คมู่ ือการเขียนบทความการเขียนบทความวชิ าการ บทความทางวิชาการมีความสาคัญท้ังต่อตัวผู้เขียน ต่อวงการวิชาการ/วิชาชีพ และต่อสังคม ในด้านความสาคัญต่อผู้เขียน บทความทางวิชาการเป็นภาพสะท้อนถึงความต่ืนตัวทางวิชาการของผู้เขียนในการติดตามความรู้และวทิ ยาการใหมๆ่ ในแวดวงการศึกษา ตลอดจนความสามารถในการจัดระบบความคิดและนาเสนอ ในด้านความสาคญั ตอ่ วงการวชิ าการ/วิชาชีพ บทความทางวิชาการเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการกระจายความรู้และการพัฒนาองค์ความรู้ ในด้านความสาคัญต่อสังคม บทความทางวิชาการเสนอสาระความรู้และแนวความคิดต่างๆ อันเป็นจุดเริ่มต้นท่ีก่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติในด้านต่างๆดงั น้นั จึงจาเปน็ ทน่ี ักวชิ าการไม่ว่าจะอยใู่ นวงการวิชาการ/วิชาชีพใดจะต้องมีความรู้เก่ียวกับการเขียนบทความทางวชิ าการ1 ความหมายของบทความวิชาการ บทความวิชาการ (academic article) เป็นข้อเขียนเชิงสาระที่ผู้เขียนต้ังใจหยิบยกประเด็นใดประเดน็ หนง่ึ หรอื ปรากฏการณ์ทีเ่ กดิ ขึ้นในแวดวงวชิ าการ วิชาชีพ โดยมวี ตั ถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หรือวิพากษ์ทัศนะหรือแนวคิดเดิม และหรือนาเสนอหรือเผยแพร่แนวคิดใหม่ เพ่ือมุ่งให้ผู้อ่าน เปล่ียนหรือปรับเปลี่ยนแนวคิด ความเชื่อมาสู่แนวคิดของผู้เขียน บทความวิชาการเน้นการให้ความรู้เป็นสาคัญและต้องอาศัยข้อมูลทางวชิ าการ เอกสารอา้ งอิง และเหตุผลทพี่ ิสูจนไ์ ด้ เพ่ือสรา้ งความน่าเชื่อถอื ใหแ้ ก่ผู้อ่าน2 วตั ถปุ ระสงค์ของการเขยี นบทความวชิ าการ วัตถุประสงค์ของการเขียนบทความวิชาการมีอยู่หลายประเด็นด้วยกัน ส่วนใหญ่แล้วจะต้องการให้ผู้อ่านได้รับ ความรู้ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น แนวทางปฏิบัติ วิธีการแก้ปัญหาข้อคิด แรงบันดาลใจ ข้อแนะนาข้อเสนอแนะ ในการเขียนบทความวิชาการแต่ละครงั้ ผู้เขียนควรจะกาหนดวตั ถุประสงค์ของการเขียนให้ชัดเจนวา่ ตอ้ งการให้ผอู้ า่ นได้รับประโยชน์จากบทความในด้านใด เพราะในการเขียนบทความทางวิชาการถึงแม้จะเป็นเร่ืองเดียวกันแต่อาจมีวิธีการนาเสนอแตกต่างๆกัน หากผู้เขียนมีวัตถุประสงค์ในการเขียนต่างกัน ในการกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ของการเขยี นบทความวิชาการน้ัน ผ้เู ขียนจะตอ้ งตอบคาถามตามหลัก 5 W 1 H ก่อนที่จะทาการเขียนบทความวิชาการเพ่ือเป็นแนวในการกาหนดทิศทางของการเขียนและรูปแบบวิธีการนาเสนอเน้อื หาในบทความวชิ าการดังกลา่ ว โดย 5 W 1H ประกอบด้วย Who “จะเขยี นให้ใครอ่าน” ผู้เขียนบทความวิชาการจะต้องทราบกลุ่มเป้าหมายท่ชี ดั เจนว่าบทความดังกล่าวจะนาเสนอให้กลุ่มผู้อ่านท่ีเป็นกลุ่มหลักคือใครเช่น พนักงานสอบสวน นักวิชาการ หรือประชาชนท่ัว ๆ ไป เป็นต้น ท้ังนี้เน่ืองจากจะได้กาหนดวิธีการนาเสนอและเรื่องได้เหมาะสมกับกลุ่มผู้อ่าน ตลอดจนเป็นแนวทางในการวางโครงเร่ืองและการยกตัวอย่างในเนื้อหาให้สอดคล้องกับผู้ผ่าน What “จะเขียนเร่ืองอะไร” หลังจากท่ีได้กาหนดชัดเจนแล้วว่าจะเขียนบทความวิชาการให้กับใครอ่าน คาถามต่อมาท่ีต้องตอบคือ จะเขียนเรื่องอะไร ซ่ึงเร่ืองที่จะเขียนจะต้องสอดคล้องกับกลุ่มผู้อ่านด้วย Where “จะเขียนเพื่อเผยแพร่ท่ีไหน” สาหรับแหล่งที่จะเผยแพร่น้ันก็มีความสาคัญ เพราะแหล่งเผยแพร่แต่ละแห่งจะมีวัตถุประสงค์เฉพาะหรือมีกลุ่มผู้อ่านเฉพาะ เช่น เผยแพร่ผ่านวารสารวชิ าการของมหาวิทยาลัย เผยแพร่ผ่านส่ือหนังสือพิมพ์ หรือวารสารบันเทิงลักษณะการเขียนบทความวิชาการจะต่างกัน นอกจากน้ีรูปแบบการเขียน การอ้างอิง ลาดับหัวข้อของบทความที่เสนอผ่านแหล่งที่แตกต่างกันก็แตกต่างกันด้วย When “เวลาท่ีจะนาบทความลงเผยแพร่คือเม่ือใด” การรู้ช่วงเวลาท่ีจะเผยแพร่บทความนบั เป็นประเด็นสาคัญอีกประเด็นหน่ึง เนื่องจากบทความบางเรื่องหากนาเสนอในช่วงเวลาที่
ไม่เหมาะก็อาจจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน หรือหากนาเสนอพ้นช่วงเวลาท่ีควรนาเสนอแล้วบทความน้ันจะได้รับความสนใจน้อยหรือไม่มีใครอ่าน เช่น หากจะนาเสนอบทความวิชาการเรื่อง “ประเด็นท่ีควรคานึงถึงในการจัดทารฐั ธรรมนญู ” ควรนาเสนอบทความดังกล่าวในช่วงก่อนท่ีจะมีการจัดทารัฐธรรมนูญหรือ ช่วงเวลาทก่ี าลังมกี ารจัดทาฉบบั “รา่ ง” แต่หากเขียนบทความดังกล่าวหลังจากท่ีมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว เรื่องดังกล่าวจะดูล้าสมัยไป แต่สามารถแก้ไขได้โดยการปรับเปล่ียนเน้ือหาเป็นเร่ือง “ข้ันตอนการจัดทารัฐธรรมนูญ” หรือ “ประเด็นท่ีคนไทยควรรู้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” แทนเร่ืองเดิม เป็นต้น Why “จะนาเสนอเร่ืองน้ีทาไม” นอกจากผู้ท่ีจะเขียนบทความวิชาการจะต้องตอบคาถาม Who What Where และ henแลว้ จะตอ้ งอธบิ ายถึงเหตุผลของการเขียนบทความวิชาการว่าจะเขียนเร่ืองดังกล่าวทาไม ซ่ึงจะเช่ือมโยงถึง คาถาม Who What Where และ When เช่น จะเขียนเพื่อใช้สอนนักศึกษา จะเขียนเพ่ือไม่ให้คนไทยถูกหลอกหรือจะเขียนเพื่อเผยแพร่กฎหมายให้พนักงานสอบสวนทั่วไปทราบ How “จะนาเสนอเร่ืองน้ีอย่างไร” สาหรับหัวข้อน้ีผู้เขียนบทความวิชาการจะต้องกาหนดแนวทางการเขียนว่าจะนาเสนอสาระสาคัญ แยกเป็นก่ีประเด็น ประเด็นใหญ่ ๆ มีอะไรบ้าง ในประเด็นหลักมีประเด็นย่อย ๆ มีตัวอย่าง มีเหตุผล เพ่ือสนับสนุนประเด็นหลักอย่างไรบ้าง การวางโครงเร่ืองจะช่วยให้เขียนเรื่องได้ง่าย ไปในทิศทางที่ต้องการ ไม่สับสน ไม่กล่าวซ้าซาก ไม่นอกเรื่อง ประเด็นท่ีผู้เขียนบทความวิชาการท่ียึดตามหลัก 5 W 1 H ต้องคานึงถึงคือความเชอื่ มโยง ต่อเนอ่ื งและสอดคลอ้ งในแต่ละข้อของ 5 W 1 H เพ่อื ไม่ให้ผู้อ่านบทความสับสนและผู้เขียนบทความเองก็จะไดไ้ ม่หลงประเด็น3 การเขียนโครงเร่อื งของบทความวชิ าการ หลังจากที่ผู้เขียนได้เรื่องท่ีจะเขียนแล้ว ก่อนที่จะลงมือเขียนบทความ ผู้เขียนควรจะมีการเขียนหรือวางโครงเร่ืองของบทความก่อน โครงเรื่องหมายถึง การกาหนดเนื้อหาของบทความ โดยวิธีการจัดลาดับความคิดให้เป็นหมวดหมู่ หรือเป็นข้ันตอนตามลาดับความสาคัญ และความสัมพันธ์ของเนื้อหาที่จะเขียน โดยลกั ษณะโครงเรอ่ื งทีด่ จี ะตอ้ ง 1) อยใู่ นขอบเขตของเรือ่ งที่จะเขียน 2) เนอื้ เรอื่ งไมซ่ า้ ซ้อนกัน 3) ความสัมพันธ์ของเน้ือเร่ืองทุกหัวข้อมีการเรียงลาดับความก่อนหลังตามลาดับที่ควรเสนอ และมีความเชอ่ื มโยงเนื้อเรอ่ื งเข้าดว้ ยกัน 4) สาระความสาคัญครบถ้วนท้ังน้ีในการเขียนโครงเร่ืองเพื่อให้ผู้เขียนได้รู้ว่าตนเองควรจะมีการจัดลาดับของการเขียนอย่างไร ขั้นตอนของการเขยี นโครงเร่อื ง มีดังน้ี (1) ค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล เป็นการรวบรวมเนื้อหาท่ีเป็นทั้งความรู้ ข้อเท็จจริง และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเร่ืองท่ีจะเขียนจากเอกสารและสถิติต่างๆ ทั้งนี้อาจจะมีการเก็บรวบรวมขอ้ มูลโดยวิธกี ารอนื่ ๆ ประกอบ เช่น การสมั ภาษณ์ การสนทนา แลกเปลีย่ นความคิดเห็น ฯลฯ (2) จัดหมวดหมู่การคิด เป็นการคัดสรรประเด็นที่เก่ียวข้องกับเรื่องที่จะเขียนว่าเรื่องใดเก่ียวข้องมากน้อยเพียงใด แนวคิดใดท่ีเป็นเรื่องเดียวกันหรือใกล้เคียงกันให้อยู่ในพวกเดียวกัน หรือจัดเป็นประเดน็ หลัก ประเดน็ รอง (3) จดั ลาดับความคิด เมือ่ ไดจ้ ัดหมวดหมู่ความคิดแล้ว จะนามาจัดลาดับความคิดตามวิธีการต่างๆ เช่น จัดลาดับความคิดเห็นตามเวลาหรือเหตุการณ์ตามลาดับการเกิดก่อน – หลัง จัดลาดับตามสถานที่เช่น แบ่งตามภูมิภาค เหนือ กลาง ใต้ ตะวันออก และ ตะวันตก หรือการจัดลาดับความคิดจากส่วนรวมไปหา
ส่วนย่อย หรือจากส่วนย่อยๆ ไปหาส่วนรวม เป็นต้น ทั้งน้ีการจัดลาดับความคิดต้องจัดให้เป็นระบบ ให้เขียนตามลาดับขน้ั ตอนเพอ่ื จะให้ผ้อู ่านเข้าใจตามลาดบั4 ส่วนประกอบของบทความวชิ าการ บทความวิชาการที่จะตีพิมพ์ในวารสารคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร มีสว่ นประกอบดงั ต่อไปน้ี 1) ช่อื เรือ่ ง (title) การกาหนดชื่อเรอื่ ง ตอ้ งใชภ้ าษาที่เป็นทางการ ชื่อเรื่องชัดเจน ตรงไปตรงมา และครอบคลมุ ประเดน็ ของเร่อื งและมีความยาวไม่เกิน 100 ตัวอักษร ชื่อเร่ืองจะต้องสื่อถึงเน้ือหาของเรื่อง ซึ่งต้องมีลักษณะท่ีเจาะลึก ไม่กว้างเกินไป มีความใหม่และน่าสนใจสอดคล้องกับเวลา สถานการณ์ และนโยบายของวารสาร 2) บทคดั ย่อ (abstract) ควรเขียนใหส้ นั้ กระชบั เน้นประเด็นสาคัญของงานที่ต้องการนาเสนอจริงๆมีความยาวไม่เกิน 10 ถึง 15 บรรทัด โดยบทคัดย่อมักจะประกอบด้วยเน้ือหาสามส่วน คือ เกริ่นนา สิ่งท่ีทาสรุปผลสาคัญท่ีได้ ซ่ึงอ่านแล้วต้องเห็นภาพรวมท้ังหมดของงาน ควรมีคาสาคัญอยู่ในบทคัดย่อเพ่ือให้ระบบสืบค้นฐานขอ้ มูลตรวจพบ และควรเขียนเปน็ ส่งิ สุดท้ายหลงั จากเขยี นสว่ นอื่นท้ังหมดแล้ว 3) บทนา หรือคานา (introduction) ส่วนนาจะเป็นส่วนท่ีผู้เขียนจูงใจให้ผู้อ่านเกิดความสนใจในเรอื่ งนน้ั ๆ ซ่งึ สามารถใช้วธิ ีการและเทคนคิ ต่างๆ ตามแตผ่ ู้เขียนจะเห็นสมควร เช่น อาจใช้ภาษาท่ีกระตุ้น จูงใจผู้อ่านหรือยกปัญหาที่กาลังเป็นที่สนใจขณะนั้นข้ึนมาอภิปราย หรือต้ังประเด็นคาถามหรือปัญหาท่ีท้าทายความคดิ ของผอู้ ่านหรอื อาจจะกลา่ วถงึ ประโยชนท์ ผ่ี ้อู ่านจะได้รบั จากการอา่ น เป็นต้น นอกจากจะเป็นส่วนท่ีใช้จูงใจผู้อ่านแล้ว ส่วนนาเป็นส่วนท่ีผู้เขียนสามารถกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเขียนบทความน้ัน หรือให้คาชี้แจงที่มาของการเขียนบทความน้ัน ๆ รวมทั้งขอบเขตของบทความนั้น เพื่อช่วยให้ผู้อ่านไม่คาดหวังเกินขอบเขตท่ีกาหนด นอกจากนั้นผู้เขียนอาจใช้ส่วนนาน้ีในการปูพ้ืนฐานที่จะเป็นในการอ่านเร่ืองนั้นให้แก่ผู้อ่านหรือใหก้ รอบแนวคดิ ท่ีจะช่วยให้ผอู้ า่ นเข้าใจเนือ้ หาสาระทนี่ าเสนอต่อไป บทนาประกอบดว้ ย (1) หลักการและเหตุผล (rationale) หรือความเป็นมาหรือภูมิหลัง (Background) หรือความสาคญั ของเรื่องท่เี ขียน (justification) หัวขอ้ น้จี ะทาใหผ้ ู้อา่ นไดท้ ราบเปน็ พนื้ ฐานไว้ก่อนว่าเร่ืองที่เลือกมาเขียนมคี วามสาคญั หรอื มีความเป็นมาอย่างไรเหตผุ ลใดผูเ้ ขียนจงึ เลือกเรื่องดังกล่าวข้ึนมาเขียน ในการเขียนบทนาในย่อหนา้ แรกซึง่ ถือวา่ เป็นการเปิดตัวบทความทางวิชาการ และเป็นย่อหน้าทีด่ ึงดดู ความสนใจของผอู้ า่ น (2) วัตถุประสงค์ เป็นการเขียนว่าในการเขียนบทความในครั้งนี้ต้องการให้ผู้อ่านได้ทราบเรื่องอะไรบ้าง โดยจานวนวัตถุประสงค์แต่ละข้อไม่ควรมีมากเกินไปและวัตถุประสงค์แต่ละหัวข้อจะต้องสอดคลอ้ งกบั เร่อื งหรอื เนอื้ หาของบทความ (3) ขอบเขตของเรื่อง ท่ีผู้เขียนต้องการจะบอกกล่าวให้ผู้อ่านทราบและเข้าใจตรงกัน เพ่ือเป็นกรอบในการอ่านโดยการเขียนขอบเขตน้ัน อาจข้ึนอยู่กับปัจจัยในการเขียน ได้แก่ ความยาวของงานท่ีเขียน หากมีความยาวไม่มากก็ควรกาหนดขอบเขตการเขียนให้แคบลงไม่เช่นน้ันผู้เขียนจะไม่สามารถนาเสนอเร่ืองได้ครบถ้วนสมบูรณ์ และระยะเวลาท่ีต้องรวบรวมข้อมูล การกาหนดเร่ืองท่ีจะเขียนท่ีลึกซ้ึง สลับซับซ้อนหรือเป็นเรื่องเชิงเทคนิคอาจจะยากต่อการรวบรวมข้อมูลและเรียบเรียงเนื้อเร่ือง ดังน้ันหากมีเวลาน้อยก็ควรพิจารณาเขียนเรอ่ื งท่ีมขี อบเขตไม่กวา้ งหรือสลับซับซ้อนมากนกั (4) คาจากดั ความหรือนยิ ามตา่ ง ๆ ทีผ่ เู้ ขียนเห็นวา่ ควรระบุไวเ้ พื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในกรณีที่คาเหล่านั้นผู้เขียนใช้ในความหมายท่ีแตกต่างจากความหมายท่ัวไปหรือเป็นคาท่ีผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจ
ความหมายถือเป็นการทาความเข้าใจและการสื่อความหมายให้ผู้เขียนบทความและผู้อ่านบทความเข้าใจตรงกัน รวมทงั้ เปน็ การขยายความหมายให้สามารถตรวจสอบหรือสงั เกตไดด้ ว้ ย 4) เน้ือเร่ือง (body) การเขียนส่วนเน้ือเร่ืองจะต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ประกอบกัน กล่าวคือ ในส่วนที่เก่ียวข้องกับศาสตร์ (sciences) นั้นคือหลักวิชาการที่ผู้เขียนจะต้องคานึงถึงในการเขียน ได้แก่ กรอบแนวความคิด conceptual framework) ที่ผู้เขียนใช้ในการเขียนจะต้องแสดงให้เห็นความเช่ือมโยงของเหตุที่นาไปสู่ผล (causal relationship) การอ้างอิงข้อมูลต่าง ๆ ในส่วนศิลป์ (art) ได้แก่ ศิลป์ในการใช้ภาษาเพ่ือนาเสนอเร่ืองที่เขียน การลาดับความ การบรรยาย วิธีการอ้างอิง สถิติและข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบเรอ่ื งท่ีเขยี น เพอ่ื ให้ผูอ้ ่านเกดิ ความเขา้ ใจและประทับใจมากท่สี ดุ ในส่วนเนื้อหาสาระผูเ้ ขยี นควรคานึงถึงประเดน็ สาคัญๆ ดงั ต่อไปน้ี (1) การจัดลาดับเน้ือหาสาระ ผู้เขียนควรมีการวางแผนจัดโครงสร้างของเนื้อหาสาระที่จะนาเสนอ และจดั ลาดับเน้อื หาสาระให้เหมาะสมตามธรรมชาติของเน้ือหาสาระน้ัน การนาเสนอเน้ือหาสาระควรมีความตอ่ เนอื่ งกนั เพือ่ ชว่ ยใหผ้ ู้อ่านเข้าใจสาระนัน้ ได้โดยงา่ ย (2) การเรียบเรียงเนื้อหา ในส่วนนี้ต้องอาศัยความสามารถของผู้เขียนในหลายด้านนอกเหนือจากความเข้าใจในเนื้อหาสาระ เช่น ด้านภาษา ดา้ นสไตล์การเขยี น ด้านวิธีการนาเสนอ การนาเสนอเน้ือหาสาระให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและได้อย่างรวดเร็วน้ัน จาเป็นต้องใช้เทคนิคต่างๆ ในการนาเสนอเข้าช่วยเชน่ การใชส้ ื่อประเภทภาพ แผนภูมิ ตาราง กราฟ เปน็ ตน้ (3) การวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ ต้องเป็นไปอย่างมีหลักการ ทฤษฎี หรือมีหลักฐานอ้างอิงอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ มีความเป็นเหตุเป็นผลท่ีน่าเชื่อถือ มีการอ้างอิงข้อมูลท่ีเชื่อถือได้ เพื่อนาไปสู่ขอ้ สรุปด้วยทรรศนะของกลุ่มและมุมมองของผู้เข้าร่วมสัมมนา โดยมีการเรียบเรียงเรื่องราวต่อเนื่องกันตามลาดับอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านหรือผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถนาเร่ืองน้ัน ๆ ไปปรับใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ได้อีกทางหนึง่ (4) การใชภ้ าษา การเขยี นบทความทางวิชาการ จะต้องใชค้ าในภาษาไทยหากคาไทยน้ันยังไม่เป็นที่เผยแพร่หลาย ควรใส่คาภาษาต่างประเทศไว้ในวงเล็บ ในกรณีที่ไม่สามารถหาคาไทยได้ จะเป็นต้องทับศัพท์ก็ควรเขียนคาน้ันให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตสถาน ไม่ควรเขียนภาษาไทยและต่างประเทศปะปนกัน เพราะจะทาให้งานเขียนนั้นมีลักษณะของความเป็นทางการ (formal) ลดลง ผู้เขียนบทความทางวิชาการจาเป็นต้องพิถีพิถันในเรื่องการเขียนตัวสะกดการันต์ต่างๆ ให้ถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน และควรตรวจทานงานของตนไม่ให้ผิดพลาด เพราะงานน้ันจะเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการตอ่ ไป (5) วิธีการนาเสนอ การนาเสนอเนื้อหาสาระให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและได้อย่างรวดเร็วน้ัน จาเป็นต้องใช้เทคนิคต่างๆ ในการนาเสนอเข้าช่วย เช่น การใช้ส่ือประเภทภาพ แผนภูมิ ตาราง กราฟ เป็นต้นผเู้ ขียนควรมกี ารนาเสนอสอ่ื ต่างๆ นอ้ี ย่างเหมาะสม และถูกต้องตามหลักวิชาการ เช่น การเขียนช่ือตาราง การให้หัวขอ้ ต่างๆ ในตาราง เป็นต้น 5) สว่ นสรุป บทความทางวิชาการที่ดีควรมีการสรุปประเด็นสาคัญๆ ของบทความน้ันๆ ซ่ึงอาจทาในลักษณะท่ีเป็นการย่อ คือการเลือกเก็บประเด็นสาคัญๆ ของบทความนั้นๆ มาเขียนรวมกันไว้อย่างส้ันๆ ท้ายบท หรอื อาจใชว้ ธิ ีการบอกผลลัพธ์ว่า ส่ิงที่กล่าวมามีความสาคัญอย่างไร สามารถนาไปใช้อะไรได้บ้าง หรือจะทาให้เกิดอะไรต่อไป (ปรีชา ช้างขวัญยืน และคณะ . 2539 : 14 ) หรืออาจใช้วิธีการต้ังคาถามหรือให้ประเด็น
ท้ิงท้ายกระตุ้นให้ผู้อ่านไปสืบเสาะแสวงหาความรู้ หรือคิดค้นพัฒนาเร่ืองน้ันต่อไป งานเขียนท่ีดีควรมีการสรุปในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเสมอ 6) ส่วนอ้างอิง เน่ืองจากบทความทางวิชาการ เป็นงานที่เขียนขึ้นบนพ้ืนฐานของวิชาการท่ีได้มีการศึกษา ค้นคว้า วิจัยกันมาแล้ว และการวิเคราะห์ วิจารณ์อาจมีการเช่ือมโยงกับผลงานของผู้อื่นจึงจาเป็นต้องมีการอ้างอิงเมื่อนาข้อความหรือผลงานของผู้อ่ืนมาใช้ โดยการระบุให้ชัดเจนว่าเป็นงานของใคร ทาเม่ือไรและนามาจากไหน เป็นการให้เกียรติเจ้าของงาน และประกาศให้ผู้อ่านรับรู้ว่า ส่วนนั้นไม่ใช่ความคิดของผู้อ่ืนรวมทง้ั เปน็ การใหห้ ลักฐานแกผ่ อู้ ่าน ใหผ้ ู้อา่ นสามารถไปสืบเสาะแสวงหาความรู้เพ่ิมเติม หรือติดตามตรวจสอบหลักฐานได้ การอา้ งอิงควรจะเป็นการกระทาอย่างมีจุดหมาย เพ่ือให้ผู้อ่านได้ทราบแหล่งที่มาของความรู้ และช่วยให้ผู้อ่านมีโอกาสหาความรู้เพ่ิมข้ึนและเป็นการแสดงว่าสิ่งที่นามากล่าวมีหลักฐานควรเช่ือถือได้เพียงใดความรู้พื้นๆ ท่ีเป็นสิ่งท่ีผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย ไม่จาเป็นต้องมีการสืบค้นอะไรอีก ไม่จาเป็นต้องมีการอ้างอิง ควรอ้างอิงเท่าท่ีจาเป็น การอ้างอิงมากเกินจาเป็น จะทาให้บทความดูรุ่มร่าม และก่อความราคาญในการอ่านได้นอกจากน้ัน พึงตระหนักอยู่เสมอว่าการคัดลอกงานของผู้อ่ืนนั้นทาได้ แต่ต้องเป็นการนามาเพื่ออธิบายสนบั สนนุ เทา่ นั้น ไม่ใชล่ อกเอามาเปน็ เน้อื งานของตน3.5 การเผยแพรบ่ ทความวชิ าการ แหล่งเผยแพรบ่ ทความทางวชิ าการ มที ัง้ ทเ่ี ป็นส่ือสิ่งพิมพ์ ส่ือบุคคล และสื่ออิเล็คทรอนิคส์ประเภทสื่อส่ิงพิมพ์ อาทิ วารสารทางวิชาการวารสารก่ึงวิชาการ หนังสือรวมเรื่อง และเอกสารประกอบการประชุม สัมมนาทางวิชาการ ส่ือบุคคล อาทิ การนาเสนอผลงานในการประชุม สัมมนาทางวิชาการ การบรรยาย/อภิปราย และสือ่ อิเลคทรอนกิ ส์ อาทิ เวบ็ ไซต์ ฐานขอ้ มูล ในการเตรียมบทความทางวิชาการ ต้องทราบแหล่งเผยแพร่และวิธีจัดเตรียมต้นฉบับท่ีแหล่งเผยแพร่น้ันๆ กาหนด เช่น ต้องทราบว่าแหล่งเผยแพร่เป็นวารสารวิชาการ หรือวารสารกึ่งวิชาการ วัตถุประสงค์ในการเผยแพร่เป็นอย่างไรกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มใด ความยาวของบทความกาหนดไว้กี่หน้า อักษรท่ีใช้ในการพิมพ์เป็นแบบไหน ใช้การอ้างอิงรูปแบบใด เพ่ือสามารถจัดเตรียมบทความทางวิชาการได้อย่างเหมาะสม ในการเลือกแหล่งเผยแพร่ที่เป็นวารสารวชิ าการ เพอื่ การเผยแพรบ่ ทความทางวชิ าการมหี ลกั เกณฑด์ งั นี้ 1) เป็นวารสารท่ีจดั พิมพต์ ่อเนอ่ื งทกุ ปี ตรงตามเวลาที่กาหนด 2) เปน็ วารสารทีอ่ อกต่อเนือ่ งมาแลว้ ไมน่ ้อยกวา่ 3 ปี 3) กองบรรณาธิการประกอบด้วย ผทู้ ี่มคี วามรู้ ประสบการณ์ในวชิ าชีพเพยี งพอ 4) มผี ู้ทรงคณุ วฒุ ิอ่านพจิ ารณาบทความอย่างนอ้ ย 2 ท่าน 5) ถูกนาไปทาดรรชนวี ารสารไทย 6) มีค่า impact factor สูง (การวัดค่าความถ่ีของการอ้างอิงบทความวารสารในแต่ละปี เป็นเครื่องมอื ชว่ ยประเมนิ เปรยี บเทียบวารสาร) 7) มบี ทคดั ยอ่ ท้ังภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 8) มเี อกสารอา้ งองิ 9) มีรายชอ่ื อา้ งองิ อย่ใู นฐานขอ้ มลู ของต่างประเทศ3.6 หลักเกณฑ์สากลสาหรับพิจารณามาตรฐานบทความทางวิชาการ 1) มคี วามถกู ตอ้ ง เหมาะสม จากขอ้ เท็จจริงทางทฤษฎี 2) มหี ลักฐานการอ้างอิงประกอบ เช่น สถติ ิ ข้อเสนอแนะจากผูเ้ ชีย่ วชาญ 3) ข้อมูลทีเ่ สนอมคี วามนา่ เชือ่ ถอื อาจเปน็ ข้อมูลปฐมภมู จิ ากการสังเกต ทดลอง สอบถาม 4) เนื้อหาทนี่ าเสนอตรงประเด็น สาดบั ข้นั ตอน เชื่อมโยง ต่อเนอ่ื ง
5) ภาษาชดั เจน ไมก่ ากวม ฟมุ่ เฟอื ย ใช้ศพั ท์วิชาการได้ถูกต้อง6) ขอ้ มลู ทันสมัย อา้ งอิงยอ้ นหลงั ไม่เกิน 10 ปีการต้งั คา่ หนา้ กระดาษ
ตวั อยา่ งการเขียนบทความวชิ าการชอื่ เรื่องบทความ แบบอักษร TH SarabunPSK 18ชือ่ ผู้เขียนที่ 1 นามสกุล (Firstname Lastname)1 อกั ษรแบบ TH SarabunPSK ขนาด 16 ptช่อื ผเู้ ขยี นท่ี 2 นามสกุล (Firstname Lastname)21ตาแหนง่ สถานที่ทางาน และ Email address ของผเู้ ขยี นท่ี 1 TH SarabunPSK ขนาด 16 pt2ตาแหนง่ สถานท่ที างาน และ Email address ของผู้เขียนที่ 2บทคัดย่อ คาแนะนาที่แสดงในเอกสารฉบับนี้ใช้สาหรับผู้ท่ีมีความประสงค์ส่งบทความวิชาการเพ่ือตีพิมพ์ลงวารสารคณะเทคโนโลยีอุสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคา โดยกองบรรณาธิการวารสารได้กาหนดรูปแบบและหลักเกณฑ์ในการพิมพ์บทความให้แก่ผู้เขียนได้ปฏิบัติตาม ท้ังนี้ เพื่อให้ทุกบทความที่จะตีพิมพ์อยู่ในรูปแบบและหลักเกณฑ์ที่มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้สะดวกและเป็นการประหยัดเวลาในการจัดทารูปเล่มวารสาร บทคัดย่อทั้งภาษาไทยและอังกฤษความยาวไม่ควรเกิน 300 คา และใช้ตัวอักษรแบบ THSarabunPSK ขนาด 16 ptABSTRACT : Authors of papers to proceedings have to type the papers in a form suitable fordirect photographic reproduction by the publisher. In order to ensure uniform stylethroughout the volume, all the papers have to be prepared strictly according to theinstructions set below. The publisher will reduce the camera-ready copy to 75% and print itin black and white only. Abstracts both in Thai and English shall not exceed 300 words andthe font shall be TH SarabunPSK with 16 pt.KEYWORDS : โปรดระบุ Keyword (เป็นภาษาอังกฤษตัวปกติ อักษรแรกเป็นตัวพิพม์ใหญ่ ค่ันด้วยจุลภาค)ควรเป็นคาสาคัญหรอื ศัพทเ์ ฉพาะทางท่เี หน็ แล้วเข้าใจได้ทนั ทีว่างานชน้ิ นเ้ี ก่ียวกบั อะไร จานวนไม่เกนิ 5 -8 คา
1. บทนา ใช้แบบตัวอักษร TH SarabunPSK ตัวอักษรขนาด 16 ทั้งบทความ ใช้กระดาษขนาด A4 หลังจากKeywords ให้แบ่งบทความออกเป็นสองสดมภ์ตามรูปแบบการต้ังค่าหน้ากระดาษ ส่วนประกอบหลักของบทความใหเ้ รยี งตามลาดบั ดงั รายละเอยี ดในตารางที่ 1การจัดลาดับของหัวข้อในส่วนของเน้ือเร่ือง ให้ใช้เลขกากับโดยให้บทนาเป็นหัวข้อหมายเลข1 และหากมีการแบ่งหวั ขอ้ ยอ่ ย กใ็ หใ้ ช้เลขระบบทศนิยมกากบั หวั ขอ้ ยอ่ ย เช่น 1.1 เป็นต้น1.1 ตาราง วางตารางให้ใกล้ตาแหน่งท่ีอ้างถึงในบทความ พิมพ์ชื่อและลาดับท่ีของตารางเหนือตาราง และพิมพ์คาอธิบายเพมิ่ เติมใตต้ าราง ตารางทกุ ตารางจะต้องมหี มายเลข และคาบรรยายกากบั เหนอื ตารางหมายเลขกากับและคาบรรยายน้ีรวมกันแล้วควรจะมีความยาวไม่เกิน 2 บรรทัด คาบรรยายเหนือตาราง ห้ามใช้คา“แสดง” เช่น ห้ามเขียนว่า“ตารางท่ี 1 แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง……” ท่ีถูกต้องคือ “ตารางที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่าง………….” เพื่อความสวยงาม จะต้องเวน้ บรรทดั ใต้ตาราง1 บรรทัดลักษณะท่ัวไปของตารางให้อา้ งอิงจากตารางท่ี 11.2 ระยะระหวา่ งสว่ นประกอบ เว้น 1 บรรทัดขนาด 16 ระหว่าง Title และชื่อผู้แต่ง เว้น 1 บรรทัดขนาด 16 ระหว่างช่ือผู้แต่งและตาแหน่ง สถานท่ีทางาน เว้น 3 บรรทัดขนาด 16 ระหว่างตาแหน่ง สถานท่ีทางานของผู้แต่งกับบทคัดย่อนอกนนั้ ให้ใชร้ ะยะขนาด 16 ในการเวน้ บรรทดัตารางท่ี 1 ขนาดและลักษณะของตัวอักษร และระยะระหวา่ งบรรทดัสว่ นประกอบ ขนาดอกั ษรและ ลักษณะอักษรชือ่ บทความ 18 หนาTitle 18 หนาชอ่ื ผ้เู ขยี น 16 พมิ พใ์ หญ่สถานท่ตี ดิ ตอ่ 16 หนาบทคดั ยอ่ 16 ตวั แรกเอยี งAbstract 16 ปกติKeywords 16 ปกติหัวขอ้ หลกั 16 ปกติหัวข้อรอง 16 หนา ตัวแรกปกติเน้อื ความทวั่ ไป 16 ปกติตารางและภาพ 16 เอยี งกิตติกรรมประกาศ 16 ปกติ 1เอกสารอ้างองิ 16 ปกติ 2เกี่ยวกับผ้เู ขียน 16 ปกติ
1 เว้นระยะ 5 มม. จากทางซ้ายสาหรับบรรทัดแรกของแต่ละย่อหนา้ 2 ตัวหนาตรงคาว่า ตารางท่ี x และ ภาพท่ี x 2 ตงั้ ก้ันซ้ายที่ระยะ 5 มม.1.3 รูป และรปู ภาพ วางรูปและรูปภาพให้ใกล้ตาแหน่งที่อ้างถึง ในบทความ พิมพ์ช่ือและลาดับท่ีของรูปใต้รูป พร้อมคาบรรยายไว้กึง่ กลางของสดมภ์ ลักษณะท่ัวไปของรูปให้อา้ งองิ จากรปู ท่ี 1 รูปภาพควรเป็นสีขาว- ดา และมีขนาด เท่ากับความกว้างของสดมภ์โดยวางชิดขอบ ซ้ายของสดมภ์พึงระลึกว่าในการตีพมิ พ์ บทความ ขนาดของบทความจะถูกย่อเล็กลง เป็น 75% ของขนาด- เดิม รายละเอียดของ รูปภาพท่ีเลก็ เกนิ ไปจึงอาจไม่ชัดเจนภาพที่ 1 คาอธบิ ายชอื่ รูปหรอื ภาพถ่ายทั่วไป ทงั้ รูปและภาพถ่ายที่นามาแสดงจะตอ้ งมคี วาม ชัดเจน1.4 สมการ วางสมการชดิ ขอบซ้ายของสดมภ์ ใส่ลาดับ ที่ของสมการใน ( ) ณ ขอบขวาของสดมภ์ใน บรรทัดเดยี วกัน สมการท่ี 1 แสดงตัวอยา่ งของ สมการ1 ( ) xx xx1.5 การอ้างอิง ให้ใช้สัญลักษณ์ [x] ในการอ้างอิงถึง เอกสารอ้างอิงลาดับท่ี x ในเอกสารอ้างอิง ให้ ใช้คาว่ารูปที่ y และ ตารางที่ z ในการอ้างอิง ถึงรูปท่ี y และตารางท่ี z ตามลาดับ และ หลีกเลี่ยงการอ้างอิงถึงเอกสารอ้างองิ ใน เนือ้ ความของบทคดั ยอ่กรณบี ทความภาษาอังกฤษผู้เขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษ จะใช้รูปแบบ และขนาดของตัวอักษร และรูปแบบของ บทความแบบเดียวกนั กบั บทความท่ีเขียนเป็น ภาษาไทย แตไ่ ม่ใหม้ ภี าษาไทยแทรกอยู่ใน บทความน้ันๆเอกสารอ้างอิง[1] นามผู้ประพันธ์ , ปีท่ีพิมพ์ . ชื่อหนังสือ . จานวนเล่ม (ถ้ามี). คร้ังที่พิมพ์ (ถ้ามี). ชื่อชุด หนังสือและลาดับที่(ถา้ มี). สถานท่ีพมิ พ์ : สานกั พิมพ์.[2] นามผู้ประพันธ์, ปีที่พมิ พ.์ ชอื่ หนังสอื . แปล โดย นามผู้แปล. สถานทพี่ มิ พ์ : สานักพิมพ์.[3] นามผู้เขยี นบทความ , ปีที่พิมพ์ . ชื่อ บทความ. ใน ช่ือบรรณาธิการ , ช่ือหนังสือ, เลขหน้า. สถานที่พิมพ์ :สานกั พมิ พ์.[4] นามผู้เขยี นบทความ , ปที พ่ี ิมพ์ . ชอื่ บทความ. ช่ือวารสาร, เล่มที่ : เลขหนา้ .[5] นามผู้เขยี นบทความ , วนั เดือน ปี . ชอ่ื บทความ. ช่อื หนงั สือพิมพไ์ ทย : เลขหนา้ .[6] นามผู้เขียนบทความ , ป,ี เดอื น วนั . ช่อื บทความ . ชอ่ื หนงั สอื พิมพ์ตา่ งประเทศ : เลขหนา้ .[7] นามผเู้ ขยี นวทิ ยานพิ นธ์, ปี. ช่ือวิทยานพิ นธ์. ระดบั วิทยานพิ นธ์ ( หรือปริญญานิพนธ์ ) มหาวทิ ยาลยั .[8] นามผู้บรรยาย, ปี. ชือ่ หวั ข้อบรรยาย. ช่ืองานสมั มนา, ชอื่ สถานทที่ ี่บรรยาย.[9] นามผ้ปู ระพันธ์, วนั เดอื น ปที ี่ลงข้อความ(ถา้ มี). ชอ่ื เร่ือง. ชอ่ื หนว่ ยงาน
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: