โดย … อาจารยท พิ วรรณ สิทธิรังสรรค งานเกษตรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ ม ฝา ยวชิ าการ ศูนยฝก และพฒั นาอาชพี เกษตรกรรม วดั ญาณสังวรารามวรมหาวหิ าร อนั เน่อื ง มาจากพระราชดําริ จัดทําเอกสารอเิ ลก็ ทรอนกิ ส : สํานักสงเสรมิ และฝก อบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 2 …สารบัญ… ! การปลกู พชื ผกั โดยวธิ เี กษตรธรรมชาติ ! ความหมายของเกษตรธรรมชาติ ! แนวคดิ เกย่ี วกบั การเกษตรธรรมชาตขิ องทา นโมกิจิ โอกาดะ ! หลกั เกษตรธรรมชาติ ! การปรบั ปรงุ ดนิ ใหม คี วามอดุ มสมบรู ณ ! ปุย อนิ ทรยี แ ละปยุ ชวี ภาพ ! ปยุ อนิ ทรยี ! ปยุ หมกั ! ปยุ นา้ํ ชวี ภาพ ! เชอ้ื ไรโซเบยี ม ! เชอ้ื ไมโครไรซา ! การปองกันและกาํ จดั วชั พชื โดยวธิ เี กษตรธรรมชาติ ! ตัวอยา งการปอ งกนั และกําจัดโรคและแมลงศัตรูพืช ! ขอเสนอแนะในการปอ งกนั และกําจัดโรคและแมลงศัตรูพืช ! แนวทางการปรบั เปลย่ี นมาสเู กษตรธรรมชาติ ! เทคนคิ การผลติ ผกั ! เราไดอ ะไรจากการทําเกษตรธรรมชาติ
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 3 …คํานาํ … การปลกู พชื ผกั โดยวธิ เี กษตรธรรมชาตไิ มใ ชส ารเคมแี ละปยุ เคมี เปนผล งานชิ้นหนึ่งที่มีคุณคาที่จะเผยแพรสูผูอานซึ่งรักและหวงใยในเพื่อนมนุษยและสิ่งแวดลอม โดย เอกสารเรื่องน้ีมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับหลักการเพาะปลูกโดยวิธีเกษตรธรรมชาติซึ่งไมใชปุยเคมี และสารเคมี การใชปยุ ชวี ภาพทดแทนปยุ เคมีและการใชวธิ กี ารตางๆ ในการปอ งกนั และกาํ จัด ศัตรูพืชเพ่ือทดแทนการใชสารเคมี สํานักสงเสริมและฝกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ขอขอบคุณผูเชียน คอื อาจารยทิพวรรณ สทิ ธริ งั สรรค ไวเ ปน อยา งยง่ิ ที่ไดถายทอดประสบ การณจากการศึกษาทดลองและการทาํ งานดา นเกษตรธรรมชาตโิ ดยตรงมาเปน เวลา 7 ปกวา แลวโดยมีวัตถุประสงคเพื่อใหเกษตรกร เยาวชน นกั เรยี น นกั ศกึ ษา ครู อาจารย นกั วชิ าการ นักสงเสรมิ การเกษตร และประชาชนผูสนใจทั่วไปไดศึกษา ซง่ึ จะเปน ประโยชนตอ ชีวิตประจาํ วนั และอาชพี รวมทง้ั นําไปใชเ ปน แนวทางในการพฒั นาเกษตรธรรมชาตติ อ ไป สํานกั สง เสรมิ และฝก อบรม มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร
การปลกู พืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 4 การปลูกพืชผักโดยวิธีเกษตรธรรมชาติไมใชปุยเคมีและสารเคมี โดย อาจารยท พิ วรรณ สทิ ธริ งั สรรค จากพระราชดํารัสพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวในวโรกาสเสด็จทอดพระเนตรโครงการ ศูนยฝกอบรมเยาวชนเกษตรวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อันเน่ืองมาจากพระราชดําริ อาํ เภอบางละมงุ จังหวัดชลบุรี เมอ่ื วนั ท่ี 28 ตลุ าคม 2530 โดยใหศูนยฯ แหง นด้ี าํ เนนิ การ แกไขสภาพดินเสื่อมโทรมและใหความรูดานการอนุรักษดินและน้ําแกราษฎรท่ัวไป เนอ่ื งจาก บริเวณนี้มีสภาพแหงแลง ดินขาดความอดุ มสมบรู ณ ซง่ึ ในปจ จบุ นั การเพาะปลกู ของประเทศ ไทยก็ประสบปญหาหลายประการ ที่สําคัญประการแรกคือ ดนิ ขาดความอดุ มสมบรู ณก ลา วคอื พื้นที่การเกษตรของประเทศไทยประมาณ 80% เปนดนิ ทข่ี าดความอดุ มสมบรู ณ ทเ่ี ปน กรดสงู และที่สําคญั เปน ดนิ ทข่ี าดจลุ นิ ทรียท่ีมีขาดความอดุ มสมบรู ณ มเี ปน กรดสงู และที่สําคญั เปน ดนิ ท่ีขาดจุลินทรียท่ีมีประโยชนตอดินและตอพืชซง่ึ เรยี กไดว าเปนดินตาย สาเหตกุ ม็ าจากการปลกู ประโยชนต อ ดนิ และตอ พชื ซง่ึ เรยี กไดว า เปน ดนิ ตาย สาเหตุก็มาจากการปลูกพืชชนิดเดียวกันซาํ้ กันหลายปไมมีการปลูกพืชหมุนเวียนอีกท้ังมีการใชปุยเคมีเพียงอยางเดียวเปนสวนใหญ สุด ทายก็ทําใหเกิดสภาพดินกรด ขาดความอุดมสมบูรณเกษตรกรปลูกพืชแลวใหตอบแทนไดไม เตม็ ท่ี ประการท่ีสองเกษตรกรประสบปญ หาแมลงศตั รพู ชื ชนดิ ตา งๆ รบกวนไมว า จะเปน สวน ผักสวนผลไม ไมด อก-ไมป ระดบั พืชไร-นา ชนดิ ตา งๆ และหนทางที่เกษตรกรเลือกใช แกปญหาสวนใหญก็คือสารเคมีฆาแมลงแตจากการที่เกษตรกรขาดความรูความเขาใจในการ เลือกใชสารเคมีวิธีการใชเปนเหมาะสม ชวงเวลาในการใช เกษตรกรใชสารเคมีหลายชนิด ซํ้าซอ นกนั และในปรมิ าณทม่ี ากเกนิ ความจาํ เปน มผี ลทาํ ใหส ารเคมพี ษิ ตกคา งในผลผลติ มตี น ทุนการผลิตสูงเปนอันตรายตอเกษตรกรผูผลิตเองและผูบริโภคเองก็ไดรับอันตรายเชนกันมี ผูบริโภคจํานวนมากท่ีตองหวาดระแวงกับพิษภัยของสารพิษตกคางในอาหาร และท่ีสําคัญ อีกประการหน่ึงคือมีผลกระทบตอสภาพแวดลอมในภูมิภาคนั้น อีกทั้งในปจจุบันกระแส ความตองการผลผลิตทางการเกษตรท่ีปลอดภัยจากสารพิษของผูบริโภคทั้งในและตางประเทศ กําลังมีความตองการและเปนที่ยอมรับมากข้ึนเรื่อยๆ และลาสุดคือ นโยบายการควบคมุ ผกั ท่ีมีสารพิษตกคางเกินกําหนดมิใหเขามาจําหนายในกรุงเทพมหานครซึ่งจะทาํ ใหผูบริโภคปลอด ภัยมากขึ้นและเกษตรกรเองก็ตองปรับปรุงการเพาะปลูกใหปลอดภัยตามความตองการ ของตลาดดวย ไมว า เกษตรกรคนไหนๆ กอ็ ยากปลอดภยั จากสารเคมไี มม ใี ครอยากใชส ารเคมี เพราะอันตรายทง้ั ตนเองและผบู รโิ ภค แตถาไมใชแลวจะใชอะไรทดแทน ปญ หาในการเพาะปลูก
การปลูกพืชผักโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 5 ท่ีเกษตรกรพบมี 2 ประการใหญคือ เรอ่ื งความอดุ มสมบรู ณ ของดนิ ถา ไมใ ชป ยุ เคมแี ลว จะใช อะไรทดแทนเพื่อที่จะปลูกพืชใหไดผลผลิตสูงและมีคุณภาพดี และอกี เรอ่ื งหนง่ึ กค็ อื การปอ งกนั และกาํ จัดศัตรูพืชถาไมใชสารเคมีแลวจะใชอะไรทดแทน แนวทางท่ีจะทําใหดินท่ีมีความอุดมสมบูรณ เปนดินที่มีชีวิต สารมารถเพาะปลกู พชื ใหไดผลผลติ สงู และมีคณุ ภาพดไี มว าจะเปน พืชไร- นา ผัก ผลไม ดอกไมก ต็ าม และจะเปน แนวทางที่จะสามารถผลิตผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารพิษทางการเกษตร ทั้งผูผลิต และผูบริโภค ชวยรักษาส่ิงแวดลอม สามารถทําเปนอาชีพไดอยางย่ังยืน ซึ่งแนวทางนั้นก็คือ แนวทาง เกษตร ธรรมชาติ นน้ั เอง ถาจะกลาวถึงในดานโภชนาการ ผูเขียนไดมีโอกาสทีงานทดลองรวมกับนักวิจัยญ่ีปุน ที่ Hokkaido Ornamental Plants and Vegetable Research Center ประเทศญี่ปุน เมอ่ื ป พ.ศ. 2541 โดยทาํ การทดลองปลูกผกั ฮองเตแ ละผกั กาดหวั โดยใชป ุยหมัก ปยุ เคมใี นอตั รา ตางๆ กันและไมใชสารเคมีฆาแมลงทุกแปลงทดลอง ผลการทดลองพบวา คุณภาพภายใน ผักที่ปลูกโดยการใชปุยอินทรีย)ปุยหมักและปุยนํ้าชีวภาพ)จะมีวิตามินซีสูงกวาผักท่ีปลูกโดย ใชปุย เคมอี ยา งเดยี วและยงั มคี า ของ Brix และ นา้ํ ตาลสงู กวา อกี ดว ย ซึ่งทาํ ใหผักที่ปลูกโดยการ ใชปุยหมักจะมีรสชาติดีกวาผักที่ปลูกโดยการใชปุยเคมี และนอกจากนี้ยังพบวาผักที่ปลูกโดย การใชปุยหมักจะคา NO3 –N (ซ่ึงเปน คา ทบ่ี ง บอกถงึ ความเปน อนั ตรายของผกั นน้ั ) ตา่ํ กวาผัก ที่ปลูกโดยการใชปุญเคมีแตจากการทดลองก็พลเชนกันวาในการปลูกผักถาใชปุยมากเกินไป ไมวา จะเปน ปยุ เคมกี ต็ ามกจ็ ะมสี าร NO3 –N สะสมในผกั นน้ั สงู ซง่ึ เปน อนั ตรายตอ สขุ ภาพของ ผูบริโภคไดและสําหรับ คุณภาพภายนอก ก็พบวาผักท่ีปลูกโดยการไมใชสารเคมีฆาแมลง ก็สามารถใหผลผลิตที่สวยงามตามมาตรฐานที่ตลาดตองการ ท่ีกลาวมาเปน ดา นคณุ ภาพของ ผักและสําหรบั ในดา นการใหผ ลผลติ นน้ั จากผลการทดลองนเ้ี รากพ็ บวา ผกั ทป่ี ลกู โดยการใชป ยุ หมักอยางเดียวสามารถใหผลผลิตในปริมาณไมแตกตางจากผักที่ปลูกโดยการใชปุยเคมีอยาง เดียว (T.Sittirungsun,H. Dohi, et., 1999) น่ันกค็ อื การปลกู พชื โดยวธิ เี กษตรธรรมชาติ สามารถปลูกเปน อาชพี ไดม ใิ ชแ ตป ลกู เพอ่ื เปน ผกั สวนครวั หลงั บา นเทา นน้ั แปลงทดลองปลกู ผักฮองเตและผักกาดหัวญี่ปุนซึ่งเปรียบเทียบการใชปุยเคมีและปุยหมักอัตรา ตา งๆ กัน โดยไมใชสารเคมีฆาแมลง ทําการทดลองที่ฮอกไกโด เมื่อป 2541
การปลกู พืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 6 ในการทําเกษตรธรรมชาติน้ันก็เปนเรื่องท่ีไมยากแตตองอาศัยความอดทนโดยเฉพาะ ในชวงปแรกๆ หากผานปที่ 3 ไปกส็ ามารถเพาะปลกู ไดง า ยขน้ึ เรอ่ื ยๆ ทง้ั นก้ี ข็ น้ึ อยกู บั สภาพ ความอุดมสมบรู ณข องดนิ และสภาพแวดลอ มเดมิ ถา ดนิ ดี สภาพแวดลอมดีก็สามารถทาํ เกษตร ธรรมชาติไดอ ยางงายๆ ตง้ั แตป แ รก จากประสบการณที่ทาํ งานดา นเกษตรธรรมชาตมิ าเรม่ิ เขา ปท่ี 8 แลว ของผเู ขยี นทาํ ใหทราบวาการเริ่มทาํ เกษตรธรรมชาตใิ นปแ รกถา ดนิ ขาดความอดุ ม สมบูรณก็จะตองใสปุยหมักและปุยนาํ้ ชีวภาพมากและปรมิ าณปญุ ทีใ่ สจะลดลงเรือ่ ยๆ ทุกปแตใน ทางตรงกันขามผลผลติ ในปแ รกอาจไดไ มม าก (แตก ค็ มุ กบั การลงทนุ ) และผลผลติ จะเพม่ิ ขน้ึ ใน ปหลังๆ ในดานการปองกันและกําจัดศัตรูพืชก็เชนกัน ในปแรกอาจจะตองมีการปองกัน และกําจัดแมลงศตั รพู ชื บอ ยครง้ั และคอ ยๆ ลดลงไปในปต อ ๆ มาและในทส่ี ดุ กม็ แี มลงศตั รธู รรม ชาติมากขน้ึ แมลงศตั รธู รรมชาติ หรือ ตัวหํ้า ตัวเบียน ผกั ฮอ งเตท ป่ี ลกู โดยใชป ยุ หมกั ผกั กาดหวั ญป่ี นุ ทป่ี ลกู โดยใชป ยุ หมกั มคี ณุ ภาพดแี ละใหผ ลผลติ สงู กเ็ ชน กนั มคี ณุ ภาพดแี ละใหผ ลผลติ สงู เหลาน้ีก็จะชวยควบคุมแมลงศัตรูพืชใหเราเองเกษตรกรเพียงแตจัดสภาพแวดลอมใหห ลกี เลี่ยง การระบาดของศตั รพู ชื กเ็ พียงพอแลว เชน จดั ระบบการปลูกพชื ตา งๆ หมนุ เวยี นและการปลกู พืชแซมใหเหมาะสม มีการทําความสะอาดแปลงไมปลอยทิ้งไวจนเปนแหลงสะสมโรคแมลง เปนตน ซึ่งจะเห็นไดวาตนทุนในการทําเกษตระรรมชาติจะสูงเฉพาะในปแรกและลดต่ําลง ในปหลังแตผลผลิตจะเพ่ิมข้ึนในปหลังดวย ซ่ึงตรงกันขามกับการทําเกษตรเคมีจากน้ีตอไป จะเปนการแนะนําใหรูจักกบั ความหมายและหลกั การเกษตรธรรมชาติ ตอดวยวิธีทาํ และใชปุย ชนิดตางๆ ทดแทนปยุ เคมรี วมท้ังการใชวธิ ีการตา ง ๆ ในการปอ งกนั และกาํ จัดศัตรูพืชเพื่อทด แทนการใชส ารเคมี และสดุ ทา ยกจ็ ะเปน วธิ กี ารปรบั เปลย่ี นมาสแู นวทางเกษตรธรรมชาติ ดงั จะ กลา วตอ ไปน้ี ความหมายของเกษตรธรรมชาติ เกษตรธรรมชาติ หมายถึง การทําการเกษตรทไ่ี มใชปุย เคมี และสารเคมที างการ เกษตรทุกชนดิ แตจะใหความสาํ คญั ของดนิ เปน อนั ดบั แรก ดว ยการปรบั ปรงุ ดนิ ใหม พี ลงั การ ในการเพาะปลูกเหมือนกับดินในปาท่ีมีความอุดมสมบูรณตามธรรมชาติ โดยการ นําทรัพยากรธรรมชาติทม่ี อี ยอู ยางจํากดั มาใชใ หเ กดิ ประโยชนส งู สดุ เปนวิธีการท่ไี มก อใหเกดิ
การปลกู พืชผักโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 7 ผลเสียตอสภาพแวดลอมไมเปนอันตรายตอเกษตรกรและผูบริโภค สามารถใหผลผลิตท่ีมีท้ัง ปริมาณและคุณภาพ เปน ระบบเกษตรทม่ี คี วามยง่ั ยนื ถาวร เปน อาชพี ทม่ี น่ั คง แนวคดิ เกย่ี วกบั การเกษตรธรรมชาตขิ องทา นโมกิจิ โอกาดะ หลักเกษตรธรรมชาตนิ ไ้ี ดแ นวคดิ มาจากชาวญป่ี นุ คอื โมกิจิ โอกาดะ ซง่ึ เปน ผรู เิ รม่ิ คนควา เกษตรธรรมชาตมิ าตง้ั แต ป พ.ศ. 2478 โมกิจิ โอกาดะกลา ววา “พลังท่ีเปนหลักสําคัญในการเจริญเติบโตของพืชนั้นมาจากธาตุดิน โดยมีพลังของ ธาตุนํ้าและธาตุไฟเปนสวนเสริม เน่ืองจากการเจริญเติบโตของพืชข้ึนอยูกับคุณสมบัติของดิน ซึ่งเปนพลังหลักที่สําคญั ดงั นน้ั เงอ่ื นไขทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ ของการเพาะปลกู จงึ อยทู ต่ี อ งปรบั ปรงุ ดนิ ใหมีคุณภาพดี ท้ังนี้เพราะดินย่ิงดีก็จะย่ิงไดผล สวนวิธีการปรับปรุงดินก็คือ การเพม่ิ ความ กระปรก้ี ระเปรา ใหด นิ ซึ่งทาํ ไดโดยการทาํ ใหม คี วามสะอาดและบรสิ ทุ ธ์ิ เพราะวา ดนิ ยง่ิ บรสิ ทุ ธ์ิ ก็จะยิ่งทาํ ใหพ ลงั การเจรญิ เตบิ โตของพชื ดขี น้ึ “(1 กรกฎาคม 2492) “หลักการของเกษตรธรรมชาติ คอื การนาํ พลงั อนั สงู สง ตามธรรมชาตขิ องดนิ มาใชใหเกิดประโยชน “ (5 พฤษภาคม 2496) หลกั เกษตรธรรมชาติ ถาเราศึกษาสภาพปาเราจะเห็นวาในปามีตนไมนานาชนิดข้ึนปะปนกันอยูเต็มไปหมด ผิวดินถูกปกคลุมไปดวยใบไมที่หลนทับถมกัน สตั วป า ถา ยมลู ไวท ผ่ี วิ หนา ดนิ คลกุ เคลา กบั ใบไม และซากพชื มลู สตั วร วมทง้ั ซากสตั ว โดยมสี ตั วเ ลก็ ๆ เชน ไสเ ดอื น กง้ิ กอื จิ้งหรีด ฯลฯ กัดแทะเปนช้ินเล็กๆ และมีจุลินทรียท่ีอยูในดินชวยยอยสลายจนกลายเปนฮิวมัสซ่ึงเปนแหลง ธาตุอาหารพืชและใชในการเจริญเติบโตของตนไมในปาน้ันเอง ดังนั้นจึงไมจําเปนตองเอา ปุยเคมีไปใสในปา ซึ่งเกษตรกรสามารถเลียนแบบปา ไดโดยการใชปยุ อนิ ทรีย เชน ปุยหมัก ปยุ นา้ํ ชีวภาพ และปุยพืชสด ใชปุยชีวภาพ เชน ไรโซเบียม ไมโครไรซา เปน ตน ทดแทนการใช
การปลกู พืชผักโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 8 ปุยเคมี นอกจากน้ีใบไมและเศษพืชท่ีปกคลุมผิวดินก็เปนการคลุมผิวหนาดินไว ปองกัน การสูญเสียความชน้ื ภายในดนิ ทาํ ใหห นา ดนิ ออ นนมุ สะดวกตอ การไชชอนของรากพชื ถาศึกษา ตอไปจะพบวา แมไมมีใครนําเอายาฆาแมลงไปฉีดพนใหตนไมในปา แตตนไมในปา ก็เจริญเติบโตแข็งแรงตานทานโรคและแมลงไดนอกจากน้ีพืชในปาก็มิไดเปนพืชชนิดเดียวกัน ท้ังหมดแตเปนพืชหลากหลายชนิดทําใหมีความหลากหลายทางชีวภาพ มีแหลงอาหาร ที่หลากหลายของแมลง และแมลงบางชนดิ กเ็ ปน แมลงศตั รธู รรมชาตขิ องแมลงศตั รพู ชื ดงั นน้ั จึงเกิดสมดุลตามธรรมชาติโอกาสที่แมลงศัตรูพืชจะระบาดจนเกิดความเสียหายจึงมีนอย ดงั นน้ั เกษตรกรจงึ สามารถจาํ ลองสภาพปา ไวใ นไร- นา โดยการปลกู พชื ใหห ลากหลายชนดิ หลักเกษตรธรรมชาตกิ เ็ ปน หลกั การทเ่ี ลยี นแบบมาจากปา ทส่ี มบรู ณน น่ั เอง ซึง่ จะประกอบดว ย การปฏิบัติการทางการเกษตรที่คํานงึ ถงึ ดนิ พืช และแมลง ไปอยา งพรอ มกนั คอื 1. มีการปรบั ปรงุ ดนิ ใหม คี วามอดุ มสมบรู ณ ซ่ึงสามารถทาํ ไดโ ดย 1) ปรบั ปรงุ ดนิ โดยใชป ยุ อนิ ทรยี แ ละปยุ ชวี ภาพ : ปยุ อินทรีย ไดแก ปุยหมัก ปยุ นา้ํ ชีวภาพ ไดแก ไรโซเบียม ไมโคไรซา ปยุ เหลานจี้ ะใหท ง้ั ธาตอุ าหารหลกั และ ธาตอุ าหาร รองแกพืชอยา งครลถวนจงึ ใชท ดแทนปุย เคมี 2) การคลมุ ดนิ : ทาํ ไดโดยใชเศษพืชตาง ๆ จากไร-นา เชนฟางหญาแหง ตน ถว่ั ใบไม ขุยมะพรา ว เศษเหลอื ทง้ิ จากไรน า หรือ กระดาษหนังสือพิมพ พลาสตกิ คลมุ ดิน หรือการปลูกพืชคลุมดิน การคลุมดินมีประโยชนหลายประการ คือ ชวยปองกันการ ชะลา งของหนา ดนิ ทาํ ปุยหมักเพื่อใชในการปรับปรุงดิน
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 9 และรักษาความชุมช้ืนของดินเปนการอนุรักษดินและน้ําชวยทําใหหนาดินออนนุมสะดวก ตอการไชขอนของรากพืช ชว ยรกั ษาอณุ หภมู ขิ องดนิ มใิ หเ ปลย่ี นแปลงอยา งรวดเรว็ ชวยปองกัน วัชพืชชวยกระตุนใหจุลินทรียที่มีประโยชนเพิ่มข้ึนทั้งชนิดและปริมาณ นอกจากนว้ี สั ดคุ ลมุ ดนิ จะคอยๆ ยอ ยสลายและปลดปลอ ยธาตอุ าหารใหแ กด นิ เชนการใชเศษพืชคลมุ ดนิ ซง่ึ ประโยชน ตาง ๆ ของการคลมุ ดนิ ดงั กลา วมานจ้ี ะชว ยสง เสรมิ ใหพ ชื เจรญิ เตบิ โตดแี ละใหผ ลผลติ ดี อนง่ึ ในการคลุมดินถาสามารหถคลุมดินไดหนาพอจะชวยปองกันวัชพืชเจริญเติบโตดแี ละใหผลผลติ ดี อนึ่งในการคลุมดินถาามารถคลุมดินไดหนาพอจะชวยปองกันวัชพืชไดเปนอยางดี อีกท้ัง ยังชวยใหดินท่ีเตรยี มไวด ตี ง้ั แตก อ นปลกู ยงั คงมคี วามออ นนมุ และรว นซยุ ตลอดฤดอู กี ดว ย ปลกู พชื แลว ตอ งคลมุ ดนิ เสมอ 3) การปลกู พชื หมนุ เวยี น : เน่ืองจากพชื แตล ะชนดิ ตอ งการธาตอุ าหารแตกตา งกนั ท้ังชนิดและปริมาณ อีกทั้งระบบรากยังมีความแตกตางกันท้ังในดานการแผกวางและหย่ังลึก ถ า มี ก า ร จั ด ร ะ บ บ ก า ร ป ลู ก พื ช อ ย า ง เ ห ม า ะ ส ม แ ล ว จ ะ ทํ า ใ ห ก า ร ใ ช ธ า ตุ อ า ห า ร มี ท้ั ง ท่ี ถู ก ใ ช และสะสมสลบั กันไปทําใหด นิ ไมข าดธาตอุ าหารธาตใุ ดธาตหุ นง่ึ หัวใจของเกษตรธรรมชาตอิ ยทู ด่ี นิ ดี พืชท่ีปลูกอยบู นดนิ ทด่ี จี ะเตบิ โตแขง็ แรงสามารถตา นทาน การทําลายของโรคและแมลงศตั รพู ชื ไดแ ละสง ผลใหไ ดผ ลผลติ ดี ดนิ ดปี ลกู อะไร อะไรกง็ อกงาม ตา นทานโรคแมลง และ ใหผ ลผลติ ดี มคี ณุ ภาพ
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 10 2. ปลกู พชื หลายชนดิ : การปลูกพชื หลายชนดิ เปน การจดั สภาพแวดลอ มในไร – นา ซ่ึงจะชวยลดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืชได เน่ืองจากการปลูกพืชหลายชนิดจะทําให มีความหลากหลายทางชวี ภาพ มีแหลงอาหารท่ีหลากหลายของแมลงจึงมีแมลงหลากหลาย ชนิดมาอาศัยอยูรวมกัน ในจํานวนแมลงเหลาน้ีจะมีทั้งแมลงที่เปนศัตรูพืชและแมลงท่ีเปน ศัตรูธรรมชาติท่ีจะชวยควบคุมแมลงศัตรูพืชใหคลายคลึงกับธรรมชาติในปาท่ีอุดมสมบูรณ น่ันเอง การปลูกพืชหลายชนิดสามารถทาํ ไดหลายรูปแบบ เชน 1) การปลกู หมนุ เวยี น : เปนการไมป ลกู พชื ชนดิ เดยี วกนั หรอื ตระกลู เดยี วกนั ตดิ ตอ กันบนพื้นที่เดียวกัน การปลูกพืชหมุนเวียนจะชวยหลีกเล่ียงการระบาดของโรคและแมลงและ ชวยประโยชนในทางดานการปรับปรุงดิน โดยมีหลักในการเลือกพืชชนิดตางๆ มาไวใน ระบบการปลกู พชื หมนุ เวยี นดงั น้ี ก. ไมปลูกพชื ชนดิ เดยี วกนั หรอื ตระกลู เดยี วกนั ตดิ ตอ กนั ข. ควรปลูกพชื กนิ ใบ กนิ ดอก / ผล และกินหัว สลบั กนั เนอ่ื งจากพชื ทง้ั สามชนดิ น้ี จะมีความตอ งการธาตอุ าหารทแ่ี ตกตา งกนั ค . ควรปลูกพืชที่มีระบบรากส้ันและรากยาวสลับกับ เพื่อใหรากแผกระจาย ไปหาอาหารในดนิ ทต่ี า งระดบั กนั สบั เปลย่ี นหมนุ เวยี นกนั ไป ง. ควรปลูกพืชตระกูลถ่ัว เชน ถั่วตางๆ พืชตระกูลถั่วจะชวยเพ่ิมประสิทธิภาพ ในการตรึงไนโตรเจนมากยิ่งขึ้น(ดรู ายละเอยี ดในเรอ่ื งปยุ ชวี ภาพ) จ. ควรปลูกตระกลู หญา(เชน ขา ว ขาวโพด)อยา งนอ ยปล ะ 1 ครง้ั พืชตระกูลหญา ชวยเพ่ิมอนิ ทรยี ว ตั ถุ และแมลงศัตรูพืชของพืชตระกูลหญาก็แตกตางจากผักตระกูล ตางๆ เปนการตดั วงจรอาหารของแมลง จะชว ยลดการระบาดของแมลงศตั รพู ชื ได ฉ. ควรปลูกพืชที่มีเศษเหลือท้ิงเชน สวนของใบและลําตนหลังการเกบ็ เกย่ี วมากสลบั กับพืชที่มีเศษเหลือทิ้งหลังการเก็บเกี่ยวนอย ช. ในการปองกนั โรคและแมลงศตั รพู ชื ควรพจิ ารณาองคป ระกอบอน่ื ดว ย เชน เลอื ก ปลูกถั่วลิสง และดาวเรอื ง เพอ่ื ปอ งกนั ไสเ ดอื นฝอยรากปม 2) การปลกู พชื แซม : การเลือกพชื มาปลกู รว มกนั หรอื แซมกนั นน้ั พชื ทเ่ี ลอื กมานน้ั ตองเกื้อกูลกนั เชน ชว ยปอ งกนั แมลงศตั รพู ืช ชวยเพม่ิ ธาตอุ าหารใหอ กี ชนดิ หนึ่ง ชว ยคลมุ ดนิ ชวยเพิ่มรายไดกอนเก็บเกี่ยวพืชหลัก เปน ตน ตวั อยา งของการปลกู พชื แซมมี ดงั ตอ ไปน้ี ก. การปลูกดอกไมส สี ดๆ เชน บานชน่ื บานไมร โู รย ดาวเรอื ง ดาวกระจาย ทานตะวนั รอบๆ แปลงผัก/สวนไมผ ล หรือปลูกแซมไปกับผัก/ไมผ ลอยา งประปรายกไ็ ด สขี อง ดอกไมจะชวยดึงดูดใหแมลงศัตรูธรมชาติหรือแมลงตัวหํ้าและตัวเบียนเขามา อยูในแปลงและน้ําหวานจากเกสรดอกไมก็จะเปนอาหารของแมลงเหลาน้ีดวย แมลงศัตรูธรรมชาติเหลาน้ีจะชวยควบคุมแมลงศตั รพู ชื
การปลูกพืชผักโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 11 ข. การปลูกตะไครห อมรอบๆ แปลง ชว ยปอ งกนั แมลงศตั รพู ชื เพอ่ื ตดั ใบตะไครห อม จะมีกล่ินไลแ มลง ใบตะไครห อมนํามาใชค ลมุ ดนิ ไดด แี ละยงั ชว ยไลแ มลง หรอื อาจ ตัดใบตะไครหอมโรยไวที่แปลงเพื่อปองกันแมลงก็ได นอกจากนี้ใบตะไครหอมยัง นาํ มาทํานา้ํ ยาสมนุ ไพรฉดี พน ไลแ มลงไดอ กี ดว ย ค. การปลูกพืชบางชนดิ ซง่ึ มกี ลน่ิ หรอื สารไลแ มลงศตั รพู ชื เชน ผักกาดหอม กระเทียม ดาวเรือง ผักชี กระเพราะ มะเขอื เทศ ฯลฯ แซมลงไปในแปลงปลกู พชื หลกั เพอ่ื ลด แมลงศัตรูพืช เชน ปลกู ผักชีรวมกับคะนา เปน ตน ง. การปลูกดาวเรอื งรว มกบั พชื อน่ื เชน มนั ฝรง่ั มะเขอื เทศ กลวยหักมุก สบั ปะรด จะ ชวยลดความเสียหายจากการทาํ ลายของไสเ ดอื นฝอยรากปมได หรอื อาจปลกู ดา ว เรืองหมุนเวยี นเพอ่ื ลดไสเ ดอื นฝอยดงั ทก่ี ลา วมาแลว จ. การปลูกหอมรว มกบั พชื ตระกลู แตงเชน แตงกวา แตงโม แคนตาลูป เปน ตน หรือ การปลูกกุยไชรวมกับพืชตระกูลพริก-มะเขอื จะชวยปองกันโรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อ ฟวซาเรียมไดเ นอ่ื งจากบรเิ วณรอบๆ รากหอมและรากกยุ ไชมแี บคทเี รยี ตอตา นเช้ือ ราสาเหตขุ องโรคได ซ. การปลูกถั่วลิสงแซมระหวางแถวของขาวโพดจะชวยทําใหแมลงศัตรูธรรมชาติมา อาศัยอยใู นแปลง เชน มแี มงมมุ ตวั หา้ํ ชว ยควบคมุ หนอนเจาะลาํ ตน ขา วโพด เปน ตน 3. อนุรักษแมลงที่มีประโยชน : ซงึ่ สามารถทาํ ไดโ ดย 1 ) การที่ไมใชสารเคมี เน่ืองจากสารเคมีทํ าลายทั้งแมลงศัตรูพืชและแมลง ศัตรูธรรมชาติที่มีประโยชนดวย การท่ีไมใชสารเคมีทําใหมีศัตรูธรรมชาติ พวกตัวห้ําและตัวเบียนมากขึ้นในพื้นที่บริเวณนั้น ซ่ึงศัตรธู รรมชาตเิ หลา นจ้ี ะชว ย ควบคมุ แมลงศตั รพู ชื ให 2) ปลูกดอกไมส สี ดๆ เชน บานชน่ื ทานตะวนั บานไมร โู รย ดาวเรอื ง ดาวกระจาย เปนตน โดยปลูกไวรอบแปลง หรอื ปลกู แซมลงในแปลงเพาะปลกู สขี องดอกไมจ ะ ดึงดูดแมลงนานาชนดิ และ ในจาํ นวนนน้ั กม็ แี มลงศตั รธู รรมชาตดิ ว ย จึงเปนการ เพิ่มจํานวนแมลงศัตรูธรรมชาติในแปลงเพาะปลูกซ่ึงจะชวยควบคุมแมลงศัตรูพืช ใหแกเกษตรกร ปลกู ดอกไมส ีสดๆ เชน บานชื่น ไวรอบๆแปลง เพื่ออนุรักษแมลงที่มีประโยชน และกลน่ิ ยงั ชว ยไลแ มลงศตั รพู ชื บางชนดิ อกี ดว ย
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 12 ถึงตรงนี้ผูอานเขาใจอยางกวางๆ แลววาเรามีหลักในการปลูกพืชโดยไมใช ปุยเคมีและสารเคมีหรือหลักเกษตรธรรมชาติ 3 ขอใหญๆ และจากนี้ไปก็จะกลาวถึงราย ละเอยี ดของแตล ะองคป ระกอบทส่ี าํ คญั ไดแก ปุยหมัก ปยุ นา้ํ ชีวภาพ ปุยชีวภาพ การปลูกพืช แซม และการปอ งกนั และกาํ จัดศัตรูพชื โดยไมใ ชสารเคมี ดงั รายละเอยี ดตอ ไปน้ี ปุย อนิ ทรยี แ ละปยุ ชวี ภาพ ในการทําเกษตรธรรมชาติเนื่องจากเราไมใชปุยเคมีแตจะหันมาปรับปรุงดินโดยใชปุย อนิ ทรียและปุยชีวภาพแทน ปุยอินทรีย ไดแก ปุยหมัก ปยุ นา้ํ ชวี ภาพ และปุยพืชสด (สาํ หรับปุย คอกไมไดกลา วถงึ เนอ่ื งจากนําปยุ คอกหรอื มลู สตั วน ํามาใชเ ปน วสั ดใุ นการทาํ ปุยหมัก) สว นปยุ ชีวภาพ ไดแก ไรโซเบียม ไมโครไรซา ทั้งปุยอินทรียและปุยชีวภาพเหลานี้จะใหทั้งธาตุอาหาร หลักและธาตุอาหารรองแกพืชอยางครบถวนและในปริมาณท่ีมากพอจึงใชทดแทนปุยเคมีใน การเพาะปลูกพืชได และการใชปุยชีวภาพรวมดวยก็จะชวยทาํ ใหไ มต อ งใชป ยุ หมกั มาก จึงเปน ไปไดที่จะทาํ เกษตรธรรมชาติในพื้นที่แปลงใหญมิใชทาํ แปลงเลก็ หรอื สวนครวั หลงั บา นเทา นน้ั การเปรยี บเทยี บผลของปยุ แคมแี ละปยุ อนิ ทรยี / ปยุ ชวี ภาพทม่ี ตี อ ดนิ ลกั ษณะ ปุย เคมี ปยุ อนิ ทรยี / ชีวภาพ (จลุ นิ ทรยี ) 1. การดดู ซบั ธาตอุ าหาร ไมม ี ดดู ซบั ไดด ี 2. การอมุ นา้ํ ไมม ี ทาํ ใหด นิ อมุ นา้ํ ไดด ขี น้ึ 3. ความรว นซยุ ของดนิ ทําใหดินอัดตัวเปนกอนแข็ง ดินรว นซยุ ดี ในระยะยาว 4. ระดบั ความเปน กรด เพม่ิ ขน้ึ ชวยรักษาสมดุลของความ เปน กรดดา ง 5. ระยะเวลาทม่ี ผี ลในดนิ ระยะสั้นแตจะหายไปเร็ว คงอยใู นดนิ นาน จากการชะลา งหรอื เปลย่ี น รปู 6 . ความเจริญเติบโตของ เติบโตดีแตเพียงระยะสั้นใน เติบโตดแี ละนาน เชื้อจุลินทรีย ระยะยาวไมด ี 7. การขยายพันธุของแมลง ขยายพนั ธรุ วดเรว็ ไมม ผี ล ศัตรูพืช ไมช ว ยปอ งกนั ชวยปองกัน 8. การปอ งกนั โรคพชื
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 13 ปยุ อนิ ทรยี สําหรับปุยอินทรียในท่ีน้ีจะขอกลา วถงึ วธิ กี ารทาํ ปุยหมักและปุยนํ้าอยา งสน้ั ๆ สาํ หรับปุยพืชสด น้ันก็เปนการนําพืชตระกูลถั่วมาปลูกและเมื่อถึงระยะออกดอกซึ่งเปนเปนระยะที่พืชเจริญเติบโต เต็มที่ก็จะไถกลบและปลอยใหยอยสลายเนาเปอยผุพังไปกอนแลวปลูกพืชตอไป การใชปุยพืชสด ปรับปรุงดินน้ีจะเปนการเพ่ิมทั้งอินทรียวัตถุและธาตุอาหารพืชโดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน พืช ตระกูลถั่วไดแก ถั่วพรา โสน ปอเทือง ถั่วเขียว ถว่ั ดํา ถว่ั ลสิ ง ฯลฯ พชื ตระกลู ถว่ั บางชนดิ อาจ ปลูกแลวรอเก็บผลผลติ กอนกไ็ ด เชน ถว่ั ลสิ ง ถว่ั เหลอื ง เปน ตน ในแตล ะปค วรปลกู พชื ตระกลู ถว่ั ปละ1 ครง้ั เปน อยา งนอ ย จะปลูกเปนปุยพืชสดหรือเพื่อเก็บผลผลิตก็ได ปยุ หมกั ปุยหมัก เปนปุยอินทรียที่ใหทั้งธาตุอาหารพืช จุลินทรียที่เปนประโยชนตอพืช และชวย ปรับปรุงโครงสรางของดินใหเหมาะสมตอการเจรญิ เตบิ โตของพืช ปยุ หมกั ใชเ ปน ปยุ รองพ้นื ซงึ่ จะใสในขณะเตรยี มดินกอ นปลูกพืชโดยเฉพาะพชื ผักและไมด อกอายุสั้นตางๆ แตถ า เปน ไมผ ลจะ ใสตอนเตรยี มหลมุ ปลกู และใสร ะหวา งปๆ ละ 1-2 ครง้ั การทําปุยหมักสามารถทาํ ไดโดยใชเศษ พืช 2 สวน มลู สตั ว 1 สวน ถาเศษพืชชิ้นใหญหรือเปนเสนยาว เชน ฟาง ตน ขา วโพด ผักตบชวา ตนถั่วเศษเหลือทิ้งหลังจากการเก็บเกี่ยว เชน ตน มะเขอื เถาฟกทอง เปน ตน กจ็ ะวางซอ นๆ กัน เปนชั้นๆ รดน้าํ พรอ มกบั ขน้ึ ไปยา่ํ ใหแ นน พอสมควร แตล ะชน้ั ของเศษพชื อาจหนาประมาณ 20-30 ซม. สลบั ดว ยชน้ั ของมลู สตั ว หนาประมาณ 5-10 ซม. หรอื ถาเปน เศษพชื ช้นิ เล็กๆ เชน ขุยมะพราว แกลบ กากออ ย กส็ ามารถผสมคลกุ เคลา กบั มลู สตั วใ หเ ขา กนั พรอ ม กบั พรมน้าํ ใหความช้ืน ซึ่งทดสอบความช้ืนในกองปุยไดโดยใชมือกําเศษวัสดุแนนๆ แลวมีน้ําไหลออก มาตามรองน้ิวมอื เลก็ นอ ยกใ็ ชไ ด เมอ่ื กองปยุ เสรจ็ ควรหาวสั ดเุ ชน ทางมะพรา ว ฟาง กระสอบ เกาๆ เปน ตน มาคลมุ กอง การดูแลกองปุยก็โดยกลับกองปุยทุก 3-4 สัปดาห เปน เวลา ประมาณ 3 เดอื นกส็ ามารถใชไ ด เมือ่ ไดปยุ หมกั ทส่ี ุกแลว หรือปยุ หมกั ยอ ยสลายตวั ดีสามารถนํา ไปใชเพาะปลูกพืชได ปุยหมักที่สุกแลวมีลักษณะ คอื วสั ดทุ น่ี ําไปใชทาํ ปุยจะเปอยยุย สนี า้ํ ตาล คลํ้าหรือดํา มกี ลน่ิ หอมเหมอื นกลน่ิ ดนิ ไมม กี ลน่ิ เหมน็ เหมอื นมลู สตั วอ ยา งครง้ั เมอ่ื เรม่ิ ทาํ กอง การทําปยุ หมกั นถ้ี า สารเรง เชน เชื้อ พ.ด.-1 ซง่ึ เปน เชอ้ื จลุ นิ ทรยี ส ําหรับทาํ ปุยหมักที่ ทางกรมพัฒนาท่ีดินผลิตข้ึนและแจกใหแกเกษตรกรใชทําปุยหมักก็สามารถนํามาผสมกับกอง ปุยไดด ว ยแตถ า ไมม ี ก็ไมจําเปน ตอ งใชเ พยี งทาํ ใหสภาพกองปุย มคี วามช้ืนเหมาะสม และมีการ กลับกองปยุ ดงั ทก่ี ลา วมาแลว กส็ ามารถทาํ ปุยหมักไดเชนเดียวกัน ปุยหมักยอยสลายตัวดีแลวหรือปุยหมักที่สุกแลวสามารถนําไปใชเพาะปลูกพืชได สําหรับสัดสวนของเศษพืชและมูลสัตวก็ไมจําเปนตองใชตามที่กลาวมาแลวก็ไดอาจปรบั ใชต าม ที่เกษตรกรสามารถหาได เชน ถา มมี ลู สตั วม ากและมเี ศษพชื นอ ยกท็ าํ ไดเชน เดียวกนั กลา วคอื มีเศษอินทรียวัตถุเหลือท้ิงจากไรนาชนิดใดก็สามารถนํามาปรับใชได ที่สําคัญคือตองหมักให
การปลกู พืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 14 ยอยสลายตวั ดกี อ นนําไปใชเพาะปลูกพืช ในการใชปุยหมักเพาะปลูกพืชเทคนิคสาํ คัญก็คือผสม คลุกเคลาปยุ กบั ดนิ ใหเ ขา กนั เปน อยา งดกี อ นแลว จงึ ปลกู พชื ปยุ นา้ํ ชวี ภาพ ปุยน้ําชวี ภาพเปนปุยอินทรียชนิดหน่ึงท่ีไดจากการหมักซากพืชซากสัตวในน้ําโดยมี จุลินทรียชวยยอยสลายมีลักษณะเปนนํ้าใชเปนปุยเสริมธาตุอาหารระหวา งการเจรญิ เตบิ โตของ พืชจะใหท้ังธาตุอาหารพืชและจุลินทรียท่ีเปนประโยชนตอพืชตอไปนี้เปนสูตรการทําปุยนา้ํ ที่ใช กันมากวสั ดทุ ใ่ี ชม ดี งั น้ี 1) ราํ ละเอยี ด 60 กก. 2) มลู ไกไ ข 40 กก. 3) เชื้อ พ.ด.-1 1 ซอง หมายเหตุ ก. เชื้อ พ.ด.-1 เปนเชื้อจุลินทรียที่ใชทาํ ปยุ หมกั ซง่ึ กรมพฒั นาทด่ี นิ ผลติ ขน้ึ ถา ไมม ี ก็ไมต อ งใชก ไ็ ด ข. เนื่องจากรํามรี าคาแพงอาจใชน อ ยลงหรอื ถา หาไมไ ดก ไ็ มใ ชก ไ็ ด วธิ กี ารทําและการใช นําวัสดุทั้งหมดมาผสมคลุกเคลาใหเขากันโดยพรมนํ้าใหมีความชื้นขนาดใชมือกําแลว ปลอยมือกอนวัสดุก็ยังคงรูปอยูก็ใชได เมอ่ื คลกุ เคลา วสั ดดุ แี ลว ใหท าํ กองแลว คลมุ ดว ยกระสอบ คลุมกองไว 7-10 วัน โดยระหวา งนต้ี อ งกลบั กองทกุ วนั ๆ ละ 1 ครง้ั หลงั กลบั กองตอ งคลมุ กอง ไวเชน เดมิ เมอ่ื ครบกําหนดใหแผกองปุยออกผึ่งใหแหงในที่รม เมื่อปุยแหงแลวใหเก็บรักษาโดย ตักใสกระสอบที่สามารถระบายอากาศไดด ี และเก็บไวในที่รมอากาศถายเทสะดวกจะเก็บไวได นาน เมอ่ื จะนําปยุ มาใชใ หน ําปุยแหง 1 กก. ผสมน้ํา 20 ลติ ร โดยใสถ งั หรอื ตมุ วางไวต ามแปลง ใชไมไผคนทุกๆ วัน ๆ ละ 3-4 ครง้ั ๆ ละ 1 นาที ประมาณ 1 สัปดาห ก็จะใชได(ถา ไมใ ชไ มค น อาจใชว ธิ ปี มอากาศเขา ไปกไ็ ดเ ชน เดยี วกบั แบบตปู ลา) แตค วรผสมนา้ํ อกี 20-40 ทา กอ นนํา ไปรดตนพืชวิธีการใชกับพืชอาจรดที่โคนตน หรอื ปลอ ยตามรอ ง (หรือ ฉดี พน ทางใบกไ็ ด) หรือ จะตอเขากับระบบการใหนํ้าใหปุยก็ได การใหปุยนาํ้ จะใหม ากนอ ยเพยี งใดขน้ึ อยกู บั ความอดุ ม สมบูรณของดินและความตอ งการของพชื ซง่ึ สงั เกตไดจ ากลกั ษณะของใบพชื ถา ใบพชื มสี เี หลอื ง ซีดแสดงวาไดรับธาตุอาหารไมพอ ถา ใบสเี ขยี วเขม เกนิ ไปแสดงวา ไดร บั ธาตอุ าหารเกนิ แตถ า ใบ พืชเปนสีเขียวแตไมเขียวเขมจนเกนิ ไป ใบแผกวาง เหน็ เสนใบชดั เจน กา นใบชรู บั แสงเตม็ ท่ี แสดงวาพืชไดรับธาตอุ าหารเหมาะสมดแี ลว พชื ทไ่ี ดร บั ธาตอุ าหารมากหรอื นอ ยเกนิ ไปจะออ น แอตอการเขาทําลายของโรคและแมลง แตถ า พชื ไดร บั ธาตอุ าหารพอเหมาะจะแขง็ แรงสามารถ ตานทานโรคและแมลงไดด กี วา
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 15 สําหรับรายละเอียดของปุยหมักและปุยนํ้าชีวภาพสามารถศึกษาเพ่ิมเตมิ ไดจากหนังสือ ปุยหมักดินหมัก และปุยนา้ํ ชวี ภาพเพื่อการปรับปรุงดินโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ซง่ึ เขยี นโดย อาจารยทิพวรรณ สทิ ธริ งั สรรค, สาํ นกั พมิ พโ อเดยี นสโตร 2542. ปยุ ชวี ภาพหรอื ปยุ จลุ นิ ทรยี ความหมาย : หมายถึง การนาํ เอาจลุ นิ ทรียมาใชป รบั ปรงุ ดนิ ทางชวี ภาพ กายภาพ ทางเคมชี วี ะ และทางการยอยสลายอนิ ทรยี ว ตั ถุ ตลอดจนการปลดปลอ ยธาตอุ าหารพชื จากอนิ ทรยี ว ตั ถุ หรืออนินทรียวัตถุหรือหมายถึงจุลินทรียท่ีนํามาใชเพ่ือกระตุนการเจริญเติบโตหรือเพ่ิม ความตา นทานของโรคพชื หมายถึง ปุยที่มีจุลินทรียท่ีสามารถทํากิจกรรมท่ีกอ ใหเกิดธาตอุ าหารท่เี ปนประโยชน กับพืช ดังนั้นวิธีการที่จะชวยปรับปรุงดินไดอยางมีประสิทธิภาพวิธีหนึ่งก็คือ การใสปุยชีวภาพ ประเภทของปยุ ชวี ภาพ แบงออกตามชนิดของจุลินทรียหรือตามประเภทของธาตุอาหารที่สามารถนําไปใช ประโยชนใหกับพืชซึ่งไดแกธาตุอาหารหลัก คือ ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โปตัสเซยี ม และในทน่ี จ้ี ะขอกลา วถงึ เฉพาะไรโซเบยี มและไมโครไรซา เทา นน้ั ไรโซเบยี ม เปน จุลินทรียที่ชวยเพิม่ ธาตุไนโตรเจนท่อี ยูร วมกับพืชตระกูลถัว่ เชน ถว่ั ตา งๆ กา มปู กระถนิ ณรงค เปน ตน ในแตล ะป จุลนิ ทรียสามารถนาํ ธาตไุ นโตรเจนกลบั มาสดู นิ ได ประมาณ 170 ลา นตนั /ป จากผลการทดลองของกรมวิชาการเกษตรพบวา การปลูกถั่วเหลืองโดยไมใช ไรโซเบียมหรือปุยเคมีจะใหผลผลิต 100-150 กก./ไร แตถาใชเช้ือไรโซเบียมจะให ผลผลติ 200-300 กก./ไร (ซึ่งเทียบเทากับตองใสปุยไนโตรเจน 20 กก./ไร ในการปลกู ถว่ั เหลืองน)ี้ หัวใจสําคัญที่ทาํ ใหพ ชื ตระกูลถั่วชวยในการบาํ รงุ ดนิ กค็ อื ไรโซเบยี ม ใชไรโซเบียมรว มกบั พืชตระกูลถั่วสามารถทดแทนปุยไนโตรเจนได
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 16 การเกดิ ปม ✣ จะเหน็ ปมถว่ั ภายใน 5-10 วัน ถา ปลกู ในเรอื นทดลอง ✣ จะเห็นปมถั่วภายใน 15-25 วัน ในสภาพไร ✣ ปมทด่ี จี ะมภี ายในปมเปน สแี ดงเขม ✣ ปมที่แกจะเปลี่ยนเปนสีเขียว ✣ ปมท่ีมีสีขาวซดี หรอื เขยี วออ นจะไมม ปี ระสทิ ธภิ าพในการตรงึ ไนโตรเจน อายุการเกบ็ รกั ษาปยุ ชวี ภาพไรโซเบยี ม ✣ ที่อุณหภูมิ 20-30 องศาเซลเซยี ส เกบ็ ไดน าน 5-6 เดอื น ✣ ที่อุณหภูมิ 4-10 องศาเซลเซยี ส เกบ็ ไดน าน 1 ป ✣ หามเก็บในชองแชแข็ง (Freeze) เด็ดขาด เพราะเชื้อจะตาย และเชื้อ ไรโซเบียมไมส ามารถทนอณุ หภมู ไิ ดเ กนิ 40 องศาเซลเซยี ส วิธีการคลกุ เชอ้ื ✣ ใชส ารชว ยใหต ดิ เมลด็ เชน น้าํ มนั พชื น้าํ ตาลทราย 30% แปงเปยก เปน ตน ใช สารชว ยตดิ เมลด็ 300 ซี.ซ.ี ตอ เชอ้ื 1 ซอง ✣ เชื้อ 1 ซอง หรือ 200 กรัม ใชค ลกุ กบั เมลด็ ถว่ั เหลอื ง 10 กก. หรือ เมลด็ ถว่ั ลสิ ง 15 กก. หรอื เมลด็ ถว่ั เขยี ว 5 กก. แตต อ งใชช นดิ ของเชอ้ื ไรโซเบียมใหต รงกบั ชนดิ ของเมลด็ ถว่ั นน้ั ๆ ขอ ควรระวงั 1. ตองใชเ ชอ้ื ไรโซเบียมใหถ กู ตอ งกบั ชนดิ ของถว่ั 2. ไมปลอยใหเมล็ดที่คลุกเช้ือแลวตากแดดตากลม ควรเก็บในถุงพลาสติกหรือ ภาชนะเปด และไวใ นทร่ี ม 3. ไมท ง้ิ เมลด็ ทค่ี ลกุ เชอ้ื ไรโซเบียมไวข า มคนื ถา เหลอื ควรผง่ึ เมลด็ ไวใ นทร่ี ม และแหง แลวคลกุ เชอ้ื ใหมเ มอ่ื ตอ งการปลกู 4. ไมปลูกเมอ่ื ดนิ แหง มากๆ ควรปลกู เมอ่ื ดนิ หมาดๆ หรอื ปลกู แลว ใหน า้ํ ไดทันที 5 . เมื่อหยอดเมล็ดแลวควรกลบเมล็ดใหดีเพื่อมิใหเมล็ดถูกแดดเผาและ เชอ้ื ตาย 6. อยา ใชเชื้อไรโซเบยี มท่ีหมดอายุแลว 7. สารปอ งกนั กาํ จัดโรคพืช แมลง และวัชพืช อาจมผี ลตอ เชอ้ื ไรโซเบยี มได 8. ปุยไนโตรเจนจะไมชวยสงเสริมการตรึงไนโตรเจนของไรโซเบียม ยิ่งใสปุย ไนโตรเจนลงดินมากจะทาํ ใหก ารตรงึ ไนโตรเจนลดลง 9. ดนิ รว นซยุ จะทาํ ใหไ รโซเบยี มเจรญิ ไดด กี วา ดนิ เหนยี วและดนิ นา้ํ ขงั
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 17 สถานที่จําหนาย สามารถสง่ั ซอ้ื เชอ้ื ไรโซเบยี มไดท ่ี กลมุ งานวจิ ยั จลุ นิ ทรียด นิ กองปฐพีวิทยา (ตึกไรโซ เบียม) กรมวิชาการเกษตร ภายในเกษตรกลาง เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร. 02-5790065 โทรสาร 02-5614763 ราคาถงุ ละ 10 บาท เชอ้ื ไมโครไรซา เปนเช้ือรากลมุ หนง่ึ ทอ่ี ยใู นดนิ อาศยั อยตู ามรากพชื โดยไมทาํ อนั ตรายกบั พชื ทั้งนี้พืช และเช้ือราตางพง่ึ พาซง่ึ กนั และกนั ไดร บั ผลประโยชนร ว มกนั เซลลข องรากพชื และเชอ้ื ราสามารถ ถายทอดอาหารซึ่งกันและกันได ชว ยใหร ากเพม่ิ เนอ้ื ทใ่ี นการดดู อาหารจากดนิ เมอ่ื มไี มโครไรซา เกิดขึ้นที่ราก ซง่ึ เนอ้ื ทท่ี เ่ี กดิ ขน้ึ เกดิ จากเสน ใยทเ่ี จรญิ อยรู อบๆ รากทาํ ใหส ามารถดดู นา้ํ และธาตุ อาหารไดม ากกวา รากทไ่ี มม ีไมโครไรซา เสนใยที่พันอยูกับรากพืชจะไชชอนเขาไปในดินชวยดูด ธาตุอาหารโดยเฉพาะธาตุฟอสฟอรสั และชว ยปอ งกนั มใิ หธ าตฟุ อสฟอรสั ทล่ี ะลายออกมาถกู ตรงึ โดยปฏิกริยาทางเคมขี องดินดว ย นอกจากนย้ี งั ชว ยใหไ ดร บั ธาตอุ าหารอน่ื ๆ เชน แคลเซียม เหล็ก สงั กะสี ดว ย ไมโครไรซา ทม่ี คี วามสําคญั ทางเกษตรกรรม และมีการศึกษาคนควาวิจัยเพื่อ นํามาใชป ระโยชนใ นทางการเกษตรมี 2 พวก คอื 1. เอ็กโตไมโครไรซา จะพบในพืชพวกไมยืนตน ไมป ลกู ปา เชน สน เปน ตน 2. ว-ี เอสไมโครไรซา ซึง่ อยูใ นพวกเอ็นโดไมโครไรซาและจะพบในพืช พวกพืชไร พืชสวน พืชผัก ไมด อกและไมป ระดบั สาํ หรับไมโครไรซาที่มีบทบาทตอการเจริญเติบโต และชวยเพิ่มผลผลิตพืชเศรษฐกิจใน ประเทศไทย คอื ว-ี เอไมโครไรซา ซง่ึ มผี นู าํ มาใชอยา งกวางขวางกับพืชเศรษฐกจิ หลายชนิด เชน ขาวโพด ขา วฟา ง ถว่ั ตา งๆ มะมว ง ลาํ ไย ทุเรียน สบั ปะรด และมะเขือเทศ เปน ตน ทง้ั นเ้ี พอ่ื เปน การลดคาใชจายแทนการใชปุยเคมีซึ่งมีราคาแพง
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 18 ประโยชนท พ่ี ชื ไดร บั จากไมโครไรซา ไมโครไรซามีประโยชนตอการมีชีวิตอยู และการเจริญเติบโตของตนไมหลายทางดว ย กัน ที่สําคัญท่ีสุดคือ ไมโครไรซาสามารถชวยเพ่ิมความเจริญเติบโตใหกับพืช และพอสรุป ประโยชนข องไมโครไรซา ไดด งั น้ี 1. เพิ่มพื้นท่ีของผิวรากที่จะสัมผัสกับดินทําใหเพ่ิมเน้ือท่ีในการดูดธาตอุ าหาร ของรากมากขน้ึ 2. ชวยใหพืชดูดและสะสมธาตุอาหารตางๆ ไวและสะสมในราก เชน ฟอสฟอรสั ไนโตรเจน โปตัสเซียม แคลเซียม แรธ าตอุ น่ื อกี 3. ชวยดูดธาตุอาหารจากหินแรท่ีสลายตัวยากหรืออยูในรูปที่ถูกตรึงในดิน เชน ฟอสฟอรัสใหแกพืช ในดนิ ทม่ี ธี าตฟุ อสฟอรสั ทเ่ี ปน ประโยชนต อ พชื ใน ปรมิ าณที่ตาํ่ ไมโครไรซามีบทบาทสําคัญในการดูดซึมฟอสฟอรัสใหแกพืช เน่ืองจากฟอสฟอรสั ละลายนา้ํ ไดด ใี นชว ง PH เปนกลาง ในดนิ ทม่ี ฤี ทธเ์ิ ปน กรดหรือดา งฟอสฟอรสั มกั ถกู ตรงึ โดยทางเคมี รวมตวั กบั เหลก็ อะลมู นิ ม่ั แคลเซี่ยม หรือแมกนีเซี่ยมทําใหไ มล ะลายนา้ํ ซง่ึ อยใู นรปู ทไ่ี มเ ปน ประโยชน ตอพชื นอกจากนไ้ี มโครไรซา ยงั ชว ยดดู พวกอนิ ทรยี ว ตั ถตุ า งๆ ทส่ี ลายตวั ไม หมดใหพ ชื นําไปใชได 4. เช้ือราไมโครไรซาในรากพืชทําหนาท่ีปองกันและยับยั้งการเขาสูราก ของโรคพชื 5. ทําใหโครงสรางดินดี เน่ืองจากมีการปลดปลอยสารบางชนิด เชน Polysaccharide และสารเมือกจากเชื้อราไมโครไรซา รวมกบั เสน ใยของ ไมโครไรซาทําใหเกิดการจับตัวของอนุภาคดนิ ชว ยใหโ ครงสรา งของดนิ ดี ปองกันการสูญเสียธาตุอาหารจากดินเน่ืองจากการชะลางของน้ําและการ พังทะลายของดิน และยังชวยในการหมุนเวยี นของธาตอุ าหาร ทําใหล ด การสูญเสยี ของธาตอุ าหารในระบบนเิ วศนไ ด 6. ทาํ ใหพชื ทนแลง เนอ่ื งจากการเพม่ิ พน้ื ทผ่ี วิ รากในการดดู นา้ํ ทาํ ใหพืชทน แลงและพชื สามารถฟน ตวั ภายหลงั การขาดนา้ํ ไดเ รว็ ขน้ึ จากประโยชนเหลาน้ีพืชที่มีไมโครไรซาจึงเจริญเติบโตไดดีกวาพืชที่ไมมีไมโครไรซา สํ าหรั บไมโครไรซานั้นในประเทศไทยขณะนี้ยังไมมีจํ าหนายแตเกษตรกรท่ีสนใจสามารถ ขอความอนเุ คราะหไ ดท ต่ี กึ ไรโซเบยี มดงั นน้ั วธิ กี ารนาํ ไมโครไรซาไปใช เกษตรการสามารถทาํ ไดงายๆ เชน ไมผ ลจะขดุ รอบๆ ทรงพมุ ลกึ ประมาณ 20-25 ซ.ม. ก็จะพบรากฝอยนาํ เชอ้ื ไมโคร ไรซาไปโรยโดยรอบแลวกลบดินจะชวยใหไมผลเติบโตไดดี
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 19 การปองกันและกาํ จดั ศตั รพู ชื โดยวธิ เี กษตรธรรมชาติ การฟนฟูความสมดุลของธรรมชาติในไร- นาทผ่ี า นการใชส ารเคมใี นรปู แบบตา งๆ มา อยางมากและเปน เวลานานใหก ลบั คนื มาตามหลกั การทง้ั 3 ขอ เปน เรอ่ื งทเ่ี กษตรกรสามารถ ทําไดโดยใชเวลาแตในปแรกๆ จะประสบปญ หาโรคและแมลงรบกวนบา งเนอ่ื งจากดนิ ทเ่ี รม่ิ ถกู ปรับปรุงยังไมมีความอุดมสมบูรณดีพอและมีสารปนเปอนอยูมากทําใหพืชยังไมสามารถเติบโต และแข็งแรงไดอยางเต็มท่ี ทําใหออนแอตอการทําลายของโรคและแมลงศัตรูพืช อีกท้ังศัตรู ธรรมชาติของแมลงศัตรูพืชก็ยังนอยอยูจ งึ ทาํ ใหเกษตรกรประสบปญหาโรคและแมลงศัตรูพืชรบ กวนและผลผลติ ตา่ํ ในระยะ 1-3 ปแรก แตห ลงั จากนน้ั ไปถา มกี ารจดั การดจี ะทําใหปญหาโรค และแมลงศัตรูพืชลดลงพรอมทั้งผลผลิตก็จะสูงขึ้น การเพาะปลูกพืชก็งายขึ้น การใชป ยุ ธรรม ชาติก็ลดลงรวมทั้งการปองกันกําจัดศัตรูพืชก็ใชปจจัยนอยลงซ่ึงก็หมายถึงตน ทนุ การผลติ ลดลง แตผ ลผลติ สงู ขน้ึ ซง่ึ เปน การทาํ การเกษตรที่ยั่งยืน ดังน้ัน หากเกษตรกรประสบปญหาศตั รูพชื สามารถปอ งกันและกาํ จัดศัตรูพืชโดยไมใช สารเคมีซึ่งมีหลายแนวทางใหเลือกใชหรืออาจนําหลายๆ แนวทางมาผสมผสานกันก็ไดตาม ความเหมาะสม ศตั รพู ชื แบง ไดอ ยา งกวา งๆ ได 3 ประเภท คอื วัชพืช โรคพืชและแมลงศัตรูพืช ซ่ึงจะสามารถปอ งกนั และกาํ จดั ไดด งั แนวทางตอ ไปน้ี การปอ งกนั และกําจดั วชั พชื 1. ใชวธิ กี ารถอน ใชจ อบถาง ใชวิธีการไถพรวน 2. ใชวัสดุคลุมดนิ ซง่ึ เปน การปกคลมุ ผวิ ดนิ ชว ยอนรุ กั ษด นิ และน้ําและเปน การเพม่ิ อินทรียวตั ถใุ หก บั ดนิ อกี ดว ย โดยสว นใหญม กั ใชว สั ดธุ รรมชาติ ไดแก เศษซากพืช หรือวัสดเุ หลอื ใชใ นการเกษตร เชน ฟางขา ว ตอซงั พชื หญาแหง ใบไมแหง ตน ถว่ั ขุยมะพรา ว กากออ ย แกลบ เปน ตน นอกจากนย้ี งั มพี ลาสตกิ ทผ่ี ลติ ขน้ึ สําหรับการ คลุมดินโดยเฉพาะซง่ึ สามารถนํามาใชไ ดเ ชน กนั 3. ปลูกพืชคลุมดิน เชน การปลกู พชื ตระกลู ถว่ั คลมุ ดนิ ในสวนไมผ ล การปลกู พชื ตา งๆ เชน ผัก ไมด อก สมนุ ไพร แซมในสวนไมผ ล เปน ตน การปอ งกนั และกําจัดโรคและแมลงศัตรูพืช 1. การปอ งกนั และกําจดั โดยวธิ กี ล (mechanical control) เชน การใชม อื จบั แมลงมาทําลาย การใชม งุ ตาขา ย การใชกับดักแสงไฟ การใชกับดักกาวเหนียว เปน ตน 2. การปอ งกนั และกําจดั โดยวธิ เี ขตกรรม (cultural control) เชน 1) การดแู ลรกั ษาแปลงใหส ะอาด 2) การหาระยะเวลาทเ่ี หมาะสมในการปลกู พชื 3) การเก็บเกี่ยวพืชเพื่อหลีกเลี่ยงการทาํ ลายของโรคและแมลง
การปลูกพืชผักโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 20 4) การใชระบบการปลูกพืช เชน การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชแซม 5) การจดั การใหน ้ํา 6) การใสปุยใหเหมาะสมกับความตองการของพืชเพื่อลดการทําลายของโรคและ แมลง 3. การปอ งกนั และกําจดั ศตั รพู ชื โดยชวี วธิ ี (biological control) คอื การใช ประโยชนจ ากแมลงศตั รธู รรมชาติ คอื 1) ตวั เบยี น (parasite) สวนใหญหมายถึง แมลงเบยี น (parasitic insects) ที่ อาศัยแมลงศัตรูพืชเพื่อการดํารงชีวิตและการสืบพันธุซ่ึงทําใหแมลงศัตรูพืช ตายในระหวางการเจริญเติบโต 2) ตวั หา้ํ ไดแก สง่ิ มชี วี ติ ทด่ี าํ รงชวี ติ โดยการกนิ แมลงศตั รพู ชื เปน อาหารเพอ่ื การ เจริญเติบโตจนครบวงจรชีวิต ตัวหํ้าพวกนี้ ไดแก ✣ สัตวท ่ีมีกระดูกสันหลงั ไดแก สตั วป ก เชน นก สตั วเ ลอ้ื ยคลาน เชน งู กิง้ กา สตั วค รง่ึ บกครง่ึ น้าํ เชน กบ ✣ ตัวหํ้าสว นใหญท ม่ี คี วามสําคญั ในการควบคมุ แมลงและไรศตั รพู ชื ไดแ กส ตั ว ไมม กี ระดกู สนั หลงั เชน แมงมุม ไรตัวหํ้า และตัวหํา้ สวนใหญ ไดแก แมลง หาํ้ (predatory insects) ซ่ึงมีมากชนดิ และมกี ารขยายพนั ธไุ ดร วดเรว็ 3) เชื้อโรค สวนใหญหมายถึงจุลินทรียที่ทําใหแ มลงศตั รพู ชื เปน โรคตาย เชน เชื้อไวรัส แบคทีเรีย รา โปรโตซัว ไสเ ดอื นฝอยทําลายแมลงศตั รพู ชื 1. การปอ งกันโดยใชพันธุพืชตานทาน (host plant resistance) 2. การปอ งกนั และกาํ จดั ศตั รพู ชื โดยใชส มนุ ไพรตา งๆ ตัวอยา งการปอ งกนั และกําจัดโรคและแมลงศัตรูพืช 1.การใชนํา้ สกดั สมนุ ไพรในการปอ งกนั และกําจัดแมลงศัตรูพืช เชน การ ใชสะเดา ขา และตะไครห อม ซึ่งทาํ ไดโดยใชสะเดา (ใชส ว นของเมลด็ แก) ขา (ใชส ว นของหวั ขา แก) ตะไครหอม (ใชส ว นของใบสเี ขยี วเขม ) อยา งละ 2 กก. โขลกหรอื ตําแลวแชนาํ้ 20 ลติ ร นาน 24 ชั่วโมง โดยไวในที่รม กรองเอากากออก น้ํายาที่ไดจะเขมขนควรเจือจางดวย นา้ํ ประมาณ 8 เทา (ควรเตมิ สารจบั ใบซง่ึ จะใชน า้ํ สบู 3 ชอ นแกงตอ น้าํ ยาที่ผสมแลว 20 ลติ ร เพ่ือใหน้ํายาเกาะติดใบและตัวแมลงไดดีขึ้น) สูตรนี้ใชฉีดปองกันและกําจัดหนอนและแมลง ตางๆ แตก็ไมไดหมายความวาจะใชไดกับแมลงทุกชนิด เชน แมลงปก แขง็ พวกดว งเตา แตง จะใช ไมคอยไดผลแตน้ําสกัดจากเมล็ดนอยหนาจะใชไดผลดีกับแมลงปกแข็งดังกลาว ยังมีพืช สมุนไพรอีกมากมายหลายชนดิ ทส่ี ามารถใชป อ งกนั และกําจดั แมลงศตั รพู ชื ได เชน ขมน้ิ โลต น้ิ พริกข้ีหนู สาบเสอื ยาสูบ ฯลฯ ซง่ึ เราสามารถนํามาทดลองใชใ นการปอ งกนั และกาํ จดั แมลงศตั รู พชื ไดโดยนาํ มากสกดั ดว ยวิธีงา ยๆ คอื บดแลวแชนาํ้ นาํ นา้ํ สกดั สมนุ ไพรนน้ั ไปเจอื จางตาม ความเหมาะสมแลว นําไปฉีดพน ในชว งทม่ี หี นอนมาก ควรฉีดพนทุกๆ 3 วัน แตอ ยา งไรกต็ าม ควรตรวจดูแมลงทุกๆเชาถาพบก็ใหใชมือรีบกําจัดกอน เชน กลุมของไขแมลง กลมุ ของตวั
การปลูกพืชผักโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 21 หนอน เปน ตน ในการใชส ารสกดั สมนุ ไพรอาจจาํ เปน ตอ งใชบ อ ยครง้ั ในชว งแรกๆ ของการทาํ เกษตรธรรมชาติเน่ืองจากมแี มลงศตั รธู รรมชาตอิ ยนู อ ยแตถ า ในชว งหลงั ๆ ดนิ ดขี น้ึ และมแี มลง ศัตรูธรรมชาติมากข้ึนก็ไมจําเปนตองใชสารสกัดสมุนไพรในการควบคุมแมลงศัตรูพืชหรืออาจ ใชนอ ยมากกส็ ามารถปลกู พชื ไดผ ลดเี ชน กนั สารจับใบที่ไดจากนาํ้ สบสู ามารถทาํ ไดโดยใชสบูซันไลท 1 กอ น หน่ั เปน ฝอยๆ เตมิ น้าํ อุน 1 ลติ ร คนใหล ะลาย น้าํ สบนู จ้ี ะใชเ ตมิ ในนา้ํ สมนุ ไพรไดท กุ สตู รซง่ึ เปน สารจบั ใบ เพอื่ ใหนาํ้ ยาเกาะตดิ ใบและตวั แมลงไดด ขี น้ึ อตั ราทใ่ี ชค อื ใชน า้ํ สบู 3 ชอนแกง ตอ นา้ํ สมนุ ไพรท่ีผสมแลว 20 ลติ ร 2.การใชสารสกัดสุมนไพรปองกันและกําจัดโรคพืช เชน การใชวานหางจระเข กระเทยี ม อยา งละ 200 กรัม บดแลว กรองเอากากออก เตมิ น้าํ ใหค รบ 20 ลติ ร เตมิ น้าํ สม สายชู 100 มลิ ลลิ ติ ร และเติมนาํ้ สบดู งั กลา วมาแลว ดว ย ใชฉีดพนทุกๆ 7 วัน เพอ่ื ปอ งกนั โรครา แปงของพืชตระกูลแตงได จากผลการทดลองพบวา กระเทยี มมผี ลตอ การปอ งกนั โรคราแปง บน ใบแคนตาลูปไดมากและวา นหางจระเขม ผี ลตอ การปอ งกนั โรคนไ้ี ดป านกลาง (T. Sittirungsun and H. Horita, 1999) 3.การนําวสั ดเุ หลอื ใชม าใชใ นการปอ งกนั และกําจดั แมลงศตั รพู ชื เชน เปลอื กไขน ํา มาหอดวยกระดาษหนังสือพิมพแลวเผา และนาํ มาทุบใหพอละเอียด นาํ ไปโรยรอบๆ ตน พชื ชวยปอ งกนั หนอนกระทไู ด เปน ตน 1. การใชก บั ดกั กาวเหนยี วสเี หลอื ง จากผลการทดลอง พบวาการใชกับดักกาว เหนียวสีเหลืองในการปองกันและกําจัดแมลงศัตรูพืชจะชวยลดแมลงศัตรูพืชไดมากในระยะแรก ของการทําเกษตรธรรมชาติเพราะในชวงนั้นมีแมลงศัตรูธรรมชาติหรือตัวห้ําตัวเบียนอยูนอย แตถาทําเกษตรธรรมชาติไประยะหน่ึงและมีแมลงศัตรูธรรมชาติมากพอก็ไมมีความจําเปนใน การใชกับดักกาวเหนียวอีกก็สามารถปลูกพืชไดผลดี นอกจากน้ีกับดักกาวเหนียวยังเหมาะ สําหรบั การปลกู พชื ผกั กางมงุ หรอื ปลกู ใน Green House รวมท้ังแปลงเกษตรกรตอ งการลดการ ใชส ารเคมอี กี ดว ย (T. Sekine and T. Sittirungsun, 2000) ในปจจุบันมีเกษตรชาวสวนผลไมนําเอากาวเหนียวสีเหลืองนี้ไปทารอบโคนตนผลไม เพ่ือปองกันมดซง่ึ จะมผี ลตอ การปอ งกนั พวกเพลย้ี ตา งๆ ไดผ ลดี เชนเกษตรกรชาวสวนทุเรียน แถบภาคตะวนั ออก เปน ตน
การปลูกพืชผกั โดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 22 ขอเสนอแนะในการปอ งกนั และกําจัดโรคและแมลงศัตรูพืช ในการทําเกษตรธรรมชาติในระยะแรกๆ หรอื ระยะเพง่ิ ปรบั เปลย่ี นมาทําเกษตรธรรม ชาติน้ันเกษตรกรอาจประสบปญหาโรคและแมลงศัตรูพืช เกษตรกรควรแกปญหานี้โดยใชวิธี การปองกันและกําจดั วธิ ตี า งๆ ผสมผสานกนั ไปโดยหลกี เลย่ี งการใชส ารเคมดี งั ทไ่ี ดก ลา วมาแลว และเม่ือทําเกษตรธรรมชาติไปสักระยะหน่ึงดินจะดขี น้ึ การเจรญิ เตบิ โตของตน พชื กจ็ ะดขี น้ึ ทาํ ให ตนพืชแข็งแรง และนอกจากนี้ยังมีแมลงศัตรูธรรมชาติมากขึ้นแมลงศัตรูธรรมชาติเหลานี้ก็จะ ชวยควบคมุ แมลงศตั รพู ชื ใหโ ดยธรรมชาติ แนวทางการปรบั เปลย่ี นมาสเู กษตรธรรมชาติ ก า ร ป รั บ เ ป ล่ี ย น ม า สู เ ก ษ ต ร ธ ร ร ม ช า ติ เกษตรกรอาจทดลองเลือกพื้นบางสวนทํ าเกษตร ธรรมชาติโดยเลิกใชปุยเคมีและสารเคมีในพื้นท่ีเลก็ ๆ กอนและเมอ่ื ไดเ รยี นรแู ละทาํ ไดด แี ลว กค็ อ ยๆ ขยาย พ้ืนทอ่ี อกไป หรอื อกี แนวทางหนง่ึ คอื ทาํ การลดการใช ปุยเคมีและสารเคมีในพื้นท่ีทั้งหมดโดยคอยๆลดทีละ นอย และในที่สุดก็สามารถทาํ เกษตรธรรมชาตใิ นพน้ื ท่ีท้ังหมดไดอ ยา งเตม็ รปู แบบ เทคนคิ การผลติ ผกั ในการเพาะปลูกพืชผักตางๆ ใหไ ดผ ลผลติ ดี และมีคุณภาพดีน้ันนอกจากหลักเกษตรธรรมชาติท่ี กลาวมาแลวเราจําเปนตองเรียนรูลักษณะและความ ตองการของพชื ชนดิ นน้ั ๆ ดว ยซง่ึ จะไมข อกลา วไวใ นท่ี นี้แตจะอานไดจากหนังสือเก่ียวกับผักไมดอก ไมผล แตล ะชนดิ ซึ่งจะชวยใหการเพาะปลูกพืชผักไดประสบ ความสาํ เรจ็ มากยง่ิ ขน้ึ เราไดอ ะไรจากการทําเกษตรธรรมชาติ ถาเราทําเกษตรธรรมชาติเราไดร ายไดเ ปน ตวั เงนิ จากการขายผลผลติ และไดร ายไดท ไ่ี ม ใชตัวเงนิ แตเ ปน รายไดใ นรปู ตา งๆ เชน อาหารที่ปลอดภัยสาํ หรบั ครอบครวั เกษตรกรผูผลิต และผูบริโภคมีคุณภาพชีวิตที่ดี มสี ขุ ภาพดไี มเ จบ็ ปว ยไมต อ งเสยี เงนิ คา รกั ษาพยาบาล ในดา นสง่ิ
การปลูกพืชผักโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ ✽ 23 แวดลอมวิธีการเกษตรธรรมชาติจะชวยรักษาสิ่งแวดลอมและชวยอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติไว ใหอยูชั่วลูกชั่วหลาน รฐั บาลไมต อ งเสยี คา ใชจ า ยในการแกไ ขปญ หามลพษิ ตา งๆ เกษตรธรรม ชาติเปนรูปแบบหนึ่งท่ีสอดคลองกับแนวทางการดําเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงตามแนว พระราชดาํ ริ คอื การอมุ ชตู นเองได พออยพู อกนิ ผลติ ของกนิ เอง ใหใชสิ่งที่ผลิต ที่ปลูก เก้ือกูล กัน มีเหลือแบง ปน มคี วามพอเพยี งกบั ตนเองกบั ครอบครวั และชมุ ชน กลบั ไปหนาแรก
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: