แนวทางในการจัดระบบการคัดแยก (Triage System)1. จัดให้มีการซักประวัติตรวจร่างกาย เพื่อประเมินความรุนแรงของการเจบ็ ปุวย2. มีแนวทางซ่ึงจดั ขนึ้ เองในโรงพยาบาล ตามความเหมาะสม3. ผู้ปุวยทุกรายควรได้รับการคัดแยกภายในเวลารวดเร็ว อาจทาการคัดแยกก่อนทาบตั ร4. ถ้ามีความพร้อม อาจมีแนวทางปฏิบัติให้เจ้าหน้าท่ีท่ีมีหน้าที่คัดแยกผ้ปู ุวย สามารถทาการดูแลรักษาเบอื้ งตน้ ได้5. มกี ารประเมินผปู้ วุ ยซา้ ๆ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งระหว่างรอตรวจ
ขน้ั ตอนการชว่ ยเหลือก่อนนาส่งโรงพยาบาล1. การเจ็บปวุ ยฉุกเฉินและการแจ้งเหตุ (Detection)2. การแจ้งเหตุขอความช่วยเหลอื (Reporting)3. การออกปฏิบตั กิ ารของหน่วยแพทย์ฉกุ เฉิน (Response)4. การรกั ษาพยาบาล ณ จดุ เกดิ เหตุ (On scene care) 4.1 การประเมนิ สถานการณ์ (Scene size-up) 4.2 การประเมนิ สภาพผ้ปู ุวยฉกุ เฉิน (Patient assessment)5. การลาเลียงขนย้ายและการดแู ลระหว่างนาส่ง (Care in transit)6. การนาสง่ สถานพยาบาล (Transfer to definitive care)
หลักการประเมนิ สถานการณ์ : ส่งิ ทีต่ ้องพงึ ระลกึ ไวเสมอในการประเมินสถานการณ มดี ังนี้1. การปูองกันตนเองจากการติดเช้ือโรค (Body substance isolation =BSI)2. ความปลอดภัยของสถานที่เกดิ เหตุ (Scene safety)3. กลไกการบาดเจ็บ / เจบ็ ปวย (Mechanism of injury = MOI / Natureof illness = NOI)4. จานวนผปู้ วุ ยเจบ็ (Number of patients)5. แหล่งสนับสนนุ ที่ต้องการ (Additional resource)
การคน้ หาลกั ษณะของการบาดเจบ็ จะใชต้ ัวอกั ษรช่วยจา DCAP-BTLS ในการประเมิน ซง่ึ มีความหมาย ดงั นี้D = Deformities การผิดรปูC = Contusion รอยฟกช้าA = Abrasion แผลถลอกP = Puncture / Penetrations แผลจากการถูกแทงB = Burns แผลไหม้T = Tenderness ตาแหนง่ เจ็บL = Lacerations แผลฉกี ขาดS = Swelling อาการบวม
THE MEDICAL SCREENING EXAMINATION Chief complaint - High acuity, high risk, true emergency Vital signs - Grossly abnormal Mental status - Evidence of abnormalities General appearance - Patient looks sick, patient's skin looks poorly perfused, patient shows signs of dehydration Ability to walk - Patients who cannot walk are at high risk for true emergency medical conditions.
การจดั การในการเตรยี มรับอุบตั ภิ ัยหมู่ 1. ศูนย์บญั ชาการ ควรต้ังอยู่ในท่สี ามารถประเมินสถานการณ์ต่างๆ ไดอ้ ย่างชัดเจน มีบคุ ลากรท่สี ามารถตดั สินใจในการสงั่ การต่างๆได้ สามารถประสานงานกบั หน่วยงานอื่นๆ ได้อย่างรวดเรว็ มีประสทิ ธิภาพ 2. Triage Area ควรจดั สถานท่ใี นการคัดกรองและรองรบัผบู้ าดเจ็บประเภทต่างๆ ไวอ้ ย่างชดั เจน เพอ่ื ความสะดวกในการขนย้ายการใหก้ ารดแู ลรักษาตามสภาพความรนุ แรงของการบาดเจ็บ
3. การจดั แบ่ง Zone ผปู้ ว่ ย ควรมีสญั ลกั ษณต์ ดิ แสดงไวอ้ ย่างชัดเจน 3.1 แดง เปน็ ผปู้ วุ ยท่อี ย่ใู นภาวะวกิ ฤตต้องให้การช่วยเหลอื ในทนั ที เชน่ผู้ปวุ ยหยดุ หายใจ ผปู้ วุ ยท่มี กี ารบาดเจ็บที่รนุ แรงและอยู่ในภาวะชอ็ ก ควรมีเครอื่ งมือหรืออุปกรณ์ในการช่วยชีวติ ที่จาเป็น บุคลากรมคี วามพรอ้ มในการให้การดูแลรักษาพยาบาลผู้ปวุ ยวกิ ฤต
3.2 เหลืองเป็นพ้ืนท่ีผู้ปุวยบาดเจ็บที่ไม่รุนแรงต้องได้รับช่วยเหลือโดยเร็วรอได้บ้างในระยะเวลาไม่ก่ีชั่วโมง ไม่มีภาวะคุกคามต่อชีวิต เช่น ผู้ปุวยกระดูกหัก ผู้ปุวยท่ีมีบาดแผลฉีกขาด ควรทาการ Admitหรือสังเกตอาการผู้ปุวย ควรจัดสถานท่ีในการปฏิบัติงานอยู่ในหน่วยสังเกตอาการ
3.3 เขียว เป็นกลุ่มท่ีบาดเจ็บเล็กน้อยสามารถรอรับการตรวจรักษาแบบผู้ปุวยท่ัวไปได้ควรจัดสถานที่ในการปฏิบัติงานอยู่ในหน่วยตรวจรักษาโรคท่ัวไป
3.4 นา้ เงนิ หรอื ดา เป็นพ้นื ที่ใหก้ ารดูแลผู้บาดเจ็บทห่ี มดหวังหรอืเสียชีวิต ควรจดั สถานท่ใี นการปฏบิ ัติงานอยู่ในดา้ นใดดา้ นหน่งึ ของแผนกฉุกเฉินหรือบรเิ วณท่จี ดั ไว้เฉพาะ และมีบคุ ลากรในการใหก้ ารดแู ลญาติ การดูแลเกี่ยวกบั ทรัพย์สิน การจดั การประสานงานในเรือ่ งตา่ งๆ
4. การจัดระบบในการรองรับผู้ปุวย เช่น เม่ือต้องรับผู้ปุวยไว้ในโรงพยาบาลและแผนกในการดูแลผู้ปุวยศัลยกรรมเต็ม ควรมีแผนกที่สามารถใหก้ ารดูแลรกั ษาต่อได้5. การจัดระบบงานห้องผ่าตัด ควรมีการเตรียมเคร่ืองมือ อุปกรณ์ที่เพียงพอรวมท้ังทีมงานในการใหก้ ารผา่ ตดั ด้วย
3.4 หลักการบรรเทาสาธารณภัยความหมายของสาธารณภัย (Definition of Disaster) สานักงานบรรเทาทุกข์แห่งสหประชาชาติ(United NationDisaster) ให้ความหมายของสาธารณภัยไว้ว่า เป็นเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นอย่างรนุ แรงในเวลาและสถานทห่ี น่งึ ทาใหส้ ังคมหรือชุมชนต้องประสบกับอนั ตรายอย่างร้ายแรงก่อให้เกิดความ สูญเสียชีวติ และทรัพย์สิน อันทาให้โครงสรา้ งในสังคมแตกแยกรวมท้ังไม่สามารถกระทา ภารกิจตามปกติได้
Types Natural Pandemics Transportation Technological Terrorism
Disaster paradigm• D - Detection• I - Incident command• S - Safety and Security• A - Assess Hazards• S - Support• T - Triage/Treatment• E - Evacuation• R - Recovery
ปัญหาและผลกระทบทางการสาธารณภยั (Problem and Impact ofDisaster) 1) ปัญหาและผลกระทบทางการสาธารณสุข 2) ปญั หาและผลกระทบทางเศรษฐกจิ 3) ปัญหาและผลกระทบทางสังคม การเมืองและการปกครอง 4) ปัญหาและผลกระทบทางสาธารณูปโภค การคมนาคมขนส่ง 5) ปัญหาและผลกระทบทางสิง่ แวดล้อม
3.5 หลักการพยาบาลผูป้ ่วยฉกุ เฉินอบุ ัตเิ หตุหมแู่ ละสาธารณภยัความหมาย (Definition of Disaster Nursing) การพยาบาลสาธารณภยัเป็นการพยาบาลท่ีต้องนาความรู้และทักษะทางการพยาบาลท่ัวไป และด้านการพยาบาล ฉุกเฉินมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์สาธารณภัย ท้ังในระยะก่อนเกิดขณะเกิดและหลังเกิดสาธารณภัย เพื่อปูองกันและหรือลด ความสูญเสียท่ีจะเกิดกับชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของผปู้ ระสบภยั และญาติ
Role of nursing in disastersDisaster preparedness, including risk assessment and multidisciplinary management strategies at all system levels, is critical to the delivery of effective responses to the short, medium, and long-term health needs of a disaster-stricken population. International Council of Nurses (2006)
ลกั ษณะของการปฏบิ ตั ิการพยาบาลสาธารณภยั โดยเปน็ บริการเพอ่ื 1. ปอู งกันและลดความรนุ แรงทจ่ี ะเกิดจากสาธารณภยั 2. มุ่งเน้นหนักด้านการพยาบาลฉุกเฉินที่ให้แก่ผู้ประสบภัยจานวนมากในขณะเกิดภยั 3. ชว่ ยฟน้ื ฟสู ภาพของผ้ปู ระสบภยั และญาติทงั้ ดา้ นร่างกายและจติ ใจ
คุณสมบตั ขิ องพยาบาลท่ปี ฏิบตั กิ ารพยาบาลสาธารณภยั 1. มีความรู้ทางการพยาบาลและมีประสบการณ์การปฏิบัติงานการพยาบาล ฉุกเฉิน การพยาบาลวกิ ฤต และด้านการรักษาข้นั ต้น 2. มีความรู้ด้านสาธารณภัย มีความสามารถในการประเมินสถานการณ์และคาดการณ์ถึงปัญหาสุขภาพที่จะเกิดจากสาธารณภัยชนิดต่างๆได้รวมทั้งมีความสามารถใหก้ ารพยาบาลได้ครอบคลุมทุกระยะของสาธารณภยั 3. มีทักษะในการตัดสินใจท่ีดี มีภาวะการเป็นผู้นา และสามารถแกป้ ญั หาเฉพาะหน้าได้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสม 4. มีทักษะในการสื่อสาร และการบันทึกข้อมูลต่างๆ ได้อย่างถูกต้องครบถว้ น ชดั เจน 5. มีวุฒิภาวะ มีสติ จิตใจเข้มแข็ง รอบคอบ อดทน และต้องมีสุขภาพกายและจิตแข็งแรง
บทบาทหนา้ ทขี่ องพยาบาลทปี่ ฏิบัตงิ านดา้ นการพยาบาลสาธารณภัยบทบาทหนา้ ทขี่ องพยาบาลในระยะก่อนเกดิ สาธารณภัย1) การประเมินสถานการณ์สาธารณภยั2) การจดั ทาแผนหรือรว่ มจัดทาแผนสาธารณภยั3) การเตรียมการเพอื่ รับสาธารณภยั4) การซอ้ มแผนสาธารณภยั5) การใหค้ วามรู้แกป่ ระชาชน
บทบาทหน้าทข่ี องพยาบาลในขณะเกิดสาธารณภัย 1) การประเมนิ สถานการณ์สาธารณภยั ทเี่ กดิ ขึ้น 2) การใช้แผนและประเมินความพร้อมรับสาธารณภยั 3) การปฏบิ ัตกิ ารพยาบาล 4) การประสานงานเพือ่ ชว่ ยเหลือ และสง่ ตอ่ ผปู้ ระสบภยั 5) การจดั ทาทะเบียนบันทกึ เหตกุ ารณ์ และการรายงานเหตกุ ารณ์ สาธารณภยั 6) การประเมนิ สถานการณ์
บทบาทหนา้ ทขี่ องพยาบาลในระยะหลงั เกดิ สาธารณภยั 1) การประเมินสถานการณ์หลงั เกิดสาธารณภัย 2) การปฏิบัตกิ ารพยาบาล 3) การจัดทาบนั ทึกรายงาน 4) การประสานงานกบั แหลง่ สนับสนนุ 5) การประเมนิ ผลการปฏบิ ัตกิ ารในสถานการณส์ าธารณภยั ท่เี กิดข้นึ
การจัดการสาธารณภัย (Definition) การจัดการสาธารณภัยเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ประกอบด้วยกระบวนการท่ีต่อเนื่องเป็นระบบตั้งแต่การเฝูา สังเกต การวิเคราะห์ การเผยแพร่/ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารและการใชแ้ หล่งประโยชนต์ ่างๆ เพ่ือปูองกันความเสียหายจากสาธารณภัยลดความรุนแรงและผลกระทบที่จะเกิดจากสาธารณภัย เตรียมพร้อมรับและตอบสนองตอ่ สถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการ ฟ้ืนฟูสภาพและการฟื้นฟูบูรณะภายหลังเกดิ สาธารณภยั ด้วย
วัตถปุ ระสงค์ของการจดั การสาธารณภยั (Purpose of DisasterManagement) 1 หลีกเล่ยี งการสญู เสียชวี ิตโดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในกลมุ่ ทีอ่ ยใู่ นความเสีย่ งตา่ งๆ 2.ปกปูองทรัพย์สนิ ให้เกดิ ความเสียหายนอ้ ยทส่ี ดุ รวมท้ังลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจด้วย 3. รกั ษาสภาวะแวดล้อมทางสงั คมและเศรษฐกิจซ่ึงมีผลโดยตรงตอ่ความผาสกุ ของสงั คม
การจัดการระยะกอ่ นเกิดสาธารณภัย (Pre-impact phase)1. การประเมนิ สาธารณภยั (Disaster Assessment) ประกอบดว้ ย 1) การประเมนิ ภยั (Hazard Assessment) 2)การประเมินกลมุ่ เสยี่ ง (Vulnerability Assessment) 3) การประเมนิ การจัดการภัย (Manageability Assessment)2. การปูองกนั สาธารณภยั (Prevention) 1) การกาหนดนโยบายในระดบั ชาติทช่ี ดั เจนในด้านการปูองกนั 2) การสร้างความตระหนักและการให้ความร้เู กยี่ วกบั สาธารณภยั แกป่ ระชาชน 3) การใช้กฎหมาย รัฐตอ้ งกาหนดกฎหมายที่เก่ียวขอ้ งกับการปอู งกนั สาธารณภยั
3. การลดความรุนแรงของสาธารณภัย (Mitigation) 1) การกาหนดหลักเกณฑ/์ มาตรฐานสา หรบั ส่งิ กอ่ สรา่ งโดยเฉพาะในบรเิ วณที่เสยี่ งภัย 2) การแบ่งเขตการใช้ทีด่ นิ เม่อื ประเมนิ ความเสย่ี งตอ่ การเกดิ สาธารณภัยชนิดต่างๆได้แลว้ อาจแบง่ เขตท่ดี นิ สาหรบั การประกอบกจิ กรรมต่างๆ 3) การกาหนดระเบยี บในการก่อสร้างอาคารสูง การควบคุมสารพษิ 4) การเปลย่ี นฤดกู าลในการทาการเกษตร เพื่อให้เก็บเก่ียวผลผลิตเสร็จสิ้นกอ่ นชว่ งเวลาของการเกิดสาธารณภยั 5) การกอ่ สร้างสาธารณูปโภคตา่ งๆ ในสถานท่ที ห่ี ่างจากบรเิ วณพ้นื ท่ที ่ีเสย่ี งตอ่ การเกิดสาธารณภัยได้ง่าย
การเตรียมพรอ้ มรับสาธารณภัย (Preparedness) 1) การจดั ทาแผนสาธารณภัย อาจประกอบด้วยแผนปูองกันและแผนรับสาธารณภยั มกี ารกาหนดหน้าท่ีความ รับผิดชอบของบุคคลและหนว่ ยงานต่างๆ อยา่ งชัดเจน มกี ารฝกึ ซ้อมเป็นระยะ และตอ้ งปรบั ให้เขา้ กบั สถานการณ์ตลอดเวลา 2) การจดั เตรยี มสถานที่สาหรับการอพยพเคลอ่ื นยา้ ยประชาชน/ผู้ประสบภัย ซ่ึงสะดวกรวดเร็ว ปลอดภยั ในการ เคลอื่ นย้ายและพกั อาศัย 3) การจดั เตรยี มอปุ กรณต์ ่างๆ ทง้ั ในสว่ นของประชาชนและของรัฐ 4) การเตือนภัยเป็นการใหข้ า่ วสารสญั ญาณตา่ งๆ
การจดั การระยะเกิดสาธารณภยั (Impact Phase)1. การควบคมุ ภยั (Control Hazard) 1) การวเิ คราะห์ภยั 2) การใชแ้ ผนสาธารณภยั2. การกู้ภัย (Rescue) 1) การคน้ หาและชว่ ยเหลอื ผู้ประสบภัย 2) การใหบ้ ริการรกั ษาพยาบาลฉกุ เฉิน 3) การเคลอ่ื นย้ายและสง่ ตอ่ ผู้ประสบภัย 4) การช่วยเหลือฉุกเฉนิ อื่นๆ การสอ่ื สารและคมนาคม การรักษาความปลอดภัยและความสงบเรยี บรอ้ ย
การจัดการระยะหลงั เกิดสาธารณภัย (Post-Impact Phase)1. การช่วยเหลือฉุกเฉินและการบรรเทาทกุ ข์2. การฟ้นื ฟสู ภาพ (Recovery) 1) การฟื้นฟสู ุขภาพ ของผู้ประสบภัยทัง้ ด้านรา่ งกายและจติ ใจ 2) การฟืน้ ฟบู รู ณะเป็นการฟนื้ ฟสู ิ่งกอ่ สรา้ งต่างๆ 3) การก่อสร้างใหม่ทดแทนอาคาร ส่ิงปลูกสร้างท่ีเสียหายจากสาธารณภัย
การจดั ทาแผนสาธารณภัยวตั ถปุ ระสงคข์ องการจดั ทาแผนสาธารณภัย1.1 เพ่ือกาหนดหน้าที่เฉพาะของหน่วยงานต่างๆ ที่ปฏิบตั ิงานเก่ียวกับสาธารณภัย ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยคานึงถึงความพร้อมท้ังด้านบุคลากรอปุ กรณ์และความชานาญของแต่ละหนว่ ยงานเหลา่ นัน้1.2 เพ่ือให้มีการประสานงานและการบังคับบัญชาท่ีเป็นระบบในทุกระดับ คือตั้งแต่ระดับหน่วยงาน หมู่บ้าน ตาบล อาเภอ ภาค และประเทศ1.3 เพ่ือให้ประชาชนมีความรู้ในการช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นในยามเกิดสาธารณภัย
แนวทางการจัดทาแผนสาธารณภัย ต้องพจิ ารณาถงึ1. โครงสร้างของหน่วยงานและโครงสร้างทางการเมืองการปกครองเศรษฐกิจและสงั คมของประเทศ2. จานวนคนและปรมิ าณวสั ดุ อปุ กรณท์ มี่ ี3. การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการควบคุมการปฏิบัตงิ าน4. การแจ้งข้อมูลข่าวสารต่างๆ5. วิธีการติดต่อขอความช่วยเหลือทั้งด้านบุคลากรวัสดุอุปกรณ์และเงินชว่ ยเหลือจากหนว่ ยงานอนื่ ท้ังภายในและต่างประเทศ
ชนิดของแผนสาธารณภยั1 แผนท่วั ไป/แผนแมบ่ ท2 แผนปฏิบตั ิการ
ขัน้ ตอนการทาแผนสาธารณภัย1. กาหนดองค์กรปฏิบัติอาจตั้งโดยการกาหนดตามกฎหมายหรือตามความเห็นชอบของหน่วยงาน2. จัดตั้งคณะกรรมการจัดทา แผน ประกอบด้วยผู้แทนที่มีอานาจตัดสินใจจากหน่วยงานตา่ งๆ3. จดั ทาการประเมนิ ภัยโดยการวิเคราะหภ์ ยั และผลกระทบที่มีโอกาสเกดิ จากภัยน้ัน ๆ4. กาหนดวัตถุประสงค์ของแผน ซึ่งจะสอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ภัยและรายละเอียดการจดั การตา่ งๆ5. กาหนดโครงสรา้ งในการดาเนนิ งาน เพื่อการควบคมุ และประสานการปฏิบัตกิ าร6. กาหนดหน้าท่ี ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน อาจกาหนดโดยกฎหมาย รัฐหรือคณะกรรมการจัดทาแผน ซึ่งต้อง ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงาน จึงจะสามารถดาเนนิ แผนตอ่ ไปได้
7. วิเคราะห์แหล่งทรัพยากร/แหล่งสนับสนุนต่างๆ ที่สามารถติดต่อได้เมื่อตอ้ งการความช่วยเหลือ8. กาหนดระบบ รูปแบบของการจัดการสาธารณภัยท้ังในด้านการเตรียมรับปอู งกัน ลดความรุนแรงการตอบสนองและการฟน้ื ฟูตา่ งๆ
Guidelines Advance CPRhttps://eccguidelines.heart.org/index.php/circulation/cpr-ecc-guidelines-2/part-4-systems-of-care-and-continuous-quality-improvement/highlights/
Guidelines Advance CPR
Cardiopulmonary arrest during pregnancy
Cardiopulmonary arrest during pregnancy
Search