ใบความรู้ วชิ าระบบโทรคมนาคม (Telecommunication Systems) รหสั 3105-2008หน่วยที่ 1 วิวฒั นาการและเทคโนโลยีของระบบสอื่ สารวัตถุประสงค์ 1. บอกวธิ กี ารตดิ ตอ่ สอ่ื สารกนั ตั้งแต่สมัยโบราณถงึ ปัจจบุ นั ได้ 2. บอกวิวัฒนาการระบบส่ือสารในระยะตา่ ง ๆ ได้ 3. อธบิ ายลกั ษณะการใชง้ านของส่ือสารโทรคมนาคมได้ 4. อธิบายลักษณะและชนดิ ของระบบส่ือสารได้ 5. อธบิ ายโครงสร้างพื้นฐานของระบบส่อื สารได้ 6. อธิบายสญั ญาณข้อมูลใช้ในการส่ือสารได้เนอ้ื หา มนษุ ย์เราอยู่ด้วยกนั เป็นหมู่คณะ จาเป็นตอ้ งมกี ารสือ่ สาร ( Communication) ติดต่อกนัการตดิ ตอ่ ส่อื สารในระยะทางใกล้ ๆ กันจะใชภ้ าษาพดู คยุ กัน ใช้สัญลกั ษณ์และเครอ่ื งหมายแสดงความหมายตา่ ง ๆ สง่ิ เหลา่ น้ีรู้กนั ในหมู่คณะหรอื กล่มุ คนพวกเดียวกนั เม่ือกลมุ่ คนเริม่สรา้ งทีอ่ ยกู่ ระจัดกระจายออกไปในพนื้ ท่ีทก่ี ว้างขึ้นควบคกู่ ับการพฒั นาการสื่อสารถงึ กันไดด้ ีมากข้นึ จงึ ปรบั ปรงุ การส่อื สารให้สามารถส่อื สารไดร้ ะยะทางไกลขึน้ มีการเปลี่ยนการส่อื สารกนั ดว้ ยคาพดู และเครอ่ื งหมายแสดงความหมายมาเปน็ การใช้สญั ญาณต่าง ๆ ในหลายรปู แบบ สามารถตดิ ตอ่ สื่อสารกนั ไดร้ ะยะทางไกลมากข้ึน เรอ่ื งการส่ือสารระยะทางไกลน้วี า่ การโทรคมนาคม(Telecommunication) ในสมยั โบราณการสอื่ สารระยะทางไกลท่นี ยิ มใช้เช่น การใช้สัญญานควัน
ใชก้ ระจกสะทอ้ นแสงอาทิตย์ ใชก้ ารเปา่ เขาสัตว์ ใชก้ ารตีเกาะหรอื ตีกลอง ใช้นกพริ าบสง่ สาร
การสง่ จดหมาย บุรษุ ไปรษณยี ์กาลงั ส่งจดหมายโดยรถจกั รยาน การตดิ ต่อสื่อสารโดยใชส้ ัญญาณต่าง ๆ ดงั กลา่ วมา ผูต้ ดิ ตอ่ สื่อสารระหว่างกันทงั้ สองฝา่ ย ตอ้ งมีการตกลงในรูปแบบของสญั ญาณและความหมายทใี่ ช้ การกาหนดรปู แบบของสัญญาณแทนขอ้ มลู ต่าง ๆ เม่อื พจิ ารณาแล้วพบว่านัน่ คือรหสั ขอ้ มูลท่ีใชใ้ นการส่งขา่ วสารนัน่ เองการใช้รหัส ( Code) ในการส่งข่าวสารขอ้ มลู เปน็ การช่วยเพ่ิมประสทิ ธิภาพของการส่อื สารนอกจากน้นั การใช้รหสั ในการส่งขา่ วยังช่วยป้องกนั การรว่ั ไหลของขา่ วสารได้ การแปลงรหัสออกมาเปน็ ข่าวสารขอ้ มูลจะต้องเปน็ พวกที่เข้าใจรหสั เทา่ น้นั เมื่อการพฒั นาทางดา้ นเทคโนโลยีได้เจริญก้าวหนา้ มากขึน้ การพัฒนาทางดา้ นการสอื่ สารและโทรคมนาคมกถ็ กู พฒั นาเพ่ิมขนึ้ ตามไปด้วย โดยพยายามปรับปรุงการสอ่ื สารและโทรคมนาคมให้มคี วามรวดเรว็ และมีความถูกต้องมากข้ึน มีการใช้สัญญาณไฟฟ้าเขา้ มาช่วยเป็นตัวนาข่าวสารจากทห่ี นงึ่ ไปยงั อกี ที่หน่ึง และเรมิ่ไดร้ ับความสนใจเพิ่มขนึ้ ทุกขณะ จนใช้งานเรือ่ ยมาถึงปจั จุบันไดก้ ระจายไปทว่ั โลก มกี ารติดต่อกันทง้ั ในทางภาพ เสยี ง และขา่ วสารในรปู ตา่ ง ๆ เปน็ ท่ีแพรห่ ลายทัว่ ไป พ.ศ. 2419 อเลก็ ซานเดอร์ เกรแฮมเบลล์ และผ้ชู ว่ ยของเขา โทมสั เอ วตั สัน ไดป้ ระดิษฐ์โทรศพั ทข์ นึ้ เมือ่ วันที่ 10 มนี าคม 2419 ขณะท่ีเบลล์อย่ใู นบ้านและวตั สันอยบู่ นเตยี งนอนอีกหอ้ งหนง่ึ พร้อมหูฟงั อนั หน่ึง เบลได้ทาถว้ ยบรรจนุ า้ กรดสาหรบั ใส่แบตเตอร่หี ดรดเสอื้ เบลได้ใช้คาพดูประวตั ศิ าสตรว์ ่า “ Mr. Watson come here I want you” (คุณวตั สันโปรดมาทีน่ ีผ่ มต้องการคณุ )จากเครอ่ื งมอื และอุปกรณต์ า่ ง ๆ ทาให้วัตสันไดย้ นิ เสียงพูดของเบลล์ อย่างชัดเจน โทรศัพทท์ ่ีเบลล์ประดษิ ฐข์ น้ึ ในการทดลองครงั้ นีย้ งั ไม่เหมาะสมทจี่ ะใชง้ านจรงิ
อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) โทมสั เอ วทั สนั (Thomas Augustus Watson) จนกระทั่งปี 2420 บรษิ ัท เวสเทรินยูเนียน ได้ให้บริการโทรศพั ท์คู่สายแรกระหว่างซัมเมอรว์ ลิ ลีกับบอสตัน และได้มกี ารเปิดชุมสายโทรศพั ท์ขน้ึ บริการธุรกจิ เป็นคร้ังแรกทีน่ ิวฮาเวน หลังจากนน้ั โทรศัพท์กแ็ พรห่ ลายขน้ึ อยา่ งรวดเร็ว การใหบ้ รกิ ารโทรศพั ทค์ ่สู ายแรกระหว่างซัมเมอร์วลิ ลกี บั บอสตนั
โทรศพั ทไ์ ร้สายชุดแรกขึ้นมา สามารถส่งขา่ วสารได้ไกลถึงประมาณ 3.2 กม. ต่อมาปีพ.ศ. 2442 ได้มีการส่งวิทยโุ ทรเลขขา้ มชอ่ งแคบอังกฤษเปน็ ครงั้ แรกไปยังอาณานคิ มและในวนั ที่12 ธันวาคม พ.ศ. 2444 มาโคนไี ดส้ ่งรหสั มอร์สโดยใชค้ ลืน่ วิทยเุ ปน็ ตัว การส่ือสารด้วยคล่นื วทิ ยมุ นี กั วทิ ยาศาสตร์ 3 ทา่ นไดช้ ื่อว่าเปน็ ผ้เู ร่ิมต้นในการสื่อสารดว้ ยคล่นื วิทยุ คือ เจมส์ ซี แมกซเ์ วลล์ ในปี พ.ศ. 2407 ไดน้ าเอาทฤษฎีและสมมติฐานของไมเคิล ฟาราเดย์ โจเซฟ เฮนรี และฮาน ครสิ เตยี น เออสเตต มารวมกนั เข้าเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของหลกั การวทิ ยุ และยังพบการแพร่กระจายคลนื่ ของคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ซ่งึ สามารถเดินทางไปในอากาศหรอื สญุ ญากาศได้ดว้ ยความเรว็ แสงคอื 3x108 เมตรต่อวนิ าที เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ (James Clerk Maxwell) ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) โจเซฟ เฮนรี (Joseph Henry)
ฮานน์ ครสิ เตียน เออร์สเตด (Hans Christian Oersted) ไฮนร์ ชิ เฮิรตซ์ (Heinrich Rudolf Hertz) ในปี พ.ศ. 2423 ไฮน์รชิ เฮริ ตซ์ (Heinrich Rudolf Hertz) ไดน้ าเอาทฤษฎีของแมกซ์เวลลม์ าทาการทดลองโดยการสรา้ งคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าจากวงจรออสซิลเลเตอร์ที่ประกอบดว้ ยตัวเก็บประจุ (C) ตวั เหน่ียวนา (L) เพอื่ ทาการรับและสง่ คล่ืนวทิ ยเุ ฮิรตซส์ ามารถวดั ความยาวคล่นื ( ) และความถ่คี ลนื่ ( ) ทก่ี าเนดิ ขึ้นมาทาใหน้ ามาคานวณหาความเร็ว ( ) ของคล่นืแม่เหล็กไฟฟ้าได้จากสมการ
ในปี พ.ศ. 2438 กกู ลิเอลโม มาร์โคนี (Guglielmo Marcony) ไดป้ ระดษิ ฐร์ ะบบสือ่ สารแบบโทรเลขไรส้ ายชดุ แรกขึ้นมา สามารถส่งขา่ วสารได้ไกลถงึ ประมาณ 3.2 กโิ ลเมตร กูกลเิ อลโม มาร์โคนี (Guglielmo Marcony) โทรเลขไรส้ ายทป่ี ระดิษฐก์ ูกลิเอลโม มาโคนี ปี พ.ศ. 2448 เซอร์ อเลก็ ซานเดอร์ เฟลมมงิ (Sir Alexander Fleming)ไดส้ รา้ งหลอดอเิ ลก็ ตรอนไดโอดสาเรจ็ สามารถใชจ้ บั คลนื่ วทิ ยุความถสี่ ูง เซอร์ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมงิ (Sir Alexander Fleming)
หลอดอิเล็กตรอน ปี พ.ศ. 2450 ลี เดอ ฟอเรส (Lee De Forest) ได้ประดษิ ฐห์ ลอดสญุ ญากาศชนดิ หลอดไทรโอดข้นึ มา สามารถใช้ขยายสญั ญาณคลนื่ วทิ ยแุ ละคลนื่ เสียงไดใ้ ชใ้ นการส่งสญั ญาณคลนื่ วิทยโุ ทรเลข ลี เดอ ฟอเรส (Lee De Forest) หลอดสุญญากาศ ชนิดหลอดไทรโอด
ปี พ.ศ. 2460 ในประเทศสหรัฐอเมรกิ า ไดม้ กี ลุ่มบุคคลนักวิทยสุ มคั รเลน่ ไดท้ ดลองเปลย่ี นสัญญาณสื่อสารจากจุดและขีด มาใช้เป็นสญั ญาณเสยี งพูดผ่านสายอากาศไปและประดิษฐเ์ คร่อื งรบั เพ่อื ชว่ ยในการกระจายเสียงใหด้ ังมากขึ้น ปี พ.ศ. 2463 ได้เปิดการสอ่ื สารทางไกลในทางการคา้ ขึ้น โดยในการสอ่ื สารทางวทิ ยุระหว่างสหรัฐอเมริกากับตา่ งประเทศ ข่าวชิ้นแรกที่สง่ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เปน็ การส่งขา่ วสารระหว่างนิวยอรก์ กับลอนดอน ปลายปี พ.ศ. 2463 บริการทางด้านการสือ่ สารมขี ึน้ ในอังกฤษ ฝรัง่ เศส นอรเ์ วย์ ฮาวาย ญี่ปนุ่ และเยอรมัน ปี พ.ศ. 2464 มกี ารเปิดสถานวี ิทยกุ ระจายเสยี งหลายสถานี เช่น WSZ, KYW, WGY,WEAF เป็นตน้ ให้บริการขา่ วสารต่าง ๆ มีการโฆษณาสินค้า มีการออกอากาศการแข่งขนั กีฬาและมีการหาเสียงเลอื กต้งั ของสหรฐั อเมริกา ปี พ.ศ. 2468 ไดม้ กี ารวิจัยทางด้านโทรทศั นใ์ นห้องทดลอง ตอ่ มาปี พ .ศ. 2471สถานี W2X BS ในนวิ ยอรค์ ให้บรรษทั วทิ ยแุ หง่ อเมริกา (Radio Corporation of America ชื่อย่อ: อารซ์ เี อ; RCA) บรรษัทวทิ ยแุ ห่งอเมรกิ า (Radio Corporation of America ชอ่ื ย่อ: อาร์ซีเอ; RCA) โดยนบั เป็นเครือข่ายโทรทศั นแ์ หง่ แรกในสหรัฐอเมรกิ า ได้จัดตง้ั เครอ่ื งส่งโทรทศั น์โดยใช้ไอโคโนสโคป เปน็ กลอ้ งโทรทัศนแ์ ละปรบั ปรงุ แกไ้ ขเปน็ กล้องแบบใช้ไคนสโคป ตอ่ มา ปี พ.ศ.2474 สถานีโทรทัศนไ์ ด้ถกู ต้ังข้นึ ทีต่ กึ เอ็มไพร์สเตท โดยสถานี RCA – NBC ทาการทดลองสง่เปน็ ครง้ั แรกเม่อื เดอื นกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2475 สถานี RCA ทาการสง่ โทรทศั นด์ ว้ ยขนาดเส้นภาพ 120 เสน้ ส่งออกอากาศโดยใชค้ ลน่ื วทิ ยุ มีการทดลองสง่ ภาพออกอากาศแบบใหม่ด้วยวิธีอตั โนมตั ิ
โทรทศั น์ดว้ ยขนาดเสน้ ภาพ 120 เสน้ ปี พ.ศ. 2484 FCC หรอื Federal Communication Commission ของสหรฐั ซ่งึ เปน็องคก์ รกากบั ธุรกิจกิจการโทรคมนาคมไมต่ ่างกบั กทช. (คณะกรรมการกจิ การโทรคมนาคมแหง่ ชาติของไทย ) ได้ใหอ้ นุญาตการส่งโทรทัศน์แบบการคา้ มีสถานี NBC หรอื บริษัทการกระจายเสยี งและแพร่ภาพแหง่ ชาติ (The National Broadcasting Company; ช่อื ยอ่ : เอ็นบีซี ;NBC) ในกรุงนิวยอร์กส่งออกอากาศเปน็ สถานีแรก FCC หรือ Federal Communication Commission ตอ่ มาเดือนตุลาคม พ.ศ. 2489 บริษัท RCA แสดงระบบต่าง ๆ ทางอิเลก็ ทรอนิกส์ของโทรทศั น์สี มกี ารปรับปรงุ แก้ไขระบบโทรทศั น์ขาวดา โดยไม่ตอ้ งเปลี่ยนแปลงเครือ่ งรับโทรทศั น์ขาวดาโดยไม่ต้องเปล่ยี นแปลงเครื่องรบั โทรทัศนข์ าวดา เคร่อื งรบั โทรทศั นข์ าวดาสามารถรบัรายการของโทรทศั น์สไี ด้ สถานีโทรทศั น์ NBC ในกรุงนวิ ยอรก์
ปี พ.ศ. 2497 บรษิ ทั โซน่ี ได้เสนอเคร่อื งรบั วทิ ยแุ บบทรานซิสเตอรเ์ ครื่องแรกออกมาใหค้ นรู้จัก และเปน็ ทีน่ ิยมแพร่หลายเรอื่ ยมา เคร่อื งรับวิทยุแบบทรานซิสเตอร์ ปี พ.ศ. 2500 รัสเซียสง่ ดาวเทยี มดวงแรกชอื่ สปตุ นิ ค ขึน้ สูอ่ วกาศหลังจากนนั้ กม็ ีดาวเทียมถูกสง่ ข้นึ สอู่ ากาศอีกเปน็ จานวนมากเรอื่ ยมาจนถงึ ปจั จบุ ันรัสเซียสง่ ดาวเทยี มดวงแรกช่อื สปุตนิกปี พ.ศ. 2503 บรษิ ทั AT&T ติดตั้งระบบชุมสายโทรทัศน์อเิ ล็กทรอนิกส์ เป็นครง้ั แรกและพัฒนาระบบสอ่ื สารเป็นระบบโครงขา่ ยบรกิ ารสอื่ สารรว่ มแบบดิจติ อลหรอื ISDN(Integrated Services Digital Network)บรษิ ทั AT&T ตดิ ต้ังระบบชมุ สายโทรทัศน์อิเลก็ ทรอนิกสเ์ ปน็ คร้ังแรก
ปี พ.ศ. 2512 กองทัพสหรัฐต้องเผชิญหน้ากับความเสีย่ งทางการทหาร และความเปน็ ไปได้ในการถกู โจมตี ดว้ ยอาวุธปรมาณู หรือนวิ เคลยี ร์ การถูกทาลายลา้ ง ศนู ย์คอมพวิ เตอร์ และระบบการส่อื สารข้อมูล อาจทาให้เกดิ ปญั หาทางการรบ และในยุคนี้ ระบบคอมพวิ เตอร์ ท่มี หี ลากหลายมากมายหลายแบบ ทาใหไ้ มส่ ามารถแลกเปล่ยี นขอ้ มูล ข่าวสารและโปรแกรมกันได้ จงึ มีแนวความคิด ในการวิจัยระบบท่ีสามารถ เชือ่ มโยงเครือ่ งคอมพิวเตอร์และแลกเปลี่ยนข้อมลู ระหว่างระบบทีแ่ ตกตา่ งกันได้ ตลอดจนสามารถรบั ส่งขอ้ มูลระหวา่ งกนัได้อย่างไม่ผดิ พลาด แมว้ า่ คอมพวิ เตอรบ์ างเครอ่ื งหรือสายรับส่งสัญญาณ เสยี ง่ายหรือถูกทาลายกระทรวงกลาโหมอเมริกนั ( DoD = Department of Defense) ไดใ้ ห้ทุนที่มชี ่ือว่าDARPA (Defense Advanced Research Project Agency) ภายใตก้ ารควบคุมของ Dr. J.C.R.Licklider ได้ทาการทดลอง ระบบเครอื ข่ายทม่ี ชี ือ่ วา่ DARPA Network และตอ่ มาได้กลายสภาพเป็น Arpanet (Advanced Research Projects Agency Network) และตอ่ ไดม้ าพฒั นาเป็น INTERNET ในทีส่ ุด การพัฒนาอินเตอร์เน็ตใชใ้ นการส่อื สารข้อมลู ตา่ ง ๆ ในปี พ.ศ.2439 ดร.เฮอร์แมน ฮอลเลอริช (Dr.Herman Hollerith) ได้ออกแบบบัตรเจาะรูแทนการเขยี นตัวเลข แลว้ ใชเ้ คร่อื งนับอ่านรหสั ทเ่ี จาะไวด้ ว้ ยระบบไฟฟ้า ทาการนับและคานวณผลออกมาได้ ใน พ.ศ. 2439 ดร.เฮอรแ์ มน ฮอลเลอริช ไดต้ ้งั บริษัทผลติ และจาหน่ายอปุ กรณก์ ารประมวลข้อมลู ด้วยบัตรเจาะรู บริษทั ดังกล่าวคือ บริษทั ไอบีเอม็ (International BusinessMachines Corporation: IBM) ดร.เฮอรแ์ มน ฮอลเลอรชิ (Dr.Herman Hollerith)
อปุ กรณก์ ารประมวลข้อมลู ด้วยบตั รเจาะรหู รอื IBM.Card Machine บัตรเจาะรหู รอื IBM.Punch Card มวี ิวัฒนาการต่อมา คือเมนเฟรม (Mainframe) ซึ่งเปน็ คอมพวิ เตอรข์ นาดใหญ่ต้องใช้อุปกรณต์ อ่ พว่ งจานวนมาก และใช้เน้อื ที่ในการติดตั้งเท่ากับห้องทางานขนาดใหญม่ าเป็นมนิ ิคอมพวิ เตอร์ (Minicomputer) ซึ่งมีขนาดเล็กลงมา มีความสามารถและความเรว็ ในการทางานต่ากว่าเมนเฟรม จนถึงปัจจุบนั มีเครอื่ งไมโครคอมพวิ เตอร์ (Microcomputer) ซง่ึ มีขนาดเลก็ กวา่ มินคิ อมพวิ เตอร์สามารถต้งั บนโตะ๊ ทางานได้ และมีความสามารถในการทางานได้มาก คอมพิวเตอร์เมนเฟรม (Mainframe) ในอดีต
มนิ คิ อมพวิ เตอร์ (Minicomputer) ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) และการใชง้ านไมโครคอมพิวเตอร์ในอดตี ในปี พ.ศ. 2478 ศาสตราจารยโ์ ฮวาร์ด ไอเคน ( Howard Aiken) แหง่ มหาวิทยาลยัฮาร์วารด์ (Harvard University) ศาสตราจารยโ์ ฮวารด์ ไอเคน (Howard Aiken)
ไดเ้ สนอโครงการจดั สร้างเคร่ืองคานวณทางานโดยระบบจักรกลไฟฟา้ ต่อบรษิ ทั ไอบเี อ็มซ่ึงในขณะนั้น โทมสั วัตสนั (Thomas Watson) เป็นประธานบริษัท โทมัส วัตสนั (Thomas Watson) ทางบริษัทไอบเี อม็ ซง่ึ สนใจเรอื่ งเครอื่ งคานวณอยแู่ ลว้ ไดเ้ ร่มิ ผลติ คอมพิวเตอร์ออกจาหนา่ ยบา้ งโดยม่งุ ทว่ี งการธรุ กิจโดยตรงซง่ึ กไ็ ด้ผล ในเวลาไมน่ านนกั บริษทั IBM กข็ ายเคร่ืองคอมพวิ เตอรน์ าหนา้ บรษิ ทั อ่ืนกาเนดิ \"เวลิ ดไ์ วด์เว็บ\" (World Wide Web ชื่อยอ่ WWW) ผลงานทสี่ ร้างช่อื เสียงให้ สถาบันวิจัยนวิ เคลียรแ์ หง่ ยโุ รป ( European Organization forNuclear Research) มชี ือ่ อันเปน็ ตน้ กาเนิดเดิมตามชอื่ ภาษาฝร่งั เศส Conseil Européen pourla Recherche Nucléaire (European Council for Nuclear Research) ซึง่ เปน็ ที่มาของชอื่ ยอ่“เซริ น์ ” (CERN) ผลงานทีส่ รา้ งชือ่ เสียงให้ กาเนดิ \"เวลิ ด์ไวดเ์ ว็บ\" ( World Wide Web ชือ่ ยอ่WWW) เซอร์ทิโมที จอหน์ เบอร์เนริ ส์ -ลี (Sir Timothy John Berners-Lee) ในฐานะผู้ให้กาเนิด\"เวิลด์ไวดเ์ วบ็ \" ( World Wide Web ชือ่ ย่อ WWW) ในปี พ.ศ. 2532 ไดเ้ ขยี นโครงการ“การจัดการสารสนเทศ ” (Information Management) เพอื่ แสดงให้เห็นวา่ สารสนเทศสามารถถา่ ยโอนข้อมลู ผ่านทางอินเตอรเ์ น็ต โดยใช้ ไฮเปอรเ์ ท็กซ์ (Hypertext) ได้อยา่ งไร ซึ่งปจั จบุ ันกค็ ือระบบการ “คลิก ( Click)” หรอื ระบบการ “ลงิ ค์ ( Link)” เพอ่ื นาไปสู่สารสนเทศทตี่ อ้ งการ ถดั มาอกี 1 ปีไดม้ ีการแก้ไขและพัฒนาระบบโดยได้ โรเบริ ์ต ไคลยิ ู(Robert Cailliau) ซึ่งเป็นวิศวกรจัดการระบบ เข้ามาช่วยอีกแรงหนง่ึ
เซอรท์ โิ มที จอห์น เบอร์เนริ ์ส-ลี (Sir Timothy John Berners-Lee) โรเบิรต์ ไคลิยู (Robert Cailliau) เม่อื ความเข้าใจระหว่าง ไฮเปอรเ์ ทก็ ซ์ กบั อนิ เตอร์เน็ตและคอมพวิ เตอรส์ ว่ นบุคคล(PC) มมี ากขึน้ การสง่ ข้อมูลผ่านเครือข่าย ช่วยให้นกั ฟสิ กิ สข์ องเซริ ์นสามารถแชร์ ( Share)ขอ้ มลู ทัง้ หมดในเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ที่ห้องปฏบิ ตั ิการ ไดอ้ ยา่ งทั่วถึง และระบบไฮเปอรเ์ ทก็ ซ์ ทาใหผ้ ูใ้ ช้สามารถเลอื กอา่ นขอ้ มลู ทแ่ี สดงในหน้าเว็บ โดยใช้ ลิงคเ์ ป็นตวั เชือ่ มโยงข้อมูล ซ่ึงในระบบแรก ถูกพฒั นาบนระบบ NeXT Computer หลงั จากนั้น ทมิ เบอร์เนริ ์ส-ลี ได้พฒั นาเคร่อื งมอื ทีช่ อื่ ว่า Browser-Editor ซ่งึ ใชส้ าหรบัสรา้ งเว็บเพ็จ แชรข์ อ้ มูลและแกไ้ ขสารสนเทศ ภายหลังจงึ เกดิ ปัญหาว่า ไฮเปอร์เท็กซ์ ทพี่ วกเขาพัฒนาขนึ้ ควรจะเรียกมันวา่ อะไรดีเชน่ New browser? หรอื The Mine of Information? หรือThe Information Mesh? และในทีส่ ุดกไ็ ด้ขอ้ ยตุ ิ ในเดอื นพฤษภาคม 1990 มนั ถกู เรยี กว่าWorld Wide Web จนถึงปัจจบุ ัน
แสดงหน้าเวบ็ แรกของโลก ทร่ี นั บน NeXT computer โดย ทมิ เบอร์เนิรส์ -ลี เป็นผู้สร้างขน้ึ Info.cern.ch เป็นท่อี ยู่ ( Address) ของเว็บไซต์แรกของโลก ( World's First-Ever WebSite) โดยข้อมลู ถูกดงึ มาจากเว็บเซิร์ฟเวอรท์ ีร่ นั อยบู่ นระบบ NeXT Computers ซงึ่ ตงั้ อย่ทู เ่ี ซิร์นทอ่ี ยูข่ องหนา้ เวบ็ เพ็จ แรกคือ http://info.cern.ch/hypertext/WWW/TheProject.html ผู้เข้าเย่ยี มชมเว็บเพ็จจะไดศ้ กึ ษาเก่ียวกบั ไฮเปอร์เท็กซ์ รายละเอยี ดดา้ นเทคนิคสาหรบั การสร้างหนา้ เว็บของตวั เองและวธิ กี ารค้นหาข้อมูลจากเวบ็ ไซต์ พ.ศ. 2534 เวบ็ ไซตแ์ รกสดุ สร้างข้นึ ทเ่ี ซิรน์ นาข้ึนออนไลนเ์ มอ่ื วนั ท่ี 6 สิงหาคม และให้คาอธบิ ายวา่ เวิลด์ไวด์เวบ็ คืออะไร การท่ีจะเป็นเจ้าของเบราว์เซอร์ทาไดอ้ ยา่ งไรและจะตดิ ต้งั เว็บเซริ ์บเวอรไ์ ดอ้ ยา่ งไร นอกจากนย้ี ังนับเป็นเวบ็ ไดเร็กทอรีอันแรกของโลกดว้ ยเนือ่ งจากเบอรเ์ นิรส์ -ลดี แู ลรายชือ่ ของเวบ็ ไซต์อน่ื ๆ ทงั้ หมด นอกจากของตนเองดว้ ย http://info.cern.ch/hypertext/WWW/TheProject.html (เวบ็ ไซต์แรกของโลก)
เว็บเซริ ์ฟเวอรเ์ คร่อื งแรกของโลก NeXT computer ของเซิรน์ (CERN) ปี พ.ศ. 2544 เริ่มให้บริการระบบโทรคมนาคมเคลอื่ นทย่ี คุ ท่ี 3 หรือ 3G เพอื่ ใหส้ ถานีเคล่อื นทใ่ี ด ๆ มมี าตรฐานเดียวกนั สามารถใชไ้ ดท้ ว่ั โลก มีความต้องการทีจ่ ะให้มกี ารรับสง่ข้อมูลทเี่ รว็ ขน้ึ เพียงพอกับการใชง้ านมัลตมิ เี ดีย โดยมีคุณภาพทัดเทยี มกับระบบโทรคมนาคมที่มสี าย รูปท่ี 16. I-Phone โทรศัพท์มือถอื 3G ทม่ี ใี ชใ้ นปจั จบุ ันการใช้งานของสือ่ สารโทรคมนาคม การใช้งานของการสอื่ สารอเิ ลก็ ทรอนิกสจ์ ะถูกขยายเพม่ิ ข้นึ ตามจานวนประชากรท่เี พิม่ ขนึ้ตวั อยา่ งที่เหน็ ไดช้ ัดเจนของการสื่อสาร เชน่ การเช่ือมโยงระหวา่ งศนู ย์ควบคมุ คอมพวิ เตอร์ กลไกบอกข่าวอัตโนมัติ วทิ ยุโทรศพั ท์ และสอื่ สารดาวเทียม เปน็ ตน้ ชนดิ ของการส่อื สารอิเลก็ ทรอนิกส์แบง่ ออกไดต้ ามลักษณะการตดิ ต่อถึงกันไดห้ ลายลักษณะดงั น้ี 1.ระหว่างบุคคลถงึ บุคคล ข่าวสารและขอ้ มลู ถูกส่งตดิ ตอ่ กนั โดยสญั ญาณเสยี ง ปกติใช้โทรศัพทห์ รือวทิ ยุ ถูกเรียกวา่ การสื่อสารดว้ ยเสยี ง การตดิ ตอ่ ถึงกนั ทาไดโ้ ดยเชอ่ื มต่อเลขหมายไปยงั ปลายทาง และสามารถพดู คยุ สนทนากนั ได้ทห่ี นา้ เคร่อื งของตวั เอง สามารถแลกเปลี่ยนขา่ วสารกันได้ 2 ทาง ด้วยการพดู สนทนาหรอื พมิ พข์ ้อมูลสง่ ไปใหผ้ อู้ ่านรับ
รปู ท่ี 17.การสื่อสารระหว่างบุคคลถึงบคุ คล2.ระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ถึงอุปกรณท์ ี่อยูร่ อบนอก ในระบบนร้ี ะบบคอมพิวเตอรเ์ ป็นตวั สง่ ข้อมูลโดยการรายงานส่งไปยงั เครื่องพมิ พ์ ซึง่ เป็นการติดตอ่ กันตามปกติโดยตรงถงึ เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ ข่าวสารตา่ ง ๆ เป็นขอ้ มูลสาหรบั เคร่อื งพิมพ์และความตอ้ งการสาหรบั เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เครื่องพมิ พส์ ามารถหาขอ้ มลู และอา่ นขอ้ มลู สาหรับการพิมพก์ ่อนท่ีเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์จะสง่ ขอ้ มลู ออกไป หรอื เครอื่ งคอมพวิ เตอรไ์ มส่ ามารถหาขอ้ มูลให้ได้ในระหวา่ งการพิมพ์ รูปท่ี 18.การสอ่ื สารระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ถึงอุปกรณ์ทอี่ ย่รู อบนอก 3.ระหวา่ งคอมพวิ เตอรถ์ งึ คอมพิวเตอร์ ตัวอยา่ งเชน่ ในปัจจุบนั มีการใช้ คอมพิวเตอร์ทาเป็นสานักงานหนังสอื พิมพ์นานาชาติ คอมพวิ เตอร์สานักงานหลกั ถกู ใชเ้ ปน็ ทางเข้าของบทความ ให้แก้ไขและเตรียมการออกแบบแตล่ ะหนา้ ของหนงั สือพิมพก์ ารพิมพท์ าไดง้ ่ายในเมือง มคี วามแนน่ อนในการจดั ส่งให้ผู้อ่านในทุก ๆ เช้าถดั ไป คอมพิวเตอร์สานกั งานหลกั จะจัดส่งสารบญั ของหนังสอื พิมพ์ไปใหค้ อมพิวเตอรท์ อ้ งถ่ินทุก ๆ แหง่ โดยพมิ พไ์ ว้ การใชง้ านถูกกาเนดิ ขึน้ มาจากการสร้างอย่างแนน่ อนในแตล่ ะหนา้ ของหนงั สือพมิ พ์จากสานักงานหลกั การสร้างใหมท่ ุกครัง้ ถูกทาข้ึนโดยการพิมพ์เก็บไวใ้ นบริเวณที่กาหนด
รปู ท่ี19.การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอรถ์ ึงคอมพวิ เตอร์ 4.ระบบกระจาย เป็นระบบที่ใชใ้ นงานเฉพาะงาน มีกล่องข้อมูลทฉ่ี ลาดสามารถจดั การเบือ้ งต้นกบั ข่าวสาร กลอ่ งข้อมูลน้ีจะสง่ ขา่ วสารท่สี าคญั ไปที่คอมพิวเตอร์ศูนยก์ ลางกลอ่ งข้อมูลที่ฉลาดน้ถี ูกเรียกวา่ โลคอลฟรอนตเ์ อนต์ หรอื ตัวควบคุม เพราะว่ากลอ่ งขอ้ มลู น้อี ยู่ใกล้แหลง่ ข้อมูล รูปที่ 20.การสือ่ สารแบบระบบกระจาย 5.การสื่อสารภายในคอมพิวเตอร์ การสอื่ สารลักษณะนีม้ คี วามจาเปน็ มากในการสง่ ผา่ นข้อมลู จากสว่ นหนงึ่ ของระบบไปยงั สว่ นอนื่ ๆ หรอื แมภ้ ายในโครงสร้างเดยี วกนับ่อยคร้ังทีเดยี ว ทน่ี ักออกแบบระบบจะแบง่ ระบบท้ังหมดออกเปน็ ส่วนยอ่ ย ๆ ด้วยวงจรถงึสว่ นประกอบของวงจรประยุกต์ทัง้ หมด ระบบยอ่ ยตา่ งๆ ตอ้ งการส่งผ่านขอ้ มลู ในระหวา่ งตวั เอง
รูปท่ี 21.รูปแบบการส่ือสารภายในคอมพิวเตอร์ลกั ษณะและชนดิ ของระบบสื่อสาร สว่ นมากแลว้ ระบบสอ่ื สารท่สี รา้ งขึน้ มาใช้งานจะใชใ้ นการสง่ ขา่ วสารจากจุดหน่ึงไปยังจุดอน่ื ๆ ไมส่ นใจการออกแบบระบบ ทกุ ๆ ระบบการสื่อสารมีหลกั การเบอื้ งตน้ เหมือนกนั 1. ระบบทางเดยี ว เปน็ การส่งขอ้ มูลไดใ้ นทิศทางเดยี วจากปลายด้านหนึ่งไปยงั ทอ่ี ืน่ รูปที่ 22. รปู แบบการสื่อสารระบบทางเดยี ว 2. ระบบสองทางเต็มรูปแบบ เรียกส้ัน ๆ ว่าแบบสองทาง เปน็ การส่งข้อมลู เชื่อมต่อถึง กันไดใ้ นสองทศิ ทางพรอ้ ม ๆ กนั ในแตล่ ะปลายทางประกอบด้วยเคร่ืองสง่ และเคร่อื งรับ และสามารถใชง้ านไดพ้ ร้อมกัน รปู ที่ 23. รปู แบบการส่อื สารระบบสองทางเตม็ รูปแบบ
3. ระบบสองทางครึ่งรูปแบบ ในการเช่อื มต่อแบบสองทางคร่งึ รูปแบบน้นั ปลายแต่ละ ดา้ นสามารถสง่ ได้ แตต่ ้องเป็นดา้ นใดดา้ นหน่งึ ในเวลานน้ั ที่ปลายสายท้ังสองดา้ น สามารถส่งหรือรับข่าวสารไดเ้ หมือนกัน โดยการเช่อื มตอ่ ระหวา่ งปลายทงั้ สองต้องแบง่ เวลากนั รปู ท่ี 24. รปู แบบการสื่อสารระบบสองทางครึ่งรูปแบบโครงสรา้ งพื้นฐานของระบบสอื่ สาร โครงสร้างพ้นื ฐานของระบบสื่อสารโทรคมนาคมแบง่ ออกได้เป็นส่วนประกอบตา่ ง ๆ รปู ที่ 25. บล็อกไดอะแกรมโครงสร้างพน้ื ฐานของระบบสอ่ื สาร 1.ผู้สง่ ข่าวสาร เป็นแหล่งกาเนิดขา่ วสารต่าง ๆ เชน่ สญั ญาณภาพ สัญญาณเสยี ง และขอ้ มลู ข่าวสาร เป็นตน้ ซง่ึ ผู้ใชเ้ ป็นผสู้ ่งข่าวสารออกไป 2.ผู้รับข่าวสาร เปน็ จุดหมายปลายทางของขา่ วสารทีส่ ง่ การท่ีจะรับข่าวสารไดน้ ้ันขบวนการส่งขา่ วสารตอ้ งครบสมบรู ณ์ตามระบบสือ่ สาร น่ันหมายถงึ การส่อื สารบรรลุจดุ ประสงค์หากขบวนการส่งข่าวสารไมค่ รบสมบูรณ์เกดิ ความบกพรองในขน้ั ตอนใดขั้นตอนหนึ่ง ข่าวสารจะไม่ถูกส่งถึงปลายทาง แสดงวา่ การส่อื สารลม้ เหลง 3.การเขา้ รหัส เป็นการแปลงขอ้ มูลขา่ วสารทจี่ ะสง่ ไปยังปลายทางให้อยใู่ นรูปของรหัสสญั ญาณทางไฟฟ้าทบี่ รรจขุ อ้ มูลขา่ วสารทง้ั หมดไวเ้ พือ่ ช่วยให้ผู้สง่ ขา่ วสารและผรู้ ับข่าวสารมีความเขา้ ใจตรงกันและสามารถส่อื สารถงึ กนั ได้ 4.การถอดรหสั เปน็ การแปลงรหสั สญั ญาณทางไฟฟา้ ให้กลับมาเปน็ ข้อมูลข่าวสารทางด้านผรู้ บั ขา่ วสารการถอดรหัสสญั ญาณจะต้องตรงกบั การเข้ารหสั สัญญาณสามารถสอื่ สารกันได้
5.ตัวกลางในการส่ง เป็นส่อื กลางทีข่ ่าวสรใช้ในการเดินทางผ่านไปจากตน้ ทางถึงปลายทาง สื่อกลางนม้ี ีหลายชนดิ เช่น อากาศ สายนาสญั ญาณ ตลอดไปจนถงึ สือ่ ตัวนาตา่ ง ๆเชน่ โลหะ น้า และพนื้ ดินท่ีมีความชน้ื เป็นตน้ ระยะในการสอื่ สารขนึ้ อยกู่ ับชนิดของตวั กลางในการสง่ 6.สญั ญาณรบกวน เปน็ สญั ญาณท่เี กิดขน้ึ ตามธรรมชาติมีอย่ทู ่ัวไป มกั จะรบกวนและลดทอนสญั ญาณทางไฟฟา้ ทสี่ ่งออกไป อาจเกดิ ข้ึนได้ทง้ั ทางด้านผูส้ ง่ ขา่ วสาร ผ้รู ับขา่ วสารและตัวกลางในการส่งข่าวสาร ตาแหน่งทใ่ี ช้ในการวเิ คราะหส์ ญั ญาณรบกวนอยู่ทตี่ วั กลางในการส่งขา่ วสาร เพราะส่วนทีก่ อ่ ใหเ้ กิดสัญญาณรบกวนจานวนมาก การกาจดั สัญญาณรบกวนทาได้โดยวงจรกรอง ท้งั ทางด้านตน้ ทางและปลายทาง ชว่ ยลดทอนสัญญาณรบกวนลงขอ้ มูลใชใ้ นการส่อื สาร ในการสือ่ สารขอ้ มลู ขา่ วสารต่าง ๆ จาเป็นตอ้ งเก่ยี วขอ้ งกับระบบสื่อสารท้ังสิ้น ในการสอื่ สารนนั้ จาเปน็ ต้องเปลยี่ นข้อมลู ข่าวสารให้ไปอยู่ในรหัสสญั ญาณทางไฟฟ้า จึงสามารถสง่ ผ่านข้อมลู ขา่ วสารไปตามสอ่ื ตวั กลางต่าง ๆ ได้ ขอ้ มูลข่าวสารทอี่ ยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟา้มลี กั ษณะสัญญาณไฟฟา้ 2 ลกั ษณะ คอื 1. สัญญาณอนาลอ็ ก รูปท่ี 26.สัญญาณอนาลอ็ ก2. สญั ญาณดจิ ิตอล รปู ท่ี 27.สญั ญาณดิจิตอล
จากรปู ที่ 26.เปน็ ข้อมลู ข่าวสารในรปู สญั ญาณไฟฟ้าแบบสญั ญาณอนาล็อกการสอ่ื สารแบบนี้เชน่ การสือ่ สารทางโทรศพั ท์และการส่ือสารทางวทิ ยโุ ทรศพั ท์ เป็นต้น สญั ญาณอนาล็อกจะอยู่ในรูปสัญญาณคล่นื ไซน์ มรี ะดับความแรง เปลี่ยนแปลงตามระดบั ความดงั ของเสียง และมีความถี่ เปล่ยี นแปลงตามเสียงทุม้ แหลมทปี่ อ้ นเขา้ มา เรยี กการส่ือสารแบบนี้ว่าการส่อื สารสญั ญาณอนาลอ็ ก จากรปู ที่ 27. เปน็ ขอ้ มูลขา่ วสารในรปู สญั ญาณไฟฟา้ แบบสญั ญาณดิจติ อล อยู่ในรูปของสัญญาณระดับการสอ่ื สาร 2 ระดบั การสอื่ สาร แบบนีเ้ ชน่ การส่ือสารทางคอมพิวเตอรก์ ารสง่ข้อมลู ด้วยสัญญาณดจิ ิตอลลอจิก เปน็ ต้น สญั ญาณ ดจิ ติ อล จะอยู่ในรูปคลน่ื สี่เหลีย่ ม มรี ะดับความแรงของคลื่น 2 ระดบั คือ สูงสดุ หรอื “1” และระดบั ต่าสุด “ 0” โดยมรี ะดับความถี่คงที่คา่หนงึ่ ตลอดเวลา
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: