Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บิดามี มารดามี

บิดามี มารดามี

Published by jariya5828.jp, 2022-08-29 03:02:51

Description: บิดามี มารดามี

Search

Read the Text Version

บดิ ามี มารดามี

หนังสอื ธรรมะขนาดพกพา รายเดือน ๑๒ เรอื ง ๑๒ เลม สำหรบั เปน พนื ฐานศึกษาธรรมปฏบิ ตั ิ ใชเวลาไมน านในการทำความเขา ใจ ๑. ผูท อี านแลวคดิ วา ดมี ีประโยชน โปรดสงมอบใหแกผ ูอนื ตอ เปรยี บดงั บำเพญ็ ทาน. ๒. สมคั รสมาชกิ ไดทหี อ งหนังสอื และสือ ธรรม. ๓. สนบั สนนุ การจดั พมิ พห นังสือธรรมะเลม นอยตามกำลงั . ๔. เลอื กจดั พิมพหนังสอื ธรรมะเลมนอ ย เพอื เผยแผในวาระตา งๆ เชน วันขึนปใหม, วนั เกิด, งานมงคลสมรส, งานเฉลิมฉลอง, งานบญุ หรืองานฌาปนกจิ ฯลฯ. ธรรมะเลมนอ ย ใกลมือ อันจะชวยใหท ุกคนมพี ระเจา อยใู นตน มพี ระธรรมอยใู นใจ

ร่วมเป็นเจ้าภาพ พมิ พ์ธรรมะเล่มนอ้ ยได้ท่ี หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปญั โญ โทร. ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๐๐

รายชือ่ หนงั สอื ธรรมะเล่มน้อย ๑๒ เล่ม ส�ำหรบั ปี ๒๕๕๖ ประกอบดว้ ย ๑. ธรรมะเผดจ็ การ ๒. ความเป็นไปของจิต ๓. ความเข้าใจถกู เก่ียวกับศาสนา ๔. พุทธบริษัทไม่ต้องใช้ยาระงับประสาท ๕. ธรรมท่ีลูกของพระพุทธเจ้าควรปฏิบัติ ๖. การบวช คือการบังคับตัวเอง ๗. โทษที่เกิดเพราะไม่มีวินัย ๘. อย่าง นั้นเอง ๙. มะพร้าวนาฬิเกร์ ๑๐. ชีวิตโวหาร ๑๑. สติ ๑๒. สนั ทฏิ ฐิโก ๑๒ เลม่ สำ� หรบั ปี ๒๕๕๗ ประกอบด้วย ๑. ธรรมะท�ำไมกัน ๒. แผ่นดินรองรับร่างกาย ธรรมะ รองรับจิตใจ ๓. ส่ิงท่ีเรียกว่ากิเลส ๔. ธรรมคอื สง่ิ จ�ำเปน็ แก่ มนษุ ยส์ ำ� หรบั ปอ้ งกนั และแกไ้ ข ๕. สิ่งซึ่งเป็นอุปกรณ์แก่การ เลิกอายุ ๖. ทุกสิ่งอยู่เหนือปัญหา ๗. รู้จักธรรมะให้ถึงที่สุด ๘. หลักธรรมที่ทุกคนควรทราบ ๙. ธรรมท่ีเป็นเครื่องมือใน การเดินทาง ๑๐. ผลพลอยได้ที่เน่ืองถึงกันและกันในโลก ๑๑. ประโยชน์สงู สดุ ของธรรมะ ๑๒. ธรรมะคือหนา้ ท่ี ๑๒ เล่ม สำ� หรับปี ๒๕๕๘ ประกอบด้วย ๑. ธรรมคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ๒.ชีวิตคู่ ๓. การรู้ อยู่กับรู้ ๔. วนั สงกรานต์ ๕.ชีวิตเป็นงานธรรมศิลป์ ๖. ลักษณะความ หมายและคุณค่าของวันวิสาขบูชา ๗. หัวใจและความลับของ ธรรมจักร ๘. บิดามี มารดามี ๙. ให้ธรรมะกลับมาครองโลก ๑๐. ความไมย่ ดึ มนั่ ๑๑. ลอยประทีป ๑๒. วินัยและคุณธรรม ส�ำหรับพฒั นาตน

บดิ ามี มารดามี โดย พทุ ธทาสภิกขุ ลำ� ดบั ท่ี ๘ ประจ�ำปี ๒๕๕๘ www.life-brary.com

พระธรรมเทศนาในวันทำ� บญุ ตายาย บรรยายเมื่อวันท่ี ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ผู้ถอดค�ำบรรยาย วรวรรณ ยงเกียรตไิ พบูลย์

บดิ ามี มารดามี นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพทุ ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธสั สะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธัสสะ ณ บดั นจี้ ะไดว้ สิ ชั นาพระธรรมเทศนา เพ่ือเป็นเคร่ืองประดับสติปัญญา ส่งเสริม ศรทั ธา –ความเชอ่ื และวริ ยิ ะ –ความพากเพยี ร ๑

ของท่านท้ังหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญ งอกงามกา้ วหนา้ ตามทางแหง่ พระศาสนาของ สมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นท่ีพึ่งของสัตว์ ทง้ั หลาย กวา่ จะยตุ ลิ งดว้ ยเวลา ธรรมเทศนานี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุอภิลักขิตสมัยเนื่องในการบ�ำเพ็ญ ทักษิณาทาน อุทิศแด่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไป แล้ว ซ่ึงเราเรียกกนั ง่ายๆ วา่ “ท�ำบุญตายาย” การกระท�ำใดๆ ที่จะได้มีผลสมบูรณ์เต็มที่ นัน้ ต้องทำ� ด้วยจิตใจคอื ท�ำด้วยความเข้าใจ แล้วก็ท�ำดว้ ยกำ� ลงั ใจท้งั หมดทงั้ สน้ิ ทีแ่ ทจ้ ริง จึงจะได้ผลสมตามน้นั ดังนั้นจึงต้องมีการชี้แจงให้เข้าใจส่ิง นั้น เม่ือเข้าใจแล้วก็คงจะเกิดฉันทะ –ความ พอใจขน้ึ มาเปน็ แนน่ อนในการทจี่ ะกระทำ� เมอื่ ๒

เกดิ ฉนั ทะแลว้ ยอ่ มเกดิ วริ ยิ ะ –ความพากเพยี ร ได้โดยง่าย ก็จะสอดส่องธรรม เอาใจใส่ธรรม ได้ครบถ้วน ตามองค์ธรรมที่ท�ำความส�ำเร็จ ท่ีเรียกว่าอิทธิบาท เป็นต้นน้ัน ดังน้ันจึงมี การกล่าวอยู่เสมอถึงการกระท�ำว่าจะต้องท�ำ อย่างไร เพอื่ ประโยชนอ์ ะไร โดยวิธใี ด เปน็ ตน้ ส�ำหรับการท�ำบุญอุทิศกุศลแก่ บรรพบุรุษอย่างที่ก�ำลังท�ำในวันน้ีน้ัน มีความ มงุ่ หมายหลายอยา่ งหลายประการ แตว่ า่ เราไม่ คอ่ ยรกู้ นั ทกุ ประการ รกู้ นั แตเ่ พยี งบางประการ จึงต้องกล่าวกันบ่อยๆ ให้รู้ยิ่งๆ ขึ้นไปกว่าจะ ครบถ้วนทุกประการ การท�ำบุญอย่างน้ีก็เพ่ือให้นึกถึง บรรพบรุ ษุ โดยเฉพาะบดิ ามารดา ปยู่ า่ ตายาย ทลี่ ว่ งลบั ไปแลว้ เพอื่ ใหเ้ ปน็ คนทม่ี คี วามรสู้ กึ อยู่ ๓

เสมอวา่ “บดิ ามารดาม”ี ถา้ ใครไมม่ คี วามรสู้ กึ ว่าบิดามารดามี หรือถึงกับคิดว่าไม่มี อย่างน้ี มันก็เหมือนกบั สตั วเ์ ดรจั ฉาน ซ่งึ ไมม่ ีความคิด นกึ รสู้ กึ วา่ บดิ ามารดามี เพราะมนั ปลอ่ ยไปตาม ธรรมชาติของสัตว์ผู้ไม่มีสติปัญญา ความรู้สึก จะคิดจะนึก ดังน้ันคนเราที่เป็นมนุษย์จะต้อง มีความรูส้ กึ วา่ บิดามารดามีน้ีอยา่ งหนงึ่ ทีน้ีอีกอย่างหน่ึงก็คือเรื่อง “สัมมา ทิฏฐิ” ที่พระพทุ ธเจา้ ทา่ นได้ตรัสไวโ้ ดยนยั ยะ เปน็ ตน้ วา่ ผเู้ ปน็ สมั มาทฏิ ฐยิ อ่ มจะมคี วามรสู้ กึ หรอื ความเชอ่ื วา่ บญุ บาปมี นรกสวรรคม์ ี บดิ า มารดามี โลกนี้โลกหน้ามี อย่างน้เี ป็นตน้ แต่ความท่ีเราประสงค์ในท่ีน้ีก็คือที่ ว่ามารดาบิดามี จึงจะเรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่รู้ไม่ชี้หรือรู้ว่าไม่มี ถือเสียว่าไม่มีอย่างนี้ ๔

ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ คนท่ีไม่มีความรู้สึกว่าบิดา มารดามีน้ันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ทีน้ีมนุษย์เราท�ำ อย่างไรจงึ จะใหม้ คี วามรูส้ ึกวา่ บิดามารดามี มี อย่างยิ่ง และยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป มนั กต็ อ้ งเอามากระ ทำ� ไวใ้ นใจอย่เู สมอ ตามธรรมดามนั กพ็ อจะรสู้ กึ ไดว้ า่ บดิ า มารดามี เพราะวา่ ลูกเดก็ ๆ มันก็เตบิ โตขึ้นมา ภายใตบ้ ิดามารดาเลี้ยงดู เรียกอยทู่ ุกวัน ก็คดิ ว่าบิดามารดามี โดยความรู้สึกเช่นนั้นได้ แต่ มันไมล่ กึ ซ้งึ มันสกั วา่ ท�ำไปตามความรสู้ กึ ผิวๆ เผินๆ ไม่ได้พิจารณากันดูให้ดีว่าความหมาย ของคำ� วา่ บิดามารดามีน้ันมนั เป็นอยา่ งไร ดังน้ันเราจึงเอามาพิจารณากันโดย ละเอยี ดเปน็ เรอ่ื งๆ ไป ตามโอกาสที่จะอำ� นวย โดยเฉพาะอย่างย่ิงโอกาสท่ีท�ำบุญตายายเช่น ๕

ในวนั นี้ กค็ ือโอกาสพเิ ศษ หรือโอกาสอย่างยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ งมาพจิ ารณากนั ในเรอ่ื งน้ี จงึ ขอใหท้ า่ น ทั้งหลายพิจารณาความหมายของค�ำท่ีว่าบิดา มารดามี บางคนหัวเราะว่าท�ำไมจะต้องพูด ว่าบิดามารดามีเพราะว่าเขารู้อยู่แล้ว คน ที่หัวเราะอย่างน้ันอาจจะรู้จักคุณของบิดา มารดาน้อยไปเสีย เพียงแต่รู้ว่ามี ไม่รู้ให้มาก ไปกวา่ การพดู ดว้ ยปากตามความเคยชนิ เรยี ก พ่อ เรยี กแม่ เรยี กตา เรยี กยาย ความหมายในพระพุทธภาษิตท่ีว่า มารดาบิดามีน้ันก็คือให้ยอมรับ อย่างกับว่า บิดามารดานี้มันเป็นสถาบันอันหน่ึงซึ่งถูก สมมติ ถกู แตง่ ตง้ั ถูกบญั ญัติอะไรก็ตาม ขึ้น ไว้เป็นสถาบันอันหน่ึงท่ีคนจะต้องรับรู้ เป็น ๖

สิ่งท่สี ำ� คญั หรือใหญห่ ลวงหรอื สงู สุด อยา่ งเขาพดู วา่ ประเทศชาตมิ ี ศาสนา มี อะไรๆ มีในลักษณะเช่นนั้น แต่เขาไม่เคย นึกถึงว่าแม้บิดามารดาของคนในโลกก็มี อยู่แล้วในลักษณะเช่นน้ัน คือเป็นสถาบันที่ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ ท่ีสงู สุด ทลี่ บหลไู่ ม่ได้ ท่ีละเลยไมไ่ ด้ เราจะต้องมีความรู้สึกท่ีให้ความหมายแก่ส่ิง เหล่าน้ี คือได้ยินทีไรก็ให้สะดุ้งเข้าไปในจิตใจ ว่าเราได้ประพฤติกระท�ำต่อบิดามารดาอย่าง ถกู ต้องแลว้ หรอื ยงั ตักเตือนตัวเองอยู่เสมอ อย่าให้มี ความบกพร่องในหน้าท่ีที่จะต้องประพฤติ ปฏบิ ตั ิแกผ่ ้ทู ี่เป็นบิดามารดาทงั้ ทยี่ ังอยู่ หรอื ว่าท้ังที่ล่วงลับไปแล้ว แล้วก็เลยขึ้นไปถึง ปู่ตาย่ายายช้ันทวดชั้นชวดอะไรขึ้นไปตาม ๗

ล�ำดับ ในความหมายอย่างเดียวกัน คือใน ความหมายท่ีวา่ ให้ชีวิตเรามา นเ้ี ป็นขอ้ แรก ถา้ บดิ ามารดามไิ ดเ้ กดิ เรามา เรากไ็ ม่ ได้เกดิ มา ไม่ได้มานงั่ อยูอ่ ยา่ งน้ี ไมไ่ ดม้ ีชวี ติ อยู่ ในโลกน้ี เดี๋ยวนี้เพราะท่านเกิดเรามา เราจงึ มี ชีวิตออกมา แล้วมนั ทำ� อะไรตา่ งๆ ไดใ้ นโลกน้ี จึงถือว่าชีวิตของเราได้มาจากบิดามารดา คือ ท่านให้มา จึงมีพระคุณในฐานะเป็นผู้ให้ชีวิต ทเี ดียว ทนี ก้ี ็ดูตอ่ ไปว่าปหู่ รือตา หรือย่าหรือ ยายก็นั่นอย่างไรเล่า ถ้าปู่ตาย่ายายไม่ได้ให้ ชีวิตแก่บิดามารดาของเรา ก็ไม่มีบิดามารดา ของเรา แลว้ เรากไ็ มไ่ ดเ้ กดิ มาอกี เหมอื นกนั ถา้ ไม่มีปู่ชวดย่าชวดเป็นต้น ปู่ตามันก็ไม่มี บิดา มารดากไ็ มม่ ี แล้วเราก็ไม่มี ๘

ฉะน้ันควรจะมองดูในลักษณะที่ว่า บุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ที่ให้ชีวิตหรือให้การเกิด การก�ำเนิดมาเป็นล�ำดับ จึงมาถึงเรา เราอย่า อวดดดี ว้ ยความโง่ คลา้ ยๆ กบั จะพดู วา่ เราเกดิ เองได้ เราเกดิ จากโพรงไมไ้ ด้ ถา้ ไมค่ ดิ อยา่ งนนั้ มันก็ตอ้ งคดิ ถึงผทู้ ใี่ ห้ก�ำเนดิ มา จะได้คดิ ตอ่ ไป วา่ มพี ระคุณมากน้อยอยา่ งไร เมื่อมองเห็นว่าท่านให้ชีวิตเรามา น้ี เปน็ ขอ้ ใหญข่ อ้ แรก กต็ อ้ งนกึ ตอ่ ไปวา่ ทา่ นไดใ้ ห้ อะไรแกเ่ ราอกี ใหแ้ ตช่ วี ติ อยา่ งเดยี วนนั้ มนั เปน็ เรอื่ งหนง่ึ เทา่ น้ัน ทนี ก้ี ็ท่านให้การอบรม เล้ียง ดูรักษาซึ่งแยกออกได้เป็นว่าให้ความเมตตา กรณุ าด้วย ใหว้ ิชาความรดู้ ว้ ย เมตตากรณุ าก็ คือว่ามีความรักเหมือนกับว่าตายแทนลูกก็ได้ ไปดูเอาเองก็แล้วกัน ถ้าคนมันไม่โง่เกินไป ๙

ก็จะเห็นความรักอย่างยิ่งของบิดามารดาที่รัก ลูกน้อยๆ นับแต่คลอดออกมา จนโตขึ้นเป็น ลำ� ดบั ดจู ะไมม่ ใี ครรกั เรามากกวา่ บิดามารดา ดงั นน้ั ในพระบาลจี งึ ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ เปน็ พระพรหมของบตุ ร คอื เปน็ ผสู้ รา้ งเรามาแลว้ ก็ เมตตากรณุ าอยา่ งยง่ิ ใครมนั นกึ วา่ บดิ ามารดา เป็นพระพรหมของบุตร ท้ังที่ข้อความนี้มันมี กล่าวอย่ใู นพระบาลี จะมกี ลา่ วอยูใ่ นพระบาลี หรือไม่ก็ไม่ส�ำคัญ มันส�ำคัญอยู่ที่ความจริง นั้นบิดามารดาเป็นพระพรหมของลูก คือมี เมตตากรุณาเหลือท่จี ะกลา่ วได้แกล่ กู เราจงึ ไดร้ อดชวี ิตยนื ยาวมาได้ ถา้ ว่าคลอดออกมา แล้วไม่มีความรัก ทอดทิ้งเสียเลย มันก็คง ตายแลว้ ไม่ได้มาเป็นเนอ้ื เป็นตัว จะถือว่าบิดามารดาท่านสักว่าคลอด ๑๐

เรามาตามธรรมชาติอย่างนั้นก็ไม่ถูก น่ันพวก คนพาลเขาว่า วา่ บดิ ามารดาคลอดเรามาดว้ ย ความจ�ำใจจ�ำเป็น เพราะท่านอยากจะอะไร ของท่าน น่ีคนพาลมันว่า บิดามารดาย่อม ปรารถนาบุตรท้ังนั้น จนกระท่ังมีให้คลอด ออกมาดว้ ยความปรารถนานั้น แล้วกม็ เี มตตา กรณุ า มคี วามรัก ความท่ีอยากได้บุตรนี่ก็เหมือนกับว่า มันกเ็ ปน็ พระพรหมผู้สร้างบุตร คลอดออกมา แล้วก็เมตตากรุณาเหลือประมาณ นี้ก็เป็นผู้มี เมตตากรณุ าอยา่ งพรหม จงรจู้ กั วา่ บดิ ามารดา เปน็ พรหมของบตุ รอยา่ งนี้ ทีน้ีข้อที่ว่าบิดามารดาให้วิชาความรู้ แก่เรา นี้ก็ดูต่อไปโดยอาศัยพระบาลีที่ว่า ปพุ พาจะรยิ า –บดิ ามารดาเปน็ อาจารยค์ นแรก ๑๑

ของบุตร พูดเท่าน้ีก็น่าจะเข้าใจกันได้แล้วว่า บิดามารดาเป็นอาจารย์คนแรกของบุตร เม่ือ พูดว่าครูบาอาจารย์ก็มักจะนึกถึงกันแต่ครูบา อาจารยท์ ่ีวัด ท่ีโรงเรียน แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบิดา มารดาเปน็ บรู พาจารย์ คอื อาจารยค์ นแรกทสี่ ดุ นับตั้งแต่สอนให้กินเป็น ถ้าลูกเพิ่งคลอดมา ลกู ออ่ นนัน้ มนั ดูดนมไมเ่ ปน็ มนั กินไมเ่ ป็น มนั อะไรไม่เปน็ ก็ตามใจ กส็ อนจนมนั ท�ำได้ หรือว่าสอนให้หัวเราะ ให้พูดจา ให้ อะไรทกุ อยา่ งทต่ี อ้ งสอน และใหด้ ขี นึ้ ทกุ วนั ๆ มี การแกไ้ ขใหด้ ขี นึ้ ทกุ วนั สอนใหพ้ ดู ดี สอนใหท้ ำ� ดี สอนใหเ้ ปน็ เดก็ ดี กอ่ นแตท่ จ่ี ะไปอยโู่ รงเรยี น ตง้ั หลายปี บดิ ามารดาสอนทงั้ นน้ั นน้ั คอื ผทู้ ใ่ี ห้ ความรทู้ วั่ ๆ ไป แตม่ นั ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั กค็ อื วา่ บดิ า ๑๒

มารดาเปน็ ผอู้ บรมนสิ ยั เดก็ ทกุ คนไมไ่ ดม้ อี ะไร เป็นของตนตายตัวมาแต่ในท้อง มาได้รับการ อบรมแวดลอ้ มจากบดิ ามารดาหรอื ผทู้ ำ� หนา้ ที่ แทนบดิ ามารดา ถา้ วา่ บดิ ามารดาทแี่ ทจ้ รงิ ลว่ ง ลบั ไปเสยี กอ่ น กม็ ผี ทู้ ำ� แทน แวดลอ้ มอยทู่ กุ วนั มันกเ็ ปน็ การสอนนิสัย ปลกู ฝงั นสิ ัย ถ้าบิดามารดาเป็นคนพูดหยาบคาย มันก็พูดหยาบคาย ถ้าบิดามารดาพูดไพเราะ มนั ก็พูดไพเราะ ถา้ บิดามารดาเปน็ คนเอื้อเฟอ้ื เผ่ือแผ่ ลูกมันก็เป็นคนเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ บิดา มารดาเป็นคนตรง ลูกมันก็เป็นคนตรง บิดา มารดาเป็นคนมัธยัสถ์ไม่สุรุ่ยสุร่าย ลูกมันก็ เป็นคนมัธยัสถ์ไม่สุรุ่ยสุร่าย น้ีเรียกว่าให้นิสัย ให้อปุ นสิ ยั ให้มีสนั ดานที่ดี นยี้ ิง่ ไปกว่าความรู้ เสยี อกี ๑๓

ควรจะสรุปกันในที่สุดว่าเป็นผู้ให้ ดวงวิญญาณทีม่ ีคา่ ถา้ เด็กคนไหนมันมจี ิตใจ หรือวิญญาณที่ดีท่ีมีค่า ก็ให้รู้เถิดว่ามันได้ มาจากการแวดล้อมของบดิ ามารดาโดยตรง บ้างโดยอ้อมบ้าง โดยอ้อมก็คือการจัดหามา ใหห้ รอื การฝากฝงั ในสำ� นักท่ีมนั ดี เพือ่ ใหช้ ว่ ย กันสร้างดวงวิญญาณให้แก่ลูกคนนั้น น่ีมัน นอกจากวา่ เปน็ อาจารยค์ นแรกแลว้ ยงั เปน็ ผใู้ ห้ ดวงวญิ ญาณอันสูงสดุ มนษุ ยค์ นน้ันมันจึงเป็น มนษุ ยท์ ม่ี โี ชคดี คอื การไดเ้ ปน็ มนษุ ยท์ ด่ี เี พราะ ว่าบิดามารดาเป็นส่วนใหญ่ ช่วยกระท�ำให้ใน เบือ้ งตน้ น่ถี ้าบดิ ามารดามนั เป็นคนโง่ มนั เปน็ อันธพาล มันก็ใส่วิญญาณอันธพาลให้แก่ลูก มัน หรือว่าอย่างน้อยแต่เพียงว่าบิดามารดา ๑๔

มันไม่เอาใจใส่แก่ลูกของมัน ปล่อยให้ลูกของ มนั เตบิ โตไปตามบญุ ตามกรรม มนั กม็ หี วงั ทจี่ ะ เปน็ อนั ธพาลเชน่ เดยี วกนั การมบี ดิ ามารดาจงึ มีความส�ำคัญถึงขนาดท่ีต้องบัญญัติไว้ในพระ ศาสนา ในพระบาลี ในพุทธวจนะ ในบทท่ีว่า ด้วยสัมมาทิฏฐิ ว่าสัมมาทิฏฐิบุคคลน้ันจะมี ความเหน็ มคี วามเชอื่ วา่ บญุ บาปมี นรกสวรรค์ มี บดิ ามารดามี โลกนโี้ ลกหนา้ มี อยา่ งนเ้ี ปน็ ตน้ ขอใหน้ ึกถึงคำ� ว่าบิดามารดามี แล้วก็ ให้เข้าใจว่ามันมีความหมายอย่างไร แล้วเราก็ จะรู้สึกพระคุณอันใหญ่หลวงของมารดาบิดา ก็ของมารดาบิดา ของบิดามารดา ทยอยขึ้น ไปเป็นล�ำดับๆ ท่ีเราเรียกกันว่าบรรพบุรุษ ที่ เรามาประชุมกันในวันน้ีเพื่อบ�ำเพ็ญกุศลอุทิศ ๑๕

แกค่ นเหลา่ นั้น เพ่อื อะไร เพ่ือแสดงออกมาวา่ เปน็ คนกตญั ญคู อื รสู้ งิ่ ทบี่ ดิ ามารดาไดท้ ำ� ใหแ้ ก่ เรา แล้วก็เป็นผู้กตเวทีคือว่ากระท�ำตอบแทน ตอ่ ส่งิ ทบี่ ดิ ามารดาได้กระทำ� แกเ่ รา กตัญญู แปลว่า รู้ กตเวที แปลว่า ท�ำตอบแทน แสดงออกมา ฉะนั้นวันนจี้ งึ ตอ้ ง ท�ำให้ดี ให้ส�ำเร็จประโยชน์ในข้อน้ีด้วยกันทุก คน จึงจะเป็นเหมือนกับการสนองพระคุณ หรือพูดภาษาการค้าก็ว่าใช้หนี้บุญคุณแก่บิดา มารดา น่ีมนั ก็ออกจะไม่น่าฟัง ถ้าเราจะพูดว่าเราจะใช้หนี้แก่บิดา มารดาอยา่ งในวนั น้ี มนั กด็ จู ะเปน็ คนโงอ่ ยมู่ าก ในขอ้ ทว่ี า่ หนพ้ี ระคณุ อนั นม้ี นั ใหญห่ ลวงนกั มนั ไมส่ ามารถจะใช้หมดได้ อย่าอวดดไี ปเลย แต่ ว่าจะสนองพระคุณท่านด้วยจิตใจทั้งหมดท้ัง ๑๖

สิน้ ตามที่จะท�ำได้อย่างไร นก่ี ็จะนา่ ฟงั ฉะนั้นขอให้ตั้งอกต้ังใจกระท�ำให้ดี ทส่ี ดุ ในการทจ่ี ะบำ� เพญ็ กศุ ลในวนั นี้ เพอื่ สนอง พระคุณท่าน โดยเฉพาะบิดามารดาท่ีล่วงลับ ไปแลว้ นัน่ มนั ตอ้ งทำ� ด้วยจติ ใจ ถ้าบิดามารดา ยังมีชีวิตอยู่ ก็สนองด้วยวัตถุหรือการกระท�ำ โดยตรงก็ได้ เอาข้าวเอาน�้ำเอาอะไรไปให้ ประคบประหงม บ�ำรุงบ�ำเรออย่างไรก็ได้ แต่ ถา้ บดิ ามารดาลว่ งลบั ไปแล้วจะท�ำอย่างไร จงึ มเี รอ่ื งทจี่ ะตอ้ งทำ� พเิ ศษออกไป ดว้ ยการกระทำ� ในใจให้ถกู ต้องท่สี ุด ตามที่บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้า เปน็ ตน้ ท่านไดต้ รสั ไวเ้ ปน็ แบบฉบับ อยา่ งบท ว่า นะ หิ รณุ ณัง วา โสโก วา เป็นต้น ว่าเมือ่ ระลึกนึกถึงพระเดชพระคุณของบุคคลผู้ล่วง ๑๗

ลบั ไปแลว้ การรอ้ งไหเ้ ปน็ ตน้ นนั้ ไมม่ ปี ระโยชน์ แลว้ กใ็ หก้ ระทำ� สงิ่ ทคี่ วรกระทำ� ใครจะกระทำ� อย่างไรก็ได้ แต่ว่าในพุทธศาสนาน้ีแนะให้ บ�ำเพ็ญประโยชน์สูงสุด คือบ�ำเพ็ญส่ิงท่ีเป็น ประโยชน์แก่มนษุ ยท์ ง้ั โลกก็แล้วกัน ข้อน้ีต้องรู้จักคิด รู้จักนึก บทท่ีว่า พะลญั จะ ภกิ ขู นะมะนปุ ปะทนิ นงั –การเพ่ิม ก�ำลังให้แก่พระภิกษุสงฆ์ผู้สืบอายุพระศาสนา นั้นต้องฟังให้ดีๆ มันไม่ใช่เพียงแต่เอาข้าวไป ให้พระกิน มันต้องหมายความว่ากระท�ำใน ลักษณะท่ีจะให้พระศาสนาน้ีมันอยู่ได้ เพราะ วา่ ผทู้ ำ� หนา้ ทสี่ บื อายพุ ระศาสนานน้ั อยไู่ ดด้ ว้ ย เหตุด้วยปัจจัยคือภิกษุเป็นต้นนี้ต้องมีปัจจัยสี่ จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ เป็นอยา่ งน้อย จงึ จะมชี วี ติ อยไู่ ดเ้ พอ่ื ประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ บื อายพุ ระ ๑๘

ศาสนา ถา้ ศาสนามอี ยแู่ ลว้ ใครมนั ไดป้ ระโยชน์ กจ็ ะเห็นว่าคนท้งั โลกมนั ไดป้ ระโยชน์ บางคนกห็ ลบั ตาไมม่ องเหน็ วา่ เราทำ� ที่ นม่ี นั จะไดป้ ระโยชนไ์ ปทงั้ โลกอยา่ งไร มปี ญั ญา กันเสียบ้างมันก็จะรู้ว่าถ้าศาสนาน้ันมีอยู่ใน โลกแล้ว บารมีของศาสนามันคุ้มไปทั้งโลก เองยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์มีอยู่ดวง หนึง่ ก็ส่องสวา่ งไปทง้ั โลก ไมเ่ ลือกทร่ี ักไมม่ กั ท่ี ชงั นก้ี เ็ หน็ ๆ กนั อยู่ แตน่ น่ั มนั ไมส่ ำ� คญั อะไรมนั เปน็ เร่อื งทางวัตถทุ างร่างกาย ถ้าเป็นเร่ืองทางจิตใจ เรื่องรู้ดีรู้ช่ัว เรอ่ื งสขุ เรอื่ งทกุ ขเ์ ราจะทำ� อยา่ งไร พระอาทติ ย์ จะช่วยท�ำให้ได้หรือ มันก็ต้องเป็นเรื่องของ วญิ ญาณ ของสง่ิ ท่ีเก่ียวขอ้ งกนั อยกู่ บั เร่อื งของ จติ ใจคือพระธรรมคือพระศาสนา เขามีไวเ้ ป็น ๑๙

หลักกันมาในโลกนานมาแล้ว แล้วก็สืบๆ กัน ไว้ยังคงอยูต่ ่อไป ถา้ คนในโลกมศี าสนาโลกนกี้ ไ็ มล่ ม่ จม ทุกคนมีความสุข รวมท้ังตัวผู้นั้นด้วย ฉะนั้น ช่วยกนั ท�ำใหศ้ าสนามอี ยใู่ นโลกก็แล้วกนั เมือ่ นึกถึงพ่อแม่ที่ตายไปแล้วจะมานั่งร้องไห้อยู่ ก็ไม่มีประโยชน์ จะเอาของมาเผาไฟส่งไปให้ มนั กน็ า่ หวั เราะ ฉะนน้ั กท็ ำ� ใหเ้ ปน็ ความดคี วาม งาม เปน็ บุญเปน็ กศุ ลและอุทศิ ให้ น้ีกเ็ รียกว่า มันจะช่วยบรรเทาความคิดถึง ความท่ีอยาก จะสนองพระคุณเปน็ ตน้ ลงไปได้ ผทู้ ม่ี ปี ญั ญายอดสดุ อยา่ งพระพทุ ธเจา้ ทา่ นแนะวา่ อยา่ งนี้เป็นดที ีส่ ดุ เป็นการกระท�ำ ท่ีสงเคราะห์ผู้ท่ีล่วงลับไปแล้วอย่างสูงสุด เป็นการกระท�ำท่ีสักการะบูชาผู้ที่ล่วงลับไป ๒๐

แลว้ อยา่ งสงู สดุ ทงั้ ยงั ไดป้ ระโยชนอ์ ยา่ งอน่ื อกี มาก เช่น มาพบปะกัน รู้จักกนั สามัคคกี ันใน ระหวา่ งบคุ คลทยี่ งั อยใู่ นโลกน้ี กย็ งั มปี ระโยชน์ อกี มาก เอาแต่เพียงว่าเม่ือนึกถึงบิดามารดา ผู้มีพระคุณทั้งหลายท่ีล่วงลับไปแล้ว แล้วจะ ท�ำอย่างไร มันก็ต้องท�ำความดีอุทิศส่วนกุศล ให้ แล้วกุศลนั้นมันยังวกกลับมาสู่โลกน้ีท้ัง โลก สู่ตัวบุคคลผู้กระท�ำนั้นด้วย คือผู้กระท�ำ นนั้ กไ็ ดบ้ ญุ เปน็ อนั มากดว้ ย ทกุ อยา่ งมนั สำ� เรจ็ ประโยชนก์ นั ไปหมดทง้ั โลกอย่างน้ี เพราะเหตุท่ีบุคคลผู้กระท�ำน้ัน มาระลึกนึกถึงข้อที่บิดามารดามีพระคุณ ใหญ่หลวง การนึกได้อย่างนี้คือค�ำพูดส้ันๆ ที่ ว่ามารดามี บิดามี แล้วก็ยังมีต่อไปไม่ส้ินสุด ๒๑

ถา้ ลกู หลานยงั นกึ คดิ หรอื กระทำ� อยอู่ ยา่ งนแ้ี ลว้ ผทู้ เี่ รยี กวา่ บดิ ามารดาจะยงั คงมอี ยตู่ อ่ ไปไมม่ ที ี่ สิ้นสุด แม้จะล่วงลับไปแล้วหลายสิบชั่วคน หลายรอ้ ยชวั่ คน หลายพนั ชว่ั คนกต็ ามใจเถอะ มันจะยังอยู่ เหมือนกับว่ายังอยู่ท่ีนี่และเด๋ียว น้ี เพราะลูกหลานเอามาท�ำไว้ในใจว่าบิดามี มารดามี ผู้ใหก้ ำ� เนิดแก่เราเป็นทอดๆๆ กนั มา นม้ี นั มี ในวนั น้มี าท�ำในใจอยา่ งนีก้ ันเสียสกั วนั หน่งึ จะดีหรอื ไมด่ กี ็ลองคดิ ดู อาตมาคดิ วา่ ถา้ ไม่ดี บณั ฑติ ทัง้ หลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขก็จะไม่ตรัสไว้ จะ ไม่กล่าวไว้ จะไมแ่ นะไวใ้ นลกั ษณะอย่างนี้ ซงึ่ แนะไว้สั้นท่ีสุดว่า ให้ทุกคนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ นั้นมองให้เห็น และมีความเช่ือว่าบิดามารดา ๒๒

มี เรากม็ าทน่ี ดี่ ว้ ยความเชอ่ื อนั น้ี ในความหมาย อยา่ งนี้ แตบ่ างคนอาจจะไมเ่ ขา้ ใจขอ้ นก้ี ม็ าตาม ประเพณที ที่ ำ� ตามๆ กนั มากย็ งั ได้ แตว่ า่ เมอ่ื มา แลว้ กม็ าทำ� ความเขา้ ใจกนั เสยี อยา่ งทก่ี ำ� ลงั พดู อยนู่ ี่ หรอื วา่ คนแกท่ ง้ั หลาย จงชว่ ยสอนลกู สอนหลานของตนทยี่ งั มชี วี ติ อยใู่ หร้ เู้ รอื่ งน้ี อยา่ สักว่ามาให้หนวกหู หรือมาว่ิงเล่นอย่างเดียว กอ่ นแตจ่ ะพามาจากบา้ น อยา่ งเมอื่ วานนก้ี ต็ อ้ ง เรียกตัวมาพูดกันเสียก่อน ว่าพรุ่งน้ีจะแต่งตัว ให้สวยที่สุด แล้วก็จะไปวัด ก็จะไปท�ำบุญตา ยาย ทำ� บุญตายายท�ำไม กบ็ อกใหม้ นั ร้อู ยา่ งที่ พดู มาแล้วว่าผู้ให้กำ� เนิดชีวิตเรามา จงึ มามฉี ัน และมามแี กเดยี๋ วน้ี พรงุ่ นจ้ี ะตอ้ งไปทำ� บญุ เพอื่ สนองพระคณุ ๒๓

ถา้ ทำ� อยา่ งนกี้ เ็ หมอื นกบั วา่ ฝงั รกราก พชื พนั ธล์ุ งไปแล้วในจติ ใจของเด็ก ใหร้ ู้วา่ บิดา มารดามี คือพระเดชพระคุณของมารดาบิดา น้นั มนั มี แตย่ งั มองไมเ่ หน็ ชดั ไมร่ จู้ กั คดิ จกั นึก อะไรมาก ตอ่ ไปขา้ งหนา้ มนั กจ็ ะมากขนึ้ เพราะ มนั โตขน้ึ ทกุ ปๆี เรากพ็ ดู กบั เขาทกุ ปี เรากช็ แ้ี จง ใหม้ ันละเอียดออกไปทุกปี กระทั่งมาแลว้ ก็มา พดู จากนั ที่วัดอกี มาแนะนำ� สั่งสอนอกี มนั กม็ ี ความรูค้ วามเขา้ ใจเพยี งพอ เพราะมีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดา มารดา ปูย่ ่าตายาย มันก็เป็นลูกอันธพาลไมไ่ ด้ กไ็ มม่ ลี กู อนั ธพาลทที่ ำ� ใหพ้ อ่ แมม่ นั รอ้ นใจ มแี ต่ ลูกท่ีดี ที่ว่างา่ ย ทเ่ี ช่ือฟัง ท่ีบำ� เพ็ญประโยชน์ ก็ไม่เสียทีท่ีว่าได้มีลูกขึ้นมาเป็นลูกมนุษย์ ค�ำ ว่าลูกมนุษย์น้ีก็มีความหมาย ถ้าประพฤติถูก ๒๔

ต้องตามธรรมก็เรียกว่าเป็นลูกมนุษย์ ถ้าไม่มี การประพฤติถูกต้องเป็นธรรม จะเรียกว่าลูก อะไรกไ็ ปรเู้ อาเองกแ็ ล้วกัน ในบางศาสนาก็บัญญัติว่าลูกผู้ชาย เป็นลูกของพระเจ้า ลูกผู้หญิงเป็นลูกของ มนุษย์ อย่างน้ีก็มี โดยเขามอบหมายหน้าท่ี ให้แก่ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ให้ลูกผู้ชายเป็น ลกู ของพระเจา้ กต็ อ้ งรับภาระหนา้ ที่มากกว่า ลูกผู้หญิงท่ีจะเป็นเพียงลูกของมนุษย์ แต่ใน ศาสนาพุทธเราไม่ไดแ้ ยกถึงขนาดนน้ั เอาเปน็ ลูกทดี่ ขี องบิดามารดาด้วยกนั ก็แล้วกัน เพราะ ว่าถึงอย่างไรก็ต้องไปด้วยกันในระหว่างลูก ผู้ชายหรอื ลูกผหู้ ญงิ ก็ตาม ในการทจ่ี ะช่วยกนั สืบสิ่งท่ีเป็นมรดกตกทอดของวงศ์ตระกูลให้ดี ให้เจรญิ ให้งอกงามย่ิงๆ ขึน้ ไป ๒๕

ถ้าท�ำได้อย่างนี้แล้วก็ไม่เสียทีท่ีมีลูก แล้วลูกน้ันก็ไม่เสียทีท่ีได้เกิดมาเป็นลูก ท�ำให้ ทกุ คนไมต่ อ้ งตกนรกคอื ความรอ้ นใจ ตวั พอ่ แม่ ก็ไมต่ อ้ งร้อนใจ ตัวลกู เองก็ไมต่ อ้ งร้อนใจ มนั ก็ ดไี ปหมดอยา่ งนี้ นมี่ นั มมี ลู เหตอุ ยา่ งเดยี วตรงท่ี ว่ามนั มสี ัมมาทฏิ ฐิ รวู้ ่าบิดามารดามี เขาพูดแล้วมันฟังกันไม่ค่อยจะถูก เพราะเขาพูดไว้ย่อเกินไป แต่ว่าทุกคนไป อธิบายขยายความให้ลูกเด็กๆ มันฟังถูกได้ว่า พอ่ แมม่ นั มสี ำ� หรบั ทจี่ ะอบรมลกู ใหด้ ใี หร้ อดตวั ตอ่ ไปได้ ถา้ พอ่ แมไ่ มม่ โี ลกนก้ี ไ็ มม่ ี ไมม่ ใี ครเกดิ มา หรือว่าเกิดมาแล้วไม่อบรมสั่งสอนมันก็ เทา่ กบั พ่อแมไ่ ม่มีเหมือนกนั พ่อแม่ไม่สอนนั้นเป็นค�ำด่าชนิดหน่ึง อย่างร้ายแรงมาก หมายความว่าคนน้ันมัน ๒๖

เลว มันจึงถูกด่าว่าพ่อแม่ไม่สอน เหมือนกับ พ่อแมไ่ มม่ ี ถา้ พอ่ แมไ่ ม่มีมันเปน็ อย่างนนั้ ลกู มนั จะต้องถูกด่าว่าคนพ่อแม่ไม่สอน ฉะนน้ั ขอ ให้ระวังกันทุกคนว่าอย่าให้ลูกของเราถูกคน อ่ืนเขาด่าว่าพ่อแม่มันไม่สอนเลย จงสอนกัน นบั ตง้ั แตว่ า่ ให้รวู้ ่าพ่อแมม่ ี คอื บดิ ามารดามี มี พระคณุ ใหช้ วี ิตมา ใหค้ วามเมตตากรณุ า ให้ วชิ าความรู้ ใหน้ สิ ยั สนั ดานทดี่ ี ใหด้ วงวญิ ญาณ ที่สงู สุด เราจะไมโ่ ทษพอ่ แมบ่ างคนทบี่ กพรอ่ ง มาแล้วแต่หนหลัง แต่ว่าต่อไปข้างหน้าน้ี ควรจะรับผิดชอบอย่ามีความบกพร่องเลย พยายามทำ� ใหถ้ ูกตอ้ งเสียให้หมดให้เตม็ ทดี่ ว้ ย กนั ทกุ คน หนา้ ทข่ี องบดิ ามารดา ปยู่ า่ ตายาย อย่างไรจะต้องท�ำอย่างน้ัน อย่าให้มีความ ๒๗

บกพร่องเลย หน้าท่ีที่ส�ำคัญที่สุดก็คือว่าท�ำ ลูกให้มันเป็นบุตรมนุษย์ คือท�ำกับเป็นบุตร พระเจ้าได้ก็ย่ิงดี แล้วโลกนี้ก็เป็นโลกของ มนุษย์ นา่ อยู่ ถ้ามีคนบกพร่องกันมาก มันก็มีคนท่ี ไม่ใช่เป็นบุตรมนุษย์มันมาก แล้วโลกนี้ก็เป็น โลกของอันธพาล แล้วมันก็ไม่น่าอยู่ เพราะ ฉะนน้ั คดิ เสยี วา่ ชว่ ยกนั ทำ� โลกนใี้ หม้ นั เปน็ โลก ของมนุษยใ์ ห้มันนา่ อยู่กพ็ อแลว้ มันจะไดด้ ี มี ความสขุ กันไดท้ กุ คน ในวันนี้เป็นวันท�ำบุญตายาย ขอให้ นึกถึงความหมายอันน้ีเป็นพิเศษ ว่าเป็นวัน บิดามารดาก็แล้วกัน แล้วก็ท�ำจริงไม่ใช่ท�ำ เลน่ เหมอื นกบั ทเี่ ขาทำ� กนั สนกุ สนาน สรวลเส เฮฮาในโลก เรยี กวา่ วนั ชาตบิ า้ ง วนั เดก็ บา้ ง วนั ๒๘

มารดาบา้ ง วนั อะไรบา้ ง แลว้ กด็ เู หมอื นวา่ เปน็ เรอื่ งเลน่ หวั สนกุ กนั เสยี ทง้ั นนั้ เพราะคนมนั ไม่ จรงิ มนั กเ็ ลยไมท่ ำ� ใหโ้ ลกนดี้ ขี น้ึ มนั ไมไ่ ดแ้ กไ้ ข ให้บา้ นเมอื งดีขึ้น แตถ่ ้าเรามาทำ� กันใหม้ ันจรงิ ใหเ้ ปน็ บดิ ามารดาจรงิ ใหเ้ ปน็ บตุ รทดี่ จี รงิ โลก นีม้ ันก็ต้องดขี นึ้ เป็นแนน่ อน ไม่ทำ� กนั แตป่ าก อาตมาจึงเห็นว่ามาพิจารณากันให้ เป็นพิเศษทุกๆ วัน ที่ท�ำบุญอย่างวันนี้คือ ทำ� บญุ ตายาย มาดกู นั เสยี ใหด้ ใี นขอ้ ทว่ี า่ คนคน หนงึ่ นม้ี นั เปน็ ทงั้ บดิ ามารดาและเปน็ ทงั้ ลกู ทง้ั หลานดว้ ยกม็ ี ถา้ สมมตวิ า่ อายุ ๔๐ ปี มองดขู า้ ง ล่างเราก็เป็นบิดามารดาของเขา มองดูไปขา้ ง บนเราก็เป็นลูกเป็นหลานของท่าน เราก็เลย ต้องท�ำหมด ในฐานะทเี่ ป็นลูก ในฐานะท่ีเป็น บิดามารดา หันไปทางไหนก็ท�ำหน้าท่ีอันนั้น ๒๙

ใหม้ นั ถกู ในทางนน้ั เหลยี วมาขา้ งลา่ งกด็ แู ลลกู เลก็ ๆ ให้ดๆี เหลียวไปขา้ งบนกป็ ฏบิ ัติตอ่ บดิ า มารดาที่แก่ชราแล้วน้ันให้ดี นี้เรียกว่าความ หมายอนั แท้จรงิ ของความเป็นบิดามารดา เราเองกเ็ ปน็ ทง้ั บดิ ามารดาแล้วกเ็ ปน็ ท้ังลกู หลานดว้ ย เมือ่ รู้เรอื่ งนแ้ี ลว้ มันก็ปฏิบตั ิ ได้ตลอดไปทั้งเดือนทั้งปี เดี๋ยวน้ีมันยังรู้ไม่พอ จงึ ตอ้ งมาเรียนเรือ่ งน้ีกนั ที่วัด ในท่ชี ุมนมุ อยา่ ง นี้บ้างเป็นครั้งเป็นคราว อย่างท่ีก�ำลังพูดนี้ก็ พูดได้เสรจ็ หรอื จบในการพดู แต่ในการปฏิบตั ิ น้ันยังไม่จบ ต้องเอาไปปฏิบัติที่บ้านที่เรือน ไปเร่ือยๆ ไปจนตลอดชีวิตให้ตัวเราเป็นพระ พรหมของลูกท่ียังเล็กๆ อยู่พร้อมกันนั้นเราก็ เป็นบุตรท่ีดีของบิดามารดาที่แก่ชราแก่หง่อม แลว้ เรยี กวา่ ทำ� ดที ำ� ถกู ทง้ั สองฝา่ ย เปน็ บญุ เปน็ ๓๐

กศุ ลยงิ่ ขนึ้ ไปทง้ั สองฝา่ ยทง้ั ขา้ งบนและทงั้ ขา้ ง ล่าง อาตมาพดู พกั เดยี วมนั กจ็ บ แตว่ า่ การ ปฏิบัติน้ีเข้าใจว่าปฏิบัติจนตายก็คงจะไม่จบ คือไม่ดีถึงที่สุด ยังมีหละหลวมบกพร่องอะไร อยู่ พูดช่ัวโมงเดียวจบ แต่ว่าปฏิบัติให้ได้ตาม นน้ั ปฏบิ ตั จิ นตายกม็ นั กไ็ มใ่ ครจ่ ะจบ มนั มเี ผลอ ไปบา้ ง อะไรไปบ้าง หรือได้นอ้ ยเกินไปบา้ ง นี่ จึงว่ามาพูดกันปีละครั้งสองครั้ง แต่ว่าปฏิบัติ อยตู่ ลอดเวลาทกุ เดอื นทกุ ปี เรอ่ื งเกย่ี วกบั บดิ า มารดา โดยถือวา่ มนั เป็นรากฐานของทกุ เรอ่ื ง ถา้ จติ ใจดี มคี วามกตญั ญรู บั ผดิ ชอบใน ความเปน็ มนษุ ย์ เปน็ ลกู เปน็ หลานทด่ี ี แลว้ ทกุ อยา่ งมนั จะดหี มดเพราะวา่ ศลี ธรรมทง้ั ปวงมนั ข้ึนอย่กู บั ศีลธรรมรากฐาน โดยเฉพาะในทน่ี ้กี ็ ๓๑

คือความเป็นบุตรที่ดขี องบดิ ามารดา ถ้าท�ำได้ ในขอ้ นี้แลว้ ขอ้ อ่ืนจะทำ� ได้หมด เปน็ ลกู ทดี่ ีของบิดามารดาให้ได้ แล้ว มันก็จะเป็นศิษย์ท่ีดีของครูบาอาจารย์ได้ แล้วเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนก็ได้ เป็นพลเมือง ที่ดีของประเทศชาติก็ได้ เป็นสาวกที่ดีของ พระพุทธเจ้าก็ได้ ถ้ามันตั้งต้นข้ึนมาด้วยการ เป็นบตุ รทดี่ ีของบิดามารดา ฉะน้ันขอให้ทุกคนไปนึกข้อนี้ให้มาก ช่วยอบรมลูกเล็กๆ นี่ให้มันเป็นบุตรท่ีดีของ บดิ ามารดา แลว้ มนั กจ็ ะสงู ขน้ึ มาตามลำ� ดบั เรา เองกเ็ ปน็ บตุ รทดี่ ขี องบดิ ามารดาทแ่ี กช่ ราดว้ ย พร้อมกันไป ทุกอยา่ งเป็นไปเพื่อมนษุ ยท์ งั้ โลก ก็เป็นมนษุ ย์ที่ได้ส่ิงท่ีดีคอื มีโลกท่ีนา่ อยู่ เด๋ียวนี้เราก็รู้สึกมองเห็นกันอยู่ว่า ๓๒

ความระส�่ำระสายเดือดร้อนวุ่นวายมันมีมาก ข้ึนในโลกน้ี ท�ำไมไม่คิดดูต่อไปบ้างว่าเพราะ เหตุอะไร คร้ังแรกก็คงจะคิดกันได้ทุกคนว่า เพราะศีลธรรมมันเส่ือมไป แต่คิดดูต่อไปว่า ท�ำไมศีลธรรมมันจึงเส่ือมไป นี่ตอนน้ีจะตอบ ยากแลว้ เราจะมืดมวั สลัวกนั ไปหมด อาตมาอยากจะแนะใหม้ องวา่ เพราะ ว่ารากฐานของศีลธรรมมันเริ่มเสีย คือว่ามัน ไม่เป็นลูกท่ีดีของบิดามารดา ถ้าทุกคนเป็น ลูกที่ดีของบิดามารดาแล้ว รากฐานของศีล ธรรมมนั ไมเ่ สยี มนั แนน่ แฟน้ มนั่ คง มนั ถกู ตอ้ ง มันบริสุทธ์ิผุดผ่อง เด็กมันก็โตขึ้นมาไม่เป็น อนั ธพาล ถา้ ผใู้ หญท่ กุ คนเดอื ดรอ้ นรำ� คาญเรอ่ื ง โลกมันเต็มไปด้วยอันธพาลแล้ว จงช่วยกัน ๓๓

แก้ไข ช่วยกนั ปราบปราม โดยตดั ต้นไฟมาเสยี แต่แรก คืออบรมลูกของตนให้เป็นลูกที่ดีของ บดิ ามารดาดว้ ยกนั ทกุ คน ไม่เท่าไรมนั กก็ ลาย เปน็ โลกทดี่ อี กี อยา่ งทเ่ี รยี กวา่ นอนหลบั ไมต่ อ้ ง ปิดประตเู รอื น จะนอนตรงไหนก็ได้ ชา้ งมา้ ววั ควายก็ไม่สญู หาย ไม่ถูกขโมยเปน็ ตน้ อย่าไปมัวแต่โทษคนอืน่ มนั ตอ้ งโทษ ตวั เองดว้ ยกนั ทกุ ๆคนวา่ มนั ไดป้ ลอ่ ยกนั คนละนดิ คนละหนอ่ ยเรอ่ื ยๆ มาในเรอ่ื งนี้ จนมคี วามเปน็ อนั ธพาลเขา้ มาสงิ อยใู่ นจติ ใจของลกู ของหลาน มันกม็ ากข้นึ อยา่ ไปหวังวา่ คนอ่ืนจะชว่ ยได้ พูดตรงๆ ว่าอย่าไปหวังว่าการศึกษา ท่ีโรงเรียนมันจะช่วยได้ การศึกษาท่ีโรงเรียน เด๋ียวน้ีมันวิปริตมาก มันไปตามก้นพวกฝร่ัง พวกตะวันตก เปน็ เรอื่ งอันธพาลทางวญิ ญาณ ๓๔

แล้วก็เป็นเหตุให้เกดิ อนั ธพาลดื้อๆ ทอื่ ๆ ออก มา ไม่มบี ดิ ามารดา นี่เราไม่ใช่มาชวนกันด่าพวกฝรั่ง แต่ มาบอกให้รู้ว่าพวกฝรั่งเขาไม่มีค�ำว่ามารดามี บิดามี เหมือนในพระบาลีของพวกพทุ ธบริษทั เขากป็ ลอ่ ยไปตามเรอื่ ง เรามาเนน้ กนั มากทสี่ ดุ ในข้อท่ีว่าบิดามีมารดามี และมีหน้าท่ีต้อง ปฏิบตั ิตอ่ กันอยา่ งน้นั แต่แลว้ ในโรงเรยี นเขาไมส่ อน เพราะ เขาไปจัดการศึกษาตามแบบฝร่ัง ไม่ต้องพูด กนั ถงึ เรอื่ งนี้ ไมต่ อ้ งพดู กนั ถงึ เรอื่ งธรรมะธมั โม เร่ืองการศาสนาอะไรเลย มันก็เหลืออยู่เป็น หน้าทขี่ องเราเองที่จะต้องสอน เมื่อทโี่ รงเรียน เขาไมส่ อนเรากต็ อ้ งสอน ในสมัยโบราณวัดวา อารามหรอื โรงเรยี นเขายงั มีสอนเรอื่ งนม้ี าก ๓๕

เดย๋ี วนเี้ ขาจดั กนั อยา่ งใหม่ เขาไมส่ อน เร่ืองนี้แล้ว ก็เป็นหน้าท่ีของเราจะต้องสอน ดูแลลูกหลานในส่วนด้านจิตใจหรือวิญญาณ สว่ นเรอ่ื งรหู้ นงั สอื หนงั หา ทำ� มาหากนิ นน้ั ไวใ้ ห้ เปน็ เรือ่ งของโรงเรียน มหาวิทยาลยั อะไรเขาก็ สอนกนั ได้ แตเ่ รอ่ื งธรรมะเรอ่ื งศาสนา เรอ่ื งจติ เรือ่ งวิญญาณเขาไมไ่ ด้สอน ถา้ มนั ขาดเรอ่ื งนไี้ ปแลว้ มนั กเ็ ปน็ สงิ่ ท่ี มชี วี ิตชนิดหนึง่ ไมม่ ธี รรมะ ไม่มีศาสนา มนั ก็ เป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดหนึ่งที่มันฉลาดมาก แล้วมันกโ็ กงมาก ก็อันตรายมาก โลกสมัยน้ี มันจงึ มเี รอ่ื งเดอื ดร้อนมากเพราะเหตนุ ี้ เดย๋ี วนม้ี านกึ ถงึ ปยู่ า่ ตายายครงั้ กอ่ นๆ ทล่ี กู หลานสมยั นหี้ าวา่ โง่ ลกู หลานสมยั นม้ี นั หา ว่าปยู่ ่าตายายสมัยโน้นโง่ มนั เองโง่ไมร่ ู้จกั ว่า ๓๖

มันเองก็เกิดมาจากปยู่ ่าตายายท่มี นั หาวา่ โง่ น่ี ข้อหนึง่ แล้ว แตเ่ ราไม่เอาเพียงเทา่ น้ี เราเอาว่า สมยั ปยู่ า่ ตายายเขามอี ะไรเขาถงึ ไมเ่ บยี ดเบยี น ฆา่ ฟนั กนั อยา่ งสตั วป์ า่ เหมอื นเดย๋ี วน้ี นน่ั นะ่ คอื ส่วนดีของปยู่ ่าตายาย เดย๋ี วนกี้ ไ็ ปอา่ นดใู นหนา้ หนงั สอื พมิ พ์ อันธพาลมันก็อยู่ในสถานการศึกษาเล่าเรียน น่ันแหละ ชั้นโรงเรียน ชั้นวิทยาลัย ช้ัน มหาวิทยาลัย ซึ่งแต่ก่อนมันไม่มี น่ีคือความ ผดิ พลาดเกยี่ วกบั เรอ่ื งบดิ ามารดา เรอ่ื งลกู เรอื่ ง หลาน มนั ผดิ พลาดอยา่ งนี้ เดยี๋ วนม้ี าปรบั ทกุ ข์ กันในขอ้ ทีค่ วรปรับทกุ ข์ ว่าบดิ ามารดาจะเฉย อยไู่ มไ่ ดแ้ ล้ว จะต้องพจิ ารณาเรอื่ งนแ้ี ลว้ ช่วยกันตัดต้นไฟแต่ต้นลมอะไร ตัด ต้นไฟท่ีลูกเด็กๆ น่ีให้มันเป็นลูกที่ดีของบิดา ๓๗

มารดา เตรียมไว้ส�ำหรับจะเป็นมนุษย์ที่ดีใน อนาคตขา้ งหนา้ เพราะอนั ธพาลเหล่าน้นั ตาย หมดแล้ว ลกู หลานของเราท่อี บรมไว้ดีมันก็จะ เปน็ มนษุ ยท์ ดี่ อี ยใู่ นโลกนไี้ ด้ นเ่ี รยี กวา่ ตดั ตน้ ไฟ กนั ไวแ้ ตป่ า่ นนี้ แลว้ กม็ ผี ลขา้ งหนา้ ในอกี ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปีกไ็ ด้ นี่มันก็พูดมากไปหน่อย หรืออาจจะ เกินไปหน่อยในเรื่องท�ำบุญตายาย เพราะว่า ได้พูดมาหลายปีแล้วในแง่อ่ืนมุมอ่ืนอย่างอื่น วนั นก้ี พ็ ดู แงน่ ม้ี มุ นี้ วา่ ถา้ ทำ� บญุ ตายายกนั แลว้ ก็ต้องรู้จักบดิ ามารดาใหถ้ ูกต้อง แล้วกร็ ูจ้ ักลูก หลานใหถ้ กู ตอ้ ง รจู้ กั หนา้ ทท่ี จ่ี ะตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ กันนัน้ ใหม้ นั ถกู ตอ้ ง นนั่ แหละจะมบี ดิ ามารดา จรงิ มลี ูกมหี ลานจรงิ ท่ีดีดว้ ยกนั ทุกฝา่ ย ส�ำหรับลูกหลานนั้นไม่มีอะไร ๓๘

นอกจากจะต้องอบรมให้เชื่อฟงั ใหเ้ คารพ ให้ กตัญญู ให้ซ่ือสัตย์ ให้เสียสละต่อบิดามารดา ส่วนบิดามารดาก็มีความรู้ท่ีจะส่ังสอนลูก เอาใจใสใ่ หม้ าก ใหม้ คี วามรผู้ ดิ ชอบชวั่ ดที จี่ ะสง่ั สอนลูก แลว้ กต็ อ้ งมีเมตตากรณุ าให้มาก แลว้ ก็ตอ้ งมีการเสยี สละอย่างเดียวกัน ถ้าขาดการเสียสละแล้วมันเป็นไป ไม่ได้ ถ้าบิดามารดาจะไปมัวสนุกสนานเสีย ปลอ่ ยให้ลกู ไปตามบุญตามกรรม อยา่ งน้ีเรียก วา่ ไมเ่ สียสละ บางทีบดิ ามารดาจะไปกินเหลา้ เมายาเลน่ การพนันเสยี ไมเ่ อาใจใสต่ ่อลกู น้กี ็ เรยี กวา่ บดิ ามารดาไมไ่ ดเ้ สยี สละ เหน็ แตค่ วาม สุขสนุกสนานส่วนตน น้ีมันก็มีอยู่ไม่ใช่ไม่มี บางทีมันอาจจะไปเสียสละในส่ิงท่ีไม่ควรเสีย สละ แลว้ ก็ไมเ่ สยี สละในสิ่งทค่ี วรเสียสละ มนั ๓๙

ก็มีค่าเท่ากับไม่ได้เสียสละ คือไม่มีประโยชน์ อะไรแก่ลูก การทำ� ใหเ้ ดก็ ๆ มคี วามเขา้ ใจถกู ตอ้ ง เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นสิ่งที่ส�ำคัญท่ีสุดในการที่ บิดามารดาจะพงึ กระท�ำตอ่ ลกู หรือจะท�ำตอ่ บิดามารดาของตนย่งิ ข้ึนไปกเ็ หมือนกัน ความ ส�ำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกต้อง หรือท่ีเรียกอีก อยา่ งหนึ่งว่าจติ ทีต่ ั้งไว้ถูกตอ้ ง จะเปน็ การขจดั ปญั หาทง้ั ปวงไดไ้ มว่ า่ ปญั หาอะไร บางทกี เ็ รยี ก ว่าสัมมาทิฏฐิก็มี บางทีก็เรียกว่าปัญญาก็มี เรียกว่าสติปัญญาก็มี มันเร่ืองเดียวกันทั้งนั้น คือมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องในหน้าท่ี ทจ่ี ะต้องกระทำ� นบี่ ดิ ามารดาบางคนวา่ มนั รำ� คาญ ไม่ เอาใจใส่กบั มนั หรอก ลกู เด็กๆ มนั หนวกหู มัน ๔๐

ร�ำคาญ ก็ปล่อยมันไป น้ีก็เรียกว่าไม่เสียสละ แลว้ ลกู เด็กๆ เหลา่ น้ันกไ็ มม่ ีสมั มาทิฏฐเิ กิดข้ึน มาได้ บิดามารดาก็ต้องอดทน มันจะหนวกหู บ้าง จะร�ำคาญบ้าง ก็ต้องพูดจา เข้ามาเลี้ยง ดู ดแู ลเกล้ยี กลอ่ มกบั มนั ให้มันเชอื่ ฟังให้จงได้ และให้มันมคี วามเข้าใจถกู ต้องให้จงได้ นกี้ ย็ ง่ิ เปน็ การทำ� บญุ ทำ� กศุ ล มพี ระเดช พระคณุ เหนอื ลกู เหนอื หลานยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป คนแก่ รจู้ กั เสยี สละอยา่ งนก้ี นั บา้ ง ถา้ อยากมาวดั กพ็ า มาด้วยก็ได้ หรือนั่งพักผ่อนก็เล่นหัวอบรมสั่ง สอนกนั ไปกไ็ ด้ ไม่ใชม่ ันเป็นเรื่องเสยี หายหรอื วา่ เป็นเรือ่ งทำ� ไม่ได้ มนั เป็นเร่อื งทำ� ได้อยู่ดี เด๋ียวน้ีไม่ได้ท�ำก็เพราะไม่รู้ บิดา มารดานี้จะต้องเสียสละมาก นอกจากจะ ท�ำงานเหง่ือไหลไคลย้อย แล้วยังจะต้องเสีย ๔๑

สละทนความร�ำคาญ ที่จะอบรมลูกหลานให้ มีความรู้ในด้านจิตด้านวิญญาณ ชนิดที่ครูที่ โรงเรียนเขาไมอ่ บรมให้ อย่าไปหวังเลยว่าที่โรงเรียนจะ อบรมเรื่องน้ีให้เราจะต้องอบรมเอง ตาม ขนบธรรมเนยี มประเพณที มี่ มี าแลว้ แตโ่ บราณ นน้ั กไ็ ด้ หรอื วา่ ศกึ ษาเพมิ่ เตมิ แกไ้ ขปรบั ปรงุ ให้ ดีย่ิงๆ ขึ้นไปก็ยังได้ ช่วยกันท�ำอย่างน้ีทุกคน ไม่เท่าไรบ้านเมืองจะดีข้ึน โลกน้ีจะดีขึ้น คือ มนุษย์จะเป็นมนุษย์มากข้ึน โลกน้ีมันก็จะน่า อยมู่ ากข้นึ เดี๋ยวน้ีเรียกว่ามันไม่น่าอยู่ย่ิงขึ้น มัน คล้ายกับอยู่ร่วมโลกกับคนบ้ามากข้ึน มันน่า ขยะแขยง มนั ไม่เป็นสุขสนกุ สนานอะไร แลว้ มันก็ไม่มีทางจะท�ำอย่างอ่ืนนอกจากช่วยกัน ๔๒

ทำ� ใหโ้ ลกนี้มันมีคนบ้าน้อยลง นอ้ ยลงจนหมด ไป ใหเ้ หลอื แตค่ นไมบ่ า้ คอื มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ อะไรให้มนั ถกู ต้องตามทมี่ นุษย์ควรจะรู้ แล้วก็ อยกู่ ันเป็นผาสกุ มีความสุขด้วยการชว่ ยเหลอื ซง่ึ กันและกนั ไมเ่ อาเปรียบ ไม่เห็นแกต่ วั นี่เรามาปฏิบัติธรรมสนองคุณตายาย ตายายก็จะยินดี ก็จะให้พรว่าให้ลูกหลานมัน เป็นอยู่กันอย่างถูกต้องอย่างน้ีเถิด เราท�ำใน ใจอย่างนี้กไ็ ด้ จะเรียกวา่ สมมติหรือไม่สมมติก็ สดุ แท้ แตเ่ ราทำ� ในใจอย่างนี้ก็แล้วกนั ว่าวันน้ี เรามาพบตายาย แล้วก็พูดจากนั ในเรื่องน้ี คอื ว่าจะอบรมลกู หลานให้ดี เพ่ือเหน็ แกต่ ายายท่ี ตายไปแลว้ ตายายกจ็ ะวา่ ดี ดี แลว้ กจ็ ะขอบใจ แล้วก็จะให้ศลี ใหพ้ ร แล้วกจ็ ะกลบั ไป นี่ไม่ใช่เร่ืองเล่นตลก ไม่ใช่เร่ืองเล่น ๔๓

ละคร มันเป็นเร่ืองจริงทางจิตใจทางวิญญาณ ถ้าไม่อย่างนั้นผู้ท่ีมีปัญญาก็จะไม่คิดตั้ง ประเพณีอย่างนี้ข้ึนมา ท้ังหมดน้ีเขาต้องการ เพื่อจะผดงุ ศีลธรรมของคนเรา ถา้ เรายงั มกี ารกระทำ� ชนดิ นอ้ี ยู่ อยา่ ง ท�ำบุญตายายเป็นต้นนี้อยู่ แล้วก็รากฐานของ ศีลธรรมมันจะยังดีอยู่ ระบบนี้ทั้งหมดเขาต้ัง ข้ึนมากเ็ พอ่ื วา่ จะผดุงรากฐานของศลี ธรรม ให้ มนุษยใ์ นโลกนมี้ ันมศี ลี ธรรม แล้วกอ็ ยกู่ ันเปน็ ผาสกุ มันเปน็ นิพพานทีน่ ่ีและเดี๋ยวนกี้ ไ็ ด้ คือถ้าไม่มีความทุกข์ความร้อนอะไร ถือวา่ เป็นนิพพานก็แลว้ กัน ไมต่ อ้ งสนุกสนาน อย่างอยู่ในสวรรค์ ในสวรรค์น้ันมันเห็นแก่ ตัวมากเกินไป มันมัวเมาในความเอร็ดอร่อย สนุกสนานมากเกินไป อย่าไปเอากับมันเลย ๔๔


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook