พระพุทธศาสนา นางสาวศภุ ิสรา ขนั ธวิธิ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4/2 เลขท่ี 10 กลุ่มสาระวชิ าสงั คมศึกษา
ประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประชาธิปไตยมาต้งั แตเ่ ริ่มแรก ก่อนท่ีพระพุทธเจา้ จะทรงมอบให้ พระสงฆ์เป็นใหญใ่ นกจิ การท้งั ปวงเสียอีกลกั ษณะทีเ่ ป็นประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนามีตวั อยา่ ง ดงั ต่อไปน้ี 1. พระพทุ ธศาสนามีพระธรรมวินยั เป็ นธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด พระธรรม คอื คาสอนท่ี พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง พระวนิ ยั คอื คาสง่ั อนั เป็นขอ้ ปฏบิ ตั ทิ พี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิข้ึนเมื่อรวมกนั เรียกว่า พระธรรมวนิ ยั ซ่ึงมีความสาคญั ขนาดที่พระพทุ ธเจา้ ทรงมอบใหเ้ ป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ก่อนที่พระองค์ จะปรินิพพานเพยี งเลก็ น้อย 2. มกี ารกาหนดลกั ษณะของศาสนาไว้เรียบร้อย ไม่ปลอ่ ยให้เป็นไปตามยถากรรม ลกั ษณะของพระพุทธศาสนาคอื สายกลาง ไมซ่ า้ ยสุด ไม่ขวาสุด ทางสายกลางน้ีเป็นครรลอง อาจปฏบิ ตั ิค่อนขา้ งเคร่งครัดก็ได้ โดยใชส้ ิทธิในการแสวงหา อดิเรกลาภตามท่ีทรงอนุญาตไว้ ในสมยั ตอ่ มา เรียกแนวกลางๆ ของพระพทุ ธศาสนาวา่ วิภชั ชวาที คือศาสนาท่ีกล่าวจาแนก แจกแจง ตามความเป็นจริงบางอยา่ งกลา่ วยนื ยนั โดยส่วนเดยี วได้ บางอย่างกล่าวจาแนกแจกแจงเป็นกรณี ๆ ไป 3. พระพุทธศาสนา มคี วามเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั บคุ คลท่ีเป็ นวรรณะกษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรมาแต่ เดมิ รวมท้งั คนวรรณะต่ากว่าน้นั เช่นพวกจณั ฑาล พวกปุกกุสะคนเก็บขยะ และพวกทาส เม่ือเขา้ มาอปุ สมบทใน พระพุทธศาสนาอย่างถกู ตอ้ งแลว้ มีความเทา่ เทียมกนั คอื ปฏบิ ัตติ ามสิกขาบทเทา่ กนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ ส คือผู้ อุปสมบทภายหลงั เคารพผอู้ ปุ สมบทกอ่ น 4. พระภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนา มีสิทธิ เสรีภาพภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั เชน่ ในฐานะภิกษเุ จา้ ถน่ิ จะมีสิทธิไดร้ บั ของ แจกกอ่ นภิกษุอาคนั ตุกะ ภิกษทุ จี่ าพรรษาอยู่ดว้ ยกนั มสี ิทธิไดร้ ับของแจกตามลาดบั พรรษา มสี ิทธิรบั กฐิน และไดร้ ับ อานิสงส์กฐินในการแสวงหาจีวรตลอด 4 เดอื นฤดูหนาวเท่าเทยี มกนั นอกจากน้นั ยงั มีเสรีภาพทจ่ี ะเดินทางไปไหนมาไหน ได้ จะอยจู่ าพรรษาวดั ใดก็ได้เลือกปฏิบัตกิ รรมฐานขอ้ ใด ถือธุดงควตั รขอ้ ใดก็ไดท้ ้งั สิ้นฃ 5. มกี ารแบ่งอานาจ พระเถระผูใ้ หญท่ าหน้าทีบ่ ริหารปกครองหมคู่ ณะ การบญั ญตั พิ ระวนิ ยั พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิ เอง เชน่ มีภกิ ษุผูท้ าผดิ มาสอบสวนแลว้ จงึ ทรงบญั ญตั ิพระวนิ ยั ส่วนการตดั สินคดีตามพระวินยั ทรงบญั ญตั ิแลว้ เป็นหนา้ ท่ี ของพระวนิ ยั ธรรมซ่ึงเทา่ กบั ศาล 6. พระพุทธศาสนามีหลกั เสียงข้างมาก คอื ใชเ้ สียงขา้ งมาก เป็นเกณฑ์ตดั สิน เรียกวา่ วิธีเยภุยยสิกา การตดั สินโดย ใชเ้ สียงขา้ งมาก ฝ่ายใดไดร้ บั เสียงขา้ งมากสนบั สนุน ฝ่ายน้นั เป็นฝ่ายชนะคดี ☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺☺
หลกั ประชาธิปไตยในการท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงมอบความเป็นใหญ่แก่สงฆ์ การมอบความเป็นใหญแ่ ก่สงฆม์ ีลกั ษณะตรงกบั หลกั ประชาธิปไตยหลายประการ ส่วนมากเป็นเรื่องสงั ฆกรรม คือการ ประชมุ กนั ทากจิ สงฆอ์ ย่างใดอยา่ งหน่ึงให้สาเร็จ การทาสังฆกรรมประกอบดว้ ยส่วนสาคญั 5 ประการ ถา้ ทาผิดพลาด ประการใดประการหน่ึง จะทาใหส้ งั ฆกรรมน้นั เสียไป ใชไ้ มไ่ ด้ ไม่มีผล คือเป็นโมฆะ ส่วนสาคญั 5 ประการมีดงั น้ีคือ 1 จานวนสงฆ์อยา่ งต่าทีเ่ ขา้ ประชุม การกาหนดจานวนสงฆผ์ เู้ ขา้ ประชุมอยา่ งต่าวา่ จะทาสังฆกรรมอยา่ งใดไดบ้ า้ ง มี 5 ประเภท คือ 1.1 ภกิ ษุ 4 รูปเขา้ ประชุม เรียกวา่ สงฆจ์ ตุรวรรค สามารถทาสังฆกรรมไดเ้ กือบทกุ ชนิด เวน้ แต่ การอปุ สมบทหรือการบวช พระ การปวารณาหรือ พิธีกรรมในวนั ออกพรรษาทที่ รงอนุญาตใหว้ า่ กลา่ วตกั เตือนกนั และกนั และการสวดอพั ภาน หรือ การเพกิ ถอนอาบตั ิหนกั ของภกิ ษบุ างรูป 1.2 ภกิ ษุ 5 รูป เขา้ ประชมุ เรียกวา่ สงฆป์ ัญจวรรค สามารถทาสังฆกรรมท่สี งฆ์จตุรวรรค ทาไดท้ ้งั หมด และยงั เพ่ิมการ ปวารณา การอปุ สมบทในชนบทชายแดนไดอ้ กี ดว้ ย 1.3 ภกิ ษุ 10 รูป เขา้ ประชุม เรียกวา่ สงฆท์ สวรรค สามารถทาสังฆกรรมที่สงฆ์ปัญจวรรคทาไดท้ ้งั หมด และยงั เพม่ิ การ อุปสมบทในมชั ฌิชนบท คอื ในภาคกลางของอินเดยี ไดอ้ ีกดว้ ย 1.4 ภกิ ษุ 20 รูปเขา้ ประชุม เรียกวา่ สงฆ์วสี ตวิ รรค สามารถทาสงั ฆกรรมไดท้ ุกชนิด รวมท้งั สวดอพั ภาน เพกิ ถอนอาบตั ิหนกั ดว้ ย 1.5 ภิกษุกวา่ 20 รูปเขา้ ประชมุ เรียกว่า อติเรกวสี ตวิ รรค สามารถทาสงั ฆกรรมไดท้ กุ ชนิด สาหรบั ประเพณีไทย นิยมนิมนต์ ภกิ ษเุ ขา้ ประชุมใหเ้ กนิ จานวนอย่างตา่ ของการทาสงั ฆกรรมน้นั ๆ เสมอ เพ่ือให้ถกู ตอ้ งอย่างไม่มีโอกาสผดิ พลาดในเรื่อง จานวนสงฆ์ 2 สถานทปี่ ระชุมของสงฆเ์ พือ่ ทาสงั ฆกรรม เรียกว่า สีมา แปลวา่ เขตแดน สีมา หมายถึงพ้ืนดิน ไมใ่ ชอ่ าคาร อาคารจะสร้างเป็นรูปทรงอยา่ งไรหรือไม่มีอาคารเลยก็ได้ สีมามี 2 ประเภทใหญๆ่ คอื พทั ธสีมา สีมาทผ่ี ูกแลว้ และอพทั ธ สีมา สีมาท่ีไม่ตอ้ งผกู พทั ธสีมามหี ลายชนิด จะกล่าวเฉพาะวสิ ุงคามสีมา แปลวา่ สีมาในหมู่บา้ น ซ่ึงแยกออกตา่ งหากจาก อาณาเขตของประเทศ การขอวิสุงคามสีมาตอ้ งขอจากประมุขของรฐั ในประเทศไทยขอพระราชทานจากพระบาทสมเด็จ พระเจา้ อยหู่ วั ในประเทศมาเลเซีย ขอพระราชทานจากพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา ขอจากผวู้ า่ การ มลรฐั ท่วี ดั ต้งั อยู่ ไมใ่ ช่ขอจากประธานาธิบดี เพราะเป็นประเทศสหรฐั อเมริกา เมื่อขอแลว้ ตอ้ งทาพธิ ีถอนสีมาในบริเวณน้นั ซ่ึงอาจเคยเป็นวดั ผูกพทั ธสีมามาแลว้ ในสมยั โบราณกไ็ ด้ แลว้ ทาพิธีผูกพทั ธสีมา สีมาซ่ึงทาสังฆกรรมผกู แลว้ น้ีจะคงอยู่ ตลอดไปจนกว่าโลกน้ีแตกสลาย กลายเป็นธุลีคอสมคิ ยกเวน้ จะทาพิธีถอนสีมาเสีย อพทั ธสีมามีมากมายหลายชนิดเชน่ เดยี วกนั จะกล่าวเฉพาะสีมาน้า หรือเรียกว่า อุทกุกเขปสีมา แปลวา่ สีมาชว่ั วกั น้าสาด สีมาชนิดน้ีไม่ตอ้ งผูกแต่สร้างอาคาร หรืออยู่ในเรือแพ ภายในหนองบึง แม่น้า ทะเล ซ่ึงมนี ้าขงั ตลอดปี และอยหู่ ่างจากฝ่ัง ประมาณ 2 ชว่ั วกั น้าสาดของบรุ ุษผมู้ ีกาลงั ปานกลาง สีมาน้าน้ีใชท้ าสงั ฆกรรมไดเ้ หมือนวสิ ุงคามสีมาเชน่ กนั ส่วนมากนิยม ทากนั ในวดั หรือสานกั สงฆ์ท่ยี งั ไมไ่ ดข้ อพระราชทานวิสุงคามสีมา การกาหนดสีมาข้นึ น้ี เพื่อป้องกนั ไมใ่ ห้ใครเขา้ มายุง่ เก่ยี ว ทาให้สงั ฆกรรมเสียไป หรือมีเจตนามาทาลายสงฆ์ทราบ ผูป้ ระกาศมีรูปเดยี วหรือ 2 รูป กไ็ ด้ เรียกว่า พระค่สู ังฆกรรม โดยตรง เพราะภายในสีมาน้นั สงฆ์มีอานาจสิทธิขาด ใครจะอา้ งเป็นเจา้ ของไมไ่ ด้
3 การประกาศเรื่องทีป่ ระชมุ และการประกาศขอความเห็นชอบ สงฆจ์ ะประชุมกนั ทาสงั ฆกรรมเร่ืองอะไรก็ตาม จะตอ้ งมีการประกาศเรื่องน้นั ให้สงฆ์ทราบ ผูป้ ระกาศมีรูปเดียวหรือ 2 รูป กไ็ ด้ เรียกวา่ พระค่สู วดหรือพระกรรมวาจาจารย์ เมือ่ ประกาศให้ทราบแลว้ ยงั มีการประกาศขอความเห็นชอบจากสงฆ์อีก ถา้ เป็นเรื่องไม่สาคญั นกั มีการประกาศให้ ทราบ 1 คร้งั และประกาศขอความเหน็ ชอบอีก 1 คร้ังเรียกว่า ญตั ติทุติยกรรม เชน่ การประกาศมอบผา้ กฐินแก่ภิกษุรูปใดรูป หน่ึง การแตง่ ต้งั ภิกษเุ ป็นเจา้ หน้าท่ีทาการสงฆต์ า่ งๆ ถา้ เป็นเรื่องสาคญั มาก มกี ารประกาศใหท้ ราบ 1 คร้ัง และประกาศขอ ความเหน็ อีก 3 คร้ัง รวมเป็น 4 คร้งั เรียกวา่ ญตั ติจตุตถกรรม เชน่ การให้อปุ สมบท การลงโทษภิกษผุ ปู้ ระพฤตมิ ิชอบ 7 อย่าง มีตชั ชนียกรรม (การตาหนิโทษ) เป็นตน้ การยกโทษเมอ่ื ภกิ ษุน้นั ประพฤตติ นดแี ลว้ และการแตง่ ต้งั ภิกษุให้เป็นผสู้ อนภกิ ษุณี เป็ นตน้ 4 สิทธิของภิกษุผูเ้ ขา้ ประชมุ ภกิ ษผุ เู้ ขา้ ร่วมประชมุ ทาสังฆกรรมทุกรูปมีสิทธิแสดงความคิดเห็นท้งั ในทางเห็น ดว้ ยและในทางคดั คา้ น ตามปกติเมื่อภิกษผุ ูป้ ระกาศ หรือพระคู่สวดถามความคดิ เหน็ ของที่ประชุม ถา้ เห็นดว้ ย ให้ใชว้ ิธีนิ่ง ถา้ ไม่เหน็ ดว้ ยให้คดั คา้ นข้ึน จะตอ้ งมกี ารทาความเขา้ ใจกนั จนกว่าจะยอมเห็นดว้ ย ถา้ ภิกษุผคู้ ดั คา้ น ยงั คงยนื กรานไมเ่ หน็ ดว้ ย การทาสังฆกรรมน้นั ๆ เช่น การอปุ สมบท หรือการมอบผา้ กฐินย่อมไมส่ มบรู ณ์ จึงเห็นไดว้ ่า มตขิ องท่ีประชุมตอ้ งเป็น เอกฉันทค์ อื เหน็ พร้อมกนั ทุกรูป 5 มตทิ ปี่ ระชุม การทาสังฆกรรมท้งั หมด มติของทป่ี ระชุมตอ้ งเป็นเอกฉนั ท์ คอื เป็นทีย่ อมรบั ของภิกษุทุกรูป ท้งั น้ีเพราะในสังฆมณฑลน้นั ภกิ ษุท้งั หลายตอ้ งอยูร่ ่วมกนั มคี วามไวเ้ น้ือเช่ือใจกนั กลา่ วคอื มศี ีลและมคี วามเห็นเหมือน ๆ กนั จงึ จะมีความสามคั คี สืบตอ่ พระพทุ ธศาสนาไดอ้ ยา่ งถาวร แตใ่ นบางกรณี เมอื่ ภิกษุมคี วามเหน็ แตกตา่ งกนั เป็นสองฝ่าย และมีจานวนมากดว้ ยกนั ตอ้ งหาวธิ ีระงบั โดยวธิ ีจบั ฉลาก หรือการลงคะแนนเพ่อื ดูว่าฝ่ายไหนได้เสียงขา้ งมาก ก็ตดั สินไป ตามเสียงขา้ งมากน้นั วธิ ีน้ีเรียกวา่ เยภยุ ยสิกา การถอื เสียงขา้ งมากเป็นประมาณ ตามหลกั ประชาธิปไตยทว่ั ไป ซ่ึงแสดงว่า มตทิ ี่ประชมุ ไม่ไดใ้ ชม้ ติเอกฉนั ทเ์ สมอไป
หลักการพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การวิทยาศาสตร์ หลกั การของพระพุทธศาสนากบั หลกั การของวิทยาศาสตร์มีท้งั ส่วนทสี่ อดคลอ้ ง และส่วนท่แี ตกตา่ งกนั ดงั ต่อไปน้ี ความสอดคล้องกนั ของหลักการของพระพทุ ธศาสนากบั หลักการวทิ ยาศาสตร์ 1. ในด้านความเช่ือ หลกั การวิทยาศาสตร์ ถือหลักว่า จะเช่ืออะไรน้นั จะตอ้ งมกี ารพิสูจนใ์ ห้เหน็ จริงไดเ้ สียกอ่ น วทิ ยาศาสตร์เช่ือในเหตุผล ไม่เชื่ออะไรลอย ๆ และตอ้ งมีหลกั ฐานมายืนยนั วทิ ยาศาสตร์ไมอ่ าศยั ศรทั ธาแตอ่ าศยั เหตผุ ล เชื่อ การทดลองวา่ ให้ความจริงแกเ่ ราได้ แต่ไมเ่ ชื่อการดลบนั ดาลของส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ เพราะทกุ อย่างดาเนินอย่างมีกฎเกณฑ์ มี เหตุผล และวิทยาศาสตร์อาศยั ปัญญาและเหตุผลเป็นตวั ตดั สินความจริง วทิ ยาศาสตร์มีความเชื่อวา่ สรรพสิ่งในจกั รวาลลว้ น ดาเนินไปอย่างมเี หตผุ ล มคี วามเป็นระเบียบและมีกฎเกณฑ์ทแ่ี น่นอน หลกั การทางพระพทุ ธศาสนา มหี ลกั ความเช่ือเช่นเดียวกบั หลกั วิทยาศาสตร์ ไม่ไดส้ อนให้มนุษยเ์ ช่ือและศรทั ธาอยา่ งงมงาย ในอทิ ธิปาฏหิ าริย์ และอาเทศนาปาฏิหาริย์ แต่สอนให้ศรัทธาในอนุสาสนีปาฏหิ าริย์ ทีจ่ ะกอ่ ใหเ้ กิดปัญญาในการแกท้ กุ ข์ แกป้ ัญหาชีวติ ไม่สอนให้เชื่อใหศ้ รัทธาในสิ่งทีอ่ ย่นู อกเหนือประสาทสัมผสั เช่นเดยี วกบั วทิ ยาศาสตร์ สอนให้มนุษยน์ าเอา หลกั ศรทั ธาโยงไปหาการพสิ ูจน์ดว้ ยประสบการณ์ ดว้ ยปัญญา และดว้ ยการปฏบิ ตั ิ ดงั หลกั ของความเช่ือใน “กาลาม สูตร” คืออย่าเช่ือ เพยี งเพราะให้ฟังตามกนั มา อย่าเช่ือ เพยี งเพราะไดเ้ รียนตามกนั มา อยา่ เช่ือ เพียงเพราะไดถ้ อื ปฏิบัติสืบตอ่ กนั มา อย่าเชื่อ เพียงเพราะเสียงเล่าลือ อยา่ เช่ือ เพียงเพราะอา้ งตารา อยา่ เช่ือ เพียงเพราะตรรกะ หรือนึกคิดเอาเอง อยา่ เช่ือ เพยี งเพราะอนุมานหรือคาดคะเนเอา อยา่ เชื่อ เพียงเพราะคิดตรองตามแนวเหตผุ ล อย่าเชื่อ เพียงเพราะตรงกบั ทฤษฎขี องตนหรือความเหน็ ของตน อย่าเช่ือ เพียงเพราะรูปลกั ษณะน่าเชื่อ อย่าเช่ือ เพียงเพราะทา่ นเป็นสมณะหรือเป็นครูอาจารยข์ องเรา ในหลกั กาลามสูตรน้ี พระพทุ ธเจา้ ยงั ตรสั ตอ่ ไปว่า จะตอ้ งรูเ้ ขา้ ใจดว้ ยว่า ส่ิงเหลา่ น้ีเป็นกศุ ล หรืออกุศล ถา้ รู้วา่ เป็นอกศุ ล มี โทษ ไม่เป็นประโยชน์ ทาให้เกดิ ทุกข์ พงึ ละเสีย ถา้ รูว้ ่าเป็นกศุ ล มคี ณุ เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อความสุข ก็ใหถ้ ือปฏิบตั ิ นนั่ คือศรัทธาหรือความเช่ือทกี่ อ่ ให้เกดิ ปัญญา
2. ในด้านความรู้ ท้งั หลกั การทางวิทยาศาสตร์และหลกั การของพระพทุ ธศาสนา ยอมรบั ความรู้ท่ไี ดจ้ าก ประสบการณ์ หมายถึง การท่ตี า หู จมกู ล้ิน กาย ไดป้ ระสบกบั ความรู้สึกนึกคดิ เช่น รูส้ ึกดีใจ รูส้ ึกอยากได้ เป็นตน้ วทิ ยาศาสตร์เร่ิมตน้ จากประสบการณ์คือ จากการทไี่ ดพ้ บเห็นสิ่งตา่ ง ๆ แลว้ เกดิ ความอยากรูอ้ ยากเหน็ ก็แสวงหาคาอธิบาย วทิ ยาศาสตร์ไมเ่ ชื่อหรือยดึ ถอื อะไรลว่ งหนา้ อย่างตายตวั แตจ่ ะอาศยั การทดสอบดว้ ยประสบการณส์ ืบสาวไปเรื่อย ๆ จะไม่ อา้ งอิงถงึ สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิใด ๆ ทีอ่ ยนู่ อกเหนือประสบการณแ์ ละการทดลอง วทิ ยาศาสตร์แสวงหาความจริงสากล ไดจ้ ากฐานท่ี เป็นความจริงเฉพาะองคค์ วามรูใ้ นทางวทิ ยาศาสตร์ไดจ้ ากประสบการณ์ ความรูใ้ ดท่อี ยู่นอกขอบเขตของประสบการณ์ไมถ่ ือ ว่าเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์พระพุทธเจา้ ก็ทรงเริ่มคิดจากประสบการณ์คือ ประสบการณ์ท่ีไดเ้ หน็ ความเจบ็ ความแก่ ความตาย และท่สี าคญั ทสี่ ุดคอื ความทุกข์ พระองคม์ ีพระประสงคท์ ่ีจะคน้ หาสาเหตขุ องทกุ ขใ์ นการคน้ หาน้ี พระองคม์ ิได้ เชื่ออะไรลว่ งหนา้ อย่างตายตวั ไมท่ รงเช่ือว่ามีพระผูเ้ ป็นเจา้ หรือสิ่งศกั ด์สิ ิทธ์ิใด ๆ ท่ีจะให้คาตอบไดแ้ ต่ไดท้ รงทดลองโดย อาศยั ประสบการณข์ องพระองคเ์ องดงั เป็นที่ทราบกนั ดอี ยู่แลว้ หลกั การพระพุทธศาสนาและหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์มสี ่วนที่ตา่ งกนั ในเร่ืองน้ีคอื วทิ ยาศาสตร์เนน้ ความสนใจกบั ปัญหาที่ เกดิ ข้ึนจากประสบการณ์ดา้ นประสาทสมั ผสั (ตา หู จมูก ลน้ิ กาย) ส่วนพระพุทธศาสนาเน้นความสนใจกบั ปัญหาที่เกิดทาง จติ ใจ หลกั การทางพระพทุ ธศาสนามีส่วนคลา้ ยคลงึ กบั หลกั การทางวิทยาศาสตร์ในหลายประการ เช่น ในขณะทีม่ ี นกั วิทยาศาสตร์กลุ่มหน่ึงมงุ่ แสวงหาความจริงของธรรมชาติท่เี รียกวา่ วิทยาศาสตร์บริสุทธ์ิ และมนี กั วิทยาศาสตร์อกี กลุม่ หน่ึงมงุ่ แสวงหาความรูท้ ่ีจะนามาก่อใหเ้ กิดประโยชน์ต่อมนุษยท์ ่เี รียกวา่ วิทยาศาสตร์ประยกุ ต์ หลกั การพระพทุ ธศาสนาก็เชน่ เดียวกนั พระพุทธเจา้ ตรสั รู้พระสัทธรรมเพื่อสอนใหม้ นุษยเ์ กิดปัญญา 2 ทางคอื ทางแรก สอนใหเ้ กดิ ความรู้ความเขา้ ใจทีถ่ ูกตอ้ งในธรรมชาตแิ ละในกฎธรรมชาติ เช่น สอนใหร้ ูห้ ลักอทิ ปั ปัจจยตา หลกั ไตรลกั ษณ์ หลกั อริยสจั หลกั เบญจขนั ธ์ ทางทส่ี อง สอนใหเ้ กดิ ความรูค้ วามเขา้ ใจในคณุ คา่ ทางจริยธรรม เพื่อนาไปใชไ้ ปปฏิบตั ิให้ เกิดผลดีตอ่ ตนเอง ต่อสงั คม และต่อธรรมชาตทิ ี่เรียกวา่ ไตรสิกขา สอนใหล้ ะเวน้ ความชว่ั สอนใหก้ ระทาความดี และสอน ใหท้ าจติ ใจให้สงบบริสุทธ์ิ “วิทยาศาสตร์นาเอาความรู้จากกฎธรรมชาติ โดยสอนให้มนษุ ย์รู้จักใช้เทคโนโลยี เพ่อื ควบคมุ ธรรมชาติ ส่วนปรัชญาพทุ ธ สอนให้มนุษย์นาสัจธรรมมาสร้างจรยิ ธรรมเพอ่ื ดาเนนิ ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ สอนให้มนุษย์ใช้ปญั ญา ในการ แก้ปญั หาชีวติ และพฒั นาคุณภาพชีวติ ”
ความแตกต่างของหลกั การพระพทุ ธศาสนากบั หลักการทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ม่งุ เข้าใจปรากฎการณ์ทางธรรมชาตหิ ลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ม่งุ เข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ ตอ้ งการรูว้ า่ อะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นผลท่ีตามมา เชน่ เมื่อเกิดฟ้าผ่า ตอ้ งรู้ อะไรคอื สาเหตุของฟ้าผ่า และผลท่ีตามมาหลงั จากฟ้าผ่าแลว้ จะเป็นอย่างไร วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ วธิ แี ก้ปญั หาแบบอริยสัจ หลกั การพระพทุ ธศาสนากม็ ุง่ เขา้ ใจปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ เช่นเดยี วกนั แต่ต่าง • กำหนดปัญหำ • กำหนดทุกข์ ตรงที่ พระพทุ ธศาสนาเนน้ เป็นพิเศษเก่ยี วกบั วิถชี ีวิตของมนุษยม์ ากกวา่ กฎ • ตงั ้ สมมตุ ฐิ ำน • สบื สำวสมทุ ัย เกีย่ วกบั ส่ิงท่ีไรช้ ีวติ จดุ หมายปลายทางของพระพุทธศาสนาคือ สอนใหค้ นเป็น • สังเกตและทำกำรทดลอง • นโิ รธ คนดขี ้นึ พฒั นาข้ึน สมบูรณ์ข้นึ • วเิ ครำะหข์ ้อมูล • มรรคขนั ้ ที่ 1 • สรุปข้อมลู • มรรคขนั ้ ท่ี 2 2. ต้องการเรียนรู้กฎธรรมชาติ หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ตอ้ งการ • มรรคขนั ้ ท่ี 3 เรียนรูก้ ฎธรรมชาตแิ ละหาทางควบคมุ ธรรมชาติ หรือเอาชนะธรรมชาติ พดู อกี อย่างหน่ึงก็คอื วทิ ยาศาสตร์เนน้ การควบคุมธรรมชาตภิ ายนอกมุง่ แกป้ ัญหา ภายนอกวทิ ยาศาสตร์ถอื วา่ การพสิ ูจนท์ ดลองทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่นามาแสดงให้สาธารณชนประจกั ษช์ ดั เป็นหลกั ฐาน ยนื ยนั ในส่ิงท่ีคน้ พบน้นั ได้ จงึ จะเป็นการยอมรับในวงการวทิ ยาศาสตร์ หลกั การพระพทุ ธศาสนาเป็นการทดสอบความรูส้ ึกทกุ ข์ หรือไมเ่ ป็นทกุ ข์ ซ่ึงเป็นสิ่งทป่ี ระจกั ษช์ ดั ในจิตใจเฉพาะตน ไม่ สามารถตแี ผ่ใหส้ าธารณชนประจกั ษด์ ว้ ยสายตา แตพ่ ิสูจนท์ ดลองได้ด้วยความรู้สึกในจติ ใจ และหลกั การพระพุทธศาสนา ไมไ่ ดเ้ นน้ ในเรื่องใหส้ าธารณชนยอมรบั หรือไมย่ อมรบั มงุ่ ใหศ้ กึ ษาเข้าไปในจิตใจตนเอง แตม่ ่งุ แสวงหาความจริงจากท้งั ภายนอกและภายในตวั มนุษยอ์ นั เป็นเหตทุ ่ีทาให้เกดิ ปัญหา ทางดา้ นจิตวิญญาณอนั เป็นผลกระทบต่อการดารงชีวติ และต่อ คุณภาพชีวิต สอนใหค้ นควบคุมภายในจติ ใจตวั เอง ลาพงั แต่ความสามารถท่ีควบคมุ ธรรมชาติได้ ไม่อาจทาใหค้ วามสงบสุข เกิดข้นึ ในโลกมนุษย์ มนุษยต์ อ้ งรูจ้ กั ควบคุมตนเอง ใหม้ ีจติ ใจดีงามดว้ ย สันตสิ ุขที่แทจ้ ริงจึงจะเกิดข้ึนได้ และสอนมนุษย์ ดารงชีวิตใหส้ อดคลอ้ งกลมกลืนกบั ธรรมชาติส่ิงแวดลอ้ ม 3. ยอมรับโลกแห่งสสาร ธรรมชาติและสรรพสิ่งท้งั หลายที่มีอยจู่ ริง รวมท้งั ปรากฏการณ์และความเป็นจริง ตามภาวะวสิ ยั ดว้ ย ซ่ึงสรรพสิ่งเหล่าน้ีมอี ยตู่ า่ งหากจากตวั เรา เป็นอิสระจากตวั เรา และเป็นส่ิงทส่ี ะทอ้ นข้ึนในจิตสานึกของ คนเราเม่ือไดส้ ัมผสั มนั อนั ทาให้ไดร้ ับรู้ถงึ ความมอี ยขู่ องสิ่งน้นั ๆ กลา่ วโดยทว่ั ไปแลว้ สสารมีคุณลกั ษณะ 3 ประการคือ 1) เคลอื่ นไหวอยู่เสมอ 2) เปล่ยี นแปลงอยเู่ สมอ 3) การเคล่ือนไหวและการเปลี่ยนแปลง ดงั กล่าวน้นั มใิ ช่เป็นการเคลือ่ นไหวเปลีย่ นแปลงอยา่ งส่งเดช แต่หากเป็นการ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยา่ งมกี ฎเกณฑ์ทเี่ รียกกนั ว่า กฎแห่งธรรมชาติ
วทิ ยาศาสตร์ยอมรบั โลกแห่งสสารซ่ึงเทียบไดก้ บั “รูปธรรม” ในความหมายของพระพุทธศาสนา อนั หมายถึงส่ิงทม่ี อี ยจู่ ริง ทางภาววิสยั ที่อวยั วะสัมผสั ของมนุษยส์ มั ผสั ได้ วิทยาศาสตร์ม่งุ ศึกษาดา้ นสสารและพลงั งาน ยอมรับโลกแห่งสสาร ทีร่ บั รู้ ดว้ ยประสาทสมั ผสั ท้งั 5 วา่ มีจริง โลกท่อี ยู่พน้ จากน้นั วิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับ ส่วนแนวคดิ ทางพระพุทธศาสนาน้ี ช้ีว่าสัจ ธรรมสูงสุด (นิพพาน) ซ่ึงเป็นสภาวะท่ีประสาทสัมผสั ของมนุษยป์ ุถุชนที่เตม็ ไปดว้ ยกิเลส ตณั หา ไมส่ ามารถรับรู้ได้ พระพทุ ธศาสนาแบง่ สิ่งทม่ี อี ยูจ่ ริงของสองพวกใหญ่ ๆ คอื “สงั ขตธรรม” (ส่ิงทปี่ ัจจยั ปรุงแตง่ ) ไดแ้ ก่ สสารและ “อสังขต ธรรม” (ส่ิงท่ีปัจจยั มิไดป้ รุงแตง่ ) คอื นิพพาน วทิ ยาศาสตร์ยอมรบั ว่าสังขตธรรมมีจริง แตอ่ สงั ขตธรรมอยู่เหนือการรบั รูข้ อง วิทยาศาสตร์ สัจธรรมในพระพทุ ธศาสนาน้นั มที ้งั ที่สามารถแสดงใหเ้ หน็ ประจกั ษเ์ ป็นสาธารณะไดแ้ ละไม่สามารถแสดงใหป้ ระจกั ษเ์ ป็น สาธารณะได้ แต่แสดงโดยการประจกั ษใ์ นตนเองได้ (หมายถึงมีท้งั ท่ีสามารถรับรูด้ ว้ ยประสาทสมั ผสั และรบั รู้ดว้ ยใจ) ความ จริงระดบั ตน้ ๆ และระดบั กลาง ๆ ใคร ๆ ก็อาจเขา้ ใจและเหน็ จริงได้ เชน่ คนโลภมาก ๆ อิจฉามาก ๆ ไมม่ คี วามสงบสุขแห่ง จิตใจอย่างไรบา้ ง คนทีม่ เี มตตา ไมป่ รารถนารา้ ยต่อใคร ๆ มคี วามสุข ไมม่ เี วร ไม่มีภยั อย่างไรบา้ ง ความจริงเหลา่ น้ี ลว้ น สามารถแสดงใหป้ ระจกั ษไ์ ด้ ช้ีให้ดตู วั อยา่ งได้ แต่ปรมตั ถธรรม อนั สูงสุดน้นั ผูท้ ไ่ี ดพ้ บแลว้ ยากจะอธิบายให้คนอ่นื เขา้ ใจได้ เป็นสภาวะทผ่ี ูร้ ู้เอง เหน็ เอง จะพึงประจกั ษเ์ ฉพาะตวั 4. มงุ่ ความจริงมาตีแผ่ วทิ ยาศาสตร์น้นั แสวงหาความรูจ้ ากธรรมชาตแิ ละจากกฎธรรมชาติท่มี อี ยู่ภายนอกตวั มนุษย์ (มุ่งเนน้ ทางวตั ถุหรือสสาร) ไมไ่ ดส้ นใจเรื่องศลี ธรรม เรื่องความดคี วามชวั่ สนใจเพียงคน้ ควา้ เอาความจริงมาตีแผ่ให้ ประจกั ษเ์ พยี งดา้ นเดียว เช่น วิทยาศาสตร์พบเร่ืองการระเบิด แตค่ วรระเบิดอะไร ไมค่ วรระเบิดอะไร ไมอ่ ยู่ในขอบขา่ ยของ วทิ ยาศาสตร์ การคน้ พบทางวิทยาศาสตร์จึงมีท้งั คุณอนนั ต์และมีโทษมหันต์ กระบวนการผลติ ทางวทิ ยาศาสตร์ก่อใหเ้ กิด ผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม คาสอนทางพระพทุ ธศาสนาน้นั เน้นเร่ืองศลี ธรรม ความดีความชวั่ มุ่งใหม้ นุษยม์ คี วามสุข เป็น ลาดบั ข้นึ ไปเรื่อย ๆ จนถงึ ความสงบสุข อนั สูงสุดคอื นิพพาน ฉะน้นั กระบวนการปฏบิ ตั ธิ รรมในพทุ ธศาสนาจึงส่งเสริมให้ มนุษยอ์ นุรักษธ์ รรมชาติ อนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม คาสอนทางพระพทุ ธศาสนาน้นั เนน้ เร่ืองศลี ธรรม ความดีความชว่ั มุ่งใหม้ นุษยม์ ีความสุข เป็นลาดบั ข้ึนไปเร่ือย ๆ จนถึง ความ สงบสุข อนั สูงสุดคือนิพพาน ฉะน้นั กระบวนการปฏิบตั ธิ รรมในพทุ ธศาสนาจึงส่งเสริมใหม้ นุษยอ์ นุรักษธ์ รรมชาติ อนุรกั ษ์ สิ่งแวดลอ้ ม
การคดิ ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนากับการคิดแบบวทิ ยาศาสตร์ การคดิ ตามนัยแห่งพระพทุ ธศาสนา การคิดตามนยั แห่งพระพทุ ธศาสนา เป็นการศึกษาถงึ วธิ ีการแกป้ ัญหาตามแนว พระพุทธศาสนา ทเ่ี รียกวา่ วธิ ีการแกป้ ัญหาแบบอริยสัจ มดี งั น้ีคอื (พระราชวรมุนี. 2540 : 43-46) 1. ข้นั กาหนดรู้ทกุ ข์ การกาหนดรู้ทุกขห์ รือการกาหนดปัญหาวา่ คอื อะไร มขี อบเขตของปัญหาแค่ไหน หน้าท่ที ่คี วรทาในข้นั แรกคอื ให้เผชิญหนา้ กบั ปัญหา แลว้ กาหนดรู้สภาพและขอบเขตของปัญหาน้นั ให้ได้ ขอ้ สาคญั คอื อย่า หลบปัญหาหรือคดิ ว่าปัญหาจะหมดไปเองโดยท่ีเราไมต่ อ้ งทาอะไร หนา้ ที่ในข้นั น้ีเหมือนกบั การท่หี มอตรวจอาการของ คนไขเ้ พื่อใหร้ ูว้ ่าเป็นโรคอะไร ทีส่ ่วนไหนของร่างกาย ลุกลามไปมากนอ้ ยเพยี งใด ในธัมมจกั กปั ปวตั ตนสูตร มตี วั อยา่ งการ กาหนดรู้ทกุ ข์ตามแนวทางของพุทธพจน์ทีว่ ่า “เกดิ เป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข…์ ปรารถนาสิ่งใดไมไ่ ดส้ ่ิงน้นั เป็น ทุกข”์ 2. ข้นั สืบสาวสมทุ ยั ไดแ้ ก่เหตขุ องทกุ ขห์ รือสาเหตุของปัญหา แลว้ กาจดั ให้หมดไป ข้นั น้ีเหมือนกบั หมอ วนิ ิจฉยั สมฏุ ฐานของโรคกอ่ นลงมอื รักษา ตวั อยา่ งสาเหตุของปัญหาที่พระพุทธเจา้ แสดงไวค้ อื ตณั หา ไดแ้ ก่ กามตณั หา ภวตณั หา และวภิ วตณั หา 3. ข้นั นิโรธ ไดแ้ กค่ วามดบั ทุกข์ หรือสภาพท่ีไร้ปัญหา ซ่ึงทาให้สาเร็จเป็นจริงข้นึ มา ในข้นั น้ีตอ้ ง ต้งั สมมตฐิ านว่าสภาพไร้ปัญหาน้นั คอื อะไร เขา้ ถงึ ไดห้ รือไม่ โดยวิธีใด เหมือกบั การทีห่ มอตอ้ งคาดวา่ โรคน้ีรกั ษาให้ หายขาดไดห้ รือไม่ ใชเ้ วลารักษานานเท่าไร ตวั อยา่ งเช่น นิพพาน คอื การดบั ทกุ ข์ท้งั ปวงเป็นส่ิงท่เี ราสามารถบรรลถุ งึ ไดใ้ น ชาติน้ีดว้ ยการเจริญสติพฒั นาปัญญาเพ่อื ตดั อวชิ ชา และดบั ตณั หา 4. ข้นั เจริญมรรค ไดแ้ ก่ ทางดบั ทุกข์ หรือวิธีแกป้ ัญหา ซ่ึงเรามหี นา้ ท่ีลงมือทา เหมอื นกบั ทีห่ มอลงมอื รกั ษา คนไขด้ ว้ ยวธิ ีการและข้นั ตอนท่ีเหมาะควรแก่การรกั ษาโรคน้นั ข้นั น้ีอาจแบ่งออกเป็น 3 ข้นั ยอ่ ยคอื 4.1 มรรคข้นั ที่ 1 เป็นการแสวงหาและทดลองใชว้ ธิ ีการต่าง ๆ เพ่ือคน้ หาวิธีการท่ีเหมาะสมทสี่ ุด เช่น พระพทุ ธเจา้ ในชว่ งท่ี เป็นคฤหสั ถเ์ คยใชช้ ีวติ แบบบารุงบาเรอตน หมกหมุน่ ในโลกียส์ ุข แต่กท็ รงรูส้ ึกเบือ่ หน่าย จึงออกผนวชแลว้ ไปบาเพย็ โยคะ บรรลุสมาธิข้นั สูงสุดจากสานกั ของอาฬารดาบสและอุทกดาบส แมใ้ นข้นั น้ีพระองคย์ งั รู้สึกว่าไมบ่ รรลคุ วามพน้ ทกุ ขจ์ งึ ทดลองฝึกการทรมานตนดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ เช่น การอดอาหาร เป็นตน้ 4.2 มรรคข้นั ท่ี 2 เป็นการวเิ คราะหผ์ ลการสังเกตและทดลองทีไ่ ดป้ ฏบิ ัติมาแลว้ เลือกเฉพาะวิธีการที่เหมาะสมทส่ี ุด ดงั กรณีที่ พระพทุ ธเจา้ ทรงพจิ ารณาเห็นว่า กามสุขลั ลกิ านุโยค (การบาเรอตนดว้ ยกาม) และอตั ตกิลมถานุโยค (การทรมานตนเอง) ท่ี ไดท้ ดลองมาแลว้ ไม่ใช่วธิ ีการท่ีถกู ตอ้ ง เพราะเป็นเรื่องสุดโต่งเกนิ ไป ท้งั การบาเพญ็ โยคะก็ทาให้ไดเ้ พยี งสมาธิ ยงั ไม่ได้ ปัญญาเคร่ืองดบั ทกุ ข์ ดงั น้นั วธิ ีการแห่งปัญญาจะสามารถช่วยใหพ้ น้ ทุกขไ์ ด้ 4.3 มรรคข้นั ที่ 3 เป็นการสรุปผลของการสังเกตและทดลอง เพ่ือให้ไดค้ วามจริงเกีย่ วกบั เร่ืองน้นั ดงั กรณีทพี่ ระพทุ ธเจา้ ได้ ขอ้ สรุปว่า ทางสายกลางทไ่ี ม่ตึงเกินไปหรือไม่หย่อนเกนิ เป็นทางดบั ทุกข์ ทางน้ีเป็นวถิ แี ห่งปัญญาที่เร่ิมตน้ ดว้ ยสมั มาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สรุปก็คอื มรรคมอี งค์ 8 นนั่ เองแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์
แนวคดิ แบบวิทยาศาสตร์ เรียกอีกอย่างหน่ึงวา่ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ มีข้นั ตอนดงั น้ี (พระราชวรมนุ ี. 2540 : 40-43) 1. การกาหนดปัญหาให้ถูกตอ้ ง ในข้นั น้ีนกั วทิ ยาศาสตร์กาหนดขอบเขตของปัญหาให้ชดั เจนวา่ ปัญหาอยู่ ตรงไหน ปัญหาน้นั น่าจะมสี าเหตุมาจากอะไร ตวั อย่างเชน่ การคน้ พบดาวเนปจนู เมื่อ พ.ศ. 2386-2389 เริ่มจากการท่นี กั ดาราศาสตร์กาหนดปัญหาว่า ทาไมดาวยเู รนสั ซ่ึงพวกเขาเขา้ ใจวา่ เป็นดาวเคราะห์ดวงทีอ่ ยูไ่ กลทส่ี ุดจากดวงอาทิตยจ์ งึ มวี ิถี โคจรไมเ่ ป็นไปสมา่ เสมอตามกฎแรงโน้มถว่ งนกั ดาราศาสตร์กลมุ่ หน่งึ สรุปว่ากฎแรงโนม้ ถว่ งคงใชไ้ มไ่ ดก้ บั สิ่งท่ีอย่ไู กล ดวงอาทิตยม์ าก ๆ อย่างดาวยูเรนสั แตน่ กั ดาราศาสตร์อีกกลุ่มหน่ึงสันนิษฐานวา่ สาเหตุทีว่ ิถีโคจรของดาวยูเรนสั น่าจะมา จากการทม่ี แี รงโนม้ ถ่วงจากดาวเคราะห์ที่ยงั คน้ ไมพ่ บมากระทาการ นกั ดาราศาสตร์กลุ่มน้ีจึงเร่ิมศึกษาหาตาแหน่งของดาว ลึกลบั ดวงน้นั และคน้ พบดาวเนปจนู ในเวลาตอ่ มา 2. การต้งั สมมตฐิ าน นกั วทิ ยาศาสตร์ใชข้ อ้ มลู เท่าทม่ี ีอย่ใู นขณะน้นั เป็นฐานในการต้งั สมมติฐานเพอ่ื ใช้ อธิบายถึงสาเหตขุ องปัญหาและเสนอคาตอบหรือทางออกสาหรับปัญหาน้นั ตวั อยา่ งเช่น ในเรื่องการคนั พบดาวเนปจูนน้นั นกั ดาราศาสตร์กลมุ่ หน่ึงต้งั สมมติฐานวา่ สาเหตทุ ี่วถิ ีโคจรของดาวยูเรนสั ไม่เป็นไปสมา่ เสมอน่าจะเน่ืองมาจากแรงโนม้ ถ่วง ท่ีมาจากดาวเคราะห์ทย่ี งั คน้ ไม่พบ พวกเขาต้งั สมมตฐิ านว่าน่าจะมดี าวเคราะหอ์ ีกดวงหน่ึงซ่ึงมีวิถโี คจรห่างจากดวงอาทติ ย์ มากกว่าดาวยูเรนสั และในระหว่าง พ.ศ. 2386-2389 นกั ดาราศาสตร์สองคน คือ จอห์น อาดมั และเลอเวอริเอร์ ตา่ งกใ็ ช้ คณิตศาสตร์คานวณหาตาแหน่งของดาวเนปจูน และทานายตาแหน่งของดาวดวงน้ีไวใ้ กลเ้ คยี งกนั การทานายของนกั ดารา ศาสตร์ท้งั สองเป็นเพียงการคาดคะเนความจริงซ่ึงอย่ใู นข้นั ต้งั สมมตฐิ านเกี่ยวกบั คาตอบของปัญหา 3. การสังเกตและการทดลอง เป็นข้นั ตอนสาคญั ที่สุดของการศกึ ษาหาความจริงทางวทิ ยาศาสตร์ การสังเกต เป็นการรวบรวมขอ้ มลู มาเป็นเครื่องมอื สนบั สนุนทฤษฎที ี่อธิบายปรากฏการณ์ เชน่ นกั ดาราศาสตร์เช่ือว่า โจฮนั แกลล์ ได้ ใชก้ ลอ้ งโทรทรรศน์ส่องทอ้ งฟ้าจนคน้ พบดาวเนปจนู เมือ่ พ.ศ. 2389 นอกจากน้นั การทดลองหลายตอ่ หลายคร้ังช่วยให้ คน้ พบหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์และสรา้ งความน่าเช่ือถอื ให้กบั การค้นพบน้นั เชน่ ในราว พ.ศ. 2150 นายแพทยว์ ิลเลียม ฮา วยี ์ ใชว้ ิธีการทดลองจนคน้ พบการไหลเวยี นของโลหิตไปทว่ั ร่างกาย เขาสงั เกตจงั หวะชีพจรและการเตน้ ของหวั ใจ ผา่ ศพ และซากสัตวเ์ พ่อื ตรวจสอบหลายคร้งั จนกระทงั่ ไดข้ อ้ สรุปวา่ หวั ใจสูบฉีดโลหิตไปทว่ั ร่างกายทางหลอดเลือดแดง และ โลหิตไหลกลบั ไปยงั หวั ใจทางหลอดเลอื ดดา 4. การวิเคราะห์ขอ้ มลู ขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการสงั เกตและทดลองมีจานวนมาก นกั วิทยาศาสตร์ตอ้ งพจิ ารณา แยกแยะขอ้ มูลเหลา่ น้นั พร้อมจดั ระเบยี บขอ้ มูลเขา้ เป็นหมวดหมูแ่ ละหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างขอ้ มูลตา่ ง ๆ เชน่ นกั เคมีช่ือ ดมติ ริ เมนเดลฟิ (D. Mendelief)พบวา่ ธาตบุ างธาตุมคี ณุ สมบตั ิทางเคมีคลา้ ยกนั จึงไดจ้ ดั หมวดหมู่ให้กบั ธาตุเหลา่ น้นั โดย คิดตารางธาตุ (periodic table) ซ่ึงแบ่งธาตุทม่ี ีคุณสมบตั ทิ างเคมคี ลา้ ยกันไวใ้ นกลมุ่ เดยี วกนั ในตารางน้ีปรากฏว่ามชี ่องวา่ ง เกิดข้ึนเป็นระยะ ชอ่ งว่างน้ีแสดงวา่ ตอ้ งเป็นที่สาหรับธาตุทีย่ งั คน้ ไม่พบ นกั เคมียคุ ตอ่ มาไดค้ น้ พบธาตุใหมจ่ านวนมาก แลว้ นามาเตมิ ใส่ช่องวา่ งในตารางธาตขุ องเมนเดลฟิ 5. การสรุปผล ในการสรุปผลของการศกึ ษาคน้ ควา้ นกั วิทยาศาสตร์อาจใชภ้ าษาธรรมดาเขียนกฎหรือ หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ออกมา บางคร้งั นกั วทิ ยาศาสตร์จาเป็นตอ้ งสรุปผลดว้ ยคณิตศาสตร์ ตวั อยา่ งเช่น อลั เบริ ์ต ไอสไตน์ พบความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งพลงั งานและมวลสารจึงเขียนสรุปผลการคน้ พบทฤษฎีสมั พนั ธเ์ ป็นสมการวา่ E=MC2 หมายความ ว่า พลงั งาน (E = Energy) เทา่ กบั มวลสาร (M = Mass) คูณดว้ ยความเร็วของแสงยกกาลงั สอง
พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ความหมายของคาว่าการศึกษา คาว่า “การศึกษา” มาจากคาว่า “สิกขา” โดยทว่ั ไปหมายถึง “กระบวนการเรียน “ “การฝึกอบรม” “การ คน้ ควา้ ” “การพฒั นาการ” และ “การรู้แจง้ เห็นจริงในส่ิงท้งั ปวง” จะเหน็ ไดว้ า่ การศึกษาในพระพทุ ธศาสนามีหลายระดบั ต้งั แต่ระดบั ต่าสุดถงึ ระดบั สูงสุด เมอื่ แบ่งระดับอยา่ งกวา้ ง ๆ มี 2 ประการคอื 1. การศึกษาระดบั โลกยิ ะ มีความม่งุ หมายเพ่อื ดารงชีวติ ในทางโลก 2. การศึกษาระดบั โลกุตระ มคี วามม่งุ หมายเพือ่ ดารงชวี ิตเหนือกระแสโลก ดงั น้นั หลกั ในการศึกษาของพระพุทธศาสนา น้นั จะมี ลาดบั ข้นั ตอนการศึกษา โดยเร่ิมจาก สีลสิกขา ตอ่ ดว้ ย จติ ตสิกขาและข้นั ตอนสุดทา้ ยคอื ปัญญาสิกขา ซ่ึงข้นั ตอนการศึกษาท้งั 3 น้ี รวมเรียกวา่ \"ไตรสิกขา\" ซ่ึงมคี วามหมายดงั น้ี 1. สีลสิกขา การฝึกศกึ ษาในดา้ นความประพฤตทิ างกาย วาจา และอาชีพ ให้มีชีวิตสุจริตและเก้อื กูล 2. จิตตสิกขา การฝึกศึกษาดา้ นสมาธิ หรือพฒั นาจิตใจให้เจริญไดท้ ี่ 3. ปัญญาสิกขา การฝึ กศึกษาในปัญญาสูงข้นึ ไป ใหร้ ูค้ ิดเขา้ ใจมองเห็นตามเป็นจริง พระพทุ ธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตปุ ัจจัยและวธิ กี ารแก้ปัญหา พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจยั หลกั ของเหตุปัจจยั หรือหลกั ความเป็นเหตุเป็นผล ซ่ึงเป็นหลกั ของเหตุปัจจยั ทีอ่ ิงอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ที่ เรียกว่า \"กฎปฏิจจสมปุ บาท\" ซ่ึงมีสาระโดยย่อดงั น้ี \"เมอ่ื อนั น้ีมี อนั น้ีจงึ มี เมือ่ อนั น้ีไมม่ ี อนั น้ีกไ็ มม่ ี เพราะอนั น้ีเกดิ อนั น้ีจึงเกดิ เพราะอนั น้ีดบั อนั น้ีจึงดบั \"นี่เป็นหลกั ความจริง พนื้ ฐาน วา่ สิ่งหน่ึงสิ่งใดจะเกดิ ข้นึ มาลอย ๆ ไม่ได้ หรือในชีวติ ประจาวนั ของเรา \"ปัญหา\"ท่ีเกิดข้ึนกบั ตวั เราจะเป็นปัญหา ลอย ๆ ไมไ่ ด้ จะตอ้ งมเี หตปุ ัจจยั หลายเหตทุ กี่ อ่ ให้เกิดปัญหาข้นึ มา หากเราตอ้ งการแกไ้ ขปัญหากต็ อ้ งอาศยั เหตปุ ัจจยั ในการ แกไ้ ขหลายเหตุปัจจยั ไม่ใชม่ เี พยี งปัจจยั เดียวหรือมีเพียงหนทางเดียวในการแกไ้ ขปัญหา เป็นตน้ คาว่า \"เหตุปัจจยั \" พุทธศาสนาถอื วา่ สิ่งท่ที าให้ผลเกิดข้ึนไมใ่ ช่เหตุอยา่ งเดยี ว ตอ้ งมปี ัจจยั ต่าง ๆ ดว้ ยเมอื่ มี ปัจจยั หลายปัจจยั ผลก็เกดิ ข้นึ ตวั อยา่ งเชน่ เราปลูกมะมว่ ง ตน้ มะมว่ งงอกงามข้นึ มาตน้ มะม่วงถอื วา่ เป็นผลท่ีเกิดข้นึ ดงั น้นั ตน้ มะมว่ งจะเกดิ ข้นึ เป็นตน้ ที่สมบูรณไ์ ดต้ อ้ งอาศยั เหตุปัจจยั หลายปัจจยั ทก่ี อ่ ให้เกิดเป็นตน้ มะม่วงได้ เหตปุ ัจจยั เหล่าน้นั ไดแ้ ก่ เมลด็ มะม่วง ดนิ น้า ออกซิเจน แสงแดด อุณหภูมทิ พี่ อเหมาะ ป๋ ุย เป็นตน้ ปัจจยั เหลา่ น้ีพรัง่ พรอ้ มจงึ ก่อใหเ้ กิดตน้ มะมว่ ง ตวั อยา่ งความสัมพนั ธ์ของเหตปุ ัจจยั เชน่ ปัญหาการมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนตา่ ซ่ึงเป็นผลทเ่ี กิดจากการเรียนของ นกั เรียน มเี หตุปัจจยั หลายเหตุปัจจยั ท่ีก่อใหเ้ กิดการเรียนอ่อน เชน่ ปัจจยั จากครูผูส้ อน ปัจจยั จากหลกั สูตรปัจจยั จาก กระบวนการเรียนการสอนปัจจยั จากการวดั ผลประเมนิ ผล ปัจจยั จากตวั ของนกั เรียนเอง เป็นตน้
ความสมั พนั ธข์ องเหตปุ ัจจยั หรือหลกั ปฏิจจสมุปบาท แสดงใหเ้ หน็ อาการของสิ่งท้งั หลายสัมพนั ธ์เนื่องอาศยั เป็นเหตปุ ัจจยั ตอ่ กนั อย่างเป็นกระแส ในภาวะท่ีเป็นกระแสน้ี ขยายความหมายออกไปใหเ้ ห็นแง่ตา่ ง ๆ ไดค้ อื - สิ่งท้งั หลายมีความสมั พนั ธต์ ่อเนื่องอาศยั เป็นปัจจยั แก่กนั - สิ่งท้งั หลายมอี ยู่โดยความสัมพนั ธก์ นั - ส่ิงท้งั หลายมีอยูด่ ว้ ยอาศยั ปัจจยั - สิ่งท้งั หลายไม่มีความคงทอ่ี ยู่อยา่ งเดิมแมแ้ ตข่ ณะเดียว (มีการเปลย่ี นแปลงอยู่ตลอดเวลา ไมอ่ ยนู่ ิ่ง) - สิ่งท้งั หลายไม่มอี ยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คือ ไมม่ ตี วั ตนที่แทจ้ ริงของมนั - ส่ิงท้งั หลายไม่มีมูลการณ์ หรือตน้ กาเนิดเดมิ สุด แตม่ คี วามสมั พนั ธ์แบบวฏั จกั ร หมนุ วนจนไม่ทราบว่าอะไร เป็นตน้ กาเนิดท่ีแทจ้ ริง วิธแี ก้ปัญหาตามแนวพระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนาเน้นการแกป้ ัญหาดว้ ยการกระทาของมนุษยต์ ามหลกั ของเหตผุ ล ไมห่ วงั การออ้ นวอนจาก ปัจจยั ภายนอก เชน่ เทพเจา้ รุกขเทวดา ภตู ผีปี ศาจ เป็นตน้ จะเหน็ ไดจ้ ากตวั อยา่ งคาสอนในคาถาธรรมบท แปลความวา่ มนุษยท์ ้งั หลายถกู ภยั คกุ คามแลว้ พากนั ถงึ เจา้ ป่ าเจา้ เขา เจา้ ภผู า ตน้ ไมศ้ กั ด์ิสิทธ์ิ เป็นท่พี ่ึงแตส่ ่ิงเหลา่ น้นั ไมใ่ ช่สรณะอนั เกษม เมื่อยดึ เอาส่ิงเหล่าน้นั เป็นสรณะ (ทพี่ ่งึ ) ย่อมไม่สามารถหลุดพนั จากความทุกขท์ ้งั ปวง…แต่ชนเหล่าใดมาถึงพระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ รูเ้ ขา้ ใจอริยสจั 4 เห็นปัญหา เหตุเกิดของปัญหา ภาวะไรป้ ัญหา และวิธีปฏิบตั ิให้ถงึ ความสิ้น ปัญหาจึงจะสามารถหลุดพน้ จากทุกขท์ ้งั ปวงได\"้ ดงั น้นั มนุษยต์ อ้ งแกป้ ัญหาดว้ ยวิธีการของมนุษยท์ ี่เพยี รทาการดว้ ยปัญญาท่ี รูเ้ หตปุ ัจจยั หลกั การแกป้ ัญหาดว้ ยปัญญาของมนุษย์คือ 1. ทุกข์ คือ การเกิดปัญหา หรือรู้ปัญหาท่ีเกิดข้ึน หรือรู้ว่าปัญหาทีเ่ กิดข้ึนคืออะไร 2. สมุทยั คือ การสืบหาสาเหตขุ องปัญหา 3. นิโรธ คือ กาหนดแนวทางหรือวธิ ีการแก้ไขปัญหาท่เี กิดจากสาเหตุต่าง ๆ เหลา่ น้นั 4. มรรค คอื ปฏบิ ัตติ ามวธิ ีการให้ถึงการแกไ้ ขปัญหา หรือวิธีการดบั ปัญหาได้ หลกั การแกป้ ัญหาตามหลกั อริยสจั 4 น้ี มคี ุณค่าเดน่ ท่ีสาคญั พอสรุปไดด้ งั น้ี 1. เป็นวธิ ีการแห่งปัญญา ซ่ึงดาเนินการแกไ้ ขปัญหาตามระบบแห่งเหตุผล เป็นระบบวิธีแบบอย่าง ซ่ึงวธิ ีการ แกป้ ัญหาใด ๆ กต็ าม ท่ีจะมีคุณค่าและสมเหตผุ ล จะตอ้ งดาเนินไปในแนวเดียวกนั เชน่ น้ี 2. เป็นการแกป้ ัญหาและจัดการกบั ชีวิตของตน ดว้ ยปัญญาของมนุษยเ์ อง โดยนาเอาหลกั ความจริงท่ีมอี ยู่ตาม ธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ ไม่ตอ้ งอา้ งอานาจดลบนั ดาลของตวั การพเิ ศษเหนือธรรมชาติ หรือสิ่งศกั ด์สิ ิทธ์ิใด ๆ 3. เป็นความจริงทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั ชีวติ ของคนทกุ คน ไมว่ ่ามนุษยจ์ ะเตลดิ ออกไปเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั ส่ิงทีอ่ ยู่
ห่างไกลตวั กวา้ งขวางมากมายเพียงใดกต็ าม แตถ่ า้ เขายงั จะตอ้ งมชี ีวิตของตนเองทมี่ คี ณุ คา่ และสมั พนั ธก์ บั ส่ิงภายนอก เหลา่ น้นั อย่างมีผลดีแลว้ เขาจะตอ้ งเกยี่ วขอ้ งและใชป้ ระโยชนจ์ ากหลกั ความจริงน้ีตลอดไป 4. เป็นหลกั ความจริงกลาง ๆ ท่ีตดิ เน่ืองอยกู่ บั ชีวิต หรือเป็นเรื่องของชีวิตเองแท้ ๆ ไม่วา่ มนุษยจ์ ะสร้างสรรค์ ศิลปวิทยาการ หรือดาเนินกิจการใด ๆ ข้นึ มา เพือ่ แกป้ ัญหาและพฒั นาความเป็นอยขู่ องตน และไม่ว่าศิลป-วิทยาการ หรือ กจิ การตา่ ง ๆ น้นั จะเจริญข้นึ เส่ือมลง สูญสลายไป หรือเกิดมีใหม่มาแทนอย่างไรก็ตาม หลกั ความจริงน้ีกจ็ ะคงยืนยงใหม่ และใชเ้ ป็นประโยชนไ์ ด้ตลอดทุกเวลา
ทม่ี า https://www.pinterest.com/pin/858217272716260757/ https://sites.google.com/site/petesweetty/content2 https://sites.google.com/site/fon5481136057/hnwy-thi-1/1-1 https://www.pinterest.com/pin/414120128230653253/ https://sites.google.com/site/petesweetty/content1 https://www.pinterest.com/pin/341429215496813853/ https://www.pinterest.com/pin/414120128230653253/ https://www.pinterest.com/pin/480266747756781860/ https://www.pinterest.com/pin/341429215498045698/
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: