บทที่ ๓ บทบาทของพยาบาลในปฐมพยาบาล การชว่ ยเหลือผู้ปว่ ยในภาวะฉกุ เฉิน อบุ ัตเิ หตหุ มู่ และสาธารณภยั 3.1 การจัดบริการในหนว่ ยฉุกเฉิน 3.2 การจาแนกผู้ปวุ ยอุบัตเิ หตุและฉุกเฉิน 3.3 หลักการเตรยี มรับผู้ปุวยอุบตั ิเหตหุ มู่ 3.4 หลกั การบรรเทาสาธารณภัย 3.5 หลกั การพยาบาลผปู้ วุ ยฉกุ เฉนิ อุบัติเหตหุ ม่แู ละสาธารณภยั 3.6 Guidelines Advance CPR 2016
วัตถปุ ระสงค์1. บอกความหมายและความสาคญั ของภาวะฉุกเฉนิ ทางการแพทยไ์ ด้2. จาแนกประเภทของผู้ปุวยฉกุ เฉินไดถ้ กู ตอ้ ง3. อธิบายความหมาย ชนิด และ วตั ถปุ ระสงคข์ องการคัดกรองผู้บาดเจ็บได้4. บอกหลักการช่วยเหลอื ผู้ปวุ ยฉุกเฉินและการเตรียมรบั ผู้ปุวยอบุ ัตเิ หตุหมู่ได้5. บอกความหมายของการคัดแยกผู้เจบ็ ปวุ ย ณ จุดเกิดเหตุ (Field Triage) ได้ถกู ต้อง6. อธบิ ายความสาคัญของการคดั แยกผเู้ จ็บปุวย ณ จดุ เกดิ เหตุ (Field Triage) ได้ถูกต้อง7. วเิ คราะหส์ ถานการณแ์ ละประเภทของผูเ้ จ็บปวุ ย ณ จดุ เกดิ เหตุการณ์ คดั แยกผ้บู าดเจบ็ณ จดุ เกิดเหตุ (Field Triage )ได้ถกู ต้อง เหมาะสม8. หลกั การพยาบาลผูป้ ุวยฉกุ เฉนิ อุบัตเิ หตุหมู่และสาธารณภยั9. บอกหลักการชว่ ยฟน้ื คืนชพี ข้นั สูง Guidelines Advance CPR 2016 ได้
3.1 การจดั บรกิ ารในหนว่ ยฉุกเฉินฉุกเฉิน หมายถึง การเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน โดยปัจจุบันทันด่วนและต้องการการช่วยเหลือและแก้ไข อย่างรีบด่วน มิฉะนั้นอาจเป็นอนั ตรายถึงชวี ิต หรอื ทาใหเ้ กิดความพกิ ารและความทกุ ข์ทรมานอย่างมากได้
การแพทย์ฉกุ เฉิน (Emergency Medicine) ตามคาจากัดความของพรบ.การแพทย์ฉุกเฉิน ๒๕๕๑ มี ความหมาย ท่ีกว้าง โดยให้หมายถึง (๑)การปฏิบัติการฉุกเฉิน (๒) การศึกษา (๓) การฝึกอบรม (๔) การค้นคว้า(๕) การวจิ ยั และ (๖) การปอู งกันการเจ็บปุวยทีเ่ กดิ ข้ึนฉุกเฉิน โดยท้ัง (๑)– (๖) เก่ียวกับการประเมิน การ จัดการ การบาบัดรักษาผู้ปุวยฉุกเฉินนับต้ังแต่การรับรู้ถึงภาวการณ์เจ็บปุวยฉุกเฉิน จนถึงการดาเนินการให้ผู้ปุวยฉุกเฉินได้รับการบาบัดรักษาให้พ้นภาวะฉุกเฉิน จาแนกเป็นการปฏิบัติการในชุมชน และการปฏิบัติการ ต่อผู้ปุวยฉุกเฉินท้ังนอกโรงพยาบาลและในโรงพยาบาล
ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS System) หมายถึงระบบที่มีการจัดวางอย่างเปน็ ระเบยี บ (Organized) ครอบคลุม (Integrated)เป็นไปเพ่ือให้ความช่วยเหลือภาวะเร่งด่วนทางการแพทย์สาหรับบคุ คลแต่ละคน เพ่ือเขา้ ถึง (Assess) และเขา้ สู่ (Enter) ระบบการให้การดแู ลสขุ ภาพในระยะเวลา อนั รวดเร็ว
การจดั บริการการแพทย์ฉุกเฉิน1. มมี าตรฐานและโครงสร้างทเ่ี หมาะสม มีการกาหนดนโยบายท่ีชัดเจนในการดแู ล ช่วยเหลือผเู้ จบ็ ปุวยฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล2. มรี ะบบบรกิ ารแจ้งเหตุทีง่ ่ายต่อการเรียกใช้3. มคี วามสามารถส่อื สารที่มีประสทิ ธภิ าพ4. มีบคุ ลากรทีป่ ฏบิ ัตงิ านในระบบบรกิ ารการแพทย์ฉุกเฉิน5. ควรมีกฎและระเบียบรองรบั การปฏิบตั ิงานของเจ้าหน้าที6. การจดั ระบบการเงนิ การคลงั ในการบริการการแพทยฉ์ ุกเฉิน7. การประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนรู้จักบทบาทหน้าท่ีของระบบบริการการแพทย์ฉกุ เฉิน8. มีระบบขอ้ มูลระบบบริการการแพทย์ฉกุ เฉิน
การจดั บรกิ ารในหอ้ งฉกุ เฉิน การจัดบริการในแผนกฉุกเฉินเป็นกระบวนการนาไปสู่การจัดการทรัพยากรที่เหมาะสม เพื่อใช้กับสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างมีประสทิ ธิภาพ แบง่ ออกเป็น 1. การจัดการกับสถานการณ์เพื่อปูองกันปัญหาท่ีทาให้เกิดการสญู เสีย เช่น สถานท่ตี ้ังมีความเหมาะสม ปลอดภยั 2. มีการเตรยี มการวางแผนการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆท่ีเกิดข้ึนการวางแผนการใช้ทรพั ยากร การพัฒนา การฝกึ อบรม 3. มีการจดั สรรทรพั ยากรทใี่ ชใ้ ห้เหมาะสมกบั สถานการณ์ 4. มีระบบการจัดการในระยะปานกลางและระยะยาวเมื่อมีสถานการณ์ทีไ่ มค่ าดคิดเกิดข้ึน
การจดั การด้านอาคารสถานท่ีของหน่วยฉกุ เฉนิ สถานที่ของแผนกฉุกเฉินควรตั้งอยู่ใกล้ทางเข้าออกของโรงพยาบาล มีปูายบอกทางที่ชัดเจนและมีขนาดใหญ่พอที่ผู้มารับบริการสามารถมองเห็นได้ง่ายจากภายนอกโรงพยาบาล และสามารถติดต่อประสานงานกับแผนกอ่ืนๆท่ีเก่ียวข้องได้สะดวก มีทางเข้าออกและกว้างเพียงพอในการปฏิบัติงานและการเคลื่อนย้ายผู้ปุวย เครื่องมือ อุปกรณ์ เตียงผู้ปุวยได้สะดวก มีแสงสว่างที่เพยี งพอกับการปฏิบตั ิงาน มรี ะบบสารองไฟฟาู มีระบบระบายอากาศที่ดี มีพน้ื ที่เพยี งพอในการตั้งเตยี งบริการผูป้ วุ ย
การจดั แบ่งพ้นื ที่ภายในแผนกฉกุ เฉิน1. ศูนย์เปล ควรอยู่บริเวณด้านหน้าของแผนก สามารถมองเห็นผู้ปุวยหรือยานพาหนะทีน่ ามาส่งผูป้ วุ ยได้ชัดเจน สามารถประเมินอาการของผู้ปุวย เพื่อจัดประเภทรถนั่งหรือรถนอนไปให้บริการผู้ปุวยในการส่งต่อรักษาในแผนกที่เหมาะสม2. หน่วยประชาสัมพันธแ์ ละห้องบัตร ควรอยู่บริเวณดา้ นหน้าของแผนก ให้ผู้มารับบริการสามารถมองเห็นได้ชัดเจน สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเก่ยี วกับการรบั บรกิ ารไดโ้ ดยสะดวก
3. ท่ีพักรอ จะต้องมีจานวนมากพียงพอและสุขสบาย ท่ีสาคัญผู้ปุวยสามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ได้ขณะนั่งรอตรวจ เมื่อมีอาการเปล่ียนแปลง 4. หน่วยคัดกรองผู้ปุวย จะเป็นด่านแรกในการประเมินอาการของผู้ปุวยเบื้องต้น เพ่ือจาแนกและจัดลาลับความสาคัญในการให้การช่วยเหลือท่ีเหมาะสมกับผู้ปวุ ยแตล่ ะราย 5. ห้องทาการรักษาพยาบาล ใช้สาหรับการให้การรักษาพยาบาลในกรณีฉกุ เฉินทว่ั ไป เชน่ ฉดี ยา ทาแผล การทาหตั ถการตา่ งๆ เปน็ ตน้
6. ห้องชว่ ยฟื้นคนื ชีพ ใชส้ าหรับการช่วยฟื้นคืนชีพผู้ปวุ ยท่ีอยู่ในภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหายใจล้มเหลว ในห้องน้ีควรมีพื้นท่ี แสงสว่างเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ได้แก่ รถ Resuscitation, Monitor,Defibrillator, เครือ่ ง Suction, ถังออกซเิ จน เป็นต้น 7. ห้องผ่าตัดเล็ก ควรจัดให้เป็นก่ึงปลอดเชอ้ื เพ่ือใช้สาหรับการผ่าตัดเล็กท้ังในเวลาปกติและนอกเวลาทาการ มีเคร่ืองมือสาหรับการทาผา่ ตดั เล็กทส่ี ามารถหยบิ ใชไ้ ด้อยา่ งสะดวก 8. ห้องหรือบริเวณสาหรับการใส่เฝือก ควรอยู่ติดกับห้องรักษาพยาบาลเพื่อให้สะดวกในการเคล่ือนย้ายเปลผู้ปุวย และสะดวกรวดเร็วในการใส่เฝือก
9. ห้องสังเกตอาการ ในกรณีท่ีผู้ปุวยมีการเจ็บปุวยที่ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ชัดเจน หรืออาจมีอาการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจาเป็นต้องให้ผู้ปุวยนอนสังเกตอาการและต้องมีการประเมินอาการของผูป้ วุ ยอยา่ งใกล้ชิดเปน็ ระยะๆ 10. ห้องแยก เป็นห้องท่ีใช้ราหรับผู้ปุวยท่ีได้รับสารพิษหรือการติดเชื้อที่รุนแรง หรือผู้ปุวยที่มีการเปล่ียนแปลงของการรับรู้ เช่น ผู้ปุวยโรคทางจติ เวช และต้องอยูใ่ นความดแู ลของพยาบาลอยา่ งใกลช้ ิด 11. หน่วยรักษาความปลอดภัย เป็นหน่วยงานท่ีสาคัญที่สนับสนุนการปฏิบัติงานและดูแลความปลอดภัยของผู้รับบริการ ในกรณีท่ีไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
การให้การรกั ษาพยาบาลในภาวะฉกุ เฉินพยาบาลจะตอ้ ง 1. สามารถรักษาชีวติ ของผู้ปวุ ยหรอื ผู้บาดเจ็บได้ 2. สามารถปูองกนั ไม่ใหผ้ ูป้ วุ ยหรือผ้บู าดเจบ็ มอี าการ มากข้ึนหรอื หนักกวา่ เดิม 3. สามารถบรรเทาอาการเจบ็ ปวดทรมานได้ 4. สามารถสง่ ตอ่ ผูป้ ุวยหรือผู้บาดเจ็บได้อยา่ งปลอดภัย
การปฏบิ ตั งิ านการพยาบาลฉุกเฉินประกอบดว้ ย1. การจาแนกประเภทของผปู้ ุวย การจดั ลาดับความสาคัญของการเจบ็ ปวุ ย2. การเตรยี มการรับสถานการณ์ฉุกเฉนิ3. การใหก้ ารดูแลผู้ปวุ ยในภาวะวิกฤตใิ นทกุ ช่วงกล่มุ อายุ4. การดแู ลและจดั การกับสถานการณ์ทไี่ ม่สามารถคาดคิดได้5. การใหก้ ารดแู ลผู้ปวุ ยอย่างสอดคลอ้ งตอ่ เน่ือง
ข้อพึงตระหนักสาหรับพยาบาลในภาวะฉกุ เฉิน 1. รู้ถึงภาวะฉุกเฉิน โดยรู้ถึงความเป็นมาของโรคของผู้ปวุ ยที่อยู่ในความรับผิดชอบ และสามารถสังเกตถึงอาการผิดปกติท่ีเกิดข้ึนได้อย่างถกู ตอ้ ง 2. การให้บริการพยาบาลฉุกเฉิน พยาบาลจะเป็นบคุ คลแรกท่ีพบกับผู้ปุวยกรณีฉุกเฉิน พยาบาลจึงต้องรู้ว่าจะให้การพยาบาลเช่นใดเมื่อผ้ปู วุ ยมาถงึ 3. ปฏิบัติการพยาบาลอย่างรวดเร็ว และจัดระบบงานให้เหมาะสม 4. การสัมผสั ผู้ปุวยตอ้ งแสดงออกด้วยความเตม็ ใจ 5. ใหค้ วามช่วยเหลือทีส่ ามารถทาใหแ้ ก่ผู้ปุวยได้
6. รู้และเขา้ ใจถงึ วิธีการที่จะตอ้ งปฏบิ ัติในกรณีท่เี กย่ี วข้องกับกฎหมาย 7. ทางานร่วมและประสานงานกับผู้รว่ มงาน 8. จดั หาและเตรียมอปุ กรณ์ และส่ิงของต่าง ๆ ให้พรอ้ มทจ่ี ะใช้งานไดท้ กุ เวลา 9. ชีแ้ จงและใหค้ าแนะนาผู้ปุวยและญาติอยา่ งชดั เจน
3.2 การจาแนกผู้ปว่ ยอุบตั เิ หตุและฉุกเฉินคาจากัดความ Triage อ่านว่า ธรีอาช Triage มาจากคาศัพท์ภาษาฝร่ังเศสว่า Trier ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Sort Triage ในภาษาไทยแปลวา่ การคัดแยก แยกจัด เป็นหมวด Triage มีบันทึกว่าใชใ้ นการจัดกลุ่มผู้บาดเจ็บในสงคราม ตั้งแต่สมัยพระเจ้านโปเลียน โดยศัลยแพทย์ชื่อ Baron Dominique Jean Larrey ต่อมาได้นามาใช้กับการบาดเจบ็ อนื่ ๆรวมถึงการเจบ็ ปวุ ยดว้ ย
Triage การคดั แยกผู้บาดเจบ็ (Triage) ความหมาย “ระบบ การจัดกลมุ่ ผู้ปวุ ยเมือ่ บคุ ลากรมไี ม่ เพียงพอท่ีจะดแู ล ผ้ปู วุ ยไดท้ กุ คน”จุดประสงค์ของการคดั แยก (Triage)• เพอื่ จดั ส่งผปู้ ุวยที่ เหมาะสม ไปยงั ทีท่ ี่ เหมาะสม ในเวลาท่ี เหมาะสม
ประเภทของการคัดแยกสถานการณ์ไม่ปกติ◦Mass casualty / Disaster triage◦Battle Field Triage สงครามสถานการณป์ กติ◦Phone triage / Criteria-based dispatch◦Field Triage / Scene Triage◦Emergency Department Triage
ประเภทของการคดั แยก
Three – Level Acuity System Level Acuity Treatment & Sample conditionLevel 1 Emergent Reassessment time Immediately Cardiac arrest, Seizure, Anaphylaxis, MultipleLevel 2 Urgent trauma, Shock, Severe respiratory distress,Level 3 Non urgent 10-45 minutes Chest pain, Uncontrolled hemorrhage, Severe head trauma, Open chest/abdominal 30 minutes-2hours wound, Poisoning with neurological changes, Active labor pain Major fracture, Sever headache, Aggressive patient, Major burn, Stroke, Acute asthmatic attack, Urinary retention, Laceration (serious), Eye injury with vision loss, Pregnant (active bleeding), Drug ingestion Closed fracture, Abdominal pain, Noncardiac chest pain, Bleeding (stable vital sign)
Four – Level Acuity System Level Acuity Treatment & Sample conditionLevel 1 Reassessment timeLevel 2Level 3 Resuscitative Immediately Cardiac arrest, Seizure, Anaphylaxis, Multiple trauma,Level 4 Shock, Severe respiratory distress, Chest pain, Uncontrolled hemorrhage, Severe head trauma, Open chest/abdominal wound, Poisoning with neurological changes Emergent 5-15 minutes Major fracture, Sever headache, Aggressive patient, Major burn, Stroke, Acute asthmatic attack, Urinary retention, Laceration (serious), Eye injury with vision loss, Pregnant (active bleeding), Drug ingestion Urgent 15-45 minutes Closed fracture, Abdominal pain, Noncardiac chest pain, Bleeding (stable vital sign), Drug ingestion, Renal calculi, Laceration Non urgent 1-2 hours Cystitis, Sore throat, Minor burn, Abscess, Minor bite, Constipation
Five – Level Acuity System Level Acuity Treatment & Sample conditionLevel 1 Resuscitative Reassessment Cardiac arrest, Seizure, Anaphylaxis, Multiple trauma, Shock,Level 2 time Severe respiratory distress, Chest pain, Uncontrolled hemorrhage, Severe head trauma, Open chest/abdominal wound, PoisoningLevel 3 Immediately with neurological changesLevel 4Level 5 Emergent 5-15 minutes Major fracture, Sever headache, Aggressive patient, Major burn, Stroke, Acute asthmatic attack, Urinary retention, Laceration Urgent 15-45 minutes (serious), Eye injury with vision loss, Pregnant(active bleeding), Drug ingestion Semi-urgent 1-2 hours Closed fracture, Abdominal pain, Noncardiac chest pain, Routine 4 hours Bleeding(stable vital sign), Drug ingestion, Renal calculi, Laceration Cystitis, Sore throat, Minor burn, Abscess, Minor bite, Constipation Routine physical, Suture removal, Prescription refill
หลักการในการจาแนกประเภทผปู้ ่วย 1. พยาบาลทท่ี าหนา้ ทจ่ี าแนกประเภทผู้ปวุ ย ควรสามารถประเมินอาการได้อย่างรวดเร็ว บันทึกอาการและอาการแสดงต่างๆ ให้การดูแลที่เหมาะสมกับอาการของผู้ปุวย 2. ต้องสามารถระบุหรือจาแนกประเภทของผู้ปุวยได้อยา่ งถกู ต้องแมน่ ยา 3. ควรระบรุ ะดับของความรุนแรงของผ้ปู วุ ยทกุ รายที่มารับบริการ 4. การจาแนกประเภทของผู้ปวุ ยเปน็ กระบวนการที่มกี ารเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อาการของผู้ปวุ ยอาจดขี ึ้นหรือแยล่ งในขณะท่รี อรับการรักษา 5. กระบวนการจาแนกประเภทของผู้ปวุ ยเป็นการประเมินข้อมูลเบื้องต้นซ่ึงต้องประเมินอาการของผู้ปุวยในช่วงเวลาส้ันๆ ละต้องการความช่วยเหลือที่เหมาะสมตามสถานการณ์ตามความรนุ แรงในขณะน้ัน
6. การนาแนวทางการปฏิบตั ิมาใช้ในการประเมินอาการ เพ่ือจาแนกประเภทของผู้ปวุ ยมาใช้7. การประเมินผู้ปุวยเด็ก อาจมีข้อจากัดในการประเมินอาการโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ไม่สามารถบอกอาการได้ จาเป็นต้องมีการประเมินอาการอย่างละเอยี ดจากขอ้ มูลทีม่ อี ยู่8. การจาแนกประเภทผู้ปุวยเป็นกระบวนการที่มีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผูป้ วุ ยอาจมอี าการดขี ้นึ หรอื แยล่ งกไ็ ด้9. การประเมนิ อาการซา้ หลงั จากการประเมนิ อาการในชว่ งแรกมีความจาเปน็อยา่ งย่ิงเพราะอาการของผปู้ วุ ยสามารถเปล่ยี นแปลงได้ขณะท่รี อการรักษาอยู่
รูปแบบของแผนเตรยี มรบั อุบตั ภิ ัยหมู่1. แผนรบั อุบัตภิ ยั หมู่ ณ จดุ เกิดเหตุ2. แผนรับอุบัตภิ ัยหมู่ในโรงพยาบาล
การคัดแยกผู้บาดเจบ็ ณ จุดเกิดเหตุ (Field Triage) ความหมายการคัดแยกผู้บาดเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุ เพื่อจัดลาดับ ความเร่งด่วนในการช่วยเหลือท่ีเหมาะสม ในกรณีมีผู้บาดเจ็บเป็น จานวนมาก ( masscasualty) เพ่ือจัดกลุ่มว่ากลุ่มใดควรได้รับการดูแลรักษาพยาบาลเพ่ือช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วน กลุ่มใดสามารถรอคอยได้ และกลุ่มใดท่ีมีอาการรนุ แรงมาก มโี อกาสรอดชีวิตนอ้ ย แม้วา่ ได้รับการดูแลรกั ษาพยาบาลอย่างเต็มทแ่ี ลว้ กต็ าม
การคัดแยกผู้บาดเจ็บ ณ ที่ เกิดเหตุ การคัดแยกผู้บาดเจ็บรายเดียว จะคัดแยกโดยใช้ตารางการประเมินผู้ปุวยหนัก คือประเมินจากเกณฑ์ทางสรีรวิทยากายวิภาคกลไกการเกิดบาดเจ็บ อายุและโรคประจาตัวการคัดแยกผู้บาดเจบ็ จานวนมาก (ในอุบตั ภิ ัยหม)ู่ 1. START( Simple Triage And Rapid Treatment ) 2. MTS ( Manchester triage scale ) 3. ESI ( Emergency Severity Index) 4. CTAS ( Canadian Triage and Acuity Scale ) 5. ATS ( Australasian Triage Scale )
5 level triage system
From: Prehospital organization and management of a mass casualty incidentBJA Educ. 2016;16(10):323-328. doi:10.1093/bjaed/mkw005BJA Educ | © The Author 2016. Published by Oxford University Press on behalf of the British Journal of Anaesthesia. All rightsreserved. For Permissions, please email: [email protected]
การคัดแยกตามหลักของ Major Incident Medical Management andSupport (MIMMS)เป็นกระบวนการท่ีต้องกระทาอย่างตอ่ เน่ือง ( dynamic ) ไม่ใช่ทา ณ เวลาใดเวลาหน่ึงเท่าน้ัน การทา Triage ต้องทาหลายครั้งในระหวา่ งกระบวนการดูแลผู้ปุวย โดยอาจทาที่จุดเกิดเหตุ ทาก่อนเคล่ือนย้าย ทาท่ีจุดรักษาพยาบาล ทาก่อนจะส่งมายังโรงพยาบาล ทาเมื่อมาถึงโรงพยาบาล ทาระหวา่ งการดแู ลรักษาท่ีห้องฉุกเฉิน นอกจากนี้อาจทา Triage เพ่ิมเติมเมื่อใดก็ตามท่ีอาการของผู้ปุวยมีอาการเปล่ียนแปลง ในทางปฏิบัติ นิยมทา Field Triage อย่างน้อย 2 คร้ังดงั น้ี 1. การคดั แยกผู้เจ็บปวุ ยครัง้ แรก primary Triage (Triage sieve) 2. การคดั แยกผู้เจบ็ ปวุ ยครง้ั ทสี่ อง secondary Triage (Triage sort)
1. การคัดแยกผู้เจบ็ ป่วยคร้ังแรกprimary Triage (Triage sieve)มักจะทา ณ จุดเกิดเหตุในตาแหน่งท่ีพบผู้ปุวยเรียกว่า Triage sieveมักทาโดยบคุ ลากรของรถพยาบาลการทา Triage sieve เป็นการคัดแยก ณ จุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็วเพ่ือจัดกลุ่มผู้บาดเจ็บในเบื้องต้น ใช้หลักการ ไม่ยุ่งยาก และในการคัดแยกไม่ต้องใช้ ข้อมูลของผู้บาดเจ็บมากนัก
การทา Triage sieve มหี ลักการดังน้ี1.แยกผ้บู าดเจ็บที่เดนิ ได้ออกมาก่อน แลว้ จดั กลุม่ นี้เปน็ T3, delayed คอื ผทู้ ่ีมีอาการไม่รุนแรง สามารถรอไดน้ านเกิน 24 ชั่วโมง2. หลงั จากนั้นมาประเมินผทู้ ่เี ดนิ ไมไ่ ด้ โดยการประเมนิ ABC อยา่ งรวดเร็วดังน้ี2.1 ผ้ทู ไ่ี ม่หายใจ ใหเ้ ปิดทางเดินหายใจ ( A:Airway) โดยการทา head tile and chin liftหรือไมส่ ามารถทาได้ให้พจิ ารณาทา jaw thrust• ถ้าเปดิ ทางเดินหายใจ แลว้ ยังไม่หายใจ ให้จดั อย่ใู นกล่มุ เสียชีวติ , สดี า• ถา้ เปิดทางเดินหายใจ แล้วหายใจได้ ให้จดั อยู่ในกลุม่ T1,Immediate,สแี ดง2.2 ผทู้ ่หี ายใจได้ ให้ประเมินหายใจ ( B:Breathing) โดยดูอัตราการหายใจดังน้ี• ถ้าหายใจนอ้ ยกวา่ 9 ครัง้ /นาทหี รอื มากกว่า 30 คร้งั /นาทีใหจ้ ดั อยใู่ นกลุ่ม T1,Immediate,สแี ดง• ถา้ หายใจ=10-29 ครงั้ /นาที ให้ประเมนิ การไหลเวยี น ( C:Circulation )
2.3 การตรวจ Capillary refill time โดยกดเลบ็ ของผ้ปู ุวยนาน 5 วินาทีแล้วปล่อย• ถ้า Capillary refill time มากกวา่ 2 วนิ าที ให้จัดอย่ใู นกลุ่ม T1,Immediate,สีแดง• ถ้า Capillary refill timeน้อยกว่า 2 วนิ าที ให้จดั อยใู่ นกลุ่ม T2,Urgent,สีเหลือง3. การตรวจชพี จร3.1 ถา้ ชีพจรมากกวา่ 120 ครงั้ /นาทใี ห้จดั เปน็ T1,Immediate,สีแดง3.2 ถา้ ชีพจรนอ้ ยกว่า 120 ครั้ง/นาทใี หจ้ ดั เป็น T2,Urgent,สเี หลอื ง
2. การคัดแยกผู้เจ็บป่วยคร้ังท่ีสอง secondary Triage (Triage sort)sort เป็นการคัดแยกที่ความละเอียดมากกว่า Triage sieve และมักกระทาเม่ือผู้บาดเจ็บมาถึงจุดรักษาพยาบาลเรียกว่า Triage sort มักทาโดยบุคลากรทางการแพทย์ ระยะตอ่ มาผบู้ าดเจ็บอาจมอี าการ เปลีย่ นแปลงได้ จึงต้องติดตามประเมินอย่างต่อเน่ือง เพื่อผู้บาดเจ็บจะได้รับการช่วยเหลือ ที่เหมาะสมและทนั ท่วงที
Treatment SystemT1 คอื ผ้ทู ต่ี อ้ งการดูแลรกั ษาเพ่ือช่วยชวี ิตอยา่ งเรง่ ด่วนโดยทนั ทีT2 คือ ผูท้ ี่ตอ้ งการดแู ลรกั ษาภายใน 24 ช่วั โมง มิฉะน้ันจะเป็นอนั ตรายถึงชวี ติT3 คือ ผทู้ ม่ี ีอาการไม่รุนแรง สามารถรอไดน้ านเกิน 24 ช่ัวโมงT4 คือ ผู้ท่ีมีอาการรุนแรงมาก มีกาสรอดชีวิตน้อย ถึงแม้จะให้การดูแลรักษาอย่างเต็มท่ีโดยใช้ บุคลากรจานวนมากแล้วก็ตามแต่ก็อาจจะเสียชีวิตได้ ซ่ึงย่ิงจะทาใหผ้ ู้อ่ืนมโี อกาสรอดเสยี โอกาสในการไดร้ ับการดูแล
ความสาคญั การคัดแยกผบู้ าดเจบ็ ในทเ่ี กดิ เหตุ 1.กรณีท่ีผู้ช่วยเหลือมีเพียงพอ จะทาให้การคัดแยกเพ่ือจัดกลุ่มผู้เจ็บปุวยตามระดับความรุนแรง และนาส่งยังโรงพยาบาลท่ีเหมาะสม ในเวลาท่ีเหมาะสม เพ่อื ให้ได้รบั การรกั ษาพยาบาลที่เหมาะสม (deliver theright patient to the right place at the right time) 2. กรณีผู้เจ็บปุวยมีเป็นจานวนมากเกินกาลังของผู้ที่ให้การช่วยเหลือ จะคัดแยกผู้เจ็บปุวยเพ่ือช่วยเหลือกลุ่มที่มีโอกาสรอดชีวิตมากทีส่ ดุ บนพื้นฐานของทรพั ยากรทีม่ อี ยู่ในขณะน้นั
3.3 หลักการเตรยี มรบั ผู้ปว่ ยอบุ ตั เิ หตหุ มู่Mass casualty incident ( MCI )• อุบัติภยั หมู่ คือเหตกุ ารณ์ท่ีมีผู้บาดเจ็บจานวนมากจนเกินกาลังของโรงพยาบาลในพ้ืนท่ี โดยอาจจาต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลอื่นท้ังในและนอกจังหวดั
วตั ถุประสงค์ : ในการคดั แยกในโรงพยาบาลของหนว่ ยอบุ ตั ิเหตแุ ละฉุกเฉิน1. เพอ่ื ให้ผปู้ วุ ยไดร้ ับการตรวจรักษาพยาบาลตามความเรง่ ด่วน2. เพ่ือให้ผู้ปวุ ยทอี่ ยู่ในภาวะเร่งด่วนมสี ิง่ คกุ คามชีวติ ได้รบั การรกั ษาได้อย่างรวดเรว็ ทันเวลา3. เพอ่ื ใหผ้ ปู้ วุ ยไดร้ บั การประเมินและส่งตอ่ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง4. เพื่อควบคุมการหมนุ เวียนของผู้ปุวยในหนว่ ยฉกุ เฉิน ลดการคบั คง่ั ของผู้ปวุ ย5. เพือ่ ลดระยะเวลาในการรอคอย6. เพอื่ ลดความเครยี ดของผู้ปวุ ย ญาติและผ้ใู หบ้ ริการ
ระบบการจาแนกหรอื คัดแยกผูป้ ่วยในหนว่ ยอุบัติเหตุและฉุกเฉินทไ่ี ดผ้ ลดคี วรประกอบดว้ ย1. สามารถคัดแยกผู้ปวุ ยทม่ี ีภาวะฉกุ เฉนิ เร่งด่วนได้อย่างรวดเรว็2. สามารถจัดระเบยี บการไหลเวยี นของผูม้ าใชบ้ ริการ3. สามารถใหค้ าแนะนาแก่ผู้มาใชบ้ รกิ ารและญาติลดความขัดแย้งและความไม่พงึ พอใจได้
แนวทางในการจัดระบบการคัดแยก (Triage System)1. จัดให้มีการซักประวัติตรวจร่างกาย เพื่อประเมินความรุนแรงของการเจบ็ ปุวย2. มีแนวทางซ่ึงจดั ขนึ้ เองในโรงพยาบาล ตามความเหมาะสม3. ผู้ปุวยทุกรายควรได้รับการคัดแยกภายในเวลารวดเร็ว อาจทาการคัดแยกก่อนทาบตั ร4. ถ้ามีความพร้อม อาจมีแนวทางปฏิบัติให้เจ้าหน้าท่ีท่ีมีหน้าที่คัดแยกผ้ปู ุวย สามารถทาการดูแลรักษาเบอื้ งตน้ ได้5. มกี ารประเมินผปู้ วุ ยซา้ ๆ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งระหว่างรอตรวจ
ขน้ั ตอนการชว่ ยเหลือก่อนนาส่งโรงพยาบาล1. การเจ็บปวุ ยฉุกเฉินและการแจ้งเหตุ (Detection)2. การแจ้งเหตุขอความช่วยเหลอื (Reporting)3. การออกปฏิบตั กิ ารของหน่วยแพทย์ฉกุ เฉิน (Response)4. การรกั ษาพยาบาล ณ จดุ เกดิ เหตุ (On scene care) 4.1 การประเมนิ สถานการณ์ (Scene size-up) 4.2 การประเมนิ สภาพผ้ปู ุวยฉกุ เฉิน (Patient assessment)5. การลาเลียงขนย้ายและการดแู ลระหว่างนาส่ง (Care in transit)6. การนาสง่ สถานพยาบาล (Transfer to definitive care)
หลักการประเมนิ สถานการณ์ : สิง่ ที่ตอ้ งพงึ ระลึกไวเ สมอในการประเมินสถานการณ มดี ังน้ี1. การปอู งกนั ตนเองจากการติดเชอ้ื โรค (Body substanceisolation = BSI)2. ความปลอดภยั ของสถานท่เี กดิ เหตุ (Scene safety)3. กลไกการบาดเจ็บ / เจ็บปวย (Mechanism of injury = MOI /Nature of illness = NOI)4. จานวนผู้ปวุ ยเจ็บ (Number of patients)5. แหล่งสนบั สนนุ ทต่ี อ้ งการ (Additional resource)
การคน้ หาลกั ษณะของการบาดเจบ็ จะใชต้ ัวอกั ษรช่วยจา DCAP-BTLS ในการประเมิน ซง่ึ มีความหมาย ดงั นี้D = Deformities การผิดรปูC = Contusion รอยฟกช้าA = Abrasion แผลถลอกP = Puncture / Penetrations แผลจากการถูกแทงB = Burns แผลไหม้T = Tenderness ตาแหนง่ เจ็บL = Lacerations แผลฉกี ขาดS = Swelling อาการบวม
THE MEDICAL SCREENING EXAMINATION Chief complaint - High acuity, high risk, true emergency Vital signs - Grossly abnormal Mental status - Evidence of abnormalities General appearance - Patient looks sick, patient's skin looks poorly perfused, patient shows signs of dehydration Ability to walk - Patients who cannot walk are at high risk for true emergency medical conditions.
Search