สื่อสร้างสรรค์ธุรกิจ ดิจิทัล 30204-2102 digtal business creative media ธนเดช โรจนรูป 180000.-
คำอธิบายรายวิชา ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับหลักการและกระบวนการคิดสื่อ สร้างสรรค์ทางธุรกิจ องค์ประกอบ และรูปแบบของสื่อดิจิทัล เทคนิคการสร้างสรรค์สื่อข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดีโอตามแนวคิดกลยุทธ์เนื้อหาและการออกแบบให้ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ ผลิตสื่อสร้างสรรค์ทาง ธุรกิจโดยใช้เครื่องมือดิจิทัลให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของธุรกิจ ที่กำหนด จุดประสงค์รายวิชา 1. เข้าใจหลักการ กระบวนการคิดสื่อสร้างสรรค์ทางธุรกิจ 2. สามารถผลิตสื่อสร้างสรรค์ทางธุรกิจ 3. มีเจตคติและกิจ นิสัยที่ดีในการปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ละเอียดรอบคอบ สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรู้ หลักการ กระบวนการคิดสื่อสร้างสรรค์ ทางธุรกิจ 2. ออกแบบสื่อสร้างสรรค์ทางธุรกิจ 3. ผลิตสื่อสร้างสรรค์ทางธุรกิจ
สื่อดิจิทัล คือ..... สื่อดิจิทัล หมายถึง สื่อที่มีการนำเอาข้อความ กราฟิก ภาพ เคลื่อนไหว เสียง มาจัดรูปแบบ โดยอาศัยเทคโนโลยีความ เจริญก้าวหน้ าทางด้านคอมพิวเตอร์ สื่อสารทางออนไลน์ สื่อ ผสม หมายถึง สื่อมัลติมีเดีย ที่ต้องอาศัยการใช้ คอมพิวเตอร์แสดงผล เป็นลักษณะการผสมสื่อหลายชนิด เข้าด้วยกัน โดยเน้ นที่การ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้เห็น ได้ เลือกก่อนนำมาใช้ วิวัฒนาการ การพัฒนาการเขียนในยุค ต่างๆ ในอดีตทำให้เกิดการเรียนรู้จนถึงปัจจุบันสู่การใช้การ สื่อสารทางอินเทอร์ เน็ตเป็นสถิติที่สูง ทำให้ต้องมีการ บริหารจัดการ และกำหนดมาตรฐานสื่อดิจิทัลขึ้นเพื่อให้ผู้ ใช้ได้เข้าถึงได้สูงสุด
หน่วยการเรียนรู้ที่1 งานออกชินงานนำเสนอด้วยแบบดิจิทัล หลักการออกแบบการนำเสนอด้วยส่อธุรกิจดิจิทัล หลักการออกแบบการนำเสนอข้อมูลข้อมูลโดยทั่วไปจะมีหลัก การคล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็ นการนำเสนอผ่านสื่อรูปแบบต่างๆ เช่น สไลด์ เว็บเพจ สื่อการสอน วึ่งส่วนใหญ่จะมีวิธีการดังนี้ 1.) ความเรียบง่าย : จัดทำสไลด์ให้ดูเรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น ใช้สีอ่อนเป็ นพื้นหลังเพื่อไม่รบกวนสายตาในการอ่าน และ สามารถเห็นเนื้อหาได้อย่างชัดเจน หรือใช้พื้นหลังตามลักษณะ เนื้อหา 2.) มีความคงตัว : เป็ นสิ่งสำคัญที่สุดในการนำเสนอสไลด์ซึ่ง เป็ นเนื้อหาเนื้อหาในเรื่องเดียวกัน คือ ต้องมีความคงตัวในการ ออกแบบสไลด์ซึ่งหมายถึงต้องใช้รูปแบบสไลด์เดียวกันทุกแผ่น ที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้น โดยไม่จำเป็ นต้องเปลี่ยนสี พื้นหลัง หรือ ขนาดและแบบอักษร แต่หากต้องการเน้นจุดสำคัญหรือเป็ น เนื้อหาย่อยออกไปจะสามารถเปลี่ยนบางสิ่ง เช่น สีตัวอักษรใน สไลด์ให้ดูแตกต่างไปได้บ้างหรืออาจมีการเปลี่ยนสีพื้นหลังให้ แตกต่างจากเนื้อหาเล็กน้ อย 3.) ใช้ความสมดุล : การออกแบบส่วนประกอบของสไลด์ให้ มี ลักษณะสมดุลมีแบบแผน หรือ สมดุลไม่มีแบบแผนก็ได้แต่ ต้องระวังสไลด์ทุกแผ่นให้มีลักษณะของความสมดุลที่เลือกใช้ ให้เหมือนกันเพื่ อความคงตัว 4.) มีแนวคิดเดียวในสไลด์แต่ละแผ่น : ข้อความและภาพที่บรรจุ ในสไลด์แผ่นหนึ่งๆ ต้องเป็ นเนื้อหาของแต่ละแนวคิดเท่านั้น หาก เนื้อหานั้นมีหลายแนวคิด หรือเนื้อหาย่อยต้องใช้สไลด์แผ่นใหม่
5.) สร้างความกลมกลืน : ใช้แบอักษรและภาพกราฟิ กให้ เหมาะสมกับลักษณะของเนื้อหาใช้แบบอักษรที่อ่านง่าย และใช่ สีที่ดูแล้วสบายตา เลือกกราฟิ กที่ไม่ซับซ้อน และให้ถูกต้องตรง ตามเนื้อหารวมถึงให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็ นทางการ หรือไม่ เป็ นทางการด้วย 6.) แบบอักษร : ไม่ใช่อักษรมากกว่า 2 แบบ ในสไลด์เรื่องหนึ่ง โดยใช้แบบหนึ่งเป็ นหัวข้อ และอีกแบบหนึ่งเป็ นเนื้อหา หาก ต้องการเน้นข้อความตอนใดให้ใช้ตัวหนา หรือตัวเอน แทนเพื่อ การแบ่งแยกให้เป็ นความแตกต่าง 7.) เนื้อหา และจุดนำข้อความ : ข้อความในสไลด์ควรเป็ นเฉพาะ หัวข้อ หรือเนื้อหาสำคัญเท่านั้นโดยไม่มีรายละเอียดของเนื้อหา และควรนำเสนอเป็ นแต่ละย่อหน้า โดยอาจมีจุดนำข้อความอยุ่ ข้างหน้าเพื่อแสดงให้ทราบถึงเนื้อหาแต่ละประเด็น และไม่ควรมี จุดนำข้อความมากว่า 4 จุดในสไลด์หนึ่งแผ่น 8.) เลือกใช้กราฟิ กอย่างระมัดระวัง : การใช้กราฟิ กที่เหมาะสม จะสามรถเพิ่มการเรียนรุ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากใช้ กราฟิ กที่ไม่เหมาะสมกับเนื้อหาจะทำให้การเรียนรู้นั้นลดลง และ อาจทำให้สื่ อความหมายผดไปได้ 9.) ความคมชัดของภาพ : เนื่ องจากความคมชัดของจอ มอนิเตอร์มีเพียง 72-96 DPI เท่านั้น ภาพกราฟิ กที่นำเสนอ ประกอบในเนื้อหาจึงไม่จำเป็ นต้องใช้ภาพที่มีความชัดสูงมาก ควรใช้ภาพในรุปแบบ JPEG ที่มีความคมชัดปานกลาง และ ขนาดใหญ่มากนัก ประมาณ 20-50 KB จึงควรทำการบีบอัด หรือ compress และลดขนาดก่อนเพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ในการ เก็บบันทึก 10.) เลือกต้นแบบสไลด์ และแบ บอักษรที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ ร่วม เนื่ องจากการนำเสนอต้องมมีการเชื่อม ต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์ ร่วม
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การใช้งานโปรแกรมนำเสนอ ด้วยสื่อดิจิทัล หลักการนำเสนอข้อมูลและสร้างสื่ อนำเสนอ การนำเสนองานหรือผลงานนั้นสื่ อนำเสนอเปรียบเสมือนสะพาน เชื่อมเนื้อหา ของผู้บรรยายไปยังผู้ฟั งและผู้ชม ดังนั้นสื่อจึงมี บทบาทสำคัญอย่างมาก สื่อที่ดี จะช่วยให้การถ่ายทอดเนื้อหา สาระทำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ผู้ฟั งและผู้ชมจะสามารถ จดจำ เนื้อหาสาระได้นานและเข้าใจในเนื้อหาได้ดีมากขึ้น ความหมาย การนำเสนอ การนำเสนอข้อมูล หมายถึง การสื่อสารเพื่อเสนอ ข้อมูล ความรู้ ความคิดเห็น หรือความต้องการไปสู่ผู้ชม ผู้ฟั ง โดยใช้เทคนิคหรือวิธีการต่าง ๆ อันจะทำให้บรรลุ ผลสำเร็จตาม จุดมุ่งหมายของการนำเสนอ จุดมุ่งหมายในการนำเสนอ 1. เพื่อให้ผู้ชม ผู้ฟั งรับเข้าใจสาระสำคัญของการนำเสนอข้อมูล 2. ให้ผู้ชม ผู้ฟั งเกิดความประทับใจและนำไปสู่ความเชื่อถือใน ข้อมูลที่นำเสนอ การนำเสนอผลงานโดยใช้สื่อโสต ทัศนูปกรณ์ มีผลในทางจิตวิทยา การเรียนรู้ ซึ่งได้มีการ ค้นพบจากการวิจัยว่าการรับรู้ข้อมูลโดย ผ่านทางประสาทสัมผัสสองอย่าง คือ ตา และหูพร้อมกันนั้น ทำให้ เกิดการรับรู้ที่ดีกว่าส่งผลในด้านความสามารถในการจดจำได้ มากกว่าการรับรู้โดยผ่านตา หรือ หูอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่าง เดียว จึงได้มีการพัฒนาสื่อโสตทัศนูปกรณ์รูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมาใช้ งาน โดยเฉพาะสื่อประสม
หลักการพื้นฐานของการนำ เสนอผลงาน มีจุดเน้น สำคัญดังนี้ 1) การดึงดูดความสนใจ โดยการออกแบบให้สิง่ ที่ปรากฏต่อสายตานั้นชวนมอง และมี ความสบายตาสบายใจขึ้น เมื่อชมการนำเสนอ ดังนั้นการเลือก องค์ประกอบต่าง ๆ เช่น สีพื้น แบบ สี และขนาดของตัวอักษร รูปประกอบ ต้องเหมาะสม สวยงาม 2) ความชัดเจนและความกระชับของเนื้อหา ส่วนที่เป็นข้อความต้องสั้นแต่ได้ใจความชัดเจน ส่วนที่เป็นภาพ ประกอบต้องมีส่วนสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับข้อความที่ต้องการสื่อ ความหมาย การใช้ภาพประกอบ มีประโยชน์มาก ดังคำพังเพยภาษา อังกฤษที่ว่า \"A picture is worth a thousand words\" หรือ \"ภาพ ภาพหนึ่งนั้นมีค่าเทียบเท่ากับคำพูดหนึ่งพันคำ\" แต่ประโยคนี้คงไม่ เป็นจริงหากภาพนั้นไม่มีความสัมพันธ์ อย่างสร้างสรรค์กับความ หมายที่ต้องการสื่อ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจใช้ภาพใดประกอบ จึง ควรตอบคำถาม ให้ได้เสียก่อนว่าต้องการใช้ภาพเพื่อสื่อความหมาย อะไรและภาพที่เลือกมานั้นสามารถทำหน้ าที่สื่อความหมายเช่นนั้น จริงหรือไม่ 3) ความเหมาะสมกับกลุ่มเป้ าหมาย การสร้างจุดเน้ นตามข้อ 1 และ 2 ข้างต้นต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้ าหมายด้วย เช่น กลุ่มเป้ าหมายเป็นเด็ก การใช้สีสด ๆ และภาพการ์ตูนมีความเหมาะ สม แต่ถ้ากลุ่มเป้ าหมายเป็นผู้ใหญ่และเนื้อหาที่นำเสนอเป็นเรื่องวิชาการ หรือธุรกิจ การใช้สีสันมากเกินไปและการใช้รูปการ์ตูนอาจทำให้ดูไม่น่าเชื่อ ถือเพราะขาดภาพลักษณ์ของการเอาจริงเอาจังไป
1) ทำความเข้าใจกับงานที่เราต้องการนำเสนอ ก่อนการเลือกระบบสารสนเทศมาใช้ในการนำเสนองานนั้น เรา ต้องเข้าใจถึงลักษณะงานที่เราต้องการนำเสนอก่อนว่า เป็ นงาน ในลักษณะใด เช่น เป็ นข้อความ หรือมีการคำนวณหรือเป็ นงาน ที่เกี่ยวกับการค้น การเก็บรักษาข้อมูล เพื่อเป็ นแนวทางในการ เลือกระบบสารสนเทศที่เหมาะสมกับงานนั้น ๆ 2) เลือกโปรแก รมสำเร็จรูปมาใช้ เมื่อทราบลักษณะของงานที่ต้องการนำเสนอแล้ว เราจะเลือก ระบบสารสนเทศที่เหมาะสมกับการนำเสนองานนั้น งานบางอย่าง เราอาจใช้ระบบสารสนเทศในการนำเสนอได้หลายอย่าง เราอาจ ต้องเลือกว่าจะใช้ระบบใด ผู้ใช้ต้องมีความเข้าใจในความสามารถ ของระบบนั้น โดยเฉพาะในส่วนของซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมว่า แต่ละโปรแกรมมีความสามารถใดบ้าง เราอาจจะต้องทำการ ประเมินว่าโปรแกรมใดมีความเหมาะสมเพียงใด แล้วจึงเลือก โปรแกรมที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุด 3) จัดหาเครื่องมือตามความต้องการของซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมแต่ละโปรแกรมมีความสามารถไม่เหมือนกัน ขนาด ของโปรแกรมก็ไม่เท่ากัน ทำให้ความต้องการของฮาร์ดแวร์ในการทำงานตาม โปรแกรมนั้นแตกต่างกัน ในคู่มือการใช้งานโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์นั้นจะ บอกข้อกำหนดของฮาร์ดแวร์ที่ต้องการสำหรับการใช้งานไว้ว่าจะต้องมีส่วน ประกอบอะไรบ้าง เราจะต้องจัดหาฮาร์ดแวร์ให้ได้ตามข้อกำหนดนั้นเพื่อให้ สามารถใช้งานซอฟต์แวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับระบบโปรแกรม สำเร็จรูปที่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์นั้น ส่วนใหญ่สามารถนำมาใช้กับไมโคร คอมพิวเตอร์มาตรฐานที่มีขายทั่วไปได้เลย ยกเว้นอุปกรณ์ประเภท เครื่องพิมพ์ที่อาจเลือกได้ตามความต้องการว่าเป็ นเครื่องพิมพ์สีขาว/ดำ หรือ หลายสี จอภาพจะใช้ขนาดใหญ่กี่นิ้ว หรือฮาร์ดดิสก์ที่อาจต้องดูขนาดความ ต้องการว่าซอฟต์แวร์มีขนาดเท่าใด และฮาร์ดดิสก์จะพอใช้หรือไม่ เพราะใน ไมโครคอมพิวเตอร์หนึ่ งเครื่ องนั้นเรามักจะบรรจุโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ไว้ หลายชนิด และปริมาณแฟ้ มข้อมูลที่มีอยู่เดิมอาจมากจนกระทั่งพื้นที่ที่เหลือ ไม่เพียงพอต่อการใช้งานโปรแกรมสำเร็จรูปใหม่นั้น
4 ) การใช้งานโปรแกรม ในการใช้งานนั้น นอกาจากผู้ใช้จะต้องทำความเข้าใจการทำงานของ ฮาร์ดแวร์ว่าใช้งานอย่างไรแล้ว รายละเอียดการใช้งานซอฟต์แวร์ ก็เป็น สิ่งสำคัญที่ผู้ใช้จะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนการใช้งาน ส่วนใหญ่ จะศึกษาจากคู่มือของโปรแกรมสำเร็จรูปนั้นเพื่อความเข้าใจในความ สามารถก่อน ปกติแล้วคู่มือการใช้งานมาจากเจ้าของผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ซึ่ง มักจะอธิบายถึงความสามารถตามฟังก์ชั่นที่มีอยู่ แต่มักจะไม่ค่อยมี ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ ผู้ใช้ต้องทดลองเอง จึงได้มีผู้ที่มีความรู้ความ สามารถในโปรแกรมนั้น ๆ ทำคู่มือการใช้งานในลักษณะการประยุกต์ มี ตัวอย่างของงานแสดงให้เห็น ทำให้สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วขึ้นและใน ปัจจุบันนี้มีการทำคู่มือการใช้งานในรูปของสื่อคอมพิวเตอร์ที่เข้าใจได้ง่าย ยิ่งขึ้น เช่น ทำเป็นซีดีการใช้งาน เป็นต้น ฉะนั้นผู้ใช้งานที่ยังไม่มี ประสบการณ์จึงควรเรียนรู้จากคู่มือการใช้งาน ทำความเข้าใจให้ชัดเจน ก่อน แล้วจึงลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง รูปแบบการนำเสนอข้อมูลโดยใช้ คอมพิวเตอร์ ปั จจุบันที่นิยมใช้กันมี 2 รูปแบบ คือ 1. การนำเสนอแบบ Web page เป็นรูปแบบการนำเสนอที่ใช้บนอินเทอร์เน็ต การนำเสนอแบบ นี้สามารถสร้างการเชื่อมโยงที่สลับซับซ้อนระหว่างส่วนต่าง ๆ ตลอดจน สามารถสร้างการเชื่อมโยงเอกสารที่ต่างรูปแบบกัน ได้แต่ต้องใช้เวลาในการจัดทำมากกว่า รูปแบบอื่นและผู้จัดทำ ต้องมีความรู้ความชำนาญในโปรแกรมที่ใช้สร้างเว็บเพจ
2. การนำเสนอแบบ Slide Presentation เป็นการนำเสนอโดยใช้โปรแกรมนำเสนอ ซึ่งเป็นโปรแกรม ที่ใช้ ง่ายมากมีรูปแบบการนำเสนอให้เลือกใช้หลายแบบ สามารถเรียก ใช้ตาราง แผนภูมิ หรือรูปภาพประกอบ และตกแต่งด้วยสีสัน ทั้ง สีพื้น สีของตัวอักษร รูปแบบฟอนต์ ของตัวอักษรได้ง่ายและ สะดวก ในปัจจุบันสื่อนำเสนอรูปแบบ Slide Presentationหรือ สไลด์ดิจิทัล มักจะสร้างด้วยโปรแกรมในกลุ่ม Presentation เช่น Microsoft PowerPoint, OfficeTLE Impress เทคนิคการ ออกแบบสื่อนำเสนอ สื่อนำเสนอที่ดี ความมีความโดดเด่น น่า สนใจ จะเน้ นความคิด “ หนึ่งสไลด์ต่อ หนึ่งความคิด ” มีการสรุป ประเด็น หรือสาระสำคัญโดยมีแนวทาง 3 ประการในการออกแบบ ได้แก่ 1) สื่อความหมายได้รวดเร็ว สื่อนำเสนอที่ดีต้องสามารถสื่อความหมาย ให้ผู้ฟัง ผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว การออกแบบ สื่อนำเสนอในประเด็นนี้ผู้ ออกแบบจะต้องทราบกลุ่มเป้ าหมาย เนื้อหาสาระที่ต้องการนำเสนอ สถานที่ และเวลาที่ต้องการนำเสนอเพื่อประกอบการออกแบบสื่อ เช่น กลุ่มเป้ าหมายขนาดเล็ก สื่อควรมีให้ความสำคัญกับผู้ฟังมากกว่าเนื้อหา สามารถนำเทคนิค หรือ Effect ต่าง ๆ ของโปรแกรมสร้างสื่อมาใช้ได้ อย่างเต็มที่ กลุ่มเป้ าหมายที่มีลักษณะโต้ตอบ เช่นการนำเสนอทาง วิชาการ การบรรยาย หรือฝึกอบรม สื่อนำเสนอควรให้ ความสำคัญกับ เนื้อหารวมทั้งยังสามารถนำเทคนิค หรือ Effect ต่าง ๆ ของโปรแกรม สร้างสื่อ มาใช้ได้อย่างเต็มที่เช่นกัน กลุ่มเป้ าหมายเฉพาะกิจ เช่นผู้ บริหาร นักวิชาการ สื่อนำเสนอจะต้องให้ความสำคัญกับเนื้อหาและตัว ผู้นำเสนอเป็นสำคัญเนื้อหาควรมุ่งเฉพาะเป้ าหมายของการนำเสนอ ไม่ เน้ น Effect มากนัก กลุ่มเป้ าหมายขนาดใหญ่ การนำเสนอมักใช้ความ สำคัญกับผู้บรรยายมากกว่าเนื้อหาที่นำเสนอ ดังนั้น สื่อนำเสนอไม่ควร เน้ นที่ Effect แต่ควรให้ความสำคัญกับขนาดตัวอักษร สีตัวอักษร และ ลักษณะของสีพื้นสไลด์
2) เนื้อหาเป็นลำดับ สื่อนำเสนอที่ดีควรมีการจัดลำดับเนื้อหาเป็น ลำดับ มีระเบียบ ดูง่าย ไม่สับสนสิ่งที่ จะช่วยให้การออกแบบสื่อ นำเสนอที่ต้องการจัดลำดับเนื้อหาให้เป็นระเบียบ และดูง่าย คือ 2.1) รูปแบบเนื้อหา สื่อนำเสนอแต่ละสไลด์ ควรหลีกเลี่ยงการนำ เสนอแบบย่อหน้ า หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ควรใช้ เทคนิคการ เน้ นแนวคิดหลัก( Main Idea) ในแต่ละย่อหน้ าด้วยสีที่โดดเด่น เช่น พื้นหลังสีขาว ตัวอักษรสีดำ ควรเน้ นแนวคิดหลัก ( Main Idea)ด้วย สีแดงเป็นต้น แต่ละสไลด์เนื้อหาไม่ควรเกิน 6 – 8 บรรทัด ควรสรุป เนื้อหาให้เป็นหัวเรื่อง (Title) และหัวข้อ(Topic) หรือแนวคิดหลัก (Main Idea) 2.2) แบบอักษร การควบคุมการแสดงข้อความในแต่ละสไลด์ ควรให้ ความสำคัญ กับขนาดตัวอักษร ดังนี้ - หัวข้อใหญ่กำหนดขนาดตัวอักษรใหญ่กว่าหัวข้อย่อย - เลือกใช้แบบอักษรที่เหมาะสม - เปลี่ยนลักษณะของตัวอักษรนั้น ใช้ตัวหนาในข้อความที่ต้องการเน้ น - ใช้ช่องว่างในการจัดกลุ่มของเนื้อหา - ข้อความที่ต้องการให้อ่านก่อน ควรจัดไว้ที่ตำแหน่งมุมซ้ายบนของ หน้ า - พิมพ์ตัวอักษรลงกรอบที่วางแบบไว้แล้ว - ขึ้นหัวข้อก่อนแล้วจึงอธิบายอย่างละเอียด - ใช้สีที่แตกต่างกัน หรือตัวอักษรสีสลับกัน 3) สื่อนำเสนอต้องสะดุดตาและ น่าสนใจ สื่อนำเสนอที่ดีนั้นจะ ต้องมีจุดเด่นน่าสนใจ สามารถดึงดูดสายตาของผู้ดู ผู้ฟังได้ ซึ่ง จุดเด่นนี้ได้มาจากขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่ หรือจากการใช้สีที่ แตกต่างออกไป รวมถึง การเลือกใช้ภาพ การใช้สี และการใช้ Effect ควบคุมการนำเสนอ ที่เหมาะสมประกอบ การนำเสนอ
3.1) การใช้ภาพ เนื่องจากภาพจะช่วยให้ผู้ชม ผู้ฟัง สามารถ จดจำได้นานกว่าตัวอักษร ดังนั้น การแปลงเนื้อหาให้เป็น รูปภาพหรือผังภาพก็เป็ นเทคนิคหนึ่ งที่สามารถสร้างความน่า สนใจ ให้กับสื่อที่นำเสนอการเลือกใช้ภาพก็ควรเลือกใช้ภาพที่ มีลักษณะที่เหมาะสมกันและกัน คือถ้าในสไลด์นั้นเลือกใช้ ภาพถ่ายก็ควรใช้ภาพถ่ายกับภาพทุกภาพในสไลด์ แต่ถ้าเลือก ใช้ภาพวาด ก็ควรเลือก ภาพวาดทั้งสไลด์เช่นกันดังนั้นจึงไม่ ควรใช้ภาพวาดผสมกับภาพถ่าย ใส่เทคนิคที่น่าสนใจให้กับ ภาพเพื่อสร้างจุดเด่น การเอียงภาพ การเว้นช่องว่างรอบภาพ การเปลี่ยนสีภาพให้แตกต่างจากปกติ ควรระวังการเลือกใช้ ภาพเป็นพื้นหลังสไลด์ เพราะอาจจะทำให้ผู้ชมสนใจ พื้น สไลด์มากกว่าเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ หรืออาจทำให้ผู้ชมไม่ สนใจมองสไลด์เลยก็ได้ เนื่องจากภาพทำให้ตัวอักษรไม่โดด เด่น ไม่น่ามอง หรืออ่านยาก 3.2) การใช้สี การเลือกใช้สี ควรเลือกใช้สีที่ตัดกันระหว่างสีตัว อักษร สีวัตถุ และสีพื้น เช่น เลือกใช้พื้นสไลด์เป็นสีขาวหรือสี อ่อน ๆ สีตัวอักษรก็ควรจะเป็นสีดำ สีน้ำเงินเข็มหรือสีแดง เลือดหมู กรณีเลือกใช้พื้นสไลด์เป็นสีเข็ม ควรเลือกใช้สีตัว อักษรที่มองเห็นได้ชัด ในระยะไกลเช่น สีขาว สีฟ้ าอ่อน ควร หลีกเลี่ยงการใช้สีในโทนร้อน เช่น สีแดงสด สีเหลือกสด สี เขียวสด สีวัตถุ สีแท่งกราฟหรือสีของตาราง ก็ควรเลือกให้ เหมาะสมกับสีตัวอักษร และสีพื้นด้วย การเลือกใช้สีใด ๆ ก็ ควรเป็นสีในชุดเดียวกันสำหรับสไลด์ทั้งหมด ไม่ควรใช้หนึ่งสี หนึ่ งไลด์
3.3) การใช้ Effect ควบคุมการนำเสนอ ไม่ควรใส่ Effect มาก เกินไป เพราะจะส่งผลให้ผู้ชม ผู้ฟัง สนใจ Effect มากกว่า เนื้อหาที่นำเสนอ หรืออาจไม่สนใจการนำเสนอเลยก็ได้ และ Effect ที่มากนี้จะเป็น การรบกวนการจดจำ การอ่าน หรือการ ชมอย่างรุนแรง เลือกใช้ Effect ไม่ควรเกิน 3 แบบ ในแต่ละ สไลด์ควรเลือกใช้ Effectแสดงข้อความที่เลื่อนจากขอบ ซ้าย มาขอบขวา ของจอ เนื่องจากธรรมชาติการอ่านของคนไทยจะ อ่านข้อความจากกรอบบนลงมา และอ่านจากด้านซ้ายไปด้าน ขวา อุปกรณ์ ดิจิทัลที่ช่วยในการนำเสนอ ผลงาน อุปกรณ์ดิจิทัลที่สามารถถ่ายทอดภาพและเสียงในงานนำ เสนอเพื่อให้งานนำเสนอมีคุณภาพ เข้าถึงผู้ชมและผู้ฟังได้ อย่างมีประสิทธิภาพ มีดังนี้ 1. โพรเจกเตอร์ (Projector) เป็นอุปกรณ์ฉายภาพที่ใช้ใน การนำเสนอ โดยสามารถรองรับสัญญาณภาพจาก คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นวีซีดี เครื่องเล่นดีวีดี และเครื่อง กำเนิดภาพอื่น ๆ แล้วแสดงผล ขยายขนาดบนจอรับภาพ ช่วยให้มองเห็นได้ไกลขึ้น เหมาะสำหรับการนำเสนอข้อมูล ในห้องประชุม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถมองเห็นภาพ หรือข้อความได้อย่างชัดเจน
2. วิชวลไลเซอร์ (Visualizer) เป็นอุปกรณ์ฉายภาพระบบ ดิจิทัลประเภทหนึ่ง ซึ่งพัฒนามาจากโอเวอร์เฮดหรือเครื่อง ฉายข้ามศีรษะ ใช้แสดงภาพวัตถุและเอกสารสู่จอรับภาพที่มี อยู่จริงได้เลย โดยไม่ต้องดัดแปลง อุปกรณ์นี้เหมาะสำหรับใช้ ในการนำเสนองานต่าง ๆ โดยเฉพาะครู-อาจารย์ที่สอน หนังสือ และใช้ได้ดีในการนำเสนอภาพนิ่งมากกว่าภาพ เคลื่อนไหว แต่ภาพที่แสดงออกมานั้นก็ให้ความคมชัด มีสี สดใส และมีโหมดของการแสดงภาพให้ปรับการทำงานด้วย การควบคุมการทำงานสามารถทำได้โดยใช้รีโมต 3. กล้องถ่ายรูปดิจิทัล (Digital Camera) เป็นอุปกรณ์รับภาพ ที่เปลี่ยนจากฟิล์มมาเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเมื่อถ่ายรูป ที่ต้องการแล้ว รูปจะถูกเก็บลงในหน่วยความจำ (memory) ที่ อยู่ในกล้อง เมื่อต้องการดูรูปทำได้โดยการถ่ายข้อมูลจาก หน่วยความจำลงบนเครื่องพิมพ์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาพ ที่ได้จะมีขนาดตามที่ต้องการ สามารถย่อหรือขยาย ปรับแสง หรือเงาแล้วแต่ความพอใจหรือจะเพิ่มรูปแบบก็สามารถทำได้ และเมื่อจะถ่ายใหม่ ก็สามารถใช้หน่วยความจำเดิมได้เลย โดย ไม่ต้องเสียเงินซื้ อฟิ ล์ม 4. กล้องถ่ายวีดิทัศน์ดิจิทัล เป็นอุปกรณ์รับภาพที่บันทึกข้อมูล ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เก็บไว้ในหน่วยความจำ แบบแฟลชภายในกล้อง สามารถย่อหรือขยาย ปรับแสงเงา ของภาพได้ และในปัจจุบันสามารถคัดลอกข้อมูลลงในแผ่น ดีวีดีได้เลย โดยไม่ต้องโอนลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
5. คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและคอมพิวเตอร์ขนาดสมุดบันทึก หรือโน้ ตบุ๊ก เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สร้างงานนำเสนอ เป็นสื่อกลาง ในการเชื่อมโยงอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น โพรเจกเตอร์ เพื่อนำ เสนองาน และใช้นำเสนองานผ่านจอภาพของเครื่อง คอมพิวเตอร์ 6. เครื่องเล่นเสียง หรือเครื่องเล่นเอ็มพีสาม (MP3) เป็น อุปกรณ์ซึ่งบรรจุข้อมูลเสียงที่ใช้เล่นในคอมพิวเตอร์และ สามารถถ่ายโอนข้อมูลเข้าไปในคอมพิวเตอร์ได้ โดยข้อมูล เสียงนั้นใช้เทคโนโลยีบีบอัดให้มีขนาดเล็กลงมากกว่าข้อมูล เสียงปกติถึง 12 เท่า แม้ขนาดข้อมูลจะเล็กลง แต่คุณภาพ เสียงไม่ได้เสียไป อย่างไรก็ตาม หากเรานำข้อมูลเสียงจาก เครื่องเล่น MP3 ไปเล่นในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า จะได้ เสียงในลักษณะกระตุกหรือใช้การไม่ได้เลย 7. โทรศัพท์เคลื่อนที่บางรุ่น เป็นอุปกรณ์ตัวกลางที่ผู้ใช้ สามารถนำเสนองานที่สร้างด้วยซอฟต์แวร์ไมโครซอฟต์เพา เวอร์พอยต์ผ่านเครื่องโพรเจกเตอร์ได้สะดวก ง่ายต่อการติด ตั้ง เพียงเชื่อมต่อโพรเจกเตอร์เข้ากับโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่าน สายเคเบิล แล้วเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยบลูทูธ นอกจากอุปกรณ์ดิจิทัลที่ช่วยในการนำเสนอผลงานแล้ว ยังมี ส่วนประกอบที่สำคัญในการนำเสนองานคือ คำบรรยาย หรือ บทพากย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบด้านโสตหรือเสียงนั่นเอง โดยมี วิธีการและหลักในการพิจารณาดังนี้
1. การบรรยายสด เหมาะสำหรับการประชุมหรือสัมมนา ที่ต้องการให้ผู้ชมมีส่วนร่วม เพราะผู้บรรยายในกรณีนี้ เป็ นผู้ที่รู้เรื่ องราวเกี่ยวกับเนื้ อหาเป็ นอย่างดีรู้ว่าควรจะ เน้ นตรงจุดใดและปฏิกิริยาจากผู้ชมทำให้ผู้บรรยายรู้ว่าผู้ ชมสามารถติดตามทำความเข้าใจได้เพียงพอหรือไม่รู้ว่า ส่วนไหนจะต้องอธิบายขยายความมากน้ อยเพียงใด 2. การพากย์ เหมาะสำหรับเนื้อหาที่สามารถถ่ายทอดได้ โดยไม่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของผู้ชม ข้อดีคือ สามารถเลือกใช้เสียงพากย์ที่มีความไพเราะน่าฟั ง สามารถเลือกใช้ดนตรี หรือเสียงประกอบ (Sound effect) เพื่อสร้างบรรยากาศ แต่ข้อเสียคือไม่มีความ ยืดหยุ่น ไม่สามารถปรับให้เหมาะสมกับความรู้สึกของผู้ ชมในขณะนั้น
บทที่3การใส่เทคนิคให้ กับภาพด้วยสี่อดิจิทัล เมื่อคุณต้องนำเสนองานที่สำคัญ PowerPoint เป็นหนึ่งในเพื่อนที่คู่ใจกับ หลายๆคนมากที่สุดในการแสดงออก สามารถดึงดูดและเรียกความสนใจต่อ สายตาของผู้ฟังเป็นอย่างดี ในการใส่การ เคลื่อนไหว (Animations) ในสไลด์เป็น เพียงวิธีการง่ายๆ ซึ่งในการบทเรียนนี้ คุณจะได้เรียนการใส่ลูกเล่นการ เคลื่อนไหวลงใน Microsoft PowerPoint
บทที่4การนำเสนอ ข้อมูลด้วยสี่อดิจิทัล หลักการนำเสนอข้อมูลและสร้างสื่อนำเสนอ การนำเสนองานหรือผลงานนั้น สื่อนำเสนอ เปรียบเสมือน สะพานเชื่อมเนื้อหาของผู้บรรยาย ไปยังผู้ฟั งและผู้ชมดังนั้นสื่ อจึงมีบทบาทสำคัญ อย่างมากสื่ อที่ดีจะช่วยให้การถ่ายทอดเนื้ อหา สาระทำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ผู้ฟังและผู้ชมจะ สามารถจดจำเนื้ อหาสาระได้นานและเข้าใจใน เนื้อหาได้ดีมากขึ้น ความหมายการนำเสนอ การนำเสนอข้อมูลหมายถึง การสื่อสารเพื่อเสนอ ข้อมูลความรู้ความคิดเห็นหรือความต้องการไปสู่ ผู้ชมผู้ฟั งโดยใช้เทคนิคหรือวิธีการต่างๆอันจะ ทำให้บรรลุผลสำเร็จตามจุดหมายของการนำ เสนอ จุดหมายในการนำเสนอ 1.เพื่อให้ผู้ชมผู้ ฟัง เข้าใจสาระสำคัญของการนำเสนอข้อมูล 2.ให้ผู้ชมผู้ฟั งเกิดความเข้าใจและนำไปสู่ความ เชื่อถือในข้อมูลที่นำเสนอ
ประกาศนิยบัตรวิชาชีพ(ปวส.)
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: