THE MEDICAL SCREENING EXAMINATION Chief complaint - High acuity, high risk, true emergency Vital signs - Grossly abnormal Mental status - Evidence of abnormalities General appearance - Patient looks sick, patient's skin looks poorly perfused, patient shows signs of dehydration Ability to walk - Patients who cannot walk are at high risk for true emergency medical conditions.
3.4 หลักการบรรเทาสาธารณภัย ความหมายของสาธารณภัย (Definition of Disaster) สานักงานบรรเทาทุกข์แห่งสหประชาชาติ(United Nation Disaster) ให้ความหมายของสาธารณภัยไว้ว่า เป็นเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น อย่างรนุ แรงในเวลาและสถานทห่ี น่งึ ทาใหส้ ังคมหรือชุมชนต้องประสบกับ อนั ตรายอย่างร้ายแรงก่อให้เกิดความ สูญเสียชีวติ และทรัพย์สิน อันทาให้ โครงสรา้ งในสังคมแตกแยกรวมท้ังไม่สามารถกระทา ภารกิจตามปกติได้
Types Natural Pandemics Transportation Technological Terrorism
ปัญหาและผลกระทบทางการสาธารณภัย (Problem and Impact of Disaster) 1) ปญั หาและผลกระทบทางการสาธารณสขุ 2) ปัญหาและผลกระทบทางเศรษฐกิจ 3) ปญั หาและผลกระทบทางสังคม การเมอื งและการปกครอง 4) ปญั หาและผลกระทบทางสาธารณูปโภค การคมนาคมขนสง่ 5) ปัญหาและผลกระทบทางส่ิงแวดลอ้ ม
การจัดการสาธารณภัย (Definition) การจัดการสาธารณภัยเป็น วิทยาศาสตร์ประยุกต์ประกอบด้วยกระบวนการที่ต่อเน่ืองเป็นระบบตั้งแต่ การเฝ้า สังเกต การวิเคราะห์ การเผยแพร่/ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร และการใช้แหล่งประโยชน์ต่างๆ เพื่อป้องกันความเสียหายจากสาธารณภัย ลดความรุนแรงและผลกระทบที่จะเกิดจากสาธารณภัย เตรียมพร้อมรับ และตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการ ฟ้ืนฟูสภาพและการฟ้ืนฟู บูรณะภายหลงั เกดิ สาธารณภยั ด้วย
วัตถปุ ระสงค์ของการจดั การสาธารณภยั (Purpose of Disaster Management) 1 หลีกเล่ยี งการสญู เสียชีวิตโดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในกลมุ่ ทีอ่ ยใู่ นความ เสีย่ งตา่ งๆ 2.ปกป้องทรพั ย์สินใหเ้ กดิ ความเสียหายนอ้ ยทส่ี ดุ รวมท้ังลดการ สูญเสียทางเศรษฐกิจด้วย 3. รักษาสภาวะแวดล้อมทางสงั คมและเศรษฐกิจซ่ึงมีผลโดยตรงตอ่ ความผาสกุ ของสงั คม
การจัดการระยะกอ่ นเกิดสาธารณภยั (Pre-impact phase) 1. การประเมินสาธารณภยั (Disaster Assessment) ประกอบดว้ ย 1) การประเมินภยั (Hazard Assessment) 2)การประเมินกลมุ่ เสยี่ ง (Vulnerability Assessment) 3) การประเมินการจัดการภัย (Manageability Assessment) 2. การป้องกนั สาธารณภยั (Prevention) 1) การกาหนดนโยบายในระดับชาตทิ ชี่ ัดเจนในดา้ นการปอ้ งกนั 2) การสร้างความตระหนักและการให้ความรเู้ กยี่ วกับสาธารณ ภยั แกป่ ระชาชน 3) การใช้กฎหมาย รัฐตอ้ งกาหนดกฎหมายท่เี ก่ียวข้องกับการ ปอ้ งกนั สาธารณภยั
3. การลดความรนุ แรงของสาธารณภัย (Mitigation) 1) การกาหนดหลักเกณฑ/์ มาตรฐานสา หรบั ส่งิ กอ่ สรา่ งโดยเฉพาะใน บรเิ วณที่เส่ียงภยั 2) การแบ่งเขตการใชท้ ด่ี นิ เม่อื ประเมนิ ความเสย่ี งตอ่ การเกดิ สาธารณ ภัยชนิดตา่ งๆไดแ้ ลว้ อาจแบง่ เขตท่ดี นิ สาหรับการประกอบกจิ กรรมต่างๆ 3) การกาหนดระเบียบในการก่อสร้างอาคารสูง การควบคุมสารพษิ 4) การเปลยี่ นฤดูกาลในการทาการเกษตร เพื่อให้เก็บเก่ียวผลผลิต เสร็จสิ้นกอ่ นช่วงเวลาของการเกิดสาธารณภยั 5) การก่อสรา้ งสาธารณูปโภคตา่ งๆ ในสถานท่ที ห่ี ่างจากบรเิ วณพ้นื ท่ที ่ี เสย่ี งตอ่ การเกดิ สาธารณภัยได้ง่าย
การเตรยี มพร้อมรับสาธารณภยั (Preparedness) 1) การจัดทาแผนสาธารณภยั อาจประกอบด้วยแผนป้องกันและแผน รับสาธารณภยั มกี ารกาหนดหนา้ ทคี่ วาม รับผิดชอบของบุคคลและหนว่ ยงาน ตา่ งๆ อยา่ งชดั เจน มกี ารฝกึ ซอ้ มเปน็ ระยะ และต้องปรบั ให้เขา้ กบั สถานการณ์ ตลอดเวลา 2) การจดั เตรียมสถานทส่ี าหรับการอพยพเคลอ่ื นย้ายประชาชน/ ผ้ปู ระสบภัย ซ่งึ สะดวกรวดเรว็ ปลอดภยั ในการ เคลอื่ นย้ายและพกั อาศัย 3) การจัดเตรยี มอปุ กรณต์ ่างๆ ทง้ั ในสว่ นของประชาชนและของรัฐ 4) การเตือนภัยเปน็ การให้ขา่ วสารสญั ญาณตา่ งๆ
การจดั การระยะเกิดสาธารณภยั (Impact Phase) 1. การควบคมุ ภัย (Control Hazard) 1) การวเิ คราะห์ภยั 2) การใชแ้ ผนสาธารณภัย 2. การกู้ภัย (Rescue) 1) การคน้ หาและชว่ ยเหลอื ผู้ประสบภัย 2) การใหบ้ ริการรกั ษาพยาบาลฉกุ เฉิน 3) การเคลอ่ื นย้ายและส่งตอ่ ผู้ประสบภัย 4) การช่วยเหลือฉุกเฉนิ อื่นๆ การสอ่ื สารและคมนาคม การรักษาความ ปลอดภัยและความสงบเรียบรอ้ ย
การจัดการระยะหลงั เกดิ สาธารณภัย (Post-Impact Phase) 1. การช่วยเหลือฉุกเฉินและการบรรเทาทกุ ข์ 2. การฟ้นื ฟสู ภาพ (Recovery) 1) การฟื้นฟสู ุขภาพ ของผู้ประสบภัยทัง้ ด้านรา่ งกายและจติ ใจ 2) การฟืน้ ฟบู รู ณะเปน็ การฟนื้ ฟสู ิ่งกอ่ สรา้ งต่างๆ 3) การก่อสร้างใหม่ทดแทนอาคาร ส่ิงปลูกสร้างท่ีเสียหายจาก สาธารณภัย
การจดั ทาแผนสาธารณภัย วตั ถปุ ระสงคข์ องการจดั ทาแผนสาธารณภัย 1.1 เพ่ือกาหนดหน้าที่เฉพาะของหน่วยงานต่างๆ ท่ีปฏิบตั ิงานเก่ียวกับ สาธารณภัย ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยคานึงถึงความพร้อมท้ังด้าน บุคลากรอปุ กรณ์และความชานาญของแต่ละหนว่ ยงานเหลา่ นัน้ 1.2 เพ่ือให้มีการประสานงานและการบังคับบัญชาที่เป็นระบบในทุก ระดับ คือตั้งแต่ระดับหน่วยงาน หมู่บ้าน ตาบล อาเภอ ภาค และ ประเทศ 1.3 เพ่ือให้ประชาชนมีความรู้ในการช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นในยาม เกิดสาธารณภัย
แนวทางการจดั ทาแผนสาธารณภัย ต้องพจิ ารณาถงึ 1. โครงสร้างของหน่วยงานและโครงสร้างทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ 2. จานวนคนและปริมาณวสั ดุ อปุ กรณท์ มี่ ี 3. การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการควบคุมการ ปฏิบัตงิ าน 4. การแจ้งข้อมูลข่าวสารต่างๆ 5. วิธีการติดต่อขอความช่วยเหลือทั้งด้านบุคลากรวัสดุอุปกรณ์และเงิน ชว่ ยเหลือจากหน่วยงานอ่นื ทง้ั ภายในและต่างประเทศ
ชนิดของแผนสาธารณภยั 1 แผนท่วั ไป/แผนแมบ่ ท 2 แผนปฏิบตั ิการ
ขั้นตอนการทาแผนสาธารณภัย 1. กาหนดองค์กรปฏิบัติอาจตั้งโดยการกาหนดตามกฎหมายหรือตามความ เหน็ ชอบของหนว่ ยงาน 2. จัดตง้ั คณะกรรมการจัดทา แผน ประกอบดว้ ยผู้แทนท่ีมีอานาจตดั สินใจจาก หน่วยงานตา่ งๆ 3. จัดทาการประเมินภัยโดยการวิเคราะห์ภัยและผลกระทบที่มีโอกาสเกิดจาก ภัยนัน้ ๆ 4. กาหนดวัตถุประสงค์ของแผน ซ่ึงจะสอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ภัยและ รายละเอยี ดการจดั การตา่ งๆ 5. กาหนดโครงสร้างในการดาเนินงาน เพ่ือการควบคุมและประสานการ ปฏบิ ัติการ
6. กาหนดหน้าท่ี ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน อาจกาหนดโดย กฎหมาย รัฐหรอื คณะกรรมการจดั ทาแผน ซ่ึงตอ้ ง ไดร้ ับความเห็นชอบจาก หนว่ ยงานและผู้ปฏบิ ัตงิ าน จงึ จะสามารถดาเนินแผนต่อไปได้ 7. วิเคราะห์แหล่งทรัพยากร/แหล่งสนับสนุนต่างๆ ที่สามารถติดต่อได้เม่ือ ต้องการความช่วยเหลือ 8. กาหนดระบบ รูปแบบของการจัดการสาธารณภัยท้ังในด้านการเตรียม รบั ปอ้ งกัน ลดความรุนแรงการตอบสนองและการฟนื้ ฟูต่างๆ
3.5 หลกั การพยาบาลผูป้ ่วยฉุกเฉินอบุ ัตเิ หตุหมแู่ ละสาธารณภยั ความหมาย (Definition of Disaster Nursing) การพยาบาลสาธารณภยั เป็นการพยาบาลท่ีต้องนาความรู้และทักษะทางการพยาบาลท่ัวไป และด้าน การพยาบาล ฉุกเฉินมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์สาธารณภัย ท้ังในระยะ ก่อนเกิดขณะเกิดและหลังเกิดสาธารณภัย เพื่อป้องกันและหรือลด ความ สูญเสียท่ีจะเกิดกับชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพร่างกายและ จิตใจของผปู้ ระสบภยั และญาติ
การจัดพื้นท่ีการปฏิบัติงาน (Zoning)ในภาวะภัยพิบัติ มีการแบ่งพื้นที่ ออกเป็น 3 บริเวณ ได้แก่ 1.Hot (Red) Zone : เป็นบริเวณท่ีมีอันตราย หรือมีสารเคมีปนเป้ือนและ สารพิษมากที่สุด ห้ามทีมปฏิบัติการเข้าไปในบริเวณนี้ ผู้ท่ีจะเข้าไปต้องสวมใส่ อปุ กรณ์ปอ้ งกนั อย่างเหมาะสม(Personal Protective Equipment; PPE) 2. Warm (Yellow) Zone : บริเวณที่อยู่ถดั จาก บริเวณที่มีอันตราย หรือมี สารเคมีปนเปื้อนเป็นบริเวณท่ีมีการล้างสารพิษ (decontamination corridor) ทีมปฏบิ ัตกิ ารกู้ชพี เบอ้ื งต้น สามารถทจ่ี ะเข้าไปในบริเวณนี้ได้ 3. Cold (Green) Zone : เป็นบริเวณพืน้ ท่ปี ลอดภยั จากอนั ตราย หรอื มีสารเคมี ปนเปื้อนและสารพิษ ผู้ปฏิบัติการทุกคนจะต้องถอดอุปกรณ์ป้องกันสารพิษ ก่อนท่ีจะออกมาอยู่ในบริเวณนี้ เป็นพื้นที่ท่ีมีการจัดตั้ง Command post, treatment area, loading/ transportation area, staging area เป็นต้น
โครงสรา้ งการตอบสนองตอ่ สถานการณส์ าธารณภยั โดยถือว่า “CSCATTT” เปน็ ABC ของสาธารณภยั ซึง่ ประกอบดว้ ย 1. Command หมายถึง การส่งั การ ในทีน่ ี้ คอื การส่ังการของแตล่ ะ หนว่ ย control หมายถงึ การควบคุม การก้นั อาณาเขตท่ปี ลอดภยั สาหรับการจดั การผู้ปว่ ย 2. Safety ตอ้ งคานึงถงึ ความปลอดภัย 3 ด้าน ดงั นี้ self safety, scene safety และ survivor safety 3. Communication การสอ่ื สารมกั จะมีปัญหาเม่ือเกดิ สาธารณภัย การ สือ่ สารที่มปี ระสิทธิภาพจะชว่ ยใหส้ ามารถจัดการได้ ราบร่นื และไดข้ ้อมลู ที่มปี ระโยชน์
การส่ือสารที่มีประสทิ ธภิ าพเพือ่ ใชใ้ นการประเมนิ สถานการณ์ “METHANE” - M Major incident เหตุสาธารณภยั จริงหรอื ไม่ - E Exact location ตาแหนง่ หรอื สถานท่เี กิดเหตุ - T Type of incident ประเภทของสาธารณภัย เช่น อบุ ัตเิ หตทุ างถนน - H Hazards มสี ารเคมีรัว่ ไหลหรอื ไม่ - A Access เส้นทางท่ีเขา้ ถงึ จดุ เกิดเหตุ - N Number of casualties จานวนผบู้ าดเจ็บ - E Emergency services present and required ต้องการหนว่ ยงาน ใดช่วยเหลือมากนอ้ ยเท่าใด
4. Assessment หมายถงึ การประเมนิ จานวนและความรนุ แรงของผ้ปู ่วยเพือ่ คาดคะเนวา่ จะตอ้ งขอความชว่ ยเหลือจาก หน่วยงานใดบา้ ง มากน้อยเทา่ ใด เพอ่ื ให้ บริหารจัดการไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพเพื่อ“Get the right people, with the right skills and equipment to treat the casualties at the scene and the right transport to move the casualties to the right hospital” 5. Triage คอื การคดั แยกผปู้ ่วยหรอื ผ้บู าดเจบ็ ตามความรุนแรง 6. Treatment เป้าหมายของการรกั ษาในกรณีสาธารณภยั คือ do the most for the most ซึง่ หมายถึง การคน้ หาผทู้ ี่ มโี อกาสรอดชวี ิตและให้การรกั ษา อย่างเต็มท่ี 7. Transport เปา้ หมาย คอื “Get the right patient to the right place in the right time” หมายถึง นาสง่ ผู้ปว่ ย ไปยงั โรงพยาบาลทม่ี ีศกั ยภาพ เหมาะสม
การคัดแยกตามหลักของ Major Incident Medical Management and Support (MIMMS) เป็นกระบวนการที่ต้องกระทาอย่างต่อเน่ือง (dynamic) ไม่ใช่ทา ณ เวลาใด เวลาหน่ึงเท่าน้ัน การทา Triage ต้องทาหลายคร้ังในระหว่างกระบวนการดูแล ผู้ป่วย โดยอาจทาที่จุดเกิดเหตุ ทาก่อนเคลื่อนย้าย ทาที่จุดรักษาพยาบาล ทา ก่อนจะส่งมายังโรงพยาบาล ทาเมื่อมาถึงโรงพยาบาล ทาระหวา่ งการดแู ลรักษา ที่ห้องฉุกเฉิน หรือเม่ือใดก็ตามที่อาการของผู้ป่วยมีอาการเปล่ียนแปลง ในทาง ปฏิบตั ิ นิยมทา Field Triage อย่างนอ้ ย 2 ครั้งดังน้ี 1. การคัดแยกผเู้ จ็บป่วยครั้งแรก primary Triage (Triage sieve) 2. การคดั แยกผ้เู จบ็ ป่วยคร้งั ท่ีสอง secondary Triage (Triage sort)
MIMMS 1. การคัดแยกผู้เจ็บป่วยคร้ังแรกprimary Triage (Triage sieve) มักจะทา ณ จุดเกิดเหตุในตาแหน่งท่ีพบผู้ป่วยเรียกว่า Triage sieve มักทาโดยบุคลากรของรถพยาบาลการทา Triage sieve เป็นการคัด แยก ณ จุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็วเพ่ือจัดกลุ่มผู้บาดเจ็บในเบื้องต้น ใช้ หลักการ ไม่ยุ่งยาก และในการคัดแยกไม่ต้องใช้ ข้อมูลของผู้บาดเจ็บ มากนัก
การทา Triage sieve มหี ลกั การดังนี้ 1. แยกผูบ้ าดเจบ็ ทเี่ ดินได้ออกมากอ่ น แลว้ จดั กลมุ่ นเ้ี ปน็ T3, delayed คือ ผ้ทู ี่ มีอาการไม่รุนแรง สามารถรอไดน้ านเกนิ 24 ชั่วโมง 2. หลงั จากนัน้ มาประเมินผูท้ ี่เดนิ ไม่ได้ โดยการประเมนิ ABC อย่างรวดเร็วดงั นี้ 2.1 ผูท้ ่ไี มห่ ายใจ ให้เปิดทางเดินหายใจ ( A:Airway) โดยการทา head tile and chin lift หรือไมส่ ามารถทาไดใ้ หพ้ จิ ารณาทา jaw thrust • ถ้าเปดิ ทางเดินหายใจ แลว้ ยงั ไม่หายใจ ให้จัดอยู่ในกลุ่มเสยี ชวี ติ , สดี า • ถ้าเปดิ ทางเดนิ หายใจ แล้วหายใจได้ ให้จดั อยูใ่ นกลมุ่ T1,Immediate,สแี ดง 2.2 ผู้ทีห่ ายใจได้ ใหป้ ระเมินหายใจ ( B:Breathing) โดยดูอตั ราการหายใจดงั นี้ • ถ้าหายใจนอ้ ยกวา่ 9 ครั้ง/นาทหี รอื มากกว่า 30 ครั้ง/นาทีใหจ้ ดั อยูใ่ นกลมุ่ T1, Immediate,สแี ดง • ถ้าหายใจ=10-29 ครง้ั /นาที ใหป้ ระเมินการไหลเวียน ( C:Circulation )
การทา Triage sieve มหี ลักการดังน้ี 2.3 การตรวจ Capillary refill time โดยกดเล็บของผปู้ ว่ ยนาน 5 วินาที แล้วปล่อย • ถา้ Capillary refill time มากกวา่ 2 วนิ าที ใหจ้ ัดอยู่ในกลุ่ม T1, Immediate, สแี ดง • ถ้า Capillary refill timeน้อยกวา่ 2 วินาที ให้จดั อยใู่ นกล่มุ T2, Urgent, สเี หลือง 3. การตรวจชพี จร 3.1 ถา้ ชีพจรมากกวา่ 120 ครง้ั /นาทใี ห้จดั เป็น T1, Immediate, สแี ดง 3.2 ถ้าชีพจรนอ้ ยกว่า 120 ครั้ง/นาทีใหจ้ ดั เป็น T2, Urgent, สีเหลอื ง
การคัดแยกตามหลักของ Major Incident Medical Management and Support (MIMMS)
MIMMS :triage sieve
2. การคัดแยกผู้เจ็บป่วยครั้งที่สอง secondary Triage (Triage sort) sort เป็นการคัดแยกที่ความละเอียดมากกว่า Triage sieve และมักกระทาเมื่อ ผู้บาดเจ็บมาถึงจุดรักษาพยาบาลเรียกว่า Triage sort มักทาโดย บุคลากรทาง การแพทย์ ระยะต่อมาผู้บาดเจ็บอาจมีอาการ เปลี่ยนแปลงได้ จึงต้องติดตาม ประเมินอย่างต่อเนื่อง เพ่ือผู้บาดเจ็บจะได้รับการช่วยเหลือ ท่ีเหมาะสมและ ทนั ทว่ งที
MIMMS :triage sort
Treatment System T1 คอื ผ้ทู ต่ี อ้ งการดูแลรกั ษาเพ่ือช่วยชวี ิตอยา่ งเรง่ ด่วนโดยทนั ที T2 คือ ผูท้ ี่ตอ้ งการดแู ลรกั ษาภายใน 24 ช่วั โมง มิฉะน้ันจะเป็นอนั ตรายถึงชวี ติ T3 คือ ผทู้ ม่ี ีอาการไม่รุนแรง สามารถรอไดน้ านเกิน 24 ช่ัวโมง T4 คือ ผู้ท่ีมีอาการรุนแรงมาก มีกาสรอดชีวิตน้อย ถึงแม้จะให้การดูแลรักษา อย่างเต็มท่ีโดยใช้ บุคลากรจานวนมากแล้วก็ตามแต่ก็อาจจะเสียชีวิตได้ ซ่ึงย่ิงจะ ทาใหผ้ ู้อ่ืนมโี อกาสรอดเสยี โอกาสในการไดร้ ับการดูแล
ความสาคญั การคดั แยกผบู้ าดเจบ็ ในทเ่ี กดิ เหตุ 1.กรณีท่ีผู้ช่วยเหลือมีเพียงพอ จะทาให้การคัดแยกเพ่ือจัดกลุ่มผู้ เจ็บป่วยตามระดับความรุนแรง และนาส่งยังโรงพยาบาลท่ีเหมาะสม ใน เวลาท่ีเหมาะสม เพ่อื ให้ไดร้ บั การรกั ษาพยาบาลที่เหมาะสม (deliver the right patient to the right place at the right time) 2. กรณีผู้เจ็บป่วยมีเป็นจานวนมากเกินกาลังของผู้ที่ให้การ ช่วยเหลือ จะคัดแยกผู้เจ็บป่วยเพ่ือช่วยเหลือกลุ่มท่ีมีโอกาสรอดชีวิตมาก ทีส่ ดุ บนพื้นฐานของทรพั ยากรทีม่ อี ยู่ในขณะน้นั
Role of nursing in disasters Disaster preparedness, including risk assessment and multidisciplinary management strategies at all system levels, is critical to the delivery of effective responses to the short, medium, and long-term health needs of a disaster-stricken population. International Council of Nurses (2006)
ลกั ษณะของการปฏบิ ัติการพยาบาลสาธารณภยั โดยเป็นบริการเพ่อื 1. ป้องกนั และลดความรุนแรงทจ่ี ะเกิดจากสาธารณภยั 2. มุ่งเน้นหนักด้านการพยาบาลฉุกเฉินที่ให้แก่ผู้ประสบภัยจานวน มากในขณะเกดิ ภัย 3. ชว่ ยฟืน้ ฟสู ภาพของผู้ประสบภยั และญาตทิ ัง้ ด้านร่างกายและจิตใจ
คุณสมบัตขิ องพยาบาลทป่ี ฏบิ ัติการพยาบาลสาธารณภยั 1. มีความรู้ทางการพยาบาลและมีประสบการณ์การปฏิบัติงานการ พยาบาล ฉกุ เฉนิ การพยาบาลวกิ ฤต และดา้ นการรักษาขนั้ ตน้ 2. มีความรู้ดา้ นสาธารณภัย มีความสามารถในการประเมินสถานการณ์ และคาดการณ์ถึงปัญหาสุขภาพท่ีจะเกิดจากสาธารณภัยชนิดต่างๆ ได้รวมท้ังมี ความสามารถให้การพยาบาลไดค้ รอบคลุมทุกระยะของสาธารณภยั 3. มีทักษะในการตัดสินใจที่ดี มีภาวะการเป็นผู้นา และสามารถ แกป้ ัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างถกู ต้องเหมาะสม 4. มีทักษะในการส่ือสาร และการบันทึกข้อมูลต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจน 5. มีวุฒิภาวะ มีสติ จิตใจเข้มแข็ง รอบคอบ อดทน และต้องมีสุขภาพ กายและจติ แขง็ แรง
บทบาทหน้าทขี่ องพยาบาลทปี่ ฏิบัตงิ านดา้ นการพยาบาลสาธารณภัย บทบาทหนา้ ท่ีของพยาบาลในระยะก่อนเกดิ สาธารณภัย 1) การประเมนิ สถานการณส์ าธารณภยั 2) การจดั ทาแผนหรอื รว่ มจดั ทาแผนสาธารณภยั 3) การเตรยี มการเพือ่ รบั สาธารณภยั 4) การซอ้ มแผนสาธารณภัย 5) การใหค้ วามร้แู ก่ประชาชน
บทบาทหนา้ ท่ขี องพยาบาลท่ปี ฏิบัตงิ านด้านการพยาบาลสาธารณภยั บทบาทหนา้ ท่ขี องพยาบาลในขณะเกิดสาธารณภยั 1) การประเมินสถานการณส์ าธารณภัยทเี่ กดิ ขน้ึ 2) การใชแ้ ผนและประเมนิ ความพรอ้ มรบั สาธารณภัย 3) การปฏิบัตกิ ารพยาบาล 4) การประสานงานเพ่อื ชว่ ยเหลือ และส่งต่อผปู้ ระสบภัย 5) การจดั ทาทะเบยี นบันทกึ เหตกุ ารณ์ และการรายงานเหตุการณ์ สาธารณภัย 6) การประเมินสถานการณ์
บทบาทหนา้ ทข่ี องพยาบาลท่ปี ฏิบตั ิงานด้านการพยาบาลสาธารณภัย บทบาทหน้าทข่ี องพยาบาลในระยะหลังเกิดสาธารณภัย 1) การประเมนิ สถานการณ์หลังเกิดสาธารณภยั 2) การปฏิบตั ิการพยาบาล 3) การจดั ทาบันทกึ รายงาน 4) การประสานงานกบั แหล่งสนบั สนุน 5) การประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิการในสถานการณ์สาธารณภยั ท่ีเกดิ ข้นึ
Disaster paradigm • D - Detection • I - Incident command • S - Safety and Security • A - Assess Hazards • S - Support • T - Triage/Treatment • E - Evacuation • R - Recovery
Guidelines Advance CPR https://eccguidelines.heart.org/index.php/circulation/cpr-ecc-guidelines-2/part-4-systems-of-care-and-continuous-quality-improvement/highlights/
Guidelines Advance CPR
Cardiopulmonary arrest during pregnancy
Cardiopulmonary arrest during pregnancy
Search