Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Active Learning

Active Learning

Published by vinai.krabitn, 2019-08-11 23:42:20

Description: Active Learning

Search

Read the Text Version

สอนอย่างไรใหถ้ กู ใจผูเ้ รียน ประพนั ธ์ศิริ สุเสารจั

Active Learning : การจัดเรียนรู้เชงิ รุก : การเรยี นรู้เชงิ ลกึ ประพันธ์ศริ ิ สุเสารัจ คณะศึกษาศาสตร์ มศว



Active Learning ทกุ กจิ กรรมสรา้ งปฏสิ มั พันธ์กบั บทเรียน Active Learning คอื อะไร ใครกร็ ู้ ตอ้ งมคี รู ที่มใี จ ชว่ ยไขขาน ฝกึ ฝนศษิ ย์ ใหร้ คู้ ิด จินตนาการ ได้สือ่ สาร ทางานเปน็ เน้นกจิ กรรม ฝกึ สงั เกต วิเคราะห์ แกป้ ัญหา ใชภ้ าษา พดู - ฟัง ตัง้ คาถาม ใชส้ มอง ซีกซา้ ย-ขวา บูรณาการ สร้างผลงาน การเรียนรู้ คคู่ วามดี อภิปราย คน้ ควา้ ไป ในทกุ ที่ กิจกรรม ย้ารลู้ กึ หลายลีลา ผูเ้ รียนมี ปฏิสมั พันธ์ กนั เปน็ ทีม ใช้สอ่ื -เสยี ง ภาพ- สายตา และไอที ได้ผลผลติ กระบวนการ งานถว้ นถี่ ไดแ้ ลกเปล่ียน ประสบการณ์ สานความคิด ปลูกความดี มคี ณุ ธรรม นาสังคม ทง้ั เด่ียว-กลมุ่ แสนสนุก ถูกวิธี (ประพนั ธศ์ ริ ิ สเุ สารัจ)

แนวการบรรยาย เปน็ การบรรยายเชงิ ปฏิบตั กิ ารโดยใช้ active Learning เพ่ือสรา้ งความรู้ ความเข้าใจและเกิดทักษะในการจดั การ เรยี นร้แู บบ active Learning เน้ือหา มงุ่ ให้เห็นความสาคัญของ active learning กิจกรรม ตัวอย่าง ประสบการณ์ท่ีเปน็ จรงิ และการประยกุ ตใ์ ช้ active Learning ในการจดั การเรยี นรู้

ทาไมต้อง Active Learning ท่านคดิ ว่า “ความรู้”กบั ”ความคดิ ” อะไรสาคัญกวา่ กัน ทา่ นคดิ วา่ สง่ิ ทเี่ รารกู้ บั ส่งิ ที่เราไม่รู้ อะไรมีมากกว่ากัน ท่านม่นั ใจไหมหรือมั่นใจได้อย่างไรวา่ สิง่ ทีท่ า่ นรมู้ ัน ถูกต้อง

ทาไมตอ้ ง Active Learning คนเราเรยี นร้ไู ด้จาก... การอา่ น 10% การฟัง 20% และท่มี ากไปกว่าน้ี การเห็น 30% ??? ได้คดิ ค้น แสวงหา การฟงั และการเหน็ 50% สร้างสรรค์ ด้วยตวั เอง การพูดและอภปิ ราย 70% การลงมือทา 80% การสอนซ่งึ กันและกนั 95%

“What I hear, I forget!” “What I see, I remember!” “What I do, I understand!” Teach less Learn more “สงิ่ ทไี่ ดย้ นิ (Xuncius) จะลมื ” “สงิ่ ทไี่ ดเ้ ห็น จะจำ” “สงิ่ ทไี่ ดท้ ำ จะเขำ้ ใจ”

ทาไมตอ้ ง Active Learning “I never teach my students. I only attempt to provide the conditions in which they can learn.” Albert Einstein “Education is not preparation for life. Education is life itself.” John Dewey “Great Teacher Don’t Teach” Ben Johnson “Good Teacher is not only one who can teach but let students teach themselves. John Dewey

ทาไมต้อง Active Learning พระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ มาตราท่ี 24 1. จัดเนื้อหาสาระ และกจิ กรรมใหส้ อดคลอ้ งกบั ความสนใจและความถนัดของ ผ้เู รียน โดยคานงึ ถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล 2. ฝกึ ทกั ษะกระบวนการคิด การจัดการ การแกป้ ัญหา 3. จดั การเรียนรจู้ ากประสบการณ์จรงิ ฝึกปฏิบตั ิ อา่ น ทาได้ คิดเป็น 4. ผสมผสานความร้สู าระต่างๆอยา่ งสมดุล ปลกู ฝงั คุณธรรมจริยธรรม คา่ นิยม 5.จัดบรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม สอื่ อานวยความสะดวกให้ผู้เรยี นเกดิ การ เรียนรู้ ใช้การวจิ ยั เปน็ ส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ 6. จัดการเรียนรู้ทุกท่ที ุกเวลา ร่วมมือกบั ผูป้ กครองชุมชน เพอ่ื พฒั นาผู้เรียน

ทาไมต้อง Active Learning สมองกบั การเรียนรู้

สมองกบั การเรยี นรู้

โครงสร้างของสมอง ซีกซา้ ย ซีกขวา ภาษา ความคิดสรา้ งสรรค์ สญั ลกั ษณ์ จนิ ตนาการ การคิดวิเคราะห์ ศิลปะ การจดั ระบบ วางแผน คิดสงั เคราะห์ การเป็ นเหตผุ ล การเคล่ือนไหว จงั หวะ การคานวณ จติ ใตส้ านึก วิทยาศาสตร์ ชอบตนื่ เตน้ สนุกสนาน เห็นรายละเอียด ข้ ีเล่น ใชอ้ ารมณ์ มองภาพรวม ทาพรอ้ มกนั หลายอยา่ ง

.

จานวนเซลสมอง และปริมาณการตดิ ต่อสื่อสารของ เซลสมองเป็ นปัจจัยสาคญั ของการพฒั นาสติปัญญา



การจัดการเรยี นรู้ตามธรรมชาติ และความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล การจัดการเรียนรใู้ นโลกยุคใหม่ ยคุ แหง่ สมอง The Brain New World

Frontal lobe Parietal lobe เหตผุ ลการแกป้ ญั หา ประสาทสมั ผสั บคุ ลกิ ภาพ อารมณ์ Occipital lobe Temporal lobe การมองเหน็ ภาษา การฟงั พดู Cerebellum การทรงตวั การ ประสานงานของ รา่ งกาย

ทฤษฎพี หปุ ัญญา(Multiples Intelligences Theory) 1. ภาษา (Verbal/Linguistic Intelligences) 2. เหตผุ ล/คณิตศาสตร์ (Logical/Mathematical ) 3. ศลิ ปะ/ช่าง/ มิตสิ มั พนั ธ์ (Visual/Spatial ) 4. ดนตร/ี จงั หวะ(Musical/Rhythmic Intelligences) 5. การเคล่ือนไหวรา่ งกาย/กีฬา (Bodily/Kinesthetic) 6. เขา้ ใจในธรรมชาต(ิ Naturalistic Intelligences ) 7. มนุษยสมั พนั ธ์ (Interpersonal Intelligences ) 8. การเขา้ ใจตน การคิด (Intrapersonal)

Animal school จดุ มงุ่ หมาย : เพื่อสามารถดารงชีวิตในป่ า วิชา ว่ิง ปี นป่ าย บิน ว่ายน้า ผเู้ รยี น หอ้ ยโหน มา้ ลงิ ชา้ ง นก เป็ ด

หลกั การสอนโดยใชส้ มองเป็นฐาน 1.สมองมหี ลายส่วน ทางานต่างกัน 2.สมองมีกระบวนการทางานไปพรอ้ มๆกัน แตล่ ะส่วนมกี าร ประสานงานกัน จึงสามารถจัดกจิ กรรมหลากหลายไดใ้ นขณะเดียวกัน 3.สมองเป็นกระบวนการทางสังคม จะมกี ารพฒั นาการได้ร่วมกบั สมองส่วนอ่ืน 4.ขอ้ มลู ความรู้ถูกเก็บไวใ้ นหลายๆส่วนของสมองและถูกดงึ มาใชจ้ าก ความจาท่ีหลากหลายรูปแบบโดยทางเส้นประสาท 5.สมองสามารถรับรทู้ ัง้ ในภาพรวมและรายละเอียดปลีกย่อยได้

หลกั การสอนโดยใชส้ มองเปน็ ฐาน 6. การเรียนรู้/ความรเู้ กดิ จากความรู้ภายใน(tacit)และการรบั รู้ (Implicit)จากภายนอก 7. ความหมายของความรมู้ คี วามสาคัญกวา่ ขอ้ มลู ความรู้ 8. การเรียนรู้เกิดได้จากทุกส่วนของร่างกาย ตงั้ แต่การเคลอ่ื นไหว ร่างกาย การใชป้ ระสาทสมั ผสั และการจดจา 9. ความจามี 2 แบบคอื การอา่ นทอ่ งจากับจาแบบสามญั สานึก 10. สมองมีการพัฒนา ครูต้องพัฒนาการเรยี นการสอนในชั้นเรยี น เพือ่ พฒั นาสมองและการเรียนรู้

มีตวั F กต่ี วั ? FINISHED FILES ARE THE RESULT OF YEARS OF SCIENTIFIC STUDY COMBINED WITH THE EXPERIENCE OF YEARS...

คณุอาน่ได้ไหม ฉนไั มอ่ ายกจะเชอื่เลยว่า ฉนเั ขา้ ใจสงท่ิ ่ีฉนกั าลงอั าน่อู่ยน้ี มนัเปนป็ ฎกราากรณข์ องสอมงของมษ์ ยุ น ผลการศกึาษ วจิยจั ากม วหายทิ าั ลยแบมคริ จ์ ด พบว่า มนไั มส่ คาญัเลยวา่ ตวอั รษั กเยีรงถกู ตอ้งหรอืไม่ มนัสคาญแั ค่ว่า ตวอั ษกั ร ตวแั รกและตวอั ษกรั ตวสั ดุ ทายข้ องคานนั้อูย่ ในตนาแหง่ ที่ ถกตู อง้ ที่เลืหอนนมั้ นัจะมว่ซั วอ่ั า่ ยงไร คณุกอ็ านม่ นไั ด้อูย่ ดี ทเ่ี ปนอ็ าย่งนเี้ ราพะสอมงของมษนุ ์ยนนั้ ไม่ไดอ้ าน่ตวัอษกัรทกุตวซั กหั อนย่ แตอ่ านเ่ ปน็คาเตมๆ็ คา

รูปใคร

เสน้ ไหนยาวกวา่ กนั

สมองซีกขวา มองภาพรวม คิดจนิ ตนาการ สรา้ งสรรค์ พดู เป็ นคาๆ พูดไม่เตม็ ประโยค  โต๊ะรกๆ ชอบขดี เขยี นขยุกขยกิ  ใช้อารมณ์เป็ นฐานทุกเรื่อง  ชอบตนื่ เต้น สนุกสนาน กล้าเส่ียง  ไม่ชอบอยู่น่ิงๆ ชอบเอามือเท้าไปแหย่เพอ่ื น  จาหน้าคน ภาพ สถานทีไ่ ด้แม่น จาชื่อไม่ได้ ขีล้ มื  ชอบสังคม คนหมู่มาก  มกั พดู นอกเรื่อง ชอบต่อเตมิ คาพูดให้สนุกสนาน  สื่อสารด้วยสีหน้า ออกท่าทาง  ถนัดดนตรี กฬี า ศิลปะ

สมองซีกขวา มองภาพรวม คิดจนิ ตนาการ สรา้ งสรรค์ พดู เป็ นคาๆ พูดไม่เตม็ ประโยค  โต๊ะรกๆ ชอบขดี เขยี นขยุกขยกิ  ใช้อารมณ์เป็ นฐานทุกเรื่อง  ชอบตนื่ เต้น สนุกสนาน กล้าเส่ียง  ไม่ชอบอยู่น่ิงๆ ชอบเอามือเท้าไปแหย่เพอ่ื น  จาหน้าคน ภาพ สถานทีไ่ ด้แม่น จาชื่อไม่ได้ ขีล้ มื  ชอบสังคม คนหมู่มาก  มกั พดู นอกเรื่อง ชอบต่อเตมิ คาพูดให้สนุกสนาน  สื่อสารด้วยสีหน้า ออกท่าทาง  ถนัดดนตรี กฬี า ศิลปะ







สมองมี 2 ซกี มกี ารทางาน 4 แบบมากนอ้ ยตา่ งกนั •คิดเชงิ ปรัชญา นกั วชิ าการคดิ •คดิ สร้างสรรค์ จินตนาการ ลุ่มลึก คิดซบั ซ้อน นักปราชญ์ คดิ ประดิษฐ์ ทดลอง ศลิ ปะ นักบวช นกั คน้ ควา้ วิจัย ทดลอง กล้าเส่ียง คดิ แตกตา่ ง ใช้อารมณ์ ชอบความจริงชดั เจน มเี หตุผล •นักมนุษยนิยม ชอบสนทนา คน •คิดเป็นระบบบรหิ าร จัดการ หมมู่ าก มีมนษุ ยสมั พันธ์ เอ้ืออาทร วางแผน ใข้อมลู เหตุผล หลกั การ ชอบสงั คมสงเคราะห์ เป็นผ้นู า ชอบบรกิ าร เปน็ ระเบยี บ ต้องเรยี บรอ้ ย ตรง เวลา ต้องชัดเจน มั่นคงปลอดภยั

แบบการเรียนร้ขู องผู้เรียนมีหลากหลาย 1. เรียนรูด้ ้วยการดู ซกั ถาม พดู คยุ จนิ ตนาการ 2. เรยี นรู้จากการฟงั คิด การอ่าน การจดจาข้อมูล 3. เรียนรู้จากการลงมือทา 4. เรียนรู้จากการคดิ ค้น ทดลอง พสิ ูจน์ การคดิ แปลก แตกตา่ ง ชอบคน้ หาและคน้ พบความรดู้ ้วยตนเอง

การสอนแบบ 4 Mat • ผเู้ รียน คดิ คน้ • ผ้เู รียน อยากรู้สงสยั สงั เกต เฝา้ มอง สร้าง ผลงานและ สนทนา ซักถาม เผยแพร่ • ผู้สอน คือผู้กระตนุ้ • ผ้สู อน ร่วม If. Why Then ผู้ยั่วยุ เรยี นรู้ผ้ปู ระเมิน • ผเู้ รียน ผแู้ สดง How What • ผเู้ รยี น ฟงั จด จา ปฏิบัติ ฝึกฝน คดิ วิเคราะห์ ไตรต่ รอง • ผสู้ อน คือโค้ช/ ผู้ กากับ ผู้ชี้แนะ • ผูส้ อน สอน บอก

การสอนแบบ 4 Mat If.Then Why นร.คดิ คน้ สรา้ งผลงานเสยี บกงิ่ จาก ครนู าตน้ เฟ่ื องฟ้ า สารพดั สที ี่ผ่าน ตน้ ไมจ้ รงิ แลว้ นาเสนอความรู้ ครคู ือผู้ การตดั แต่งอย่างสวยงามใหน้ กั เรยี นดู ร่วมเรยี นรู้ How What ใหน้ กั เรยี นฝึ กฝนปฏบิ ตั ิการเสยี บ กง่ิ ตามขนั้ ตอน ครใู หค้ าแนะนา ครอู ธิบายและสาธิตเรอ่ื งการ เสยี บกง่ิ

ความร้แู ละการเรยี นรู้ 1. Tacit Knowledge ความร้แู บบฝังตัว เป็นความรทู้ ถี่ ่ายทอดปลกู ฝงั กนั มาในครอบครวั หรอื ในชมุ ขน เปน็ ความร้เู พอื่ การทามาหากนิ เรยี กวา่ ความร้แู บบกนิ ได้ เป็นการเรยี นรู้แบบลงมอื ปฏิบัติจรงิ ในงานมายาวนาน จนเกดิ การฝังติดตวั เป็นลกู มอื มากอ่ น ผู้ใหค้ วามรคู้ ือผ้ปู ฏิบตั ิจริง 2. Implicit Knowledge ผ้ใู หค้ วามรู้คอื ครูไมใ่ ชผ่ ปู้ ฏบิ ตั จิ รงิ เม่อื เรียนรู้ แล้วสามารถแสดงออกมาได้ แต่อาจไม่สามารถไปทามาหากินได้จริง เปน็ การเรียนรู้ในโรงเรียนท่เี ป็นแบบแยกสว่ นมากกวา่ ความร้ใู นตัวคน

เราอาจจะสามารถจัดการพาสุนัขไปทุ่งหญา้ ได้ แต่เราไม่ สามารถบงั คบั ให้มนั กนิ หญ้าไดฉ้ นั ใด ก็เปรยี บเสมอื น ครทู ่ีมีฝีมือในการสอน อาจสามารถจดั การทาใหเ้ ด็ก ผู้เรียนฏิบตั ติ ามทคี่ รูสั่งได้ แต่ผเู้ รยี นหาได้กระหายอยาก เรยี นรู้ เกดิ การเรียนรู้ และประทับใจกบั สิ่งทเ่ี รียนร้ไู ม่

การจัดการเรยี นรใู้ นอดีต การปรับเปลยี่ นการจดั การเรียนรู้ • ผสู้ อนเป็นผู้ส่ังสอนและ • ผู้สอนเปน็ ผอู้ านวยความสะดวกท่ี ผูเ้ ช่ียวชาญ ปรึกษาและผู้ช้แี นะ • ผู้เรยี นอ่านและฟังจากสิ่งที่ • ผู้เรียนสบื เสาะความรไู้ ด้อยา่ งอิสระ ผู้สอนพูด (อนิ เตอรเ์ นต็ ) • สอนเปน็ กลุ่มใหญ่ • เน้นการทางานของแต่ละคนเปน็ กลมุ่ เลก็ ๆ และการมปี ฏิสมั พนั ธ์ในกลุ่มใหญ่ • เน้นที่ความรู้และข้อเทจ็ จรงิ • เนน้ ไปท่ีการประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ • สอนในห้องเรยี น • ผูเ้ รียนเรยี นรู้ทางออนไลนน์ อกหอ้ งเรียน

การปรับเปลย่ี นการจัดการเรยี นรู้จาก Passive ไปยงั Active Learning Passive Learning Active Learning  ครูเปน็ ผูน้ าการเรยี นรู้  ผู้เรยี นนาตนเอง (ผา่ นกจิ กรรมต่างๆ)  ครผู ้สู ง่ั สอน/การบรรยาย  ครูผอู้ านวยความสะดวกและช้แี นะ  ครคู ือผู้รทู้ ีม่ อี านาจ  ครกู บั ผู้เรยี นร่วมมือกันพัฒนาความรู้  ครเู ปน็ ศนู ยก์ ลาง  ผเู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง

การจดั การเรยี นรูท้ ่เี ปล่ยี นไป 20th Century 21st Century Curriculum Projects Time-slotted On-Demand One-size-fit-all Personalized Competitive Collaborative Classroom Global Community Text-based Web-Based Summative tests Formal Evaluation Learning Learning for Life

การปรบั เปล่ยี นบทบาทของผ้เู รยี น Passive Learner Active Learner • ความจา ข้อเทจ็ จรงิ • การคิด/แก้ปญั หา •การตรวจสอบการ • การจดบันทกึ • การค้นพบ เรยี นรขู้ องตนเอง • การซึมซบั ความรู้ตา่ งๆ • การสร้างความรู้ • มีอภิปญั ญา/การรู้คดิ • การสารอกข้อมูล (ผู้เรยี นได้รับ • การสะทอ้ นกลับของขอ้ มูล (คดิ และพูดเกยี่ วกบั การ ข้อมลู มากเกนิ ไปเกนิ จะรบั ได้) • การรว่ มแรงร่วมใจกนั เรียนรู้ได้) • กิจกรรมท่ีใชท้ ักษะการ • กจิ กรรมทีใ่ ชร้ ะดบั การคดิ ขั้น • การตอบสนอง คิดระดบั สงู พืน้ ฐาน (การเรยี นรู้แบบผวิ เผนิ ) • การมสี ่วนร่วม • การสร้างความสมั พนั ธ์ •การเรียนร้เู ชิงลกึ • ทาไปงัน้ ๆ • การรื้อโครงสรา้ งใหม่ •มีปฏสิ ัมพนั ธก์ ับบทเรียน

จากการเรียนรู้แบบผิวเผินสกู่ ารเรียนรู้เชงิ ลึก 1. เราจะทาใหผ้ ้เู รยี นคดิ ใชเ้ หตผุ ลและมีวิธกี ารใส่ใจกับสือ่ และบทเรยี น ต่างๆในการเรยี นรู้ไดอ้ ยา่ งไร 2. เราจะทาใหผ้ ู้เรียนมีปฏิสมั พนั ธ์กบั สือ่ และบทเรยี นต่างๆได้อย่างไร(คิด เชิงลกึ ) 3. เราจะทาให้ผเู้ รียนแสดงประสบการณ์ของตนโดยใช้สือ่ ต่างๆอยา่ งไร (การสะท้อนความคิด) 4. เราจะทาให้ผูเ้ รียนมีส่วนร่วมในการเรียนร้โู ดยเปลย่ี นประสบการณ์ จากสื่อและบทเรียนต่างๆมาปน็ แนวคดิ หรอื ชิ้นงานได้อย่างไร

กจิ กรรมสร้างปฏสิ มั พนั ธก์ บั ส่ือและบทเรยี น นาเสนอสนั้ ๆ 1 นาทกี จิ กรรมหฟลังาแกลหะสลราุปยประเด็นสาคญั วาดภาพและบรรยาย สะทอ้ นความคิดทไ่ี ด้จากบทเรยี น การลาดับเนอื้ เรื่อง ผลดั กันกันพดู เลือกขอ้ ความเด่น เขียนบทเพลง/กวี สรา้ งแผนภูมิ เขียนและแจกใหเ้ พื่อน สร้าง Infogram ขยายการอ่าน เขยี นบรรยายความรู้สึกสน้ั ๆ วาดตวั ละคร/สถานทีแ่ ละแนะนา

รูปแบบการสอนแบบ Active Learning  ครูกระตนุ้ เรา้ ความสนใจ นกั เรยี นตง้ั ใจฟงั  ทากจิ กรรม  อภปิ ราย  เปลย่ี นประสบการณ์เป็นแนวคดิ /ผลงานสรา้ งสรรค์

การออกแบบกิจกรรมactive Learning • If.Then • Why ผเู้ รยี นเขยี น ผสู้ อนสนทนา และเลา่ เกยี่ วกบั การ เสยี ดนิ แดน ความรสู้ กึ และ และใหด้ วู ดิ โิ อ ความคดิ เห็น เกย่ี วกบั การ เสยี ดนิ แดน ผเู้ รยี นทา ผเู้ รยี นอา่ น กจิ กรรม วเิ คราะห์ และสรปุ อภปิ ราย ในใบงาน และบนั ทกึ • How • What

การเสียดนิ แดน

ใบงาน 1 : ให้ดวู ดิ ิโอ และจบั ประเด็นสาคญั ตัง้ คาถามท่ี สนใจอยากรู้ คนละ 4 ประเดน็ เช่น 1. ไทยเสียดินแดนครั้งใดมากที่สุด เปน็ การเสยี ดนิ แดน ส่วนใด จานวนเท่าไหร่ ในรชั สมยั ใด 2. เหตุการณ์ รศ.112 คอื อะไร 3. ประเดน็ อืน่ ๆ 4. ประเดน็ อื่นๆ



ใบงาน 3 กิจกรรมกลมุ่ :เรยี งลาดับเหตกุ ารณ์ แบง่ กลมุ่ สมาชกิ ในกลมุ่ จับสลากขอ้ ความคนละเท่าๆกนั แตล่ ะคนอ่านเหตกุ ารณใ์ นข้อความในสลาก ชว่ ยกนั อภปิ ราย และเรยี งลาดบ้ เหตุการณ์ ทบทวนตรวจสอบ เม่อื แน่ใจ ตรวจสอบความถกู ต้องจากใบ ความรู้

ใบงาน 4 กิจกรรมรายบคุ คล 1. เขยี นความรู้สกึ ของตนเองเมื่อไดเ้ รยี นรู้จาก บทเรยี นไม่เกนิ 5 บรรทัด 2. แลว้ ผลดั กันนาเสนอให้เพื่อนสมาชกิ ในกลมุ่ ฟงั และบอก คนละ 1 นาที


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook