผญาภาษิตนี้ โดยปกติจะมีต้นเค้าความเป็นจรงิ มาก่อน ก่อนทจ่ี ะไดร้ บั การตราเป็นบทผญาภาษติ ที่จะกล่าวรวมถงึ แนวทางการประพฤติปฏิบตั ติ นใหเ้ หมาะสม และไปมบี ทบาทในการควบคมุ สงั คมได้ในอีกขั้นตอนหนง่ึ ดงั ตัวอยา่ ง เช่น หญิงใดสมบรู ณด์ ว้ ยเฮอื นสามนำ้ ส่ี เปน็ หญิงท่ีเลิศล้ำสมควรแท้แน่เฮือน

ไปหาพระเอาของไปถวาย ไปหานายเอาของไปตอ้ น (ต้อน = ฝาก) หรือ อย่าไดก้ ดเขาย้องยอโตผิดฮตี อยา่ ได้หวดี หวีดเวา้ ประสงค์ขึ้นข่มเขา (อย่ากดคนอนื่ แลว้ ยกตนเองมันผดิ จารตี อยา่ ได้พดู เพอื่ มีเจตนาขม่ คนอ่ืน) ๓. เนอื้ หาของผญาภาษิตที่ได้อิทธพิ ลมาจากวรรณกรรม เนือ้ หาของผญาภาษิตในลกั ษณะน้ี จะเปน็ การนำเอาตวั ละคร หรอื เรอื่ งราวใน วรรณกรรมท้ังวรรณกรรมของภาคกลางและวรรณกรรมของภาคอสี านมากล่าวเปรยี บเทยี บใหผ้ ูฟ้ งั เกิดความเขา้ ใจถงึ ขอ้ ภาษานน้ั ๆ ได้แจ่มชดั ขึ้น ซ่ึงชว่ ยใหง้ า่ ยต่อการเขา้ ใจของชาวพืน้ ถิ่นดังตัวอยา่ ง เช่น เงาะฮูปฮา้ ยยงั ไดก้ ล่อมรจนา ยังไดเ้ ปน็ ราชาซา่ ลอื ทงั้ คา่ ย (ซ่าลือ = เลือ่ งลอื , ปรากฏ ทัง้ คา่ ย = ท้งั หมด) ศลิ ป์ไชยท้าวตกไกลแสนยาก ยงั ไดบ้ น่ั บากกลบั ตา่ วขึน้ เป็นเจ้านั่งเมือง (ตา่ ว = กลบั ) หรือ พระเวสสันดรเจ้านงนาถมะที ยังไดห้ นีพาราจากนคร ไปอยดู่ งดอนไพรสณฑ์ ต้อง ทกุ ขท์ นบ่เคยพ้อเคยเหน็ (มะที = มทั รี พอ้ = พบ) ๔. เนื้อหาของผญาภาษติ ทีก่ ล่าวถงึ รายละเอียดเกย่ี วกบั วฒั นธรรมวัตถุของชาวพืน้ ถน่ิ อสี าน ผญาภาษติ ทมี่ เี นอ้ื หาเชน่ นีจ้ ะมีเปน็ จำนวนมากทีส่ ดุ มที ั้งทเ่ี ป็นการกลา่ วถึงวัฒนธรรมวตั ถนุ ้นั ด้วยถอ้ ยภาษาตรง ๆ เช่น มีเฮอื นบม่ คี ร่าวสิเอากลอนไปพาดไสนอ มีครา่ วบ่มีตอกผูกไวส้ ิไปมน่ั บ่อนใด

(เรือนไมม่ ีคร่าวจะเอากลอนไปพาดไวท้ างไหน และเม่อื มีคร่าวแล้ว แต่ไมม่ ตี อกผูก มนั จะมั่นคงไดอ้ ยา่ งไร) คันได้อยูย่ อดฟ้าผาสาทประดับมกุ อยา่ ไดส้ ืมคนทุกขผ์ ขู้ ีควายคอนกล้า (ผาสาท = ปราสาท คอนกล้า = แบกกลา้ ) การกล่าวถงึ วัฒนธรรมวัตถใุ นผญาภาษิตจะเปน็ สิง่ บ่งบอกให้ทราบว่า ในสงั คมนั้นมวี ฒั นธรรมวตั ถอุ ะไรบา้ ง เพราะวฒั นธรรมวตั ถทุ ่ปี รากฎในผญาภาษติ นนั้ ย่อมเปน็ ส่ิงที่มอี ยอู่ ย่างแทจ้ ริงในสังคม กวชี าวพ้ืนถิ่นจึงได้ดึงวฒั นธรรมวตั ถุนั้นไปกลา่ วถึงในบทผญา เปน็ การรายงานถงึ การมอี ยูข่ องวฒั นธรรมวัตถขุ องสังคมไปในตัว ผญาเกย้ี ว คือ ผญาที่กลา่ วเกย้ี วพาราสีโตต้ อบกันระหวา่ งหน่มุ สาวในโอกาสพิเศษ โดยเฉพาะในงานลงขว่ ง หรือปัน่ ฝ้าย ซึง่ เป็นงานทช่ี ายหนุ่มนยิ มมาพบปะพดู คุยกับหญิงสาวและมักจะมีการ \"จา่ ยผญา\" คือ พูดจาเกยี้ วพานกนั ดว้ ยโวหารอันลกึ ซ้ึงคมคาย ผญาเกี้ยวจงึ เป็นสิ่งทดสอบเก่ยี วกับปฏภิ าณไหวพริบของค่สู นทนาไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ผญาชนดิ นบี้ างคร้ังเรยี กกนั ว่า ผญาเครือ และมเี นอ้ื หาที่สามารถแบง่ ออกเปน็ ประการใหญ่ ๆ ได้ ๓ ประการ คอื ๑. เนอ้ื หาของผญาเก้ียวที่บอกรายละเอยี ดเกี่ยวกับวฒั นธรรมของชาวพืน้ ถนิ่ อีสาน เนื้อหาของผญาเกยี้ วในลกั ษณะนจ้ี ะมถี ้อยคำหรือขอ้ ความกลา่ วถงึ วฒั นธรรมดา้ นต่าง ๆ ท่ปี รากฎอย่ใู นสังคมพ้นื ถน่ิ วัฒนธรรมเหล่าน้นั อาจแยกกล่าวย่อยออกไปได้ ๒ ชนดิ กวา้ ง ๆ คือ ๑.๑ วฒั นธรรมวัตถุ ได้แก่ ส่ิงที่มนษุ ยป์ ระดิษฐ์คดิ ค้นขน้ึ มาเพ่อื อำนวยความสะดวกสบายใหแ้ กม่ นุษยด์ ้วยกนั เอง นับต้งั แตว่ ฒั นธรรมวตั ถุทม่ี ีความสำคัญมาก เช่น ทีอ่ ย่อู าศยั เครือ่ งนงุ่ หม่ อาหาร ไปจนกระทั่งวฒั นธรรมวตั ถุทีม่ คี วามสำคญั รอง ๆ ลงไป เช่น ยานพาหนะ หรือ อาวุธยุทธโธปกรณต์ า่ ง ๆ ในเนอ้ื หาของผญาเกย้ี วจะกล่าวถึงวฒั นธรรมวัตถอุ ยู่หลากหลายประการ ไม่ว่าจะกลา่ วถงึ อย่างตรงไปตรงมา หรอื กลา่ วถึงในลกั ษณะของความเปรยี บก็ตาม ดงั ตัวอยา่ ง เชน่ ขอบคณุ เด้อหล่าทหี่ ายามาใหส้ ูบ ปสู าดฮูปดอกฟา้ มาช่างโกแ้ ทห้ นอหลา้ เอย (ขอบคุณนอ้ งทหี่ าบหุ รม่ี าใหส้ บู ปเู ส่อื ท่ีเป็นรปู ดอกฟ้าสวยงามตอ้ นรบั เขา) ๑.๒ วฒั นธรรมท่ไี มเ่ กี่ยวกบั วตั ถุ ไดแ้ ก่ อุดมการณ์ คา่ นยิ ม ประเพณี หรอื ทัศนคตติ า่ งๆ ซงึ่ ปรากฎอยู่ในเนอ้ื หาของผญาเกย้ี วเป็นจำนวนไม่น้อยเชน่ กนั ดังตวั อยา่ งเชน่

สัจจาผู้หญงิ น้บี ม่ จี ริงจกั เท่อื ชาตดิ อกเด่ือนันบบ่ านอย่ตู ้นตอ อ้ายบเ่ ชือ่ คนดอกนา (สัจจะของผหู้ ญิงน้นั ไมเ่ คยมจี รงิ สกั ครัง้ เหมือนดังดอกมะเดือ่ ท่ีไมเ่ คยบานอยู่กบั ต้น พจ่ี ึงไมเ่ ชอ่ื คนดอก) กอ่ นสิจากเจ้าน่ีอา้ ยขอฝากไมตรีจติ ขอใหพ้ ันธนงั ติดหม่ืนปอี ย่ามายมา้ ง อ้ายขอทำบญุ สรา้ งอานิสงส์แสวงรว่ ม (กอ่ นที่พ่จี ะจากนอ้ งไป พี่ขอฝากไมตรไี ว้ใหผ้ กู พนั กนั สักหมน่ื ปี อย่าได้มวี นั เคลื่อนคลาย จะขอทำบุญสรา้ งกุศลรว่ มกบั น้อง) หรือ อ้ายมายอยาฮว่ นเฮยี งเคียงสอง หมายให้มีกินดอกนำนอ้ งแท้เหล่า (พีอ่ ยากจะร่วมเรยี งเคียงสอง อยากใหม้ พี ธิ แี ต่งงานกบั น้องจรงิ ๆ) ๒. เน้ือหาของผญาเก้ยี วท่ีกล่าวถึงวตั รปฏบิ ตั ิท่เี หมาะสม โดยปกติของผญาเกย้ี วแลว้ จะเปน็ การกลา่ วถอ้ ยโตต้ อบกันไปมา และในกระบวนการเกยี้ วพาราสนี น้ั ผู้โตต้ อบกนั ก็อดมไิ ด้ท่จี ะสอดแทรกถงึ หลักที่ควรประพฤติ ควรปฏบิ ตั ติ ามระบบของสังคมเข้าไปในเนื้อหาของผญา เช่น การกล่าวแขวะชายหนมุ่ วา่ ละทง้ิ หน้าท่ีของสามีมาตามสนใจผ้หู ญิงอน่ื ดังตัวอยา่ งว่า อา้ ยเอย เจา้ ผมู้ ีเมยี แลว้ สงั ละเฮอื นให้หมาเหา่ สงั เจา้ บอ่ ยบู ้านเฮด็ งานซ่อยเมยี (พเ่ี อย ทำไมจงึ ไมอ่ ยบู่ า้ น ไม่ชว่ ยเมยี ทำงาน) หรอื การทฝ่ี ่ายหญิงบอกกบั ฝา่ ยชายวา่ ถา้ รักจริงก็ใหจ้ ักส่งผูใ้ หญ่มาสู่ขอดงั ตวั อย่างวา่ คัน่ อ้ายมกั นอ้ งแท้ใหพ้ ่อแม่มาขอ เอากะทอมานำใสอ่ ีนางไปนอนซอ้ น (ถ้าพร่ี กั น้องจรงิ ให้สง่ พ่อแม่ขอสู่ขอ และเอากะทอ หรอื เช่งมาใหน้ อ้ งไปนอนเปน็ คเู่ ถิด) สิง่ ดังกลา่ วนถ้ี อื เปน็ หลกั ปฏบิ ัติที่คนในสงั คมยดึ ถอื และเห็นวา่ งดงามไมส่ มควรละเว้น จึงมกี ารนำมากลา่ วกระตุ้นเตือนกนั แสดงใหป้ ระจักษไ์ ด้อย่างหน่ึงวา่ ชาวพ้นื ถ่ินอีสานยังคงยึดมั่นอยู่ในวตั รจรยิ าท่ดี ีงาม มไิ ดล้ ะเลยหลงลมื เมอื่ มโี อกาสจงึ ไดน้ ำเอาข้อควรปฏบิ ตั นิ ้นั มาอา้ งถึงอยา่ งเปน็ หลกั สำคญั อยเู่ สมอ

๓. เนือ้ หาของผญาเก้ียวทอ่ี ยูใ่ นลักษณะตลกชวนขนั อารมณ์ขนั ของชาวพน้ื ถน่ิ อสี านที่ ปรากฎอยู่ในบทผญาเก้ยี วน้นั มักจะปรากฎอยใู่ นลักษณะของความเปรยี บ กล่าวคอื ผูก้ ลา่ วผญาจะพยายามเลอื กสรรคำเพื่อนำมาใชเ้ ปรยี บเทยี บใหผ้ ฟู้ งั เกิดความรสู้ ึกขบขันขึ้นมา ดังตัวอยา่ ง เชน่ อา้ ยน้มี กั ฮูปนอ้ ง คอื ด่ังยกั ษ์ถกึ ลอบ คือ ดงั ปอบถงึ ไซ (พน่ี ้รี กั น้องเหมือนกบั ยักษ์ตดิ ลอบ หรือปอบติดไซ) หรือ น้องนีก้ ็มักฮปู อ้ายผู้มีกายหนกั เกง่ิ ภเู ขา (นอ้ งนี้ก็รกั พี่ทีห่ นักเสมอกบั ภเู ขา) ข้นั ตอนผญาเกีย้ ว ๓.ขนั้ กลา่ วลา - ลาดว้ ยความเข้าใจกัน ๑.ขน้ั ทักทาย - ลาดว้ ยความหวงั - ลาด้วยความจำเป็น ๒.ข้ันเผยความในใจ - ลาดว้ ยความไม่แนใ่ จ - บอกถงึ สาเหตุ จดุ ประสงค์ของการมา - หยั่งทา่ ทีดวู ่ามคี นรักหรอื ยัง - พดู ถ่อมตัว ยกยอ่ งอีกฝ่ายหน่งึ - กล่าวเสนอความในใจ

อา้ งอิง ๑. คำผวนในภาษาไทย. (ม.ป.ป.). เข้าถึงไดจ้ าก : https://th.m.wikipedia.org/wiki/คำผวนในภาษาไทย?fbclid=IwAR266mOpdz2d_FBKOitl4DARHUTg- Mep89PaGW6y9qS_BW36O1YPaRRAHi8 (วนั ทสี่ ืบคน้ ข้อมูล : ๓ มนี าคม ๒๕๖๔) . ๒. ผญา. (๒๕๕๕). เข้าถึงไดจ้ าก : http://kruyut-kruyut.blogspot.com/2012/10/blog-post_8999.html (วันท่ีสืบค้นข้อมูล : ๓ มนี าคม ๒๕๖๔) . ๓. ปริศนาคำทาย. (๒๕๖๑). เข้าถงึ ได้จาก : http://adeelah002.blogspot.com (วนั ท่ีสืบคน้ ข้อมูล : ๔ มนี าคม ๒๕๖๔) . ๔. มลู นิธิโครงการสารานกุ รมไทยสำหรบั เยาชน โดยพระราชประสงค์ในสมเดจ็ พระบรมชนภาธิเบศมหาภูมิ- พลอดุลยเดช บรมนาถบพติ ร. (ม.ป.ป.). การจัดหมวดหม่ปู ริศนาคำทาย. เขา้ ถงึ ได้จาก : http://saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=34&chap=3&page=t34-3-infodetail04.html (วันทส่ี บื ค้นข้อมลู : ๔ มนี าคม ๒๕๖๔) . ๕. ปริศนาคำทาย. (ม.ป.ป.). เขา้ ถงึ ได้จาก : https://sites.google.com/site/thai2studies/prisna-khathay (วันทสี่ บื คน้ ข้อมลู : ๔ มนี าคม ๒๕๖๔) .






Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook