Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยโรงเรียนบ้านทับก

หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยโรงเรียนบ้านทับก

Published by arawan0101, 2021-01-22 06:47:50

Description: หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยโรงเรียนบ้านทับก

Search

Read the Text Version

ตารางวิเคราะห์สาระการเรยี นรรู้ ายปี โรงเรยี นบ้านทับกุมารท พฒั นาการด้านสตปิ ัญญา มาตรฐานท่ี ๑๒ มเี จตคตทิ ีด่ ีตอ่ การเรยี น ตัวช้วี ดั ที่ สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ สภาพท่ีพึงประสงค์ ๔ – ๕ ปี ๑๒.๒ มี ๕ – ๖ ปี ประสบก ความสามารถ ๑๒.๒.๑ ค้นหา ในการแสวงหา คำตอบของข้อสงสัย ๑๒.๒.๑ ค้นหา 1. ๑. การพูดสะท้อนคว ความรู้ ต่างๆตามวิธกี ารของ ตนเอง คำตอบของข้อสงสัย ผูอ้ ื่น ต่างๆตามวธิ กี ารที่ 2. ๒. การร่วมสนทนาแ หลากหลายด้วย คดิ เหน็ ตนเอง 3. ๓. การมีสว่ นรว่ มในก แก้ปัญหา 4. ๔. การเลน่ เกมทางภ 5. ๕. การคาดเดาหรอื ก อาจจะเกิดข้ึนอย่างม 6. ๖. การมีส่วนรว่ มในก ข้อมลู อยา่ งมเี หตุผล 7. ๗. การตดั สนิ ใจและม กระบวนการแกป้ ัญห 8. ๘. การตั้งคำถามในเร 9. ๙. การมสี ่วนร่วมในก นำเสนอข้อมูลจากก รูปแบบตา่ งๆ และแ

ทอง สำนกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาเชยี งรายเขต ๓ นรู้ และมคี วามสามารถในการแสวงหาความรไู้ ดเ้ หมาะสมกบั วยั (ตอ่ ) สาระการเรียนรู้ หน่วย - วทิ ย์ คณิต นา่ รู้ การณส์ ำคญั สาระท่ีควรรู้ วามรู้สึกของตนเองและ1. ๑. ถามคำถามทต่ี นเองสงสยั 2. ๒. คน้ หาคำตอบท่ีตนเองสงสัย และแลกเปลย่ี นความ 3. ๓. การสกั ถาม 4. ๔. คดิ ริเรม่ิ ในการหาคำตอบ การเลือกวธิ กี าร ภาษา การคาดคะเนสง่ิ ท่ี มีเหตุผล การลงความเหน็ จาก ล มีสว่ นรว่ มใน หา ร่อื งที่สนใจ การรวบรวมขอ้ มูลและ การสืบเสาะหาความรู้ใน แผนภูมอิ ย่างง่าย

ตารางวเิ คราะหส์ าระการเรยี นรู้รายปี โรงเรยี นบา้ นทบั กุมารท พฒั นาการดา้ นสติปญั ญา มาตรฐานที่ ๑๒ มีเจตคตทิ ด่ี ตี อ่ การเรยี น ตวั ชี้วัดที่ สภาพที่พงึ ประสงค์ สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ ๔ – ๕ ปี ๑๒.๒ มี ๕ – ๖ ปี ประส ความสามารถ ๑๒.๒.๒ ใช้ประโยค ในการแสวงหา คำถามวา่ “ทไ่ี หน” ๑๒.๒.๒ ใช้ประโยค 1. ๑. การพดู สะท ความรู้ “ทำไม” ในการ ค้นหาคำตอบ คำถามวา่ “เม่อื ไร” ตนเองและผู้อ “อย่างไร” ในการ 2. ๒. การสนทนา ค้นหาคำตอบ เก่ียวกับธรรม ชีวติ ประจำวัน 3. ๓. การร่วมสน ความคิดเห็น 4. ๔. การมีส่วนร แกป้ ัญหา 5. ๕. การพูดแสด และความต้อง 6. ๖. การพูดอธิบ เหตุการณ์ แล ตา่ งๆ

ทอง สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งรายเขต ๓ นรู้ และมคี วามสามารถในการแสวงหาความร้ไู ด้เหมาะสมกับวยั (ตอ่ ) สาระการเรียนรู้ หนว่ ย สบการณ์สำคัญ สาระท่ีควรรู้ - วิทย์ คณติ น่ารู้ ท้อนความรู้สึกของ 1. - การใชค้ ำถาม “ใคร”, “อะไร”, “ที่ - ฤดูรอ้ น - ส่งิ มีชีวิต อ่นื ไหน”, “ทำไม”, “เมื่อไร” , สง่ิ ไมม่ ีชีวติ - กลางวนั าขา่ วและเหตุการณท์ ่ี “อยา่ งไร” กลางคืน มชาติและสงิ่ แวดลอ้ มใน น นทนาและแลกเปลย่ี น รว่ มในการเลอื กวิธีการ ดงความคิด ความร้สู ึก งการ บายเกี่ยวกบั สิ่งของ ละความสัมพันธ์ของสง่ิ

การจดั ประสบการณ์ การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยอายุ ๓-๖ ปี เป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะการ บูรณาการ ผ่านการเล่น การลงมือกระทำจากประสบการณ์ตรงอย่างหลากหลาย เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเกิดการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ไม่จัดเป็นรายวิชา โดยมีหลักการ และแนวทางการจัดประสบการณ์ ดังนี้ ๑. หลักการจดั ประสบการณ์ ๑.๑ จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาเด็กโดยองค์รวม อย่างสมดลุ และตอ่ เนอ่ื ง ๑.๒ เน้นเด็กเป็นสำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคลและ บริบทของสงั คมทเ่ี ด็กอาศัยอยู่ ๑.๓ จัดให้เด็กได้รับการพัฒนา โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการของ เด็ก ๑.๔ จัดการประเมินพฒั นาการใหเ้ ปน็ กระบวนการอยา่ งต่อเน่ือง และเปน็ ส่วนหนึง่ ของการจัด ประสบการณ์ พรอ้ มท้ังนำผลการประเมนิ มาพฒั นาเดก็ อย่างต่อเนื่อง ๑.๕ ใหพ้ ่อแม่ ครอบครัว ชมุ ชน และทุกฝ่ายทเ่ี กยี่ วข้องมีส่วนรว่ มในการพฒั นาเด็ก ๒. แนวทางการจัดประสบการณ์ ๒.๑ จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทำงานของสมอง ที่เหมาะ กับอายุ วฒุ ภิ าวะและระดับพัฒนาการ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ทกุ คนได้พฒั นาเตม็ ตามศักยภาพ ๒.๒ จัดประสบการณใ์ ห้สอดคล้องกับแบบการเรยี นรู้ของเดก็ เดก็ ได้ลงมือกระทำ เรียนรู้ผ่าน ประสาทสัมผสั ท้งั ห้า ได้เคล่ือนไหว สำรวจ เลน่ สังเกต สบื คน้ ทดลอง และคิดแกป้ ญั หาด้วยตนเอง ๒.๓ จดั ประสบการณแ์ บบบูรณาการ โดยบูรณาการทงั้ กจิ กรรม ทักษะ และสาระการเรยี นรู้ ๒.๔ จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเริ่มคิด วางแผน ตัดสินใจลงมือกระทำและนำเสนอความคิด โดยผสู้ อนหรือผ้จู ัดประสบการณเ์ ป็นผู้สนับสนนุ อำนวยความสะดวก และเรียนรรู้ ่วมกบั เดก็ ๒.๕ จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏสิ ัมพันธ์กับเดก็ อื่น กับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ การเรยี นรู้ในบรรยากาศที่อบอนุ่ มคี วามสขุ และเรียนรู้การทำกจิ กรรมแบบร่วมมอื ในลกั ษณะต่างๆ กนั ๒.๖ จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ใน วถิ ีชวี ิตของเด็ก สอดคล้องกบั บรบิ ท สังคม และวัฒนธรรมท่ีแวดลอ้ มเด็ก ๒.๗ จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสยั ที่ดีและทักษะการใชช้ ีวิตประจำวัน ตามแนวทาง หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม และการมีวินัยให้เป็นส่วนหนึง่ ของ การจดั ประสบการณ์การเรียนรอู้ ย่างต่อเน่ือง ๒.๘ จัดประสบการณ์ทั้งในลักษณะท่ีมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนที่เกิดขึ้นในสภาพจริง โดยไม่ไดค้ าดการณ์ไว้

๒.๙ จัดทำสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเป็น รายบุคคล นำมาไตร่ตรองและใช้ให้เป็นประโยชน์ตอ่ การพัฒนาเด็กและการวิจัยในชน้ั เรยี น ๒.๑๐ จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วมทั้งการวางแผนการ สนบั สนนุ สื่อ แหลง่ เรยี นรู้ การเข้ารว่ มกจิ กรรม และการประเมินพฒั นาการ ๓. การจดั กิจกรรมประจำวนั กิจกรรมสำหรับเด็กอายุ ๓ ปี - ๖ ปีบริบูรณ์ สามารถนำมาจัดเป็นกิจกรรมประจำวันได้หลาย รูปแบบ เป็นการช่วยให้ผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณท์ ราบว่าแต่ละวันจะทำกจิ กรรมอะไร เมื่อใด และอย่างไร ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมประจำวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการนำไปใช้ของแต่ละ หน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึงการจัดกิจกรรมใหค้ รอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน การจัด กิจกรรมประจำวนั มีหลกั การจดั และขอบข่ายของกจิ กรรมประจำวนั ดังน้ี ๓.๑ หลกั การจัดกิจกรรมประจำวัน ๑. กำหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยของเด็กในแต่ ละวัน แต่ยืดหยนุ่ ไดต้ ามความต้องการและความสนใจของเด็ก เชน่ วัย ๓-๔ ปี มีความสนใจประมาณ ๘-๑๒ นาที วัย ๔-๕ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๒-๑๕ นาที วัย ๕-๖ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๕-๒๐ นาที ๒. กิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลาต่อเนื่องนาน เกินกว่า ๒๐ นาที ๓. กิจกรรมที่เด็กมีอิสระเลือกเล่นเสรี เพื่อช่วยให้เด็กรู้จักเลือกตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา คิดสรา้ งสรรค์ เช่น การเล่นตามมมุ การเล่นกลางแจ้ง ฯลฯ ใชเ้ วลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที ๔. กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมที่ใช้ กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก กิจกรรมที่เป็นรายบุคคล กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็กเป็นผู้ริเร่ิม และผ้สู อน หรือผู้จัดประสบการณเ์ ป็นผ้รู ิเรม่ิ และกิจกรรมท่ใี ชก้ ำลงั และไม่ใชก้ ำลัง จัดให้ครบทุกประเภท ทั้งนี้ กจิ กรรมที่ตอ้ งออกกำลังกายควรจัดสลบั กบั กิจกรรมทีไ่ ม่ต้องออกกำลังมากนัก เพอื่ เดก็ จะไดไ้ ม่เหนอื่ ยเกินไป ๓.๒ ขอบขา่ ยของกจิ กรรมประจำวัน การเลือกกิจกรรมที่จะนำมาจัดในแต่ละวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความ เหมาะสมในการนำไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึงการจัดกิจกรรมให้ ครอบคลมุ พัฒนาการทุกด้าน ดังตอ่ ไปน้ี ๓.๒.๑ การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว การ ยืดหยุ่น ความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่างๆ และจังหวะการเคลื่อนไหวในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ โดยจัด กิจกรรมให้เด็กได้เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่นเครื่องเล่นสนาม ปีนป่ายเล่นอิสระ เคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะ ดนตรี

๓.๒.๒ การพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเล็ก กล้ามเนื้อมือ-นิ้วมือ การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือและระบบประสาทตามือได้อย่างคล่องแคล่ว และประสานสัมพันธ์กัน โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เลน่ เครื่องเล่นสัมผัส เล่นเกมการศึกษา ฝึกช่วยเหลอื ตนเอง ในการแตง่ กาย หยิบจับชอ้ นส้อม และใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์ศลิ ปะ เชน่ สีเทยี น กรรไกร พ่กู นั ดนิ เหนยี ว ฯลฯ ๓.๒.๓ การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคณุ ธรรม จริยธรรม เป็นการปลูกฝังให้ เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ประหยัด เมตตา กรุณา เอ้ือเฟ้ือ แบง่ ปนั มมี ารยาทและปฏิบตั ิตนตามวฒั นธรรมไทยและศาสนาทน่ี บั ถือโดยจัดกิจกรรม ต่างๆ ผ่านการเล่นให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือก ได้รับการตอบสนองความต้องการ ได้ฝึกปฏิบัติโดย สอดแทรกคณุ ธรรม จริยธรรม อย่างตอ่ เนื่อง ๓.๒.๔ การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมลี ักษณะนิสัยที่ดี แสดงออกอย่าง เหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวัน มีนิสัยรักการ ทำงาน ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผ้อู น่ื โดยรวมทั้งระมัดระวงั อันตรายจากคนแปลกหนา้ ใหเ้ ด็ก ได้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ทำความสะอาด ร่างกาย เล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น ปฏิบัติตามกฎกติกาข้อตกลงของส่วนรวม เก็บของเข้าที่เมื่อเล่นหรือ ทำงานเสรจ็ ๓.๒.๕ การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ความคิดรวบยอด และคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้สนทนา อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก ศึกษานอกสถานที่ เล่นเกมการศึกษา ฝึกการ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ฝึกออกแบบและสร้างขึ้นงาน และทำกิจกรรมทั้งเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่ และ รายบุคคล ๓.๒.๖ การพัฒนาภาษา เป็นการพัฒนาให้เด็กใช้ภาษาสื่อสารถ่ายทอดความรู้สึกนึก คิด ความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เด็กมีประสบการณ์โดยสามารถตั้งคำถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้ จัดกิจกรรม ทางภาษาใหม้ ีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ มุ่งปลูกฝังให้เด็กไดก้ ล้าแสดงออกในการ ฟัง พูด อ่าน เขียน มีนิสัยรักการอ่าน และบุคคลแวดล้อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา ทั้งนี้ต้อง คำนงึ ถงึ หลักการจดั กิจกรรมทางภาษาท่ีเหมาะสมกับเด็กเป็นสำคัญ ๓.๒.๗ การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและเห็นความสวยงามของสิ่งต่างๆ โดยจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ ดนตรี การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดษิ ฐ์ส่งิ ต่างๆ อยา่ งอิสระ เล่นบทบาท สมมติ เล่นน้ำ เล่นทราย เลน่ บลอ็ ก และเลน่ ก่อสร้าง การจดั สภาพแวดล้อม สอื่ และแหลง่ เรยี นรู้ การจัดสภาพแวดล้อมในสถานศกึ ษาปฐมวัย มีความสำคัญต่อเด็ก เนื่องจากธรรมชาติของเด็กใน วัยนี้สนใจที่จะเรียนรู้ ค้นคว้า ทดลอง และต้องการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ดังนั้น การจัดเตรียม

สิ่งแวดลอ้ มอย่างเหมาะสมตามความต้องการของเด็ก จึงมีความสำคัญทีเ่ ก่ียวข้องกบั พฤติกรรมและการเรยี นรู้ ของเดก็ เดก็ สามารถเรยี นรจู้ ากการเล่นท่ีเปน็ ประสบการณ์ตรงทีเ่ กดิ จากการรบั รู้ด้วย ประสาทสมั ผสั ทง้ั ห้า จึง จำเป็นต้องจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการ ของหลักสูตร เพื่อส่งผล ให้บรรลจุ ุดหมายในการพัฒนาเด็ก ความสำคัญและหลกั การจัดสภาพแวดล้อมสำหรับเดก็ ปฐมวัย ความสำคัญของการจัดสภาพแวดล้อม มีนักการศึกษากล่าวว่าสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเป็น ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่จะทำ ให้ภาวะของสมองเหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ และได้กล่าวถึงข้อที่ควรนำมา พจิ ารณาในการจดั สภาพแวดลอ้ มสำหรบั เดก็ ปฐมวยั ดงั นี้ ๑. สมองเป็นอวัยวะที่มีความจำเพาะตัว และเป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างสิ่งแวดล้อม ตา่ งๆ จนเกดิ เปน็ ความแตกตา่ งและหลากหลายของสมองท่สี งั่ สมมาตลอดชั่วชวี ิต ๒. การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีที่สุดเมื่อสมองเผชิญกับความเครียด และความรู้สึกผ่ อนคลายใน ปริมาณที่สมดุลกัน คือตื่นตัวแบบผ่อนคลายถ้าครูนำไปปฏิบัติก็ต้องสร้างบรรยากาศของห้องเรียน (สภาพแวดล้อม) ทไี่ ม่ใช่ใหม้ ีความปลอดภัยเพียงเท่านน้ั แต่ต้องทำให้เกิดประกาย ของความรู้สกึ กระหายใครร่ ู้ ๓. การปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างสมองกบั สงิ่ แวดล้อม ทำใหต้ ้องตระหนักว่าย่ิงสภาพแวดล้อมท่ีสมบรูณ์ เทา่ ใด ตอ้ งทำใหส้ มองเกดิ การเรยี นรูม้ ากขน้ึ เท่าน้ัน ๔. สภาพแวดล้อมที่สมบรูณ์ จะส่งผลให้สมองมีการเช่ือมโยงของระบบประสาทเพิ่มขึ้นถึง ๒๕ เปอรเ์ ซ็นต์ ท้ังในช่วงแรกและช่วงหลงั ของชวี ิต ดังน้ันสภาพแวดล้อมของคนเราจึงต้องสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตลอดเวลา เพอื่ ใหเ้ กิดความหลากหลาย ๕. การเชื่อมโยงของระบบปราสาท ขึ้นอยู่กับปัจจัยของสิ่งแวดล้อมนั่นคือลักษณะของโรงเรียน กบั สิง่ ท่ีพบในชีวติ ประจำวนั ดว้ ย การจัดสภาพแวดล้อมจะตอ้ งคำนึงถึงสิง่ ตอ่ ไปนี้ ๑. ความสะอาด ความปลอดภยั ๒. ความมอี สิ ระอยา่ งมขี อบเขตในการเลน่ ๓. ความสะดวกในการทำกจิ กรรม ๔. ความพร้อมของอาคารสถานที่ เช่น หอ้ งเรียน ห้องนำ้ หอ้ งส้วม สนามเด็กเล่น ฯลฯ ๕. ความเพยี งพอ เหมาะสมในเรอ่ื งขนาด น้ำหนกั จำนวน สีของส่ือและเครอ่ื งเลน่ ๖. บรรยากาศในการเรียนรู้ การจดั ทีเ่ ลน่ และมุมประสบการณต์ า่ งๆ

สภาพแวดล้อมภายในหอ้ งเรียน หลักสำคัญในการจัดต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ความสะอาด เป้าหมายการพัฒนาเด็ก ความเป็น ระเบียบ ความเป็นตัวของเด็กเอง ให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่น มั่นใจ และมีความสุข ซึ่งอาจจัดแบ่งพ้ืนที่ให้ เหมาะสมกับการประกอบกิจกรรมตามหลกั สูตร ดังน้ี ๑. พนื้ ที่อำนวยความสะดวกเพ่ือเดก็ และผ้สู อน ๑.๑ ที่แสดงผลงานของเดก็ อาจจัดเปน็ แผน่ ปา้ ย หรอื ที่แขวนผลงาน ๑.๒ ที่เก็บแฟม้ ผลงานของเดก็ อาจจัดทำเปน็ กลอ่ งหรือจัดใสแ่ ฟ้มรายบุคคล ๑.๓ ทเ่ี ก็บเครอื่ งใช้ส่วนตวั ของเดก็ อาจทำเปน็ ชอ่ งตามจำนวนเดก็ ๑.๔ ทเี่ ก็บเครือ่ งใช้ของผสู้ อน เชน่ อุปกรณ์การสอน ของส่วนตัวผสู้ อน ฯลฯ ๑.๕ ป้ายนิเทศตามหนว่ ยการสอนหรือสิง่ ท่ีเดก็ สนใจ ๒. พื้นที่ปฏิบัติกิจกรรมและการเคลื่อนไหว ต้องกำหนดให้ชัดเจน ควรมีพื้นที่ที่เด็กสามารถจะ ทำงานได้ด้วยตนเอง และทำกิจกรรมร่วมกันในกลุ่มเล็ก หรือกลุ่มใหญ่ เด็กสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ จากกจิ กรรมหนงึ่ ไปยังกิจกรรมหนึง่ โดยไม่ รบกวนผอู้ ื่น ๓. พื้นที่จัดมุมเล่นหรือมุมประสบการณ์ สามารถจัดได้ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพของ หอ้ งเรยี น จัดแยกสว่ นที่ใช้เสยี งดังและเงียบออกจากกนั เช่น มมุ บล็อกอยหู่ ่างจากมมุ หนังสือ มมุ บทบาทสมมติ อยู่ติดกับมุมบล็อก มุมวิทยาศาสตร์อยู่ใกล้มุมศิลปะ ฯลฯ ที่สำคัญจะต้องมีของเล่น วัสดุอุปกรณ์ในมุมอย่าง เพียงพอต่อการเรียนรู้ของเด็ก การเลน่ ในมุมเล่นอย่างเสรี มักถูกกำหนดไว้ในตารางกิจกรรมประจำวัน เพื่อให้ โอกาสเดก็ ได้เล่นอย่างเสรีประมาณวนั ละ ๖๐ นาที การจัดมุมเล่นตา่ งๆ ผสู้ อนควรคำนึงถงึ สง่ิ ต่อไปน้ี ๓.๑ ในห้องเรียนควรมีมมุ เลน่ อยา่ งนอ้ ย ๓-๕ มมุ ท้งั นขี้ ้นึ อยู่กบั พื้นทข่ี องหอ้ ง ๓.๒ ควรมีการผลัดเปลี่ยนส่ือของเลน่ ตามมมุ บา้ ง ตามความสนใจของเด็ก ๓.๓ ควรจัดให้มีประสบการณ์ที่เด็กได้เรียนรู้ไปแล้วปรากฏอยู่ในมุมเล่น เช่น เด็กเรียนรู้เรื่อง ผีเสื้อ ผู้สอนอาจจัดให้มีการเลี้ยงหนอน หรือ มีผีเสื้อสต๊าฟใส่กล่องไว้ให้เด็กดูในมุมธรรมชาติศึกษาหรือมุม วทิ ยา ศาสตร์ ฯลฯ ๓.๔ ควรเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการจัดมุมเล่น ทั้งนี้เพื่อจูงใจให้เด็กรู้สึกเป็นเจ้าของ อยากเรียนรู้ อยากเขา้ เล่น ๓.๕ ควรเสริมสร้างวินัยให้กับเด็ก โดยมีข้อตกลงร่วมกันว่าเมื่อเล่นเสร็จแล้วจะต้องจัดเก็บ อุปกรณ์ทกุ อยา่ งเขา้ ทใ่ี หเ้ รยี บรอ้ ย มุมประสบการณท์ ค่ี วรจัดมี ดงั นี้ มุมบล็อก เป็นมุมที่จัดเก็บบล็อกไม้ตันที่มีขนาดและรูปทรง ต่างๆ กัน เด็กสามารถนำมาเล่นต่อประกอบกัน เปน็ สง่ิ ต่างๆ ตามจินตนาการ ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องตนเอง

การจัดมุมบล็อกเป็นมุมท่ีควรจัดใหอ้ ยู่ห่างจากมุมที่ต้อง การความสงบ เช่น มุมหนังสือ ทั้งนี้เพราะ เสียงจากการเล่นก่อไม้บล็อก อาจทำลายสมาธิเด็กที่อยู่ในมุมหนังสือได้ นอกจากนี้ยังควรอยู่ห่างจากทางเดิน ผ่านหรอื ทางเข้าออกของห้องเพ่ือไม่ใหก้ ีด ขวางทางเดินหรือเกดิ อันตรายจากการเดินสะดุดไม้บลอ็ ก การจัดเก็บไม้บล็อกเหล่านี้ ควรจัดวางไว้ในระดับท่ีเด็กสามารถหยิบมาเล่น หรือนำเก็บด้วยตนเองได้อย่าง สะดวก ปลอดภัย และควรไดฝ้ ึกให้เดก็ หดั จดั เกบ็ เป็นหมวดหมู่เพือ่ ความเป็นระเบยี บ สวยงาม มุมหนงั สอื ในห้องเรียนควรมีที่เงียบสงบ สำหรับให้เด็กได้ดูรูปภาพ อ่านหนังสือนิทาน ฟังนิทาน ผู้สอนควรได้ จัดมมุ หนงั สอื ใหเ้ ด็กไดค้ นุ้ เคยกบั ตัวหนงั สือ และไดท้ ำกิจกรรมสงบๆ ตามลำพังหรือเปน็ กลุม่ เลก็ ๆ การจัดมุมหนงั สือ เป็นมมุ ทีต่ อ้ งการความสงบควรจัดห่างจากมุมท่ีมเี สยี ง เชน่ มุมบล็อก มุมบทบาท สมมติ ฯลฯ และควรจัดบรรยากาศจูงใจใหเ้ ด็กได้เข้าไปใช้เพ่ือเด็กจะได้คุ้นเคยกับตวั หนงั สือ และปลูกฝังนิสัย รกั การอ่านใหก้ บั เด็ก มุมบทบาทสมมติ มุมบทบาทสมมติ เป็นมุมที่จัดขึ้นเพื่อให้เด็กมีโอกาสได้นำเอาประสบการณ์ที่ได้รับจากบ้าน หรือ ชุมชนมาเล่นแสดงบทบาทสมมติ เลียนแบบบุคคลต่างๆ ตามจินตนาการของตน เช่น เป็นพ่อแม่ในมุมบ้าน เป็นหมอในมุมหมอ เป็นพ่อค้าแม่ค้าในมุมร้านค้า ฯลฯ การเล่นดังกล่าวเป็นการปลูกฝังความสำนึกถึงบทบาท ทางสังคมทเี่ ด็กได้พบเหน็ ใน ชวี ติ จริง การจัดมุมบทบาทสมมตินี้ ควรอยู่ใกล้มุมบล็อกและอาจจัดให้เป็นสถานที่ต่างๆ นอกเหนือจากการ จดั เป็นบา้ น โดยสังเกตการณเ์ ลน่ และความสนใจของเด็กว่ามกี ารเปลย่ี นแปลงบทบาท การเลน่ จากบทบาทเดิม ไปสู่รูปแบบการเล่นอื่นหรือไม่ อุปกรณ์ที่นำมาจัดก็ควรเปลี่ยนไปตามความสนใจของเด็กเช่นกัน ดังนั้นมุม บทบาทสมมติจงึ อาจจัดเป็นบ้าน ร้านอาหาร ร้านขายของ รา้ นเสรมิ สวย โรงพยาบาล เปน็ ต้น ในขณะเดียวกัน อุปกรณท์ ีน่ ำมาจดั ใหเ้ ดก็ ต้องไมเ่ ปน็ อนั ตราย และมีความเหมาะสมกบั สภาพท้องถ่ิน มมุ วิทยาศาสตร์ มุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติศึกษาเป็นมุมเล่นที่ ผู้สอนจัดรวบรวมสิ่งต่างๆ หรือสิ่งที่มีใน ธรรมชาติมาให้เด็กได้สำรวจ สังเกต ทดลอง ค้นพบด้วยตนเองซึ่งเป็นการช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรใ์ ห้กบั เดก็ การจัดมุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติศึกษาเป็นมุมที่ต้อง การความสงบคล้ายมุมหนังสือจึงอาจ จัดไว้ใกล้กันได้ และเพื่อเร้าให้เด็กสนใจในสิง่ ที่นำมาแสดง ของที่จัดวางไว้จึงควรอยูใ่ นระดับที่เด็กหยิบ จับ ดู วัสดอุ ปุ กรณเ์ หลา่ นน้ั ได้โดยสะดวก และสิ่งที่นำมาตั้งแสดงนั้นไม่ควรจะตง้ั แสดงของสง่ิ เดยี วกนั ตลอดปี แต่ควร จะปรบั เปล่ยี นใหน้ า่ สนใจ

มมุ ศิลปะ กจิ กรรมศิลปะเปน็ กิจกรรมทส่ี ามารถพัฒนาเด็กไดห้ ลาย ดา้ น เช่น ทางดา้ นกลา้ มเน้ือมือ ซ่ึงจะช่วย ให้มือของเด็กพร้อมที่จะจับดินสอเขียนหนังสือได้เมื่อไปเรียนใน ชั้นประถมศึกษานอกจากนี้ยังช่วยในการ พฒั นาอารมณ์ จิตใจ สงั คม และสติปัญญา เด็กจะมโี อกาสทำงานตามลำพังและทำงานเป็นกลุ่ม รู้จักปรับตัวที่ จะทำงานด้วยกันและส่งเสริมจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นการจัดให้มีมุมศิลปะจึงเป็นทางหนึ่งที่จะ ช่วยใหเ้ ด็กได้พัฒนามากขึน้ และยงั สนองความสนใจ ความต้องการของเดก็ วยั นไ้ี ดเ้ ปน็ อย่างดี การจัดมุมศิลปะเป็นมุมหน่ึงท่ีเด็กต้องใช้สมาธิในการทำงาน จึงควรจัดให้อยู่ในบริเวณมุมที่ต้องการ ความสงบ เช่นกัน อาจจัดเป็นโต๊ะสำหรับให้เด็กทำงานศิลปะ โดยมีผ้าพลาสติก หรือกระดาษปูกันเลอะเทอะ กอ่ นทำงาน และจดั วางอุปกรณ์ทำงานศิลปะไว้บนโตะ๊ หรอื จัดใหม้ กี ระดานขาหยงั่ สำหรบั เดก็ เขยี นภาพระบาย สนี ้ำ สภาพแวดล้อมนอกหอ้ งเรยี น สภาพแวดล้อมนอกห้องเรียน คือ การจัดสภาพแวดล้อมภายในอาณาบริเวณรอบๆ สถานศึกษา รวมทั้งจัดสนามเด็กเล่น พร้อมเครื่องเล่นสนาม จัดระวังรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณสถานศึกษาและ บริเวณรอบนอกสถานศึกษา ดูแลรักษาความสะอาด ปลูกต้นไม้ ให้ความร่มรื่นรอบๆ บริเวณสถานศึกษา สิ่ง ตา่ งๆ เหลา่ นเ้ี ปน็ ส่วนหนึ่งท่สี ่งผลตอ่ การเรยี นรแู้ ละพัฒนาการของเดก็ บริเวณสนามเดก็ เลน่ ตอ้ งจดั ใหส้ อดคล้องกบั หลกั สตู ร ดังน้ี สนามเด็กเล่น ควรมีพื้นผิวหลายประเภท เช่น ดิน ทราย หญ้า พื้นที่สำหรับเล่นของเล่นที่มีล้อ รวมทั้งที่ร่ม ที่โล่งแจ้ง พื้นดินสำหรับขดุ ที่เล่นน้ำ บ่อทราย พร้อมอุปกรณ์ ประกอบการเล่น เครื่องเล่นสนาม สำหรบั ปืนปา่ ย ทรงตวั ฯลฯ ท้งั นี้ตอ้ งไมต่ ิดกับบรเิ วณท่ีมีอันตราย ต้องหมน่ั ตรวจตราเคร่ืองเล่นให้อยู่ในสภาพ แขง็ แรง ปลอดภัยอยูเ่ สมอ และหมน่ั ดแู ลเรื่องความสะอาด ท่ีน่งั เลน่ ผักผ่อน จัดทน่ี ง่ั ไวใ้ ต้ตน้ ไม้ทร่ี ่มเงา อาจใช้ กิจกรรมกลุ่มย่อยๆ หรือกิจกรรมที่ต้องการความสงบ หรืออาจจัดเป็นลานนิทรรศการให้ความรู้แก่เด็กและ ผปู้ กครอง บริเวณธรรมชาติ ปลูกไม้ดอก ไม้ประดับ พืชผักสวนครัว หากบริเวณสถานศึกษามีไม่มากนักอาจปลูกพืชในกระบะ หรอื กระถางภาพ เช่น สามารถทำให้บคุ คลหรอื กลุ่มบุคคลปฏบิ ตั ิตาม

การประเมนิ พฒั นาการ การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ ๓-๖ ปี เป็นการประเมินพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็นกระบวนการต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติที่จัดให้เดก็ ในแต่ละวัน ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการเด็กต้องนำมาจัดทำสารนิทัศน์หรือจัดทำข้อมูลหลักฐานหรือ เอกสารอย่างเป็นระบบ ด้วยการรวบรวมผลงานสำหรับเด็กเป็นรายบุคคลที่สามารถบอกเรื่องราวหรือ ประสบการณ์ที่เด็กได้รับว่าเด็กเกิดการเรียนรู้และมีความก้าวหน้าเพียงใด ทั้งนี้ ให้นำข้อมูลผลการประเมิน พัฒนาการเด็กมาพิจารณา ปรับปรุงวางแผนการจดั กิจกรรม และส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้รบั การพัฒนาตาม จุดหมายของหลักสตู รอยา่ งต่อเนือ่ ง การประเมินพัฒนาการควรยึดหลัก ดงั นี้ ๑. วางแผนการประเมินพฒั นาการอยา่ งเป็นระบบ ๒. ประเมนิ พฒั นาการเดก็ ครบทุกด้าน ๓. ประเมินพัฒนาการเด็กเปน็ รายบุคคลอยา่ งสมำ่ เสมอตอ่ เน่ืองตลอดปี ๔. ประเมนิ พฒั นาการตามสภาพจรงิ จากกิจกรรมประจำวันดว้ ยเคร่อื งมอื และวิธกี ารที่หลากหลาย ไม่ควรใชแ้ บบทดสอบ ๕. สรปุ ผลการประเมิน จดั ทำข้อมูลและนำผลการประเมินไปใชพ้ ัฒนาเด็ก สำหรับวิธีการประเมินที่เหมาะสมและควรใช้กับเด็กอายุ ๓-๖ ปี ได้แก่ การสังเกต การบันทึก พฤตกิ รรมการสนทนากบั เดก็ การสมั ภาษณ์ การวเิ คราะห์ข้อมลู จากผลงานเดก็ ทเ่ี ก็บอยา่ งมรี ะบบ การจัดการศกึ ษาระดบั ปฐมวยั (เด็กอายุ ๓-๖ ป)ี สำหรบั กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ การจัดการศึกษาระดับปฐมวัยสำหรับกลุ่มเปา้ หมายเฉพาะสามารถนำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยไป ปรบั ใช้ได้ ท้งั ในสว่ นของโครงสร้างหลักสตู ร สาระการเรียนรู้ การจดั ประสบการณ์ และการประเมินพัฒนาการ ให้เหมาะสมกับสภาพ บริบท ความต้องการ และศักยภาพของเด็กแต่ละประเภท เพื่อพัฒนาให้เด็กมีคุณภาพ ตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พงึ ประสงคท์ ่หี ลกั สูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนด โดยดำเนนิ การ ดังนี้ ๑. การกำหนดเป้าหมายคณุ ภาพเด็ก ซึง่ หลักสูตรการศึกษาปฐมวยั ไดก้ ำหนดมาตรฐานคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางเพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ในการพัฒนา เด็ก สถานศึกษาหรอื ผู้จัดการศึกษาสำหรับกลุ่มเปา้ หมายเฉพาะ สามารถเลอื กหรือปรับใช้ ตัวบ่งชี้ และสภาพ ท่พี ึงประสงค์ในการพัฒนาเด็ก เพ่อื นำไปจดั ทำแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคลให้ครอบคลุมพัฒนาการของ เด็กท้งั ดา้ นร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา ๒. การประเมนิ พัฒนาการเด็กจะต้องคำนึงถงึ ปัจจัยความแตกตา่ งของเด็ก อาทิ เดก็ ทม่ี คี วามพิการ แต่ละด้าน อาจต้องมีการปรับการประเมินพัฒนาการที่เอื้อต่อสภาพความพิการของเด็ก ทั้งวิธีการและ เครอื่ งมอื ท่ใี ช้ควรใหส้ อดคล้องกับเดก็ กลุ่มเปา้ หมายเฉพาะด้านดงั กลา่ ว ๓. สถานศึกษาที่มีเด็กกลุ่มเป้าหมายเฉพาะด้านควรได้รับการสนับสนุนครูพี่เลี้ยงให้การดูแล ช่วยเหลือและส่งเสริมพฒั นาการ กรณีท่มี เี ด็กกลุ่มเปา้ หมายเฉพาะดา้ นมีผลพัฒนาการไม่เปน็ ไปตามเป้าหมาย ควรมีการส่งตอ่ ไปยงั สถานพัฒนาเดก็ ท่มี คี วามต้องการพิเศษเพือ่ ใหไ้ ด้รับการพฒั นาต่อไป

การสร้างรอยเช่ือมตอ่ ระหวา่ งการศกึ ษาระดับปฐมวยั กบั ระดับประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ การสร้างรอยเชื่อมต่อระหว่างการศึกษาระดับปฐมวัยกับระดับประถมศึกษาปีที่ ๑ มีความสำคัญ อย่างยิ่ง ส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยในการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี สามารถ พัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างราบรื่น การเชื่อมต่อของการศึกษาระดับปฐมวัยกับระดับประถมศึกษาปีที่ ๑ จะ ประสบผลสำเร็จได้ บุคลากรทกุ ฝ่ายทเ่ี ก่ียวขอ้ งตอ้ งดำเนนิ การดังต่อไปนี้ ๑. ผ้บู ริหารสถานศกึ ษา ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทเป็นผู้นำในการสร้างรอยเชื่อมต่อระหว่าง หลักสตู รการศึกษาปฐมวัยกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐานในชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยต้องศึกษา หลักสูตรทั้งสองระดับ เพื่อทำความเข้าใจและจัดระบบการบริหารงานด้านวิชาการที่จะเอื้อต่อการเชื่อมต่อ การศกึ ษา โดยดำเนินการดังนี้ ๑.๑ จดั ประชุมผสู้ อนระดบั ปฐมวัยและผู้สอนระดับประถมศึกษา ร่วมกันสร้างความเข้าใจรอย เชื่อมต่อของหลักสูตรทั้งสองระดับให้เป็นแนวปฏิบัติของสถานศึกษา เพื่อผู้สอนทั้งสองระดับจะได้เตรียมการ สอนได้สอดคลอ้ งกับเดก็ วัยนี้ ๑.๒ จัดหาเอกสารหลักสูตรและเอกสารทางวิชาการของทั้งสองระดับมาไว้ให้ผู้สอนและ บคุ ลากรอื่นๆ ได้ศึกษาทำความเข้าใจ อยา่ งสะดวกและเพยี งพอ ๑.๓ จัดกจิ กรรมใหผ้ สู้ อนทงั้ สองระดับมโี อกาสแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ความรใู้ หมๆ่ รว่ มกัน ๑.๔ จัดหาสอื่ วัสดุอปุ กรณ์ และจดั สภาพแวดล้อมท่สี ่งเสรมิ การสรา้ งรอยเชอ่ื มตอ่ ๑.๕ จัดกิจกรรมให้ความรู้ กิจกรรมสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ และจัดทำเอกสารเผยแพร่ใหก้ บั พ่อแม่ ผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้พ่อแม่ ผู้ปกครองเข้าใจการศึกษาทั้งสองระดับและให้ความร่วมมือใน การชว่ ยเหลอื เด็กให้สามารถปรับตวั เข้ากบั สภาพแวดล้อมใหม่ไดด้ ี ในกรณีที่โรงเรียนไม่มีชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ในสถานศึกษาของตนเอง ผู้บริหารสถานศึกษาควร ประสานกับสถานศึกษาที่คาดว่าเด็กจะไปเขา้ เรียน เพื่อสร้างความเข้าใจให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ในการช่วยเหลอื เดก็ สามารถปรบั ตวั เขา้ กับสถานศึกษาใหมไ่ ด้ ๒. ผู้สอนระดับปฐมวัย ผูส้ อนระดับปฐมวยั ต้องศึกษาหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน การจัดการเรียนการสอน ในชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ และสรา้ งความเข้าใจให้กับพ่อแม่ ผปู้ กครองและบุคลากรอื่นๆ รวมทั้งช่วยเหลือเด็ก ในการปรบั ตัวกอ่ นเลื่อนขึ้นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ โดยผสู้ อนควรดำเนินการ ดังน้ี ๒.๑ เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กเป็นรายบุคคลเพื่อส่งต่อผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ซึ่งจะทำให้ผู้สอนระดับประถมศึกษาสามารถใช้ข้อมูลนั้นช่วยเหลือเด็กในการปรับตัวเข้ากับการเรียนรู้ใหม่ ต่อไป ๒.๒ พูดคุยกบั เด็กถึงประสบการณ์ทีด่ ีๆ เกีย่ วกับการจัดการเรียนรู้ในระดับช้ันประถมศึกษาปี ท่ี ๓ เพ่ือใหเ้ ด็กเกดิ เจตคตทิ ดี่ ีตอ่ การเรยี นรู้

๒.๓ จัดให้เด็กได้มีโอกาสทำความรู้จักกับผู้สอน ตลอดจนการสำรวจสภาพแวดล้อมและ บรรยากาศของห้องเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๑ ๒.๔ จัดสื่อ วัสดุอุปกรณ์ หนังสือที่เหมาะสมกับวัยเด็กที่ส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้และมี ประสบการณ์พ้นื ฐานทสี่ อดคลอ้ งกับรอยเชื่อมต่อในการเรยี นระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๑ ๓. ผู้สอนระดับประถมศกึ ษา ผ้สู อนระดับประถมศกึ ษาต้องมีความรู้ ความเขา้ ใจในพัฒนาการเด็กปฐมวัย และมีเจตคติที่ดีต่อ การจดั ประสบการณต์ ามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพื่อนำมาเป็นข้อมูลการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ระดับชั้น ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ ใหต้ ่อเน่อื งกับการพฒั นาเด็กในระดับปฐมวัย โดยควรดำเนินการ ดงั นี้ ๓.๑ จัดกิจกรรมให้เด็ก พ่อแม่ และผู้ปกครอง มีโอกาสได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกับผู้สอนและ หอ้ งเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ ก่อนเปดิ ภาคเรียน ๓.๒ จัดสภาพห้องเรียนให้ใกล้เคียงกับห้องเรียนระดับปฐมวัย โดยจัดให้มีมุมประสบการณ์ ภายในห้อง เพอื่ ใหเ้ ดก็ ได้มโี อกาสทำกจิ กรรมได้อยา่ งอสิ ระ เชน่ มุมหนงั สอื มมุ ของเลน่ มมุ เกมการศึกษา เพื่อ ชว่ ยใหเ้ ด็กชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ ได้ปรบั ตัวและเรยี นรูจ้ ากการปฏิบัตจิ รงิ ๓.๓ จัดกิจกรรมร่วมกนั กับเด็กในการสร้างข้อตกลงเกย่ี วกบั การปฏบิ ตั ิตน ๓.๔ จัดกิจกรรมชว่ ยเหลือ ส่งเสริมการเรยี นรู้ให้กบั เดก็ ตามความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล ๓.๕ เผยแพร่ขา่ วสารด้านการเรียนรแู้ ละสร้างความสัมพันธ์ท่ดี ีกบั เด็ก พอ่ แม่ ผู้ปกครอง และ ชมุ ชน ๔. พ่อแม่ ผ้ปู กครอง พอ่ แม่ ผู้ปกครองเป็นผ้มู บี ทบาทสำคัญในการอบรมเลี้ยงดูและสง่ เสริมการศึกษาของบุตรหลาน และเพอื่ ชว่ ยบตุ รหลานของตนเองในการศึกษาต่อชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ควรดำเนนิ การดังนี้ ๔.๑ ศึกษาและทำความเข้าใจหลักสตู รของการศกึ ษาท้ังสองระดับ ๔.๒ จัดหาหนงั สอื อุปกรณท์ เี่ หมาะสมกบั วัยเด็ก ๔.๓ มีปฏิสัมพนั ธ์ที่ดีกับบตุ รหลาน ใหค้ วามรกั ความเอาใจใส่ ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชดิ ๔.๔ จัดเวลาในการทำกจิ กรรมรว่ มกบั บตุ รหลาน เชน่ เล่านทิ าน อา่ นหนังสือร่วมกัน สนทนา พดู คยุ ซกั ถามปญั หาในการเรยี น ใหก้ ารเสรมิ แรงและใหก้ ำลังใจ ๔.๕ ร่วมมือกับผู้สอนและสถานศึกษาในการช่วยเตรียมตัวบุตรหลาน เพื่อช่วยให้บุตรหลาน ปรบั ตัวได้ดีข้ึน

ภาคผนวก

คำสัง่ โรงเรยี นบา้ นทับกมุ ารทอง ท0่ี 33/2563 เร่ือง แตง่ ตง้ั คณะกรรมการบริหารหลกั สตู รสถานศกึ ษาระดับปฐมวัย ปกี ารศกึ ษา 2563 ************************* เพื่อให้การจัดการศกึ ษาปฐมวยั ที่ต้องพฒั นาเด็กตั้งแต่แรกเกิด – 6 ปี ให้มีการพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสติปัญญา ท่เี หมาะสมกับวัย ความสามารถและความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล เปน็ การ เตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้และสรา้ งรากฐานชีวิตใหพ้ ัฒนาเด็กปฐมวัยไปสู่ความเป็นมนุษยท์ ี่สมบูรณ์ เป็นคนดี มี วินัย ภมู ิใจในชาติ และมีความรับผดิ ชอบต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ตามเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2560 มาตรา 45 ดังนั้นจึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการ ศึกษา พ.ศ. 2547 ว่าด้วยอำนาจผู้อำนวยการสถานศึกษา แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารหลักสูตรสถานศึกษา ระดับปฐมวยั พุทธศกั ราช 2560 แทนหลักสตู รสถานศกึ ษาระดับปฐมวัย พุทธศกั ราช 2546 ดงั นี้ นายณฐั พงษ์ แก้วอดุ ครู คศ.2 หัวหนา้ ฝา่ ยวชิ าการ นางจารวุ รรณ จับอนั ชอบ ครู คศ. 2 กรรมการ นางสาววญิ ญูดา กมั ปะหะ ครู คศ. 1 กรรมการ นางกฤษณา เดชวงศ์ษา พนกั งานราชการ กรรมการและเลขาฯ ท้ังน้ี ตง้ั แต่ปีการศึกษา 2563 เป็นตน้ ไป สั่ง ณ วันท่ี 5 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2563 ลงชอื่ ( นายเอราวรรณ์ ขตั ตวิ งั ) ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรยี นบ้านทับกมุ ารทอง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook