สงั คมศกึ ษา นางสาวศริ ิพร ปรกั มาศ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 4/2 เลขที่ 19 กล่มุ สาระวิชาสงั คมศกึ ษา
ประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา 1. พระพทุ ธศาสนามพี ระธรรมวนิ ยั เป็ นธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด พระธรรม คือ คาสอนท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง พระวินยั คือ คาส่ังอนั เป็นขอ้ ปฏิบตั ิที่พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิข้ึนเมอ่ื รวมกนั เรียกว่า พระธรรมวนิ ยั ซ่ึงมีความสาคญั ขนาดท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงมอบใหเ้ ป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ก่อนท่ีพระองคจ์ ะปรินิพพานเพยี งเลก็ นอ้ ย 2. มกี ารกาหนดลกั ษณะของศาสนาไว้เรียบร้อย ไม่ปลอ่ ยให้เป็นไปตามยถากรรม ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนาคอื สายกลาง ไม่ซา้ ยสุด ไมข่ วาสุด ทางสายกลางน้ีเป็นครรลอง อาจปฏบิ ตั คิ ่อนขา้ งเคร่งครดั ก็ได้ โดยใชส้ ิทธิในการแสวงหาอดิเรกลาภตามที่ทรงอนุญาตไว้ ในสมยั ต่อมา เรียกแนวกลางๆ ของพระพทุ ธศาสนาว่า วิภชั ชวาที คือศาสนาท่ีกลา่ วจาแนกแจกแจง ตามความเป็นจริงบางอยา่ งกลา่ วยนื ยนั โดยส่วนเดียวได้ บางอยา่ งกลา่ วจาแนกแจกแจงเป็นกรณี ๆ ไป 3. พระพุทธศาสนา มีความเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวินยั บุคคลท่ีเป็นวรรณะกษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู รมาแตเ่ ดิม รวมท้งั คนวรรณะต่ากวา่ น้นั เช่นพวกจณั ฑาล พวกปุกกสุ ะคนเกบ็ ขยะ และพวกทาส เมื่อเขา้ มาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาอยา่ งถูกตอ้ งแลว้ มีความเท่าเทียมกนั คือปฏิบตั ิตามสิกขาบทเท่ากนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวุโส คอื ผอู้ ปุ สมบทภายหลงั เคารพผอู้ ุปสมบทก่อน 4. พระภกิ ษุในพระพุทธศาสนา มีสิทธิ เสรีภาพภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั เช่นในฐานะภิกษเุ จา้ ถ่ิน จะมีสิทธิไดร้ ับของแจกก่อนภิกษอุ าคนั ตกุ ะ ภิกษุทีจ่ าพรรษาอยดู่ ว้ ยกนั มีสิทธิไดร้ ับของแจกตามลาดบั พรรษา มีสิทธิรับกฐิน และไดร้ ับอานิสงส์กฐินในการแสวงหาจีวรตลอด 4 เดือนฤดูหนาวเท่าเทียมกนั นอกจากน้นั ยงั มเี สรีภาพท่ีจะเดินทางไปไหนมาไหนได้ จะอยจู่ าพรรษาวดั ใดก็ไดเ้ ลือกปฏิบตั ิกรรมฐานขอ้ ใด ถือธุดงควตั รขอ้ ใดกไ็ ดท้ ้งั สิ้นฃ 5. มกี ารแบ่งอานาจ พระเถระผใู้ หญ่ทาหนา้ ที่บริหารปกครองหมคู่ ณะ การบญั ญตั ิพระวินยั พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิเอง เช่นมภี ิกษผุ ทู้ าผิดมาสอบสวนแลว้ จึงทรงบญั ญตั ิพระวินยั ส่วนการตดั สินคดีตามพระวินยั ทรงบญั ญตั ิแลว้ เป็นหนา้ ที่ของพระวินยั ธรรมซ่ึงเทา่ กบั ศาล 6. พระพุทธศาสนามีหลกั เสียงข้างมาก คือ ใชเ้ สียงขา้ งมาก เป็นเกณฑต์ ดั สิน เรียกว่า วธิ ีเยภยุ ยสิกา การตดั สินโดยใชเ้ สียงขา้ งมาก ฝ่ ายใดไดร้ ับเสียงขา้ งมากสนบั สนุน ฝ่ ายน้นั เป็นฝ่ ายชนะคดี ☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺
หลกั ประชาธิปไตยในการท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงมอบความเป็นใหญแ่ ก่สงฆ์ 1 จานวนสงฆอ์ ยา่ งต่าที่เขา้ ประชุม การกาหนดจานวนสงฆผ์ เู้ ขา้ ประชุมอยา่ งต่าว่าจะทาสงั ฆกรรมอยา่ งใดไดบ้ า้ ง ☺1.1 ภิกษุ 4 รูปเขา้ ประชุม เรียกวา่ สงฆจ์ ตุรวรรค สามารถทาสังฆกรรมไดเ้ กือบทุกชนิด เวน้ แต่ การอุปสมบทหรือการบวชพระ การปวารณาหรือ พธิ ีกรรมในวนั ออกพรรษาท่ีทรงอนุญาตใหว้ ่ากลา่ วตกั เตือนกนั และกนั และการสวดอพั ภาน หรือการเพิกถอนอาบตั ิหนกั ของภิกษบุ างรูป ☺1.2 ภิกษุ 5 รูป เขา้ ประชุม เรียกว่า สงฆป์ ัญจวรรค สามารถทาสังฆกรรมท่ีสงฆจ์ ตุรวรรค ทาไดท้ ้งั หมด และยงั เพมิ่ การปวารณา การอุปสมบทในชนบทชายแดนไดอ้ ีกดว้ ย ☺1.3 ภิกษุ 10 รูป เขา้ ประชุม เรียกว่า สงฆท์ สวรรค สามารถทาสังฆกรรมที่สงฆป์ ัญจวรรคทาไดท้ ้งั หมด และยงั เพม่ิ การอปุ สมบทในมชั ฌชิ นบท คอื ในภาคกลางของอนิ เดียไดอ้ กี ดว้ ย ☺1.4 ภิกษุ 20 รูปเขา้ ประชุม เรียกว่า สงฆว์ ีสติวรรค สามารถทาสังฆกรรมไดท้ ุกชนิด รวมท้งั สวดอพั ภาน เพกิ ถอนอาบตั ิหนกั ดว้ ย ☺1.5 ภิกษุกว่า 20 รูปเขา้ ประชุม เรียกวา่ อติเรกวีสติวรรค สามารถทาสังฆกรรมไดท้ ุกชนิด สาหรับประเพณีไทย นิยมนิมนตภ์ ิกษเุ ขา้ ประชุมใหเ้ กนิ จานวนอยา่ งต่าของการทาสังฆกรรมน้นั ๆ เสมอ เพอ่ื ใหถ้ ูกตอ้ งอยา่ งไม่มีโอกาสผดิ พลาดในเร่ืองจานวนสงฆ์ 2 สถานท่ีประชุมของสงฆเ์ พื่อทาสังฆกรรม เรียกวา่ สีมา แปลว่า เขตแดน สีมา หมายถึงพ้ืนดิน ไมใ่ ช่อาคาร อาคารจะสร้างเป็นรูปทรงอยา่ งไรหรือไม่มีอาคารเลยก็ได้ สีมามี 2 ประเภทใหญๆ่ คือ พทั ธสีมา สีมาที่ผกู แลว้ และอพทั ธสีมา สีมาที่ไมต่ อ้ งผกู พทั ธสีมามีหลายชนิด
3 การประกาศเรื่องที่ประชุม และการประกาศขอความเห็นชอบ สงฆจ์ ะประชุมกนั ทาสังฆกรรมเรื่องอะไรก็ตาม จะตอ้ งมีการประกาศเร่ืองน้นั ใหส้ งฆท์ ราบ ผปู้ ระกาศมีรูปเดียวหรือ 2 รูป กไ็ ด้ เรียกวา่ พระคู่สวดหรือพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อประกาศใหท้ ราบแลว้ ยงั มีการประกาศขอความเห็นชอบจากสงฆอ์ กี ถา้ เป็นเรื่องไมส่ าคญั นกั มีการประกาศใหท้ ราบ 1 คร้ัง และประกาศขอความเห็นชอบอกี 1 คร้ังเรียกวา่ ญตั ติทตุ ิยกรรม 4 สิทธิของภิกษผุ เู้ ขา้ ประชุม ภิกษุผเู้ ขา้ ร่วมประชุมทาสงั ฆกรรมทกุ รูปมีสิทธิแสดงความคดิ เห็นท้งั ในทางเห็นดว้ ยและในทา งคดั คา้ น ตามปกติเม่ือภิกษุผปู้ ระกาศ หรือพระคสู่ วดถามความคดิ เห็นของทป่ี ระชุม ถา้ เห็นดว้ ย ให้ใชว้ ิธีน่ิง ถา้ ไมเ่ ห็นดว้ ยให้คดั คา้ นข้นึ จะตอ้ งมีการทาความเขา้ ใจกนั จนกวา่ จะยอมเห็นดว้ ย ถา้ ภิกษผุ คู้ ดั คา้ น ยงั คงยนื กรานไมเ่ ห็นดว้ ย การทาสังฆกรรมน้นั ๆ เช่น การอปุ สมบท หรือการมอบผา้ กฐินยอ่ มไมส่ มบูรณ์ จึงเห็นไดว้ า่ มติของที่ประชุมตอ้ งเป็นเอกฉนั ทค์ อื เห็นพร้อมกนั ทกุ รูป 5 มติท่ีประชุม การทาสงั ฆกรรมท้งั หมด มตขิ องที่ประชุมตอ้ งเป็นเอกฉนั ท์ คอื เป็นทย่ี อมรับของภิกษทุ กุ รูป ท้งั น้ีเพราะในสงั ฆมณฑลน้นั ภิกษุท้งั หลายตอ้ งอยรู่ ่วมกนั มีความไวเ้ น้ือเช่ือใจกนั กล่าวคอื มีศีลและมีความเห็นเหมือน ๆ กนั จึงจะมีความสามคั คี สืบต่อพระพุทธศาสนาไดอ้ ยา่ งถาวร แต่ในบางกรณี เมื่อภิกษุมีความเห็นแตกตา่ งกนั เป็นสองฝ่ ายและมจี านวนมากดว้ ยกนั ตอ้ งหาวธิ ีระงบั โดยวธิ ีจบั ฉลาก หรือการลงคะแนนเพอื่ ดูวา่ ฝ่ ายไหนไดเ้ สียงขา้ งมาก กต็ ดั สินไปตามเสียงขา้ งมากน้นั วธิ ีน้ีเรียกวา่ เยภยุ ยสิกา การถือเสียงขา้ งมากเป็นประมาณ ตามหลกั ประชาธิปไตยทวั่ ไป ซ่ึงแสดงวา่ มติท่ีประชุมไมไ่ ดใ้ ชม้ ติเอกฉนั ทเ์ สมอไป
หลกั การพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การวทิ ยาศาสตร์ หลกั การของพระพุทธศาสนากบั หลกั การของวิทยาศาสตร์มีท้งั ส่วนที่สอดคลอ้ ง และส่วนที่แตกตา่ งกนั ดงั ต่อไปน้ี ความสอดคล้องกันของหลกั การของพระพุทธศาสนากบั หลกั การวทิ ยาศาสตร์ 1. ในด้านความเช่ือ หลกั การวทิ ยาศาสตร์ ถือหลกั ว่า จะเชื่ออะไรน้นั จะตอ้ งมีการพสิ ูจนใ์ ห้เห็นจริงไดเ้ สียก่อน วิทยาศาสตร์เชื่อในเหตผุ ล ไม่เชื่ออะไรลอย ๆ และตอ้ งมีหลกั ฐานมายืนยนั วทิ ยาศาสตร์ไม่อาศยั ศรทั ธาแตอ่ าศยั เหตุผล เช่ือการทดลองว่าใหค้ วามจริงแก่เราได้ แต่ไม่เช่ือการดลบนั ดาลของสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ เพราะทกุ อยา่ งดาเนินอยา่ งมีกฎเกณฑ์ มีเหตผุ ล และวิทยาศาสตร์อาศยั ปัญญาและเหตผุ ลเป็นตวั ตดั สินความจริง วิทยาศาสตร์มีความเชื่อวา่ สรรพสิ่งในจกั รวาลลว้ นดาเนินไปอยา่ งมีเหตผุ ล มีความเป็นระเบียบและมีกฎเกณฑท์ ี่แน่นอน หลกั การทางพระพทุ ธศาสนา มีหลกั ความเชื่อเช่นเดียวกบั หลกั วิทยาศาสตร์ ไมไ่ ดส้ อนใหม้ นุษยเ์ ช่ือและศรัทธาอยา่ งงมงายในอิทธิปาฏหิ าริย์ และอาเทศนาปาฏหิ าริย์ แตส่ อนใหศ้ รัทธาในอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ท่ีจะก่อใหเ้ กิดปัญญาในการแกท้ กุ ขแ์ กป้ ัญหาชีวิต ไมส่ อนให้เช่ือใหศ้ รทั ธาในส่ิงทอี่ ยนู่ อกเหนือประสาทสัมผสั เช่นเดียวกบั วิทยาศาสตร์ สอนใหม้ นุษยน์ าเอาหลกั ศรัทธาโยงไปหาการพิสูจน์ดว้ ยประสบการณ์ ดว้ ยปัญญา และดว้ ยการปฏิบตั ิ ดงั หลกั ของความเช่ือใน “กาลามสูตร” คอื อยา่ เชื่อ เพยี งเพราะให้ฟังตามกนั มา อยา่ เชื่อ เพยี งเพราะไดเ้ รียนตามกนั มา อยา่ เชื่อ เพียงเพราะไดถ้ ือปฏิบตั ิสืบต่อกนั มา อย่าเชื่อ เพยี งเพราะเสียงเลา่ ลือ อย่าเช่ือ เพียงเพราะอา้ งตารา อยา่ เช่ือ เพียงเพราะตรรกะ หรือนึกคดิ เอาเอง อย่าเช่ือ เพยี งเพราะอนุมานหรือคาดคะเนเอา อย่าเชื่อ เพียงเพราะคดิ ตรองตามแนวเหตผุ ล อย่าเชื่อ เพียงเพราะตรงกบั ทฤษฎีของตนหรือความเห็นของตน อย่าเช่ือ เพียงเพราะรูปลกั ษณะน่าเชื่อ อย่าเชื่อ เพียงเพราะทา่ นเป็นสมณะหรือเป็นครูอาจารยข์ องเรา
2. ในด้านความรู้ ท้งั หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์และหลกั การของพระพุทธศาสนา ยอมรับความรู้ที่ไดจ้ ากประสบการณ์ หมายถึง การที่ตา หู จมูก ลิน้ กาย ไดป้ ระสบกบั ความรู้สึกนึกคดิ เช่น รู้สึกดีใจ รู้สึกอยากได้ เป็นตน้ วิทยาศาสตร์เร่ิมตน้ จากประสบการณ์คอื จากการท่ีไดพ้ บเห็นส่ิงตา่ ง ๆ แลว้ เกิดความอยากรู้อยากเห็นกแ็ สวงหาคาอธิบาย วิทยาศาสตร์ไม่เช่ือหรือยึดถืออะไรลว่ งหนา้ อยา่ งตายตวั แตจ่ ะอาศยั การทดสอบดว้ ยประสบการณ์สืบสาวไปเร่ือย หลกั การพระพทุ ธศาสนาและหลกั การทางวิทยาศาสตร์มีส่วนท่ีตา่ งกนั ในเร่ืองน้ีคือ วิทยาศาสตร์เนน้ ความสนใจกบั ปัญหาที่เกิดข้ึนจากประสบการณ์ดา้ นประสาทสมั ผสั (ตา หู จมกู ลนิ้ กาย) ส่วนพระพุทธศาสนาเนน้ ความสนใจกบั ปัญหาที่เกิดทางจิตใจ หลกั การทางพระพุทธศาสนามีส่วนคลา้ ยคลึงกบั หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ในหลายประการ เช่น ในขณะท่ีมีนกั วทิ ยาศาสตร์กลุ่มหน่ึงมงุ่ แสวงหาความจริงของธรรมชาติท่ีเรียกว่า วิทยาศาสตร์บริสุทธ์ิ “วทิ ยาศาสตร์นาเอาความรู้จากกฎธรรมชาติ โดยสอนให้มนุษย์รู้จกั ใช้เทคโนโลยี เพื่อควบคมุ ธรรมชาติ ส่วนปรัชญาพุทธสอนให้มนุษย์นาสัจธรรมมาสร้างจริยธรรมเพ่ือดาเนนิ ชีวิตให้สอดคล้องกบั ธรรมชาติ สอนให้มนุษย์ใช้ปัญญา ในการแก้ปัญหาชีวติ และพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ”
ความแตกต่างของหลกั การพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ม่งุ เข้าใจปรากฎการณ์ทางธรรมชาตหิ ลักการทางวิทยาศาสตร์มุ่งเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขนึ้ ตอ้ งการรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นผลท่ีตามมา เช่น เมื่อเกิดฟ้าผา่ ตอ้ งรู้อะไรคอื สาเหตุของฟ้าผา่ และผลที่ตามมาหลงั จากฟ้าผา่ แลว้ จะเป็นอยา่ งไร หลกั การพระพุทธศาสนาก็มุง่ เขา้ ใจปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ เช่นเดียวกนั แตต่ า่ งตรงท่ี พระพุทธศาสนาเนน้ เป็นพเิ ศษเก่ียวกบั วถิ ีชีวิตของมนุษยม์ ากกว่ากฎเก่ียวกบั ส่ิงที่ไร้ชีวติ จดุ หมายปลายทางของพระพทุ ธศาสนาคอื สอนใหค้ นเป็นคนดขี ้ึน พฒั นาข้ึน สมบูรณ์ข้นึ 2. ต้องการเรียนรู้กฎธรรมชาติ หลกั การทางวิทยาศาสตร์ตอ้ งการเรียนรู้กฎธรรมชาติและหาทางควบคมุ ธรรมชาติ หรือเอาชนะธรรมชาติ พดู อกี อยา่ งหน่ึงกค็ ือ วทิ ยาศาสตร์เนน้ การควบคุมธรรมชาติภายนอกมุ่งแกป้ ัญหาภายนอก หลกั การพระพุทธศาสนาเป็นการทดสอบความรู้สึกทกุ ข์ หรือไม่เป็นทกุ ข์ ซ่ึงเป็นสิ่งทีป่ ระจกั ษช์ ดั ในจิตใจเฉพาะตน ไม่สามารถตีแผใ่ หส้ าธารณชนประจกั ษด์ ว้ ยสายตา แตพ่ สิ ูจน์ทดลองไดด้ ว้ ยความรู้สึกในจติ ใจ 3. ยอมรับโลกแห่งสสาร ธรรมชาติและสรรพส่ิงท้งั หลายที่มีอยจู่ ริง รวมท้งั ปรากฏการณ์และความเป็นจริงตามภาวะวิสยั ดว้ ย ซ่ึงสรรพส่ิงเหลา่ น้ีมีอยตู่ า่ งหากจากตวั เรา เป็นอิสระจากตวั เรา และเป็นสิ่งท่ีสะทอ้ นข้นึ ในจิตสานึกของคนเราเม่ือไดส้ มั ผสั มนั อนั ทาให้ไดร้ ับรู้ถึงความมีอยขู่ องส่ิงน้นั ๆ กล่าวโดยทวั่ ไปแลว้ สสารมีคณุ ลกั ษณะ 3 ประการคือ 1) เคลื่อนไหวอยเู่ สมอ 2) เปล่ียนแปลงอยเู่ สมอ 3) การเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลง ดงั กล่าวน้นั มิใช่เป็นการเคล่ือนไหวเปลี่ยนแปลงอยา่ งส่งเดช แต่หากเป็นการ เคล่ือนไหวเปล่ียนแปลงอยา่ งมีกฎเกณฑท์ ี่เรียกกนั วา่ กฎแห่งธรรมชาติ
วิทยาศาสตร์ยอมรับโลกแห่งสสารซ่ึงเทียบไดก้ บั “รูปธรรม” ในความหมายของพระพุทธศาสนา อนั หมายถึงส่ิงท่ีมีอยจู่ ริงทางภาววิสยั ที่อวยั วะสมั ผสั ของมนุษยส์ ัมผสั ได้ วทิ ยาศาสตร์มงุ่ ศึกษาดา้ นสสารและพลงั งาน ยอมรับโลกแห่งสสาร ท่ีรับรู้ดว้ ยประสาทสมั ผสั ท้งั 5 วา่ มีจริง 4. มุง่ ความจริงมาตีแผ่ วิทยาศาสตร์น้นั แสวงหาความรู้จากธรรมชาติและจากกฎธรรมชาติท่ีมีอยภู่ ายนอกตวั มนุษย์ (มงุ่ เนน้ ทางวตั ถหุ รือสสาร) ไมไ่ ดส้ นใจเร่ืองศีลธรรม เร่ืองความดีความชวั่ สนใจเพียงคน้ ควา้ เอาความจริงมาตีแผใ่ หป้ ระจกั ษเ์ พยี งดา้ นเดียว เช่น วิทยาศาสตร์พบเรื่องการระเบดิ แต่ควรระเบิดอะไร ไม่ควรระเบิดอะไร ไมอ่ ยใู่ นขอบขา่ ยของวิทยาศาสตร์ การคน้ พบทางวทิ ยาศาสตร์จงึ มีท้งั คุณอนนั ตแ์ ละมีโทษมหนั ต์ กระบวนการผลิตทางวทิ ยาศาสตร์ก่อใหเ้ กิดผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ ม คาสอนทางพระพุทธศาสนาน้นั เนน้ เร่ืองศีลธรรม ความดีความชวั่ มุ่งให้มนุษยม์ ีความสุข เป็นลาดบั ข้ึนไปเรื่อย ๆ จนถึงความสงบสุข อนั สูงสุดคือนิพพาน ฉะน้นั กระบวนการปฏิบตั ิธรรมในพุทธศาสนาจึงส่งเสริมใหม้ นุษยอ์ นุรักษธ์ รรมชาติ อนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม คาสอนทางพระพุทธศาสนาน้นั เนน้ เร่ืองศีลธรรม ความดีความชวั่ มุ่งใหม้ นุษยม์ ีความสุข เป็นลาดบั ข้นึ ไปเร่ือย ๆ จนถึงความ สงบสุข อนั สูงสุดคอื นิพพาน ฉะน้นั กระบวนการปฏิบตั ิธรรมในพทุ ธศาสนาจึงส่งเสริมใหม้ นุษยอ์ นุรักษธ์ รรมชาติ อนุรักษส์ ่ิงแวดลอ้ ม
การคดิ ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนากบั การคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ การคิดตามนยั แห่งพระพุทธศาสนา การคดิ ตามนยั แห่งพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาถึงวิธีการแกป้ ัญหาตามแนวพระพุทธ ศาสนา ที่เรียกวา่ วิธีการแกป้ ัญหาแบบอริยสจั มีดงั น้ีคอื 1. ข้นั กาหนดรู้ทกุ ข์ การกาหนดรู้ทกุ ขห์ รือการกาหนดปัญหาว่าคืออะไร มขี อบเขตของปัญหาแคไ่ หน หนา้ ทที่ ่ีควรทาในข้นั แรกคอื ใหเ้ ผชิญหนา้ กบั ปัญหา แลว้ กาหนดรูส้ ภาพและขอบเขตของปัญหาน้นั ใหไ้ ด้ ขอ้ สาคญั คอื อยา่ หลบปัญหาหรือคดิ วา่ ปัญหาจะหมดไปเองโดยที่เราไม่ตอ้ งทาอะไร 2. ข้นั สืบสาวสมุทยั ไดแ้ ก่เหตุของทุกขห์ รือสาเหตขุ องปัญหา แลว้ กาจดั ใหห้ มดไป ข้นั น้ีเหมือนกบั หมอวินิจฉยั สมุฏฐานของโรคก่อนลงมือรักษา ตวั อยา่ งสาเหตุของปัญหาท่ีพระพุทธเจา้ แสดงไวค้ ือ ตณั หา ไดแ้ ก่ กามตณั หา ภวตณั หา และวิภวตณั หา 3. ข้นั นิโรธ ไดแ้ ก่ความดบั ทกุ ข์ หรือสภาพท่ีไร้ปัญหา ซ่ึงทาให้สาเร็จเป็นจริงข้นึ มา ในข้นั น้ีตอ้ งต้งั สมมติฐานวา่ สภาพไร้ปัญหาน้นั คอื อะไร เขา้ ถึงไดห้ รือไม่ โดยวิธีใด เหมือกบั การท่ีหมอตอ้ งคาดว่าโรคน้ีรักษาใหห้ ายขาดไดห้ รือไม่ ใชเ้ วลารักษานานเทา่ ไร 4. ข้นั เจริญมรรค ไดแ้ ก่ ทางดบั ทกุ ข์ หรือวิธีแกป้ ัญหา ซ่ึงเรามีหนา้ ท่ีลงมือทา เหมือนกบั ที่หมอลงมือรักษาคนไขด้ ว้ ยวธิ ีการและข้นั ตอนที่เหมาะควรแก่การรักษาโรคน้นั ข้นั น้ีอาจแบ่งออกเป็น 3 ข้นั ยอ่ ยคอื 4.1 มรรคข้นั ที่ 1 เป็นการแสวงหาและทดลองใชว้ ธิ ีการตา่ ง ๆ เพื่อคน้ หาวิธีการท่ีเหมาะสมท่ีสุด 4.2 มรรคข้นั ที่ 2 เป็นการวิเคราะหผ์ ลการสงั เกตและทดลองท่ีไดป้ ฏิบตั ิมาแลว้ เลือกเฉพาะวธิ ีการท่ีเหมาะสม 4.3 มรรคข้นั ท่ี 3 เป็นการสรุปผลของการสังเกตและทดลอง เพ่ือให้ไดค้ วามจริงเกี่ยวกบั เร่ืองน้นั ดงั กรณีท่ีพระพทุ ธเจา้ ไดข้ อ้ สรุปวา่ ทางสายกลางท่ีไม่ตึงเกินไปหรือไม่หยอ่ นเกิน เป็นทางดบั ทุกข์ ทางน้ีเป็นวถิ ีแห่งปัญญาที่เริ่มตน้ ดว้ ยสัมมาทิฏฐิ (ความเหน็ ชอบ) สรุปก็คือมรรคมีองค์ 8 นน่ั เองแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์
แนวคดิ แบบวิทยาศาสตร์ เรียกอกี อยา่ งหน่ึงวา่ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ มีข้นั ตอนดงั น้ี (พระราชวรมนุ ี. 2540 : 40-43) 1. การกาหนดปัญหาให้ถูกตอ้ ง ในข้นั น้ีนกั วทิ ยาศาสตร์กาหนดขอบเขตของปัญหาให้ชดั เจนวา่ ปัญหาอยตู่ รงไหน ปัญหาน้นั น่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร 2. การต้งั สมมติฐาน นกั วทิ ยาศาสตร์ใชข้ อ้ มูลเทา่ ท่ีมีอยใู่ นขณะน้นั เป็นฐานในการต้งั สมมติฐานเพ่อื ใชอ้ ธิบายถึงสาเหตขุ อง ปัญหาและเสนอคาตอบหรือทางออกสาหรับปัญหาน้นั 3. การสงั เกตและการทดลอง เป็นข้นั ตอนสาคญั ทส่ี ุดของการศึกษาหาความจริงทางวิทยาศาสตร์ การสงั เกตเป็นการรวบรวมขอ้ มูลมาเป็นเครื่องมือสนบั สนุนทฤษฎีท่ีอธิบายปรากฏการณ์ 4. การวิเคราะห์ขอ้ มลู ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการสงั เกตและทดลองมีจานวนมาก นกั วทิ ยาศาสตร์ตอ้ งพิจารณาแยกแยะขอ้ มลู เหลา่ น้นั พร้อมจดั ระเบยี บขอ้ มลู เขา้ เป็นหมวดหมู่และหาความสัมพนั ธ์ระหว่างข้ อมูลต่าง ๆ 5. การสรุปผล ในการสรุปผลของการศึกษาคน้ ควา้ นกั วิทยาศาสตร์อาจใชภ้ าษาธรรมดาเขียนกฎหรือหลกั การทางวิทยาศาส ตร์ออกมา บางคร้ังนกั วิทยาศาสตร์จาเป็นตอ้ งสรุปผลดว้ ยคณิตศาสตร์
พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ความหมายของคาว่าการศึกษา คาว่า “การศึกษา” มาจากคาวา่ “สิกขา” โดยทว่ั ไปหมายถึง “กระบวนการเรียน “ “การฝึกอบรม” “การคน้ ควา้ ” “การพฒั นาการ” และ “การรู้แจง้ เหน็ จริงในสิ่งท้งั ปวง” จะเห็นไดว้ ่า การศึกษาในพระพุทธศาสนามีหลายระดบั ต้งั แตร่ ะดบั ต่าสุดถึงระดบั สูงสุด เมื่อแบง่ ระดบั อยา่ งกวา้ ง ๆ มี 2 ประการคอื 1. การศึกษาระดบั โลกิยะ มีความมงุ่ หมายเพ่ือดารงชีวติ ในทางโลก 2. การศึกษาระดบั โลกตุ ระ มีความมงุ่ หมายเพือ่ ดารงชีวิตเหนือกระแสโลก ดงั น้นั หลกั ในการศึกษาของพระพทุ ธศาสนา น้นั จะมี ลาดบั ข้นั ตอนการศึกษา โดยเร่ิมจาก สีลสิกขา ต่อดว้ ย จิตตสิกขาและข้นั ตอนสุดทา้ ยคอื ปัญญาสิกขา ซ่ึงข้นั ตอนการศึกษาท้งั 3 น้ี รวมเรียกว่า \"ไตรสิกขา\" ซ่ึงมีความหมายดงั น้ี 1. สีลสิกขา การฝึกศึกษาในดา้ นความประพฤติทางกาย วาจา และอาชีพ ให้มีชีวติ สุจริตและเก้ือกูล 2. จิตตสิกขา การฝึกศึกษาดา้ นสมาธิ หรือพฒั นาจิตใจใหเ้ จริญไดท้ ่ี 3. ปัญญาสิกขา การฝึกศึกษาในปัญญาสูงข้นึ ไป ใหร้ ู้คดิ เขา้ ใจมองเห็นตามเป็นจริง
พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตปุ ัจจยั และวธิ ีการแก้ปัญหา พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั หลกั ของเหตปุ ัจจยั หรือหลกั ความเป็นเหตเุ ป็นผล ซ่ึงเป็นหลกั ของเหตปุ ัจจยั ท่ีอิงอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ท่ีเรียกวา่ \"กฎปฏจิ จสมปุ บาท\" ซ่ึงมีสาระโดยยอ่ ดงั น้ี \"เมื่ออนั น้ีมี อนั น้ีจึงมี เม่ืออนั น้ีไมม่ ี อนั น้ีกไ็ ม่มี เพราะอนั น้ีเกิด อนั น้ีจึงเกิด เพราะอนั น้ีดบั อนั น้ีจึงดบั \"นี่เป็นหลกั ความจริงพ้ืนฐาน ว่าสิ่งหน่ึงสิ่งใดจะเกิดข้นึ มาลอย ๆ ไม่ได้ หรือในชีวิตประจาวนั ของเรา \"ปัญหา\"ท่เี กิดข้นึ กบั ตวั เราจะเป็นปัญหาลอย ๆ ไม่ได้ จะตอ้ งมีเหตปุ ัจจยั หลายเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาข้ึนมา หากเราตอ้ งการแกไ้ ขปัญหากต็ อ้ งอาศยั เหตปุ ัจจยั ในการแกไ้ ขหลายเหตปุ ัจจยั ไมใ่ ช่มีเพียงปัจจยั เดียวหรือมีเพยี งหนทางเดียวในการแกไ้ ขปัญหา เป็นตน้ คาว่า \"เหตปุ ัจจยั \" พทุ ธศาสนาถือว่า ส่ิงท่ีทาใหผ้ ลเกิดข้นึ ไมใ่ ช่เหตุอยา่ งเดียว ตอ้ งมีปัจจยั ตา่ ง ๆ ดว้ ยเมื่อมีปัจจยั หลายปัจจยั ผลก็เกิดข้ึน ตวั อยา่ งเช่น เราปลกู มะมว่ ง ตน้ มะมว่ งงอกงามข้นึ มาตน้ มะมว่ งถือวา่ เป็นผลที่เกิดข้นึ ดงั น้นั ตน้ มะมว่ งจะเกิดข้ึนเป็นตน้ ท่ีสมบูรณ์ไดต้ อ้ งอาศยั เหตปุ ัจจยั หลายปัจจยั ท่ีก่อให้เกิดเป็นตน้ มะม่วงได้ เหตปุ ัจจยั เหล่าน้นั ไดแ้ ก่ เมลด็ มะม่วง ดิน น้า ออกซิเจน แสงแดด อณุ หภมู ิท่ีพอเหมาะ ป๋ ุย เป็นตน้ ปัจจยั เหล่าน้ีพรั่งพร้อมจึงก่อใหเ้ กิดตน้ มะม่วง ตวั อยา่ งความสมั พนั ธข์ องเหตปุ ัจจยั เช่น ปัญหาการมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนต่า ซ่ึงเป็นผลที่เกดิ จากการเรียนของนกั เรียน มีเหตปุ ัจจยั หลายเหตปุ ัจจยั ท่ีก่อให้เกิดการเรียนออ่ น เช่น ปัจจยั จากครูผสู้ อน ปัจจยั จากหลกั สูตรปัจจยั จากกระบวนการเรียนการสอนปัจจยั จากการวดั ผลประเมนิ ผล ปัจจยั จากตวั ของนกั เรียนเอง เป็ นตน้ ความสัมพนั ธ์ของเหตปุ ัจจยั หรือหลกั ปฏิจจสมุปบาท แสดงใหเ้ ห็นอาการของสิ่งท้งั หลายสัมพนั ธ์เน่ืองอาศยั เป็นเหตุปัจจยั ต่อกนั อยา่ งเป็นกระแส ในภาวะท่ีเป็นกระแสน้ี ขยายความหมายออกไปให้เหน็ แง่ตา่ ง ๆ ไดค้ ือ - ส่ิงท้งั หลายมีความสัมพนั ธต์ อ่ เน่ืองอาศยั เป็นปัจจยั แก่กนั - สิ่งท้งั หลายมีอยโู่ ดยความสัมพนั ธ์กนั - สิ่งท้งั หลายมีอยดู่ ว้ ยอาศยั ปัจจยั - ส่ิงท้งั หลายไมม่ ีความคงที่อยอู่ ยา่ งเดิมแมแ้ ตข่ ณะเดียว (มีการเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไมอ่ ยนู่ ่ิง) - สิ่งท้งั หลายไม่มีอยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คอื ไมม่ ีตวั ตนที่แทจ้ ริงของมนั - สิ่งท้งั หลายไม่มีมูลการณ์ หรือตน้ กาเนิดเดิมสุด แตม่ ีความสัมพนั ธ์แบบวฏั จกั ร หมุนวนจนไมท่ ราบวา่ อะไรเป็นตน้ กาเนิดท่ีแทจ้ ริง
วธิ ีแก้ปัญหาตามแนวพระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนาเนน้ การแกป้ ัญหาดว้ ยการกระทาของมนุษยต์ ามหลกั ของเหตผุ ล ไมห่ วงั การออ้ นวอนจากปัจจยั ภายนอก เช่น เทพเจา้ รุกขเทวดา ภตู ผปี ี ศาจ เป็นตน้ จะเห็นไดจ้ ากตวั อยา่ งคาสอนในคาถาธรรมบท แปลความว่า มนุษยท์ ้งั หลายถูกภยั คุกคามแลว้ พากนั ถึงเจา้ ป่ าเจา้ เขา เจา้ ภผู า ตน้ ไมศ้ กั ด์ิสิทธ์ิ เป็นท่ีพ่งึ แต่ส่ิงเหล่าน้นั ไมใ่ ช่สรณะอนั เกษม เมื่อยึดเอาส่ิงเหลา่ น้นั เป็นสรณะ (ที่พ่งึ ) ยอ่ มไม่สามารถหลุดพนั จากความทุกขท์ ้งั ปวง…แต่ชนเหล่าใดมาถึงพระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ รูเ้ ขา้ ใจอริยสัจ 4 เห็นปัญหา เหตเุ กดิ ของปัญหา ภาวะไร้ปัญหา และวิธีปฏิบตั ิใหถ้ ึงความสิ้นปัญหาจึงจะสามารถหลดุ พน้ จากทุกขท์ ้งั ปวงได\"้ ดงั น้นั มนุษยต์ อ้ งแกป้ ัญหาดว้ ยวิธีการของมนุษยท์ ี่เพยี รทาการดว้ ยปัญญาท่ีรู้เหตปุ ัจจยั หลกั การแกป้ ัญหาดว้ ยปัญญาของมนุษยค์ อื 1. ทกุ ข์ คอื การเกิดปัญหา หรือรู้ปัญหาท่ีเกิดข้ึน หรือรู้ว่าปัญหาท่ีเกิดข้นึ คอื อะไร 2. สมุทยั คือ การสืบหาสาเหตขุ องปัญหา 3. นิโรธ คือ กาหนดแนวทางหรือวธิ ีการแกไ้ ขปัญหาที่เกิดจากสาเหตุตา่ ง ๆ เหลา่ น้นั 4. มรรค คอื ปฏิบตั ิตามวธิ ีการใหถ้ ึงการแกไ้ ขปัญหา หรือวิธีการดบั ปัญหาได้ หลกั การแกป้ ัญหาตามหลกั อริยสัจ 4 น้ี มีคุณคา่ เด่นท่ีสาคญั พอสรุปไดด้ งั น้ี 1. เป็นวิธีการแห่งปัญญา ซ่ึงดาเนินการแกไ้ ขปัญหาตามระบบแห่งเหตผุ ล เป็นระบบวธิ ีแบบอยา่ ง ซ่ึงวธิ ีการแกป้ ัญหาใด ๆ กต็ าม ที่จะมีคณุ คา่ และสมเหตผุ ล จะตอ้ งดาเนินไปในแนวเดียวกนั เช่นน้ี 2. เป็นการแกป้ ัญหาและจดั การกบั ชีวิตของตน ดว้ ยปัญญาของมนุษยเ์ อง โดยนาเอาหลกั ความจริงท่ีมีอยตู่ ามธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ ไม่ตอ้ งอา้ งอานาจดลบนั ดาลของตวั การพเิ ศษเหนือธรรมชาติ หรือสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิใด ๆ 3. เป็นความจริงที่เกี่ยวขอ้ งกบั ชีวติ ของคนทุกคน ไมว่ ่ามนุษยจ์ ะเตลิดออกไปเก่ียวขอ้ งสัมพนั ธ์กบั สิ่งที่อยหู่ ่างไกลตวั กวา้ งขวางมากมายเพียงใดกต็ าม แต่ถา้ เขายงั จะตอ้ งมีชีวิตของตนเองที่มีคุณคา่ และสมั พนั ธ์กบั สิ่งภายนอกเหล่าน้นั อยา่ งมีผลดีแลว้ เขาจะตอ้ งเกี่ยวขอ้ งและใชป้ ระโยชนจ์ ากหลกั ความจริงน้ีตลอดไป 4. เป็นหลกั ความจริงกลาง ๆ ท่ีติดเนื่องอยกู่ บั ชีวติ หรือเป็นเรื่องของชีวิตเองแท้ ๆ ไม่ว่ามนุษยจ์ ะสร้างสรรคศ์ ิลปวทิ ยาการ หรือดาเนินกิจการใด ๆ ข้นึ มา เพื่อแกป้ ัญหาและพฒั นาความเป็นอยขู่ องตน และไมว่ ่าศิลป-วทิ ยาการ หรือกิจการตา่ ง ๆ น้นั จะเจริญข้นึ เสื่อมลง สูญสลายไป หรือเกิดมีใหมม่ าแทนอยา่ งไรก็ตาม หลกั ความจริงน้ีก็จะคงยนื ยงใหม่ และใชเ้ ป็นประโยชน์ไดต้ ลอดทกุ เวลา
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: