หลักประชาธิปไตยทัว่ ไปในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาประชาธิปไตยมาตั้งแต่เริ่มแรก ลกั ษณะทเี่ ปน็ ประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนามีตัวอย่างดังต่อไปน้ี 1. พระพุทธศาสนามพี ระธรรมวินัยเป็นธรรมนญู หรอื กฎหมาย สูงสุด พระธรรม คอื คำสอนท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดง พระวนิ ัยคือ คำสง่ั อันเปน็ ขอ้ ปฏิบตั ทิ พี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงบัญญัติขึ้นเมอ่ื รวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวินยั 2. มกี ารกำหนดลักษณะของศาสนาไวเ้ รียบร้อย ไม่ปลอ่ ยใหเ้ ป็นไป ตามยถากรรม ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนาคอื สายกลาง ไม่ซา้ ยสดุ ไม่ขวาสุด ทางสายกลางน้ีเปน็ ครรลอง อาจปฏิบตั ิคอ่ นข้างเคร่งครัด กไ็ ด้ เรียกแนวกลางๆ ของพระพุทธศาสนาวา่ วภิ ชั ชวาที คอื ศาสนา ทก่ี ล่าวจำแนกแจกแจง
3. พระพทุ ธศาสนา มีความเสมอภาคภายใต้พระธรรมวินยั บคุ คลที่ เปน็ วรรณะกษัตรยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรมาแตเ่ ดมิ รวมท้งั คน วรรณะต่ำกว่าน้นั เชน่ พวกจณั ฑาล เมอ่ื เข้ามาอุปสมบทในพระพทุ ธ ศาสนาอยา่ งถกู ต้องแล้ว มคี วามเทา่ เทียมกัน คือปฏิบัติตาม สกิ ขาบทเท่ากนั และเคารพกนั ตามลำดบั อาวโุ ส 4. พระภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนา มสี ทิ ธิ เสรภี าพภายใต้พระธรรม วินัย มีสทิ ธิรับกฐนิ และไดร้ ับอานิสงส์กฐินในการแสวงหาจีวร ตลอด 4 เดือนฤดูหนาวเทา่ เทียมกนั นอกจากน้ันยังมีเสรภี าพทีจ่ ะ เดนิ ทางไปไหนมาไหนได้ 5. มกี ารแบ่งอำนาจ พระเถระผู้ใหญ่ทำหน้าที่บริหารปกครองหมู่ คณะ การบญั ญัติพระวินัย พระพทุ ธเจ้าทรงบัญญตั ิเอง 6. พระพทุ ธศาสนามีหลักเสยี งขา้ งมาก คือ ใช้เสยี งขา้ งมาก เปน็ เกณฑต์ ดั สนิ เรียกว่า วิธเี ยภุยยสกิ า
หลักประชาธปิ ไตยในการที่พระพทุ ธเจา้ ทรง มอบความเปน็ ใหญแ่ กส่ งฆ์ การมอบความเป็นใหญ่แก่สงฆ์มลี ักษณะตรงกบั หลักประชาธิปไตย หลายประการ ส่วนมากเปน็ เรอ่ื งสังฆกรรม คอื การประชุมกันทำกจิ สงฆอ์ ย่างใดอยา่ งหนึง่ ใหส้ ำเร็จ การทำสังฆกรรมประกอบด้วยส่วน สำคัญ 5 ประการ ดงั นคี้ อื -จำนวนสงฆอ์ ย่างต่ำทเ่ี ขา้ ประชุม การกำหนดจำนวนสงฆผ์ เู้ ขา้ ประชุมอยา่ งตำ่ วา่ จะทำสังฆกรรมอยา่ งใดได้บา้ งมี 5 ประเภท คอื 1.1 ภิกษุ 4 รปู เข้าประชุม เรยี กว่า สงฆจ์ ตรุ วรรค 1.2 ภกิ ษุ 5 รปู เข้าประชมุ เรียกวา่ สงฆป์ ัญจวรรค 1.3 ภกิ ษุ 10 รูป เขา้ ประชมุ เรียกว่า สงฆ์ทสวรรค 1.4 ภกิ ษุ 20 รปู เขา้ ประชุม เรยี กว่า สงฆ์วีสตวิ รรค 1.5 ภกิ ษกุ ว่า 20 รปู เขา้ ประชุม เรยี กว่า อตเิ รกวีสตวิ รรค -สถานทีป่ ระชมุ ของสงฆ์เพอื่ ทำสงั ฆกรรม เรยี กวา่ สมี า แปลว่า เขตแดน สมี า หมายถงึ พื้นดิน
-สทิ ธิของภิกษผุ ้เู ขา้ ประชมุ ภกิ ษผุ ู้เข้าร่วมประชุมทำสังฆกรรมทุก รูปมสี ิทธิแสดงความคิดเหน็ ทง้ั ในทางเหน็ ดว้ ยและในทางคดั คา้ น ตามปกติเมื่อภกิ ษุผ้ปู ระกาศ ให้ใช้วธิ ีนง่ิ ถา้ ไมเ่ ห็นด้วยใหค้ ดั ค้านข้นึ จะตอ้ งมีการทำความเขา้ ใจกนั จนกวา่ จะยอมเหน็ ด้วย -มติทปี่ ระชุม การทำสังฆกรรมทัง้ หมด มตขิ องท่ีประชมุ ต้องเปน็ เอกฉนั ท์ คอื เป็นทย่ี อมรับของภกิ ษทุ ุกรปู ทงั้ นเ้ี พราะในสังฆมณฑล นั้น ภกิ ษุทงั้ หลายตอ้ งอย่รู ว่ มกัน มคี วามไว้เนือ้ เช่ือใจกนั กลา่ วคอื มี ศลี และมีความเหน็ เหมือน ๆ กัน จงึ จะมคี วามสามัคคี สบื ตอ่ พระพทุ ธศาสนาไดอ้ ยา่ งถาวร แต่ในบางกรณี เม่อื ภกิ ษมุ ีความเห็น แตกต่างกนั เปน็ สองฝา่ ยและมจี ำนวนมากดว้ ยกนั ตอ้ งหาวิธรี ะงับ โดยวธิ จี ับฉลาก หรอื การลงคะแนนเพ่อื ดูว่าฝา่ ยไหนไดเ้ สยี งข้างมาก ก็ตัดสินไปตามเสยี งขา้ งมากนั้น วิธนี ีเ้ รียกว่า เยภุยยสกิ า การถอื เสยี งข้างมากเปน็ ประมาณ ตามหลกั ประชาธิปไตยทว่ั ไป ซง่ึ แสดง ว่า มติทีป่ ระชมุ ไม่ได้ใช้มตเิ อกฉันทเ์ สมอไป
หลกั การพระพทุ ธศาสนากบั หลักการ วทิ ยาศาสตร์ กระบวนการวิทยาศาสตร์ กระบวนการพุทธศาสตร์ ตั้งปัญหาให้ชัด ทุกข์-ปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติ ตั้งคำถามชั่วคราวเพื่อตอบ หาคำตอบจากลัทธิ ทดสอบ รวบรวมข้อมูล ลองปฏิบัติโยคะ วิเคราะห์ข้อมูล รวบรวมผลการปฏิบัติ ถ้าคำตอบชั่วคราวถูกตั้งมฤษฏี ผิดก็เปลี่ยน ถูกก็ดำเนินถึงจุด ไว้ หมาย นำไปประยุกต์แก้ปัญหา เผยแผ่แก่ชาวโลก หลกั การของพระพุทธศาสนากับหลกั การของวทิ ยาศาสตรม์ ที ั้ง ส่วนที่สอดคลอ้ ง และสว่ นที่แตกตา่ งกัน 1.ในด้านความเช่อื (Confidence) หลกั การวทิ ยาศาสตร์ ถอื หลกั วา่ จะเชอื่ อะไรนัน้ จะต้องมีการพิสจู น์ใหเ้ ห็นจริงไดเ้ สียก่อน วทิ ยาศาสตรเ์ ชื่อในเหตผุ ล ไม่เช่ืออะไรลอย ๆ และต้องมหี ลกั ฐาน มายืนยนั วิทยาศาสตร์ไมอ่ าศัยศรทั ธาแต่อาศัยเหตผุ ล
2.อาศัยปญั ญาและเหตผุ ลเป็นตัวตดั สินความจริง วทิ ยาศาสตรม์ ี ความเช่ือวา่ สรรพส่งิ ในจกั รวาลลว้ นดำเนินไปอย่างมเี หตุผล มี ความเปน็ ระเบียบและมีกฎเกณฑท์ ี่แนน่ อน • หลกั การทางพระพทุ ธศาสนา มีหลักความเชอ่ื เชน่ เดียวกับหลกั วทิ ยาศาสตร์ ไมไ่ ดส้ อนใหม้ นุษยเ์ ชื่อและศรัทธาอย่างงมงายใน อทิ ธิปาฏหิ าริย์ และอาเทศนาปาฏหิ าริย์ แตส่ อนใหศ้ รัทธาใน อนสุ าสนปี าฏิหารยิ ์ ทจ่ี ะกอ่ ให้เกดิ ปญั ญาในการแกท้ ุกข์แก้ ปัญหาชีวติ ไมส่ อนใหเ้ ชือ่ ใหศ้ รทั ธาในส่งิ ที่อยู่นอกเหนอื ประสาท สัมผสั เชน่ เดยี วกบั วทิ ยาศาสตร์ สอนใหม้ นุษยน์ ำเอาหลักศรัทธา โยงไปหาการพิสูจน์ดว้ ยประสบการณ์ ดว้ ยปัญญา และด้วยการ ปฏบิ ตั ิ ดังหลักของความเชอื่ ใน “กาลามสูตร” คืออยา่ เชือ่ เพยี ง เพราะใหฟ้ ังตามกนั มา อยา่ เชอ่ื เพยี งเพราะไดเ้ รยี นตามกนั มา
อย่าเชื่อ เพียงเพราะไดถ้ อื ปฏิบัติสืบตอ่ กันมา อย่าเช่อื เพียงเพราะเสยี งเล่าลือ อย่าเช่อื เพยี งเพราะอ้างตำรา อย่าเช่ือ เพยี งเพราะตรรกะ หรอื นึกคดิ เอาเอง อยา่ เชือ่ เพยี งเพราะอนมุ านหรือคาดคะเนเอา อยา่ เชอื่ เพียงเพราะคดิ ตรองตามแนวเหตผุ ล อยา่ เชอื่ เพียงเพราะตรงกบั ทฤษฎขี องตนหรอื ความเหน็ ของตน อย่าเช่ือ เพียงเพราะรปู ลักษณะนา่ เช่อื อย่าเชื่อ เพียงเพราะท่านเปน็ สมณะหรอื เป็นครูอาจารย์ ของเรา
ในหลักกาลามสตู รนี้ พระพทุ ธเจ้ายังตรสั ต่อไปวา่ จะต้องรู้เขา้ ใจ ดว้ ยว่า ส่งิ เหล่านเ้ี ป็นกุศล หรืออกุศล ถา้ รู้วา่ เป็นอกศุ ล มีโทษ ไม่ เป็นประโยชน์ ทำให้เกิดทกุ ข์ พึงละเสีย 2. ในด้านความรู้ (Wisdom) ทงั้ หลักการทางวทิ ยาศาสตร์และหลกั การของพระพทุ ธศาสนา ยอมรับความรทู้ ีไ่ ดจ้ ากประสบการณ์ หมายถึง การที่ตา หู จมูก ล้ิน กาย ได้ประสบกบั ความร้สู กึ นกึ คดิ เช่น รูส้ กึ ดีใจ รู้สึกอยากได้ เป็นตน้ วิทยาศาสตร์เร่มิ ตน้ จาก ประสบการณค์ อื จากการทีไ่ ดพ้ บเห็นสิง่ ต่าง ๆ แล้วเกดิ ความอยาก รอู้ ยากเห็นกแ็ สวงหาคำอธิบาย วทิ ยาศาสตรไ์ มเ่ ชอ่ื หรือยดึ ถอื อะไร ลว่ งหนา้ อยา่ งตายตวั *หลักการพระพุทธศาสนาและหลักการทางวิทยาศาสตร์มีส่วนท่ี ตา่ งกนั ในเรอื่ งนีค้ อื วทิ ยาศาสตร์เน้นความสนใจกับปญั หาท่เี กดิ ขึ้น จากประสบการณ์ดา้ นประสาทสัมผสั ส่วนพระพทุ ธศาสนาเนน้ ความสนใจกบั ปญั หาที่เกิดทาง จิตใจ
การคดิ ตามนัยแหง่ พระพทุ ธศาสกบั การคิด แบบวิทยาศาสตร์ การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา การคิดตามนยั แห่งพระพทุ ธ ศาสนา เป็นการศึกษาถึงวิธกี ารแก้ปญั หาตามแนวพระพุทธศาสนา ทเี่ รยี กว่า วธิ ีการแก้ปัญหาแบบอรยิ สัจ มีดังนคี้ อื 1. ขนั้ กำหนดรู้ทุกข์ การกำหนดร้ทู ุกข์หรอื การกำหนดปญั หาว่าคือ อะไร มีขอบเขตของปัญหาแคไ่ หน หน้าท่ที ี่ควรทำในขนั้ แรกคอื ให้ เผชิญหน้ากับปัญหา แล้วกำหนดร้สู ภาพและขอบเขตของปัญหานน้ั ใหไ้ ด้ ขอ้ สำคญั คือ อยา่ หลบปญั หาหรือคดิ วา่ ปญั หาจะหมดไปเอง โดยทเี่ ราไมต่ ้องทำอะไร 2. ข้นั สบื สาวสมทุ ัย ได้แกเ่ หตขุ องทกุ ข์หรือสาเหตขุ องปัญหา แลว้ กำจดั ใหห้ มดไป ขน้ั น้เี หมือนกบั หมอวินจิ ฉยั สมฏุ ฐานของโรคก่อน ลงมือรกั ษา ตัวอยา่ งสาเหตุของปญั หาท่ีพระพุทธเจ้าแสดงไว้คอื ตณั หา ได้แก่ กามตัณหา ภวตณั หา และวิภวตณั หา 3. ขนั้ นิโรธ ไดแ้ ก่ความดบั ทกุ ข์ หรือสภาพทไ่ี รป้ ญั หา ซ่งึ ทำให้ สำเรจ็ เป็นจริงข้ึนมา ในขั้นน้ตี อ้ งต้งั สมมติฐานว่าสภาพไร้ปัญหาน้นั คอื อะไร เขา้ ถงึ ได้หรอื ไม่ โดยวิธใี ด เหมือกบั การทห่ี มอตอ้ งคาดวา่ โรคน้รี ักษาให้หายขาดไดห้ รือไม่ ใชเ้ วลารกั ษานานเทา่ ไร
4. ข้นั เจริญมรรค ได้แก่ ทางดับทุกข์ หรอื วธิ แี ก้ปัญหา ซึง่ เรามีหน้า ทล่ี งมือทำ เหมอื นกับทีห่ มอลงมอื รกั ษาคนไข้ด้วยวธิ กี ารและข้นั ตอนทีเ่ หมาะควรแกก่ ารรักษาโรคนน้ั ขัน้ น้ีอาจแบง่ ออกเปน็ 3 ขัน้ ยอ่ ยคอื 4.1 มรรคขน้ั ที่ 1 เป็นการแสวงหาและทดลองใช้วิธกี ารต่าง ๆ เพ่ือ ค้นหาวธิ ีการทีเ่ หมาะสมทสี่ ุด เช่น พระพทุ ธเจา้ ในชว่ งท่ีเป็นคฤหสั ถ์ เคยใชช้ วี ิตแบบบำรุงบำเรอตน หมกมุน่ ในโลกยี ์สขุ แตก่ ็ทรงรูส้ กึ เบื่อหน่าย จึงออกผนวชแล้วไปบำเพ็ญโยคะบรรลสุ มาธขิ น้ั สงู สดุ แม้ ในขนั้ น้พี ระองค์ยังรู้สึกว่าไม่บรรลคุ วามพน้ ทกุ ข์ 4.2 มรรคขนั้ ที่ 2 เปน็ การวเิ คราะหผ์ ลการสังเกตและทดลองทไ่ี ด้ ปฏบิ ัติมาแลว้ เลือกเฉพาะวิธีการท่เี หมาะสมทสี่ ดุ ดงั กรณที ่ี พระพทุ ธเจา้ ทรงพิจารณาเห็นว่า กามสุขัลลิกานโุ ยค (การบำเรอตน ด้วยกาม) และอตั ตกิลมถานุโยค (การทรมานตนเอง) ทีไ่ ดท้ ดลอง มาแลว้ ไม่ใช่วธิ ีการที่ถูกตอ้ ง 4.3 มรรคขัน้ ท่ี 3 เปน็ การสรุปผลของการสังเกตและทดลอง เพอื่ ให้ ได้ความจริงเก่ียวกับเรื่องนั้น ดังกรณีที่พระพุทธเจ้าไดข้ ้อสรุปวา่ ทางสายกลางที่ไมต่ ึงเกนิ ไปหรอื ไม่หยอ่ นเกนิ เปน็ ทางดบั ทุกข์ ทาง นเ้ี ปน็ วถิ ีแห่งปญั ญาทเ่ี ร่มิ ต้นดว้ ยสมั มาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สรุปก็ คอื มรรคมีองค์ 8 นนั่ เองแนวคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์
แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ เรียกอีกอย่างหนึง่ ว่า วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ มขี ้ันตอนดังนี้ 1.การกำหนดปัญหาใหถ้ กู ตอ้ ง ในขน้ั นี้นักวทิ ยาศาสตร์กำหนด ขอบเขตของปญั หาให้ชัดเจนวา่ ปัญหาอยูต่ รงไหน ปญั หานั้นน่า จะมีสาเหตุมาจากอะไร 2.การตั้งสมมติฐาน นักวิทยาศาสตร์ใช้ข้อมูลเท่าท่มี ีอยใู่ นขณะนน้ั เปน็ ฐานในการตัง้ สมมติฐานเพ่ือใช้อธบิ ายถึงสาเหตขุ องปัญหา และเสนอคำตอบหรือทางออกสำหรับปัญหาน้นั 3.การสงั เกตและการทดลอง เปน็ ข้ันตอนสำคญั ท่สี ดุ ของการศึกษา หาความจริงทางวิทยาศาสตร์ การสงั เกตเปน็ การรวบรวมข้อมลู มาเปน็ เคร่อื งมือสนับสนนุ ทฤษฎที อ่ี ธิบายปรากฏการณ์ เช่น นกั ดาราศาสตรเ์ ชอ่ื ว่า โจฮนั แกลล์ ได้ใชก้ ล้องโทรทรรศนส์ อ่ ง ทอ้ งฟ้าจนคน้ พบดาวเนปจูนเมอ่ื พ.ศ. 2389 4.การวิเคราะหข์ ้อมลู ขอ้ มลู ทีไ่ ดจ้ ากการสงั เกตและทดลองมี จำนวนมาก นักวทิ ยาศาสตรต์ ้องพิจารณาแยกแยะข้อมลู เหล่าน้นั พรอ้ มจดั ระเบยี บข้อมลู เข้าเปน็ หมวดหมูแ่ ละหาความสมั พนั ธ์ ระหว่างข้อมลู ต่าง ๆ 5.การสรุปผล ในการสรุปผลของการศึกษาคน้ คว้านกั วิทยาศาสตร์ อาจใช้ภาษาธรรมดาเขยี นกฎหรือหลักการทางวทิ ยาศาสตร์ออก มา บางครงั้ นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องสรปุ ผลดว้ ยคณติ ศาสตร์
เปรยี บเทยี บวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์กับวิธีการ แกป้ ญั หาแบบอรยิ สัจ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการแก้ปัญหาแบบอริยสัจ 1.การกำหนดปัยหา 1.ขั้นกำหนดทุกข์ 2.การตั้งสมมติฐาน 2.ขั้นสืบสาวสมุทัย 3.การสังเกตและการทดลอง 3.ขั้นนิโรธ 4.การวิเคราะห์ข้อมูล 4.ขั้นมรรคขั้นที่ 1 5.การสรุปผล 5.ขั้นมรรคขั้นที่ 2 6.ขั้นมรรคขั้นที่ 3
พระพุทธศาสนาเปน็ ศาสตร์แห่งการศึกษา ความหมายของคำว่าการศกึ ษา คำวา่ “การศกึ ษา” มาจากคำวา่ “สกิ ขา” โดยทวั่ ไปหมาย ถึง “กระบวนการเรยี น “ “การฝกึ อบรม” “การค้นคว้า” “การ พัฒนาการ” และ “การรู้แจง้ เหน็ จรงิ ในสงิ่ ทง้ั ปวง” จะเห็นได้ว่า การศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนามีหลายระดบั ตง้ั แตร่ ะดับต่ำสุดถงึ ระดับสูงสุด เมอื่ แบง่ ระดับอย่างกว้าง ๆ มี 2 ประการคอื 1. การศึกษาระดับโลกยิ ะ มคี วามมงุ่ หมายเพ่ือดำรงชวี ิตในทางโลก 2. การศกึ ษาระดับโลกตุ ระ มีความม่งุ หมายเพอื่ ดำรงชีวติ เหนือ กระแสโลก ในการศกึ ษาหรอื การพฒั นาตามหลักพระพทุ ธศาสนา นนั้ พระพุทธเจ้าสอนใหค้ นไดพ้ ฒั นาอยู ่ 4 ด้าน คือ ดา้ นร่างกาย ดา้ นศลี ด้านจติ ใจ และดา้ นสติปญั ญา โดยมจี ดุ มุง่ หมายใหม้ นษุ ย์ เปน็ ทั้งคนดีและคนเกง่ โดยเร่มิ จาก สลี สิกขา ต่อดว้ ยจิตตสกิ ขา และขั้นตอนสุดท้ายคือ ปัญญาสกิ ขา ซงึ่ ขั้นตอนการศึกษาทัง้ 3 นี้ รวมเรียกว่า \"ไตรสกิ ขา\" ซึง่ มีความหมายดงั น้ี
1. สลี สกิ ขา การฝกึ ศึกษาในดา้ นความประพฤติทางกาย วาจา และ อาชพี ใหม้ ีชีวิตสุจริตและเก้อื กูล (Training in Higher Morality) 2. จิตตสกิ ขา การฝึกศกึ ษาดา้ นสมาธิ หรอื พฒั นาจติ ใจใหเ้ จริญได้ท่ี (Training in Higher Mentality หรอื Concentration) 3. ปัญญาสกิ ขา การฝกึ ศกึ ษาในปัญญาสูงขนึ้ ไป ใหร้ ู้คดิ เข้าใจมอง เห็นตามเปน็ จริง (Training in Higher Wisdom) ความสัมพนั ธ์ของไตรสิกขา ความสมั พันธ์แบบตอ่ เน่ืองของไตรสกิ ขานี้ มองเหน็ ได้งา่ ยแม้ในชวี ติ ประจำวนั กลา่ วคือ (ศีล -> สมาธิ) เมอื่ ประพฤตดิ ี มคี วามสัมพันธ์งดงาม (สมาธิ -> ปญั ญา) ยงิ่ จิตไม่ฟุ้งซ่าน สงบ อยกู่ บั ตวั ไรส้ ่งิ ขุ่นมวั สดใส นอกจากนยี้ งั มวี ิธีการเรยี นรูต้ ามหลักโดยทั่วไป ซึ่งพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ไว้ 5 ประการ คอื 1. การฟงั หมายถงึ การตัง้ ใจศึกษาเลา่ เรียนในห้องเรยี น 2. การจำได้ หมายถงึ การใชว้ ิธกี ารต่าง ๆ เพ่อื ใหจ้ ำได้ 3. การสาธยาย หมายถึงการทอ่ ง การทบทวนความจำบ่อย ๆ 4. การเพง่ พินจิ ดว้ ยใจ หมายถึงการตัง้ ใจจินตนาการถึงความรนู้ ั้นไว้ เสมอ 5. การแทงทะลุดว้ ยความเห็น หมายถึงการเขา้ ถึงความรอู้ ยา่ งถูก ตอ้ ง
พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของ เหตปุ ัจจัยและวธิ ีการแก้ปญั หา พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพันธข์ องเหตปุ ัจจัย หลกั ของเหตุปจั จยั หรือหลักความเปน็ เหตเุ ป็นผล ซึ่งเปน็ หลักของเหตุปัจจยั ทีอ่ งิ อาศัยซึง่ กันและกนั ทเ่ี รียกวา่ \"กฎปฏจิ จสมุ ปบาท\" ซ่งึ มสี าระโดยย่อดังน้ี \"เมอื่ อันน้ีมี อนั นี้จงึ มี เมือ่ อันน้ีไมม่ ี อนั น้กี ็ไม่มี เพราะอนั น้ีเกิด อันนจี้ ึงเกิด เพราะอันนีด้ บั อันน้ีจงึ ดับ\"น่เี ป็นหลกั ความจรงิ พนื้ ฐาน ว่าส่ิงหนงึ่ ส่ิงใดจะเกดิ ขน้ึ มาลอย ๆ ไมไ่ ด้ หรือในชีวติ ประจำวันของเรา \"ปญั หา\"ท่เี กิดขึน้ กับตัวเราจะ เป็นปญั หาลอย ๆ ไม่ได้ จะต้องมีเหตุปัจจัยหลายเหตุทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาข้ึนมา ความสมั พันธข์ องเหตุปจั จัย หรือหลักปฏจิ จสมปุ บาท แสดงใหเ้ ห็น อาการของสิ่งท้งั หลายสมั พนั ธ์เน่ืองอาศยั เป็นเหตุปจั จยั ต่อกนั อย่าง เปน็ กระแส ในภาวะทเ่ี ปน็ กระแสนี้ ขยายความหมายออกไปใหเ้ ห็น แง่ตา่ ง ๆ ได้คือ - สิ่งทงั้ หลายมคี วามสัมพันธต์ ่อเน่ืองอาศัยเปน็ ปัจจยั แกก่ นั - สิง่ ทั้งหลายมอี ย่โู ดยความสมั พันธก์ ัน - สง่ิ ทั้งหลายมีอยูด่ ้วยอาศัยปัจจัย - สง่ิ ทง้ั หลายไม่มีความคงทอ่ี ยู่อยา่ งเดิมแม้แต่ขณะเดยี ว (มกี าร เปลีย่ นแปลงอยูต่ ลอดเวลา ไมอ่ ยนู่ ่งิ ) - สง่ิ ทั้งหลายไมม่ ีอยโู่ ดยตวั ของมันเอง คอื ไมม่ ตี ัวตนทแ่ี ท้จริงของ มัน
- สงิ่ ทง้ั หลายไมม่ มี ูลการณ์ หรอื ต้นกำเนดิ เดมิ สดุ แต่มีความสมั พันธ์ แบบวัฏจกั ร หมุนวนจนไมท่ ราบวา่ อะไรเปน็ ตน้ กำเนดิ ทแ่ี ทจ้ ริง หลักคำสอนของพระพทุ ธศาสนาของพระพทุ ธศาสนาที่เนน้ ความ สัมพันธข์ องเหตุปัจจัยมีมากมาย ในท่นี ี้จะกล่าวถงึ หลกั คำ สอน 2 เรื่อง คอื ปฏิจจสมุปบาท และอริยสจั 4 ปฏิจจสมปุ บาท คอื การท่สี ่ิงทงั้ หลายอาศยั ซึ่งกนั และกันเกิดขน้ึ เปน็ กฎธรรมชาตทิ ีพ่ ระพุทธเจา้ ทรงค้นพบกฏปฏิจจสมุปบาท คอื กฏแห่งเหตุผลที่วา่ ถ้าสิ่งน้ีมี สิง่ น้ันกม็ ี ถ้าสง่ิ น้ดี ับ สิ่งนัน้ ก้ดบั ปฏิ จจสมุปบาทมอี งคป์ ระกอบ 12 ประการ คอื 1) อวิชชา คือ ความไมร่ ้จู รงิ ของชีวิต ไม่รู้แจง้ ในอรยิ สัจ 4 ไม่รเู้ ท่า ทนั ตามสภาพท่เี ปน็ จริง 2) สงั ขาร คอื ความคิดปรงุ แตง่ หรือเจตนาท้งั ทีเ่ ปน็ กศุ ลและ อกุศล 3) วญิ ญาณ คอื ความรับรู้ต่ออารมณต์ า่ งๆ เชน่ เหน็ ไดย้ นิ ได้ กลน่ิ รู้รส รู้สัมผัส 4) นามรปู คือ ความมีอยู่ในรูปธรรมและนามธรรม ได้แก่ กาย กบั จิต 5) สฬายตนะ คือ ตา หู จมกู ลนิ้ กาย และใจ 6) ผสั สะ คือ การถกู ตอ้ งสมั ผสั หรอื การกระทบ 7) เวทนา คือ ความร้สู กึ ว่าเปน็ สขุ ทกุ ข์ หรืออเุ บกขา 8) ตัณหา คอื ความทะเยอทะยานอยากหรอื ความต้องการในส่ิง ที่อำนวยความสขุ เวทนา และความดนิ้ รนหลีกหนีในสง่ิ ทกี่ อ่
ทกุ ขเวทนา 9) อปุ าทาน คือ ความยดึ มน่ั ถอื ม่นั ในตวั ตน 10) ภพ คือ พฤติกรรมทแ่ี สดงออกเพือ่ สนองอปุ าทานนน้ั ๆ เพ่อื ใหไ้ ด้มาและให้เป้นไปตามความยึดมัน่ ถือมัน่ 11) ชาติ คอื ความเกดิ ความตระหนกั ในตวั ตน ตระหนกั ใน พฤติกรรมของตน 12) ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกขะ โทมนัส อปุ ายาสะ คือ ความ แก่ ความตาย ความโศกเศรา้ ความคร่ำครวญ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ และความคบั แคน้ ใจหรอื ความกลดั กลมุ่ ใจ
**องคป์ ระกอบท้ัง 12 ประเภทน้ี พระพุทธเจา้ เรยี กวา่ องค์ ประกอบแห่งชวี ิต จากกฏปฏจิ จสมุปบาท หรอื กฎอิทปั ปจั จยตาท่ีว่า อวิชชาเป็นตัวเหตุของทุก สิ่งทกุ อย่าง อวิชชาคอื ความไม่รู้แจ้งใน อรยิ สจั 4 ดังน้นั กฎปฏิ จจสมปุ บาท เมอ่ื กลา่ วโดย สรุปแลว้ ก็ คอื อรยิ สัจ 4 น่ันเอง
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: