กล่มุ ชาติพันธุ่ในประเทศจนี 中国的少数族 กลุ่มชาตพิ ันธุ์ต้ง 侗族
กลม่ ุ ชาติพนั ธต์ุ ง้ 侗族 ชนกล่มุ น้อยตง้ : กลุม่ ชาตพิ นั ธุ์หนงึ่ ในประเทศจนีทตี่ ั้งถิ่นฐาน กลุ่มชาติพันธุ์ต้ง(侗族 Dòngzú) เป็นกลุ่มชนซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลกุ้ยโจว ทางตอนใต้ของมณฑลหูหนาน และทางตะวันออกของเขตปกครองตนเองกวางสีจ้วงของประเทศจีน พวกเขาเรียกพวกตนเองว่า ก๊า หรือ อ้ายก๊า หรือ ปู้ก๊า ซึ่งก็คือ ผู้ค๊า พวกเขาเชื่อว่าพวกตนเองสบื เชื้อสายมาจากชนเผ่านก ชนเผ่าต้งอาศัยอยู่ในมณฑลกุ้ยโจว (贵州省 Guìzhōushěnɡ) บริเวณเมืองหลีผิง (黎平Lípínɡ) ฉงเจียง(从江 Cónɡjiānɡ) หรงเจียง (榕江 Rónɡjiānɡ) เทียนจู้ (天柱Tiānzhù) จ่ินผิง(锦屏 Jǐnpínɡ) ซานซุ่ย(三穗 Sānsuì) เจ้ินหย่วน(镇远 Zhènyuǎn)เจ้ียนเหอ (剑河 Jiànhé) ยวี่(玉屏 Yùpínɡ) ในมณฑลหูหนาน(湖南省Húnánshěnɡ) บริเวณเมืองซินห่วง(新晃 Xīnhuǎnɡ) จิ้งเซี่ยน(靖县 Jìnɡxiàn)ทงเต้า(通道 Tōnɡdào) ในเขตปกครองตนเองเผ่าจ้วง มณฑลกว่างซ(广西 Guǎnɡxī)บริเวณต๊าบลซานเจียง (三江 Sānjiānɡ) หลงเซิ่ง(龙胜 Lónɡshènɡ) หรงสุ่ย(融水Rónɡshuǐ)
ชาวกลุ่มชาตพิ นั ธ์ตุ ง้ ในมณฑลกยุ้ โจวประชากร จ๊านวนประชากรครั้งที่ 5 ของจีนในปี 2000 ชนกลุ่มน้อยเผ่าต้งมีจ๊านวนประชากรท้ังส้ิน2,960,293 คน ภาษาที่ใช้คือภาษาต้ง(侗语 Dònɡyǔ) จัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต (汉藏语系 HànZànɡ yǔxì) สาขาภาษาจ้วง-ต้ง (壮侗语族 Zhuànɡ Dònɡ yǔzú)แขนงภาษาต้ง-สุ่ย (侗水语支 Dònɡ Shuǐ yǔzhī) แบ่งออกเป็นสองส๊าเนียงภาษาคือส๊าเนียงต้งเหนือ และส๊าเนียงต้งใต้ ไม่มีภาษาอักษรเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่ใช้อักษรจีน กระท่ังในปี ค.ศ. 1958 มกี ารประดษิ ฐภ์ าษาอกั ษรโดยใชอ้ ักษรภาษาลาตินขึ้นใช้ประวัตคิ วามเปน็ มา ในสมัยราชวงศ์ฉินและฮ่ัน ชาวต้งอาศัยกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณท่ีเป็นมณฑลกว่างตง และกว่างซีในปัจจุบัน ในสมัยนั้นเรียกชนกลุ่มน้ีว่า ลั่วเยว่(骆越 Luòyuè) ซ่ึงเป็นกลุ่มชนเผ่าย่อยของชนร้อยเผ่าท่ีชื่อ ป่ายเยว่(百越 Bǎiyuè) หลังสมัยราชวงศ์เว่ยและจ้ินเรียกชาวลั่วเยว่นี้ว่าเหลียว บันทึกช่ือหย่า《赤雅》Chìyǎ ของผู้เขียนช่ือ หมิงคว่างลู่(明邝露 Mínɡ Kuànɡlù) ท่ีเขียนในสมัยราชวงศ์หมิงกล่าวถึงชนชาวต้งไว้ว่า “ชาวต้งเป็นชนกลุ่มย่อยหนึ่งในกลุ่มชนชาวเหลียว” กลุ่มชนที่จัดเป็นกลุ่มย่อยของชาว “ป่ายเยว่” ในปัจจุบันมีชาวต้ง ชาวเหมาหนาน ชาวจ้วง และชาวสุ่ย ชนทั้งส่ีกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์ด้านภาษา วัฒนธรรม ความเป็นอยู่และบริเวณที่อยู่ใกล้เคียงและคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะทางด้านภาษา นักภาษาศาสตร์จีนจัดภาษาท้ังสี่ภาษาอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต สาขาภาษาย่อยจ้วง-ต้งจากหลักฐานทางประวตั ศิ าสตรส์ นั นิษฐานไดว้ า่ ชาวตง้ กค็ ือชาวล่ัวเยว่ที่มอี ารยธรรมสบื ทอดกันมาต้ังแต่สมัยฉินจนปัจจบุ นั
ชาวต้งมีพัฒนาการมาตั้งแต่ยุคบุพกาล พัฒนา และเปล่ียนแปลงเรื่อยมาจนถึงระบบสังคมศักดินาในสมัยราชวงศ์ถงั แต่มบี างกระแสเชื่อว่าระบบสังคมของชาวต้งเคยผา่ นระบบทาสมากอ่ น ตั้งแต่สมัยถังถึงสมัยชิงได้รวบรวมพ้ืนท่ีอาศัยของชาวต้งไว้เป็นเมืองในการปกครอง ระบบสังคมในสมัยน้ันเป็นแบบสังคมศักดินาต้นราชวงศ์ชิงยึดที่ดินคืนสู่อ๊านาจกลางของรัฐ และครอบครองชาวต้งเป็นประชาชนในอาณัติ เข้าสู่ระบบการปกครองแบบระบบศักดินาถือครองกรรมสิทธิ์ในท่ีดิน แต่ระบบสังคมชาวต้งที่ถือปฏิบัติมาแต่เดิมคือระบบกฎรวมของเผ่ายงั คงใชอ้ ยู่ กลา่ วคือ ในทุกๆหมูบ่ ้านมีผู้ใหญ่บา้ นเป็นหัวหน้าใหญ่ช้ันท่ีหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ดูแลคนในชุมชนให้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ผู้ใหญ่บ้านแต่ละหมู่บ้านข้ึนตรงต่อหัวหน้าคณะ กรร มกา รหมู่ บ้าน ท่ีเ ลือก ข้ึนม าจา กผู้ใ หญ่ บ้าน เป็น การ ปกค รอ งท่ีสู งขึ้น เป็น ช้ันที่ สอ งหัวหน้าคณะกรรมการผู้ใหญ่บ้านนี้ขึ้นตรงต่อประธานท่ีได้รับคัดเลือกมาจากหัวหน้าหมู่บ้านต่างๆ อีกชั้นหน่ึงเป็นการปกครองช้ันที่สูงสุด วิธีการปกครองแบบนี้ถือปฏิบัติมาจนถึงปลายสมัยราชวงศ์ชิงเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจนีเศรษฐกิจสงั คม ระบบเศรษฐกิจสังคมของชาวต้งมีการเปล่ียนแปลง และมีพัฒนาการเริ่มต้นอย่างชัดเจนมาต้ังแต่หลังยุคสงครามฝ่ินในปี 1840 สังคมของชาวต้งได้รับผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมจากสังคมภายนอก จึงค่อยๆปรับเปลี่ยนมาเป็นระบบสังคมแบบก่ึงอาณานิคมกึ่งศักดินา ภายใต้การกดข่ีและขูดรีดของจักรวรรดนิ ิยมของราชวงศ์ชิง ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวต้งตกอยู่ในสภาพล๊าบากแร้นแค้นอย่างแสนสาหัสจนถึงยุคสงครามปลดแอก ระบบศักดินาแบบถือครองท่ีดินก็ยังคงเป็นอยู่ เจ้าของท่ีดินมีที่ดินในครอบครองมากกว่าชาวนาถึงย่ีสิบเท่า ชาวต้งต้องเช่าที่ดินท๊ากิน และยังถูกกดข่ีขูดรีดทั้งการเก็บผลผลิตและดอกเบ้ียค่าเช่าจากเจ้าของที่ดินและนายทุนอย่างอย่างรุนแรง ถึงยุคกว๋อหมินต่ังได้ก่อการต่อต้านระบบการปกครองรฐั บาล และใช้ระบบศกั ดินาจดั การให้ผ้มู อี า๊ นาจสูงดูแลพื้นที่ของชาวตง้ อันเป็นการสนับสนุนให้คนช่ัวก่อกรรมท๊าเข็ญ ผู้ปกครองในระดับหมู่บ้าน ต๊าบล และเมืองที่มีชาวต้งอาศัยอยู่ต่างพากันเก็บภาษี รีดไถประชาชนอย่างแสนสาหสั ชาวตง้ จงึ ตกสูภ่ าวะล๊าเคญ็ และยากแค้นอยา่ งทสี่ ดุ
หลงั การกอ่ ตงั้ สาธารณรฐั ประชาชนจีน รฐั บาลไดก้ ่อตั้งเขตปกครองตนเองชาวต้งขึน้ หลายแห่ง ดงั นี้ 1. ปี 1951 ก่อต้งั อา๊ เภอปกครองตนเองชาวต้ง จ้วง เหยา เหมียวในเขตอา๊ เภอหลงเซงิ่ ของมณฑลกว่างซี (广西龙胜侗、壮、瑶、苗各族自治县 Guǎnɡxī LónɡshènɡDònɡ、Zhuànɡ、Yáo、Miáo ɡâ Zú zìzhìxiàn) 2. ปี 1952 ก่อตง้ั อ๊าเภอปกครองตนเองชาวตง้ อ๊าเภอซานเจยี ง ในมณฑลกวา่ งซี (广西三江侗族自治县 Guǎnɡxī Sānjiānɡ Dînɡ Zú zìzhìxiàn) 3. ปี 1954 ก่อตัง้ อ๊าเภอปกครองตนเองชาวต้งอา๊ เภอทงตา้ ว มณฑลหหู นาน (湖南通道侗族自治县 Húnán Tōnɡdào Dînɡ Zú zìzhìxiàn) 4. ปี 1956 ก่อต้งั เขตปกครองตนเองชาวเหมียวและต้ง เมอื งเฉยี นตง เฉยี นหนาน มณฑลกุ้ยโจว (贵州黔东南苗族侗族自治州 Guìzhōu Qiándōnɡnán Miáo ZúDònɡ Zú zìzhìzhōu) และอ๊าเภอปกครองตนเองเผ่าต้ง อ๊าเภอซินห่วง มณฑลหูหนาน (湖南新晃侗族自治县 Húnán Xīnhuǎnɡ Dònɡ Zú zìzhìxiàn) 5. ปี 1984 ก่อตงั้ อ๊าเภอปกครองตนเองชาวตง้ อา๊ เภอยวี่ผิง มณฑลกยุ้ โจว (贵州省玉屏侗族自治县 Guìzhōushěnɡ Yùpínɡ Dînɡ Zú zìzhìxiàn)การก่อต้งั เขตปกครอง การก่อตั้งเขตปกครองตนเองน้ี ท๊าให้ประชาชนชาวต้งมีสิทธิในการปกครองดูแลตนเองในหลายๆ ด้านโดยเฉพาะการท๊ามาหากิน ล้มล้างระบบศักดินากรรมสิทธิ์ที่ดิน ประชาชนมีสิทธ์ิประกอบอาชีพและมีรายได้เป็นของตัวเอง ชาวต้งเร่ิมเปล่ียนแปลงการผลิตผลิตผลทางการเกษตรโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอาชีพด้านการเกษตร ป่าไม้ อุตสาหกรรม เล้ียงสัตว์ และประมงพัฒนาข้ึนอย่างรวดเร็ว เข้าสู่ยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน เขตปกครองตนเองเผ่าต้งเมืองเฉียนหนานก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมน้อยใหญ่หลายแห่ง ผลิตสินค้าจ๊าพวกเครื่องจักรกล ปุ๋ยเคมี กระดาษ เขตปกครองตนเองเผ่าจ้วงต๊าบลซานเจียงก่อต้ังโรงงานผลิตน๊้าและกระแสไฟฟ้า ชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวต้งดีขึ้นเป็นล๊าดับ หลังการก่อต้ังสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นต้นมา ชุมชนชาวต้งท่ีเฉียนตงหนาน(黔东南 Qiándōnɡnán) มีถนนยาวเพียง 500 กิโลเมตรปจั จุบันรฐั บาลสนับสนนุ การกอ่ สรา้ งถนนเช่ือมต่อทกุ ต๊าบลและหม่บู ้าน
การศึกษา ทางด้านการศึกษาก็มีการพัฒนาที่ดีขึ้นเช่นกัน จากเดิมก่อนการปฏิวัติวัฒนธรรมมีโรงเรียนมัธยมเพียงแห่งเดียว โรงเรียนประถมไม่เกิน 3 แห่ง แต่ปัจจุบันได้ก่อสร้างโรงเรียนประถมและมัธยมจนครบทุกต๊าบลหมู่บ้าน ชาวต้งอดทนขยนั ขนั แขง็ มานะบากบ่นั สอบเขา้ เรียนในมหาวทิ ยาลยั ชน้ั แนวหน้าของประเทศ ปัจจุบันมีชาวตง้ ได้ด๊ารงตา๊ แหนง่ หน้าท่ีใหญ่โตในคณะรัฐบาล เป็นหัวหน้างาน ทหาร นักวิชาการ ข้าราชการช้ันผู้ใหญ่เป็นจา๊ นวนไม่น้อย นอกจากน้ีในชุมชนชาวต้งบางแห่งลงขนั กันกอ่ ตง้ั โรงเรียนภาคค่๊าส๊าหรับผู้ใหญ่ที่ไม่มีโอกาสไดเ้ รียนในโรงเรยี นปกติการรักษาพยาบาล การรักษาพยาบาลก็พัฒนาก้าวหน้าข้ึน เดิมทีชาวต้งนับถือผี เมื่อเจ็บป่วยก็ไหว้ผีสางให้มาช่วยรักษาแต่หลงั จากความเจริญเข้ามาถึง ชาวต้งเข้าใจเก่ียวกับเรื่องการสาธารณสุขมากขึ้น มีการก่อต้ังโรงพยาบาลข้ึนหลายแห่ง โรครา้ ยแรงทเ่ี คยระบาดในชุมชนชาวตง้ กค็ อ่ ยๆหมดไป สภาพชีวิตชาวต้งดีข้ึน มีไฟฟ้า น๊้าประปาใช้มีเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าและเครือ่ งอ๊านวยความสะดวกตา่ งๆใช้แล้ว อารยธรรม มณฑลกยุ้ โจวอารยธรรม ด้วยความที่มีอารยธรรม ประวัติศาสตร์การต้ังชุมชนท่ียาวนาน ชาวต้งจึงนับได้ว่าเป็นชนท่ีร่๊ารวยทางวัฒนธรรมมากเผ่าหน่ึง จนได้รับการขนานนามว่า “เมืองกวี ปฐพีเพลง เพลงของชาวต้งสัมผัสคล้องจองท๊านองเสนาะ ไพเราะเปิดเผย เปรียบเปรยเด่นชัด ให้อารมณ์กลอนงดงามสูงสง่า ล๊้าค่าจริงใจและอบอุ่นการบรรยายเร่ืองราวในบทกลอนแฝงซ่อนภูมิปัญญา นุ่มนวลลึกซึ้ง นับเป็นมรดกทางภาษาและวรรณกรรมอันล๊้าค่าของชาวต้ง เช่น บทกวีเรื่อง《珠郎娘嫫》Zhūlánɡ niánɡmó “เทพบุตรกับหญิงอัปลักษณ์” และเรื่อง《三郎五妹》Sān lánɡ wǔ mèi “สามหนุ่มกับห้าอนงค์”
เป็นนิทานกลอนที่นยิ มแพรห่ ลายไปท่วั นอกจากนีก้ ารขบั รอ้ งเพลงหมู่ของชาวต้งมเี อกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวด้วยพลังเสียงมหัศจรรย์ ส่งเสียงท่ีดังกังวานก้อง ท่วงท๊านองที่ฟังดูมีอิสระ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีผีผาบรรเลงท๊านองคล่องแคล่ว เริงรา่ เป็นเอกลกั ษณ์เพียงหนึ่งเดียวพบได้ในเผ่าต้ง นิทาน ต๊านานท่ีเล่าสืบทอดกันมาหลายช่ัวอายุคน มมี ากมายหลากหลายเรือ่ งราว รปู แบบการด๊าเนินเรื่องยอกย้อน แยบยล ดึงดูดให้หลงใหลแสดงออกถึงจินตนาการอันสลับซับซ้อนและลึกซึ้งของชาวต้งได้เป็นอย่างดี ง้ิวต้งเป็นการแสดงอุปรากรจีนท่ีพัฒนามาจากการเล่านิทานกลอน ถือก๊าเนิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 19 การแสดงงิ้วต้งน้ีท่าร่ายร๊าเรียบง่ายแต่การขับร้องท๊านองมีมากมาย ในการแสดงใช้เครื่องดนตรีจ๊าพวก ซอ ผีผาบรรเลงประกอบ ก่อนการแสดงโหมโรงด้วยการลั่นกลองเรียกบรรยากาศอย่างครึกครื้นเร้าใจ งิ้วต้งไม่วาดหน้า แต่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความเป็นชนเผ่าได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากน้ีวัฒนธรรมการร่ืนเริงของชาวต้งยังมีระบ๊าตัวเย(哆耶Duōyē) ระบ๊าขลุ่ยน้๊าเต้า ระบ๊ามังกร ระบ๊าสิงโต เป็น ตน้การแตง่ กายชาวต้ง ศิลปะการแสดงของชาวต้งศลิ ปะ ประเพณี วฒั นธรรม และวนั สาคัญ “ระบ๊าตัวเย” คือการเต้นระบ๊าเป็นกลุ่มใหญ่ทั้งชายหญิงรวมกันเริงระบ๊าในงานร่ืนเริง ประสานมือคลอ้ งคอล้อมกนั เปน็ วง ร้องเล่นเต้นระบา๊ “ระบ๊าขล่ยุ น้๊าเต้า” กเ็ ป็นการเต้นระบ๊าเป็นกลุ่มเช่นกัน ผู้เต้นเป่าขลยุ่ น๊้าเต้าไปพรอ้ มๆ กับเตน้ ร๊า เครื่องดนตรที ชี่ าวตง้ ใช้บรรเลงในงานร่ืนเริงและงานพิธีต่างๆ ยังมีอีกมาก เช่นขลุย่ เหล็ก ปี่ เป็นตน้ งานหตั ถกรรมเป็นมรดกทางวฒั นธรรมทีส่ ืบทอดมาแตบ่ รรพบุรษุ เชน่ กัน งานฝมี ือที่มีชื่อเสียงของชาวต้งเช่น งานปักผ้า ร้อยมาลัย วาดภาพ แกะสลัก ตัดกระดาษ ถัก สาน เป็นต้น หัตถกรรมปักผ้าของหญิงชาวต้งเปน็ งานฝีมือช้ันเยีย่ ม ชาวต้งนยิ มปักลวดลายตา่ งๆ เชน่ ดอกไม้ สตั ว์ต่างๆ รูปบคุ คลลงบนเสื้อผ้า ลวดลายและ
สสี นั ชัดเจน กลมกลนื เหมอื นจรงิ นอกจากนย้ี งั มีการท๊าเครอื่ งประดบั เงนิ ไดแ้ ก่ สรอ้ ยเงนิ กา๊ ไลเงิน ตุ้มหู แหวนป่ินปกั ผม ดอกไม้เงนิ ล้วนเป็นเคร่ืองประดับทีเ่ ป็นทนี่ ิยมอย่างมากของหญงิ ชาวต้ง ชายชาวตง้ มีความชา๊ นาญในการกอ่ สร้างตกึ ด้วยอฐิ หนิ และไม้ การสรา้ งตึกแขวนกลอง สร้างสะพานถือเป็นงานสถาปัตยกรรมท่ีชาวต้งมีความช๊านาญมากท่ีสุด การก่อสร้างตึกแขวนกลองของชาวต้งใช้ไม้ล้วนๆไม่มีการใช้ตะปูตอกยึด สามารถสร้างได้สูงเป็นสิบชั้นเลยทีเดียว รูปทรงหกเหล่ียมแปดเหลี่ยมงดงามดุจเจดีย์แก้ว สูงส่ง สง่างาม นับเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของชุมชนชาวต้ง นับเป็นจุดศูนย์รวมของชุมชน นอกจากนี้ยังมีสะพานเฉิงหยาง (程阳桥 Chénɡ yánɡ qiáo) ที่ต๊าบลซานเจียง เป็นสะพานที่สร้างโดยช่างชาวต้ง มีความงดงาม แขง็ แรง ได้รับการขนึ้ ทะเบยี นให้เป็นมรดกทางวฒั นธรรมของประเทศจนี อีกดว้ ยชาวต้งสวมเส้ือผ้าเคร่ืองแต่งกายที่ผลิตข้ึนเอง ชาวต้งชอบสวมเสื้อผ้าสีเขียว ม่วง ขาว น้๊าเงิน ชายชาวต้งในปัจจุบันสวมเสื้อผ้าไม่แตกต่างจากชาวฮ่ันแต่ยังมีชาวต้งที่อยู่ในบริเวณห่างไกล เช่น ชาวต้งภูเขา ยังคงสวมเสื้อผ้าแบบดั้งเดิม คือสวมเสื้อแขนส้ันผ่าอกไม่มีปก สวมกางเกงขากว้างยาว ใช้ผ้าโพกหัวบางคนไว้ผมจุก ชุดของหญิงชาวต้งแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องท่ี บ้างสวมเส้ือทรงกระบอกผ่าอก ไม่มีปก ติดกระดุมเงิน บ้างสวมเสื้อคอกระเช้าคล้องไหล่บ้างสวมกางเกงขากวา้ งยาว บ้างสวมชดุ เส้อื ยาวคลุมเขา่ บ้างสวมผ้าถุงคาดเข็มขัดเกล้าผมขึ้นแล้วใช้ผา้ โพกหวั สวมรองเทา้ คลมุ หนา้ แขง้ ใช้เชอื กมัดแน่น การแตง่ กายของหญงิ ชาวต้งแต่บางทอ้ งทก่ี แ็ ตง่ ตัวเหมือนอยา่ งชาวฮน่ั แตท่ ี่ส๊าคญั ชาวต้งชอบสวมเครอ่ื งประดบั ทที่ า๊ ดว้ ยเงนิ อาหารการกินของชาวต้งกินข้าวเจ้าเป็นอาหารหลัก ชาวต้งท่ีอาศัยอยู่บนพ้ืนท่ีราบชอบกินข้าวสวยแตช่ าวต้งทอ่ี ย่ตู ามภูเขาชอบกินข้าวเหนียว ชอบกินอาหารรสเผ็ดและเปร้ียว รู้จักวิธีถนอมอาหารเช่น ท๊าปลาร้า เนื้อหมัก การรับแขกที่ส๊าคัญต้องมีน้๊าชาเป็นการต้อนรับ ชาวต้งต้ังบ้านเรือนอยู่ริมภู ริมน๊้า ซึ่งเป็นทิวทัศน์ท่ีเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้ของจีนสร้างบ้านแบบใต้ถุนสูง ข้างบนเป็นท่ีพักอาศัย ช้ันล่างเป็นคอกสัตว์และเก็บของ ขา้ วสวย อาหารหลักของชาวตง้
ประเพณีส๊าคัญท่ีน่าสนใจของชาวต้ง คือประเพณี “เยว่เหย่”(月也 Yuèyě) ตรงกับวันที่แปด เดือนหน่ึงตามปฏิทินจันทรคติของจีนเป็นประเพณีที่ชาวต้งจากหมู่บ้านหนึ่งไปเป็นแขกเยี่ยมเยือน อีกหมู่บ้านหนึ่งกิจกรรมสา๊ คัญคือการรื่นเริงและสงั สรรค์ มีการเป่าขลุ่ยน๊้าเต้า ร้องงิ้วบรรเลงขับกลอ่ ม จดั ในช่วงว่างเว้นจากการเพาะปลกู มีการชนวัวเป็นกีฬาบันเทิงประจ๊าชนเผ่า ช่วงเทศกาลน้ีจะตีฆ้องร้องป่าวให้ผู้คนมากมายมาร่วมร้องร๊าท๊าเพลงสนุกสนานร่ืนเริงบันเทิงใจ จุดพลุเฉลิมฉลองสว่างไสวไปท่ัวหุบเขา การเปา่ ขลยุ่ น้า๊ เตา้เป็นการต้อนรับชาวต้งจากหมู่บ้านอ่ืนท่ีมาเยือนด้วยความยินดีปรีดา เป็นโอกาสท่ีหนุ่มสาวได้พบปะคบหาสมาคมกัน ชาวต้งทางเหนือเรียกเทศกาลน้ีว่า เท่ียวภูเขา (玩山 Wánshān) หนุ่มสาวชาวต้งรวมกันเป็นกลุ่มหลังว่างเว้นจากงานในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน เมื่อมารวมกันพร้อมหน้าจะร้องเพลงตอบโต้เก้ยี วพาราสกี นั ชาวตง้ ทางตอนใตเ้ รยี กงานนว้ี ่า “แอว่ เมือง” หรือ “แอ่วสาว” คืนวันงานหญิงสาวปักผ้าอยู่ในเรือน ชายหนุ่มขับกล่อมดนตรีและร้องเพลงโต้ตอบกัน พรรณนาความรักต่อกัน เมื่อถูกใจกันจะแลกของที่ระลึกซ่ึงกันและกันเป็นการหมั้นหมายเอาไว้ ในวันที่สามเดือนสามหรือวันที่สองเดือนสองของทุกปีชุมชนชาวตง้ ท่ีต๊าบลซานเจยี งรวมตวั กันในลานกวา้ งประจา๊ หมบู่ ้าน จัดงานเทศกาลร่นื เรงิ โดยจะช่วยกันท๊าพลุด อ ก ไ ม้ ยิ ง ขึ้ น ฟ้ า เ มื่ อ ต ก ล ง สู่ พ้ื น ใ ห้ ค น ท่ี ม า ร่ ว ม ง า น แ ย่ ง กั น เ ก็ บ ผู้ ท่ี เ ก็ บ ไ ด้ จ ะ มี ร า ง วั ล ใ ห้งานนี้เรียกวา่ “งานชิงพลุ” ชาวตง้ ยดึ ถอื การแตง่ งานแบบสามีภรรยาคนเดียว การแต่งงานกันระหว่างพี่สาวหรือน้องสาวพ่อกับพี่ชายแม่เป็นที่นิยมของชาวต้ง แต่ญาติร่วมสายเลือดจะไม่แต่งงานกัน หญิงแต่งงานแล้วไม่ย้ายไปอยู่บ้านสามี สถานภาพทางครอบครัวและสังคมของผู้หญิงต่๊าต้อยกว่าผู้ชาย มีกฎข้อห้ามมากมายส๊าหรับผู้หญิง เช่น ห้ามตีกลอง ห้ามอยู่บนบ้านในขณะท่ีมีผู้ชายน่ังอยู่ข้างล่าง หญิงชาวต้งจะสามารถมีสิทธิในทรัพย์สมบัติ ท่ีตนเองหามาได้หรือทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ก็ต่อเม่ือแต่งงานแล้วเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้มีปริมาณมากเทา่ ใดนกั สมบตั ิน้ีเรยี กว่า “นาผหู้ ญิง ทีผ่ ้หู ญิง” ส่วนผู้ชายเป็นผู้รับสืบทอด การแต่งงานแบบสามภี รรยาคนเดยี วมรดกประจา๊ ตระกลู หากไม่มีลูกชายสามารถรับเล้ียงลูกบุญธรรมและสืบทอดสายตระกูลให้กับลูกบุญธรรมต่อได้
พิธีงานศพของชาวต้งเหมือนกับชาวฮั่น คือใช้วิธีฝังศพ แต่ชาวต้งบางพื้นท่ีเมื่อมีคนเสียชีวิตจะยังไม่ประกอบพิธีศพ แต่จะใส่โลงแล้วน๊าไปเก็บไว้ในป่าช้าท่ีอยู่ห่างไกลออกไปจากหมู่บ้าน รอจนคนที่เกิดวนั เดือน ปี เดยี วกันเสียชวี ติ ทง้ั หมดจึงจะประกอบพิธีฝงั ศพพร้อมกันชาวต้งนับถือผี และเทพมากมาย เคารพบูชาธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ใหญ่ หินก้อนใหญ่ บ่อน้๊า สะพานมีเจ้าแม่สร้างเมืองชื่อ ซ่าซุ่ย (萨岁 Sàsuì) ซึ่งถือกันว่าเป็นหญิงผู้เป็นต้นก๊าเนิดและสร้างชุมชนชาวต้งเป็นเทพทช่ี าวต้งเคารพสูงสุด ในทุกๆหมู่บ้านจะสร้างวัดซ่าซุ่ย โดยใช้การเส่ียงทายของนก หญ้า ไข่ หอย ข้าวเป็นสิ่งช้ีวัดความ เปน็ สิรมิ งคล เทศกาลตรษุ จีนของชาวต้ง เทศกาลสา๊ คัญของชาวต้งมีเทศกาลตรุษจีน เทศกาลไหวเ้ ทพวัว (วันท่ี 8 เดือน 4 หรือ วันที่ 6 เดือน 6 )เทศกาลกินอาหารใหม่ (กลางเดือน 7 ) บางท้องท่ีมีการข้ึนปีใหม่ของชาวต้งในช่วงเดือน 10 หรือเดือน 11นอกจากนย้ี ังรบั อิทธพิ ลเทศกาลของชาวฮัน่ ท่ีมาพรอ้ มกบั การเกษตรอีก เช่น เทศกาลวันเชงเม้ง เทศกาลตวนอู่เทศกาลไหว้พระจันทร์ และเทศกาลฉงหยาง (วันที่ 9 เดอื น 9) เทศกาลวันเชงเม้ง เทศกาลวนั ไหว้บ๊ะจ่าง ไหว้บรรพบรุ ษุ ท่ีสสุ าน ประเพณแี ข่งเรอื จีนเทศกาลไหว้พระจันทร์ เทศกาลฉงหยาง(วิธีการไหว้ประจนั ทร์) (วันผงู้ สูงอายุ หรอื เทศกาลชมดอกเบญจมาศ)
เอกสารอา้ งอิงเมชฌ สอดสอ่ งกฤษ. (2554). ภาษาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมจีน. (ออนไลน์). สืบคน้ จาก: https://metchs.blogspot.com/2011/11/10.html . [10 ตลุ าคม 2561].
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: