Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบงานม.2-แรงและการเคลื่อนที่

ใบงานม.2-แรงและการเคลื่อนที่

Published by adminbiokhem ckaisuk, 2023-01-24 03:21:24

Description: ใบงานม.2-แรงและการเคลื่อนที่

Search

Read the Text Version

ใบ ระยะทางและการกระจดั กิจกรรม รายวชิ า วทิ ยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน รหัสวิชา ว21101 ภาคเรียนท่ี 1 ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 วนั ............เดอื น..................................พ.ศ................... กลมุ่ ท.ี่ ...............................................ช้นั ..................... ชอ่ื – สกุล ................................................................................................ เลขที่ ................................. ระยะทาง (distance) คือ ระยะทาง นิยมแทนดว้ ยลญั ลกั ษณ์ การกระจัด (displacement) คือ การกระจัด นิยมแทนดว้ ยลัญลักษณ์ ตัวอย่างโจทย์ จากภาพ จงหาระยะทางและการกระจดั จากจุดเริม่ ตน้ จนถึงบา้ นของหนุม่ น้อย

ตวั อย่างโจทยท์ ี่ 1 กติ ติขับรถจากบ้านไปทางทศิ ตะวนั ออกเป็นระยะทาง 300 เมตร ไปร้านขายของ จากนัน้ ขับรถไปในทิศตรงขา้ มอีก 700 เมตร ใบจนถงึ บา้ นเพ่ือน จงหาระยะทางและการกระจดั ของกิตติจากบ้านไปยงั บา้ นเพือ่ น ตวั อยา่ งโจทยท์ ่ี 2 กิตตขิ ับรถจากจากตาแหน่งเรม่ิ ตน้ ไปยังตาแหนง่ สุดทา้ ย โดยในช่วงท่ี 1 กิตตขิ บั รถไปทางทิศตะวันออกเป็นระยะทาง 300 เมตร จากนน้ั ในช่วงที่ 2 เขาขับรถไปทางทิศเหนอื อีก 400 เมตร จงหาระยะทางท้งั หมด การกระจัดในช่วงที่ 1 การกระจดั ในช่วงที่ 2 และการกระจัดจากตาแหนง่ เริ่มต้นไปยังตาแหนง่ สุดท้ายของกติ ติ

ตวั อยา่ งโจทยท์ ่ี 3 รถยนต์คันหนึ่งจอดติดไฟแดงหา่ งจากจดุ อ้างอิงไปทางซ้าย 30 เมตร เมอ่ื เวลาผ่านไปรถคันนี้เคลอ่ื นที่ห่างจากจุดอ้างองิ ไปทางขวา 70 เมตร ระยะทางและการกระจัดของรถคนั นีเ้ ป็นเท่าใด ตัวอย่างโจทย์ที่ 4 พระรามเดนิ ทางจากบ้านไปทางทศิ ตะวนั ตก 5 กิโลเมตร แล้วเดินกลับไปทางทิศตะวันออกอกี 2 กโิ ลเมตร ระยะทางและ การกระจัดตลอดการเคลอ่ื นท่ขี องพระรามมคี ่าเท่าใด ตวั อย่างโจทยท์ ่ี 5 นิลพัทโยนเหรียญ ณ ตาแหนง่ สูงจากพนื้ 1 เมตร ข้นึ ไปได้สูง 0.5 เมตร เม่อื เหรยี ญตกลงพืน้ เหรยี ญจะมีระยะทางและ การกระจัดในการเคลอื่ นที่ครัง้ นีเ้ ทา่ ใด

ตวั อย่างโจทยท์ ่ี 6 ทศกณั ฐ์วง่ิ รอบสนามซ่ึงมรี ัศมี 14 เมตร โดยเขาวิง่ ไดค้ รบ 2 รอบพอดี ระยะทางและการกระจัดของทศกัณฐ์เคล่ือนมคี ่าเท่าใด 22 ( กาหนดให้ มีค่าเทา่ กับ 7 ) ตวั อยา่ งโจทยท์ ่ี 7 วตั ถชุ นิ้ หนง่ึ เคลื่อนที่เปน็ วงกลมรัศมี 210 เมตร เมื่อวัตถเุ คลอื่ นท่ีไปถงึ ฝัง่ ตรงข้ามกบั จดุ เริ่มตน้ วตั ถุจะมรี ะยะทางและการกระจดั 22 เทา่ ใด ( กาหนดให้ มคี ่าเทา่ กบั 7 ) ตัวอย่างโจทยท์ ี่ 8 พระลกั ษมณ์เดนิ ทางไปทางทิศตะวันออกเปน็ ระยะทาง 360 เมตร แลว้ เล้ยี วขน้ึ ไปทางทศิ เหนอื เป็นระยะทาง 270 เมตร การ กระจดั ของพระลักษมณม์ คี า่ เทา่ ใด

ใบ ปริมาณเวกเตอร์ และปริมาณสเกลาร์ กิจกรรม รายวิชา วิทยาศาสตรพ์ ้ืนฐาน รหัสวชิ า ว21101 ภาคเรียนท่ี 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 2 วนั ............เดอื น..................................พ.ศ................... กลมุ่ ท.่ี ...............................................ช้ัน..................... ชอ่ื – สกุล ................................................................................................ เลขท่ี ................................. ปริมาณสเกลลาร์ (Scalar quantities) คืออะไร ทาไมต้องมีปรมิ าณเวกเตอร์ ปรมิ าณเวกเตอร์ (Vector quantities) คอื อะไร องคป์ ระกอบปริมาณเวกเตอร์

แบบท่ี 1 ทิศทางขนานกนั การบวก ลบ เวกเตอร์ แบบท่ี 2 ทศิ ทางตง้ั ฉากซง่ึ กนั และกนั สมการของพธิ ากอรัส

ปริมาณเวกเตอร์ และปริมาณสเกลาร์ กจิ กรรม รายวิชา วิทยาศาสตร์พื้นฐาน รหัสวชิ า ว21101 ภาคเรียนที่ 1 ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 วัน............เดือน..................................พ.ศ................... กลุ่มท.่ี ...............................................ชน้ั ..................... ชอ่ื – สกุล ................................................................................................ เลขที่ ................................. ปริมาณเวกเตอร์และปรมิ าณสเกลาร์แตกตา่ งกนั อย่างไร น้าหนกั เป็นปริมาณเวกเตอร์หรือปริมาณสเกลาร์ เพราะเหตใุ ด ใบเวลาเป็นปริมาณเวกเตอร์หรอื ปรมิ าณสเกลาร์ เพราะเหตใุ ด โจทย์ที่ 1 ให้นักเรียนเลือกคำท่กี ำหนดใหม้ ำเตมิ ลงในชอ่ งวำ่ ง ให้ถูกต้อง กำรกระจัด ระยะทำง จดุ อำ้ งอิง ปรมิ ำณเวกเตอร์ ปรมิ ำณสเกลำร์ ตำแหนง่ ระยะทำงเป็นปรมิ ำณ กำรกระจดั เป็นปรมิ ำณ ควำมยำวตำมเสน้ ทำงกำรเคลอ่ื นที่ของวตั ถุ คือ ระยะตำมแนวเสน้ ตรงจำกจดุ เริ่มตน้ ถึงจุดสุดทำ้ ย คือ

โจทย์ท่ี 2 โจทย์ที่ 3 โจทย์ท่ี 4 โจทย์ท่ี 5

โจทย์ท่ี 6 1 เซนตเิ มตร จงระบุระยะทำงและกำรกระจดั ในหน่วยกิโลเมตร เมอ่ื 1. ครอบครวั เดนิ ทำงจำกจดุ เร่ิมต้น A เป็นแนวตรงไปยังจดุ B แล้วเดนิ ทำงกลับมำยงั จุดเรม่ิ ตน้ 2. ครอบครวั เดนิ ทำงจำกจดุ เรมิ่ ต้น A เป็นแนวตรงเพอื่ ไปยังเกำะ C จำกน้นั เดนิ ทำงไปเกำะ D

ใบ ความเรว็ และอตั ราเรว็ กจิ กรรม รายวิชา วทิ ยาศาสตร์พน้ื ฐาน รหสั วชิ า ว21101 ภาคเรยี นท่ี 1 ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 2 วนั ............เดอื น..................................พ.ศ................... กลุ่มท.่ี ...............................................ชน้ั ..................... ช่ือ – สกลุ ................................................................................................ เลขท่ี ................................. ทบทวนความรูก้ ่อนเรียน จากเหตุการณ์ตอ่ ไปนี้ ใครเคลื่อนท่เี ร็วกว่ากัน ทราบไดอ้ ย่างไร 1. A และ B เรม่ิ วิ่งจากจุดเรมิ่ ตน้ เดยี วกันในเวลาเดยี วกัน เมอ่ื เวลาผ่านไป 20 วินาที A และ B มีตาแหน่งดังภาพ ตอบ 2. C และ D วิ่งไดร้ ะยะทาง 100 เมตรเท่ากัน แต่ C ใชเ้ วลาในการว่ิงมากกว่า D ตอบ กิจกรรมที่ 3.3 อตั ราเรว็ และความเรว็ แตกต่างกันอยา่ งไร กิจกรรมนีเ้ รยี นเกยี่ วกับเรอ่ื งอะไร ตอบ กิจกรรมน้มี ีจุดประสงคอ์ ะไร ตอบ กิจกรรมนม้ี จี ุดประสงค์อะไร ตอบ สถานการณ์ 2.1 2.1 กติ ติเดนิ ตามถนนจากตาแหนง่ A ไปยงั ต้ไู ปรษณีย์ ทีต่ าแหน่ง B ใช้เวลา 20 วนิ าที

สถานการณ์ 2.2 2.2 กติ ตเิ ดนิ ตามถนนจากตาแหนง่ A ไปยังทา้ ยรถ โรงเรยี นทตี่ าแหน่ง C แลว้ ย้อนกลบั มาตูไ้ ปรษณยี ท์ ี่ ตาแหน่ง B ใช้เวลา 80 วนิ าที สถานการณ์ 2.3 2.3 กิตตเิ ดินตามถนนจากตาแหนง่ A ไปยังทา้ ยรถ โรงเรียนทตี่ าแหน่ง C แล้วเดนิ ตอ่ ไปยงั โรงเรียนท่ตี าแหนง่ D ใช้เวลา 80 วนิ าที สถานการณ์ 2.4 2.4 กติ ติเดินตัดสนามหญา้ จากตาแหน่ง A ไปยัง ตาแหนง่ D ใชเ้ วลา 100 วินาที สถานการณ์ 2.5 2.5 กติ ติเดนิ ตดั สนามหญ้าจากตาแหน่ง A ผ่าน ตาแหนง่ B C D และ E แล้วเดินย้อนกลับมายัง ตาแหน่งเร่ิมตน้ ใช้เวลา 200 วินาที

ใบ แรงลัพธ์ กจิ กรรม รายวชิ า วิทยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน รหัสวิชา ว21101 ภาคเรียนที่ 1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 วัน............เดือน..................................พ.ศ................... กลุม่ ท.ี่ ...............................................ชนั้ ..................... ชอื่ – สกุล ................................................................................................ เลขที่ ................................. ทบทวนความรูก้ อ่ นเรยี น 1. แรงท่ีกระทาตอ่ วัตถุตอ่ ไปนเ้ี ป็นเท่าใดและมีทิศทางอยา่ งไร 1.1) 1.2) 1.3) 1.4) 2. แรง Fറ1 ขนาด 7 นิวตันกระทาต่อวตั ถุหนึง่ โดยมที ศิ ทางดงั ภาพ ถ้าตอ้ งการให้แรงลัพธท์ ก่ี ระทาต่อวตั ถุเปน็ ศูนย์ ตอ้ ง มแี รงกระทาอย่างนอ้ ยอกี 1 แรง แรงนี้มีขนาดและทศิ ทางเปน็ อยา่ งไร แรงลพั ธ์ของแรง 2 แรง ท่อี ยู่ ในแนวเดยี วกันจะมขี นาดเท่ากับผลรวมของแรงสองแรง เม่อื แรงท้งั สองอยู่ ในทศิ ทางเดยี วกนั แต่จะมีขนาดเทา่ กับผลตา่ งของแรงท้ังสองเมื่อแรงท้งั สองมที ศิ ทางต่างกัน กิจกรรมท่ี 3.4 การรวมแรงในระนาบเดียวกันทาไดอ้ ยา่ งไร กิจกรรมน้ีเรยี นเกีย่ วกบั เร่ืองอะไร ..................................................................................................................................................................................... กจิ กรรมนี้มจี ดุ ประสงคอ์ ะไร ..................................................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................................................

กจิ กรรมท่ี 3.4 การรวมแรงในระนาบเดียวกนั ทาไดอ้ ย่างไร มีวสั ดุและอปุ กรณอ์ ะไรบา้ ง ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ผลการทากจิ กรรม เขยี นลกู ศรจากหางเวกเตอร์ของแรง Fറ1 ไปยังหัวเวกเตอร์ของแรง Fറ2 เขียนลกู ศรของแรงทั้ง 3 แรง เวกเตอรล์ พั ธ์( Fറ1+ Fറ2 ) มีขนาดเทา่ ใด และมที ศิ ทางไปทางใด แรงลพั ธ์ของเวกเตอรแ์ รงท้งั 3 แรงมขี นาดเท่าใด ................................................................................................ ................................................................................ 1. เมื่อออกแรงกระทาตอ่ วงแหวนและวงแหวนอยูน่ ิง่ แรงลัพธ์ที่กระทาต่อวงแหวนมีขนาดเท่าใด ทราบไดอ้ ยา่ งไร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... 2. ลกู ศรทล่ี ากจากหางเวกเตอร์ Fറ1 ไปยงั หัวเวกเตอร์ Fറ2 มีขนาดและทศิ ทางเปน็ อยา่ งไร เมื่อเปรยี บเทยี บกับ .เ.ว..ก..เ.ต...อ..ร..์...Fറ..3.................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................................... 3. ลูกศรท่ลี ากจากหางเวกเตอร์ Fറ1 ไปยงั หัวเวกเตอร์ Fറ2 น่าจะเป็นปริมาณใด ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... 4. จากกจิ กรรมตอนที่ 1 สรุปไดว้ า่ อยา่ งไร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................................................

ใบ แรงลพั ธ์ กิจกรรม รายวิชา วทิ ยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน รหสั วชิ า ว21101 ภาคเรียนที่ 1 ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 วัน............เดอื น..................................พ.ศ................... กลุม่ ท.่ี ...............................................ชัน้ ..................... ชอ่ื – สกลุ ................................................................................................ เลขท่ี ................................. กจิ กรรมที่ 3.4 การรวมแรงในระนาบเดยี วกนั ทาได้อย่างไร ตอนที่ 2 กจิ กรรมนี้เรียนเก่ยี วกบั เร่ืองอะไร ..................................................................................................................................................................................... กจิ กรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร ..................................................................................................................................................................................... มีวัสดุและอปุ กรณ์อะไรบา้ ง ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ผลการทากิจกรรม เขียนเวกเตอรข์ องแรงทัง้ 3 แรง พรอ้ มพยากรณ์ทศิ ทางการเคลอื่ นทีเ่ มื่อตัดแรง Fറ3 ออก 1. เมอื่ ตัดเชือกท่เี ก่ียวกับวงแหวนออก 1 เสน้ ทศิ ทางการเคลอ่ื นท่ขี องวงแหวนเหมอื นหรือแตกต่างกบั ทศิ ทางของแรง ลัพธข์ อง 2 แรงที่เหลืออย่างไร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... 4. จากกจิ กรรมตอนที่ 1 สรุปได้ว่าอยา่ งไร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................................................

44..11 4.2

ใบ แรงเสยี ดทาน กจิ กรรม รายวิชา วิทยาศาสตร์พน้ื ฐาน รหัสวชิ า ว21101 ภาคเรียนที่ 1 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 วัน............เดือน..................................พ.ศ................... กลุ่มที่................................................ช้ัน..................... ชือ่ – สกลุ ................................................................................................ เลขท่ี ................................. ทบทวนความรู้ก่อนเรียน เขียนลกู ศรแสดงขนาดและทิศทางของแรงเสยี ดทานที่เกิดข้นึ เมอื่ ออกแรงดึงกล่องไปทางขวา กิจกรรมท่ี 3.5 แรงเสยี ดทานเม่ือวัตถไุ มเ่ คล่อื นทแี่ ละเคลือ่ นทแี่ ตกตา่ งกันอย่างไร กจิ กรรมน้ีเกย่ี วกบั เรื่องอะไร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... กิจกรรมนมี้ จี ดุ ประสงค์อะไร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ตาราง แรงท่ี ใชด้ งึ แผน่ ไม้ที่มีถุงทรายวางทับและการเคลอ่ื นที่ของแผ่นไม้ คา่ ของแรงทอี่ า่ นได้จากเครือ่ งชง่ั สปรงิ (N) การเคล่อื นทข่ี องแผน่ ไม้

แผนภาพแสดงแรงท่ีดึงวัตถุและแรงเสยี ดทานเม่อื แผน่ ไมไ้ มเ่ คลือ่ นท่ี เร่มิ เคลื่อนท่ี และเคลอ่ื นท่ีดว้ ย ความเร็วคงท่ี ใบแผ่นไมไ้ มเ่ คล่ือนที่ แผน่ ไม้เรมิ่ เคล่อื นที่ แผน่ ไม้เคล่ือนทด่ี ว้ ยความเร็วคงท่ี 1. ชว่ งทอ่ี อกแรงดึงแลว้ แผ่นไมย้ งั ไม่เคลื่อนท่ี มีแรงเสยี ดทานหรือไม่ ทราบได้อย่างไร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... 2. ใขณะทแ่ี ผน่ ไมย้ งั ไมเ่ คลอื่ นที่ เมอ่ื ออกแรงดงึ เพิม่ ขน้ึ คา่ ของแรงเสียดทานเป็นอย่างไร ทราบไดอ้ ยา่ งไร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... 3. ค่าของแรงเสยี ดทานขณะท่แี ผน่ ไม้เรม่ิ จะเคล่อื นท่ีเป็นอย่างไร เมอ่ื เทียบกับขณะทแ่ี ผน่ ไมย้ ังไม่เคล่ือนที่ ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... 4. คา่ ของแรงเสียดทานขณะท่ีแผ่นไมเ้ คลอ่ื นที่ดว้ ยความเร็วคงที่เปน็ อย่างไร เมอื่ เทียบกบั ขณะท่ีแผ่นไม้เรมิ่ จะเคล่อื นท่ี ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... 5. จากการเขียนแผนภาพขนาดและทิศทางของแรงเสยี ดทานเปน็ อยา่ งไรเม่อื เทยี บกบั แรงที่ ใชด้ ึงแผน่ ไม้ ..................................................................................................................................................................................... สรปุ ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................................................

ททวบน สารละลาย รายวิชา วทิ ยาศาสตรพ์ ื้นฐาน รหสั วชิ า ว21101 ภาคเรยี นที่ 1 ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 ชอื่ – สกุล ....................................................................................................ชั้น........................ เลขท่ี.................... สารละลาย คืออะไร? สารละลายมอี งคป์ ระกอบอะไรบ้าง? เกณฑใ์ นบอกสารใดเป็นตวั ละลาย สารใดเป็นตัวทาละลาย ตวั ละลาย ตัวทาละลาย ถ้าสารทน่ี ามาผสมกนั มสี ถานะตา่ งกนั สารท่ีมีสถานะเดียวกับสารละลายจัดเป็น เกลอื แกง นา้ ตวั ทาละลาย สารละลายเกลอื แกง ตวั ละลาย ตัวทาละลาย เอทานอล 70 mL ถ้าสารทีน่ ามาผสมกัน มีสถานะเดียวกัน สารท่มี ีปริมาณมากกวา่ จดั เป็นตัวทาละลาย น้า 30 mL สารละลายเอทานอล

รอ้ ยละโดยมวลตอ่ มวล (%w/w) รอ้ ยละโดยปรมิ าตรตอ่ ปรมิ าตร (%v/v) รอ้ ยละโดยมวลต่อปริมาตร (%w/v) 1. ถ้านักเรยี นมกี ลโู คส 36 กรัม จะสามารถเตรียมสารละลายกลูโคสร้อยละ 8 โดยมวลตอ่ ปริมาตร ได้มากท่ีสดุ จานวนกล่ี ูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร 2. ถา้ ใชจ้ ุนสีทงั้ หมด 60 กรัม จะสามารถเตรยี มสารละลายจุนสที ่ีมคี วามเข้มขน้ และปรมิ าตรเทา่ ไรไดบ้ ้าง 3. น้าทะเลมเี กลือแกงละลายอยู่เปน็ ความเข้มข้นรอ้ ยละ 3.5 โดยมวล ถา้ นานา้ ทะเลมา 200 กรมั ระเหยนา้ ออกไปจนหมดจะได้เกลอื กีก่ รมั

4. ถา้ มีโซเดียมไนเทรต 91 กรมั และนา้ 400 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร จะสามารถเตรยี มสารละลายโซเดยี มไนเทรต เขม้ ขน้ ร้อยละ 27 โดยมวลต่อปริมาตร จานวน 350 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร ไดห้ รือไม่ อย่างไร 5. แก๊สหงุ ต้มเปน็ สารละลายของแกส๊ โพรเพนและบิวเทน ถ้าแก๊สหุงตม้ ถังหนึ่งมปี ริมาตร 40 ลิตร มีแก๊สบิวเทน เป็นองค์ประกอบอยู่ 8 ลิตร แก๊สหงุ ต้มถังนมี้ ีความเขม้ ขน้ ของแกส๊ บวิ เทนร้อยละเท่าใดโดยปริมาตรตอ่ ปรมิ าตร ตอบคาถามขอ้ 5 – 6 ตาราง สภาพการละลายได้ของสารบางชนิดในนา้ 100 กรัม อณุ หภูมิ 20 องศาเซลเซียส สาร สภาพการละลายไดข้ องสาร (กรมั ตอ่ นา้ 100 กรมั ) ทอ่ี ณุ หภูมิ 20 องศาเซลเซยี ส น้าตาลทราย 202 กลโู คส 90 เกลือแกง (โซเดียมคลอไรด์) 36 ดินประสิว (โพแทสเซียมไนเตรต) 32 จนุ สี (คอปเปอร์(II)ซัลเฟต) 32 ผงฟู (โซเดยี มไฮโดรเจนคารบ์ อเนต) 10 5. จากตาราง สารใดละลายได้นอ้ ยที่สดุ ในน้า ท่อี ุณหภูมิ 20 องศาเซลเซยี ส 6. ถา้ ใชน้ า้ 500 กรมั เปน็ ตวั ทาละลายทอี่ ณุ หภูมิ 20 องศาเซลเซยี ส นา้ จะสามารถละลายเกลือแกงได้สูงสุดกี่กรมั

ททวบน ระบบอวยั วะในร่างกายของเรารายวิชา วิทยาศาสตรพ์ ื้นฐาน รหัสวิชา ว21101 ภาคเรียนที่ 1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 ช่ือ – สกุล ....................................................................................................ชั้น........................ เลขที่.................... เตมิ คาในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง จบั คขู่ อ้ ความในคอลมั มซ์ า้ ยและขวาทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ นั ใหถ้ กู ตอ้ ง .........1. หลอดเลือดไปสู่ปอด a. vena cava .........2. หลอดเลอื ดแดงใหญ่ b. cerebrovascular disease .........3. ความดันขณะหัวใจบบี ตัว c. vein .........4. หลอดเลือดท่ีนาเลอื ดจากสว่ นตา่ งๆเข้าสูห่ วั ใจ d. diastolic pressure .........5. หลอดเลอื ดดา e. venule .........6. ความดันขณะหวั ใจคลายตัว f. blood pressure .........7. โรคหลอดเลอื ดสมองตบี g. pulmonary vein .........8. หลอดเลือดแดงเล็ก h. capil ary ........9. หลอดเลอื ดดาที่นาเลอื ดจากปอดเข้าสู่หัวใจ i. hypertension .......10.หลอดเลอื ดฝอย j. systolic pressure ........11.หลอดเลอื ดแดง k. aorta ........12.หลอดเลอื ดดาเลก็ l. artery ........13.ความดนั เลือด m. arteriole ........14.หลอดเลือด n. blood vessel ........15.ความดันเลอื ดสูง o. pulmonary artery

1) ระบบไหลเวยี นโลหติ ประกอบดว้ ย a.ระบบหวั ใจหลอดเลอื ด b.ระบบเลอื ดเสียและเลือดดี ระบบน้าเหลอื ง c.ระบบหลอดเลือด และระบบหัวใจ d.ระบบหัวใจหลอดเลือด และระบบนา้ เหลอื ง 2) ข้อใดผดิ a.มนุษยแ์ ละสตั วม์ ีกระดกู สันหลงั ทง้ั หมดมรี ะบบหัวใจหลอดเลือดแบบปิด b.ไส้เดอื นดินและหมกึ มรี ะบบไหลเวียนเลือดแบบเปดิ c. มาร์เซลโล มัลพกิ ิ ( Marcel o Malpghi ) เปน็ ผู้พบเส้นเลือดฝอยเปน็ คนแรก d. สแี ดงของเมด็ เลือดแดงมาจากหมู่ heme ของ ฮีโมโกลบนิ 3) ขอ้ ใดไมใ่ ชโ่ รคความผดิ ปกตขิ องการไหลเวยี นโลหติ a.โรคหวั ใจรูมาติกเร้ือรงั b.โรคหวั ใจไดมาติกฟาโกซิส c.โรคหวั ใจขาดเลอื ด d.โรคความดันโลหติ สงู 4) ขอ้ ใดผดิ เกยี่ วกบั เมด็ เลอื ดแดง a.เมด็ เลือดแดงท่โี ตเต็มที่ของสัตวเ์ ล้ยี งลกู ด้วยนมนนั้ ไม่มนี วิ เคลยี ส b.ม้ามเปน็ อวยั วะทีท่ าหนา้ ที่เป็นแหลง่ กกั เกบ็ สารองของเมด็ เลือดแดง c. เซลล์เม็ดเลอื ดแดงมีอายุประมาณ 110-120 ชว่ั โมง b. กระบวนการการสร้างเมด็ เลอื ดแดงเรยี กว่า erythropoiesis 5) ข้อใดผดิ เกย่ี วกบั เมด็ เลอื ดขาว a.ไมม่ สี ีและมนี ิวเคลยี ส b. มอี ายปุ ระมาณ 7-14 วัน c. basophil ไมม่ ีแกรนูล d.เมด็ เลือดขาวทุกชนดิ สามารถเคลอื่ นยา้ ยออกนอกกระแสเลอื ดได้ 6) หัวใจหอ้ งใดทที่ าหนา้ ทส่ี บู ฉดี เลือดไปยงั สว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย a. หอ้ งบนขวา b. หอ้ งบนซา้ ย c. หอ้ งลา่ งขวา d. หอ้ งลา่ งซ้าย 7) คา่ ความดนั เลอื ด 120 /80 มิลลเิ มตรของปรอท ตวั เลข 120 หมายถงึ ขอ้ ใด a. ความดันเลือดขณะทปี่ อดหดตัว b. ความดนั เลอื ดขณะท่ีปอดขยายตัว c. ความดนั เลอื ดขณะกลา้ มเนอื้ หวั ใจบบี ตัว d. ความดันเลือดขณะกลา้ มเนือ้ หัวใจคลายตวั 8) อัตราชพี จรมคี วามสาคญั อยา่ งไร a. สงั เกตการทางานของไต b. สงั เกตการทางานของปอด c. สงั เกตการทางานของหวั ใจ d. สงั เกตการทางานของกระเพาะอาหาร 9) อวัยวะทค่ี วบคมุ ระบบหมนุ เวยี นเลือดคอื ขอ้ ใด a. หวั ใจ b. ปอด c. ม้าม d. ไต 10) สารใดทม่ี ผี ลทาใหเ้ มด็ เลือดแดงมสี แี ดง a. ไฟบรนิ b. เพลตเลต c. ฮีโมโกลบนิ d. โพรทรอมบิน

1. กระบวนการแลกเปล่ียนแก๊สเกิดขนึ้ ท่ีบรเิ วณใด a. จมูก b. หลอดลม c. ข้วั ปอด d. ถงุ ลม 2. ปรมิ าณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดม์ ผี ลตอ่ อตั ราการหายใจหรือไม่ อย่างไร a. มี เพราะถ้าปริมาณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์สูงจะทาให้หายใจช้าลง b. มี เพราะถ้าปริมาณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์สูงจะทาให้หายใจเร็วข้นึ c. ไม่มี เพราะปรมิ าณแกส๊ ท่ีเกี่ยวข้องกับอตั ราการหายใจ คอื แก๊สออกซิเจน d. ไมม่ ี เพราะปริมาณแก๊สท่ีเก่ยี วข้องกับอัตราการหายใจ คือแกส๊ คาร์บอนมอนอกไซด์ 3. กระบวนการใดทีท่ าให้รา่ งกายเผาผลาญอาหารแล้วได้พลงั งาน a. การหายใจโดยระบบทางเดินหายใจ b. การหายใจระดับเซลล์ c. การดูดซมึ อาหารของระบบย่อยอาหาร d. การหมนุ เวียนเลอื ดของระบบหมนุ เวียนเลอื ด 4. ข้อใดคอื ผลิตภณั ฑท์ ี่ไดจ้ ากการเผาผลาญอาหารภายในเซลล์ a. น้าตาลกลโู คส b. แก๊สออกซเิ จน c. แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ d. แกส๊ คาร์บอนไดออกไซดแ์ ละพลังงาน 5. เมอื่ ปรมิ าณออกซเิ จนในเลอื ดนอ้ ย ร่างกายจะมีปฏิกิรยิ าตอบสนองอยา่ งไร a. ไอ b. หาว c. จาม d. สะอกึ 6. เมื่อร่างกายหายใจเอาอากาศทไ่ี มส่ ะอาด หรอื มสี ่ิงแปลกปลอมเข้าไป รา่ งกายจะพยายามขบั สิ่งแปลกปลอมออกด้วย วิธีการใด a. ไอ b. หาว c. จาม d. สะอกึ 7. ข้อใดกล่าวถึงความสัมพนั ธ์ระหว่างกะบงั ลมกับกระดกู ซ่โี ครงไดถ้ ูกตอ้ ง a. เมื่อหายใจเข้า กะบงั ลมจะเลอ่ื นสงู ข้นึ และกระดกู ซโี่ ครงเล่ือนต่าลง b. เม่ือหายใจเขา้ กะบังลมจะเล่อื นตา่ ลงและกระดูกซโี่ ครงเลือ่ นสงู ขึน้ c. เมอ่ื หายใจเขา้ กะบงั ลมและกระดกู ซโี่ ครงจะเลื่อนสงู ข้นึ d. เมือ่ หายใจเขา้ กะบังลมและกระดกู ซีโ่ ครงจะเล่อื นต่าลง 8. ระบบหายใจทางานเกย่ี วข้องสมั พนั ธก์ บั ระบบใดมากท่สี ดุ a. ระบบนา้ เหลอื ง b. ระบบประสาท c. ระบบขับถา่ ย d. ระบบหมนุ เวียนเลอื ด 9. การสบู บหุ รส่ี ง่ ผลตอ่ ระบบทางเดนิ หายใจอยา่ งไร a. ทาให้ โรคถุงลมโปร่งพอง b. ทาให้ผนังหลอดลมหนาและตบี c. เนอ้ื เยอื่ บริเวณถุงลมถูกทาลาย d. ถูกต้องทกุ ข้อ 10. เมือ่ ดงึ แผ่นยางลงจะเกิดการเปล่ยี นแปลงกับลกู โปรง่ อยา่ งไรและเปรียบเทียบได้กบั การหายใจอยา่ งไร a. ลกู โปร่งหดตัวและเปรยี บไดก้ บั การหายใจเข้า b. ลกู โปร่งหดตัวและเปรียบไดก้ ับการหายใจออก c. ลกู โปรง่ พองตวั และเปรยี บได้กับการหายใจเข้า d. ลกู โปรง่ พองตัวและเปรียบได้กับการหายใจออก

ใหน้ ักเรยี นพิจารณาตารางตอ่ ไปน้แี ละตอบคาถามขอ้ 1 - 2 สาร ปริมาณรอ้ ยละ น้าเลือด ปสั สาวะ น้า 92 95 โปรตีน 7 0 ยเู รยี 0.03 2 กลโู คส 0.1 0 คลอไรด์ 0.37 0.6 1. จากตาราง สารใดพบในปัสสาวะมากกว่าในนา้ เลือด ก. โปรตนี ยูเรยี กลูโคส ข. น้า กลูโคส คลอไรด์ ค. นา้ ยูเรยี คลอไรด์ ง. นา้ โปรตนี กลูโคส 2. สารใดทพี่ บในน้าเลอื ดแตไ่ มพ่ บในปัสสาวะของคนปกติ ก. ยูเรยี คลอไรด์ ข. โปรตีน กลูโคส ค. น้า คลอไรด์ ง. คลอไรด์ กลูโคส 3. หลกั การทางานของหนว่ ยไตจะวิเคราะห์ได้จากการตรวจปสั สาวะได้หรือไม่ เพาะเหตุใด ก. ได้ถ้าการทางานผิดปกติ หนว่ ยไตไมส่ ามารถดูดซึมสารไดต้ ามปกติ จึงพบสารบางอย่างปะปนอยู่ ในน้าปัสสาวะ ข. ไดเ้ พราะ ไตทาหน้าที่ดูดกลบั สารที่ดแี ล้วสง่ ใหก้ ระเพาะปสั สาวะ ค. ไม่ได้เพราะ ปสั สาวะมียูเรยี อยูใ่ นปรมิ าณมาก ง. ไม่ได้เพราะ ปัสสาวะประกอบสารท่ไี มเ่ ปน็ ประโยชนแ์ ละมีผลเสียต่อร่างกาย 4. ผทู้ ีไ่ ตทางานปกตจิ ะมีปริมาณสารในปสั สาวะจากมากไปน้อยตามขอ้ ใด ก. ยูเรยี > โปรตนี > เกลืออนนิ ทรยี ์ > กลูโคส ข. ยูเรีย > เกลืออนนิ ทรีย์ > กลูโคส > โปรตนี ค. เกลอื อนนิ ทรีย์ > ยูเรยี > กลูโคส > โปรตนี ง. เกลืออนนิ ทรีย์ > ยูเรีย > โปรตนี > กลูโคส 5. บรเิ วณใดของหนว่ ยเนฟรอนของไตท่ีมกี ารดูดกลับของ นา้ และสารท่เี ปน็ ประโยชน์ต่อร่างกายได้มากทส่ี ุด ก. Loop of Henle ข. col ecting tubule ค. distal convoluted tubule ง. proximal convoluted tubule

1. พฤตกิ รรมใดทีแ่ สดงใหเ้ ห็นถึงการทางานของระบบประสาททม่ี ีผลตอ่ พัฒนาการ ก. การแสดงออกของอารมณ์ตา่ ง ๆ ข. การดูแลสขุ ภาพของตนเองให้แข็งแรงสมบูรณ์ ค. การพักผอ่ นท่ีไม่เพยี งพอทาใหร้ ่างกายออ่ นเพลยี ง. การเลือกรบั ประทานอาหารทีเ่ หมาะสมกับความตอ้ งการของร่างกาย 2. พฤติกรรมใดไมใ่ ชก่ ารทางานของสมอง ก. สะดุ้งเม่อื ถูกของรอ้ น ข. เหงอื่ ออกเม่อื รูส้ ึกรอ้ น ค. จามเม่อื ร่างกายได้รับเชื้อโรค ง. หิวเมอื่ ไม่ได้รบั ประทานอาหาร 3. ระบบประสาทสว่ นใด ทาหน้าที่ควบคมุ การทางานของอวยั วะทอ่ี ยูน่ อกเหนืออานาจของจิตใจ ก. ระบบประสาทส่วนกลาง ข. ระบบประสาทส่วนหนา้ ค. ระบบประสาทอตั โนมัติ ง. ถูกทกุ ขอ้ 4. ระบบประสาทมีความสาคญั ต่อการดารงชวี ิตของเราอยา่ งไร ก. ทาให้ร่างกายแข็งแรง ข. ควบคมุ การทางานและรักษาสมดุลของรา่ งกาย ค. เกย่ี วข้องกบั ความรูส้ ึก ง. ควบคมุ ระบบไหลเวยี นโลหติ 5. ถา้ เกิดอบุ ตั ิเหตทุ ่ีเปน็ อนั ตรายต่อไขสนั หลังจะสง่ ผลตอ่ รา่ งกายอยา่ งไร ก. กล้ามเนอ้ื อ่อนแรง ข. ชาตามมือและขา ค. เป็นอัมพาต ง. หมดสติ 6. ส่วนประกอบใดของสมองทที่ าหน้าที่เก่ยี วกับการมองเห็น การไดย้ นิ และการสมั ผสั ก. พอนส์ ข. เซรบี รัม ค. เซรีเบลลมั ง. สมองสว่ นกลาง 7. ขอ้ ใดกล่าวถงึ หน้าท่ีของระบบประสาทไดถ้ ูกตอ้ ง ก. ควบคุมอารมณแ์ ละความรู้สกึ ของมนษุ ย์ ข. ทาใหอ้ วยั วะในร่างกายเกิดการเคลอื่ นไหว ค. ควบคมุ การเต้นของหัวใจและอตั ราการหายใจ ง. ควบคุมและประสานการทางานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย 8. ขอ้ ใดไม่ใชส่ ว่ นประกอบของสมอง ก. เซรีบรัม ข. ทาลามัส ค. ไฮโพทาลามสั ง. ต่อมคาวเปอร์ 9. ขอ้ ใดเป็นลกั ษณะการทางานของรา่ งกายโดยการควบคุมของระบบพาราซมิ พาเทตกิ ก. รูม่านตาขยาย ข. หัวใจเตน้ เรว็ ขนึ้ ค. หลอดเลือดคลายตัว ง. ความดันโลหิตสงู ข้นึ 10. สมองสว่ นใดท่ีทาหน้าทเี่ ก่ยี วกับการควบคมุ การเคลอ่ื นไหวของกล้ามเน้อื ก. เซรีบรัม ข. เซรีเบลลมั ค. ทาลามสั ง. ไฮโพทาลามัส

1. อวัยวะในขอ้ ใดทท่ี าหนา้ ทหี่ ลงั่ ฮอรโ์ มนเพอื่ กระตนุ้ ตอ่ มเพศ ทาใหว้ ยั เดก็ มรี า่ งกายเปล่ยี นแปลงเขา้ สวู่ ยั รนุ่ a. ไฮโพทาลามสั b. ต่อมใต้สมอง c. ต่อมไทรอยด์ d. ตอ่ มพาราไทรอยด์ 2. ข้อใดกลา่ วไมถ่ กู ตอ้ ง a. เพศชายจะเรมิ่ สรา้ งอสุจเิ ม่อื อายุ 12-13 ปี b. เพศชายสามารถสร้างอสุจิไดถ้ งึ อายุ 70 ปี c. การหลัง่ น้าอสุจิ 1 ครั้ง จะมีอสุจิเฉลีย่ ประมาณ 350-500 ล้านตัว d. ตัวอสุจิสามารถอยู่ภายนอกรา่ งกายไดป้ ระมาณ 2 ชั่วโมง 3. ข้อใดคอื ฮอรโ์ มนทกี่ ระตนุ้ ใหเ้ พศชายมลี กั ษณะของความเปน็ ชาย a. อีสโทรเจน b. โพรเจสเทอโรน c. เทสโทสเทอโรน d. โกรทฮอร์โมน 4. ข้อใดจบั ครู่ ะหวา่ งหนา้ ทก่ี บั อวยั วะสบื พนั ธข์ุ องเพศหญงิ ไมถ่ กู ตอ้ ง a. รงั ไข่-สรา้ งไข่ b. ไข่-สรา้ งฮอร์โมนเพศหญิง c. ปีกมดลูก-บรเิ วณทีเ่ กดิ การปฏิสนธิ d. มดลูก-เปน็ ทฝี่ งั ตวั ของเอ็มบริโอ 5. อวยั วะใดทเ่ี ปน็ ฝ่ี งั ตวั ของเอม็ บรโิ อ a. รงั ไข่ b. มดลูก c. ชอ่ งคลอด d. ปีกมดลูก 6. คิมเปน็ ประจาเดอื นวนั ที่ 2 พฤษภาคม อยากทราบวา่ การตกไขค่ รงั้ ตอ่ ไปของคมิ จะเกดิ ขน้ึ ในวนั ทเ่ี ทา่ ไหร่ a. วนั ท่ี 5 พฤษภาคม b. วนั ท่ี 9 พฤษภาคม c. วนั ท่ี 16 พฤษภาคม d. วันที่ 30 พฤษภาคม 7. ฮอร์โมนทที่ าหนา้ ทกี่ ระตนุ้ ใหไ้ ขส่ กุ คอื ฮอรโ์ มนใด a. LH b. FSH c. อีสโทรเจน d. โพรเจสเทอโรน 8. ฝาแทส้ ามารถเกดิ จากกรณใี ดไดบ้ า้ ง a. เกิดจากไข่ 1 ฟอง ผสมกับอสุจิ 1 ตัว แต่มกี ารแบง่ ตวั แบบผดิ ปกติ b. เกิดจากไข่ 2 ฟอง ผสมกับอสุจิ 2 ตวั เนือ่ งจากการมไี ขส่ ุกพร้อมกันมากกวา่ 1 ฟอง c. เกิดจากไข่ 1 ฟอง ผสมกบั อสจุ ิ 2 ตวั เนอ่ื งจากเซลลไ์ ข่มคี วามผดิ ปกติ d. ถูกตอ้ งท้ังข้อ 1 และ 2 9. ต่อมลูกหมากทาหนา้ ทใี่ ดในระบบสบื พนั ธุ์ a. กระตุ้นลกั ษณะความเปน็ ชาย b. เกบ็ ตวั อสุจิ c. สรา้ งเมอื กหล่อล่นื ในท่อปัสสาวะ d. สร้างสารทเี่ ป็นเบสออ่ นผสมน้าเลย้ี งอสจุ ิ 10. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเกย่ี วกบั การคมุ กาเนดิ * A. การกนิ ยาคมุ กาเนดิ ซึ่งมีฮอรโ์ มนเพศหญงิ เปน็ ส่วนประกอบจะช่วยยบั ย้งั การเจรญิ เตบิ โตของเซลลไ์ ข่และการตกไข่ B. การใส่ห่วงอนามัยในเพศหญิงจะช่วยป้องกนั การปฏิสนธิระหว่างเซลล์ไขแ่ ละอสจุ ิ C. การทาหมันในเพศชายโดยการผูกและตดั หลอดนาอสจุ ิเปน็ การยบั ยั้งการสรา้ งอสุจิ D. การทาหมันในเพศหญิงโดยการผูกและตัดท่อนาไข่เปน็ การปอ้ งกันไม่ใหเ้ ซลล์ไข่มีโอกาสปฏิสนธกิ ับอสจุ ิ a. A และ B b. B และ C c. C และ D d. A และ D

ททวบน แรงและการเคล่ือนที่รายวิชา วิทยาศาสตร์พ้ืนฐาน รหสั วชิ า ว21101 ภาคเรียนที่ 1 ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ชือ่ – สกลุ ....................................................................................................ชัน้ ........................ เลขท่ี.................... 1. ไอรอนแมนบนิ ไปทางทิศเหนือเปน็ ระยะทาง 12 กโิ ลเมตร แล้วเล้ยี วไปทางขวามือเป็นระยะทาง 12 กโิ ลเมตร จงหาว่าระยะทางและการกระจัดของไอรอนแมนมคี ่าเท่าใด 2. ซปุ เปอร์แมนบนิ ด้วยความเรว็ 20 เมตรต่อวนิ าที ในเวลา 20 นาที ซุปเปอร์แมนเคล่ือนทไ่ี ดก้ ี่กโิ ลเมตร 3. ออกแรง 3 แรงกระทากับวตั ถทุ ่ีมนี า้ หนกั 50 นวิ ตนั ซงึ่ วางบนพืน้ ลน่ื ดงั ภาพ 3.1 จงหาขนาดและทิศทางของแรงลพั ธ์ 3.2 วัตถุจะเคล่อื นท่ีหรอื ไม่ ถ้าเคล่ือนทจี่ ะเคลื่อนทไ่ี ปทางใด

แรงและการเคลอ่ื นที่ 4. แขวนถงุ ทรายหนกั 18 นิวตนั ให้อยู่นง่ิ โดยใชเ้ ครอื่ งชงั่ สปรงิ 2 เครือ่ ง ดังภาพ ถา้ เคร่อื งชง่ั สปรงิ เคร่ืองแรก อ่านค่าได้ 9 นิวตนั เคร่อื งชงั่ สปรงิ อีกเครอ่ื งควรจะอ่านคา่ ได้เทา่ ใด 5. ขอ้ มูลของแรงเสียดทานระหวา่ งวัสดุตา่ ง ๆ กับไม้ เป็นดังน้ี คู่ของพ้ืนผวิ ขนาดของแรงเสยี ดทานกบั วตั ถเุ ริม่ เคลอ่ื นที่ ขนาดของแรงเสยี ดทานเม่ือวัตถุเคล่อื นท่ดี ว้ ย (นวิ ตัน) ความเรว็ คงท่ี (นิวตัน) วสั ดุ A และไม้ 7 6 วัสดุ B และไม้ 5 4 วสั ดุ C และไม้ 12 11 5.1 ถา้ ตอ้ งการทาท่แี ผ่นรองเพ่ือไม่ใหแ้ กว้ กาแฟไถลหลน่ จากโตะ๊ ไม้ไดง้ ่าย ควรเลือกใช้วสั ดุใด ก. วสั ดุ A ข. วสั ดุ B ค. วัสดุ C ง. วสั ดุ A และ B 5.2 ถ้าจะทาของเลน่ ท่ีสามารถไถลได้ดบี นโตะ๊ ไม้ ควรเลอื กใช้วสั ดุใด ก. วัสดุ A ข. วัสดุ B ค. วสั ดุ C ง. วสั ดุ A และ B 6. บรษิ ทั ผลติ ยางรถยนตแ์ หง่ หนง่ึ ทดลองประสิทธภิ าพของยางรถยนต์ 4 ประเภท โดยศกึ ษาระยะเบรคของรถใน การลดอัตราเรว็ จาก 60 กิโลเมตรต่อชวั่ โมงจนหยดุ นงิ่ ในขณะทต่ี วั แปรอืน่ ๆ ถูกควบคมุ ใหค้ งท่ี ผลการทดลอง เป็นดงั ตาราง ยางรถยนต์ ระยะเบรค (m) A 12 B 14 C 11 D 16 แรงเสยี ดทานระหว่างยางรถยนต์กับพืน้ ถนนในข้อใดมคี า่ สงู สดุ เพราะเหตใุ ด ตอบ :

แรงและการเคลอื่ นท่ี 7. แผ่นเหล็กกว้าง 2 เมตร ยาว 5 เมตร จมอยูใ่ ตน้ า้ แรงทีน่ า้ กระทาต่อเหล็กแผน่ นน้ั เป็น 2 x 105 นวิ ตัน จงหาความดันของน้า ณ ตาแหน่งนั้นเป็นเท่าใด 8. วตั ถกุ ้อนใดมีแรงผยงุ นอ้ ยทสี่ ดุ เพราะเหตใุ ด D B C G ของเหลว A F 9. เมื่อมแี รงมากระทาตอ่ วัตถหุ นง่ึ ทม่ี ีน้าหนกั น้อยมาก ดงั ภาพ แรงนัน้ จะกระทาใหว้ ัตถหุ มุนไปทศิ ทางใด และ เกดิ โมเมนตข์ องแรงเทา่ ใด 10. เมอ่ื มีแรงมากระทาต่อวตั ถุหนง่ึ ที่มีน้าหนักนอ้ ยมาก ดังภาพ แรงนัน้ จะกระทาใหว้ ัตถุหมุนไปทิศทางใด และ เกดิ โมเมนตข์ องแรงแตล่ ะแรงเทา่ ใด จุดหมุน

แรงและการเคลอื่ นที่ 11. การกระทาใดที่ชว่ ยทาให้รถเครนคนั นีส้ ามารถยกน้าหนักไดม้ ากขนึ้ เม่อื A คือด้านทมี่ ีมวลถว่ ง B คือด้านท่ีใชย้ ก นา้ หนัก C คอื เสาเครน ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ 12. เมอ่ื มแี รงมากระทาตอ่ วตั ถหุ นง่ึ ทมี่ นี า้ หนักนอ้ ยมาก ดังภาพ ต้องแขวนมวล 10 kg ที่ตาแหนง่ ห่างจากจดุ หมนุ เทา่ ใดจึงจะทาให้วตั ถอุ ยู่ในสภาพสมดลุ ตอ่ การหมุน 3m 15 kg 13. คานยาวดา้ นละ 10 m โดยมจี ดุ หมนุ อยู่กึ่งกลาง ดงั ภาพ ต้องแขวนมวล 20 kg และ 30 kg ทีต่ าแหน่ง ห่างจากจุดหมุนเท่าใดจึงจะทาให้วตั ถุอยู่ในสภาพสมดุลต่อการหมุน จดุ หมุน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook