Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore pwaarnaakhuueekhruuenghmaayaehngkhndii (1)

pwaarnaakhuueekhruuenghmaayaehngkhndii (1)

Published by nopawut, 2020-07-23 21:39:44

Description: pwaarnaakhuueekhruuenghmaayaehngkhndii (1)

Search

Read the Text Version

ปเครวอื่ างหรมณายแาห่งคคนอื ดี ธรรมะใกลม้ อื www.dhamma4u.com

ธรรมะเลม นอ ย เปนหนังสือธรรมะขนาดพกพา รายเดือน ๑๒ เลม ๑๒ เดอื น เพือ่ เจรญิ สติและแสวงหาปญญาเบ้อื งตน สำหรบั ผู ไมมีเวลาศกึ ษาเนือ้ หาโดยละเอยี ด สามารถมสี ว นรว มไดโดย ๑. ผูที่อานแลวคิดวาดีมีประโยชน โปรดสงมอบ ใหแกผูอ ืน่ ตอ เปรียบด่ังทานใหท าน ๒. สนับสนุนการจัดพิมพหนังสือธรรมะเลมนอย ตามกำลัง ๓. เลอื กจดั พมิ พห นงั สอื ธรรมะเลม นอ ย เพอ่ื เผยแผ ในวาระตาง ๆ เชน งานวันขึ้นปใหม งานเฉลิมฉลอง งานบุญ งานวนั เกดิ งานสมรส งานศพ ฯลฯ โดยสามารถเลอื กเอาเฉพาะ สว นท่ีเปน ธรรมบรรยายและพิมพบ างสว นเพิ่มเตมิ ได ธรรมะดี ๆ มีตดิ ตวั ไว เพอ่ื เจรญิ สตแิ ละปญญา รว มเปนเจา ภาพ พมิ พธรรมะเลม นอ ยไดที่ หอจดหมายเหตุพทุ ธทาส อนิ ทปญโญ โทร. ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๐๐

เครอ่ื ปงวหามราณยาแหคง่อื คนดี โดย พุทธทาสภิกขุ ล�ำดับที่ ๑๐ ปี ๒๕๕๕ www.dhamma4u.com

ปวารณาคอื เคร่อื งหมายแห่งคนดี พระธรรมเทศนาวนั ออกพรรษา แสดงทโ่ี รงธรรมสวนโมกขพลาราม เมื่อวันพุธท่ี ๒๑ ตลุ าคม ๒๕๐๗

ปวารณา คอื เครอ่ื งหมายแหง่ คนดี นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ุทฺธสฺส ฯ อภวิ าทนสลี สิ สฺ นิจฺจํ วฑุ ฒฺ าปจายโิ น ฯลฯ คารโว จ นิวาโต จ ฯลฯ เอตมฺมงฺคลมุตตฺ มํ สุวโจ จสฺส มุทุ อนติมานี – ติ ธมฺโม สกฺกจฺจํ โส ตพโฺ พ – ติ ณ บัดน้ี จะได้วิสัชชนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเคร่ืองประดับสติปัญญา ส่งเสริม ศรัทธา - ความเชื่อ และวิริยะ - ความ พากเพยี รของทา่ นทงั้ หลายผเู้ ปน็ พทุ ธบรษิ ทั ๑

ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระ ศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็น ท่พี ง่ึ ของสัตว์ทง้ั หลายกวา่ จะยตุ ิลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันน้ีเป็น ธรรมเทศนา เนื่องในวันปวารณา จึงควรจะได้กล่าวถึงใจ ความของกิจกรรมอันน้ี ให้เป็นที่เข้าใจกัน ท่ัวไป และให้ถือเอาประโยชน์ให้ได้โดย สมควรแก่สติปัญญาของตนๆ จะได้ช่ือว่า เป็นธรรมเทศนาโดยอนวุ ัตรแก่กาลเวลาของ พุทธบริษทั โดยเฉพาะ วันเช่นวันน้ี เรียกว่าเป็น วันปวารณา ออกพรรษา การปวารณาน้ี พระพุทธเจ้า ทรงอนุญาตให้กระท�ำปีหนึ่งเพียงวันเดียว คือวันเช่นวันน้ี ซึ่งเป็นวันออกพรรษา ดังท่ี กลา่ วแล้ว ตามธรรมดาทำ� อุโบสถทุกๆ ปกั ษ์ ๒

แต่ปักษ์นี้ให้ท�ำปวารณา เพราะว่าเป็นกิจ ส�ำคัญอันหนึ่ง ซึ่งจะต้องท�ำ เพ่ือประโยชน์ แก่ความต้ังมั่นของคณะสงฆ์ ดังน้ันจึงมีการ ท�ำปวารณากันทั่วไปในวันนี้ แต่ว่าการท�ำ ปวารณานี้มีความหมาย หรือมีใจความ กวา้ ง พอทท่ี กุ คนจะถอื เอาเปน็ ประโยชนไ์ ด้ ไม่เฉพาะแต่พระภิกษุเท่านั้น เพราะฉะน้ัน ควรจะไดศ้ ึกษากันต่อไป ความหมายของค�ำ “ปวารณา” ข้อแรกก็คือ ความหมายของค�ำว่า ปวารณา คนโดยมากมกั จะเขา้ ใจวา่ ปวารณา คือการบอกให้ขอ อนุญาตให้ขอได้ นั่นเป็น เพียงความหมายท่ีไกลออกไป ความหมาย ท่ีใกล้กว่านั้น คือตามตัวหนังสือนั้นแปลว่า การหา้ มตวั เอง การปดิ ปากตวั เอง อยา่ งภกิ ษุ ๓

ปวารณานี้ กค็ อื ปดิ ปากตวั เองไมใ่ หเ้ ถยี ง ใน เมอื่ มใี ครมาวา่ กลา่ ว ตกั เตอื น แนะนำ� สงั่ สอน แตก่ ารปดิ ปากตวั เองนเ้ี ราตอ้ งเปน็ ผบู้ อก แจ้งเขาก่อน ว่าเราขอปวารณาให้ว่ากล่าว ตักเตือนเราได้ จึงจะเป็นการปิดปากตัวเอง ถึงแม้ท่ีสุดแก่การปวารณาด้วยปัจจัยส่ี ที่ ทายกทายกิ า กระทำ� แกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย นนั้ กม็ ี ลักษณะเหมอื นกบั การปดิ ปากตวั เองเหมือน กัน คือเม่ือได้บอกปวารณาปัจจัยส่ีแก่ภิกษุ แล้ว ก็เป็นอันว่าปิดปากตัวเองไม่ให้ปฏิเสธ ไมใ่ หเ้ ถยี ง ไมใ่ หแ้ ยง้ เมอ่ื ภกิ ษนุ นั้ แสดงความ ประสงค์ทีจ่ ะไดป้ ัจจัย ตามท่ีไดป้ วารณานนั้ ถึงแม้การปวารณาอย่างอื่น ก็มีความ หมายอย่างเดียวกันนี้คือ ผู้ปวารณาปิดปาก ตัวเองไม่ให้พูด ไม่ให้เถียง ไม่ให้แย้ง ใน ๔

เมื่อเขาเรียกร้องตามที่เราได้ปวารณาไว้ ดัง นั้น จึง ขอให้ถือเอาความหมายของค�ำว่า ปวารณานวี้ ่า เป็นการปิดปากตัวเอง เร่ืองอื่นๆ น้ัน ไม่ส�ำคัญเท่ากับเร่ือง ปิดปากตัวเอง ในเม่ือมีคนเขามาว่ากล่าว ตักเตอื น ส่ังสอน แนะนำ� ช้ีแจง เราควรจะ เปดิ โอกาสใหค้ นวา่ กลา่ ว ตกั เตอื น แนะนำ� สั่งสอน ชี้แจง ได้เสมอไป นั่นแหละคือ หนทางทจี่ ะใหเ้ กดิ ผลดแี ก่บุคคลน้นั ถ้าเราจะถามว่า ปวารณาคืออะไร? จะ ตอ้ งตอบวา่ คอื การปดิ ปากตวั เอง ไมใ่ หเ้ ถยี ง ไมใ่ หแ้ ยง้ เมอื่ เขาวา่ เขากลา่ ว แนะนำ� สงั่ สอน ดังทก่ี ล่าวแล้ว ๕

เหตุท่ีมกี ารปวารณาเกดิ ขึ้น เหตุใด จึงได้เกิดการกระท�ำที่เรียก ว่าปวารณานี้ขึ้นในโลก และโดยเฉพาะใน หมู่สงฆ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า? ข้อนี้ก็ เน่ืองจากว่า ตามธรรมดาน้ัน คนโดยมากไม่ ยอมใคร ใครกต็ ่างไม่ยอมใคร ความไม่ยอม แก่กันและกันน้ีแหละ ท�ำบุคคลให้ฉิบหาย ท�ำบ้านเมืองให้ฉิบหาย หรือท�ำโลกนี้ให้ ฉิบหาย ในที่สุดเราจะเห็นได้ว่า ความไม่ ยอมด้วยมานะทิฏฐินั้น ท�ำให้เกิดการ ทะเลาะววิ าทกนั เบยี ดเบยี นกนั ไดโ้ ดยงา่ ย ที่สุด เรอื่ งนดิ เดยี วแทๆ้ กข็ ยายออกเปน็ เรอ่ื ง ใหญ่โตไปได้เพราะความไมย่ อม และเมื่อมี ความโกรธแคน้ กนั ขนึ้ แลว้ กม็ คี วามพยาบาท ๖

ยดื ยาวออกไป เมอื่ เกดิ ความระแวงกนั แลว้ ก็ หาทางทจี่ ะทำ� ลายฝา่ ยตรงกนั ขา้ มใหฉ้ บิ หาย เสมอไป ในทส่ี ดุ กม็ คี วามฉบิ หายเกดิ ขนึ้ จรงิ ๆ ในระหว่างบคุ คล ในระหวา่ งบ้านเมอื ง หรือ ว่าทงั้ โลกก็ยังได้ การที่จะรบกันท้ังโลก ก็คงจะต้องเน่ือง มาจากความไม่ยอมอย่างใดอย่างหน่ึงเสมอ ไป เพระว่าถ้ามีการยอมกันเสียในตอนต้น ตอนแรกแล้ว ก็ไม่ก่อชนวนให้เกิดสงคราม ซึ่งขยายลุกลามใหญ่โตไปท่ัวโลกได้ ดังน้ัน กุศลกรรมคือการปวารณาน้ี มันเกิดข้ึน เพราะมูลเหตุ คือความช่ัวร้ายท่ีมีอยู่ในโลก อยา่ งหนง่ึ ไดแ้ ก่ ความไมย่ อมแกก่ นั และกนั ๗

ประโยชนข์ องการปวารณา ถ้าจะถามว่า การปวารณาน้ีเพ่ือ ประโยชน์อะไรต่อไปเล่า? ก็ต้องตอบว่า เพื่อความเจริญของคนในโลกนั่นเอง แต่ ส�ำหรับในธรรมวินัยนี้ มีค�ำกล่าวไว้ชัดเจน แล้วว่า “เอวํ สํวฑฺฒา หิ ตสฺส ภควโต ปริสา” – บริษัทของพระผู้มีพระภาคเจ้า เจรญิ รุ่งเรือ่ งได้ดว้ ยอาการอยา่ งนี้ คอื “ยทิทํ อญฺญฺมญฺญฺวจเนน อญฺญฺมญฺยวฺฏฐฺาปเนน” คอื การวา่ กล่าวซง่ึ กนั และกัน ตักเตอื นซง่ึ กัน และกนั ยงั กนั และกนั ใหอ้ อกจากอาบตั ิ ดงั น้ี เป็นตนั ซึง่ สรปุ ความได้วา่ การทำ� ปวารณา นก้ี เ็ พอื่ ความเจรญิ อนั จะใหเ้ กดิ ขนึ้ จากการ ชว่ ยว่ากลา่ วตักเตือนซง่ึ กนั และกัน ๘

เราจะตอ้ งนกึ ถงึ ขอ้ ทวี่ า่ ถา้ ทกุ คนเกลยี ด กนั แลว้ หวงั รา้ ยตอ่ กนั แลว้ กม็ แี ตค่ วามเสอ่ื ม เสีย ความหายนะโดยท่าเดียว เกิดความ ดูดายขึ้นมาในระหว่างกันและกัน ปล่อยให้ เพอื่ นกนั ทำ� ผดิ เสยี หาย ฉบิ หาย ตายไปอยา่ ง ตอ่ หนา้ ตอ่ ตาก็ได้ เพราะความดูดาย เพราะ ความเกลียด ความไม่หวังดีต่อกันน่ันเอง เนอื่ งมาจากความหวั แขง็ ตอ่ กนั ไมย่ อมตอ่ กนั แต่ถ้ามคี วามหวังดีตอ่ กนั มคี วามยอมแกก่ นั และกนั แลว้ กม็ ที างทจี่ ะชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และ กนั ดว้ ยความรกั ความเอน็ ดู ดงั นน้ั สงิ่ ทเี่ รยี ก ว่า ปวารณาน้ี จึงเป็นปัจจัยส�ำคัญอันหน่ึง ซ่ึงคนทุกคนจะต้องใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ ตนให้มากทสี่ ุดเท่าทจ่ี ะทำ� ได้ ๙

การปฏิบตั ติ ามหลกั ปวารณา ทนี ี้ ถา้ จะถามวา่ จะท�ำโดยวธิ ใี ด? กต็ อ้ ง ตอบวา่ ยอมนัน่ เอง คือยอมใหเ้ ขาตักเตือน เราได้ ทงั้ ผดิ และทง้ั ถกู เขาตกั เตอื นเราอยา่ ง ถกู ต้องน้ใี ครๆ กค็ วรจะยอมได้ แต่ถ้าเขาตกั เตอื นผดิ ตกั เตอื นไมจ่ รงิ นอ้ ยคนนกั ทจ่ี ะยอม กลบั จะดา่ ตอบ ว่าตอบ เสียดสตี อบ อยา่ งน้ี ไม่เปน็ การถูกต้องเลย แม้ว่าเขาจะตักเตือนเราไม่ถูก คือตัก เตือนผิดๆ เราก็ควรยอม คือนิ่งเสียก็แล้ว กัน ไม่ต้องไปท�ำให้เขาเก้อกระดาก เพราะ ไปท�ำใหร้ ขู้ น้ึ มาว่า เขาตักเตอื นผิด อย่างนั้น ไมม่ ปี ระโยชนอ์ ะไรเลย คนนน้ั กอ็ ายและโกรธ เรากไ็ มไ่ ดร้ บั ประโยชนอ์ ะไร แตถ่ า้ เรานง่ิ เสยี ในเม่ือเขาตักเตือนผิดๆ น้นั เร่ืองร้ายๆ เหล่า ๑๐

นนั้ กไ็ มเ่ กดิ และเรากเ็ ปน็ คนมธี รรมะเพมิ่ ขน้ึ อีกต้ังหลายเท่าตัว คืออดทนได้ คือปลงตก หรือยอมไดน้ ัน่ เอง เมอื่ เปน็ ดงั นค้ี วรจะถอื วา่ ทเี่ ขาตกั เตอื น ผิดๆ นั่นย่ิงดีย่ิงมีประโยชน์แก่เรามากกว่า ถูกตักเตือนเสียอีก เลยได้ผลดีทั้งตักเตือน ผดิ และตักเตือนถูก เราจงึ ควรยอมให้เขาตัก เตือน ไม่ว่ามันจะผิดหรือมันจะถูก จะต้อง ยอมไปทง้ั นน้ั นแ่ี หละคอื จะแกน้ สิ ยั กระดา้ ง ทิฏฐิมานะของตัวเองให้อ่อนลง และให้มี โอกาสทจ่ี ะรใู้ นสง่ิ ทย่ี งั ไมร่ ไู้ ดจ้ ากการตกั เตอื น บคุ คลของผอู้ น่ื รวมความว่า การปวารณานั้น คือการ ปดิ ปากตวั เอง การทโี่ ลกฉบิ หาย เพราะความ ไมย่ อมแกก่ นั และกนั และเพอ่ื จะท�ำใหโ้ ลกนี้ ๑๑

มีความเจริญ จึงมีระเบียบให้ตักเตือนซ่ึงกัน และกัน และจะต้องปฏิบัติให้เต็มที่ด้วยการ ยอม ทัง้ ตักเตือนผดิ และตักเตือนถกู ทนี ค้ี ำ� วา่ “ตกั เตอื นซงึ่ กนั และกนั ” นนั้ ยังมีความหมายอะไรบางอย่างพิเศษอยู่บ้าง คิดดูให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า ให้เขาเตือนเรา ดี กวา่ เราเตอื นเขา เขาเตอื นเราไมม่ ที างขาดทนุ เราเตอื นเขาตอ้ งระวงั ใหม้ ากสกั หนอ่ ย พอใจ ให้เขาเตอื นเราดีกวา่ เราเตือนเขา แตเ่ ดย๋ี วนค้ี นเราไมเ่ ปน็ อยา่ งนนั้ เปน็ คน ปากมาก ชอบเตือนคนอ่ืนเสียตะพึด หรือ กลายไปเป็นว่าคนอ่ืน นินทาคนอ่ืน เตลิด เปดิ เปงิ ไปทเี ดยี ว เหน็ ไดว้ า่ มอี ยใู่ นทที่ ว่ั ไปคอื คนปากมาก ดแี ตต่ ักเตือนเขา พูดพร�่ำ ไมม่ ีที่ สน้ิ สดุ พอทเี ขาตกั เตอื นเขา้ นดิ เดยี วเทา่ นน้ั ก็ ๑๒

เปน็ ยักษ์ เป็นมาร เปน็ สัตวเ์ ดยี รจั ฉานขนึ้ มา ทีเดยี ว ดงั นเี้ หน็ ไดว้ า่ คนคนนนั้ ไมม่ ธี รรมะขอ้ ท่ี เรยี กวา่ ปวารณานแี้ ตป่ ระการใด เปน็ คนโงๆ่ เปน็ คนไรก้ ารศกึ ษาอยา่ งโงเ่ ขลาตามธรรมดา น่ีเอง ไม่มองเห็นว่า เขาเตือนเราดีกว่าเรา เตือนเขา น้นั คอื ความโงข่ องคนคนน้นั ที่แท้ กไ็ มม่ คี วามรอู้ ะไรในเรอื่ งน้ี ดแี ตม่ กี เิ ลสจะวา่ คนอ่ืน จะเตือนคนอ่ืนเอาหน้า เท่ียวเตือน คนอื่นให้เขาสรรเสริญว่าตัวเป็นคนเตือนคน อน่ื ได้ อยา่ งนีไ้ มเ่ รยี กว่า เปน็ ผู้ท่ีท�ำถูกในข้อ น้ี คอื ไมม่ ธี รรมะท่ชี อื่ วา่ ปวารณาน้เี ลย ต่อเมื่อมีความหวังดี มีสติปัญญาเพียง พอ มีเจตนาบริสุทธิ์ มีความตั้งใจบริสุทธิ์ แล้วก็พูดไปด้วยความหวังดี นั่นแหละจะ ๑๓

เป็นการกระท�ำท่ีถูกต้อง ให้เขาเตือนเรา มากกวา่ เราเตือนเขาไวเ้ สมอไป มาคดิ ดอู กี ทหี นง่ึ อาจเหน็ ไดว้ า่ แมว้ า่ เรา จะเสนอตัวเขา้ ไปให้เขาเตือน ก็ยังไม่มีความ เสียหายอะไร คือว่าอยู่ๆ เราก็เที่ยวเสนอ ตัวให้เขาช่วยเตือน อย่างนี้ก็ยังไม่เป็นการ เสียหายอะไร ไม่เป็นการกระท�ำที่มากเกิน ไป เพราะวา่ เราทำ� ไปดว้ ยความกลวั ผิด กลวั ความไมร่ ู้ กลวั เขาจะไมก่ ลา้ เตอื น จงึ ไดเ้ สนอ ตวั ใหเ้ ขาเตอื น แต่คนธรรมดาทั่วไปไม่ชอบ ไม่ชอบ ท�ำอย่างนี้ ไม่อยากให้ใครเตือนเสียด้วย ซ�้ำไป แต่ว่าพระภิกษุในพระพุทธศาสนาน้ี พระพทุ ธเจา้ ทา่ นไมย่ อมใหท้ ำ� อยา่ งนนั้ ดงั นนั้ ท่านจึงบังคับให้เสนอตัวให้ผู้อื่นเตือน เช่นที่ ๑๔

พระสงฆท์ ำ� ปวารณาในวนั นี้ เปน็ การเสนอตวั ให้คนอ่ืนเตือนโดยตรงทีเดียว ปรากฏชัดอยู่ ในค�ำปวารณานั้นแล้ว คือพระสงฆ์ปวารณา แก่กันและกันว่า “สงฺฆมฺภนฺเต ปวาเรมิ - ข้าพเจ้าขอปวารณาแด่สงฆ์ ทิฏฺเฐฺน วา สุเตน วา ปรสิ งกฺ าย วา - คอื ถา้ ทา่ นได้เหน็ เองก็ดี ได้ฟังเขาเล่าก็ดี หรือสังเกตดูท่าทาง จะเป็นไปอย่างนั้นก็ดี ว่าข้าพเจ้ามีการท�ำ ผิดท�ำช่ัวอย่างใดแล้ว วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺโน อนุกมฺปํ อุปาทาย - ขอท่านจงว่ากล่าวตัก เตอื น ซ่ึงขา้ พเจ้าโดยอาศยั ความเอ็นดูเปน็ ที่ ตงั้ เถดิ ปสสฺ นโฺ น ปฏกิ กฺ รสิ สฺ ามิ - เมอ่ื ขา้ พเจา้ เหน็ อย่วู า่ เปน็ อย่างนั้น หรือเปน็ อย่างไรแลว้ ข้าพเจ้าก็จะได้ท�ำคืน คือกลับตัวเสียใหม่ให้ ถกู ต้อง ดังนี้ ๑๕

นี่แหละลองพิจารณาดูเถิดว่า พระสงฆ์ ตอ้ งเสนอตวั ใหผ้ อู้ น่ื เตอื น เพราะพระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงบญั ญตั ไิ วว้ า่ ใหท้ ำ� อยา่ งนนั้ และเปดิ ไว้ กวา้ งวา่ ไดเ้ หน็ วา่ ทำ� ไมด่ กี ไ็ ด้ ไดย้ นิ เขาเลา่ วา่ ทำ� ไมด่ กี ไ็ ด้ หรอื ดกู ริ ยิ าทา่ ทางแลว้ นา่ จะเชอ่ื ว่าเป็นคนท�ำไม่ดีก็ได้ ท้ังสามประการนี้เป็น หลกั ฐาน หรอื มนี ้�ำหนกั เพยี งพอแลว้ ทจ่ี ะให้ ผูอ้ ื่นวา่ กลา่ วตกั เตือน การวา่ กลา่ วตกั เตอื นนนั้ ทำ� ไปดว้ ยความ เมตตากรณุ า ดงั นน้ั จงึ ไมม่ ที างทจ่ี ะกระทำ� ผดิ และเมอ่ื ถกู ตกั เตอื นแลว้ กไ็ มเ่ ปน็ คนเถยี ง ไม่ ดอ้ื กระดา้ ง และจะกลบั ตวั ใหม่ คอื ท�ำคนื ใหม่ ดังน้ี ๑๖

น่ีแหละคือ ถ้อยค�ำที่ภิกษุสงฆ์กระท�ำ ปวารณาในวันนี้ และมีความหมายอย่างน้ี เรียกว่าเป็นการเสนอตัวให้เขาเตือน ดังน้ัน พุทธบริษัทควรจะถือเป็นหลักว่า การเสนอ ตัวให้เขาเตือนน้ันไม่เสียหายอะไร มีแต่จะ ได้ คือไมเ่ สยี เกยี รติ หรือไมเ่ สยี ประโยชนอ์ นั ใด มีแต่จะได้ จะได้อะไรบา้ ง ลองคดิ ดกู ็เหน็ วา่ จะมากมายหลายอย่างทเี ดียว การเสนอตัวให้เขาเตือนด้วยความ เมตตากรุณาน้ัน ไม่ต้องถือว่าเป็นการเสีย เกยี รติ เสยี หนา้ อะไร เพราะว่า ถา้ ถอื เกียรติ ถือหน้า อย่างน้ี ก็เป็นเกียรติเป็นหน้า ของ กิเลส ของความโง่ ความหลงท้ังนั้น ไม่ใช่ ความถูกต้อง ดังนั้น จึงถือว่าไมใช่เป็นเรื่อง ๑๗

เสยี เกยี รติ และไม่เสยี หาย คอื ไม่ขาดทนุ ไม่ เสียอะไรไปเพราะเหตุนั้น ผลท่ยี อมได้ ทีน้ีจะได้อะไร? ก็จะเห็นได้ว่า อย่าง น้อยที่สุดก็จะต้องได้ค�ำตักเตือนนั่นเอง ค�ำ ตักเตือนนั้นอาจจะดีที่สุด เหมาะท่ีสุด เป็น ประโยชน์ท่ีสุดก็ได้ หรือว่าอย่างน้อยที่สุด ก็ต้องเป็นค�ำตักเตือนท่ีควรฟังไว้อยู่นั่นเอง ปะเหมาะกเ็ ปน็ คำ� ตกั เตอื นทมี่ คี า่ ทสี่ ดุ ในชวี ติ ของบคุ คลผนู้ น้ั กไ็ ด้ นก้ี เ็ รยี กวา่ เปน็ การไดท้ ด่ี ี เปน็ การได้ทเี่ พยี งพออยแู่ ลว้ ทนี จ้ี ะไดอ้ ะไรอกี ? กจ็ ะมองเหน็ ไดว้ า่ จะ ได้ความรักใคร่เอ็นดูจากผู้น้ัน เพราะว่าการ ที่เราเสนอตัวให้เขาเตือนน้ัน แสดงว่าเรามี ความยอมแก่เขา มีความนับถือเคารพเขา ๑๘

ดังน้นั ผู้นัน้ อยา่ งนอ้ ยกจ็ ะตอ้ งมีความเอน็ ดู เมตตา ปรานี กรุณา ต่อเรา เราก็ได้ความ เมตตา กรณุ า ปรานี คือความเอ็นดนู น้ั จาก ผู้น้ันมาเปน็ ของเรา น้กี ็ยังนบั ว่าเป็นการไดท้ ี่ ดี ทีม่ คี า่ ทีค่ วรจะได้ หรือว่าอย่างน้อยที่สุด ก็ยังจะได้ความ เปน็ กนั เอง ไวใ้ จซง่ึ กนั และกนั หรอื ถา้ หากวา่ เป็นเพ่ือนฝูงกัน อยู่ในฐานะท่ีเสมอกัน ก็จะ ได้ความเป็นกันเอง มีความสนิทสนมกลม เกลียว รักใคร่ ไว้ใจกัน นี่ก็เป็นเรื่องส�ำคัญ เหมือนกนั คนเรา ถา้ ลงไมม่ คี วามเปน็ กนั เองกนั แลว้ มกั จะมองกนั ในแงร่ า้ ยทงั้ นน้ั พอมคี วามเปน็ กนั เองแลว้ กม็ องกันแตใ่ นแง่ดที ้ังน้ัน ดังนัน้ จึงมีความเป็นอยู่ผาสุกได้ตามปกติ ได้ความ ๑๙

เป็นกันเองอยา่ งน้ี ก็เรียกวา่ เปน็ การไดท้ ี่ดี ท่ี ไมน่ ้อยเลย ทนี ี้ พิจารณาดูตอ่ ไปอกี ตอ้ งพจิ ารณาดู ดว้ ยปญั ญาของคนทม่ี ปี ญั ญา กจ็ ะมองเหน็ วา่ เราได้ของวิเศษอะไรชนดิ หนง่ึ มา เปน็ เครอื่ ง กดกเิ ลสของเราใหจ้ มลงไป เปน็ เครอื่ งบบี คน้ั กิเลสของเราใหแ้ ตกกระจายไป หรอื ว่า เป็น เคร่ืองขูดเกลาช�ำระชะล้างกิเลสของเราให้ รอ่ ยหรอไป กิเลสท่ีกล่าวในที่น้ีก็คือ กิเลสที่เรียกว่า ตัวกู-ของกู ที่เป็นเหตุให้ยกหูชูหาง เพราะ ทฏิ ฐมิ านะจดั นน่ั แหละคอื กเิ ลสทนี่ า่ รงั เกยี จ ทีส่ ดุ ถา้ เราพยายามปวารณาใหค้ นอนื่ เตอื น เราอยู่เสมอแล้ว การกระท�ำนั่น มันเป็น การยำ่� ยที ฏิ ฐมิ านะของตนใหน้ อ้ ย ใหเ้ บาบาง ๒๐

ลงไป ดงั นัน้ จึงถือว่า การเสนอตวั ให้เขาเตือน นน้ั ไมเ่ สยี เกยี รติ ไมเ่ สยี หายอะไร แตเ่ รากลบั ไดเ้ ครอ่ื งมอื ทจ่ี ะมากดหวั ตัวกนู ้ี ใหม้ นั จมลง ไป จนกระทั่งสูญหายละลายไป ให้กิเลสคือ มานะทฏิ ฐทิ ก่ี ลมุ้ ขน้ึ มาวา่ ตวั ก-ู ตวั กู อยเู่ สมอ นี้ ถกู บบี คน้ั ถูกขุดราก ถูกท�ำลายให้สูญสนิ้ ไปตามล�ำดับๆ การทีเ่ รายอมให้เขาเตอื น ก็หมายความ ว่า เรายอมแพ้ เราไม่มีทิฏฐิมานะ จะถือตัว ถือตนอยู่ และเม่ือเขาเตือน เราก็ไม่เถียง น่ี แหละ คือการทกี่ เิ ลสช่ือน้ี ถูกกดหัวใหจ้ มลง ไปและให้ตายเสยี ในท่ีสุด นบั วา่ เป็นการไดท้ ่ี ดที ส่ี ดุ ที่สูงสดุ คอื เป็นการได้บรรลุ มรรค ผล นพิ พานนัน่ เอง ๒๑

จงึ สรปุ ความวา่ การปวารณาใหเ้ ขาเตอื น นน้ั ไมม่ ที างเสยี เกยี รติ ไมม่ ที างเสยี หายอะไร ทตี่ รงไหน มแี ตจ่ ะได้ สงิ่ ทป่ี ระเสรฐิ วเิ ศษทส่ี ดุ ดงั ทกี่ ลา่ วมาแลว้ ซง่ึ สรปุ ความไดว้ า่ เราจะได้ ค�ำตกั เตอื นทด่ี ี และอาจดถี ึงทสี่ ุดในชีวติ ของ เราก็ได้ เราจะได้ความเอ็นดู เมตตา ปรานี จากผนู้ น้ั เราจะไดค้ วามเปน็ กนั เองรกั ใคร่ ไว้ วางใจ ซ่ึงกนั และกนั จากผนู้ ัน้ แต่ว่าท่ีดที ี่สุด นั้น เราจะได้เคร่ืองมือที่จะมาท�ำลายกิเลส อันช่ือว่าตัวกูน้ัน ให้ร่อยหรอไปตามล�ำดับ นี่แหละจึงนับว่าเป็นการได้ที่ดี ท�ำให้มีสิ่งที่ เรียกว่าพรส่ีประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ดังท่ีมีปรากฏอยู่ในค�ำอนุโมทนาทาน ของภิกษุทั้งหลายว่า อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วฑุ ฺฒาปจายิโน จตตฺ าโร ธมมฺ า วฑฺฒนตฺ ิ อายุ ๒๒

วณฺโณ สุขํ พลํ ซึ่งแปลว่า ธรรมทั้งหลายสี่ ประการคอื อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ จะเจรญิ งอกงามแกบ่ คุ คลทม่ี ปี กตอิ อ่ นนอ้ มอยเู่ ปน็ นจิ ต่อบคุ คลทีค่ วรอ่อนน้อม ข้อน้ีเราจะต้องเข้าใจ หรือเห็นชัดกันที เดยี ววา่ คนทอี่ อ่ นนอ้ มนนั้ กค็ อื คนทยี่ อม และ คนที่ยอมน้ี จะต้องฝึกตนด้วยการปวารณา ใหเ้ ขาว่ากล่าวตกั เตือนได้ ที่เราเข้าไปอ่อนน้อมต่อบุคคลที่เจริญ กวา่ ตอ่ บคุ คลทคี่ วรกราบไหวน้ นั้ ไมใ่ ชก่ ราบ ไหวเ้ ฉยๆ หรอื ออ่ นนอ้ มเฉยๆ แตไ่ ปออ่ นนอ้ ม กราบไหว้เพ่ือให้เขาเอ็นดู ให้เขาพูดจากะ เรา ให้เขาตักเตือนเรา เราก็ได้รับแสงสว่าง มา เพราะการอ่อนนอ้ มน้ัน มนั ทำ� ลายกเิ ลส ตัณหา ที่เป็นเหตุให้ดื้อกระด้าง มานะทิฏฐิ ๒๓

เราจึงกลายเป็นคนที่น่ารัก น่าเอ็นดู ดังน้ัน จงึ เจรญิ ดว้ ยธรรมะสปี่ ระการคอื อายุ วรรณะ สุขะ พละ ดังท่ีกลา่ วแล้ว อานิสงสข์ องความเปน็ ผู้ยอม ในแงข่ องมงคล ถา้ จะกลา่ วกนั ในแงข่ องความเปน็ มงคล ทา่ นกว็ ่าเป็นมงคลชัน้ สูงสดุ ดงั บาลีในมงคล สูตรว่า “คารโว จ นิวาโต จ เอตมฺมงฺคล- มตุ ตฺ ม”ํ ในบรรดามงคลทง้ั หลาย ๓๘ ประการ นั้น มีมงคลสองอย่างช่ือว่า คารโว และ นวิ าโต คารโวแปลวา่ ความเคารพ นวิ าโตแปลวา่ ความออ่ นนอ้ ม นวิ าโตตามตวั หนงั สอื แปลวา่ ไมพ่ องลม ๒๔

คนเยอ่ หยง่ิ จองหอง อวดดนี นั้ เขาเรยี ก ว่าคนพองลม เหมือนกับสูบลมใส่เข้าไว้ไม่ ยอมใคร ส่วนนิวาโตน้ัน คือเอาลมออกเสีย มนั กแ็ ฟบตำ�่ ลงมา คอื ยอมใครทกุ คนทกุ อยา่ ง หมดน่ันเอง นิวาโต แปลว่าความอ่อนน้อม คู่กันกับความเคารพ ถ้าไม่อ่อนน้อมแล้วก็ เคารพใครไมไ่ ด้ ถ้าเคารพใครได้ก็แปลว่ามีความ อ่อนนอ้ ม ไม่พองลม เปน็ มงคลสูงสุด เพราะ ว่าได้รับความรักใคร่ เอ็นดู เมตตา ปรานี รอบด้าน และว่าความไม่พองลมนั้น มันก็ คือการท�ำลายกิเลสที่เรียกว่าทิฏฐิมานะอยู่ ในตัวเองแล้ว เป็นทางให้เจริญงอกงามไปสู่ มรรค ผล นพิ พานได้ ในทางโลกนกี้ เ็ ปน็ มงคล เพราะมีคนรักใคร่ เอ็นดู เมตตา ปรานี ใน ๒๕

ทางธรรมะก็เป็นมงคลเพราะว่าเป็นไปเพ่ือ ท�ำลายกิเลสให้เป็นผู้มีความสุข เนื่องจาก ความไม่มีกิเลสน้ัน ค�ำกล่าวน้ียังเห็นได้ จากพระบาลีกรณียเมตตสูตร สืบไปอีกว่า “สวุ โจ จสสฺ มทุ ิ อนตมิ านี” ดังนี้เปน็ ต้น พระสูตรนี้ มีใจความแสดงลักษณะของ บุคคลที่จะเปน็ พระโสดาบัน นับตัง้ ตน้ แต่ว่า สกฺโก อชุ ู สหุ ชุ ู- มีความองอาจ มีความตรง และอะไรอีกหลายอย่างแล้วก็รวมค�ำว่า สุวโจ จสสฺ มุทุ อนติมานี เขา้ ไวด้ ว้ ย เปน็ องค์ คณุ สมบัติของผูท้ เี่ ป็นพระโสดาบัน สุวโจแปลว่าเป็นผู้ว่าง่าย มุทุ แปลว่าผู้ อ่อนโยน อนติมานีแปลว่าผู้ไม่แข็งกระด้าง สวุ โจ - เป็นผวู้ ่างา่ ย หมายความวา่ มใี ครตัก ๒๖

เตือนได้น่ันเอง ใครก็ตักเตือนได้ แม้แต่เด็ก เลก็ ๆ จะมาตกั เตอื น เขากไ็ มโ่ กรธ แมว้ า่ คนท่ี โงก่ วา่ ต�่ำกวา่ มาตักเตือนเขาก็ไม่โกรธ ยินดี รับฟังเอาไปคิดไปนึก อย่างนี้เรียกว่า สุวโจ แปลวา่ ผวู้ า่ งา่ ย มทุ ุ แปลวา่ ผมู้ คี วามออ่ นโยน นหี่ มายความวา่ มคี วามออ่ นโยนแกท่ กุ คน ไม่ แสดงตนเป็นผู้พองลมเหมือนที่กล่าวมาแล้ว อนตมิ านี ไม่มคี วามกระดา้ งด้วยมานะทิฏฐิ ทงั้ หมดนี้ ทง้ั สามค�ำนี้ จะเป็นได้วา่ มัน เรื่องเนื่องกันไปทีเดียว เพราะเป็นคนอ่อน โยนจงึ ว่างา่ ย และไม่กระดา้ งหรอื เพราะเปน็ ผู้ไม่กระด้าง จึงอ่อนโยนและว่าง่าย หรือ เพราะว่าง่ายก็ย่อมแสดงว่าอ่อนโยนและไม่ กระด้างอยูแ่ ลว้ ๒๗

น่ีแหละ ลองคิดดูเถอะว่า พุทธภาษิต น้ีได้ย้�ำความข้อน้ีด้วยถ้อยค�ำถึงสามค�ำ คือ สุวโจ คำ� หนึ่ง มทุ ุ ค�ำหน่ึง อนติมานี ค�ำหนึ่ง ล้วนแต่มีความหมายเหมือนๆ กันทั้งน้ัน เป็นการแสดงให้เห็นว่า พระพุทธองค์ทรง เห็นว่า ธรรมะข้อน้ีส�ำคัญมาก จึงได้ตรัสไว้ อย่างนี้ เพื่อความเป็นผู้ที่ใครๆ ว่ากล่าวได้ นั่นเอง จึงควรจะสนใจกันให้มาก สำ� หรับผู้ ทต่ี อ้ งการจะกา้ วหนา้ ไปในทางของธรรมะนนั้ พึงรู้ไว้เถิดว่า ความเป็นผู้ว่าง่าย ความ เป็นผู้มีความอ่อนโยน และความเป็นผู้ไม่ กระด้างด้วยทิฏฐิมานะน้ี เป็นคุณสมบัติ ของพระโสดาบัน ถ้าเราเคารพนับถือพระ อรยิ บคุ คล แม้ขั้นต้นท่เี รียกวา่ พระโสดาบัน แล้ว ก็จงทราบไว้เถิดว่า บุคคลเหล่านั้นมี ๒๘

ความว่าง่าย สอนง่าย อ่อนโยน ไม่กระด้าง ด้วยมานะทิฏฐิ เป็นผู้ที่ใครๆ ว่ากล่าวตัก เตือนได้ ไม่โกรธ ไม่ส่งเสียงแสดงความไม่ พอใจแม้แตป่ ระการใด คนธรรมดาใครไปทักเข้าก็ส่งเสียงฟู่ๆ เหมือนสัตว์เดรัจฉาน เช่นงู เช่นลูกแมว เป็นต้น เพราะมีการไม่ยอม มีการต่อสู้ เขา ก็ยังจะโกรธประทุษร้ายเอาอีก น่ีแหละคือ ปุถุชนคนหนา คนพาล คนโง่ คนเขลา ยัง ห่างไกลจากความเป็นพระโสดาบันมากหรือ น้อยเพียงไร ลองคิดดูก็แล้วกัน บางทีก็อยู่ ในเพศที่บวชเป็นพระ เป็นเณร เป็นชี เป็น อุบาสก อุบาสิกา เรียกตัวเองว่าพุทธบริษัท แต่แล้วก็ยังเป็นผู้ที่ใครๆ ว่ากล่าวตักเตือน ไม่ได้ ร้องตวาดแหวๆ อยู่ทั่วไปในที่ทุกหน ๒๙

ทุกแหง่ อยา่ งน้มี นั ยังไกลตอ่ ความหมายของ ธรรมะขอ้ ทเ่ี รยี กวา่ ปวารณานมี่ ากเกนิ ไป ขอ ให้ไปคิดดูกันเสียใหม่ อย่าให้ความหวังของ พระพุทธองค์เป็นหมันในข้อน้ีเลย คือข้อที่ พระพทุ ธองคท์ รงหวงั วา่ พทุ ธบรษิ ทั ทง้ั หลาย จะเป็นผู้ยอมให้แก่กันและกันเป็นผู้ว่ากล่าว ซึ่งกันและกันได้ ยังกันและกันให้ออกจาก โทษคือออกจากความชัว่ ได้ ทำ� หมู่คณะนี้ให้ เจรญิ งอกงามกา้ วหนา้ สงู ขนึ้ ไปตามลำ� ดบั จน กระทง่ั เปน็ พระอรยิ บคุ คลในขน้ั พระโสดาบนั เพราะละ มานะ ทฏิ ฐิ ขอ้ นี้ได้ ทีน้ียังมีพระพุทธภาษิตท่ีน่านึกอีกข้อ หนึ่ง เป็นเรื่องท่ีเกี่ยวกับเด็กๆ มีปัญหา เกิดขึ้นว่า บุตรชนิดไหนเป็นบุตรที่ดีท่ีสุด ประเสริฐท่ีสุด? มีผู้ออกความเห็นต่างๆ ๓๐

กันว่า บุตรท่ีฉลาดบ้าง บุตรที่เก่งกว่าบิดา มารดาบ้าง หรือเก่งเหมือนบิดามารดาบ้าง แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ในบุตรทั้งหมด นัน้ “โส จ เสฏโฺ  ว ปตุ ตฺ า นํ โย จ ปตุ ตฺ า- นมสฺสโว” คือว่าในบรรดาบุตรทั้งหลายน้ัน บุตรท่ีเชื่อฟังบิดามารดาเป็นบุตรที่ประเสริฐ ทสี่ ดุ ขอใหค้ ดิ ดเู ถดิ วา่ ทำ� ไมพระพทุ ธเจา้ ทา่ น จงึ ตรสั อยา่ งน้ี ไมก่ ลา่ วเหมอื นกบั คนอน่ื กลา่ ว กันท่ัวๆ ไปว่า ลูกท่ีน่ารัก น่าเอ็นดู เฉลียว ฉลาด ท�ำอะไรได้เก่งนั้น เป็นลูกท่ีประเสริฐ ที่สุด แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุตรที่เชื่อฟัง เป็นบุตรท่ีประเสรฐิ ท่สี ดุ ๓๑

ข้อนี้หมายความว่า ลูกที่เชื่อฟังน้ัน มี ช่องทางท่ีจะดีได้อย่างทุกประการ ไม่ว่า ความดอี ยา่ งไหนหมด คอื เปน็ ลกู ทมี่ สี ริ มิ งคล อยูใ่ นตัวเอง เพราะวา่ เมอื่ เชอื่ ฟังแลว้ กม็ คี น เมตตาเอน็ ดู รกั ใครก่ นั รอบดา้ น มคี นจะชว่ ย แนะน�ำสั่งสอนสงเคราะห์กันรอบด้าน และ เขาก็รับเอาไปหมด เพราะความเป็นผู้ไม่ด้ือ ไม่กระด้าง ดังนั้น เขาก็ต้องดี ต้องเก่ง ต้อง ประเสริฐไปทกุ สิง่ ทกุ อย่างเป็นธรรมดา นี้เรียกว่า เป็นความหมายท่ีดีท่ีสุดแล้ว ของค�ำว่า “ความเป็นผู้ท่ีใครๆ ว่ากล่าว ตักเตือนได้” ซึ่งเป็นความหมายอันแท้จริง ของค�ำว่าปวารณาน่ันเอง คนน้ีกลับเป็นคน วเิ ศษตรงทว่ี า่ ไมต่ อ้ งปวารณา ไมต่ อ้ งสญั ญา ให้ผูกมัดตัวเอง ก็ยังเป็นผู้ท่ีไม่เถียง ไม่ดื้อ ๓๒

ปิดปากตัวเองโดยไม่ต้องมีการสัญญากัน เรยี กวา่ เกง่ กวา่ คนทตี่ อ้ งทำ� สญั ญาปดิ ปากตวั เองเป็นไหนๆ ถ้าคิดดูให้ดีแล้ว เราจะเห็นว่าความว่า นอนสอนง่ายของใครก็ตาม นั้นเป็นทางมา แหง่ ความเจรญิ ความดี ความประเสรฐิ ทุก อย่างทุกประการ ดังนี้ ควรจะได้ก�ำหนดไว้ ในฐานะเปน็ ทางมาแหง่ สริ มิ งคล หรอื สวสั ด-ิ มงคลอย่างยงิ่ และถ้าไม่มที างท่ีจะท�ำไดโ้ ดย วิธีอื่นแล้ว ก็จงท�ำโดยวิธีเสนอตัว ให้เขาว่า กลา่ วตกั เตอื น โดยไมต่ อ้ งนกึ กระดากละอาย แต่ประการใด คอ่ ยๆ แก้นสิ ัยทกี่ ระด้างด้วย มานะนั้นให้หายไป ก็จะกลายเป็นผู้มีความ ว่าง่ายสอนง่าย มีความอ่อนโยน มีความไม่ กระดา้ งดว้ ยทฏิ ฐิ มานะ ดังท่ีกล่าวแลว้ ๓๓

ความว่างา่ ย ทำ� ให้มีท่พี งึ่ ในที่ทั่วๆ ไป เราควรจะพิจารณากัน ให้กว้างออกไปว่า ความเป็นผู้ว่าง่ายสอน ง่ายน้ี ท่านจัดไว้ในฐานะเป็นคุณธรรมพิเศษ อีกมากมายหลายอย่างหลายประการ ใน หมวดธรรมท่ีเรียกว่า นาถกรณ นั้น ก็ค�ำว่า “โสวจสสฺ ตา” ไวด้ ว้ ย คำ� วา่ โสวจสั สตา แปล ความเปน็ ผวู้ า่ งา่ ยสอนงา่ ย ความเปน็ ผวู้ า่ งา่ ย สอนงา่ ยนี้ เรียกวา่ นาถกรณธรรม นาถกรณธรรมน้ี แปลว่าธรรมทจี่ ะท�ำท่ี พง่ึ ใหแ้ กบ่ คุ คลนัน้ ธรรมะหลายๆ อย่างล้วน แตท่ ำ� ทพี่ งึ่ ใหแ้ กบ่ คุ คลนนั้ แตว่ า่ มธี รรมชอื่ วา่ โสวจสฺสตา รวมอยูด่ ้วย ๓๔

โสวจสฺสตา คือ ความเป็นผู้ว่าง่ายสอน งา่ ย นจี้ ะเปน็ ทพี่ งึ่ ใหแ้ กบ่ คุ คลนนั้ ไดอ้ ยา่ งไร? กอ็ าจเหน็ ไดด้ งั ขอ้ ความทไี่ ดก้ ลา่ วมาแลว้ ขา้ ง ต้น วา่ เม่อื เราเปน็ ผวู้ า่ งา่ ยสอนง่ายแลว้ จะมี แตค่ นรกั มแี ตค่ นเอน็ ดู มแี ตค่ นเมตตา ปรานี ไมม่ ีใครดดู ายแก่เราเลย ดังน้นั เราจงึ ได้ทีพ่ ่งึ รอบด้าน จึงจัดความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย นี้ไว้ในฐานะเป็นนาถกรณธรรมข้อหนึ่ง ใน บรรดานาถกรณธรรมหลายๆ ขอ้ ด้วยกัน ความอ่อนนอ้ มเปน็ บญุ ญกิริยาวัตถุ ในที่อ่ืน เรียกความเป็นผู้อ่อนน้อมว่า ง่ายสอนง่ายน้ี ว่าเป็นบุญญกิริยาวัตถุ คือ ว่าเป็นวัตถุท่ีให้เกิดบุญด้วยเหมือนกัน เรียก ว่า อปจายนมัยบุญกิริยา หมายความว่าเรา ท�ำบญุ ให้เกดิ ข้ึนมาไดด้ ้วยการอ่อนนอ้ มถ่อม ๓๕

ตน หรือว่าการอ่อนน้อมถ่อมตนน้ันเป็นบุญ อยูใ่ นตัวเองอย่างหนึง่ ก็ได้เหมอื นกนั และยงั เป็นทางใหเ้ กดิ บุญอย่างอื่นอกี มากมาย ความออ่ นนอ้ มถอ่ มตนนน้ั เปน็ บญุ อยใู่ น ตัวมันเองแล้วอย่างไร? ลองคิดดูก็จะเห็นได้ วา่ ความออ่ นนอ้ มน้ัน ทำ� ให้สบายใจ ทำ� ให้มี ความสขุ อมิ่ อกอม่ิ ใจอยไู่ ดใ้ นตวั แลว้ นน่ั เปน็ บญุ อยูใ่ นตวั ความออ่ นนอ้ มนน้ั แล้ว ทนี ค้ี วามออ่ นนอ้ มจะนำ� มาซง่ึ บญุ อน่ื อกี เป็นอันมาก ก็คือว่า จะเป็นทางให้ได้รับค�ำ แนะน�ำชี้แจง ตักเตือน ว่ากล่าว จากบุคคล อน่ื อกี รอบดา้ น ให้รู้จกั ใหท้ าน ให้รู้จกั รกั ษา ศีล ให้รู้จักเจริญเมตตาภาวนา ให้รูจักท�ำ อะไรอีกมากมายหลายอย่าง ซึ่งล้วนแต่เป็น บุญทั้งนั้น เพราะฉะน้ันจึงกล่าวได้ว่าความ ๓๖

อ่อนน้อมถ่อมตนน้ัน จะดึงเอาบุญจากท่ีอื่น มาอกี เปน็ อนั มาก คอื เปน็ เครอ่ื งมอื ใหเ้ กดิ บญุ อกี เปน็ อนั มาก ตวั เองกเ็ ปน็ บญุ ดว้ ย อยใู่ นตวั ด้วย แล้วยังเป็นเครื่องมือดึงมาซ่ึงบุญอ่ืนๆ อกี มากมายหลายอย่างด้วย ควรจะสนใจกนั ใหม้ ากในข้อน้ี คนเราถา้ ไมม่ คี วามออ่ นนอ้ มถอ่ มตน คอื มคี วามกระดา้ งเสยี แลว้ มนั กเ็ ทา่ กบั ปดิ ประตู บุญเสียทุกหนทุกแห่ง ไม่ให้หลั่งไหลเข้ามา สู่ตน นับว่าเป็นการเสียโดยไม่ควรจะเสีย เป็นการเสียด้วยอ�ำนาจความโง่ของบุคคลผู้ นนั้ เองโดยแท้ เม่ือบุคคลใดต้องการด้วยบุญแล้ว จง พยายามอ่อนน้อมถ่อมตนให้เป็นพ้ืนฐานไว้ จะเป็นการขูดเกลากิเลส ที่เป็นเหตุให้ยกหู ๓๗

ชูหางน้ันด้วย จะเป็นทางให้ได้รับคำ� แนะน�ำ สั่งสอน และการประพฤติปฏิบัติอย่างอื่นๆ อีกมากมายจากบุคคลที่รักใคร่เอ็นดูด้วย เรยี กวา่ มแี ตค่ วามดโี ดยสว่ นเดียว ทั้งหมดเท่าที่กล่าวมาน้ี ท่านท้ังหลาย ลองพจิ ารณาดตู งั้ แตต่ น้ จนปลายเถดิ จะเหน็ ว่า ความเป็นผู้ท่ีคนอื่นว่ากล่าวได้ ตักเตือน ได้นี้ มีความส�ำคัญอยา่ งไร มนั มคี วามส�ำคญั มากน้อยอย่างไร จึงถึงกับพระพุทธเจ้าต้อง ทรงบญั ญตั เิ ปน็ ระเบยี บข้ึนไว้อนั หนึง่ บังคบั ใหภ้ กิ ษทุ งั้ หลายทำ� ปวารณา อนั มคี วามหมาย ท่ีจะให้เป็นผู้ท่ีบุคคลอ่ืนว่ากล่าวตักเตือนได้ สั่งสอนได้ นน่ั เอง ๓๘

ปวารณามีคณุ ค่าอย่างยง่ิ แกม่ นุษย์ เมอื่ วันน้ี เป็นวนั ปวารณาแลว้ เรากค็ วร ถอื เอาประโยชนจ์ ากสง่ิ ทเี่ รยี กวา่ ปวารณานนั้ ให้ได้ จงท่ัวกันทุกคน ภิกษุท�ำปวารณาแล้ว ยงั คงอยใู่ นธรรมวนิ ยั น้ี กเ็ จรญิ งอกงามในทาง ของธรรมวินัยน้ัน เพราะเป็นผู้บุคคลอื่นว่า กล่าวตักเตือนได้ แต่ถึงแม้จะละไปจากเพศ ภิกษุ ไปอยู่เป็นเพศฆราวาสก็จงเข้าใจเถิด ว่า แม้ในหมู่ฆราวาส ก็ต้องการสิ่งที่เรียกว่า ปวารณาน้ีเหมอื นกัน เพราะฉะนั้น ฆราวาสจงชวนกันท�ำ ปวารณา เหมือนกับที่ภิกษุท้ังหลายกระท�ำ แก่กันและกันก็ได้ คือเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่า กล่าวตกั เตอื นได้น่นั เอง โดยทำ� นองเดยี วกัน กับที่พระภิกษุกระท�ำ คือเราบอกเขาว่า ถ้า ๓๙

เขาเหน็ วา่ เราจะมสี ว่ นบกพรอ่ ง ผดิ พลาด ไม่ ดีทีต่ รงไหน ดว้ ยการเหน็ กด็ ี ด้วยการฟังเขา เล่าลือก็ดี โดยการสังเกตท่าทางไม่น่าไว้ใจก็ ดี ก็จงชว่ ยวา่ กล่าวแนะน�ำ ตักเตือน สงั่ สอน ด้วยอาศัยความเมตตา กรุณา เป็นท่ีต้ังเถิด เม่ือข้าพเจ้าเห็นอยู่ว่าผิดอย่างน้ันแล้ว ก็จะ ได้ละเสยี จกั กระทำ� คนื เสียอยา่ งนี้ ไม่เหน็ วา่ จะมขี ดั ขอ้ งทตี่ รงไหน ไมเ่ หน็ วา่ จะมเี สยี หาย ทต่ี รงไหน แต่เด๋ียวนี้ พวกฆราวาสกลับเห็นไปเสีย ว่า เรื่องของพระน้ันฆราวาสท�ำตามไม่ได้ อย่างน้ีต่างหาก มันเป็นการปิดประตู ตัด หนทางท่จี ะเปน็ ความเจริญของตนเสยี พวก ฆราวาสจึงไม่นิยมกระท�ำ เหมือนที่ภิกษุ กระท�ำ คือไม่เสนอตัวให้บุคคลอื่นว่ากล่าว ๔๐

ตกั เตอื น สงั่ สอนอยเู่ ปน็ ปกติ ดงั นี้ จงึ เปน็ เหตุ ให้แม้แต่เด็กๆ ก็แข็งกระด้างต่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ของตน ไม่เชื่อฟังแม้แต่บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ของตนอยา่ งนี้แล้ว จะ มีผลเป็นอยา่ งไร ท่านทั้งหลายลองคิดดูเถิด จะเป็นส่ิงท่ี เสยี หายแกเ่ ดก็ นน้ั อยา่ งไมม่ อี ะไรจะเสยี หาย เทา่ เพราะวา่ การกระทำ� อยา่ งนน้ั เปน็ ชอ่ งเปน็ โอกาสใหก้ ระทำ� บาปหรอื กระทำ� ความชว่ั อกี มากมายหลายรอ้ ยหลายพนั อยา่ งทเี ดยี ว แตถ่ า้ เราไดห้ ดั นสิ ยั ใหแ้ กล่ กู หลาน ใหถ้ กู ใหต้ รง มาเสยี ตง้ั แตท่ แี รก ดว้ ยการอบรมให้ พอใจในการท่ีมีผู้อ่ืนว่ากล่าวตักเตือน ไม่ด้ือ กระดา้ งดงั นี้ กจ็ ะเปน็ ประโยชน์ เรยี กวา่ เปน็ ผทู้ โ่ี ปรดลกู หลานนนั้ ใหข้ น้ึ จากนรกไดท้ เี ดยี ว ๔๑

แต่ว่าการอบรมเด็กๆ ให้มีนิสัยไม่ดื้อ กระด้างน้ัน มันไม่ส�ำเร็จได้ด้วยการพูดด้วย ปาก ยิง่ พูดด้วยปาก เขาจะยิ่งไมเ่ ชื่อ ทางทดี่ ี ทสี่ ดุ บดิ ามารดานน่ั เอง จะตอ้ งท�ำตวั อยา่ งที่ ดใี หด้ ู คอื เปน็ ผทู้ ไ่ี มด่ อ้ื กระดา้ ง เปน็ ผวู้ า่ นอน สอนงา่ ยใหเ้ ด็กดู เด็กจึงจะทำ� ตามดว้ ยความ สมัครใจเอง เดี๋ยวนี้บิดามารดาเป็นเสียเอง ก็เป็นผู้ ท่ีด้ือกระด้าง ปากร้ายพูดจาด่าทอบุคคล ท่ี ว่ากลา่ วตกั เตอื นอยู่เสมอ ดงั นี้ ไมม่ ีใครยอม ใครอยู่ดังนี้ เป็นสมาคมของคนโง่ คนพาล คนเขลา ของยักษ์ ของมาร ทีท่ ะเลาะววิ าท กันอยู่เสมอ ดังน้ีแล้ว เด็กๆ จะเกิดนิสัยว่า นอนสอนง่ายได้อย่างไร ย่อมไม่มีหนทางท่ี จะเปน็ ไปได้เลย ๔๒

ทางที่ดีก็มีอยู่ทางเดียว คือบิดามารดา นั้นเป็นผู้ย้ิมแย้มแจ่มใส เป็นผู้ว่าง่ายสอน งา่ ย เปน็ ผมู้ คี วามออ่ นโยนไมด่ อ้ื กระดา้ งดว้ ย มานะทิฏฐิแม้แต่ประการใด แมแ้ ตเ่ ดก็ เลก็ ๆ เตือนก็ยังฟัง อย่างนี้จึงจะเป็นตัวอย่างท่ีดี ท่ีจะประทับใจฝังจิตฝังใจให้เด็กๆ เหล่านั้น เกดิ นสิ ยั เปน็ ผวู้ า่ นอนสอนงา่ ยขนึ้ มา เขากจ็ ะ เอาตัวรอดได้จนตลอดชีวิต เพราะคุณธรรม อันประเสริฐทเ่ี รียกวา่ ปวารณานัน้ เราควรจะชักจูงซึ่งกันและกัน ให้มี ขนบธรรมเนียมประเพณี ท่ีเปิดโอกาสให้ว่า กลา่ วตกั เตอื นซึง่ กนั และกนั หรอื เสนอตวั ให้ ตักเตอื นซ่งึ กนั และกัน รู้จกั อ่อนนอ้ มถอ่ มตวั รจู้ กั ขอโทษ แกก่ นั และกนั ใหไ้ ดช้ อ่ื วา่ เปน็ ชน ทเี่ จรญิ แลว้ ดว้ ยอารยธรรมขอ้ นใ้ี หม้ ากทสี่ ดุ ก็ ๔๓

จะชอ่ื วา่ ประกอบไปดว้ ยคณุ ธรรม อนั สำ� คญั อนั หนง่ึ ซ่งึ เปน็ องค์คณุ ของพระโสดาบนั ดังท่ีกล่าวแล้วว่า สุวโจ จสฺส มุทุ อนติมานี - ความวา่ งา่ ย ความมคี วามออ่ น โยนและความไมด่ อื้ กระดา้ งดว้ ยมานะทฏิ ฐิ นี้ เปน็ หนทางของพระโสดาบนั ดงั นี้ หรอื วา่ คารโว จ นวิ าโต จ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ มํ - ความ เคารพและความไม่พองลมนั้นเป็นมงคล อันสงู สุด ในที่สุด บุตรท่ีเช่ือฟังบิดามารดาน้ันก็ เปน็ บตุ รทป่ี ระเสรฐิ สดุ เหนอื บตุ รทงั้ หลาย ดงั ทีก่ ลา่ วมาแล้วไดท้ ุกๆ ประการ น่ีแหละคือความหมายของค�ำว่า ปวารณา ที่ภิกษุกระท�ำกันในวันน้ี ถ้ามี ปัญญาพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า เป็นเรื่อง ๔๔

เป็นราวที่ส�ำคัญมากมายอย่างยิ่งทีเดียว แต่ ถ้ามองไม่เห็นแล้วก็จะเข้าใจไปแต่เพียงว่า ท�ำพิธีอย่างหนึ่งในวันออกพรรษาเท่านั้นเอง ไปว่าอะไรกันคนละคำ� สองค�ำ แล้วก็เลิกกัน สิ้นสุดกันเพียงเท่าน้ัน นั่นเป็นความโง่ เป็น ความหลง เปน็ ความเขลา ทั้งของคนวา่ และ ท้งั ของคนท�ำ ถา้ ภกิ ษกุ ระทำ� ปวารณา เพยี งสกั วา่ ท�ำ พิธี เช่นน้ันแล้ว ก็เป็นความโง่ความเขลา อย่างย่ิง ถ้าชาวบ้านเห็นว่า ภิกษุท�ำพิธี เพียงเท่าน้ันแล้วก็ออกพรรษาแล้ว ก็เป็น ความโง่ความเขลาอยา่ งยิ่ง ท้ังชาววัดและชาวบ้านจะต้องรู้ความ หมายของค�ำว่าปวารณา ให้ถูกต้องตามที่ เป็นจริงเหมือนที่ได้กล่าวมาแล้วซึ่งอาจจะ ๔๕

สรุปความไดว้ ่า เมื่อถามว่า ปวารณา คืออะไร? ก็ตอบ วา่ การปวารณาคือการปิดปากตวั เอง ไมใ่ ห้ พดู ในเม่ือมคี นมาวา่ กลา่ วตกั เตือนแนะน�ำ และเมื่อถามว่า ปวารณา นี้เกิดมาจาก อะไร? ก็ตอบว่า เกดิ มาจากความที่โลกน้ีจะ ฉิบหาย เพราะความท่ีไม่ยอมแก่กันและกัน เพ่ือป้องกันความฉิบหายนี้ เราจึงมีระเบียบ ปวารณา ถ้าถามว่า ท�ำปวารณาเพื่อประโยชน์ อะไร? กต็ อบว่า ทำ� ปวารณาเพือ่ ความเจรญิ ของหมคู่ นในโลกนี้ เปน็ คนๆ ไป สงู ขน้ึ ไป จน กระทง่ั ถงึ ครอบครวั ทง้ั บา้ น ทงั้ เมอื ง หรอื ทงั้ โลกจะได้อยู่กันด้วยความเป็นผาสุก มีความ เจริญเหมือนกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน มอง ๔๖


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook