การเมอื งการปกครอง สมัยกรงุ รัตนโกสินทร์ รชั กาลท่ี 5 - 7
การเมอื งการปกครอง สมัยรัชกาลท่ี 5
การปฏริ ูปการเมืองการปกครอง สมัยรชั กาลที่ 5
1.1. จัดตั้งสภาทป่ี รกึ ษาราชการแผน่ ดนิ และสภาทป่ี รกึ ษาในพระองค์ พระองคไ์ ด้ทรงตราพระราบญั ญัติการจัดต้งั สภาท่ีปรึกษาราชการ แผ่นดิน(Council of State) และสภาท่ปี รึกษาในพระองค์ (Privy Council) ดงั น้ี เป็นการดึงอานาจจากขุนนางมาสู่พระมหากษัตริย์ เม่อื พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ทรง มพี ระราชอานาจโดยสมบรู ณใ์ นการบรหิ าร ประเทศ พระองคไ์ ดด้ าเนนิ การปฏริ ปู ในหลาย ประการดังน้ี
1.2. การจดั การบรหิ ารราชการสว่ นกลาง เนอ่ื งจากการบรหิ ารการปกครอง ส่วนกลางมีความกา้ วกา่ ยซา้ ซอ้ นไม่เปน็ ระเบยี บ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าใหแ้ บง่ หน่วยงาน ราชการสว่ นกลางออกเปน็ กระทรวงตา่ งๆ 12กระทรวง โดยมกี ารจัดสรรอานาจ หนา้ ที่ และความรบั ผดิ ชอบของแต่ละกระทรวง อย่างเป็นสัดส่วนเพือ่ การ บริหารราชการ ดาเนินไปอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ดังน้ี
ในปี พ.ศ.2437 ไดม้ ีการยุบรวมกระทรวงและปรับปรงุ ใหม่ เหลือเพยี ง 10 กระทรวง โดยยบุ กระทรวงยทุ ธนาธิการไปรวมกบั กระทรวงกลาโหม และยกเลกิ กระทรวงมรุ ธาธกิ ารไปรวมกบั กระทรวงวงั
1.3. การปฏริ ปู การปกครองสว่ นภมู ภิ าค พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัวทรงยกเลิกการแบ่งหวั เมืองช้ันเอก โท ตรี จัตวา เปล่ียนเปน็ การปกครองแบบเทศาภิบาล คอื รวมหวั เมืองชายแดนหลายเมอื งเขา้ เป็นมณฑล โดยมี ข้าหลวง เทศาภบิ าลเป็นผปู้ กครอง ซ่ึงตอ่ มาเรยี กว่า สมหุ เทศาภบิ าล ขึน้ ตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การจดั ตั้งมณฑล เทศาภบิ าลนี้ เป็นการรวมอานาจการปกครองทง้ั ดา้ นการเมือง และเศรษฐกิจเขา้ สู่ ส่วนกลาง ทาให้การปกครอง หวั เมืองเปน็ แบบเดียวกันและมปี ระสทิ ธภิ าพมากขึน้ นอกจากนย้ี งั มี การแบง่ เขตการปกครองสว่ นภูมิภาคออกเปน็ เมอื ง (จังหวัด) อาเภอ ตาบลและ หมู่บ้าน การ ปกครองแบบเทศาภิบาล หลักการปกครองแบบนี้คอื รัฐบาลจะทาการปกครองหัวเมอื งตั้งแต่ชัน้ ตา่ สดุ ถงึ สงู สุด โดยเริ่มต้นจากพลเมอื งเลอื กผู้ใหญบ่ ้านและผใู้ หญ่บา้ น 10 หมบู่ ้าน มสี ทิ ธเิ ลือกกานนั ของ ตาบล ตาบลหลายๆ ตาบลมพี ลเมืองประมาณ 10,000 คน รวมกนั เป็นอาเภอ หลายอาเภอ รวมกนั เปน็ เมอื ง และหลายเมอื งรวมเป็นมณฑล โดยมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผูด้ แู ล
1.4. การปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ตอ่ มาได้มีการจดั ตงั้ สุขาภิบาลทา่ ฉลอม ในพ.ศ.2448 เปน็ สุขาภิบาล ในการปฏริ ูปการปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ หัวเมืองแหง่ แรก ทเ่ี ลือกเอาวธิ ีการสุขาภิบาลมาแกไ้ ขปัญหาเกย่ี วกบั การปรับปรงุ ทอ้ งถ่นิ ในตาบลท่าฉลอม จงั หวัดสมุทรสงคราม พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั ทรง ริเริ่มใหม้ ี การปกครองท้องถนิ่ ใน พ.ศ.2442 พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั รชั กาลท่ี 5 ทรงพระ เพอ่ื ใหร้ าษฎรรูจ้ กั ปกครองตนเองและมสี ่วน กรุณาเสดจ็ ทอดพระเนตร และเปดิ ถนนท่รี าษฎรตาบลท่าฉลอมออก ร่วมพัฒนาความเจรญิ ในท้องถ่ินของตน เงินสรา้ ง สาเรจ็ มีช่ือวา่ “ถนนถวาย” เมื่อวนั ท่ี 18 มนี าคม จึงโปรดเกล้าฯ ให้จดั ตง้ั “สขุ าภิบาล” ซง่ึ พ.ศ.2448 (ร.ศ.124) และนบั ว่าเปน็ การเรมิ่ งานสุขาภิบาลหวั เมอื ง ลกั ษณะคล้ายเทศบาลในปจั จุบนั สุขาภบิ าล แห่งแรกดว้ ย มหี นา้ ที่โดยย่อ 3 ประการ คอื การซอ่ มแซมรักษา แหง่ แรก คือสขุ าภิบาลกรงุ เทพฯ ถนนหนทาง มกี ารจุดโคมไฟให้มีแสง สวา่ งในเวลาคา่ คนื เปน็ ระยะ ตลอดถนนในตาบลน้ัน และให้จา้ งลูกจา้ งสาหรบั กวาดขนขยะมูล วัตถุประสงคส์ าคญั ในการจัดตัง้ สขุ าภิบาลข้ึน ฝอยของโสโครกตา่ งๆ ในตาบลนน้ั ไปเททิง้ เสียทีอ่ ื่น ซึง่ ปรากฏว่า คือ เพอื่ ป้องกันโรคภยั และภยนั อนั ตรายของ การดาเนินงานของสุขาภิบาลทั้ง 2 แหง่ ไดผ้ ลดยี ิ่ง จงึ ได้ตราเปน็ ประชาชน เป็นการเนน้ ถงึ การดแู ลปอ้ งกนั พระราชบญั ญัติ สขุ าภิบาล พ.ศ.2458 โรคภยั ต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ เป็นหลกั แบง่ สุขาภบิ าลเปน็ 2 แบบ คือ สขุ าภบิ าลเมอื ง และตาบล เพ่อื ขยายกิจการสุขาภิบาล ให้ แพรห่ ลายไปยงั ทอ้ งถ่ินอน่ื ๆ
1.5. การปฏริ ปู กฎหมายและการศาล ในพ.ศ.2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ทรงพยายามริเร่มิ ปฏริ ูปการศาลให้ดขี ้นึ โดยการจัดตงั้ ศาล รับสง่ั ข้นึ ตรงต่อพระองค์ เพ่ือพจิ ารณาคดีความทีอ่ ยใู่ นกรมพระนครบาล มหาดไทย กรมทา่ ทรงรวมอานาจศาลไป ขึน้ กับสว่ นกลาง ทาให้ค่าธรรมเนยี มและรายไดท้ ี่ขนุ นางเคยได้รบั ลดลงและไมเ่ ปิดโอกาสใหใ้ ช้อานาจทางศาลในทางที่ ผิดไดอ้ กี ต่อไป นอกจากนย้ี งั ทรงโปรดเกลา้ ฯใหต้ ง้ั กระทรวงยตุ ิธรรมใน พ.ศ.2435 ด้วยเพ่อื พิจารณาคดีอาญาและคดีแพ่งตามแบบ ตะวนั ตก โดยมอบหมายให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงราชบุรดี ิเรกฤทธิ์ซึง่ สาเรจ็ วิชากฎหมายจาก ประเทศอังกฤษ ตอ่ มาทรงไดร้ ับการยกย่องใหเ้ ปน็ พระบิดาแหง่ กฎหมายและการศาลไทย สมเดจ็ พระเจ้าลกู ยาเธอกรมหลวงราชบุรีดเิ รกฤทธ์ิ
วกิ ฤตการณ์ ร.ศ.112 Franco-Siamese War
การเสยี ดนิ แดนฝ่งั ซา้ ยของแมน่ ้าโขง พ.ศ.2436 ( รัตนโกสนิ ทร์ศกั ราช 112) ฝรั่งเศส ต้องการให้ลาวหรือฝง่ั ซ้ายของแมน่ า้ โขง ตกเปน็ เมืองข้นึ ของตน จึงใชข้ อ้ อ้างวา่ ญวนและเขมร เคยมอี านาจเหนอื ลาวมาก่อน เมอ่ื ญวนกบั เขมรเปน็ เมอื งขนึ้ ของฝรง่ั เศส ดนิ แดนต่างๆ เหลา่ น้กี ็ควรตกเป็นของฝรงั่ เศสดว้ ยใน พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) ฝรั่งเศสจงึ สง่ กองทัพเรอื มา ตามลมุ่ แมน่ า้ โขงและสง่ เรือรบ 2 ลา มาปิดปากแม่นา้ เจ้าพระยา ทหารได้ทาการยงิ ต่อส้ไู ม่ สาเร็จ มีคนไดร้ บั บาดเจบ็ และเรือเสียหายมาก นายปาวซี ง่ึ เปน็ เอกอคั รราชทตู ฝรั่งเศส ประจาประเทศไทย ไดย้ น่ื คาขาดทจ่ี ะปิดน่านน้าไทย ถา้ ไทยไมป่ ฏิบตั ิตามข้อเรียกรอ้ งของ ฝรง่ั เศส และปดิ อ่าวไทยทันท่ี รัฐบาลไทยจงึ ตอ้ งปฏบิ ัตติ ามขอ้ เรียกร้องของฝร่งั เศสทกุ ประการ เพือ่ เอกราชและอธิปไตยของชาติ วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 นนี้ ับว่าไทยสูญเสยี ดินแดน ครัง้ สาคัญและมากทสี่ ดุ โดยต้องยอมยกอาณาจกั รลาวเกือบท้ังหมดให้กับฝรงั่ เศส
วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. 112 ได้คกุ คามอานาจอธปิ ไตยของไทยอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2436 จนถงึ พ.ศ. 2449 วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. 112 ก่อใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง ดังน้ี 1.ทาใหไ้ ทยเสียดินแดนหลายคร้งั รวมท้ังเสยี คา่ ปรับ ค่าทาขวัญแกฝ่ ร่งั เศส กลา่ วกนั ว่าเงนิ ทีจ่ า่ ยเปน็ คา่ ปรบั คา่ ทาขวัญแกฝ่ รั่งเศสน้ัน คอื เงนิ ถงุ แดง ซง่ึ พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกล้าเจ้าอยหู่ วั พระราชทานไว้เพอื่ ไว้ใชย้ ามฉกุ เฉนิ 2.ไทยยงั คงรกั ษาเอกราชไว้ได้ และเป็นเพียงประเทศเดยี วในภมู ภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทีไ่ ทยใชน้ โยบายทางการทตู แบบผอ่ น หนกั เป็นเบา และยอมเสียส่วนนอ้ ยเพือ่ รักษาส่วนใหญ่ไว้ 3.ทาใหพ้ ระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ทรงเหน็ ความจาเปน็ ย่ิงขึน้ ท่ีจะตอ้ งเสดจ็ ประพาสประเทศในทวปี ยโุ รป เพื่อแสวงหา พนั ธมติ ร ชว่ ยค้าประกันเอกราชของไทย พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั เสด็จประพาสทวีปยุโรปคร้ังแรกเมอ่ื พ.ศ. 2440 ซ่ึง เปน็ ผลดีต่อไทยมาก เพราะพระเจา้ ซารน์ ิโคลัสที่ 2 ของรสั เซียได้สนับสนนุ การรกั ษาเอกราชของไทยเป็นอยา่ งดี นอกจากนี้ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว ยงั ทรงศึกษาและทอดพระเนตรความเจรญิ ของประเทศตา่ งๆ ซ่งึ ทรงนามาเปน็ แบบอย่างใน การพฒั นาประเทศไทย และยกเลกิ ธรรมเนียมท่ีล้าสมยั
การเมอื งการปกครอง สมัยรัชกาลท่ี 6
การปรับปรุงการปกครองส่วนกลางของรัชกาลที่ 6 1. โปรดใหจ้ ดั ตั้งกระทรวงใหม่ คือ 2. ทรงยกเลิกกระทรวงนครบาลรวมเขา้ กบั กระทรวงมรุ ธาธกิ าร (รชั กาลที่ 5 กระทรวงมหาดไทย ทรงยกเลิกไป) กระทรวงทหารเรือ กระทรวงพาณชิ ย์ 3. ทรงให้เปล่ยี นชอ่ื กระทรวงโยธาธิการ เปน็ กระทรวงคมนาคม 3. เปลีย่ นคาว่า จังหวดั เปน็ เมอื ง 1.ปรับปรงุ เขตการปกครอง 2. โปรดฯใหร้ วมมณฑลที่อยู่ตดิ กันหลายๆมณฑล การปรบั ปรุงการปกครองสว่ นภูมิภาค ของเขตมณฑล บางมณฑล รวมกันเป็นภาค แตล่ ะภาคมีอุปราชเป็น ของรชั กาลท่ี 6 ผู้บังคบั บัญชา ทาหน้าที่ตรวจตรา ควบคมุ ดแู ล การบริหารงานของสมหุ เทศาภิบาลในภาคนนั้ ๆ
ดุสิตธานี ดสุ ิตธานี หมายถงึ เมืองจาลองที่รชั กาลที่ 6 ทรงสร้าง เพอ่ื ทดลองการปกครองส่วนทอ้ งถิน่ (บา้ งก็วา่ เปน็ ‘เมอื งทดลองประชาธปิ ไตย’) การจดั ตง้ั ดุสติ ธานี เพื่อทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยโปรดฯให้สรา้ งนครจาลองข้ึน นามว่า “ดุสิตธาน”ี เดมิ ตง้ั อย่ทู ี่ พระราชวังดุสิต ภายในดุสิตธานีมีสงิ สมมติ แบบจาลองต่างๆ เช่น ที่ทาการรัฐบาล วดั วาอาราม อาคารบา้ นเรือน ถนน สาธารณูปโภค สถานที่ราชการ ฯลฯ และเป็นการจาลองรูปแบบการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยข้ึนใช้ในเมือง สมมตุ ินัน้ โดยให้มรี ัฐธรรมนูญการปกครองลกั ษณะนคราภิบาล ซ่ึงเปรียบเสมือนรัฐธรรมนญู ของเมือง และให้ขา้ ราช บรพิ ารสมมตุ ิตนเองเป็นราษฎรของดุสิตธานี มกี ารจัดตั้งสภาการเมอื งและเปดิ โอกาสให้ราษฎรสมมุตใิ ช้สิทธใิ ชเ้ สียงแบบ ประชาธปิ ไตย เป็นเสมอื นการฝึกหดั การปกครองแบบประชาธิปไตยและมีการบริหารงานโดยการเลือกตง้ั ตามแบบ ประชาธิปไตย มกี ารเลอื กตง้ั ในระบบพรรคการเมือง
กบฏ ร.ศ. 130 (กบฎเหล็ง ศรจี ันทร์) ช่วงต้นรชั กาลท่ี 6 มเี หตุปฏิวตั ิโคน่ ลม้ ระบอบกษตั ริยข์ ึ้นในต่างประเทศ เหตุการณ์เหลา่ นี้มี อิทธพิ ลมาถึงการเรียกรอ้ งประชาธปิ ไตยในสยาม นนั่ คอื เหตกุ ารณ์ รศ.130 กล่มุ นายทหารและ ปญั ญาชนวางแผนปฏิบัติการโดยหมายให้กษตั ริยพ์ ระราชทาน รฐั ธรรมนูญและเปลย่ี นแปลงการ ปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่ ผู้ทีจ่ ับฉลากวา่ ต้องเปน็ คนลงมอื ลอบปลงพระชนม์ คือ ร.อ. ยุทธ คงอยู่ เกดิ เกรงกลวั ความผดิ จงึ นาความไปแจ้งแผนการรั่วไหลจงึ ถูกจับกมุ คณะ ร.ศ. 130 โดยมเี ป้าหมายหลกั ในการทีจ่ ะตอ้ งการเปลย่ี นแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธริ าชยม์ าเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยใหพ้ ระมหากษตั รยิ ์พระราชทานรัฐธรรมนญู และให้อยู่ภายใตก้ ฎหมายเหมอื นพระมหากษัตริย์ของประเทศอังกฤษหรอื พระมหาจักรพรรดิของ ประเทศญ่ปี ่นุ แตก่ ารลงมอื กระทาไม่สาเรจ็ เน่ืองจากทางการไดเ้ ขา้ จับกุมผูร้ ่วมก่อการสาคญั ในวนั ศุกรท์ ่ี 1 มนี าคม พ.ศ. 2454 (ร.ศ. 130) จานวนสองคนคอื ร้อยตรีเหรยี ญ ศรีจนั ทร์ กบั ร้อยตรจี รญู ษตะเมษ
สาเหตขุ องการเกดิ เหตกุ ารณ์ 130 - การเปดิ เสรีทางความคดิ ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อย่หู วั โดยใหม้ ี หนังสอื พมิ พ์ทส่ี ามารถวจิ ารณ์ระบอบการปกครองไดอ้ ย่างเสรี ทาให้เกดิ ข้อวิจารณ์และช้ใี ห้เห็น ขอ้ บกพร่องของระบอบการปกครองมากขึ้น - ความไม่พอใจของทหารทม่ี กี ารจดั ตั้งกองเสอื ป่าข้นึ - กรณีการววิ าทระหว่างทหารกับมหาดเลก็ ทาใหท้ หารทร่ี บั การลงโทษเกิดความไมพ่ อใจ ประกอบกับความคดิ เร่อื งประชาธปิ ไตยและการจากัดอานาจของพระมหากษัตรยิ เ์ รมิ่ แพร่หลาย ในหมู่คนทมี่ ีการศึกษาและนาไปสกู่ ารรวมกลุม่ และการคบคดิ ลม้ ล้างระบอบการปกครอง
สยามกบั สงครามโลกคร้งั ที่ 1 ในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงประกาศสงครามระหว่าง สยามกบั เยอรมนี และออสเตรีย – ฮงั การี หลังจากที่พระองคท์ รงใช้เวลากวา่ สามปีในการโนม้ น้าวให้ ประชาชน และขา้ ราชการซง่ึ สนบั สนุนฝา่ ยมหาอานาจกลาง และตอ้ งการใหส้ ยามเปน็ กลางในสงครามคราวนี้ ตระหนกั ว่าการเข้ารว่ มสงครามกับฝ่ายพนั ธมิตรเป็นสง่ิ ท่ีถูกตอ้ ง และเปน็ ประโยชนแ์ กส่ ยามมากกวา่ การคง สถานะความเป็นกลางของตนไว้ สยามไดป้ ระกาศเข้าร่วมสงครามรัฐบาล ไดพ้ ยายามแสดงใหเ้ หน็ ว่าการเข้าร่วมสงครามในครัง้ น้มี คี วาม ประสงค์ทีจ่ ะใหก้ ารช่วยเหลือชาตฝิ า่ ยสัมพนั ธมิตรอย่างแทจ้ ริง มิใชก่ ารเขา้ ร่วมแตเ่ พยี งในนามเท่านั้น ดว้ ย เหตนุ ี้กระทรวงการตา่ งประเทศจึงมหี นังสือแจง้ แกร่ ฐั บาลของชาติสมั พันธมิตรเพอื่ ใหแ้ จง้ ความประสงค์ของ ชาติต่าง ๆ ว่าต้องการใหร้ ัฐบาลสยามชว่ ยเหลอื สงิ่ ใดบ้าง
สยามกับสงครามโลกครั้งท่ี 1 (ตอ่ ) สาหรบั กองทพั สยามแล้วนั้น ส่ิงทสี่ าคญั นอกเหนือไปกว่าเกยี รตภิ มู ทิ ไี่ ด้รบั จากการส่งทหารเข้ารว่ ม สงครามในคราวนี้แลว้ ก็คือกิจการการบินของสยามทก่ี ้าวหนา้ อย่างรวดเรว็ ในช่วงหลงั สงครามโลก อันเป็นผลผลติ ของนักบินท่ไี ดร้ ับการฝึกจากฝรั่งเศสในระหวา่ งสงครามโลกครงั้ ท่ี 1 การสง่ ทหารเขา้ รว่ มสงครามโลกครง้ั ที่ 1 ของกองทัพสยามอาจไมไ่ ด้เริม่ จากความเต็มใจของ ผู้บงั คับบัญชาในขณะนัน้ แตส่ ุดทา้ ยแล้วการสง่ ทหารเข้าร่วมสงครามในคราวนไี้ ด้ทาใหส้ ยามมีโอกาส ยกเลิกสนธิสญั ญาที่ไม่เปน็ ธรรมกับชาตผิ แู้ พส้ งคราม และไดเ้ ป็นสมาชิกสนั นบิ าตชาตใิ นเวลาตอ่ มา
การเมอื งการปกครอง สมัยรัชกาลท่ี 7
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หวั รชั กาลที่7 พระองคท์ รงเตรียมการทีจ่ ะพระราชทาน รฐั ธรรมนูญแกป่ ระชาชน เพราะทรงเหน็ วา่ คนไทยมีการศกึ ษาดีขึ้น มคี วามคดิ อา่ น และสนใจ ทางการเมอื งมากข้ึน เมือ่ เสดจ็ กลับมา พระองค์ทรงมอบใหพ้ ระศรีวิสารวาจา ท่ปี รกึ ษา กฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ และนายเรมอน สตเี วนส์ ทีป่ รึกษากระทรวงการ ต่างประเทศ พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญขน้ึ แตด่ าเนนิ การไม่ทนั แลว้ เสร็จ ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 กลมุ่ บุคคลกลมุ่ หน่ึงทตี่ ่อมาเรียกตนเองวา่ \"คณะราษฎร\" ได้ยึดอานาจเปลย่ี นแปลงการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์มา เปน็ ระบอบประชาธปิ ไตย คณะราษฎรเกดิ จากการรวมกลุ่มของข้าราชการและนักเรยี นไทย 7 คนในฝรั่งเศส และยุโรปท่ีตอ้ งการเปลยี่ นแปลงระบอบการปกครองของประเทศสยาม ภายใต้การนาของ นายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) เมื่อนักเรียนเหลา่ น้ีกลบั มาเมืองไทยก็ไดข้ ยาย กล่มุ สมาชิกภายในประเทศและขอให้พนั เอก พระยาพหลพลพยุหเสนาเปน็ หัวหนา้ ผู้กอ่ การ โดยหลวงประดษิ ฐม์ นธู รรมเปน็ แกนนาฝา่ ยพลเรอื น หลวงพิบูลสงครามเป็นแกนนาฝ่าย ทหารบก
ลาดับเวลาเหตกุ ารณ์การเปล่ียนแปลงการปกครอง วันท่ี 24 มิถุนายน คณะผกู้ ่อการเขา้ ยึดอานาจการ วนั ที่ 26 มถิ นุ ายน ใหบ้ คุ คลสาคญั วนั ที่ 10 ธนั วาคม ได้มีพระราชพิธี ปกครองท่ีกรงุ เทพมหานคร และจบั กุมพระบรม ของคณะราษฎรเขา้ เฝ้าฯ และ พระราชทานรัฐธรรมนูญแหง่ วงศานุวงศ์และข้าราชการชนั้ ผูใ้ หญเ่ ป็นตวั ประกัน พระองคไ์ ดท้ รงลงพระปรมาภิไธย ราชอาณาจักรสยาม ณ พระทน่ี ั่ง สว่ นบรเิ วณลานหนา้ พระทนี่ ั่งอนนั ตสมาคม พนั เอก พระราชกาหนดนริ โทษกรรมแกค่ ณะ อนนั ตสมาคม พระราชวงั ดสุ ิต พระยาพหลพลพยหุ เสนา หวั หน้าคณะผู้ก่อการได้ ผ้ทู าการเปล่ียนแปลงการปกครอง (รัฐธรรมนญู ฉบับถาวร) อ่านประกาศยึดอานาจการปกครอง แผ่นดนิ วนั ท่ี 25 มถิ ุนายน พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ วันที่ 27 มิถนุ ายน คณะราษฎรได้เขา้ เฝา้ ฯ และนารา่ ง เจา้ อยหู่ วั ทรงยอมารับการเปล่ียนแปลงการปกครอง พระราชบัญญัตธิ รรมนญู การปกครองแผน่ ดนิ สยาม ของคณะราษฏร เพราะทรงเหน็ แก่ความสงบเรยี บรอ้ ย พทุ ธศกั ราช 2475 ขึน้ ทูลเกล้าฯ ถวายเพือ่ ให้ลงพระ ของราษฎรรวมทง้ั พระองคก์ ็ทรงมีพระราชดารทิ ี่ ปรมาภไิ ธย ซง่ึ เติมคาว่า \"ชัว่ คราว\" ต่อทา้ ยรฐั ธรรมนญู เปล่ียนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยอยู่แลว้ นบั เป็นการเรมิ่ ต้นระบอบรัฐธรรมนญู ของไทย
สภาพการณโ์ ดยทวั่ ไปของบ้านเมืองกอ่ นเกดิ การเปลย่ี นแปลงการปกครอง 1.สภาพการณ์ทางสงั คม สมยั รัชกาลที่ 7 ก่อนทจ่ี ะเกดิ การเปล่ยี นแปลงการปกครอง อทิ ธิพลของวฒั นธรรม ฐานะ สิทธิ ผลประโยชน์อยู่กบั ชนชน้ั นาของ สังคมไทยช้ีนา ถา้ จะมคี วามขดั แย้งในสังคมก็มกั จะเปน็ ความขดั แยง้ ในทางความคิด และความขดั แย้งในเชงิ ผลประโยชน์ในหมู่ชนช้นั นา ของสงั คมทไี่ ดร้ ับการศึกษาจากประเทศตะวันตก 2.สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ พระองค์ได้ทรงแกป้ ญั หาเศรษฐกิจ โดยทรงเสียสละด้วยการตดั ทอน รายจ่ายในราชสานัก เพือ่ เป็นตัวอยา่ งแกห่ นว่ ยราชการตา่ งๆ โดยโปรดใหล้ ด เงินงบประมาณรายจา่ ยสว่ นพระองค์ และมกี ารเปล่ยี นแปลงอตั ราภาษี ศุลกากรใหมห่ ลายอยา่ ง ทาใหง้ บประมาณรายรบั รายจ่ายเกดิ ความสมดุล
D สภาพการณโ์ ดยทวั่ ไปของบา้ นเมืองกอ่ นเกดิ การเปลย่ี นแปลงการปกครอง (ตอ่ )DD 3.สถาณการณ์ทางการเมอื ง ทรงเล็งเหน็ ความจาเป็นทีจ่ ะตอ้ งเปลย่ี นแปลงการปกครองให้ ทนั สมยั และต้องเตรียมการให้พรอ้ มเพอื่ ไม่ใหเ้ กิดความผิดพลาดได้ โดยพระองค์ไดท้ รงจัดตงั้ อภิรฐั มนตรีสภา เพือ่ เป็นท่ปี รกึ ษาราชการ แผ่นดนิ พ.ศ.2468 และทรงมอบหมายใหอ้ ภริ ัฐมนตรีสภาวาง ระเบยี บสาหรบั จัดต้ังสภากรรมการองมนตรี เพอ่ื เปน็ สภาทีป่ รกึ ษา สว่ นพระองคอ์ ีกด้วย
สาเหตกุ ารเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475
สื่อมวลชน ตา่ งกเ็ รียกรอ้ งให้มกี ารปกครองใน ระบบรัฐสภาทมี่ รี ฐั ธรรมนูญเป็นหลักในการ ปกครอง ประเทศ โดยชีใ้ หเ้ ห็นถงึ ความดีงามของระบอบ ประชาธิปไตยท่จี ะเป็นแรงผลักดนั ให้ประชาชาตมิ คี วาม เจริญกา้ วหนา้ มากกว่าทเ่ี ปน็ อยู่ ทรงเล็งเห็นความสาคญั ของการมรี ฐั ธรรมนญู เป็น การไดร้ ับการศกึ ษาตามแนวความคดิ ตะวนั ตกของ 2 กฎหมายสงู สดุ ในการปกครองประเทศ และทรงเตม็ บรรดาชนชั้นนาใน คนเหลา่ น้เี ห็นความสาคญั ของ 3 พระทัยทจ่ี ะสละพระราชอานาจมาอยภู่ ายใต้รฐั ธรรมนญู ระบอบประชาธิปไตยทมี่ ีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การเปล่ยี นแปลงกรปกครองจงึ เกดิ ข้ึน เมอ่ื ถึงเวลาที่เหมาะสม แตอ่ ภิรฐั มนตรีสภากลบั ไม่เห็นดว้ ย โดยอ้างว่าประชาชนยังขาดความพรอ้ ม ดังนัน้ รัฐธรรมนญู 4 จึงยงั ไมม่ โี อกาสไดร้ ับการประกาศใช้ พระองคก์ ็ถกู โจมตวี ่าทรงตกอยู่ใตอ้ ิทธพิ ลของ สาเหตกุ ารเปลยี่ นแปลงการปกครอง เศรษฐกิจของโลกเร่มิ ตกต่าตัง้ แต่ พ.ศ. 2472 รัฐบาล อภิรัฐมนตรีสภา ซงึ่ เปน็ สภาทปี่ รึกษาท่ีประกอบดว้ ย ใน พ.ศ. 2475 ต้องตดั ทอนรายจ่าย รวมท้ังปลดข้าราชการออกจาก สมาชกิ ที่เปน็ พระบรมวงศานุวงศ์ชน้ั สงู และบรรดาพระ ตาแหนง่ เปน็ อันมาก จดั การยบุ มณฑลต่างๆทว่ั ประเทศ ราชวงศก์ ็มบี ทบาทในการบรหิ ารบา้ นเมอื งมากเกนิ ไป 15 งดจา่ ยเบ้ียเลยี้ งข้าราชการ รวมท้ังการประกาศใหเ้ งนิ ตรา ควรจะใหบ้ ุคคลอนื่ ทมี่ คี วามสามารถเขา้ มสี ว่ นรว่ มในการ ของไทยออกจากมาตรฐานทองคา บรหิ ารบ้านเมือง พ.ศ. 2475 รฐั บาลได้ประกาศเพมิ่ ภาษี แต่ไมส่ ามารถ กอบกสู้ ถานะการคลงั ของประเทศได้
1.วธิ ีการดาเนนิ งาน กลมุ่ บคุ คลซึง่ เปน็ ผูร้ ิเร่มิ ความคิดทจี่ ะดาเนินการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองในคร้งั แรกหรือทเี่ รยี กวา่ \"คณะผู้กอ่ การ” น้ันมี 7 คนท่สี าคญั คอื นายปรีดี พนมยงค์ ร.ท.แปลก ขีตตะวังคะ ร.ท.ประยรู ภมรมนตรี เป็นต้น โดยท่ปี ระชุมไดม้ มี ตเิ ปน็ เอกฉันทใ์ หน้ ายปรีดี พนมยงค์ เปน็ หวั หนา้ คณะผู้กอ่ การ จนกว่าจะมบี ุคคลทเี่ หมาะสมเปน็ หัวหน้าคณะผ้กู อ่ การต่อไป ทีป่ ระชมุ ไดต้ กลงในหลกั การทจ่ี ะทาการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทย จากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยม์ าเปน็ ระบอบการ ปกครองทีม่ พี ระมหากษตั รยิ ์ให้อยูภ่ ายใตก้ ฎหมายหรอื ทเี่ รียกกันวา่ ระบอบประชาธปิ ไตยทม่ี พี ระมหากษัตรยิ เ์ ป็นประมขุ ภายใต้รัฐธรรมนญู
คณะผกู้ อ่ การได้กาหนดหลกั การในการปกครองประเทศไว้ 6 ประการ 1) รักษาความเปน็ เอกราช 3) บารุงความสขุ ของราษฎร 5) ให้ราษฎรมเี สรีภาพ ของชาติในทกุ ๆดา้ น เช่น ในทางเศรษฐกจิ โดยรฐั บาลใหม่ ท่ไี มข่ ดั ตอ่ หลัก 4 เอกราชทางการเมอื ง จะหางานใหร้ าษฎรทาทกุ คน ประการข้างต้น ทางเศรษฐกิจ ทางการศาล โดยจะวางโครงการเศรษฐกิจ ฯลฯ ให้มคี วามม่นั คง แหง่ ชาติและไม่ปล่อยให้ราษฎร อดอยาก 2) รักษาความ 4) ใหร้ าษฎรมีสิทธิ 6) ให้การศึกษาแก่ ปลอดภยั ในประเทศ เสมอภาคทดั เทยี มกัน ราษฎรทกุ คนอยา่ งเตม็ ท่ี ให้มกี ารประทุษรา้ ย ต่อกันลดน้อยลง
พ.อ.พระยาฤทธอ์ิ คั เนย์ พ.อ.พระยาทรงสรุ เดช สมเดจ็ เจา้ ฟา้ กรมพระนครสวรรคว์ รพนิ ติ
2.ขน้ั ตอนการยึดอานาจ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หวั หนา้ คณะผูก้ อ่ การ เปน็ ผนู้ าในการเปลย่ี นแปลงการปกครอง โดย เขา้ ยึดพระที่นงั่ อนนั ตสมาคมเป็นฐานบญั ชาการ และได้สง่ กาลงั ทหารเข้ายดึ วังบางขุนพรหม พรอ้ มท้งั ได้ทูลเชญิ สมเด็จเจ้าฟา้ กรมพระนครสวรรคว์ รพินติ เสด็จมาประทับยัง พระทนี่ ง่ั อนันต สมาคมเปน็ ผลสาเร็จ สมาชกิ คณะผูก้ อ่ การกลมุ่ หนง่ึ ไดอ้ อกตระเว1นตัดสายโทรศพั ทแ์ ละโทรเลขทั้งในพระนครและธนบุรี เพื่อปอ้ งกนั มิใหส้ มเดจ็ เจา้ ฟ้ากรมพระนครสวรรคว์ รพินติ และผูบ้ ังคบั บญั ชาหน่วยทหารใน กรุงเทพฯ ขณะนน้ั โทรศพั ทแ์ ละโทรเลขตดิ ต่อกบั พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยหู่ ัว ซงึ่ ประทบั อยทู่ พี่ ระราชวังไกลกังวล ส่วนนายปรีดี พนมยงค์ ได้จดั ทาใบปลิว คาแถลงการณ์ของ คณะผู้ก่อการออกแจกจา่ ยประชาชน 4
2.ข้ันตอนการยดึ อานาจ (ต่อ) และได้ร่วมกนั จดั ตงั้ คณะราษฎร ข้ึนมาเพ่ือทาหนา้ ท่รี ับผดิ ชอบ รวมทั้งออกประกาศ แถลงการณ์ของคณะราษฎร เพ่อื ช้แี จงทตี่ ้องเขา้ ยดึ อานาจการปกครองให้ประชาชนเขา้ ใจ นอกจากนี้คณะราษฎรได้แตง่ ตงั้ ผูร้ ักษาการพระนครฝา่ ยทหารข้ึน 3 นาย ได้แก่ พ.อ.พระยา พหลพลพยหุ เสนา พ.อ.พระยาทรงสุรเดช พ.อ.พระยาฤทธอ์ิ คั เนย์ โดยใหท้ าหน้าที่เป็นผบู้ ริหาร ราชการแผน่ ดนิ ขณะทย่ี งั ไม่มีรฐั ธรรมนูญเป็นหลักในการบริหารประเทศ หลงั จากนั้น คณะราษฎรได้มีหนงั สือกราบบังคบั ทูลอนั เชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่ 1 หัวเสดจ็ กลบั คนื สู่พระนคร เพ่อื ดารงฐานะเปน็ พระมหากษตั ริย์ภายใต้รัฐธรรมนญู แห่ง ราชอาณาจกั ร พระองค์ทรงตอบรับคากราบบงั คับทลู อญั เชิญของคณะราษฎร โดยพระองค์ทรง ยนิ ยอมที่จะสละพระราชอานาจของพระองคด์ ้วยการพระราชทานรัฐธรรมนูญ การประกาศใช้ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รสยาม รฐั ธรรมนูญทค่ี ณะราษฎรไดน้ าขน้ึ ทลู เกล้าฯ ถวาย เพ่ือทรงลงพระปรมาภไิ ธยมี 2 ฉบับ คอื พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผน่ ดนิ สยามชว่ั คราว พ.ศ.2475 และ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475
1.พระราชบญั ญัติธรรมนูญการปกครองแผน่ ดนิ สมัยท่ี 1 สยามชวั่ คราว พ.ศ. 2475 นับแตว่ ันใช้รฐั ธรรมนูญนเ้ี ปน็ ต้นไป จนกว่าจะถงึ เวลาท่ี มพี ธิ เี ปิดสภาผูแ้ ทนราษฎรครัง้ แรกในประเทศไทย สมาชกิ ในสมยั ท่ี 2 จะเขา้ รับตาแหนง่ ให้คณะราษฎรซ่ึง เมื่อวันที่ 28 มถิ นุ ายน 2475 มผี รู้ ักษาพระนครฝา่ ยทหารเปน็ ผใู้ ชอ้ านาจแทน และ ซง่ึ รฐั ธรรมนูญน้ีมีชอ่ื เรยี กวา่ จัดตั้งผูแ้ ทนราษฎรชว่ั คราวขน้ึ เป็นจานวน 70 นาย เป็น \"พระราชบญั ญตั ธิ รรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชว่ั คราว” สมาชิกในสภา กาหนดว่า อานาจสูงสุดในแผ่นดนิ ประกอบดว้ ย อานาจนติ ิบัญญตั ิ อานาจบรหิ าร และอานาจตลุ าการ สมัยท่ี 2 ซึง่ แต่เดิมเป็นของพระมหากษตั รยิ ์ จึงได้เปลย่ี นเป็นของปวงชนชาวไทยตามหลกั การของระบอบประชาธปิ ไตย ภายในเวลา 6 เดือน หรอื จนกวา่ จะจดั ประเทศเปน็ ปกตเิ รียบรอ้ ย เกีย่ วกบั การไดม้ าของสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรน้ัน สมาชิกในสภาจะตอ้ งมบี คุ คล 2 ประเภท ทากิจกรรมรว่ มกัน คอื ไดก้ าหนดแบง่ ระยะเวลาออกเป็น 3 สมยั คอื ประเภททห่ี นึ่ง ได้แก่ผูแ้ ทนราษฎรซึ่งราษฎรไดเ้ ลอื กขึน้ มาจงั หวดั ละ 1 นาย ต่อราษฎรจานวน 100,000 คน ประเภททีส่ อง ผ้เู ป็นสมาชิกอยใู่ นสมยั ที่หนึ่งมีจานวนเทา่ กบั สมาชิกประเภท ท่หี นึ่ง ถ้าจานวนเกินให้เลือกกนั เองว่าผู้ใดจะยงั เปน็ สมาชิกตอ่ ไป ถา้ จานวนขาดให้ผทู้ มี่ ีตัวอยเู่ ลอื กบุคคลใดๆเขาแทนจนครบ .
1.พระราชบัญญตั ธิ รรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามช่วั คราว พ.ศ. 2475 (ตอ่ ) 3) สมยั ท่ี 3 เมอื่ จานวนราษฎรทัว่ ราชอาณาจักรไดส้ อบไลว่ ชิ าประถมศึกษาได้เป็นจานวน กวา่ ครงึ่ และอยา่ งช้าต้องไม่เกิน 10 ปี นบั ตั้งแต่วันใชร้ ฐั ธรรมนูญนี้ สมาชกิ ในสภา ผ้แู ทนราษฎรจะเป็นผ้ทู ี่ราษฎรไดเ้ ลอื กตง้ั ข้นึ เองทงั้ ส้ิน ส่วนสมาชกิ ประเภทท่ีสอง เป็นอันส้นิ สดุ ลง ผ้แู ทนราษฎรช่ัวคราวจานวน 70 นาย ซึง่ ผู้รกั ษาการพระนครฝา่ ย ทหารจะเป็นผจู้ ัดตั้งข้ึนในระยะแรกน้ัน ประกอบดว้ ยสมาชกิ คณะราษฎร ขา้ ราชการ ชนั้ ผ้ใู หญ่ ผู้ประกอบอาชีพสาขาต่างๆ ซึ่งมีความปรารถนาจะชว่ ยบ้านเมือง และ กลุม่ กบฏ ร.ศ.130 บางคน ซง่ึ สมาชกิ ทงั้ 70 คน ภายหลงั จากการไดร้ ับการแตง่ ตัง้ แล้ว 6 เดือน กจ็ ะมีฐานะเป็นสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรประเภทท่ี 2 ตามท่รี ะบไุ ว้ใน รัฐธรรมนูญฉบบั ชั่วคราว
2. รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475 สภาผูแ้ ทนราษฎรไดพ้ ิจารณาแกไ้ ขรา่ งรัฐธรรมนูญคร้ังสุดทา้ ยในวันที่ 16 พฤศจกิ ายน 2475 และสภาผแู้ ทนราษฎรได้ลงมติรบั รองใหใ้ ช้เม่อื วันที่ 29 พฤศจกิ ายน 2475 โดยพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั ไดท้ รงลงพระปรมาภิไธยในรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรสยามเม่อื วนั ที่ 10 ธันวาคม 2475 หลงั จากน้นั ได้ทรงมพี ระบรมราช โองการโปรดเกลา้ ฯแต่งตั้งพระยามโนปกรณ์นติ ิ ธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
สาระสาคญั รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รสยาม 2475 1.อานาจนติ ิบญั ญัติ กาหนดให้มสี ภาผู้แทนราษฎรประกอบดว้ ยสมาชกิ ซง่ึ ราษฎรเปน็ ผเู้ ลือกตง้ั แตม่ บี ทเฉพาะ กาลกาหนดไว้วา่ ถา้ ราษฎรผ้มู ีสทิ ธิออกเสยี งเลือกตัง้ สมาชกิ ผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติ แหง่ รัฐธรรมนญู น้ี ยังมีการศกึ ษาไมจ่ บชั้นประถมศึกษามากกว่าครึ่งหนึ่งของจานวน ทง้ั หมด และอย่างช้าตอ้ งไม่เกิน 10 ปี นบั แตว่ ันใช้พระราชบญั ญตั ิธรรมนญู การปกครอง แผน่ ดินสยามชั่วคราว พ.ศ.2475 สภาผูแ้ ทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท มจี านวนเทา่ กนั คือ สมาชิกประเภทที่ 1 ไดแ้ ก่ผู้ทีร่ าษฎรเลอื กต้ังสขึ้นมาตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชกิ สภาผู้แทน ราษฎร สว่ นสมาชิกประเภทท่ี 2 ไดแ้ ก่ ผทู้ พ่ี ระมหากษตั รยิ ์ทรงแตง่ ตัง้ ข้นึ ตามกฎหมาย ว่าดว้ ยการเลือกต้ังสมาชิกผู้แทนราษฎร ในระหวา่ งท่ใี ช้บทบญั ญตั ิเฉพาะกาลใน รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรสยาม
2.อานาจบริหาร พระมหากษตั รยิ ์ทรงแต่งต้งั คณะรัฐมนตรขี นึ้ คณะหนึง่ ประกอบด้วยนายกรฐั มนตรี 1 นาย และรัฐมนตรี อกี อยา่ งน้อย 14 นาย อยา่ งมาก 24 นาย และในการแต่งตัง้ นายกรฐั มนตรี ประธานสภาผูแ้ ทนราษฎรเปน็ ผ้ลู งนามรับ สนองพระบรมราชโองการ กล่าวโดยสรปุ ในภาพรวมของรฐั ธรรมนูญท้งั 2 ฉบับ ได้ก่อให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงโครงสร้าง ทางการเมืองการปกครองและสงั คมไทยดังนี้คือ 2.1 อานาจการปกครองของแผ่นดินซ่งึ แตเ่ ดิมเคยเปน็ ของพระมหากษตั ริยก์ ็ตกเป็นของปวงชนชาวไทยตามบทบญั ญตั ิ แหง่ รฐั ธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงดารงฐานะเปน็ ประมขุ ของประเทศภายใตร้ ัฐธรรมนูญ พระองค์จะทรงใช้อานาจ อธปิ ไตยท้งั 3 ทาง คือ อานาจนติ ิบัญญัติผ่านทางสภาผู้แทนราษฎร อานาจบริหารผ่านทางคณะรฐั มนตรี อานาจตลุ าการ ผา่ นทางผพู้ ิพากษา (ศาล) 2.2 ประชาชนจะไดร้ ับสทิ ธิในทางการเมือง โดยการเลือกสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรเขา้ ไปทาหนา้ ทีค่ วบคุมการ บริหารงานของรฐั บาล ออกกฎหมายและเป็นปากเสียงแทนราษฎร 2.3 ประชาชนมีสทิ ธเิ สรีภาพในทางการเมอื งมากข้ึน สามารถแสดงความคดิ เห็นวพิ ากษว์ ิจารณ์ในเรอื่ งต่างๆได้ ภายใต้ บทบญั ญัติของกฎหมาย และคนทุกคนมคี วามเสมอภาคภายใตก้ ฎหมายฉบับเดยี วกนั 2.4 ในระยะแรกของการใชร้ ฐั ธรรมนญู อานาจบริหารประเทศจะตอ้ งตกอยู่ภายใต้การชีน้ าของคณะราษฎร ซึง่ ถอื วา่ เหน็ ตัวแทนของราษฎรท้งั มวลในการเปล่ียนแปลงการปกครอง จนกว่าสถานการณ์จะเขา้ สูค่ วามสงบเรียบร้อย ประชาชน จึงจะมสี ทิ ธิในอานาจอธปิ ไตยอยา่ งเต็มที่
ผลกระทบทเ่ี กดิ ข้นึ จากการเปลย่ี นแหลงการปกครอง พ.ศ. 2475
1.ผลกระทบทางการเมืองไทย 2.ผลกระทบทางดา้ นเศรษฐกจิ พระยามโนปกรณ์นิติธาดาไดม้ อบหมายใหห้ ลวงประดษิ ฐม์ นธู รรม ระบบเศรษฐกิจภายหลงั การเปลย่ี นแปลงการ (ปรดี ี พนมยงค์) ปกครอง ยังคงเปน็ แบบทนุ นยิ ม โครงสรา้ งทาง เศรษฐกิจยงั คงเน้นทก่ี ารเกษตรกรรมมากวา่ ร่างแผนการสาหรบั ฟ้ืนฟเู ศรษฐกจิ ของประเทศ พระยามโนปกรณน์ ติ ิธาดาไม่ อุตสาหกรรม เหน็ ดว้ ยกบั เคา้ โครงการเศรษฐกิจของหลวงประดษิ ฐม์ นูธรรม (สมุดปก เหลอื ง) โจมตวี ่าเป็นแผนแบบสงั คมนยิ มคอมมวิ นิสต์ และเสนอว่ารฐั บาล 3.ผลกระทบทางดา้ นสงั คม ควรดาเนนิ เศรษฐกิจแบบเสรนี ยิ ม นอกจากนพี้ ระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้า คณะราษฎรไดเ้ ขา้ ไปมีบทบาทแทน เน่อื งจากท่ีคณะราษฎรมี เจา้ อยู่หวั ทรงพระราชนิพนธ์ สมุดปกขาว ตอบโต้ รา่ งเค้าโครงการเศรษฐกจิ นโยบายสง่ เสริมการศกึ ษาของราษฎรอยา่ งเต็มที่ ตามหลัก 6 จงึ ทาให้เกิดความคดิ แตกแยกกนั อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ทัง้ ในรฐั บาลและในหมผู่ นู้ า ประการของคณะราษฎรขอ้ ที่ 6 ดังนัน้ รัฐบาลจึงไดโ้ อนโรงเรียน คณะราษฎร ประชาบาลทีต่ ง้ั อยู่ในเขตเทศบาลทร่ี ัฐบาลไดจ้ ัดต้งั ขนึ้ ให้เทศบาล เหล่าน้ันรบั ไปจัดการศกึ ษาเอง ให้ประชาชนในท้องถนิ่ ต่างๆ มีสว่ น หลงั จากทีพ่ ระยามโนปกรณ์นิตธิ าดาชนะการลงคะแนนเสียงในคณะรัฐมนตรี ร่วมในการทานุบารุงการศึกษา รัฐบาลได้กระจายอานาจการ และได้ใชช้ ่วงเวลาน้อี อกกฎหมายตอ่ ต้านการกระทาอันเปน็ คอมมวิ นิสต์ หลวง ปกครองไปสูท่ ้องถน่ิ ดว้ ยการจดั ตง้ั เทศบาลตาบล เทศบาลเมอื ง ประดษิ ฐม์ นูธรรมถูกบีบบังคบั ให้เดินทางออกนอกประเทศ หนังสือพมิ พ์ และเทศบาลนคร มีสภาเทศบาลคอยควบคมุ กิจการบริหารของ จานวนมากถูกรัฐบาลส่งั ปดิ ความขดั แย้งระหว่างรฐั บาลกับคณะราษฎรมีมาก เทศบาลเฉพาะทอ้ งถนิ่ นนั้ ๆ โดยมีเทศมนตรเี ป็นผู้บรหิ ารตามหนา้ ท่ี ข้นึ จน พระยาพหลพลพยหุ เสนาและนายพนั โทหลวงพบิ ูลสงครามไดท้ า รฐั ประหาร มผี ลใหร้ ฐั บาลพระยามโนปกรณฯ์ ถกู บงั คับให้ลาออก และพระ ยาพหลพลพยหุ เสนาเป็นนายกรฐั มนตรีมกี ารเรยี กตัวหลวงประดิษฐม์ นธู รรม กลับมาจากตา่ งประเทศ
กบฏบวรเดชฯ เกิดขึ้นเมอ่ื 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 การกลับเขา้ มาร่วมรฐั บาลของหลวงประดิษฐม์ นธู รรมมีผลใหก้ งั วน ว่ารฐั บาลจะนาเอาระบอบเศรษฐกจิ แบบคอมมิวนสิ ตเ์ ข้ามาใช้ จึงร่วมกันกอ่ ตั้ง “คณะกู้บ้านกู้เมือง” ขึ้นมา โดยมพี ลเอกพระวรวงศ์เธอพระองคเ์ จา้ บวรเดชกฤดากร เป็นหัวหน้า นาทหารหมายจะใชท้ หาร หวั เมืองเขา้ มาลอ้ มกรงุ เทพฯ ผลของการปะทะกนั ที่ดอนเมอื งทาใหพ้ ระองค์เจา้ บวรเดชฯและนายทหาร ชนั้ ผูใ้ หญห่ ลบหนไี ปอินโดจนี มีผลให้พระมหากษัตริย์กับรัฐบาลขาดความเชื่อม่ันซง่ึ กันและกันยง่ิ ขึ้น ใน ทา้ ยทสี่ ุดพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหมดหวังกบั ประชาธิปไตยของคณะราษฎรจงึ ไดเ้ สด็จ ไปรกั ษาพระเนตรท่ีประเทศองั กฤษ ขณะประทบั ในต่างประเทศทรงปฏเิ สธทีจ่ ะลงพระนามในกฎหมาย ทร่ี ัฐบาลเสนอ และทรงสละราชสมบัตใิ นวันที่ 2 มนี าคม พ.ศ. 2477 รัฐบาลจงึ เลอื กพระวรวงศ์ เธอพระองค์เจา้ อานันทมหิดลพระโอรสในสมเดจ็ เจ้าฟ้ามหดิ ลกรมหลวงสงขลานครินทรใ์ ห้สืบราชสมบัติ ตอ่ ไป พระองค์ทรงตดั สนิ พระทยั สละราชสมบตั ิ เมือ่ วันที่ 2 มนี าคม พ.ศ. 2478 ในพระราชหัตถเลขาสละราช สมบัตนิ ้ัน ปรากฏขอ้ ความทใี่ ช้อ้างองิ กันเสมอในเวลาต่อมาวา่ “ขา้ พเจ้ามคี วามเต็มใจที่จะสละอานาจอันเปน็ ของ ขา้ พเจ้าอย่แู ตเ่ ดมิ ใหแ้ ก่ราษฎรโดยทว่ั ไป แต่ขา้ พเจา้ ไมย่ ินยอมยกอานาจทั้งหลายของข้าพเจา้ ให้แก่ผ้ใู ด คณะใดโดยเฉพาะเพ่อื ใช้อานาจน้นั โดย สิทธิขาด และโดยไมฟ่ งั เสียงอันแท้จริงของราษฎร...” “...บัดน้ี ขา้ พเจ้าเห็นวา่ ความประสงค์ของข้าพเจา้ ท่จี ะให้ราษฎรมีสทิ ธิออกเสยี ง ในนโยบายของ ประเทศไทยโดยแทจ้ ริงไม่เปน็ ผลสาเร็จ และเมื่อข้าพเจา้ รู้สึกว่า บดั น้ี เปน็ อนั หมดหนทาง ที่ข้าพเจ้าจะ ช่วยเหลือ ให้ความคุ้มครองแกป่ ระชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจา้ จงึ ขอสละราชสมบัติ และออกจากตาแหน่ง พระเรมหากษตั ริย์ แต่บดั น้ีเปน็ ต้นไป”
พระยามโนปกรณน์ ิตธิ าดา พระยาพหลพลพยุหเสนา
Thank You
รายชอ่ื สมาชกิ นางสาวสรญั ญา โพธเิ์ ขียว รหสั 62003171003 นางสาวชลฤทยั จติ รพูลผล รหัส 62003171004 นางสาวกฤษณา จงมั่น รหัส 62003171005 นายเอกกวี วรรณโมลี รหัส 62003171019 นายภูวไนย จันทร์กะเทาะ รหสั 62003171021 นายธนบัตร ทองจนั ทร์ รหสั 62003171029 นายปรเิ ยศ รอดแก้ว รหัส 62003171034 คณะครศุ าสตร์ สาขาสงั คมศกึ ษา
Search
Read the Text Version
- 1 - 43
Pages: